[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 06:59:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชำแรกถึงห้วงอวกาศ โดย เขมานันทะ  (อ่าน 1062 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 สิงหาคม 2559 00:49:02 »



ชำแรกถึงห้วงอวกาศ โดย เขมานันทะ

ช่องว่าง ระหว่างสองมือป้อง เกิดขึ้นและสิ้นสุดเมื่อลดมือลง ช่องว่างอันเกิดแต่การกำหนดสองมือเป็นเพียงการสมอ้างติดยึดในความรับรู้สิ่งที่แลเห็น เป็นการตกลงใจของผู้มอง โดยเนื้อแท้แล้วช่องว่างไม่เคยเกิดขึ้นและไม่อาจหายไปได้ นอกจากเกิดขึ้นในความรับรู้และหายไปในความรับรู้ กล่าวได้ว่าผู้มองไม่เคยเห็นและใม่อาจเห็นเนื้อที่ว่างได้จริงๆ นอกเสียจากกระทำนิมิตหมายขึ้น เพื่อรับรู้ในขอบเขตจำกัด ตามขอบเขตจำกัดของอายตนะและนิสัยเคยชิน ความรู้นั้นเป็นสิ่งจำกัด ยิ่งรู้มากเข้า การสะสมนิมิตหมายต่างๆก็มาก ดังนั้นจิตที่รู้มากก็วุ่นวายไปด้วยความรู้และทั้งคับแคบ

เนื้อที่ว่างที่อยู่เบื้องหน้าย่อมไม่อาจแลเห็น ทั้งที่เดินผ่านไปมาพร้อมทั้งคิดนึกสารพัด และทันใดที่แลเห็นด้วยความรู้สึกทั้งหมดความนึกคิดก็สิ้นสุดลง และวาระนั้นเองลมหายใจที่เคยอยู่ภายใต้ความคิดอันก่อเกิดภาวะก็ชำแรกถึงอากาสะ(space) เนื้อที่ว่างมีไว้หายใจโล่งถึงที่สุดคืออากาศธาตุ ไม่ได้มีไว้เพื่อครุ่นคิดทุรนทุรายดังนกติดแร้ว

รูปนามที่ถูกยึดครองว่า “ฉัน” นั้นไม่เคยถูกแลเห็น มันซ่อนอยู่ตรงหน้าตราบนานเท่าที่ผู้คิดคิดพะนอตน “ฉัน” เป็นเพียงการสมอ้าง เป็นคติติดยึดในความรับรู้จากนิมิตหลายด้าน ชื่อ เชื้อชาติ ตระกูล ฯลฯ อันรวบยอดเป็น”ฉัน” “ฉัน”เป็นเพียงภาพในจินตนาสำหรับไขว่คว้า ครั้นมองตรงมาที่ภาพพจน์ในจิตก็ไม่มี เมื่อมีการเห็นโดยตรงปราศจากสื่อ “ความเป็นตามสภาพเป็น” ก็แสดงบทออกมา เพราะว่าผู้มองเป็นเพียงรูปหนึ่งของความคิด เมื่อรู้สึกตัวได้โดยตรง ความคิดในการมองก็ไม่มี

การเห็นตัวเองโดยปราศจากสื่อนั้นเป็นความรู้สึกสดๆที่เป็นอยู่ของผู้หนึ่ง และผู้หนึ่งผู้ใดก็เป็นอันนั้นเช่นเดียวกัน ทุกๆผู้หนึ่งก็รวมทุกๆผู้อยู่ในความรับรู้ มองเข้ามาที่สภาพรู้ได้ ทุกชีวิตเป็นเพียงชีวิตเดียวดังหยดน้ำค้างที่สะท้อนภาพดวงอาทิตย์และทุกสิ่งรอบตัวมัน จากประสบการณ์มูลฐานเช่นนี้เอง เป็นที่มาของบทเพลง”เสียวสวาสดิ์”ของอีสานอันล้ำค่าเสมอ”เต๋าเต้กิง”

“ยังมีชายคนหนึ่งชื่อสรรพเหล่าหลาก” แก่นแท้ของปัจเจกคือความเป็นสากล เรืองราวทั้งหมดเป็นเรื่องของคนๆหนึ่ง คนๆหนึ่งที่ไร้ชื่อเช่นเดียวกับดวงดาว ผืนดินและผืนน้ำ เช่นเดียวกับฟากฟ้าและอากาศ จะว่าโดยมีอัตตาตัวตน หรือนิรัตตาไร้ตัวตน ก็เป็นเพียงวิถีทีถ้อย

ผู้หนึ่งนั้นกับการเดินทางอันไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งโดยเรือนร่างและกระแสแห่งความคิดคำนึง

ผู้หนึ่งที่เป็นอยู่ทั้งปัจเจกและสากล เป็นทั้งหนึ่งและเป็นทั้งหมด

 

ใครจะบอกได้

 

……….ความ โน้มเอียงที่จะสมอ้างให้กับผู้อื่นหรือตนเอง ตอบสนองอารมณ์วิตถารอยากจะเห็นใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้วิเศษ อยากจะทุ่มตัวลงแทบเท้า อยากเป็นสาวกคนโปรด อยากเป็นศาสดาคุรุผู้วิเศษ อยากพะนอตัวเองเช่นนี้ ผู้คนจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อเพียงเห็นคนที่ตนศรัทธา แรงสะเทือนอารมณ์ตื้นตันใจ ยังไม่ไปพ้นความลวงล่อตน หากมองเห็นมันแล้วใจก็สงบ ก็จะรู้เองว่าไม่มีอะไรเลยที่พอจะยึดถือได้ อารมณ์ทั้งหมดไร้แก่นสารผ่านเลยไปแล้ว เพียงวูบของอารมณ์ผ่านไปก็ไร้ผล การสนองก็ไม่มี อาการคลั่งไคล้อารมณ์ก็ไม่ปรากฏ

