[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 เมษายน 2567 03:53:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา  (อ่าน 2497 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 ตุลาคม 2559 19:11:33 »



ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
(พระมหาบุรุษออกบรรพชา)



แต่เมื่อทิวาวารกาลกำหนดล่วงไปแล้วก็บรรลุถึงวาระอันพระพุทธเจ้าของเราจะเสด็จออก บรรพชา ซึ่งเป็นวาระที่จะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน และโดยเหตุนี้ภายในปราสาทอันอร่ามเรืองก็จะอุบัติความโศกศัลย์ ความกำสรดของพระราชาผู้เป็นพระราชบิดา ความเศร้าโศกาลัยโอดครวญหวนไห้ของปวงประชาราษฎรทั้งหลายแห่งพระราชธานี

แต่ถึงกระนั้นก็ดี การเสด็จของพระองค์ก็เป็นประโยชน์ กล่าวคือ เป็นปฐมเหตุให้เกิดพุทธบัญญัติที่จะยังความปราโมทย์ให้แก่ปวงบุคคลที่ เลื่อมใสได้เชื่อฟัง และทำให้บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายได้พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ความมืดแห่งราตรีกาลค่อย ๆ แผ่ไพศาลไปในบรรดาทุ่งทั้งหลายแห่งอินเดียราชธานี ณ กาลเมื่อพระจันทร์เพ็ญเต็มดวงแห่งเดือนจิตรมาส (ตรงกับปลายเดือนมีนาคมและต้นเดือนเมษายน)

คราเมื่อต้นมะม่วงเต็มไปด้วยผลอันสุกและพุ่มต้นอโศก (อะ แปลว่า ปราศจาก โศกะแปลว่าทุกข์ -เป็นชื่อต้นไม้อุทิศให้แก่พระศิวะ) ทั้งหลาย ส่งรสสุคนธ์ฟุ้งขจรไปตามพระพายซึ่งพัดมาอ่อน ๆ และวันที่จะกำหนดวันราชสมภพของพระรามก็ใกล้เข้ามาทุกที ตามชนบทและนิคมคามทั้งหลายกำลังปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ และความมืดแห่งราตรีนี้เองก็ปกคลุมไปเบื้องบน วิศรัมวัน (ป่าอันสงัดซึ่งพวกฤษีอยู่) ทีละน้อยพร้อมด้วยกลิ่นระเหยแห่งบุปผชาติ และพื้นเวหาเดียรดาษไปด้วยดาราสุดที่จะคณนานับ

ฝ่ายลมก็พัดเฉื่อยฉิวพาเอาความเยือกเย็นของหิมะแห่งยอดเขาหิมาลัยมา

เมื่อดวงจันทร์ปรากฏมา ณ เบื้องหลังผาด้านตะวันออกขจรมาตามวิถีทางเวหา ซึ่งเดียรดาษด้วยดวงดาว ทอดแสงมาต้องกระแสแหล่งลำน้ำโรหิณี และเหล่าเขินซอกเขาและทุ่งอันสงัดเงียบ และมาต้องเบื้องบนหลังคาแห่งปราสาทอันสันติสุข ดูขาวเป็นเงิน ซึ่งใคร ๆ ก็หลับกันสิ้นแล้ว เว้นแต่ยามเฝ้าประตูชั้นในซึ่งร้องขานยามว่า "มูทระ" แล้วก็มีเป็นคำตอบว่า อังคณะแล้วก็ตีกลองตามเวรดังขึ้นโดยรอบบริเวณครั้งหนึ่ง ฉะนั้นพื้นพระธรณีก็สงบเงียบวิเวกวังเวง คงมีแต่เสียงร้องของสุนัขจิ้งจอก (Jackal) ที่เร่ร่อน และเสียงจิ้งหรีดในอุทยานที่ร้องไม่หยุดหย่อน

พระจันทร์ส่องแสงไปต้องศิลาสลัก ทำความสว่างให้แก่ฝามุกและท้องพระโรงหินอ่อนลาย และทอดรัศมีสีทองค่อย ๆ เลื่อนไปสู่หมู่นางกำนัลอินเดียดูประดุจดังหมู่นางเทวี(เทพธิดา)ซึ่งอยู่ใน ห้องรโหฐานแห่งสรวงสวรรค์ นางงามชั้นพระสนมเอกทั้งปวงซึ่งล้วนแต่น่าเอ็นดูและภักดียิ่งแห่งพระราช สำนักได้เลือกสรรให้มาอยู่ร่วมกันที่ปราสาทของพระสิทธัตถราชกุมารทั้งสิ้น

เมื่อได้ยลลักษณะในเวลาปกตินิทราของเหล่านางทั้งหลาย ขณะนั้น แต่ละนางก็ล้วนน่าบูชาด้วยความสวาท ซึ่งท่านก็คงจะออกอุทานว่า "นางคนนี้เป็นไข่มุกของนางอื่นทั้งมวล" (ซึ่งหมายความว่า เมื่อได้เห็นแต่คนเดียวก็ว่านางนั้นงามกว่านางอื่นทั้งปวง) แต่เมื่อเหลือบไปเห็นนางที่ปรากฏอยู่ข้างขวาหรือข้างซ้ายของท่านแล้ว ท่านจะกลับใจว่านางนั้น ๆ งามยิ่งกว่าไปอีก และจักษุของท่านก็จะพร่าไปด้วยการที่ได้พบเห็นแต่งามแล้วงามเล่าประดุจดัง ว่าจักษุท่านต้องตะลึงพรึงเพริดด้วยได้เห็นเพชรนิลจินดาอันเดียรดาษของนาย ช่างทอง ล้วนแต่ละชิ้นก็มีแต่แสงแวววาวระยับ ซึ่งยังความพึงตาพอใจของท่านให้เปลี่ยนแปลงไม่รู้สิ้นสุด

นางเหล่านั้นนอนอย่างงามพริ้ง ปราศจากความระวังตัว อวัยวะอันงามก็วางอย่างได้ส่วน กายก็ห่มผ้าแต่เผยบางส่วนให้เห็นผิว เกษาอันเหลือบเป็นเงาก็มีปลอกทองคำหรือพวงมาลัยใส่ไว้มิให้สยายกระจายออก หรือมิฉะนั้นก็เกล้าไว้แนบสนิทติดอยู่กับต้นคออันงามยิ่ง ต่างนางต่างใฝ่ฝันในระหว่างนิทราอย่างสุขารมณ์ หลังจากการเหนื่อยละเลิงเล่น ต่างนางต่างนอน ในอาการประหนึ่งว่าเมื่อยล้า เหมือนนกสีงาม ๆ ซึ่งได้แต่ร้องและร่าเริงมาตลอดวัน แล้วก็ซ่อนซุกศีรษะของตนภายใต้ปีก นอนจนกระทั่งแสงอรุณปลุกให้ตื่น แล้งร่ำร้องละเลิงเล่นสนุกสนานไปใหม่อีก โคมเงินสลักเป็นลวดลายอันห้อยลง มาจากเพดานด้วยโซ่เงิน และเต็มไปด้วยน้ำมันหอม ส่องแสงสลับกันกับรัศมีของพระจันทร์ กระทำให้แลเห็นกายอันวิไลลักษณ์ของนางรุ่นกำดัดทั้งปวงได้ชัดเจน จนกระทั่งอุรประเทศอันนูนเด่น มือซึ่งทาขมิ้นก็แบหรือกำไว้ ดวงพักตร์อันงามขำด้วยคิ้วอันโค้งดุจคันธนู ริมโอษฐ์อันแย้มแต่น้อยเผยฟันงามดุจไข่มุกซึ่งนายช่างร้อยเป็นสร้อยศอ ขอบตาซึ่งปิดหลับอยู่นั้นดูแช่มช้อย ประกอบด้วยขนตาซึ่งเอนอ่อนลงมาทางแก้ม ข้อมือกลม เท้าอันเรียวผูกลูกพรวนและลูกปัดซึ่งทำให้มีเสียงดังเบา ๆ ในเมื่อนางที่นอนนั้น ๆ พลิกตัว และเสียงอันนั้นที่ทำให้นางฝันและชื่นชมว่าได้เต้นรำทำนองใหม่เป็นที่โปรด ปราน และพระสิทธัตถะพระราชทานแหวนวงหนึ่งให้แก่นางเป็นรางวัลด้วยความเสน่หา

