[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 15:32:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อคนไทยแต่งตัวไปนอก! ทรงหลักแจวต้องจอด ฟันต้องขัดขาว กำเนิดราชปะแตน!!  (อ่าน 1863 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 25 สิงหาคม 2559 15:09:54 »


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พร้อมผู้ตามเสด็จไปนอก

สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นยุคที่ไทยเราเริ่มเปิดประตูรับอารยะธรรมตะวันตก ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่พูด เขียนภาษาอังกฤษได้คล่อง และรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จไปต่างประเทศ
       
       เมื่อ ร.๕ ขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์อีกเช่นกันที่มีตำแหน่งนี้ สมเด็จเจ้าพระยาเป็นคนหนึ่งที่คบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศ ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากของประเทศในเอเซียที่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก จึงมีความคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวควรจะถือโอกาสนี้ เสด็จไปทอดพระเนตรความเปลี่ยนแปลงของประเทศที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกบ้าง จะได้เป็นประโยชน์เมื่อถึงเวลาทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง
       
       เมื่อนำความเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ทรงยินดี และใคร่จะเสด็จไปยุโรป แต่สมเด็จเจ้าพระยาเห็นว่าไกลเกินไป ต้องผ่านทะเลใหญ่หลายแห่ง เรือที่จะไปได้โดยปลอดภัยก็ไม่มี ครั้นจะให้เสด็จไปโดยเรือโดยสารอย่างสามัญชนก็จะเสียพระเกียรติ จึงทูลเสนอให้ไปสิงค์โปร์ในความปกครองของอังกฤษ และชวาในความปกครองของฮอลันดาก่อน ครั้งต่อไปจึงไปอินเดีย ครั้งนี้ใช้เรือพิทยัมรณยุทธ ซึ่งเรือเหล็กที่เพิ่งสั่งต่อมาจากสก๊อตแลนด์ เป็นเรือพระที่นั่ง และมีเรือรบอีก ๒ ลำที่ต่อเองในกรุงเทพฯ เป็นเรือนำและตามเสด็จ
       
       การเสด็จต่างประเทศครั้งแรกนี้ สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวอย่างหนึ่งก็คือ “การแต่งตัวไปนอก”ของขบวนผู้ตามเสด็จ ซึ่งตอนนั้นคนไทยเรามีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวเป็นแบบของเราโดยเฉพาะ ครั้นจะแต่งตัวแบบไทยไปเดินในเมืองนอก ฝรั่งก็จะดูเป็นตัวประหลาด เหมือนฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทยมองเห็นการแต่งตัวของคนไทยแล้วขบขัน ฉะนั้นเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม จึงต้องมีการปรับปรุงเรื่องนี้กันครั้งใหญ่ในหมู่ผู้ตามเสด็จ ๒๐๘ คน
       
       อันดับแรกก็คือ “ทรงผม” คนไทยมีทรงผมยอดฮิตที่นิยมมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลาร้อยๆปีไม่เปลี่ยนแปลง และไว้ตามกันทั้งบ้านทั้งเมือง คือเด็กทั้งผู้ชายผู้หญิงไว้ผมจุก ผู้ใหญ่ผู้ชายไว้ “ทรงมหาดไทย” หรือ “ทรงหลักแจว” กร้อนเกรียนรอบหัวเหมือนกะลาครอบ เหลือไว้ด้านบนยาวประมาณ ๔ ซม. แล้วหวีแต่งตามแต่จะเห็นงาม ส่วนใหญ่จะแสกกลางผ่าออกเป็นสองซีก ส่วนผู้หญิงไว้ “ผมปีก” ตัดสั้นรอบหัวไว้ยาวแต่ด้านบนเหมือนผู้ชายเช่นกัน และไว้ผมเป็นภู่ริมหูทั้ง ๒ ข้าง ที่เรียกว่า “ผมทัด”สำหรับห้อยดอกไม้ ซึ่งฝรั่งเห็นเป็นของแปลกเหมือนตัวตลก เมื่อคณะทูตไทยไปอังกฤษ ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ ๔ ก็ต้องไว้ผมยาวแบบฝรั่งไปเหมือนกัน การไปนอกครั้งนี้จึงต้องมีเวลาให้พวกทรงหลักแจวปล่อยผมให้ยาวแบบเดียวกับฝรั่งก่อน ยกเว้นแต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสี ที่ยังทรงพระเยาว์ ไปทั้งพระเกศาจุก
       
