[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 07:45:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานการใช้อาวุธปืนในอเมริกา  (อ่าน 1658 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5458


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 เมษายน 2560 18:21:32 »






ตำนานการใช้อาวุธปืนในอเมริกา
เรียบเรียงโดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน เคยเป็นดินแดนที่มีชาวพื้นเมืองอยู่อาศัยมาก่อนหลายพันปี ในปี พ.ศ.๒๐๓๕ (ตรงกับสมัยอยุธยาตอนต้น) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นำเรือออกจากสเปนเสี่ยงตายข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปพบทวีปอเมริกา ต่อมาในปี พ.ศ.๒๑๖๓ ชาวอังกฤษที่ต้องการเสรีภาพในการนับถือศาสนา ต้องการชีวิตใหม่ที่มีอิสรภาพ เสรีภาพ ก็แห่กันลงเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าไปจับจองดินแดนในทวีปอเมริกาที่เรียกกันว่า “โลกใหม่” (New World) ที่แสนจะกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์

ผู้อพยพจากเกาะอังกฤษและชาวยุโรปที่เข้าไปตั้งรกรากในอเมริกามีสายเลือดนักผจญภัย ชอบการสำรวจแสวงหาและเป็นนักเสี่ยงโชค พื้นฐานของชายชาวยุโรป เคยมีประเพณีการดวลดาบตัวต่อตัว เพื่อตัดสินปัญหาแบบลูกผู้ชาย เพื่อปกป้องเกียรติยศโดยหวังผล อยู่หรือตาย ต่อมาเมื่อมีอาวุธปืนจึงนำเอาวิธีการตัดสินปัญหาด้วย “การดวลปืน” ติดเข้าไปในดินแดนอเมริกา ค่านิยมในยุคนั้นถือว่าเป็นการผดุงความยุติธรรม ประการสำคัญคือ เป็นเรื่องของสุภาพบุรุษพึงรักษาเกียรติยศชื่อเสียง “ฆ่าได้ หยามไม่ได้” และยังแฝงด้วยความเชื่อกันว่า พระเจ้าย่อมคุ้มครองคนดีที่ทำถูกต้องเท่านั้น คนทำผิดต้องตายเพราะพระเจ้าจะไม่ปกป้องคนทำผิด ปรัชญาแนวคิดแบบนี้ฝรั่งในยุโรปปฏิบัติมาช้านาน เพราะยังไม่มีระบบการตัดสินคดีความ เช่นในอังกฤษ จะพิสูจน์ความผิดโดยให้ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเอามือจุ่มลงไปในหม้อน้ำเดือดเพื่อหยิบก้อนหินและอีก ๓ วันต่อมาจะมีกรรมการไปตรวจแผล

ถ้าแผลที่มือใครมีอาการพุพองมากกว่าแสดงว่าคนนั้นผิดเพราะพระเจ้าไม่คุ้มครองคนผิด

ย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ ๑๖ ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้าไปตั้งรกรากในอเมริกา ชาวสเปนที่ยึดครองดินแดนทางใต้ของอเมริกา (เม็กซิโก) นำวิธีการทำมาหากินชีพด้วยระบบไฮเซียนดา (Haicienda System) มาประยุกต์ใช้ ความหมาย คือ ในที่ดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจะมีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำเหมืองแร่ และที่พักอาศัย การควบคุมกำกับดูแลงานในพื้นที่กว้างใหญ่กระจัดกระจายลักษณะนี้ จะต้องใช้คนขี่ม้าเพื่อควบคุมงาน และในที่สุดรูปแบบคนขี่ม้า (โดยเฉพาะการดูแลฝูงวัว) ได้ขยายตัวเข้าสู่กลุ่มชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากในอเมริกาโดยผ่านขึ้นไปทางตอนใต้



การใช้ม้าทำงานในอเมริกา เกษตรกรใช้ม้าลากคันไถเพื่อการปลูกพืช ลากเลื่อนทำเหมืองแร่ บรรทุกของ เทียมเกวียนเดินทางคล้ายๆ กับคนไทยใช้วัว-ควาย