บางแห่งบางนางก็นอนเอาปรางแนบข้างเคียงอยู่กับพิณและนิ้วอันเรียวก็ยังจรด อยู่กับสาย คล้ายกับว่าเมื่อนางได้ดีดพิณเพลงสุดท้าย เพื่อกล่อมให้บรรทมแล้วหลับไป บางนางก็นอนกอดกระจงแห่งทะเลทรายซึ่งมีศีรษะประดับด้วยโค้งเขาอันน่าดู นอนขดตัวอยู่ในวงแขน ประหนึ่งว่าอยู่ในรังอันอบอุ่นของมันก่อนหน้าที่นางและสัตว์น่ารักจะหลับลง นั้น เจ้าสัตว์น่ารักกำลังกินดอกกุหลาบสีแดงพึ่งหมดไป ยังเหลืออยู่อีกครึ่งดอก ดังนั้นเมื่อนางหลับแล้ว ดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่นั้นจึงยังกำลังอยู่ในมือของนาง และที่ริมฝีปากของสัตว์ก็ยังมีกลีบ ๆ หนึ่งติดอยู่ อีกด้านหนึ่งมีสองนางนอนเคียงกัน มีพวงมาลัยโมครา (ดอกไม้เถา มีตามป่าในอินเดีย) สองพวงผูกติดกัน แสดงว่าพึ่งได้ร้อยกรองมาแล้วด้วยกันทั้งสองพวง และผูกติดกันก็เพื่อแสดงว่ารักทั้งหายแล้วก็รักกันทั้งใจด้วย

นางหนึ่งนอนเหนือบุปผา อีกนางหนึ่งนอนอิงพิงเหนือเพื่อนของนาง ยังมีอีกนางหนึ่ง ก่อนที่จะนอนได้ร้อยจินดาเพื่อทำเป็นสร้อยคอ มีพลอย โมรา จินดา มุกและมณีรัตน์สายสร้อยสีเหลือบ แลเป็นเงาเปล่งปลั่งอยู่รอบข้อมือของนาง ส่วนในมืออีกข้างหนึ่งก็ยังกำจินดาเม็ดที่สุดซึ่งนางไม่ทันที่จะร้อยสร้อยคอ ให้แล้วเสียก่อนในนิทราคือมรกตเม็ดหนึ่ง ซึ่งเจียระไนเป็นเครื่องรางกันภัยและจารึกด้วยทองคำ

การที่ต่างพากันหลับไปหมดด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้ก็โดยความเพลิดเพลินฟังเสียงกระแสน้ำไหลของลำธารแห่งอุทยาน เฉกเช่นดอกกุหลาบแรกแย้มกลีบคอยแสงอรุณเพื่อบุชาความงามให้แก่แสงสว่างใน เวลาเช้าตรู่ นี่คือสภาพซึ่งปรากฏในห้องระโหฐานของพระสิทธัตถะ แต่ที่ใกล้กับม่านกั้นห้องบรรทมนั้น มีนางงามที่สุดนอนอยู่ คือคุงคะ และโคตมี ผู้ทรงตำแหน่งชั้นเอกอยู่ในพระราชฐาน อันเต็มไปด้วยความเสน่หาและความสงบ

ปุร์ดาห์ (ม่าน) ที่กั้นนั้นมีสีแดงเข้มและสีน้ำเงินปักทองกั้นอยู่ ณ ประตูไม้หอมสลักเป็นลวดลาย มีบาทวิถี 3 ทางเชื่อมต่อกันไปสู่ห้องอันงามวิจิตร ซึ่งมีพระยี่ภู่ลาดอยู่เหนือพระแท่นหุ้มด้วยพรมไหมเงิน อันกระทำให้รู้สึกนิ่มพระบาท ประดุจเหยียบย่ำบนเบาะที่ยัดด้วยดอกนิ่ม (ดอกสะเดา) ฝาทุกด้านล้วนแต่ประดับไข่มุกซึ่งมาจากละลอกแห่งลังกาทวีป(ชื่อเก่าของเกาะ ซีลอน) และเบื้องบนแห่งเพดานหินอ่อนสลักเป็นลวดลายเงาระยับจับตาเป็นกระจับ เป็นดอกบัวและเป็นนก โดยรอบยอดมณฑป ณ ฝาและ ณ บนกรอบลายจำหลักซึ่งเมื่อยามดวงจันทร์ส่องแสงและลมพัดมาเฉื่อย ๆ ดอกจำปาและมะลิก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรมา แต่ก็ไม่มีความงามและความชวนเสน่ห์อันไพบูลย์ อยู่ในความทรงสถิตของพระสิทธัตถะเจ้าแห่งศากิยะ และพระนางศรียโสธราผู้งามประโลม ณ ที่นี้

ลำดับนี้ พระราชเทวีหมอบอยู่ข้างพระสิทัตถะปล่อยให้ผ้าสไบ (ซูดา) ตกลงมาอยู่บั้นพระองค์ พระหัตถ์กุมพระนลาฏอยุ่ พลางก้มพระพักตร์ถอนพระทัยกันแสง มีอัสสุชลไหลหลั่งอยู่ริน ๆ พระนางจุมพิตพระหัตถ์พระสิทธัตถะ 3 ครั้งแล้วสะอื้น ทูลว่า

"ทรงตื่นเถิดเพคะ พระทูลกระหม่อม จงรับสั่งให้หม่อมฉันได้เบาใจด้วยเถิด" พระสิทธัตถะจึงตรัสถามว่า
"เธอเป็นอะไรไปหรือยอดรัก" แต่พระนางก็ยังคงสะอื้นสะอื้นจนอัดอั้น แล้วจึงทูลว่า

"โธ่เอ๋ย ทูลกระหม่อม หม่อมฉันได้นอนหลับเป็นสุขอย่างสนิทมาแล้ว เพราะเหตุว่าพระราชโอรสของพระองค์ซึ่งอยู่ในคัพโภทรได้แสดงอาการดิ้น อันเป็นเหตุทำให้ดวงใจหม่อมฉันตื่นเต้นผิดปกติ ทั้งดุริยางค์ก็กระทำความไพเราะให้แก่หม่อมฉันด้วยความสันติสุขและความ ปฏิพัทธ์ แต่ช่างกระไรหนอ พอหม่อมฉันหลับไปก็ให้บังเกิดสุบินนิมตเป็นลางร้าย 3 อย่าง ซึ่งกระทำให้ความคิดของหม่อมฉันเกิดความกลัวขึ้นภายในดวงจิต

