[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 21:33:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์  (อ่าน 5307 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:12:43 »

บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244


.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:14:12 »

บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

ความนำ
พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
ผลแห่งทานนี้ได้เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
ผลกรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึกสับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้
ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์
ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า
ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:14:43 »

บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ
คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวชผู้อุดม

๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ชาติปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
มีเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมารบุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก

๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
นางสุนทรีทำเช่นนั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
พระราชาได้ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่องนั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม
๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
มีเรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
ฝ่ายท้าวสักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น

๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:15:33 »

บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิตห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
พระองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
ต่อมาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง
๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึงตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี
๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:17:40 »

บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่
๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง
๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนักอยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
เมื่อพระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ.

ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา


http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244

.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:18:33 »

บุพกรรมของพระอัครสาวก

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สำหรับวันนี้  ก็จะขอนำเอาบุพกรรมของพระอัครสาวกมาเล่าสู่กันฟัง  ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า  “พระอัครสาวกทั้งสอง  ได้ทำกรรมอะไรไว้พระเจ้าข้า”

องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสว่า  “อัครสาวกทั้งสองทำความปรารถนาไว้พื่อเป็นอัครสาวก”

พระองค์ทรงกล่าวว่า  ในที่สุดแห่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนี้ไป  พระสารีบุตรเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล  มีนามว่า  สรทมาณพ  พระโมคคัลลานะ เกิดในตระกูลคหบีมหาศาล  มีนามว่า  สิริวัฑฒกฎุมพี  มาณพทั้งสองนั้นได้เป็นสหายเล่นฝุ่นมาด้วยกัน  สรทมาณพ  เมื่อบิดาตายแล้วได้ครอบครองทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก  อันเป็นมรดกของตระกูล

ในวันหนึ่งอยู่ในที่ลับตา  คิดว่า  เราย่อมรู้อัตภาพโลกนี้เท่านั้น  หารู้จักอัตภาพโลกหน้าไม่  (หมายความว่า  ชาตินี้เราเกิดเป็นคน  แต่ชาติหน้าเราจะเกิดเป็นอะไรนี่เราไม่รู้)

อันธรรมดาความตายของสัตว์เกิดแล้วย่อมเป็นของเที่ยง  (หมายความว่าสัตว์ทุกคนที่เกิดมาแล้วในโลก  ต้องตายเหมือนกันหมด  ไม่มีใครหนีได้)  ควรที่เราจะบวชเป็นบรรพชิตอย่างใดอย่างหนึ่ง  ทำการแสวงหาโมกขธรรม

คำว่า โมกขธรรม  แปลว่า  ธรรมเป็นเครื่องพ้นแห่งความตาย

สรทมาณพนั้นเข้าไปหาสหายแล้วพูดว่า  “สิริวัฑฒะผู้สหาย  ข้าพเจ้าจักบวชแสวงหาโมกขธรรม  ท่านจักบวชกับเราหรือไม่  หรือว่าไม่อาจจักบวช”

ท่านสิริวัฑฒะก็ตอบว่า  “ข้าพเจ้าจักไม่อาจ  สหาย  ท่านบวชคนเดียวเถิด”

สรทมาณพนั้นคิดว่า  ธรรมดาผู้ไปสู่ปรโลก  จะพาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยได้ ไม่มี

นี่หมายความถึงว่า  คนเราน่ะจะรักกันขนาดไหนก็ตาม  เวลาตายไม่สามารถจะพาใครเขาตายไปพร้อมกันได้  คนที่บอกว่ารักเรามากที่สุดน่ะ  ความจริงเวลาเราตายเขาไม่ได้ตายไปด้วย  เราตายของเราคนเดียว

ท่านคิดต่อไปว่า  กรรมที่ตนทำแล้วย่อมเป็นของตนเอง  ดังนั้น  ท่านสรทมาณพจึงไปเปิดเรือนคลังแก้วออกให้ทานเป็นการใหญ่  แก่คนกำพร้า คนเดินทาง และวณิพก คือคนยากจนเข็ญใจทั้งหลาย  แล้วเข้าไปสู่เชิงเขา  บวชเป็นฤาษี  บรรดาชนทั้งหลายที่มีความรักในท่าน  บวชตามท่านสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ  หนึ่งคน  สองคน  สามคน  จนกระทั่งมีชฎิลประมาณเจ็ดหมื่นสี่พันคน

สรทชฎิลหรือสรทดาบส (ท่านใช้นามว่าชฎิลนะ)  ทำอภิญญา 5  และสมาบัติ 8 ให้เกิดแล้ว  บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น  บรรดาชฎิลที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายทั้งหมดก็ทำอภิญญา 5  และสมาบัติ  8  ให้เกิดขึ้น

ท่านกล่าวต่อไปว่า  ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี  เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก  ในนครที่มีชื่อว่า จันทวดี  มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า ยสวันตะ  เป็นพระราชบิดา  พระราชเทวีมีนามว่า ยโสธรา  เป็นพระราชมารดา  มีไม้รกฟ้า เป็นที่ตรัสรู้  (ต้นไม้ เดิมเขาเรียกว่าต้นไม้รกฟ้า  แต่พอตรัสรู้ ที่ตรงนั้นเขาเรียกว่า ต้นโพธิ์  เหมือนกัน  โพธิ  แปลว่า รู้)

มีพระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ  และ อโนมะ  อุปัฏฐากชื่อว่า  วรุณะ  อัครสาวิกาเป็นอัครสาวกซ้ายขวาเหมือนกัน มีนามว่า สุมนา และ สุนทรา (อัครสาวิกา หมายความว่าภิกษุณี คือพระผู้หญิงน่ะ)  พระชนมายุพระองค์มีแสนปี  พระสรีระนั้นสูงถึง 58 ศอก  พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไปได้ 12 โยชน์  มีภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร

วันหนึ่ง  เวลาใกล้รุ่ง  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี นั้นเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ

หมายความว่า  ตอนเช้ามืด พระพุทธเจ้าย่อมเข้าสมาบัติ  อันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า  พระพุทธญาณ  เป็นญาณเฉพาะของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ  พระสาวกหรืออัครสาวกไม่สามารถจะทำได้  พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์  ทำอย่างนี้เหมือนกันหมด

ทรงพิจารณาดูสัตว์ในโลกอยู่แล้ว  ก็ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบส  แล้วทรงมีพระพุทธดำริว่า  “เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้  จะเป็นปัจจัยให้เธอได้ฟังพระธรรมเทศนา  จักมีคุณใหญ่  และสรทดาบสนั้นจะปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวก  สิริวัฑฒกฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น  จักปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกที่สอง  (หมายความว่าอัครสาวกเบื้องซ้าย)  ทั้งในการเทศนาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้น  จักบรรลุอรหันต์  เราควรไปที่นั้น”

เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงได้ถือบาตรและจีวรของพระองค์  ไม่ตรัสเรียกใครอื่น  เสด็จไปแต่พระองค์เดียวเหมือนพญาราชสีห์  เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลาผล  ทรงอธิษฐานว่า  “ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นแหละ”  และก็ทรงเสด็จลงจากอากาศประทับยืนบนแผ่นดิน

ขณะนั้น  ท่านสรทดาบสเห็นพระพุทธานุภาพและความสำเร็จแห่งสรีระ  สอบสวนมนต์สำหรับทำนายลักษณะก็ทราบว่า  อันผู้ประกอบลักษณะอย่างนี้  เมื่ออยู่ในท่ามกลางเรือน  ย่อมเป็นพระเจ้าจักพรรดิ  เมื่อออกบวชก็จะต้องเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิดแล้วในโลก (คำว่าเปิดแล้ว  หมายความว่าหมดไป)  บุรุษนี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย   จึงทำการต้อนรับถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์  ได้จัดอาสนะถวายแล้ว  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้  สรทดาบสนั่งในที่อันตนเห็นสมควร  คือต่ำกว่าในส่วนข้างหน้า

