[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 22:00:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ‘พระพิฆเนศวร์’ ที่อินเดียไม่รู้จัก : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)  (อ่าน 1441 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2559 16:03:27 »



ความรู้เกี่ยวกับพระพิฆเนศวร์อย่างที่ตรงกับ “แขก” ของเราเพิ่งสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่6 ซึ่งทรงสนพระทัยในภารตวิทยา และเพิ่มพูนมากขึ้นในปัจจุบันนี้เอง

บทบาทของพระพิฆเนศวร์แต่โบราณของเราค่อนข้างคลุมเครือและไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจในตอนนี้ กล่าวคือ ไม่ได้มีบทบาทด้านศิลปวิทยา ไม่ได้มีบทบาทด้านขจัดอุปสรรคหรือความสำเร็จ

แม้แต่ในโองการแช่งน้ำหรือคำไหว้ครูโขนละครและช่าง ก็ไม่มีพระนามปรากฏ แม้จะมีเทวรูปสักการะกันมาช้านานแล้ว

นอกจากนี้ ในคติดั้งเดิมของเรายังมีความเชื่อว่า “พระขันทกุมาร” เป็นองค์เดียวกันกับพระพิฆเนศวร์อีกด้วย

คัมภีร์นารายณ์ยี่สิบปาง (ต้นรัตนโกสินทร์) มีปรากฏตำนานว่า เมื่อพระขันทกุมารจะโสกันต์แต่เศียรหลุดด้วยวาจา “อ้ายลูกหัวหาย จะนอนให้สบายก็มิได้” ของพระนารายณ์ สุดท้ายได้ศีรษะช้างมาต่อ

แล้วเฉลิมพระนามใหม่เป็นพระพิฆเนศวร์

เรื่องพระคเณศเป็นองค์เดียวกับพระขันทกุมารนี้ ผมลองค้นในตำราของแขกโดยเฉพาะปุราณะต่างๆ ก็ยังไม่เจอ ชะรอยตำนานนี้เราจะแต่งเองกระมัง

หรือเป็นไปได้ว่า อาจมีอยู่ในตำนานของชาวบ้านทางอินเดียใต้สักฉบับ ใครทราบโปรดแจ้งเบาะแสจะเป็นพระคุณยิ่ง

ดังนั้น จึงมีผู้สันนิษฐานว่า เหตุใดพระคเณศตามคติเก่าของเราจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับศิลปวิทยาและการประพันธ์อย่างของแขก เพราะเราไปผูกพระพิฆเนศวร์ไว้กับพระขันทกุมารซึ่งเป็นเทวเสนา เป็นเทพแห่งการสงคราม

นอกจากนี้ ผมยังคิดว่า อาจเพราะพระคเณศในบ้านเรามีบทบาทหนึ่งที่สำคัญกว่าบทบาทอื่น คือเป็น “ครูหมอช้าง” ในทางคชศาสตร์



ใน “ตำราช้าง” และ “ตำรานารายณ์ยี่สิบปาง” ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ มีการกล่าวถึงเทพที่สำคัญในทางคชศาสตร์ได้แก่ “พระศิวบุตร” สองพระองค์ คือ “พระพิฆเนศวร์” กับ “พระโกญจนาเนศวร” และเทพเจ้าอีกองค์นามว่า “พระเทวกรรม”

พระศิวบุตรพิฆเนศวร์นั้นมิได้มีบทบาทในตำราช้างมากไปกว่าที่ระบุไว้ว่า หากพบช้างที่มีงาเดียวแต่กำเนิด ถือว่าเป็นศุภลักษณ์เพราะคล้ายกับลักษณะของพระองค์ และให้หมอช้างพึงเคารพนับถือพระพิฆเนศวร์องค์นี้ด้วย

ส่วนพระโกญจนาเนศวร์ศิวบุตร ทั้งในตำราช้างและนารายณ์ยี่สิบปางระบุรูปลักษณะที่ตรงกัน คือมีเศียรช้างสามเศียรหกกร ในพระกรทั้งหกมีช้างที่มีในสวรรค์เช่นเอราวัณ ช้างเผือกเอกโทตรีและสังข์ทักษิณาวัตรอุตรวัฏที่มีในโลก ประทับยืนบนช้างเจ็ดเศียร