ในสุบินนิมิตว่า หม่อมฉันเห็นวัวกระทิงขาวเขาใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าแห่งท้องทุ่งผ่านมาตามถนน ตรงหน้าผากมีนิลจินดาอันแวววับเหมือนดวงดารา หรือแก้วกัณฐรัตนะซึ่งมีพระยางู (ตามความเชื่อถือของพวก ฮินดู ว่าในใต้พิภพนี้มีงูใหญ่มหึมาอยู่ตัวหนึ่งในบริเวณตำบลดัลฮี เวลานี้มีเสาเหล็กยาว 50 ฟิตปักอยู่เสาหนึ่ง เสาเหล็กนี้มีตำนานว่า เมื่อ 3 หรือ 4 ร้อยปี ก่อนคริสตศักราช มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าธวะ (Dhava) เป็นผู้เอาเหล็กท่อนนี้แทงงูใหญ่นั้น จึงปักอยู่เป็นเสาเหล็กอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้) เฝ้า เพื่อเปล่งรัศมีในบาดาลให้มีแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ วัวนั้นค่อย ๆ เดินไปตามถนน มุ่งตรงมาสู่ประตู ไม่มีผู้ใดมาสามารถจับได้ แม้แต่มีเสียงมาจากอินทราวิหารร้องว่า "ถ้าไม่จับ ก็นับว่าความไพบูลย์ของพระราชธานีจะต้องรับความหายนะ" ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครจับได้ ครั้นแล้วหม่อมฉันก็ร้องไห้ ร้องพลางโอบคอโคนั้นด้วยแขนทั้งคู่อย่างสุดแรงเกิด แล้วหม่อมฉันสั่งให้เขากั้นประตู แต่พระยาโคนั้นร้อง และสะบัดศีรษะอันเบิ่งอย่างคล่องแคล่วหลุดจากแขนของหม่อมฉันไป และโลดโผนไปที่เครื่องกีดกั้น วิ่งผ่านกองรักษาไปได้นี้เรื่องหนึ่ง

อีกเรื่องหนึ่งเป็นความฝันซึ่งปรากฏว่า มีเทวดา 4 องค์ มีดวงเนตรแวววับงามยิ่งเหมือนหนึ่งเป็นจตุโลกบาล ซึ่งสถิตอยู่บนภูเขาพระสุเมรุ ลอยเปล่งปลั่งอยู่เบื้องฟ้า ณ ท่ามกลางหมู่เทวดาเป็นอันมากซึ่งเป็นบริวารแห่แหน แล้วเหาะลงมาสู่กำแพงพระนครของเรา จนหม่อมฉันได้เห็นธงทิวของพระอินทร์ปลิวไสวเหนือประตูแล้วตกลงมา ในทันใดนั้นก็มีธงหนึ่งปลิวไสวรุ่งโรจน์สลัดชายประดุจไฟมีรัศมีแจ่มจรัสด้วย พลอยทับทิม อันประดับติดอยู่กับลวดเงิน ประจักษ์ให้เห็นเป็นถ้อยคำและประโยคซึ่งจะทำให้ธรรมชาติทั้งหลายมีความสุข ฝ่ายข้างทิศบูรพาก็มีลมแห่งอรุโณทัยซึ่งคลี่ธงแวววับให้กางออกเต็มที่ เพื่อที่ทุกคนจะได้อ่านทั่วกัน แล้วมีบุปผชาติอันวิเศษซึ่งเก็บมาจากประเทศใดก็ไม่ทราบเกล้าฯ มีสีแปลกประหลาดกว่าที่ของเรามีอยู่ ตกลงมาสู่พื้นลานของเราดุจพิรุณ"

เมื่อพระนางได้ทูลถวายซึ่งสุบินนิมิตของพระนางดังนั้นแล้วพระสิทธัตถะจึง ตรัสว่า "แม่ยอดที่รักดุจปทุมมาลย์ สิ่งที่เธอฝันทั้งหลายเหล่านั้นก็ล้วนแต่ดีควรเป็นที่ปลื้มใจทั้งสิ้น"

"แต่นั้นแหละเพคะ ทูลกระหม่อม หม่อมฉันยังหนักใจมาก" พระนางทูลสนองต่อไปว่า "แล้วต่อจากนั้นมาอีก หม่อมฉันก็ได้ยินเสียงอย่างน่าอนาถร้องว่า "เวลาใกล้เข้ามาแล้ว เวลาใกล้เข้ามาแล้ว" ครั้นแล้วสุบินตอนที่ 3 ก็มาปรากฏแก่หม่อมฉันอีกต่อไปคือว่า ในเวลาซึ่งหม่อมฉันอยากจะแตะต้องพระวรกายของพระองค์ หม่อมฉันก็เห็นแต่พระเขนยซึ่งยังไม่ได้อิงและฉลองพระองค์อันว่างเปล่าอยู่บน พระที่บรรทมเท่านั้น

ฝ่ายพระองค์ พระองค์ผู้เป็นประทีป เป็นดวงชีพ เป็นพระราชา เป็นโลกของหม่อมฉันนี้หาเห็นไม่ และในยามที่กำลังบรรทมหลับอยู่นั่นเองหม่อมฉันก็ลุกขึ้น แล้วเหลือบแลไปเห็นรัดพระองค์ ไข่มุกของพระองค์ยังอยู่รอบอุทรของหม่อมฉัน แต่รัดพระองค์นั้นกลายเป็นงู และขบกัดหม่อมฉัน กำไลที่สวมข้อเท้าหม่อมฉันก็ตก ธำมรงค์ก็หักสะบั้น พวงมะลิซึ่งพันรอบเกศาของหม่อมฉันก็ขาดป่นเป็นละอองธุลี คลุมบรรทมก็ยุ่งเหยิงกระจุกกระจุย และปุร์ดาห์(ม่าน)สีแดงเข้มก็ขาด ครั้นแล้วหม่อมฉันก็ได้ยินวัวกระทิงขาวร้องจากที่ไกล และ ณ ที่ไกลนั้นมีธงปักปลิวไสว แล้วเสียงร้องอันน่าอนาถนั้นก็ก้องปรากฏขึ้นอีกว่า "เวลาลุล่วงมาแล้ว" โดยเหตุที่ดวงใจของหม่อมฉันหวาดเสียวต่อเสียงนั้น หม่อมฉันก็ตื่นขึ้น "โอ! ทูลกระหม่อม สุบินเหล่านี้แปลความว่ากระไร หากไม่แปลว่า หม่อมฉันจะต้องถึงซึ่งความมรณะ ก็มิแปลว่าพระองค์จะต้องพรากจากหม่อมฉันซึ่งร้ายเสียยิ่งกว่าความมรณะอย่าง หนึ่งอย่างใดเสียอีกอย่างนั้นหรือเพคะ"

พระสิทธัตถะทอดพระเนตรไปที่พระนางผู้เป็นเทวีซึ่งกำลังมีอาการตระหนกตก พระทัยด้วยแววพระเนตรอันกอปรไปด้วยเมตตา ประดุจแสงอาทิตย์ที่จวนจะอัสดงคต แล้วตรัสว่า "จงบรรเทาทุกข์เสียเถิดยอดรัก หากว่าความบรรเทาของเธอย่อมเป็นไปได้โดยอำนาจของความรักซึ่งไม่แปรปรวน! เพราะถึงแม้ว่าความฝันจะเป็นเหมือนดังบูรพนิมิตของสิ่งที่จะมีมาก็ตาม และถึงแม้ปวงเทพเจ้าจะต้องไหวหวั่นร้อนอาสน์และโลกจะตื่นเพราะต้องการผู้ ช่วยเหลือ หรือจะมีอันเป็นอย่างไรในเราทั้งสองนี้ก็ดี ก็ขอเธอจงมั่นใจเถิดว่าฉันได้รักและยังคงรักยโสธราเสมอ"

เธอย่อมรู้อยู่แล้วว่าตั้งแต่หลายต่อหลายเดือนมาแล้ว ฉันมีความคิดอยากจะช่วยโลกอันแร้นแค้น ซึ่งฉันได้เห็นให้พ้นทุกข์ และเมื่อถึงกาลกำหนดที่ต้องช่วยก็จะช่วยเสียให้เสร็จ แต่ถ้าวิญญาณของฉันเศร้าสลดลงสำหรับประโยชน์แก่วิญญาณผู้อื่นที่ฉันไม่ รู้จัก และหากฉันทรมานสำหรับประโยชน์แห่งทุกข์ซึ่งไม่ใช่เป็นทุกข์ของฉันเอง