ในสมัยนั้น  บรรดาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พัน  ถือผลไม้ต่าง ๆ  อันประณีต  มีรสอันโอชะ มาถึงสำนักของอาจารย์  แลดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับและอาจารย์นั่งแล้ว  จึงได้พูดขึ้นว่า  “ท่านอาจารย์  พวกผมเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า  ในโลกนี้ ผู้เป็นใหญ่กว่าอาจารย์ย่อมไม่มี  และบุรุษผู้นี้เห็นจะเป็นใหญ่กว่าอาจารย์กระมังขอรับ”

ท่านสรทดาบสก็ตอบว่า  “พ่อทั้งหลาย  พวกเจ้าพูดอะไร  พวกเจ้าปรารถนาเพื่อทำเขาสิเนรุซึ่งสูง 68 แสนโยชน์ให้เสมอกับเมล็ดพันธุ์ผักกาดกระนั้นหรือ”

นี่ท่านหมายความว่า  ตัวท่านน่ะเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด  แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีอานุภาพเหมือนกับเขาพระสุเมรุสูง 68 แสนโยชน์

ท่านจึงกล่าวว่า  “ลูกทั้งหลาย  พวกเจ้าอย่าทำการเปรียบเทียบเรากับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย”  ครั้งนั้นดาบสเหล่านั้นคิดว่า  “ถ้าบุรุษผู้นี้จักเป็นคนเล็กน้อยแล้วไซร้  ท่านอาจารย์ของพวกเราคงไม่ชักสิ่งเหล่านี้มาอุปมา  บุรุษผู้นี้จักเป็นใหญ่เพียงไรหนอ”  เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว  เขาทั้งหมดนั่นแหละหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง  ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า

ครั้งนั้น พระอาจารย์กล่าวกับดาบสเหล่านั้นว่า  “ไทยธรรมที่สมควรแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไม่มี  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมาในเวลานี้  เป็นเวลาภิกขาจาร (คือเป็นเวลาบิณฑบาต)  พวกเราจักถวายไทยธรรมตามสติตามกำลัง  พวกเราจงนำผลไม้อันประณีตมีรสอร่อยที่สุดที่มีอยู่มาถวายเถิด”  ครั้นนำมาแล้ว  ล้างมือทั้งสองแล้ว  ตั้งไว้ในบาตรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับผลไม้แล้ว  บรรดาเทวดาทั้งหลายก็โปรยโอชะอันเป็นทิพย์ลง  ดาบสนั้นได้กรองน้ำถวายด้วยตนเอง

เห็นไหม  เทวดาย่องผสมเขาเสมอ  เวลาที่ใครเขาถวายทานแก่พระพุทธเจ้า  เทวดาท่านก็ย่อง ๆ เอาของทิพย์มาโปรยให้เสมอ  เป็นอันว่าทำบุญร่วมกัน

ตอนนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาทรงประทับทำภัตกิจ (คือฉัน) แล้ว  ดาบสนั้นเรียกอันเตวาสิกทั้งสิ้นมานั่ง  กล่าวสาราณียกถา ใกล้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สาราณียกถา คือ ชม  จะไปนั่งกล่าวบนศาลาไม่ใช่อย่างนั้นนะ  ชมเชยความดีของพระพุทธเจ้า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า  “ขออัครสาวกทั้งสองจงมาพร้อมด้วยบรรดาพระภิกษุสงฆ์”

พระอัครสาวกทั้งสองนั้น  ทราบดำริขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสีแล้ว  บรรดาพระขีณาสพหรือพระอรหันต์แสนรูปเป็นบริวาร  ก็มาถวายบังคมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ยืนอยู่   ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น  สรทดาบสเรียกอันเตวาสิกคือลูกศิษย์ทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า “พ่อทั้งหลาย  แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งต่ำ  ซ้ำอาสนะสำหรับสมณะตั้งแสนก็ไม่มี พวกเจ้าควรทำพุทธสัการะให้โอฬารในวันนี้  จงนำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมไปด้วยสีและกลิ่นมาแต่งเชิงเขา”

เวลาที่พูดดูเหมือนกับเนิ่นช้า  แต่ความจริงเรื่องผู้มีฤทธิ์แผลบเดียวก็ได้  จำให้ดีนะ  เพราะเรื่องของท่านมีฤทธิ์  คนอื่นที่ไม่มีฤทธิ์อย่าเข้าไปคิด  คิดแล้วเป็นบ้า เป็นอจินไตย  เวลานี้ มักจะชอบคิดกันวิจารณ์กัน  ทั้งที่ตนเองแม้แต่ศีล 5 ก็ไม่ครบ  บางคนหาศีลไม่ได้เลย  ก็ยังไม่คิดเปรียบเทียบอารมณ์ของตนกับท่านผู้มีฤทธิ์นี่น่าสงสาร

เพราะฉะนั้น  โดยการเพียงครู่เดียวเท่านั้น  บรรดาบุตรทั้งหลายเหล่านั้นก็นำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมไปด้วยสีและกลิ่นมา  แล้วตบแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับพระพุทธเจ้า  ประมาณได้หนึ่งโยชน์  สำหรับพระอัครสาวกทั้งสองประมาณ 3 คาวุธ ( 1 คาวุธ เท่ากับ 100 เส้น  โยชน์หนึ่งเท่ากับ 400 เส้น)  สำหรับภิกษุที่เหลือ ประมาณแตกต่างกัน มีประมาณครึ่งโยชน์เป็นต้น  สำหรับภิกษุใหม่ประมาณ  2  อุสุภะ  (อุสุภะหนึ่งยาว 25 วา)  ใคร ๆ ไม่พึงคิดว่าในอาศรมแห่งเดียวจะตกแต่งอาสนะใหญ่โตเพียงนั้นได้อย่างไร

เรื่องของผู้มีฤทธิ์น่ะมันได้ทั้งนั้นแหละ  อย่างขวดเล็ก ๆ ลูกเดียว  บรรดาพระอรหันต์แสนองค์สามารถอยู่ในนั้นพร้อมกันได้ถ้าทรงอภิญญา  หรือว่าไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เป็นพระผู้ทรงอภิญญาก็สามารถอยู่ได้

เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จแล้วอย่างนั้น  ท่านสรทดาบสก็ยืนประคองอัญชลี  (คือพนมมือ)  เบื้องพระพักตร์  กราบทูลว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอพระองค์ทรงเสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้  เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด พระเจ้าข้า”

ตอนนี้มีภาษิตอยู่ตอนหนึ่ง  ขอกล่าวตามพระบาลีว่า  เพราะเหตุนั้นโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า  สรทดาบสเอาดอกไม้ต่าง ๆ  และของหอมรวมด้วยกัน  ตกแต่งอาสนะดอกไม้ไว้แล้ว  ได้กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า

“ข้าแต่พระวีระ  อาสนะที่ข้าพระองค์ตกแต่งแล้วนี้  สมควรแด่พระองค์  พระองค์เมื่อจะยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว  ขอจงประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้  พระพุทธเจ้าได้ทรงยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว  ยังโลกนี้และเทวโลกให้ร่าเริงแล้ว  ขอจงประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอด 7 วัน 7 คืน”

เอาเข้าแล้ว  นี่ท่านให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง 7 วัน 7 คืน  คงจะนอนด้วยกระมัง  แต่ว่าไม่ได้นะ  ท่านดาบสพวกนี้ท่านได้อภิญญา 5  ท่านทรงสมาบัติ 8  ไอ้เรื่องนั่งเฉย ๆ นอนเฉย ๆ 7 วัน 7 คืน  น่ะมันเรื่องเล็ก ๆ  จะว่ากัน 70 วัน 70 เดือน 70 ปี ก็ยังได้  มันเป็นของไม่ยาก  ถ้าไม่มั่นใจละก็ ลองกันดูก็ได้