………คนส่วนใหญ่ชอบคลั่งไคล้ ทั้งนี้เพราะแรงเสียดทานในตนอันเนื่องแต่สภาพแวดล้อมทางสังคมเร่งเร้าให้ความรู้สึกคลั่งไคล้แสวงหาทางออก โดยรู้สึกว่าเป็นการปลอดภัยถ้ามอบความวางใจให้กับผู้วิเศษสักคนหนึ่ง จะได้วางใจลงไม่ต้องรับผิดชอบกับการรู้เห็นสิ่งจริงที่ตนไม่ปรารถนา

………ทุกวันนี้ลัทธิคลั่งไคล้ก่อหวอดขึ้นในทุกประเทศ ผู้สมอ้างว่าตนเป็นผู้วิเศษก็มีมาก หัวใจจะสงบสุขไม่ได้หากยังคลั่งไคล้ใหลหลงสิ่งใดอยู่ หัวใจจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อสภาพคลั่งไคล้ได้หมดไปแล้ว เดินไปตามทางที่ตัวเป็นโดยปรกติ

………ทางของใครของมัน วิถีทางของแต่ละบุคคลไม่อาจนำเอาประสบการณ์ของผู้อื่นเข้ามาจับ ไม่อาจสะสมความรู้จากผู้อื่นมาเป็นของตัว ความเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ การหยั่งรู้ถึงรากเหง้าของธรรมชาติแห่งตนเอง ความคลี่คลายหมดจดของธรรมชาติแห่งชีวิตเอง อะไรเหล่านี้จะเรียนรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่นไม่ได้เลย คำบอกเล่าล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อการรู้ประจักษ์ธรรมชาติแท้แห่งตน

………อย่าให้ใครมาบอกเล่าอย่างใดๆเกี่ยวกับธรรมชาติแท้ๆของตน คำบอกเล่าช่วยได้บ้างก็เพียงให้รู้ว่า ตนต้องรู้จักตัวเองด้วยตัวเองของตัวเองเท่านั้น

 

โฉมหน้าแห่งชีวิต
 

………ความ แก่เฒ่านั้นมีความหมายอะไร ธารน้ำและภูผาทั้งดวงดาวในท้องฟ้ามีความแก่เฒ่าด้วยหรือ? เราเป็นอะไร? เราต่างอะไรจากธารน้ำภูผาดวงดาวหรือว่าน้ำค้าง เราคือวิญญาณ หากแต่วิญญาณมีความหมายอะไรที่ผิดแผกไปจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ และอวกาศ

………มีเพียงกิริยาอาการเท่านั้นที่ห่างหายไปในอวกาศอันยืนยง แสงสว่างแลบแปลบที่ขอบฟ้าเกิดชั่วพริบตา แต่ฟ้านั้นยืนยง

………เราต่างมาหาอะไรในชาติกำเนิดนี้? เราได้พกพาอะไรติดตัวมาและเราจะพกพาอะไรจากโลกแห่งปรากฏการณ์ทางอินทรีย์ประสาทนี้ไปโลกหน้า มาเปล่าไปเปล่า สิ่งที่ไปๆมาๆนั้นเพียงอาการผ่านแผ่ว เพียงได้รู้เห็น

………ถิ่นที่ที่ดวงอาทิตย์และเพ็ญจันทร์ไม่ปรากฏ ที่ที่เหนือแรงเคลื่อนไหวของหยิงและหยาง ณ ที่ที่ดวงตาแห่งดวงใจมองดูทุกสิ่งได้โดยรอบอย่างง่ายดายและเสรี ที่ที่สำรวจสภาวะอย่างอิสระ การเรียกร้องต้องการจบลงอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งเดินทางกลับ มณฑลแห่งจักรวาลชีวิตถูกดูดกลับสู่ห้วงภวังค์เหนือกาลเวลา

………ความจำใหม่ของดวงอาทิตย์ ดวงดาว และพื้นโลก น้ำ ฟ้า และทุกสิ่ง ล้วนเป็นการสำแดงออกของสิ่งจริง ความจำที่ไร้ข้อมูลทางสมอง ความรู้แจ้งที่ไม่ข้องกับการขบคิด

………ความแก่เฒ่านั้นไม่มีความหมายอะไร ธารน้ำและภูผา ดวงดาวในท้องฟ้าหรือว่าน้ำค้าง อวกาศอันใหญ่กว้างไร้ขอบเขต ก็คือโฉมหน้าของชีวิต

สนใจปฏิบัติธรรม ติดต่อ

สำนักสงฆ์ถ้ำเขาพระ กระบี่
http://thamkhowpra.blogspot.com/p/blog-page_6784.html

วัดแพร่แสงเทียน แพร่
http://www.buddhayanando.com/category/งานอบรม/

วัดสนามใน
http://www.watsanamnai.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=4

วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิ
http://www.pasukato.org/practice_sukato.html

จาก http://totalawake.com/blog/?p=62

http://totalawake.com/blog/?cat=14&paged=4

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.276 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 13 เมษายน 2567 09:52:15