       อีกเรื่องที่สำคัญคือ “ฟัน” คนไทยนิยมกินหมาก ยางหมากจึงจับฟันดำ เลยนิยมกันว่าฟันดำเป็นฟันสวย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ กวีเอกของกรุงศรีอยุธยา ยังทรงพระนิพนธ์ชมความงามของผู้หญิงไว้ว่า “พิศฟันรันเรียงเรียบ เป็นระเบียบเปรียบแสงนิล” ฟันสวยต้องสีนิล บ้างก็หนักถึงขั้นว่า “ฟันดำคือฟันคน ฟันขาวคือฟันหมา” ตอนที่รัชกาลที่ ๔ เสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ เซอร์แฮรี ออด ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ยังบันทึกไว้ว่า พระองค์หญิงวัยรุ่นที่ออกรับแขกเมืองด้วยนั้น หน้าตาสะสวย มารยาทงาม แต่ฟันดำทุกพระองค์ ดังนั้นคนที่จะตามเสด็จไปนอกครั้งนี้จึงต้องเลิกกินหมาก แล้วใช้เปลือกหมากหรือกิ่งข่อยทุบปลายให้เป็นแปลง หมั่นขัดฟันทุกวันจนขาวเหมือนฟันฝรั่ง (ก็เหมือนฟันหมานั่นแหละ)
       
       ส่วนเครื่องแต่งกาย ตอนนั้นทั้งฝ่ายทหารและข้าราชการพลเรือนมีเครื่องแบบแล้ว แต่นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน ไม่ใส่ถุงเท้ารองเท้า ไปนอกครั้งนี้ก็คงเอกลักษณ์เดิม ยังไม่นุ่งกางเกงแบบฝรั่ง แต่ให้ใส่ถุงเท้าแบบยาวและรองเท้าหนัง ไม่ให้ฝรั่งดูถูกว่าป่าเถื่อนเดินเท้าเปล่า
       
       เรือพระที่นั่งออกจากท่าราชวรดิฐไปในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๔๑๓ และกลับมาถึงกรุงเทพฯในวันที่ ๑๕ เมษายนต่อมา
       
       หลังจากเสด็จต่างประเทศครั้งนี้แล้ว ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักและระบอบการปกครองของไทยหลายอย่าง ให้ข้าราชการไว้ผมยาว เลิกทรงมหาดไทยเสียที แต่ไม่ห้ามไปถึงราษฎร เมื่อชาวบ้านเห็นบุคคลระดับสูงไว้ผมยาวก็เลยไว้ตามไฮโซกันมากขึ้น แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่รับผมทรงฝรั่งไม่ได้ ยังคงไว้ทรงมหาดไทยตามเดิม แม้แต่สมเด็จเจ้าพระยาก็ยังไม่ยอมไว้ทรงฝรั่ง ตัดสั้นรอบศีรษะแบบทรงมหาดไทย ไว้ยาวด้านบน ทรงนี้มีคนไว้ตามเหมือนกัน เรียกกันว่า “รองทรง”
       
       ส่วนผู้หญิงก็ยังไม่ยอมเลิกผมปีก กลัวว่าผมยาวจะไม่เก๋เหมือนทรงเก่า เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าของตำนาน “รักแรกของ ร.๕” จึงอาสาเป็นผู้นำ ไว้ผมยาวเป็นคนแรกของราชสำนัก แรกๆก็ถูกค่อนขอดอยู่พัก ไม่ช้าก็มีพวกนางในไว้ตาม ต่อมาก็แพร่ไปทั้งวังจนลามออกมาข้างนอก ทำให้ “ผมปีก”หายไปพร้อมกับ “ทรงมหาดไทย”
       