ทุกท่าน ถ้าไม่เชื่อว่าคำที่พูดนี้เป็นไปได้  จงทำอภิญญา 5  ให้ปรากฎ  แล้วก็ทรงสมาบัติ 8 ให้ปรากฎ  จะเห็นว่าที่พูดว่า 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นี่มันยังเล็ก  ท่านคงคิดว่าน่าจะพูด 700 ปี 700 เดือน 700 วัน  หรือ 7,000 ปี  7,000 เดือน 7,000 วัน  ถ้าตั้งจิตอธิษฐานด้วยอำนาจของอภิญญา 5 หรือสมาบัติ 8 มันเป็นของเล็กจริง ๆ  เอ้า คุยกันต่อไป

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งแล้ว  พระอัครสาวกทั้งสอง  และภิกษุที่เหลือก็นั่งแล้วอยู่บนอาสนะที่สมควรแก่ตน  ท่านสรทดาบสได้ถือฉัตรดอกไม้ใหญ่  ยืนกั้นเหนือศรีษะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระพุทธองค์ได้ทรงอธิษฐานว่า  “ขอสักการะของชฎิลนี้จงมีผลใหญ่”

นี่เป็นคำครอบ  พระจำให้ดีนะ  กินของเขาแล้วอย่ากินเปล่า  รับของของเขาแล้วอย่ารับเปล่า  ทำจิตให้บริสุทธิ์  ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้  เอาง่าย ๆ  เอาเหมือนพระพุทธเจ้าแล้วกันว่า  “ขอสักการะของท่านผู้นี้ที่สงเคราะห์แก่เราแล้วจงมีผลใหญ่”  เท่านี้พอ

เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว  ก็ทรงเข้า นิโรธสมาบัติ  อัครสาวกทั้งสองก็ดี  ภิกษุที่เหลือก็ดี   ทราบว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เข้านิโรธสมาบัติแล้ว  ก็เข้าสมาบัติบ้าง  คือ ผลสมาบัติ  (อภิญญาผลสมาบัตินะ  เพราะท่านได้อภิญญา)

ส่วนพวกอันเตวาสิก  เมื่อถึงเวลาเที่ยวไปภิกษาบริโภคมูลผลาผลในป่าแล้ว  ก็ยืนประคองอัญชลี  แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย   ตลอดเวลาที่เหลือ   (หมายความว่า  เวลาที่กินอะไรเสร็จก็มายืนไหว้พระพุทธเจ้าตลอด 7 วันเหมือนกัน)

สำหรับพระอาจารย์ไม่ยอมฉันอาหาร  กั้นฉัตรดอกไม้อยู่อย่างนั้นแหละ  ให้เวลาล่วงไปโดยที่มีปีติ คือความอิ่มใจ  แล้วก็สุขตลอด 7 วัน

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ตรัสเรียกพระนิสภเถระ  พระอัครสาวกผู้นั่งข้างขวา  ด้วยรับสั่งว่า  “นิสภะ  เธอจงทำโมทนาอาสนะดอกไม้  แด่บรรดาดาบสทั้งหลายผู้ทำสักการะ”

พระเถระมีใจยินดีประดุจหนึ่งแม่ทัพใหญ่  ประสพลาภใหญ่จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิราช  ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณ  จึงเริ่มอนุโมทนาอาสนะดอกไม้

ในที่สุดแห่งเทศนาของพระนิสภะเถระนั้น  สมเด็จพระภควันต์ได้ตรัสเรียกพระสาวกองค์ที่สองด้วยรับสั่งว่า  “ภิกขเว  ดูกร ภิกษุทั้งหลาย  แม้เธอจงแสดงธรรม”

พระอโนมเถระ  เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย  ได้พิจารณาพระพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกแล้วก็กล่าวธรรม  ด้วยพระธรรมเทศนาของพระอัครสาวกทั้งสอง  การตรัสรู้มิได้มีแก่บรรดาดาบสแม้แต่รูปใดรูปหนึ่ง  เพราะว่าบรรดาดาบสทั้งหมดนี้เป็นผู้ได้อภิญญาและสมาบัติ 8  ฟังเทศน์จากพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว  แทนที่จะบรรลุมรรคผลกลับไม่ได้บรรลุมรรคผล  ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะว่าเป็นดาบสที่มีกำลังใหญ่  และก็ต้องเป็นดาบสที่เป็นวิสัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจะทรงสงเคราะห์เอง  จึงจะมีมรรคมีผล

ครั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา  ตั้งอยู่ในพุทธวิสัยไม่มีปริมาณ (คำว่า พุทธวิสัย  คือวิสัยของพระพุทธเจ้าซึ่งหาประมาณมิได้  มากมายเหลือเกิน)  จึงได้เริ่มแสดงพระธรรมเทศนา  ในกาลจบพระธรรมเทศนา  บรรดาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พัน (ยกเว้นท่านสรทดาบส)  บรรลุอรหันต์ทั้งหมด

องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเหยียดพระหัตถ์แล้วตรัสว่า  “เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด”  ทันใดนั้นเอง  ผมและหนวดของบรรดาชฎิลก็อันตรธานไป  บริขาร 8 ที่สำเร็จไปด้วยฤทธิ์ก็ลงมาสวมกายของพระพวกนั้น

ตามบาลีท่านกล่าวว่า  มีคำถามสอดเข้ามาว่า  “เพราะเหตุไร สรทดาบสจึงไม่บรรลุอรหันต์”  ความจริงท่านน่าจะบรรลุอรหันต์เพราะตั้งใจบวชด้วยดี  ตาพระบาลีท่านแก้ว่า  “เพราะความที่เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน  จึงไม่ได้อรหัตผล”

ตามพระบาลีกล่าวต่อไปอีกว่า  จำเดิมแต่กาลที่ท่านสรทดาบสนั้นเริ่มฟังพระธรรมเทศนาของอัครสาวก  ผู้นั่งบนอาสนะที่สองแห่งพระพุทธเจ้า  ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่  เกิดความคิดขึ้นมาว่า  “โอหนอ  แม้เราได้รับธุระที่พระสาวกรูปนี้ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้จะบังเกิดในอนาคต”

นี่หมายความว่า  พอฟังเทศน์ของพระอัครสาวกแล้ว  ท่านก็คิดว่า  เรานี่อยากจะเป็นอัครสาวกบ้าง  ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเกิดขึ้นในโลกในกาลต่อไป  เราต้องการเป็นอัครสาวก

อย่างนี้ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมี  ตามพระบาลีท่านบอกว่า  จิตฟุ้งซ่าน  ก็หมายความว่า  ซ่านด้วยการฟังแล้วไม่คิดตาม  เพราะว่าเห็นว่าท่านเป็นอัครสาวกมีศักดาใหญ่  ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงให้โอกาสแสดงพระธรรมเทศนาก่อน  จึงเห็นว่า  งานนี้เป็นงานเด่นมาก  เราอยากจะเป็นบ้าง  ฟังไปแล้วก็คิดไป  เลยไม่ได้บรรลุมรรคบรรลุผล

บาลีท่านว่าต่อไปว่า  เพราะอาศัยความปริวิตกอย่างนั้น  สรทดาบสจึงไม่มีโอกาสที่จะถึงทำการแทงตลอดมรรคผลได้

หมายความว่า  เวลาฟังไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณา  ฟังแล้วก็คิดว่าเราอยากจะเป็นอัครสาวก  ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างบรรดาลูกศิษย์ของท่าน  ท่านก็จะได้เป็นอรหันต์และเป็นไม่ยากด้วย  เพราะมีกำลังแรงกล้ากว่าคนอื่น

ท่านจึงยืนถวายบังคม  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วในที่เฉพาะพระพักตร์  ได้กราบทูลว่า  “ภันเต ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า  ภิกษุที่นั่งบนอาสนะลำดับพระองค์ชื่อว่าอะไรขอรับ”

สมเด็จพระจอมไตรทรงพระนามว่าอโนมทัสสี  จึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า  “ภิกษุผู้ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้ว  ให้เป็นไปตามนั้น  บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ  แทงตลอดปัญญา 16 อย่างตั้งอยู่ผู้นี้  ชื่อ่าอัครสาวกในศาสนาของเรา”  (อัคร แปลว่า ผู้เลิศ  เป็นสาวกผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระองค์)