เธอจงพิจารณาดูเถิดว่า ความคิดอันลอยลิ่วของฉันช่างล่องลอยอยู่เหนือสัตว์โลกทั้งปวงนั้นเพียงใด แล้วก็ทำให้ฉันต้องการมีส่วนทุกข์สุขด้วย เพราฉันรู้สึกว่าทุกรูปทุกนาม ล้วนแต่เป็นที่รักของฉันทั้งสิ้น ฝ่ายเธอนั้นเล่า ดวงวิญญาณของเธอก็เป็นที่รักยิ่งของฉัน งามยิ่ง ดียิ่งของฉัน อีกทั้งใกล้ชิดยิ่งกับดวงใจของฉันด้วย อา! เธอผู้ซึ่งเป็นมารดาแห่งลูกชายของฉัน เธอซึ่งกายได้ร่วมกับกายฉันเพื่อทำให้เกิดความหวังอันนี้ ดวงจิตของฉันเร่ร่อนเหนือแผ่นดินและทะเลทั้งหลายโดยเต็มเปี่ยมไปด้วยความ เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายอย่างแก่กล้า ดุจนกพิราบซึ่งบินเร็วเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักในไข่ของมันและทุก ๆ ครั้ง มันก็กลับมาสู่รังด้วยปีกซึ่งกระพือด้วยความยินดี และขนซึ่งกระจุกกระจุยเพราะความรัก คืนมาสู่เธอซึ่งงามยิ่งในมนุษยชาติ อย่างเดียวกับฉัน บริสุทธิ์ยิ่ง อ่อนหวานยิ่ง และซึ่งเป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าสิ่งอื่น ๆ ทั้งปวง

อนึ่งถึงแม้ว่าต่อไปจะมีอะไรมาเป็นขึ้นแก่เรา ขอเธอจงระลึกถึงวัวกระทิงที่ร้อง ธงที่ประดับนิลจินดาซึ่งในฝันของเธอปรากฏว่าปลิวไสวนั้นเถิด แล้วจงมั่นใจเถิดว่า ฉันเคยได้รักเธออยู่เสมอ และฉันยังรักเธออยู่เสมออีก ฉะนั้นสิ่งใดซึ่งฉันแสวงหาสำหรับคนอื่น ฉันก็แสวงหาให้เธอนั่นแหละมากกว่าผู้อื่น แต่ยอดรักจงบรรเทาทุกข์นั้นเสียเถิด โดยนึกว่าในแผ่นดินนี้จะถึงแล้วซึ่งความสันติสุข เพราะความทรมานของเรา แล้วจึงรับเอาสิ่งทั้งปวงซึ่งความรักบริสุทธิ์พยายามแสดงให้ปรากฏว่ายินดี และต้องการอำนวยอวยพรให้จากวงแขนของฉันไปเถิด "จริงอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เล็กน้อย เพราะกำลังของความรักก็อ่อนแอมาก จงจุมพิตที่โอษฐ์ แล้วก็เพราะฉันรักเธอยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายซึ่งฉันก็รักอย่างลึกซึ้ง อยู่แล้ว บัดนี้เธอจงอยู่ที่นี่เถิดนะ แม่ยอดรัก! เพราะฉันอยากจะตื่นแล้ว"

ดังนั้น พระนางก็บรรทมต่อไป แต่หลับไปด้วยความใคร่ครวญในสุบิน เพราะพอพระนางหลับก็ได้ยินเสียงร้องอีกว่า "กาลเวลาได้มาถึงแล้ว!" ฝ่ายพระสิทธัตถะเมื่อ ผินพระพักตร์จากพระนางก็ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์กำลังส่องแสงโดยลักษณะอย่าง ดาวหาง และดวงดาราแสงเงินทั้งหลายรายเรียงอยู่ดังได้ทำนายกันแต่บรมโบราณมาแล้ว, ขณะนั้นพระองค์ก็ได้ยินเสียงรำพันว่า

"นี่คือราตรีกาล จะเลือกวิถีทางอานุภาพหรือทางแห่งความเมตตา จะเลือกเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชหรือจะจาริกไปโดดเดี่ยว โดยปราศจากมงกุฎและที่พักอาศัยเพื่อช่วยโลกพ้นทุกข์" ครั้นแล้วก็มีเสียงกระพือตามลมมาสัมผัสพระโสตของพระองค์ เป็นเสียงรำพันของปวงเทพดาทั้งหลาย ซึ่งต้องการวิงวอนต่อพระองค์ให้ช่วยทุกข์สัตว์โลกทั้งหลาย เพราะในยามซึ่งพระองค์ชมเวหาอันแจ่มจรัสอยู่นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระองค์จะไม่ทรงถูกแวดล้อมและระแวดระวังไปด้วยหมู่เทพเจ้าทั้งหลาย

"ฉันอยากไปแล้ว" พระองค์ตรัส "กาลเวลาได้มาถึงแล้ว!" ริมโอษฐ์อันนิ่มนวลของเธอนั้นน่ะ แม่เทวีผู้หลับใหลที่รักบังคับให้ฉันประพฤติในทางที่ต้องช่วยมนุษยโลกให้พ้น ทุกข์ แต่เราจะต้องพรากจากกัน และภายในความเงียบแห่งเวหาอันนี้ ฉันอ่านดูความเป็นไปของฉันด้วยอักษรอันแวววับ ฉันได้บรรลุถึงซึ่งผลที่สุดแห่งวิถีทาง ซึ่งฉันเดินมาหลายวันและหลายคืนนั้นแล้ว เพราะฉันไม่ต้องการมงกุฎมรกตของฉัน และฉันไม่ยอมรับราชอาณาจักรทั้งปวงซึ่งคอยให้ฉันปกครองด้วยคมดาบของฉัน รถของเราจะไม่หมุนไปโดยล้อซึ่งอาบเลือด โดยมีชัยชนะแล้วมีชัยชนะอีก ประหนึ่งว่าพื้นแผ่นดินนี้มีนามของฉันไว้เป็นที่ระลึกด้วยเลือดสีแดง ๆ ติดอยู่

เราพอใจพยายามจะเดินไปตามทางทั้งปวงด้วยเท้าอันบริสุทธิ์ของเรา โดยใช้ฝุ่นธุลีที่เป็นที่นอนและความสันโดษแห่งสถานที่เหล่านั้นเป็นที่อาศัย ของเรา แล้วเอาสิ่งที่ไม่มีค่าเสียเลยเป็นเพื่อน ไม่มีเสื้ออื่นนอกจากเศษผ้าที่หยาบ ไม่มีอาหารอะไรอื่นนอกจากอาหารซึ่งคนใจบุญทำทานให้ ไม่มีที่ร่มอะไรนอกจากถ้ำหรือร่มสาขาของไพรพฤกษ์

นี่แหละสิ่งซึ่งพึงประสงค์ของฉัน เพราะสรรพเสียงอันอนาถของชีวิต และของสัตว์โลกซึ่งมีชีวิตทั้งปวง ได้แล่นเข้าสู่โสตประสาทของฉันแล้ว และเพราะว่าดวงวิญญาณของฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารแก่ความแร้นแค้นของโลก ซึ่งฉันจะช่วยให้พ้นทุกข์ หากฉันอาจจะช่วยได้ โดยยอมสละเสียซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ๆ เด็ดขาด และกล้าต่อสู้อย่างจริงจัง