มีบทบาทสำคัญในทางคชศาสตร์ว่าทรงสร้างช้างเผือกสำหรับบรรดาพระราชาในโลกนี้

แต่พระพิฆเนศวร์ในอินเดียไม่มีพระนามและปาง “โกญจนาเนศวร์” ส่วนเทวลักษณะที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นพระคเณศสามเศียร เรียกว่า “ตรีมุขคณปติ” (พระคณบดีสามพักตร์) มีกล่าวถึงในตำราตัตวนิธิของอินเดียใต้ และไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวกับช้างแต่อย่างใด

ท่านพระยาอนุมานราชธน สันนิษฐานว่า พระนาม “โกญจนาเนศวร”นี้ น่าจะเป็นนามของพระขันทกุมาร เพราะคำว่า “โกญจ” ตรงกับสันสกฤตว่า “เกราญจ” ซึ่งเป็นภูเขาที่พระขันทกุมารเสด็จไปประทับ

“โกญจนาเนศวร” จึงมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นพักตร์เกราญจะ (ตามการแปลของอาจารย์มณีปิ่น พรหมสุทธิลักษณ์) ดังนั้นก็ควรหมายถึงพระขันทกุมาร

และคงด้วยอิทธิพลความเชื่อแต่โบราณที่ถือว่าพระขันทกุมารและพระคเณศเป็นองค์เดียวกันนี่เอง พระนามโกญจนาเนศวร์จึงถูกใช้กับเทพที่มีเศียรช้างพระองค์นี้

แต่ผมมีข้อสังเกตเล็กๆ เพิ่มเติมครับ คือในตำราช้าง มิได้เขียนว่า “โกญจนาเนศวร” เหมือนในตำรานารายณ์ยี่สิบปาง แต่เขียนว่า “โกญจนาทเนศวร์”

โกญจนาท แปลว่า “เสียงร้องของช้าง” ฉะนั้น เป็นไปได้ว่า พระนามที่ควรเป็นคือ “โกญจนาเทศวร” (พระเป็นเจ้าที่มีเสียงร้องของช้าง) หรือ “โกญจนาทเนศวร” อาจมาจาก โกญจนาทนฺ + อีศวร ตามวิธีสนธิสันสกฤตสไตล์ทมิฬ ซึ่งนี่เป็นเพียงข้อสังเกตเบื้องต้นมากๆ และอาจแสดงให้เห็นว่า พระนามนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพระขันทกุมารตามที่สันนิษฐานกัน



ส่วนอีกองค์ที่ซับซ้อนและสับสนมากยิ่งไปกว่าคือ “พระเทวกรรม” หรือ “เทพกรรม”

ในตำราช้าง ภาพพระเทพกรรมเป็นภาพเทวบุรุษ มีหกกร ประทับนั่งถือบ่วงบาศนาคราช มีคำบรรยายว่า” พญาองค์นี้ชื่อเทพกรรม”

ในตำรานารายณ์ยี่สิบปางก็มีรูปเดียวกันนี้ แต่บรรยายไว้ว่า “พระนารายณ์เทพกรรม”

แต่ทั้งนี้ นอกจากภาพพระนารายณ์เทพกรรมแล้ว ในตำรานารายณ์ยี่สิบปางยังมีภาพพระเทพกรรมหรือเทวกรรมแบบอื่นซึ่งไม่มีในตำราช้าง คือภาพเทพที่มีเทวลักษณะเช่นเดียวกับพระพิฆเนศวร์ทุกประการ มีสองกร ประทับยืน ในพระหัตถ์ถืองาหัก หรือบางครั้งถือคทาด้วย

ตำนานฝ่ายคชศาสตร์ เล่าว่าพระนารายณ์เสด็จไปปราบช้าง “เอกทันต์” และตั้งชาวบ้านสี่คนเป็นผู้ช่วย พร้อมถ่ายทอดสรรพวิชาเกี่ยวกับคชกรรมให้ ทั้งสี่คนนี้จึงได้กลายเป็นครู “ปะกำ” (คำนี้แปลว่าเชือกบาศที่ใช้คล้องช้าง) ของหมอช้างทั้งหลาย

พราหมณ์พฤฒิบาศที่กระทำพิธีเกี่ยวกับช้างจึงถือกันว่าเป็นฝ่าย “พระนารายณ์” ผิดกับพวกพราหมณ์ราชพิธีที่ถือ “พระศิวะ” ส่วนหมอช้างส่วนใหญ่ทั้งหลวงและราษฎร์นับถือ “ครูปะกำ” ซึ่งไม่มีลักษณะอย่างอินเดีย แต่เป็นลักษณะผีพื้นเมืองมากกว่า