ท่านจึงได้ทำความปรารถนาว่า  “ด้วยผลแห่งสักการะของข้าพระองค์  ตั้งฉัตรดอกไม้ทำแล้วตลอด 7 วันนี้  ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ (คือพระอินทร์)  หรือว่าต้องการจะเป็นพรหม  แต่ว่าข้าพระองค์ขอพึงเป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาล  เหมือนพระนิสภเถระองค์นี้”  เห็นไหมล่ะ  ท่านตั้งใจจะเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง  แต่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ท่านมีเสียแล้วนี่  ก็ต้องรอต่อไป

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี  เมื่อสดับถ้อยคำของสรทดาบสดังนี้  จึงได้พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ  ทรงพิจารณาว่า  ความปรารถนาของบุรุษจักสำเร็จหรือไม่หนอ   พระองค์ทรงเห็นว่าผ่านไป  1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแล้วจะได้สำเร็จ ครั้นทรงเห็นแล้ว  จึงตรัสกับสรทดาบสว่า

“ความปรารถนาของท่านนี้จักไม่เปล่าประโยชน์     เพราะว่าในอนาคตล่วงไป1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม  จะทรงอุบัติขึ้นในโลก  พระมารดาของพระองค์จักมีพระนามว่า  มหามายาเทวี  พระพุทธบิดาของพระองค์จะมีพระนามว่า  สุทโธทนมหาราช  พระโอรสจะมีพระนามว่า ราหุล  พระผู้อุปัฏฐากจะมีพระนามว่า  อานนท์  พระสาวกที่สองคืออัครสาวก  จักมีพระนามว่า  โมคคัลลานะ  ส่วนตัวท่านจะเป็นอัครสาวกของพระองค์นามว่า  ธรรมเสนาบดีสารีบุตร

ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสนั้นแล้ว  ตรัสธรรมกถา  มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้วเหาะไป

เป็นอันว่า  คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรทรงบอกละเอียด  รู้ละเอียด  ญาณนี้จะมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ฝ่ายสรทดาบสได้ไปยังสำนักของพระเถระผู้เป็นอันเตวาสิก  แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ  ขอท่านทั้งหลายจงบอกแก่สหายของข้าพเจ้าว่า  สรทดาบสผู้สหายของท่าน ได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม  ซึ่งจะทรงอุบัติขึ้นในอนาคตกาล  แทบบาทมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า อโนมทัสสีแล้ว  ท่านจงปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่สองเถิด”

ท่านบอกแก่บรรดาพระที่เป็นอรหันต์ที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน ให้ไปบอกเพื่อน  แต่ท่านเองก็ไปเหมือนกัน  ไปแล้วได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของสิริวัฑฒะ

สิริวัฑฒะได้กล่าวว่า  “นานนักหนอพระคุณเจ้าของเราจึงมา”  จึงได้นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ  ตนนั่งบนอาสนะต่ำกว่า  แล้วเรียนถามว่า  “ทำไมอันเตวาสิก บริษัทของพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงหายไปแล้วเจ้าข้า”

สรทดาบสจึงได้กล่าวว่า  “พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีเสด็จมายังอาศรมเป็นวันที่เจ็ด  แล้วก็เพิ่งเสด็จกลับวันนี้  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมา  เราทำการสักการะแล้ว  สมเด็จพระประทีปแก้วแสดงพระธรรมเทศนาโปรด  ในเวลาที่จบพระธรรมเทศนา เว้นข้าพเจ้าคนเดียว  นอกจากนั้นบรรลุอรหันต์ทั้งหมด  และก็บวชเสียแล้ว  ข้าพเจ้าเห็นพระนิสภเถระ  อัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงมีความปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้า  มีนามว่า “พระสมณโคดม”  ซึ่งจะอุบัติขึ้นในโลกในอนาคตกาล  แม้เธอก็จงตั้งความปรารถนาในตำแหน่งอัครสาวกที่สอง  ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นเหมือนกัน  เพราะเราเป็นเพื่อนกัน”

ท่านสิริวัฑฒะจึงกล่าวว่า  “ข้าพเจ้าไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสียเลย  จะทำยังไงล่ะขอรับ”

ท่านสรทะจึงกล่าวว่า  “เรื่องที่จะทูลกับพระพุทธเจ้าเป็นภาระของข้าพเจ้าเอง  ขอท่านจงจัดสักการะที่ยิ่งใหญ่ไว้เถอะ”

ท่านสิริวัฑฒะฟังคำของดาบสผู้ป็นสหายแล้ว  ได้ทำสถานที่มีประมาณ 8 กรีส (1 กรีสเท่ากับ 125 ศอก  หรือว่า 1 เส้นกับ 11 วา  กับอีก 1 ศอก)  ท่านกล่าวว่า  ได้ทำสถานที่ประมาณ 8 กรีส โดยมาตราหลวง  ที่ประตูเรือนของตนให้มีพื้นที่เสมอกัน  แล้วเกลี่ยทรายโปรยดอกไม้ และทำมณฑปมุงไปด้วยดอกอุบลสีเขียว (ดอกบัวสีเขียว)  ตกแต่งพุทธอาสน์  จัดอาสนะบรรดาภิกษุทั้งหลายผู้เป็นบริวาร  จัดสักการะและเครื่องต้อนรับไว้เป็นอันมาก  ได้ให้สัญญาแก่ท่านสรทดาบสเพื่อประโยชน์แห่งการนิมนต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระนามว่าอโนมทัสสี

สำหรับพระดาบส  ได้พาภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไปที่อยู่ของสิริวัฑฒกฎุมพีแล้ว  สิริวัฑฒกฎุมพีทำการต้อนรับ  รับบาตรจากพระหัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เชิญเสด็จให้เข้าไปสู่มณฑป   ถวายน้ำทักษิโณทก (น้ำฉัน) แก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ซึ่งนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้  ได้ถวายโภชนะอันประณีต

ในเวลาที่เสร็จภัตกิจ  นิมนต์ภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ครองผ้าอันมีค่ามากแล้ว  จึงได้กราบทูลว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ความริเริ่มนี้มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งมีประมาณน้อย  ขอพระองค์จงทำความอนุเคราะห์โดยทำนองนี้  สิ้นเวลา 7 วัน”

องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงรับแล้ว เขายังมหาทานให้เป็นไป  โดยทำนองนั้นแหละตลอด 7 วัน  ถวายบังคมองค์สมเด็จพระภควันต์ยืนประคองอัญชลี  กราบทูลว่า  “พระพุทธเจ้าข้า  สรทดาบส สหายของข้าพระองค์ปรารถนาว่า  เราพึงเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใด  ข้าพระองค์พึงเป็นอัครสาวกองค์ที่สอง  คือเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเหมือนกัน”

สมเด็จพระภควันต์ทรงพิจารณาถึงอนาคตกาล  ทรงเห็นภาวะคือความสำเร็จแห่งความปรารถนาของเขา   จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า  “แต่นี้ล่วงไป 1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป  แม้ท่านก็จักได้เป็นอัครสาวกองค์ที่สองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม”

ท่านสิริวัฑฒะฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ได้เป็นผู้มีความร่าเริงบันเทิงใจ  แม้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนา  พร้อมด้วยบริวารเสด็จไปยังวิหาร

คำว่า ภัตตานุโมทนา  ก็หมายความว่า  อนุโมทนาในอานิสงส์ของการถวายทานแล้ว

เป็นอันว่าเมื่อกล่าวเรื่องนี้จบ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงกล่าวแก่บรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  “ก็บุตรของเราคือ โมคคัลลาน์และสารีบุตร  เขาตั้งความปรารถนาเป็นอัครสาวกตั้งแต่สมัยนั้น  ฉะนั้น  เมื่อถึงเวลาแล้ว  เราจึงได้ตั้งท่านทั้สองเป็นอัครสาวก  จะถือว่าการแต่งตั้งนี้เป็นการเลือกหน้าซึ่งกันก็หาไม่  เพราะเป็นการแต่งตั้งตามความปรารถนาเพื่อตนของตนได้บำเพ็ญไว้แล้ว ได้ตั้งใจแล้ว”