ในที่สุด คนขี่ม้าเลี้ยงวัว และควบคุมการทำงานในทุ่งกว้างในอเมริกาถูกเรียกว่า “คาวบอย” (Cowboy)

อาชีพคาวบอยยุคแรกเริ่มต้นจากรัฐทางใต้ เช่น เท็กซัส นิวเม็กซิโก แคลิฟอร์เนีย ซึ่งก่อนหน้านั้นมีคาวบอยชาวเม็กซิกันทำมาหากินอยู่แล้ว

ชีวิตการเดินทางเร่ร่อนไปกลางทุ่งและป่าเขาของคาวบอย เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไร คาวบอยบางกลุ่มรับจ้างต้อนฝูงวัวขนาดใหญ่ไปขายในพื้นที่ห่างไกลนับร้อยไมล์ สิ่งที่คาวบอยต้องมีติดตัวเสมอคือ ปืน ที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ป่านานาชนิดที่ดุร้าย อีกทั้งชาวอินเดียนแดงเจ้าถิ่นที่ไม่ใคร่จะเป็นมิตร แถมพูดกันไม่รู้เรื่อง อินเดียนแดง มีหอก พกธนู พกมีดสั้น เก่งเรื่องการใช้ขวาน อเมริกันคาวบอยจึงต้องพกปืนสั้น ปืนยาวติดตัวไว้เสมอ แม้กระทั่งตอนที่คาวบอยต้องเข้าเมืองไปดื่มเหล้า ไปสังสรรค์ ไปติดต่อค้าขาย อเมริกันคาวบอยทุกคนมีสิทธิพกพาอาวุธเท่าๆ กัน

ในช่วงปี พ.ศ.๒๔๗๓ ฮอลลีวู้ดนำเอาวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของคาวบอยมาสร้างเป็นหนัง พระเอกที่คนไทยคุ้นเคย เช่น จอห์น เวย์น, ชาร์ลส บรอนสัน, ลี แวนคลีฟ, คลิ้นท์ อีสต์วู้ด ซึ่งโด่งดังเป็นที่นิยมกันมากในช่วง พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๐๓

ในภาพยนตร์ ตัวตนของคาวบอยจะมีรูปลักษณ์ของชายชาตรีใส่หมวกปีกกว้าง ขี่ม้า พกปืน อันเป็นบุคลิกลักษณะที่สง่างามสุดเท่ ผู้คนทั้งหลายประทับใจภาพลักษณ์ของพวกคาวบอย และยังเป็นเอกลักษณ์ของคนอเมริกันยุคที่เข้าไปตั้งรกรากในดินแดนฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน

หนังคาวบอยส่วนมากจะสะท้อนภาพเรื่องราวของคนดีมีคุณธรรมที่มีอาชีพรับจ้างขี่ม้าต้อนฝูงวัว คนดีที่ต้องสู้กับแก๊งโจรผู้ร้าย สู้กับนายทุนคดโกง ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มาข่มเหงรังแก หรือสู้กับพวกอินเดียนแดง ประวัติศาสตร์ของอเมริกาบันทึกไว้ว่ามีคาวบอยที่โด่งดังชักปืนและลั่นกระสุนออกไปได้เร็วที่สุด ๕ คน คือ ไวล์ด บิล ฮิคค็อก (Wild Bill Hickok), ด็อค ฮอลิเดย์ (Doc Holliday), จอห์น เวสลี่ย์ ฮาร์ดิน (John Wesley Hardin), ลุค ชอร์ต (Luke Short), ทอม ฮอร์น (Tom Horn) และ บิลลี่ เดอะ คิด (Billy the Kid)

ซึ่งชื่อคาวบอยในอดีตทั้ง ๕ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดัง



คาวบอยด้วยกันเองก็ใช่ว่าจะรักเดียวเหนียวแน่น มีการแก่งแย่ง คดโกง รังแกกันเองตามกฎธรรมชาติของมนุษย์ ในยุคบุกเบิกต้องแย่งชิงที่ดิน มีเหตุต้องขัดผลประโยชน์ ไม่รู้ใครเป็นใคร ทุกคนคือคนแปลกหน้า

เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและกฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง ถ้ามีความขัดแย้งเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใครผิดใครถูก การต่อสู้ด้วยอาวุธ คือทางออก การดวลปืน เพื่อรักษาเกียรติยศ (Affairs of Honor) และเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกผู้ชายของสังคมในยุคนั้น

พวกชาวไอริชทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษชื่นชมการดวลปืนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อชาวยุโรปเข้าไปอยู่ในอเมริกา ก็นำกติกาการดวลปืนของชาวไอริชเข้าไปด้วย และได้กลายเป็นข้อกฎหมายในภายหลังซึ่งประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๑

คนที่ร่างกฎหมายให้ดวลปืนได้ในอเมริกายุคนั้นคือ ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ แคโรไลนา (South Carolina) ชื่อ John Lyde โดยยึดถือข้อบัญญัติการดวลปืนของชาวไอริช ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๒๒๐ เป็นแม่บท

ประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มตั้งแต่รวม ๑๓ รัฐให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วไปต่อสู้กับรัฐข้างเคียง ขยายอาณาเขต ซื้อดินแดนบ้าง รวมถึงการสู้รบกับอังกฤษเพื่อความเป็นเอกราช รบกับอินเดียนแดง คนอเมริกันใช้ชีวิตคลุกคลีกับปืนมาตลอด

เมื่อประชาชนอเมริกันเรียกร้องความจำเป็นต้องมีปืนติดตัวแต่กฎหมายไม่อำนวย ฉะนั้นรัฐบาลสหรัฐจึงต้องทำการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา ๒ ของรัฐธรรมนูญสหรัฐที่เรียกว่า The Second Amendment นั้นระบุว่า “คนอเมริกันมีสิทธิที่จะมีอาวุธในครอบครอง” (Americans have the right to bear arms) ประเด็นคือคำว่า “bear arms” นั้นไม่เหมือนกับคำว่า “carry gun” ความแตกต่างในการตีความตามรัฐธรรมนูญสหรัฐที่ต้องการให้คนอเมริกัน “มีอาวุธ” หรือ “พกปืน” ในชีวิตประจำวัน

สังคมคนอเมริกันมีความผูกพันกับความเชื่อเรื่องเสรีภาพที่ทุกคนมีสิทธิครอบครองอาวุธปืน กลุ่มคนที่ต่อต้านปืนมีน้อยกว่ากลุ่มสนับสนุนสิทธิการครอบครองปืน

คำนิยามของ “สิทธิมนุษยชน” ในสหรัฐ หมายถึงประชาชนพึงมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น เลือกนับถือศาสนา ปราศจากการถูกคุกคาม และมีสิทธิในการ “มีอาวุธปืน” ไว้ในครอบครอง ซึ่งคนอเมริกันมีความพอใจเพราะถือว่ายุติธรรมและเท่าเทียมกัน

มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า คนอเมริกันสามารถซื้อหาปืนได้ง่ายๆ โดยเข้าชม “งานนิทรรศการอาวุธปืน” ซื้อบัตรผ่านประตูเข้าชมเพียง ๑๐ เหรียญสหรัฐ มีร้านจำหน่ายอาวุธปืนนานาชนิด ราคาตั้งแต่ ๑๐๐-๑,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ ลูกค้าเพียงแค่แสดง “ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์” ก็สามารถซื้อปืนและกระสุนได้ นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งซื้อปืน เสื้อเกราะ และกระสุนทางอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องตอบคำถาม ไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มจุกจิก ไม่ต้องตรวจสอบประวัติ ไม่ต้องบันทึกการขายปืนให้ยุ่งยาก เพราะทุกคนถือว่าการมีอาวุธปืนเป็นเรื่องจำเป็นของชีวิตและทุกคนขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ

นอกจากนี้ กฎหมายในแต่ละรัฐของอเมริกามีความเข้มงวดเรื่องปืนไม่เท่ากัน ถ้าในรัฐที่ตนอยู่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดเรื่องปืนก็สามารถเดินทางไปซื้อจากรัฐอื่นซึ่งสะดวกกว่าได้ รัฐแคลิฟอร์เนียเข้มงวดเรื่องปืน แต่รัฐเท็กซัสออกกฎหมายอนุญาตให้ประชาชนพกพาอาวุธปืนไปได้อย่างเปิดเผย

มีคำกล่าวของคนอเมริกันว่า “ปืนไม่เคยก่อเหตุอาชญากรรม คนต่างหากที่เป็นคนก่อเหตุ”

ภาพเก่า…เล่าตำนาน ในตอนต่อไป จะเปิดเผยเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่รองประธานาธิบดีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐขัดใจกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งไปท้าดวลปืนกันเพื่อพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชาย และรวมทั้งการดวลปืนอีกหลายคู่ของบุคคลระดับสูงในประวัติศาสตร์การเมืองของอเมริกา

หมายเหตุ : ผู้เขียนมิได้ส่งเสริมการใช้หรือการมีอาวุธปืนแต่อย่างใด บทความนี้ต้องการนำเสนอวิธีคิด มุมมอง กฎกติกาของสังคมอื่นๆ




ตัดสินปัญหา’ท้าดวลปืน’ครั้งประวัติศาสตร์ในอเมริกา
โดย พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก

ลูกผู้ชายถือคติ “ฆ่าได้ หยามไม่ได้” แทบไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อครับ ความขัดแย้งของ # สุภาพบุรุษในการเมืองสหรัฐ ไปจบลงด้วยการท้าดวลปืนกันแบบตัวต่อตัว มีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ประวัติศาสตร์ของอเมริกาบันทึกไว้อย่างละเอียดเพื่อการศึกษาของคนรุ่นหลัง

ภาพเก่า..เล่าตำนาน ตอนนี้ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ซึ่งเปิดเผยไลฟ์สไตล์ของคนอเมริกันรุ่นบุกเบิกที่ต้องพึ่งพาอาวุธปืนในช่วงอพยพเข้าไปตั้งรกรากในอเมริกา รวมทั้งสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่คนอเมริกันถือว่าต้องเสมอภาคเท่าเทียมกัน เพื่อที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยด้วยปืน

ความขัดแย้งทางการเมืองที่ลูกผู้ชายตกลงใจตัดสินกันด้วยการดวลปืน โดยไม่ต้องการให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อน เป็นกรณีศึกษาที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ เรียกว่า “Burr-Hamilton duel

ลองมาคุยกันในรายละเอียดครับ

อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๒๙๘ ที่เมืองชาร์สทาวน์ (Charlestown, British West Indies) เป็นบุตรนอกสมรสที่พ่อแม่ทอดทิ้ง แต่มีญาติใจบุญเก็บไปเลี้ยงดู เติบโตพร้อมกับเรียนหนังสือที่ King’s college (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย) สมัครเข้าเป็นทหารต่อสู้กับอังกฤษเพื่อให้อเมริกาเป็นเอกราช

ระหว่างเป็นทหารอาสา แฮมิลตัน เก่ง ฉลาด กล้าหาญจนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ แฮมิลตันได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารคนสนิท (aide-de-camp) ของนายพลจอร์จ วอชิงตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพสหรัฐ เขาเป็นผู้นำหน่วยทหารในการสู้รบใหญ่ ๓ ครั้ง เมื่อสงครามยุติลง จึงไปเรียนต่อจนจบ เข้ามาทำงานด้านนิติบัญญัติให้กับรัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุคคลหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญาการเมือง แฮมิลตันเป็นคนริเริ่มให้มีการประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย อันเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศอเมริกา เป็นนักกฎหมายตีความรัฐธรรมนูญ ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษของอเมริกา


   เมื่อ จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีแต่งตั้งให้แฮมิลตัน เป็น รมว.คลังทันที วีรบุรุษสงครามคนนี้เป็น รมว.คลังที่ปราดเปรื่อง เป็นผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ก่อตั้งธนาคารชาติ วางระบบภาษีและมีบทบาทอย่างสูงในคณะรัฐมนตรี การเลือกประธานาธิบดีสมัยต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๔๓ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และ แอรอน เบอร์ (Aaron Burr) ที่มีคะแนนรองลงมาได้เป็นรองประธานาธิบดี

ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๔๔ แฮมิลตัน อดีต รมว.คลังคนแรกของสหรัฐไปทำงานหนังสือพิมพ์ มีข้อเขียนบทความที่กระทบกระทั่งทางความคิดหลายครั้งกับรองประธานาธิบดี แอรอน เบอร์ (Aaron Burr)

แอรอน เบอร์ (Aaron Burr) เกิดเมื่อ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๒๙๙ ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นเด็กฉลาด เข้าเรียนวิทยาลัยนิวเจอร์ซีย์ตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี จบปริญญาตรีศิลปศาสตร์ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่รัฐคอนเนคทิคัต เกิดสงครามเลยไปสมัครเป็นทหาร เป็นผู้บังคับหน่วยที่กล้าหาญ ต่อมาถูกเรียกตัวไปเป็นนายทหารคนสนิทของพลเอก ริชาร์ด มอนต์โกเมอรี่ ได้รับยศร้อยเอก แต่ต่อมาขอกลับไปอยู่หน่วยรบ ในการรบครั้งหนึ่งผู้กองเบอร์นำหน่วยทหารแหกวงล้อมจากทหารอังกฤษในการรบที่เขตแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ทำให้ทหารทั้งหน่วยรอดตาย เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ แต่ไม่ได้รับเหรียญตราจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ชื่อ จอร์จ วอชิงตัน จึงทำให้เกิดการกินแหนงแคลงใจตั้งแต่ครั้งอยู่ในสนามรบ (ซึ่งโคจรมาแข่งกันอีกในสนามการเมือง) เบอร์ได้รับการเลื่อนยศเป็นพันโท ต่อมาขอลาออกจากราชการเนื่องจากสุขภาพไม่ดี

เบอร์มีประวัติชีวิตที่โดดเด่นทั้งการศึกษาและการเป็นทหารนักรบ เช่นเดียวกับแฮมิลตัน เมื่อเบอร์ลาออกจากกองทัพก็หันมาเป็นนักกฎหมาย เป็นนักการเมือง ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภารัฐนิวยอร์ก ๒ สมัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก เป็นสมาชิกวุฒิสภา จากรัฐนิวยอร์ก จนกระทั่งก้าวขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี ในสมัยประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)

ในเวทีการเมืองยุคนั้น ต้องนับว่าสุภาพบุรุษทั้งสอง คือ แฮมิลตันและเบอร์ เป็นนักการเมืองดาวรุ่งทั้งคู่ ซึ่งมีแนวคิดที่ไม่ตรงกัน



บุคคลทั้งสองมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน แสดงตัวเป็นศัตรูทางการเมืองและเป็นคู่กัดแบบถาวรในเวทีสาธารณะด้วยหลากหลายสาเหตุ มีการกล่าวให้ร้ายกัน เหยียดหยามกันอย่างต่อเนื่องอย่างชนิดที่อภัยกันไม่ได้