       ต่อมาในเดือนธันวาคม ๒๔๑๕ ได้เสด็จไปอินเดีย มีการพัฒนาเครื่องแต่งกายไปจากเมื่อครั้งไปสิงคโปร์ขึ้นอีก แต่การใส่เสื้อนอกแบบฝรั่งต้องใส่เสื้อเชี๊ตภายใน ทั้งยังต้องผูกเนคไทร์ พออากาศร้อนออกไปเดินนอกอาคาร ทำให้เหงื่อชุ่มโชก ฉะนั้นเมื่อเสด็จไปร้านตัดเสื้อแบบยุโรปที่เมืองกัลกัตตา จึงทรงปรารภกับช่างให้ช่วยออกแบบเสื้อนอกให้ใหม่ ไม่ต้องเปิดอกแบบฝรั่ง แต่ให้ปิดตั้งแต่คอ กลัดกระดุมตลอดอก เพื่อไม่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตและผูกไทร์ เมื่อช่างทำเสื้อตามรับสั่งมาถวายก็โปรด แต่ยังไม่มีชื่อเรียกเสื้อแบบใหม่นี้ เวลานั้นเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ยังเป็นว่าที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ ทำหน้าที่ราชเลขานุการ อาสาคิดชื่อเสื้อ แล้วเอาคำว่า “ราช”ในภาษามคธคำหนึ่ง กับคำว่า “Pattern”ในภาษาอังกฤษอีกคำหนึ่ง มารวมกันเป็น “Raj Pattern” แปลว่า “แบบหลวง” ต่อมาก็เพี้ยนเป็น “ราชปะแตน” มีการใช้เสื้อแบบนี้กันแพร่หลาย เป็นเสื้อนอกแบบไทย
       
       แต่การนุ่งผ้าแบบโจงกระเบน ม้วนปลายผ้าที่นุ่งเป็นหาง แล้วลอดหว่างขาไปเหน็บปลายไว้ที่เอวด้านหลัง ยังคงใช้กันตลอดมาทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตอนสมัยรัชกาลที่ ๗ ผู้ชายหลายคนหันไปนุ่งกางเกงแพรแบบจีน บางคนก็ใส่สีเสียสดใสทั้งแดงและเขียว แล้วใส่เสื้อราชปะแตน ดูแปลกตาดี ส่วนคนกินหมากก็ไม่ยอมเลิกง่ายๆ เพราะเป็นยาเสพติดเหมือนบุหรี่ คนที่ขัดฟันขาวคราวตามเสด็จไปสิงคโปร์ กลับมาก็หิวหมากจนฟันดำอีก ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ใน พ.ศ.๒๔๘๒ ก็ยังมีคนบ้วนน้ำหมากสีแดงไว้ตามถนนเป็นหย่อมๆเหมือนกองเลือด ดูสกปรกเลอะเทอะ จึงมีการออก “รัฐนิยม”เป็นกฎหมายหลายฉบับ เปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปมาก การกินหมากและโจงกระเบนจึงหมดไปจากสังคมไทย กลายเป็นสังคมของคนฟันขาวและนุ่งกางเกงขายาว นุ่งกระโปรงแบบฝรั่ง การแต่งกายและทรงผมรวมทั้งฟันของคนไทย จึงไม่แตกต่างไปจากชาวตะวันตก
       
       เมื่อประมาณ ๔๐ กว่าปีก่อน ผู้เขียนขึ้นเครื่องบินไปฮ่องกง อุตส่าห์ใส่เสื้อนอกผูกไทร์ตามฝรั่งเสียโก้ แต่เจอเอาฝรั่งนุ่งกางเกงแบบชาวเลใส่เสื้อยืด ลากรองเท้าแตะ ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั้งลำ ตอนนี้ไปเที่ยวพระบรมมหาราชวัง ก็เจอแหม่มที่จะเข้าไปชมความโอ่อ่างดงามของศิลปกรรมไทย ต้องไปเช่าเสื้อคลุมไหล่และกระโปรงยาว คลุมกางเกงขาสั้นและเสื้อเปิดอกก่อนเข้า ดูแล้วตลกไม่ต่างกับทรงมหาดไทย
       
       หนอย...มาชวนให้เราแต่งตัวตาม บอกว่าเป็นอารยะธรรมของผู้ศิวิไลซ์ ตอนนี้ต้องให้เราสอนการแต่งตัวอย่างมีมารยาท เหมาะสมกับสถานที่ให้ซะแล้ว


ร.๕ ขณะพระชนมายุ ๑๖ พรรษา


การแต่งตัวของหนุ่มสาวสมัย ร.๕


ทรงผมยอดฮิตของคนไทยในอดีต


เจ้าคุณพระประยูรวงศ์นำเป็นตัวอย่าง


สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงชุดราชปะแตน


การแต่งกายของคณะราชทูตไทยไปอังกฤษในสมัย ร.๔

จาก http://astv.mobi/ALGEqJA

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.353 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 02:23:15