เป็นอันว่า  เรื่องบุพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสองก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CD%D1%A4%C3%CA%D2%C7%A1&getarticle=155&keyword=&catid=3-


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CD%D1%A4%C3%CA%D2%C7%A1&getarticle=155&keyword=&catid=3


.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:19:44 »

บุพกรรมของพระสิวลี

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ท่านกล่าวว่า  สมัยหนึ่งบรรดาภิกษุทั้งหลาย  คำว่าสมัยหนึ่งก็คือเวลาต่อมานั่นเอง คือไม่ใช่เวลาเดี๋ยวนั้น  หลังจากฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  บรรดาภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันว่า  ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  เพราะเหตุอะไรหนอแล  พระสีวลีเถระจึงเป็นผู้อยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แล้วก็เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงได้ไหม้ในนรก เพราะกรรมอะไร จึงได้ถึงความเป็นผู้เลิศในลาภ และมียศเลิศอย่างนั้น

                        หมายความว่าพระสีวลีนี้  เวลาแม่ตั้งท้อง  อยู่ในท้อง  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  และก่อนที่พระสีวลีจะมาเกิด  ท่านก็นอนในนรกสิ้นกาลนาน  เมื่อเกิดแล้วมาเป็นพระ คราวไปป่า คราวนี้มีลาภมาก  เทวดาปรารภพระสีวลีแต่ผู้เดียวว่า  การทำบุญคราวนี้เราต้องการถวายหลวงปู่สีวลี  หลวงพ่อสีวลีของเราเท่านั้น  แม้แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ คือพระพุทธเจ้าไปด้วย  เทวดาก็ไม่ได้ปรารภ  พระพุทธเจ้านี้ถ้าเป็นคนที่มีกิเลส  เห็นใครเขามาบูชาลูกน้องมากกว่า  น่ากลัวว่าลูกน้องจะลำบาก  ทั้งนี้ เพราะอะไร  เพราะว่าลูกพี่แกจะอิจฉาเอา  แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้น  พระองค์ทรงยกย่อง  ถ้าลูกศิษย์องค์ไหนดี ก็ยกย่องว่าเป็นพระดี เป็นพระควรแก่การบูชา

                        ในลำดับนั้น  เวลาที่บรรดาภิกษุทั้งหลายโดยทั่วหน้ากำลังปรารภกันว่า พระสีวลีนี้เป็นเพราะกรรมอะไร จึงได้อยู่ในท้องแม่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  เป็นเพราะกรรมอะไรจึงได้ลงไปในนรกสิ้นกาลนาน  เป็นเพราะกรรมอะไร  เวลาที่เกิดมานี้จึงมีลาภมาก  จึงมียศใหญ่  เป็นที่เคารพของเทวดาทั้งหลาย

                        ในขณะที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายคุยกันอยู่นั้น  องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จพระทับอยู่ในพระคันธกุฎี  สมเด็จพระพิชิตมารฟังเสียงของบรรดาพระสงฆ์ด้วยทิพโสตญาณ  คือหูทิพย์  คุยอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็ได้ยิน  องค์สมเด็จพระมหามุนีใคร่จะเปลื้องความสงสัยของบรรดาภิกษุทั้งหลาย  สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เสด็จมา

                        เมื่อเสด็จมาถึงแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เสด็จประทับอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว  จึงถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอกล่าวอะไรกัน  พวกเธอพูดอะไรกัน

                        บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า  ข้าพระพุทธเจ้ากำลังปรารภเรื่องบุพกรรมของพระสีวลีพระพุทธเจ้าข้า  พวกข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยว่า  ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะคราวนี้  ปรากฎว่าพระสีวลีแสดงบุญญาธิการเป็นที่เลื่อมใสของบรรดาเทวดาทั้งหลาย  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเกิดสงสัยว่า  ทำไมพระสีวลีมีบุญญาธิการขนาดนี้  จึงได้ต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน และก่อนจะมาเกิดก็ได้ตกนรกเสียก่อน  เมื่อมาเป็นคนแล้ว ก็มีบุญใหญ่ มีลาภมาก มียศศักดิ์มาก ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยอย่างนี้พระพุทธเจ้าข้า

                        เป็นอันว่า  เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลดังนี้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพยากรณ์บุพกรรมของพระสีวลีว่า  เหตุที่พระสีวลีต้องไปอยู่ในท้องแม่ถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นต้น  มาจากกรรมที่เป็นอกุศลอะไร

                        บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับเรื่องราวบุพกรรมของพระสีวลีก็ของดไว้ก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนพงคลสมบูรณ์พูนผล  และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

                                                             *****************

 

                        บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  สำหรับตอนที่แล้ว  ได้มาจบลงตรงที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพากันมาประชุมกัน  หลังจากที่กลับมาจากที่อยู่ของพระเรวัตตะแล้ว  ต่างพากันมารำพึงว่า  เหตุใดพระสีวลีจึงต้องอยู่ในท้องมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเพราะกรรมอะไร  พระสีวลีจึงต้องตกนรก  หลังจากนั้นก็เป็นผู้มีลาภมาก  มียศใหญ่

                        หลังจากบรรดาภิกษุทั้งหลายได้พากันประชุมหารือกัน  ขณะเดียวกันนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมา  แล้วถามบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  เธอพูดปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องอะไร  บรรดาภิกษุทั้งหลายกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตามที่กล่าวมาแล้ว  หลังจากนั้น  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้นำเอาบุพกรรมของพระสีวลีมาแสดงแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  ซึ่งเรื่องจะได้เริ่มขึ้นในตอนนี้

 

พระราชากับประชาชนแข่งกันทำบุญ

 

                        ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า  ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา  ได้ทรงมีพระพุทธฎีการตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  ในกัปที่ 91 กับ นับถอยหลังไปจากนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก  สมัยหนึ่งเสด็จจาริกไปในชนบท  กลับมาสู่พระนครของพระราชบิดาแล้ว  สมเด็จพระวิปัสสีท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกัน  พระราชาทรงเตรียมอาคันตุกะทาน

                        อาคันตุกะทานคือ ทานแก่พระผู้มา หรือแขกผู้มา  อาคันตุกะ แปลว่า แขกผู้มา พระท่านมาจากที่ไกล  ไม่ได้ประจำอยู่เฉพาะ  ถือว่าเป็นอาคันตุกะ  ทานังแปลว่า การให้  หมายความว่า  ตั้งใจถวายทานแก่พระอาคันตุกะทั้งหมด  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  เพื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

                        แล้วก็ส่งข่าวให้แก่ชาวเมืองทั้งหลายว่า  ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา  หมายความว่า  พระองค์ให้ส่งข่าวให้ชาวบ้านมาร่วมกันบำเพ็ญทาน  บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว  คิดว่าเราก็จะต้องถวายทานแด่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเหมือนกัน  แต่ชาวบ้านเขาคิดกันว่า  พวกเราจักถวายทานนี้ให้ยิ่งกว่าทานที่พระราชาถวายแล้ว  เขาเรียกว่าแข่งกันดี  หรืออวดดี ไม่ใช่อวดเลว  เมื่อพระราชาถวายทานแบบไหน  เราจะทำไม่ให้แพ้พระราชา  อย่างนี้เขาเรียกว่าอวดดี ควรอวด

                        จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันรุ่งขึ้น  แล้วก็แต่งทานถวาย แล้วก็ส่งข่าวไปทูลแด่พระราชา  พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรทานของประชาชนเหล่านั้นแล้วดำริว่า  เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่าทานนี้  คือดีกว่า ประเสริฐกว่าที่บรรดาประชาชนถวายแล้ว

                        ในวันรุ่งขึ้น  จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  พร้อมไปด้วยบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย  พระราชาไม่ทรงสามารถจะให้ชาวเมืองแพ้ได้  เป็นอันว่าต่างคนต่างถวายแข่งกัน  พระราชาถวายแบบนี้ได้  ชาวเมืองก็ถวายได้  ทำให้ดีกว่าพระราชา  พระราชาก็ทำให้ยิ่งไปกว่าชาวเมือง  ชาวเมืองก็ทำให้ยิ่งกว่าพระราชา  ว่ากันอย่างนี้เป็นลำดับ