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ คนเป็นลูกผู้ชายตั้งแต่เล็กจนโต ต้องเรียนหนังสือ ต้องทำมาหากิน การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นคงมีเรื่องแบบนี้ปะปนสอดแทรกเข้ามาบ้าง ถ้าหลีกเลี่ยงได้ทุกคนก็ประสงค์จะหลีกเลี่ยง แต่บางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสะสางปัญหาให้มันจบสิ้นกันไป ค่านิยมของบุคคลสาธารณะระดับสูงและเป็นอดีตทหารนักรบในสมัยนั้น ต้องการปกป้องรักษาเกียรติแม้ต้องแลกด้วยชีวิต

ประการสำคัญที่สุด คือ จะต้องไม่ไปลากเอาคนส่วนใหญ่ในสังคมมาเกี่ยวข้องและเดือดร้อนด้วย

มนุษย์บนโลกนี้มีวิธีจัดการกับปัญหาทำนองนี้แตกต่างกันไป เริ่มด้วย การชกต่อย การใช้อาวุธหอกดาบแหลนหลาว ดวลดาบ พัฒนาเป็นการดวลปืน เด็กหนุ่มที่ข้องใจกันนัดกันไปเคลียร์ตามแต่จะตกลงกัน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถห้ามได้ถ้าเขาตกลงกันเอง หลายคู่จบลงด้วยมิตรภาพที่เป็นนิรันดร์ แต่เรื่องที่น่าเสียใจก็มีไม่น้อย

ผู้เขียนค้นหาปรัชญาของการต่อสู้ในลักษณะนี้ว่าทำเพื่ออะไร คำตอบคือ การต่อสู้มิได้มุ่งที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามเพื่อความสะใจ แต่เป็นความตั้งใจจะเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หลักการของตนเองเมื่อถูกลบหลู่นักการเมืองทั้งสองกินแหนงแคลงใจกันมายาวนาน จนเหลืออด สุภาพบุรุษทั้งสองตกลงตัดสินใจไปดวลปืนกันเงียบๆ อย่างมีเกียรติ

เช้าวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๔๗ รองประธานาธิบดีเบอร์ และอดีต รมว.คลัง แฮมิลตัน เดินทางโดยเรือคนละลำจากเขตแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์กเพื่อข้ามแม่น้ำ ไปที่สนามแห่งเกียรติยศ (Field of Honor) เมืองวีฮอเกน (Weehawken) ในรัฐนิวเจอร์ซีย์

เมื่อถึงที่หมายแล้ว สุภาพบุรุษทั้งสองยังคงยืนยันที่ต้องดวลปืนตามสัจจะของลูกผู้ชาย

ข้อมูลที่สืบค้นมาได้ “สนามแห่งเกียรติยศ” จะต้องเป็นพื้นที่ลับตาผู้คน จะไม่ถูกขัดขวางจากทางการ และต้องเป็นพื้นที่ที่คลุมเครือในเรื่องการปกครองและบังคับใช้กฎหมาย บริเวณวีฮอเกนที่นักการเมืองทั้งสองเลือกนั้น เป็นพื้นที่ยอดนิยมที่ชาวนิวยอร์กนัดไปดวลปืนกัน เพราะเป็นพื้นที่ระหว่างกลาง ก้ำกึ่งในอำนาจการปกครองระหว่างนิวยอร์กกับนิวเจอร์ซีย์ ประการสำคัญคือ ตกลงกันว่าจะไม่มีการไปฟ้องร้องเอาผิดตามกฎหมายเมื่อมีการสูญเสีย

กฎหมายของรัฐนิวยอร์กระบุว่า การดวลปืนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การไปดวลกันที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน แต่เพราะทั้งคู่ไม่ต้องการให้สังคมต้องรับรู้ เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัว

ข้อมูลจากพยาน ๒ คนที่ไปเป็นกรรมการคือ นายเพนเดลตัน (Pendleton) และนายเนส (Van Ness) ระบุว่า เมื่อสุภาพบุรุษทั้งสองพร้อม กรรมการสั่งให้ทั้งสองหันหลังชนกันถือปืนในมือแล้วเดินนับก้าวเพื่อกลับหลังมายิงกันตามกติกา