เพราะเทพเจ้าองค์ใดเล่า จะเล็กก็ดีหรือใหญ่ก็ดีจะมีสิทธิและความเมตตากรุณาบ้าง ใครบ้างมองเห็นเทพเจ้าเหล่านั้น เทพเจ้าเหล่านั้นได้ทำอะไรบ้างเพื่อช่วยปวงสัตว์โลกทั้งหลายที่เคารพบูชา ท่าน เทพเจ้าได้ทำประโยชน์อะไรตอบแทนแก่มนุษย์ซึ่งสรรเสริญวิงวอน เซ่นสรวงด้วยธัญญาหารและน้ำมัน โดยขับร้องด้วยบทกลอนอันเป็นพระเวท ทำการบูชายัญด้วยสัตว์ที่ร้องและดิ้นรน ทำศาลอันงามตระการตาถวายเกื้อหนุนนักบวชและอ้อนวอนวิษณุ ศิวะ สุริยะซึ่งไม่เห็นได้ช่วยใครเลย จนแม้แต่คนที่ควรช่วยที่สุดให้พ้นจากทุกข์ซึ่งพรรณนาในคำสรรเสริญเยินยอและ เคารพด้วยความเกรงกลัวทวีขึ้น ๆ ทุกวัน เหมือนควันอันปราศจากค่า เพื่อนมนุษย์ของฉันคนใดบ้างซึ่งอาศัยคำสวดมนต์สรรเสริญแล้วก็พ้นจากความ ทรมานในความเป็นอยู่

ความลำบากอันขมขื่นในความประสงค์ และในความสูญหายสิ่งของที่ตนรัก จากไข้อันเร่าร้อนซึ่งทำให้หวาดหวั่นจากความชราภาพที่ค่อย ๆ ย่องมาพ้องพาน แล้วทำการอันธการให้แก่ความผิดและรูปกาย จากความตายอันขมุกขมัวอันน่าพึงสยอง และจากสิ่งซึ่งจะต้องเป็นไปตามเวลาของวัฏสงสาร แล้วไปเกิดใหม่ในทุกข์ ในความต้องการใหม่อีกซึ่งวนเวียนอยู่ไม่รู้จักสิ้นนั้น พี่สาวหรือน้องสาวของเราคนใดบ้างซึ่งได้รับผลแห่งการถือบวชอดอาหาร หรือการที่ร้องเพลงสรรเสริญบ้าง การที่ถวายนมข้นขาวและใบตุลสี (กะเพรา) นั้น กระทำให้เทพเจ้าองค์ใดบ้างช่วยให้รอดพ้นจากการเจ็บปวดในยามเมื่อคลอดบุตร เปล่าเลย! อาจมีบ้าง เทพเจ้าที่ดี และเทพเจ้าที่ไม่ดี แต่ถึงมีดีไม่ดีก็ล้วนแต่อ่อนแอมากจนไม่สามารถที่จะทำความช่วยเหลืออะไรได้

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2559 19:11:47 »



เทพเจ้าเหล่านี้มีทั้งความเมตตาและความทารุณดุร้าย และตกอยู่ในวัฏสงสารแห่งความเปลี่ยนแปลง แล้วผ่านไปสู่ความเกิดความเป็นอยู่ต่อ ๆ ไป อีกเป็นลำดับ เหมือนมนุษย์ทั้งปวง เพราะตามซึ่งพระคัมภีร์ได้กล่าวสั่งสอนไว้นั้นก็ดูเหมือนการถูกต้องแล้ว คือ พอชีวิตเริ่มอุบัติขึ้น จะมีเดิมกำเนิดและมูลเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ดำเนินตามชะตาราสีแห่งความเป็นอยู่ของตน

นับแต่ปรมาณูมาเป็นแมลง หนอน สัตว์เลื้อยคลานมาเป็นมัจฉาชาติ เป็นนก เป็นสัตว์ที่มีขน แล้วก็เป็นมนุษย์ เป็นปิศาจ เป็นเทวดา แล้วเป็นเทพเจ้า ครั้นแล้วก็จุติมาเกิดบนแผ่นดินใหม่อีก จนกระทั่งถึงปรมาณู เมื่อเป็นดังนี้เราทั้งหลายเหล่านี้ก็นับว่าเป็นญาติกันกับสิ่งทั้งหลายทั้ง ปวงในโลกนี้ทั้งสิ้น หากว่าใครสามารถช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความหมุนเวียนแห่งวัฏสงสารได้แล้ว โลกอันกว้างนี้ก็จะถึงซึ่งความรอบรู้ในเหตุอันพึงกระทำให้ตนรู้จักความสว่าง ความจริงแห่งความโง่เขลา มีความกลัวซึ่งปราศจากเสียงเป็นเงา ความเหี้ยมโหดเป็นผลร้ายแห่งกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป นั่นแหละหากใครสามารถช่วยโลกให้พ้นทุกข์ได้จริงแล้ว

วิธีที่จะช่วยนั้นต้องมีอยู่ในโลกนี้แน่นอน! โลกนี้ต้องมีที่พึ่ง! มนุษย์ตายโดยเหตุที่เยือกเย็นเพราะอำนาจของลม จนกระทั่งต่อเมื่อมีผู้สามารถตีหินให้เป็นประกาย ลูกไปแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งอบอุ่น ศิลาซึ่งเย็น มนุษย์กินเนื้อกันเอง จนกระทั่งต่อเมื่อมีผู้รู้จักเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งเดิมงอกขึ้นเหมือนหญ้าและ เดี๋ยวนี้เป็นอาหารซึ่งเลี้ยงชีวิตมนุษย์ได้ ต่างคนต่างทำท่าทางและออกเสียงละล่ำละลัก จนกระทั่งกลายเป็นมีผู้ประดิษฐ์ให้มีศัพท์มีภาษาคำพูดมากขึ้น และนิ้วมือก็สามารถขีดเขียนลายลักษณ์อักษรได้ เป็นบำเหน็จอะไรหนอที่พี่น้องของเราทั้งหลายได้รับมาโดยอาศัยความค้นคว้า

การต่อสู้และการพลีซึ่งเป็นเพราะความรัก? หากมนุษย์มีอานุภาพและเคราะห์ดีสมบูรณ์พูนผล มีความสุขและมีความสบาย เกิดมาก็มีผู้แต่งตั้งให้สืบราชสมบัติ ถ้าตนต้องการราชสมบัตินั้น และเป็นจักรพรรดิราช หากมนุษย์คนใดไม่แก่ชราเพราะกรากกรำฉนำกาลที่ทวีมากขึ้น แต่ตั้งแต่ปฏิสนธิแห่งชีวิตของตนก็มีแต่ความสุขสบาย ถึงกระนั้นก็ยังไม่จุใจในรสแห่งกาม ยังคงใคร่และปรารถนาอยู่เสมอ

ถ้าหากผู้ใดไม่รู้จักท้อถอยเนื้อเหี่ยวด้วยความชรา และเป็นปราชญ์ผู้ที่มองเห็นทุกข์แต่ก็มีสุขใจในบุญและความเมตตา ซึ่งปะปนอยู่กับความชั่วทั้งปวงในใต้หล้านี้ และมีอิสระที่จะเลือกตามชอบใจในสิ่งใดที่น่ารักยิ่งในโลกนี้ คือเลือกสัตวโลกอันหนึ่งดังตัวเราที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ โดยปราศจากความเศร้าโศก ความต้องการ ทรมานแต่ในความทรมานของผู้อื่น เว้นแต่ความทรมานด้วยเหตุที่เป็นมนุษย์ ถ้าสัตวโลกใดก็ตามมีอะไรต่อมิอะไรที่จะให้แล้ว ให้เพราะมีความรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็พลีจนแม้แต่ชีวิตของตนเพื่อค้นคว้าหาความจริงสำหรับล่วงรู้ความลับ แห่งการช่วยเหลือสัตวโลกให้พ้นทุกข์ โดยความลับนั้นซ่อนอยู่ในขุมนรก หรือในสวรรค์ หรืออยู่ใกล้เราแต่เราไม่รู้ไม่เห็นก็ตาม ในหัวใจของสิ่งใด ๆ ก็ตาม