                        แล้วท่านกล่าวว่า  ถึงชาวเมืองก็ไม่สามารถให้พระราชาท่านแพ้ได้  ต่างคนต่างไม่มีใครแพ้ใคร  วันนี้เราถวายเพียงนี้  วันรุ่งขึ้นเขาถวายยิ่งไปกว่า  วันรุ่งขึ้นอีกเราก็ถวายยิ่งไปกว่านั้น  ฉะนั้น  ในครั้งที่ 6  ชาวเมืองจึงมาคิดว่า  บัดนี้  พวกเราจักถวายทานในวันพรุ่งนี้  จะทำเรื่องของทานที่เราทำทั้งหมด  โดยที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า  วัตถุชื่อนี้ไม่มีในทานของเรานี้

                        เป็นอันว่าการแข่งการให้ทาน  ยิ่งประเสริฐเท่าไร มากเท่าไร  เกิดการไม่แพ้กันขึ้นมาแล้ว  ชาวเมืองคิดใหม่ว่า  ขึ้นชื่อว่าทานทั้งหมดที่เราจะถวายในวันพรุ่งนี้  ไม่ว่าอะไรทั้งหมดจะไม่มีใครมาติได้เลยว่า  สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งมันไม่มีในที่นั้น  จะต้องมีทุกอย่าง

 

ขาดน้ำผึ้งดิบ

 

                        เมื่อต่างคนต่างคิดแล้ว  วันรุ่งขึ้นได้จัดแจงของถวาย  เสร็จแล้วตรวจดูว่า มีอะไรหนอแลที่ยังไม่มีอยู่ในที่นี้อีก  มองไปมองมาก็มองไม่เห็นน้ำผึ้งดิบ  จะมีก็แต่น้ำผึ้งสุก  น้ำผึ้งดิบไม่มี  ส่วนน้ำผึ้งสุกมีมาก   บรรดาชนทั้งหลายเหล่านั้น จึงใช้ให้คน ๆ พวก นำทรัพย์ไปพวกละหนึ่งพันกหาปณะ  คือหนึ่งพันตำลึง  ไปยืนอยู่ที่ประตูพระนคร 4 ประตู  เพราะประตูเมืองมันมีอยู่ 4 ประตู  เพื่อต้องการน้ำผึ้งดิบ  หมายความว่า ถ้ามีคนเขาเอามา เราก็ไปซื้อ

                        ครั้งนั้น  คนบ้านนอกคนหนึ่ง  มาเพื่อจะเยี่ยมพวกชาวบ้านในเมือง  ก็ไม่เห็นจะมีอะไรติดมือมาได้  เพราะแกอยู่ป่า  ก็ถือรวงผึ้งมา 1 รวง  ไล่ตัวผึ้งออกให้หนีไปหมดแล้ว  จึงตัดกิ่งไม้แล้วก็ถือรวงผึ้งนั้นมา  พร้อมทั้งไม้คอนเสร็จ  จึงเข้ามาสู่เมือง  ด้วยคิดตั้งใจว่า  เราจะไปให้กับเพื่อนของเราในเมือง  สำหรับคนที่ไปยืนอยู่หน้าประตูเมือง เห็นบุรุษคนนี้ถือรวงผึ้งมา เป็นคนบ้านนอก จึงถามว่า   ท่านผู้เจริญ  น้ำผึ้งนี้ท่านขายไหม  คนบ้านนอกคนนั้นบอกว่า  น้ำผึ้งฉันไม่ขาย  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  คนทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า  ท่านผู้เจริญ  ท่านรับเอากหาปณะเท่านี้  คือท่านขายน้ำผึ้งให้เรา  เราจะให้ 4 บาท หรือ 1 ตำลึง  คนบ้านนอกก็คิดว่า  รวงผึ้งนี้ราคาไม่ถึงบาท  แต่ว่าเจ้านี่จะให้สตางค์ถึง 4 บาท  น่ากลัวเจ้าคนนี้มันจะสติไม่ดี  ให้มากเกินไป เรายังไม่ให้  ต้องขึ้นราคาก่อน  แกก็เป็นนักฉวยโอกาสเหมือนกัน

                        แกจึงกล่าวว่า  เราไม่ให้  เราให้ไม่ได้  ราคา 1 ตำลึง น้ำผึ้งรวงนี้ให้ไม่ได้  ราคามันแพง  พวกนั้นก็ขึ้นราคาเป็น 2 ตำลึง  3  ตำลึง  4  ตำลึง  ก็ว่ากันดะไป  ผลที่สุดก็ขึ้นราคาถึง 1,000 ตำลึง  สำหรับบุรุษผู้นั้นจึงคิดว่า  คนพวกนี้น่ากลัวจะสติไม่ดี  น้ำผึ้งรวงเดียวราคาไม่ถึงบาท  มันดันให้ตั้งพัน  และก็บอกด้วยว่า  ฉันมีอยู่แค่ 1,000 ตำลึงเท่านั้นนะ  หมด ขอท่านจงให้น้ำผึ้งแก่เรา

                        แต่ทว่าบุรุษผู้มาจากป่าแกก็เป็นคนมีปัญญา  คิดว่าต้องมีอะไรพิเศษสักเรื่องหนึ่ง  จึงได้ถามว่า  ผู้เจริญ  ข้าพเจ้ารู้ว่ากรรมที่ข้าพเจ้าจะทำในน้ำผึ้งนั้นมีอยู่  เพราะเหตุใดท่านจึงมาขึ้นราคาอย่างนี้  พวกนั้นก็ถามว่า  น้ำผึ้งท่านจะไปทำอะไร  แกก็บอกว่า  ฉันจะไปให้เพื่อนของฉัน  ฉันเป็นคนอยู่ป่า  มาคราวหนึ่งไม่มีอะไรติดมือมามันก็ไม่ดี  พวกนั้นก็บอกว่า  ฉันเองก็มีความจำเป็นด้วยเรื่องน้ำผึ้งดิบ  อย่างอื่นมีครบ  จึงให้ราคาถึง 1,000 ตำลึง  ความจริงฉันรู้ว่า  น้ำผึ้งนี้ราคามันไม่ถึงบาท  แต่ด้วยความจำเป็นจึงให้

                        คนบ้านนอกจึงถามว่า  เรื่องอะไรจึงได้ให้ราคาแพง  บอกมาสิ  อยากจะรู้ ถ้าควรจะให้ก็ให้  บรรดาคนพวกนั้นบอกว่า  พวกข้าพเจ้าเตรียมการถวายทานเป็นการใหญ่ เพื่อสมเด็ยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล  ผู้มีสมณะ คือพระ รวมด้วยกันทั้งหมด  พระที่เป็นบริวาร 6,800,000 องค์  และก็มีพระพุทธเจ้าอีก 1  ในมหาทานครั้งนี้  อะไร ๆ ของเราก็มีหมด  ไม่มีอยู่อย่างเดียวคือน้ำผึ้งดิบเท่านั้น

                        เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจึงขอซื้อรวงผึ้งของท่านด้วยราคาแพง  เพราะว่าต้องการจะเอาบุญ  เพราะทานคราวนี้มีความประสงค์ว่าจะให้มีทุกอย่าง  ขึ้นชื่อว่าอะไรในทานนั้นไม่มี  เราไม่ต้องการ  ต้องการให้มันครบ  ฉะนั้นจึงยอมซื้อของแพง ขอให้ขายเถิด

 

ทำบุญปิดท้าย

 

                        คนบ้านนอกแกก็บอกว่า  ถ้าเป็นอย่างนั้นเพื่อนข้าพเจ้าก็จักไม่ให้  ด้วยราคาเรื่องการซื้อไม่ยอมขาย  แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมให้เราร่วมบุญร่วมกุศลด้วยจะให้  บรรดาคนพวกนั้นจึงได้ส่งข่าวไปหาหัวหน้าในเมือง  บอกว่าเวลานี้เจอะคนนำน้ำผึ้งดิบมาแล้ว  แต่ว่าเขาไม่ยอมขาย  แต่ให้เขาร่วมบุญด้วยละก็เขาจะให้