เสียงปืนดังสนั่นใกล้เคียงกัน ๒ นัด ไม่แน่ใจว่าใครลั่นไกก่อน

กระสุนจากปืนของแฮมิลตันไปโดนต้นไม้สูงกว่าศีรษะเบอร์เป็นรูที่ต้นไม้ ส่วนกระสุนของเบอร์ออกจากปากกระบอก วิ่งตรงไปเจาะท้องน้อยของแฮมิลตัน คมกระสุนวิ่งทะลุต่อไปที่ซี่โครงด้านขวาของลำตัว เลือดทะลักทรุดลงทันที กรรมการพาแฮมิลตันที่ร่างโชกเลือดลงเรือกลับไปซ่อนตัวที่บ้านของเพื่อนชื่อวิลเลี่ยม เบยาร์ด (William Bayard Jr.) ย่านกรีนิช นิวยอร์ก ครอบครัวแฮมิลตันมาเยี่ยมดูใจหัวหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย แฮมิลตันเสียชีวิตในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น คือ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๔๗ ผู้ว่าการรัฐมาทำพิธีศพให้แบบเงียบๆ และฝังศพเขาไว้ที่สุสานทรินิตี้ (Trinity Churchyard) เขตแมนฮัตตัน ปืนสั้นในยุคนั้นบรรจุกระสุนได้เพียงครั้งละ ๑ นัด


พื้นที่ดวลปืนตรงนี้เมื่อราว ๒ ปีก่อน ลูกชายของแฮมิลตันก็เคยมาดวลปืนแล้วถูกยิงเสียชีวิตเช่นกัน และปืนที่ใช้ยิงก็กระบอกเดียวกัน

คืนวันก่อนดวลปืน แฮมิลตันเขียนบันทึกไว้ว่า เขาจะตั้งใจยิงให้พลาดเป้าเพื่อต้องการยุติปัญหาโดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบันทึกนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะทุกคนทราบดีว่าแฮมิลตันเกลียดชังรองประธานาธิบดีเบอร์เข้ากระดูกดำ

การดวลปืนครั้งประวัติศาสตร์วันนั้น รองประธานาธิบดีเบอร์ไม่ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายนะครับ ไม่มีการสืบสวนสอบสวนใดๆ แต่ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สัน สั่งปลดเขาออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีทันที ซึ่งเขาหมดอนาคตทางการเมืองตลอดไป

เบอร์ตัดสินใจออกจากวอชิงตันไปแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อทำธุรกิจและทำงานการเมืองทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา ต่อมาอดีตรอง ประธานาธิบดีคนที่ ๓ ของสหรัฐอเมริกาคนนี้ต้องย้ายหลักแหล่งไปทำมาหากินในยุโรปอยู่หลายปี ตระเวนไปในหลายประเทศ ไปอยู่ลอนดอน ๔ ปี กลับมานิวยอร์กอีกครั้งเพื่อทำงานด้านกฎหมาย เปลี่ยนนามสกุลเป็น Edwards ตามชื่อกลางของแม่เพื่อพรางตัวในสังคม ซึ่งก็ได้ผล เขาเสียชีวิตเมื่ออายุ ๘๐ ปี ศพถูกฝังไว้ที่สุสานเมืองพรินซ์ตัน (Princeton) รัฐนิวเจอร์ซีย์

การดวลปืนของบุคลที่มีชื่อเสียงและได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรี รักษาเกียรติและชื่อเสียงในการเมืองสหรัฐอเมริกายังมีอีก ๔ คู่ครับ
 

หมายเหตุ : บทความนี้เรียบเรียงเพื่อการศึกษาความขัดแย้งความคิด ความเชื่อ การแก้ปัญหาทางการเมืองของสังคมอื่นๆ ในบริบทต่างๆ โดยเฉพาะในอดีตที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผู้เขียนมิได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้นหรือเลียนแบบแต่อย่างใด...พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 พฤษภาคม 2560 14:45:33 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.588 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 30 มีนาคม 2567 05:00:24