ในที่สุด เมื่อได้พยายามนาน ๆ ไป เราแน่ใจว่า สิ่งที่เป็นฉากป้องปิดความลับต้องเผยให้ปรากฏแก่ตาของมนุษย์ซึ่งคลำอยู่ใน ความมืด และวิถีทางเดินก็จะเผยออก ณ เบื้องเท้าอันเจ็บปวด แล้วคงจะถึงซึ่งผลที่หวังในขณะเมื่อตนสละความเป็นอยู่ของโลกนี้ อีกทั้งความตายก็จะได้พบผู้ที่มีอำนาจเหนือมัน นี่แหละเป็นสิ่งที่เราเอง ผู้มีราชอาณาจักรที่ต้องสละทิ้ง จะเป็นผู้กระทำ เราอยากทำก็เพราะเรารักราชอาณาจักรของเรา เพราะใจเราเต้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจของผู้ซึ่งทรมาน จะเป็นผู้ที่รู้จักก็ดีหรือไม่รู้จักก็ดี สัตวโลกซึ่งอักโขผู้เป็นของเรา หรือซึ่งต่อไปจะกลายเป็นของเรา และจะได้รับความช่วยเหลือให้พ้นจากกองทุกข์โดยการสละเสียซึ่งเรายอมประพฤติ ให้เขาบัดนี้

โอ! ดาราซึ่งเป็นเครื่องแนะนำเรา เรายอมนำตนไปประพฤติแล้ว! โอ! ธรณีอันเศร้าหมอง สำหรับเจ้าและสิ่งซึ่งอยู่เหนือทรวงของเจ้า เรายอมสละความหนุ่มแน่นของเรา ราชบัลลังก์ของเรา ความสนุกร่าเริง ทั้งทิวาอันรุ่งโรจน์ และราตรีอันสุขของเรา พระราชวังอันเกษมศานต์ของเรา และจากวงแขนของพระนาง แม่กัลยาณีผู้เป็นเทวีสุดสวาทของเรา ซึ่งเรายังอาลัยยิ่งในการที่พรากไปยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวง! แต่เธอนี้ก็เหมือนกัน เราต้องช่วยเธอ พร้อมกันกับที่ช่วยโลก และผู้ที่ซึ่งดิ้นรนอยู่ในคัพโภทรของเธอ คือลูกของเรา บุปผาที่ซ่อนซึ่งเกิดขึ้นเพราะความปฏิพัทธ์ของเรา ซึ่งทำให้ท้อต่อความตกลงใจของเรา ถ้าเรายังรอเพื่ออวยพรเขา "โอ! แม่เทวีที่รักของฉัน! ลูกของฉัน! พระราชบิดาของฉัน! อาณาประชาราษฎรของฉัน! ท่านจำเป็นต้องอดรนทนโศกาลัยไปพักหนึ่งก่อน เพื่อประทีปจะได้โชติช่วงชัชวาลขึ้นแล้ว สัตวโลกทั้งหลายก็ตะได้เรียนธรรมวินัย บัดนี้ฉันได้ตกลงใจแล้ว ฉันจะออกเดินทาง และจะไม่กลับก่อนกาลที่ฉันได้พบสิ่งที่ฉันค้นมานั้นแล้ว หากว่าการค้นหาย่อมเป็นไปด้วยศรัทธาและความพยายามของฉันจะสามารถสำเร็จได้"

ครั้นแล้วพระองค์ก็ทอดสายพระเนตรแห่งการร่ำลาอย่างสุดแสนอาลัยไปสู่ดวง พักตร์ของพระนางซึ่งกำลังหลับอันยังชุ่มโชกอยู่ด้วยพระอัสสุชลซึ่งทรงกันแสง แล้วพระองค์ก็ค่อย ๆ วัดเฉวียนเวียนรอบที่บรรทม 3 ครั้ง โดยความเคารพประหนึ่งว่าเคารพต่อพระแท่น พลางประณมพระหัตถ์เหนือหทัยซึ่งปั่นป่วน "ไม่มีวันที่เราจะได้มานอนที่นี่อีกแล้ว" พระองค์ตรัสแก่พระองค์เอง แล้วพระองค์ก็อยากจะเสด็จออกไปถึง 3 ครั้ง แต่ทั้ง 3 ครั้งนั้นเอง พระองค์ก็ต้องเสด็จกลับ ทั้งนี้เพราะความงามของพระนางยโสธรานั้นยอดยิ่ง และความรักของพระองค์ซึ่งมีอยู่แก่พระนางก็เหลือล้น จนพระองค์ต้องเอาฉลองพระองค์คลุมพระเศียรแล้วกลับดำเนินเปิดม่านเสด็จออกไป

เมื่อเสด็จออกมาแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นนางสาวสนมทั้งปวงกำลังนอนหลับอยู่ เดียรดาษประดุจดอกปทุมชาติที่นิ่งอยู่เหนือน้ำมีนางคุงคะและโคตมีทั้งสอง ซึ่งประหนึ่งดอกปทุมฝาแฝดที่พึ่งแย้มกลีบนอนอยู่ข้างเคียงนางอื่น ๆ ที่เป็นคล้าย ๆ ใบอันเขียวชอุ่มน่าเอ็นดู เมื่อทอดพระเนตรเห็น พระองค์จึงตรัสว่า

"เจ้าสวยมากทีเดียว นางสุดสวาททั้งหลาย กระทำให้เราพรากจากเจ้าไปได้ยากเสียนี่กระไร แต่ถ้าเราไม่พรากจากเจ้าซึ่งไม่มียาแก้และความมรณะซึ่งหลีกไม่พ้นไม่มีพ้น ด้วยกันทั้งสิ้น แม้เจ้าทั้งหลายนี้มีการหลับเป็นการพักผ่อนก็ดี แต่เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี ก็เมื่อดอกกุหลาบคายแล้ว รสกลิ่นและความงามไปอยู่ที่ไหนหนอ? เมื่อตะเกียงดับแล้ว เปลวไฟไปอยู่เสียที่ไหน?

"โอ! ในราตรีนี้จงดลความหนักให้แก่หนังตาและตรึงตราริมฝีปากของเขาเหล่านี้ด้วย เพื่ออย่าให้มีการร้องไห้ มีเสียงแสดงอาลัยโดยภักดีมายับยั้งการออกเดินทางของเราได้ เพราะถ้าบรรดานางสาวศรีเหล่านี้ยิ่งกระทำความสำราญให้แก่ชนมชีพของเรามาก ขึ้นตราบใด ความขื่นขมก็จะยิ่งมีอยู่ในใจที่จะให้เห็นไปว่า เขา(คือสตรีทั้งหลายเหล่านี้) กับตัวเราเองอีกทั้งธรรมชาติอื่น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดำรงอยู่ในชนมชีพของตน เหมือนต้นไม้ซึ่งเกิดขึ้นในฤดูอบอุ่นกรากกรำฝน หิมะและความหนาว แล้วก็เต็มไปด้วยใบที่ตาย เพื่อเกิดใหม่ซึ่งบางทีจะเกิดในฤดูอบอุ่นหน้านั้นอีก หรือมิฉะนั้นก็ถูกตัดด้วยคมแห่งขวานเสียดังนี้ก็มี

เราไม่ต้องการให้เป็นดังนี้ เราซึ่งมีชนมชีพอยู่ในมนุษยโลกนี้ เป็นชนมชีพแห่งเทพเจ้า! เราไม่ต้องการเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลาที่มุนุษย์ยังคร่ำครวญอยู่ในความมืด ฉะนั้น ลาก่อนนะมิ่งมิตรทั้งหลาย! ในระหว่างที่ชีวิตของเรายังทำประโยชน์ได้ เราก็ทำ เราจึงไปเพื่อแสวงหาทางที่จะช่วยเหลือให้พ้นทุกขเวทนา และหาความสว่างที่ยังไม่ปรากฏ ณ บัดนี้"