                        เมื่อชาวเมืองทราบที่ศรัทธาของเขามี  จึงได้ยกมือสาธุ  ดีแล้ว ๆ พ่อคุณเอ๋ย  มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วยกันเถิด  เรื่องบุญนั้นไม่หวง  ที่ต้องการน้ำผึ้งที่ต้องซื้อเพราะเกรงว่าจะไม่ยอมทำบุญด้วย  จึงกล่าวว่า ขอเขาจงเป็นผู้มีส่วนได้บุญ มาร่วมบุญกัน  บรรดาพวกชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น  เมื่อได้น้ำผึ้งแล้ว  ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  ให้มาเสวยอาหาร ถวายข้าวต้ม ถวายของเคี้ยว

                        ทีนี้เขาบอกว่า  ให้คนนำเอาถาดทองคำใบใหญ่มาแล้ว   แล้วก็บีบรวงผึ้งลงไป  เอาน้ำหวานออก  แม้กระบอกนมส้มอันมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นนำมาเพื่อต้องการจะเป็นของกำนัลมีอยู่  เขาก็เทนมส้มเหล่านั้นลงไปในถาดทองคำ  เคล้ากับน้ำผึ้งนั้น  ได้ถวายแก่บรรดาพระภิกษุสงฆ์   มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  น้ำผึ้งนั้นก็ทั่วถึงแก่บรรดาพระภิกษุ
ทุกรูป

                        อย่าลืมว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว มีพระสงฆ์ถึง 6,800,000 องค์  น้ำผึ้งรวงเดียวกับนมสัมหน่อยหนึ่งที่เขาผสมกันพอดิบพอดี  คือเหลือจากพระเสียอีก  ท่านกล่าวว่า ผู้รับเอาจนพอความต้องการ  หมายความว่า  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพอหมดแล้ว  แถมเหลือเสียด้วยซ้ำ

                        ตอนนี้พระบาลีท่านกล่าวว่า  ใคร ๆ ก็คิดไม่ได้ว่า  น้ำผึ้งน้อยอย่างนั้นจะเพียงพอกับภิกษุ 6,800,000 องค์ได้อย่างไร  ท่านกล่าวต่อไปตามพระสูตรว่า  จริงอยู่ น้ำผึ้งนั้นถึงได้ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า  น้ำผึ้งนั้นมีมากมายด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า  แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า  ขึ้นชื่อว่าพุทธวิสัย  ใคร ๆ ก็ไม่ควรคิด

 

อจินไตย

 

                        ท่านบอกว่า  จริงอยู่ เหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ไม่ควรคิด  ใคร ๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า  ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นคนบ้าเอาละสิ  ท่านบอกว่า  สิ่งที่เป็นอจินไตยไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว  เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวก็คือ

                        1.  พุทธวิสัย  วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เราคิดไม่ได้  ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า  เพราะว่าเรารู้ไม่ได้

                        2.  ฌานวิสัย  วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน  ถ้าเราไม่สามารถได้ฌานสมาบัติ  เราอย่าไปคิดเรื่องฌานสมาบัติ  ยิ่งคนสมัยปัจจุบันย่อมอยากจะพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานบ้าง  เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง  แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านี้  พระพุทธเจ้ากล่าวว่า  ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงก็ไม่ควรจะคิด  คิดเท่าไรมันก็ผิด

                        3.  กรรมวิสัย  คือกฎของกรรม  เรื่องกฎของกรรมนี้ก็เหมือนกัน  อย่าไปคิดมันคิดไม่ออกหรอก  นอกจากว่าเราจะได้วิชชาสาม  อภิญญาหก  แล้วก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นอรหันต์  จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้  ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด  คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้

                        4.  โลกจินไตย  เรื่องของโลก  เรื่องของโลกนี้  เราจะคิดว่ามันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด  มันไม่มีทางจบ  คือโลกหาที่สุดไม่ได้

                        จำไว้ให้ดีว่า เหตุ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ควรคิด  ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ  นั่นก็คือ หนึ่งพุทธวิสัย  สอง ฌานวิสัย  สามกรรมวิสัย  สี่  โลกจินไตย

 

กลับมาเกิดใหม่เป็นพระราชากรุงพาราณสี

 

                        สำหรับบุรุษนั้น  เมื่อทำทานประมาณเท่านั้นแล้ว  ท่านกล่าวว่า  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  ก็บังเกิดในเทวโลกเป็นเทวดาท่องเที่ยวไป  สิ้นกัปมีประมาณเท่านี้ คือ 91 กัป  เป็นเทวดาเกะกะ ๆ อยู่  91  กัป

                        ในสมัยหนึ่งจุติจากเทวโลกแล้ว  ก็มาบังเกิดในกรุงพาราณสี  โดยกาลที่พระชนกทิวงคตแล้ว  เขามาเกิดเป็นลูกพระราชาในตระกูลพาราณสี  เมื่อพระราชบิดาตาย ทิวงคต  เขาแปลว่า ตาย  สวรรคต  จึงได้เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา

                        มาในครึ่งหนึ่งท้าวเธอคิดว่า  เราจะยึดเอาพระนครนครหนึ่ง  ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าให้ได้  จึงได้เสด็จไปแล้วก็ล้อมพระนครนั้นไว้  แล้วก็ส่งสาส์นกับชาวเมืองว่า  ท่านจะให้ราชสมบัติคือสมบัติแก่เรา หรือจะให้เรารบ  บรรดาชาวเมืองทั้งหลายเหล่านั้นตอบว่า เราจะไม่ให้ราชสมบัติ  และเราก็จะไม่ให้ทั้งการรบ  เราจะปิดประตูเมืองไม่ให้ท่านเข้า ดังนี้

                        พระราชาองค์นั้นก็ล้อมไว้  แล้วก็ปิดประตูเมือง ประตูใหญ่  แต่ว่าชาวเมืองก็อาศัยประตูเล็กออกไปหาฟืน  หาน้ำ  มาทางประตูเล็ก  ทำธุรกิจทุกอย่าง  การล้อมของพระราชาจึงไม่มีผล  ต่อมาเมื่อพระราชาปิดประตูเมืองของเขา  ล้อมไม่ให้เขาออกไว้สิ้นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ล้อมไว้  ต้องการให้คนในเมืองเขาอดตาย จะได้ยอมแพ้  เขาก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเขาออกทางประตูเล็กมาหากินกันได้

 

กรรมที่ล้อมเมือง

           

                        ในกาลต่อมา  พระราชชนนีคือมารดาพระราชาองค์นั้น  ตรัสถามบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า  ลูกชายของเราเขาทำอะไร  บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ไปล้อมเมืองไว้พระเจ้าข้า  ล้อมประตูใหญ่หมด  ท่านจึงตรัสว่า  พุทโธ่เอ๋ย...ลูกชายของฉันนี้  มันไม่น่าจะโง่อย่างนี้เลย  ก็ไปล้อมประตูใหญ่แล้วก็ไม่ล้อมประตูเล็ก  คนเขาก็ออกมาหากินกันได้  จงล้อมประตูเล็ก ๆ เสีย  ประตูช่องเล็ก ๆ ปิดมันเสีย  ชาวเมืองออกมาไม่ได้  ประเดี๋ยวมันก็ยอมแพ้

                        อำมาตย์จึงได้ไปส่งข่าวพระราชา  ท้าวเธอทรงสดับคำของพระราชชนนีแล้ว  ก็มีคำสั่งให้ปิดประตูเล็ก  คือกันคนออกทางด้านประตูเล็กเสียอีก  ฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปหากินภายนอกไม่ได้  ก็เริ่มอด  อดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร  ในวันที่ 7  จึงพากันปลงพระชนม์พระราชาของตนเสีย  แล้วก็ได้เปิดประตูเมืองรับพระราชาองค์นั้น  ถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์