น่าแปลกที่ในพระราชพิธีเกี่ยวกับช้างต้องเชิญเทวรูป “พระเทวกรรม” ที่เป็นรูป “พระพิฆเนศวร์” (เช่นเดียวกับที่มีในนารายณ์ยี่สิบปาง) แต่ไม่มีการเชิญพระโกญจนาเนศวร์หรือพระนารายณ์เทพกรรม ทั้งๆ ที่ไม่มีตำนานหมอช้างใดที่เกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศวร์ “เทวกรรม” องค์นี้

ในอินเดียไม่มีพระพิฆเนศวร์หรือเทพเจ้าชื่อ “เทวกรรม” และคำนี้มีความหมายเพียงว่า “การกระทำของเทวดา” ซึ่งดูจะไม่มีนัยพิเศษอะไรกับบทบาทที่มี

ผมลองไปสืบดูอย่างคร่าวๆ เกี่ยวกับตำราคชศาสตร์ของอินเดีย โดยมีเล่มที่สำคัญได้แก่ หัสติอายุรเวท, มาตังคลีลาและคชศาสตร์ โดยมากเขียนขึ้นในอินเดียภาคใต้

ไม่มีเล่มใดเลยที่กล่าวถึง พระเทวกรรม หรือแม้แต่พระพิฆเนศวร์ในปางใดๆ ก็ตาม

เข้าใจว่าในอินเดียพระคเณศก็คือช้างอยู่แล้ว แม้จะมีบางปางที่สะท้อนว่าพระองค์น่าเกี่ยวกับคชศาสตร์ เช่น การที่ทรงถืออังกุศและปาศ (ขอช้างและเชือกบาศ) แต่ก็มิได้มีการยกพระองค์ขึ้นเป็น “ครูหมอช้าง” อย่างในอุษาคเนย์

พระเทวกรรมจึงเป็นเทพของเราโดยแท้ เป็นพระพิฆเนศวร์ในแบบที่อินเดียไม่มีและไม่รู้จักพระองค์หนึ่ง

ที่จริงก็อาจกล่าวในอีกแบบว่า พระเทวกรรม คือผีครูหมอช้างพื้นเมืองที่เราไปหยิบยืมรูปลักษณ์ของพระพิฆเนศวร์จากอินเดียมาใช้ อาจเพราะเห็นว่าเทวลักษณะของเทพองค์นี้เหมาะแก่การเป็น “ครู” ของคชกรรมหรือเรื่องช้างอย่างที่สุด

เขียนไปเขียนมา ผมเลยขอเสนออีกว่า แม้แต่พระนาม “เทวกรรม” หรือ “เทพกรรม” (อ่าน เทบ-พะ-กำ) ก็ไม่ใช่คำแขกหรือมาจากเทพแขกองค์ไหน

แต่น่าจะมาจากคำ “เทพปะกำ” (ออกเสียงคล้ายเทพกรรม) คำพื้นเมืองเรียกผีครู (ปะกำ) ผสมคำแขก (เทพ) ที่ถูกทำให้กลายเป็นคำที่ดูแขกมากขึ้นเมื่อต้องอยู่ในราชสำนักนั่นเอง

อานุภาพของผีในอุษาคเนย์นี่แน่นอนจริงๆ

จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_2493

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
บางแง่มุม เกี่ยวกับ “พระพิฆเนศวร์” : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)
สุขใจ ห้องสมุด
มดเอ๊ก 0 1975 กระทู้ล่าสุด 18 พฤศจิกายน 2559 08:41:30
โดย มดเอ๊ก
‘พระพิฆเณศวร์’ เทพแห่งศิลปวิทยา? : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)
สุขใจ ห้องสมุด
มดเอ๊ก 0 1492 กระทู้ล่าสุด 20 พฤศจิกายน 2559 16:21:21
โดย มดเอ๊ก
‘ไสยศาสตร์’ ไม่ใช่เรื่อง ‘งมงาย’ : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)
สุขใจ จิบกาแฟ
มดเอ๊ก 0 1678 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2559 12:29:26
โดย มดเอ๊ก
ความเข้าใจ(ผิด)เกี่ยวกับ “รามายณะ” : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)
สุขใจ ห้องสมุด
มดเอ๊ก 1 4180 กระทู้ล่าสุด 23 พฤศจิกายน 2559 20:48:12
โดย มดเอ๊ก
เล่าเรื่อง มนตร์ของพราหมณ์ ชนิดและความหมาย : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง (เชฟหมี)
บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
มดเอ๊ก 0 1744 กระทู้ล่าสุด 26 ธันวาคม 2559 19:01:54
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.365 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 27 กุมภาพันธ์ 2567 05:47:55