ครั้นแล้วพระสิทธัตถะก็ค่อย ๆ เสด็จผ่านมาในท่ามกลางแห่งสตรีสาวทั้งปวงซึ่งกำลังหลับ เมื่อพ้นแล้วก็มาบรรลุถึงในท่ามกลางแห่งราตรีกาล ซึ่งมีดวงตา คอดาราแจ่มจรัสทั้งหลายมองดูพระองค์ด้วยความรัก และลมก็โชยเฉื่อยฉิวมาต้องชายฉลองพระองค์อยู่ไหว ๆ ปวงบุปผชาติซึ่งจีบกลีบในยามทิวาวารก็แย้มกลีบนั้นออกเพื่อส่งกลิ่นหอมด้วย เกสรสีกุหลาบและแดงเข้ม ณ ทุ่ง ตั้งแต่ภูเขาหิมาลัย จนกระทั่งถึงทะเลแห่งประเทศอินเดียก็ให้บังเกิดความสะเทือนเหมือนหนึ่งว่า ดวงวิญญาณของแม่พระธรณีสนั่นหวั่นไหว โดยมีหวังในสิ่งอะไรอย่างหนึ่งซึ่งยังไม่ปรากฏ อนึ่งพระคัมภีร์ซึ่งพรรณนาพระประวัติของพระพุทธเจ้าของเรายังกล่าวอีกว่า มีเทพดุริยางค์บรรเลงทางทิศตะวันออกและตะวันตก โดยหมู่เทวดาซึ่งเปล่งปลั่งด้วยรัศมี ทำให้ราตรีกาลและเวหามีแสงสว่าง และชื่นบานทั้งทิศเหนือและทิศใต้

ยิ่งกว่านั้น ท้าวจตุโลกบาลก็เรียงเป็นแนวแถวละสองลงมาสู่พระทวารแห่งพระราชวัง พร้อมด้วยหมู่ทวยเทพอันเปล่งปลั่งซึ่งมนุษย์แลไม่เห็น มีอาวุธ คือ นิล เงิน ทองและไข่มุก ประณมมือ ชุ่มชื่นด้วยองค์พระสิทธัตถะราชกุมารแห่งอินเดีย ซึ่งพระเนตรชุ่มโชกไปด้วยพระอัสสุชล ทอดดูหมู่ดารา และมิได้เผยริมฝีพระโอษฐ์ ทรงมุ่งแต่ในพระหฤทัยรำพึงถึงความรักสรรพสัตว์อันใหญ่ยิ่ง

พระองค์ทรงย่างเข้าสู่ที่มืดแล้วร้องว่า "นายฉันนะ ลุกขึ้นเถิด แล้วจูงกัณฐกะออกมา"

"พระองค์มีพระประสงค์อะไร!" นายม้าต้นทูลถาม พลางค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่ซึ่งเขานอนอยู่เคียงข้างประตู "จะเสด็จทรงม้าไปในเวลาค่ำคืน ในยามซึ่งวิถีทางทุกแห่งกำลังมืดอยู่อย่างนี้หรือพะยะค่ะ"

"พูดค่อย ๆ เถิด" พระสิทธัตถะตรัส "จงนำม้าของฉันออกมา เพราะถึงเวลาซึ่งฉันต้องพรากจากที่คุมขังอันอร่ามเรือง ที่ใจของฉันเห็นว่าเหมือนติดกรงนี้แล้ว เพื่อจะได้ไปพบความจริงซึ่งฉันจะไปหาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สำหรับความพ้นทุกข์ภัยแห่งมนุษย์ทั้งหลาย จนกว่าจะได้ค้นพบ"

"น่าประหลาด! พระองค์ผู้เป็นที่รักของข้าพระพุทธเจ้า" นายฉันนะทูลสนอง "มิเป็นการไร้ประโยชน์แล้วหรือ ซึ่งบรรดาปราชญ์และฤาษีผู้สังเกตดูดาว แล้วกล่าวให้เราคอยเวลาซึ่งพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะจะครองมหาอาณาจักร และจะเป็นราชาแห่งราชาทั้งหลายนั้น (พระเจ้าจักรพรรดิราช) พระองค์อยากเสด็จโดยทอดทิ้งโลกและราชสมบัติอันมโหฬารให้พ้นจากพระราชอำนาจ ของพระองค์ เพื่อไปถือกะลาอย่างคนขอทานเช่นนั้นหรือ พระองค์อยากเสด็จไปหาที่ว่างงเวิ้งอันเร่าร้อนดังนั้นหรือ พระองค์ผู้มีเมืองสวรรค์แห่งความเกษม ศานต์อยู่ที่นี่"

พระสิทธัตถะตรัสตอบว่า "ความว่างเวิ้งนั่นแหละที่ฉันต้องการ ไม่ใช่ต้องการราชบัลลังก์ ราชสมบัติที่ฉันต้องการมีค่ายิ่งกว่าราชอาณาจักร และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ใต้อำนาจแห่งความชราและมรณะ จงนำกัณฐกะมาให้ฉันเถิด"

"พระองค์ผู้ทรงเกียรติยศยิ่ง" นายม้าต้นกราบทูล "ขอพระองค์จงทรงระลึกถึงความเศร้าโศกของพระราชบิดาของพระองค์เถิด จงทรงคิดถึงความโศกาดูรของผู้ซึ่งพระองค์ได้ร่วมสันติสุขเกษมศานต์ยิ่งกว่า ใคร ๆ นั้นเถิด! พระองค์จะช่วยได้อย่างไร เมื่อพระองค์มาเริ่มทอดทิ้งเสียแล้วดังนี้"

พระสิทธัตถะตรัสตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย เป็นความรักที่ผิดแท้ที่ไปผูกพันกับสิ่งที่ตนรัก เพื่อให้ได้ความสนุกสนานแต่ตัวเองโดยตรง แต่ฉันเองซึ่งรักพระราชบิดาและแม่เทวีพระนางของฉันยิ่งกว่าความสนุกรื่นเริง ของฉันเอง ทั้งยิ่งกว่าความสนุกรื่นเริงของพระราชบิดาและแม่เทวีด้วย ฉันต้องออกเดินทางไปเพื่อช่วยท่านเหล่านี้กับสัตวโลกอื่น ๆ ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ หากแหละความรักอันแรงกล้านั้นสามารถบันดาลให้สำเร็จได้ ไปเถิด ไปนำกัณฐกะมาให้ฉัน"

นายฉันนะจึงทูลว่า "พะยะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจะไปจัดนำมาถวาย" ทูลแล้วก็ไปสู่โรงม้าด้วยอาการอันเศร้าโศก หยิบเอาขลุมเงิน บังเหียน สายรัดทึบ สายคางจากที่เก็บ รัดสายรัด ติดห่วง และจูงกัณฐกะออกมา แล้วผูกกับห่วง แปรงและผูกเครื่อง พลางลูบเล้าถูกายอันขาวเหลือบดุจไหม เอาพรมสี่เหลี่ยม (นูมดา-พรมสำหรับรองอานม้า) ปูหลังและวางอานอันงามลง รัดสายรัดทึบประดับนิลจินดา สวมซองหางข้างท้ายผ้ารัดหลัง เอาโกลนทองคำแกะเป็นลวดลายลงทั้งสองข้าง ครั้นแล้วก็คลุมกายทั้งมวลด้วยผ้าร่างแหไหมสีทองเหลือบประดับไข่มุก แล้วพาอัศวอาชาไนยอันงามนั้นมาสู่ทวารพระราชวังซึ่งพระสิทธัตถะทรงรออยู่ และม้านั้นโดยยินดีที่เห็นพระองค์ ก็ร้องขึ้นอย่างร่าเริงพลางกระทำอาการกิริยาด้วยจมูกอันเบ่ง

นอกจากนี้ในพระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า ถ้าหากปวงเทวาไม่ช่วยบันดาลปิดโสตประสาทของผู้ที่หลับเหล่านั้นเสียเพื่อ ป้องกันไม่ให้ได้ยินแล้ว แน่นอนทีเดียว ทุก ๆ คนจะได้ยินเสียงร้องของกัณฐกะอัศวราช กับเสียงคุ้ยเขี่ยด้วยเท้าซึ่งสวมด้วยเกือกเหล็ก

พระสิทธัตถะประคองเศียรอันสง่าของกัณฐกะ ลูบคลำคออันเหลือบแล้วตรัสว่า "นิ่งเสียเถิดกัณฐกะขาวที่รัก นิ่งเสียเถิด จงพาฉันไปในระยะอันห่างไกล ซึ่งไม่เคยมีอัศวนึกคนใดเคยไปถึง เพราะคืนนี้ฉันออกไปหาเพื่อความจริง ความจริงซึ่งฉันยังรู้ไม่ได้ว่าการแสวงหาของฉันจะสุดสิ้นลงที่ไหน ขอแต่อย่าให้สุดสิ้นลงก่อนที่การแสวงหาของฉันจะได้บรรลุถึงสัมฤทธิผลเท่า นั้น ฉะนั้นจงร่าเริงและว่องไวเถิด ม้าที่รักของฉัน และขออย่าให้มีสิ่งใดอาจมาขัดขวางวิถีทางของเจ้าได้จนแม้แต่ดาบตั้งพันเล่ม มากีดขวางทางของเจ้าอยู่ อีกทั้งกำแพงทั้งหลุมก็อย่าให้อาจมากีดกั้นทางไปของเราได้

จงฟังถ้าฉันกระตุ้นสีข้างของเจ้าเข้าแล้วร้องว่า "ไปเถิด กัณฐกะ! ก็จงไปให้เร็วยิ่งกว่าลมหวน และจงทำให้เหมือนไปกับลม ในการอาสาเจ้าของเจ้านะม้าเอ๋ย ถ้าดังนี้ก็นับว่าเจ้าจะได้มีส่วนกับเจ้าของของเจ้าในบุญบารมีแห่งกิจซึ่ง สามารถช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์ได้ เพราะว่าการที่ฉันออกไปนี้ไม่เพียงแต่สำหรับช่วยเฉพาะมนุษย์ แต่ยังจะสำหรับช่วยบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่พูดไม่ได้ ที่มีส่วนความลำบากด้วยกับเรา และไม่มีความหวัง ทั้งก็ไม่มีความฉลาดพอที่จะขวนขวายหาความหวังนั้นด้วย"

เมื่อตรัสเสร็จแล้ว พระองค์ก็ค่อย ๆ เสด็จขึ้นไปประทับเหนืออานลูบคลำผมอันงาม กัณฐกะจึงวิ่งถลาจนเท้าซึ่งสวมเหล็กกระทำให้เกิดเป็นประกายเพลิงและทำให้ เหล็กบังเหียนมีเสียง แต่ก็หาทำให้ผู้ใดได้ยินเสียงเหล่านี้ไม่ เพราะเทวสุทธัส (แปลว่า "ผู้บริสุทธิ์" เป็นชื่อของบุคคลชั้นสูง หรือ อริยะ) ซึ่งลงมาแห่ห้อมพระองค์เก็บดอกโมคราสีแดง (ดอกไม้เถาในป่าอินเดีย) แล้วก็โปรยโรยไปตามวิถีทางที่เสด็จไป และเอาพระหัตถ์ซึ่งมองไม่เห็นกุมเสียงดังของบังเหียนและสายโซ่

พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า เมื่อเสด็จถึงพระลานใกล้พระทวารใน มีอสูรนำผ้าวิเศษมารองรับเท้าของอัศวราช แล้วกุมกันมิให้เสียงฝีเท้าดังออกมาได้

ครั้นถึงประตูสัมริด 3 ชั้น ซึ่งมีคนยาม 100 คน เปิดปิดแทบไม่ออกนั้นก็ค่อย ๆ เปิดออกเองอย่างเงียบ ๆ แม้ตามธรรมดาเมื่อเปิดหรือปิดแล้ว ประตูนั้นก็ย่อมดังก้องกังวานไปในระยะ 2 ก๊อสส์ (มาตราวัดของอินเดีย ก๊อสส์หนึ่งประมาณระยะ 840 วา) ดุจเสียงฟ้าร้อง เพราะเสียงระฆังและโซ่อันหนักแห่งประตูนั้น

ประตูอันมหึมาด้านกลางและด้านนอกเปิดออกเองอย่างเงียบ ๆ ดุจประตูแรก ในเมื่อพระสิทธัตถะและราชอาชาไนยจะใกล้ถึงฝ่ายกองรักษา ทั้งนายและพลทหารซึ่งรายเรียงเข้าวิถีทางก็แน่นิ่งประดุจคนตาย พลางปล่อยหอกดาบและโล่เขนเสีย เพราะตามวิถีทางของพระองค์ที่เสด็จไปนั้น มีลมซึ่งทำให้นอนหลับได้ยิ่งกว่าลมแห่งทุ่งมัลลวะ (เป็นชื่อจังหวัดหนึ่ง ในแว่นแคว้นอินเดียซึ่งเป็นที่ปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่งใช้ทำฝิ่น) อันง่วงเหงาและหลับใหลทั่วทิศานุทิศ ดังนี้แหละซึ่งพระสิทธัตถะกับราชอาชาไนยและนายฉันนะจึงออกจากพระราชวังไปได้อย่างง่ายดาย

เมื่อดาวกัลปพฤกษ์จวนรุ่ง ขึ้นอยู่ทางบูรพาทิศห่างขอบฟ้าประมาณครึ่งหอก และลมเฉื่อยเวลาเช้าเริ่มพัดเหนือพระธรณีกระทำให้แม่น้ำอโนมาซึ่งใช้เป็นเขต ขัณฑเสมาอาณาจักรเกิดเป็นละออง พระสิทธัตถะจึงลดบังเหียน ทรงกระโดดลงยังพื้นดิน และเมื่อทรงถอดเศวตกัณฐกะตรงหว่างหูแล้วก็ตรัสแก่นายฉันนะว่า "ตามที่เธอได้ทำมาแล้วนี้ จะเป็นกุศลโชคแก่เธอและสัตวโลกทั้งปวง จงแน่ใจเถิดว่า ฉันรักเธอเสมอ เพราะความกตัญญูซึ่งเธอได้แสดงให้ปรากฏแล้วแก่ฉัน จงพาม้าของเธอกลับไปเถิด และเอาสร้อยไข่มุกและเครื่องทรงของฉันซึ่งบัดนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ฉัน แล้ว เข็มขัดประดับมณีวิเศษ ดาบและกองเกสาซึ่งฉันตัดจากเศียรเกล้ากับอาวุธอันคมกริบนี้ไปด้วยเพื่อถวาย ให้แก่พระราชบิดาทั้งหมด

และกราบทูลว่า "สิทธัตถะขอให้พระองค์ทรงลืมสิทธัตถะ จนกว่าสิทธัตถะจะกลับมาพร้อมด้วยเกียรติคุณอันทศทวี ได้สำเร็จซึ่งราชวิทยาการโดยอาศัยการเสาะแสวงอย่างโดดเดี่ยว และการต่อสู้ของพระองค์เพื่อหวังประทีป คือแสงสว่าง" และจงทูลพระองค์ว่า "ถ้าฉันได้บรรลุถึงความสว่างที่ว่านี้แล้ว โลกทั้งมวลก็จะเป็นของฉัน เพราะเห็นแก่กิจอันสำคัญที่ฉันบำเพ็ญให้เขา เป็นของฉันโดยความรัก เพราะความหวังของมนุษย์ย่อมสำเร็จได้ แต่เมื่อหวังพึ่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นเอง และไม่มีใครเลยที่แสวงหาความหวังเพื่อให้ผู้อื่นได้พึ่งดังที่ฉันต้องการ แสวงหา คือฉันซึ่งยอมสละโลกีย์เพื่อช่วยโลกนี้"


จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/04.html

http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 0 3016 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 18:44:09
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2737 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 18:54:15
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 3522 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 19:03:02
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2671 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 14:28:43
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2712 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 14:42:03
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.846 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 23 กุมภาพันธ์ 2567 09:48:47