                        ท้าวเธอทรงทำกรรมแบบนี้  ในกาลเป็นที่สุดแห่งอายุ  หมายความว่าเวลาที่ตาย แล้วก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก  ไหม้อยู่แล้วในอเวจีมหานรกนั้น  ตราบเท่ามหาปฐพี คือผืนแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณ 1 โยชน์  โทษของการล้อมเมืองเขา  ทำให้เขาฆ่าพระราชาของเขา  ลงนรกอเวจีด้วย  แล้วให้แผ่นดินหนา 1 โยชน์  ไม่รู้เวลาเท่าไร

                        ครั้งจุติจากอัตภาพ  คือพ้นจากนรกนั้น  แล้วก็มาปฏิสนธิในท้องของมารดานั่นแหละ  หมายความว่า มารดาในสมัยนั้นก็มาเป็นแม่สมัยนี้  เข้าไปอยู่ในท้องแม่สิ้น 7 ปี 7 เดือน 7 วัน  แม่ต้องถูกทรมานด้วย  ก็เพราะอาศัยที่ให้คำแนะนำกับลูก  แต่บังเอิญแม่ไม่ได้ตกนรกด้วย  จึงได้คลอด  เพราะโทษที่แม่ต้องรับโทษด้วย  เพราะว่าสั่งให้ปิดประตูเล็ก 4 ประตู  นี่เป็นกรรมของพระสีวลีที่ต้องตกนรก  และก็อยู่ในท้องแม่

                        องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  พระสีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลนานประมาณเท่านี้  เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนคร  และยึดไว้ในกาลนั้น  และถือปฏิสนธิของมารดานั้นนั่นแหละ  อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น  7 ปี 7 เดือน 7 วัน  ก็เพราะว่าความที่เธอปิดประตูเล็กทั้ง 4  ต่อมา  เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภมากและมียศเลิศ  ก็เพราะว่าการที่เธอถวายน้ำผึ้ง ด้วยประการฉะนี้

                        ในวันรุ่งขึ้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า  แม้สามเณรผู้เดียว ทำเรือน 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป  มีลาภมีบุญน่าชมจริง ๆ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วถามว่า  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้ เธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับถ้อยคำเช่นนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า

                        “ดูกร  ภิกษุทั้งหลาย  บุตรของเราไม่มีบุญ  ไม่มีบาป  ก็เพราะว่าบุญบาปทั้งสองของเธอละเสียแล้ว”

                        จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า

                        “บุคคลใดในโลกนี้  พ้นเครื่องข้องทั้งสองอย่าง คือบุญและบาป  เราเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้ไม่โศก  ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี  ผู้หมดจดว่าเป็นพราห์ม”

                        เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย  เรื่องราวของบุคคลตัวอย่าง  จงจำไว้ด้วยว่า  กฎของกรรมของพระสีวลีท่านมีลาภมาก  มียศยิ่งใหญ่มาก  การที่มีลาภก็เพราะว่าถวายรวงผึ้ง  แต่ว่าต้องลงในนรก  เพราะอาศัยที่ไปปิดล้อมเมืองเขาไว้  และมารดาผู้เป็นต้นคิดก็มีปัจจัยร่วมเช่นเดียวกัน

                        เอาละ  สำหรับเรื่องราวของบุพกรรมของพระสีวลี  ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี.


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3-



http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CA%D5%C7%C5%D5&getarticle=107&keyword=&catid=3

.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:21:00 »

บุพกรรมขององคุลีมาล

http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%CD%A7%A4%D8%C5%D5%C1%D2%C5&getarticle=34&keyword=&catid=3-
 

                        “หลวงพ่อคะ  หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่ง  คือ  นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่และเคยทุบตีพ่อแม่  พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ  คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง  แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ....”

                        ก็ไม่ใช่บาป

                        “แล้วกฎของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ...”

                        นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่  ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว  ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด  คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน  มีจาคะเสมอกัน  มีปัญญาเสมอกัน  มีศีลเสมอกัน  เสมอกับพ่อแม่  จึงจะเข้าสู่ครรภ์ตระกูลนั้นได้

                        แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ  บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี  ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้

                        หมายความว่า  กรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ  และในช่วงหนึ่งของชีวิต  เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้  เพราะว่าตอนต้น ๆ พ่อเลวแม่เลว  แต่เขาอาจมีดีอยู่  เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น  กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน  แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง

 

องคุลีมาล

                        “อย่างนั้น  พระองคุลีมาลที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ  ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ......”

                        อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม  คือถอยหลังจากชาตินี้ไปหนึ่งชาติ  ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน  ท่านเกิดเป็นควายป่า  เป็นควายแต่ว่ามีความสามารถมาก  มีความเก่งกล้ามาก  สัตว์ในป่าทุกประเภทไม่มีใครสู้ได้เลย  มีความว่องไว  เขาก็แหลมคม  มีกำลังดีมาก  ปะทะกันก็แพ้หมดทุกประเภท  สัตว์ในป่าทุกประเภทเห็นท่านเดินไปก็ยอมซูฮก

                        ทีนี้แกก็นึกในใจว่า  อ้ายสัตว์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดเป็นลูกน้องของเราทั้งหมด  แต่อ้ายสัตว์ชาวบ้านเขาเลี้ยงมันจะเก่งแค่ไหน  เลยออกมาก็ไล่ขวิดวัวควายช้างม้าเตลิดเปิดเปิงหมด  ออกมาทีไรก็ทำแบบนั้นทุกคราว  ชาวบ้านเขาก็รำคาญ  เขาก็โกรธอ้ายควายป่าตัวนี้  ออกมาทีไรทำควายเราตายเสียบ้าง   ทำให้ทุพพลภาพไปบ้าง  บางทีก็เพลียไปบ้าง ใช้งานไม่ได้ตั้งหลายวัน เพราะวิ่งหนี

                        วันหนึ่งคนหมู่บ้านแถวนั้นก็มาคิดกันว่า  อ้ายควายตัวนี้ในไม่ช้ามันก็มาอีก  ถ้ามาทีนี้จะต้องฆ่าให้ตาย  คนทั้งหมดมันมีพันคนเศษ  ก็ทำคอกให้แน่นหนาไว้  แล้วก็ทำเป็นซองคล้าย ๆ โป๊ะ  รู้จักโป๊ะไหม

                        “ไม่รู้จักค่ะ”

                        เหมือนอย่งกับโป๊ะปลาทำปากกว้าง ๆ ซองแคบ  ข้างในเขาทำแน่นหนา  ถ้าวิ่งเข้ามา  พอถึงซองแคบตัวก็จะติด  เข้าถึงคอกไม่ได้  เขาก็เอาควายไปไว้ในนั้น

                        ทีนี้ควายป่าตัวนั้นก็ออกเบิ่งหน้าเบิ่งหลังซิ  ควายอื่นเห็นก็วิ่งหนีหมด  อ้ายควายคอกไม่หนี  หนีไปไหนล่ะ ใช่ไหม  แกก็โมโห   อ้ายนี่มันหยิ่งนี่ ไม่กลัว  กูต้องจัดการ  วิ่งไปวิ่งมา มองหาทางเข้า  อ้อ..ไอ้ทางปากช่องเข้าได้  พอถึงที่แคบ  ตัววิ่งมาแรง  กระแทกเข้าไปก็ติด ขยับตัวไม่ได้  เขาก็เสียบไม้  กันออก

                        ทีนี้ก็เอาซิ  เข่าเข้าไป  ศอกเข้าไป  แต่วาคนพันคน ไม่ได้ทุบทั้งพันคนนะ   พวกผู้หญิงพวกผู้ชายไม่ได้ลงมือตีทั้งหมด  แต่ว่าพร้อมใจตีให้ตาย  พอตีลงไปแล้ว  ก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู  ไอ้พวกนี้มันมาก  กูคนเดียว มึงรุมฆ่ากู  ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอฆ่ามึงบ้าง  นี่เป็นเวรที่จองกันไว้

                        พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง  พ่อตั้งชื่อให้ว่า  อหิงสกกุมาร  แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน  พอเกิดมาแล้ว สติปัญญาดี  จริยามรรยาทก็ดี  ความจริงท่านเป็นคนดีมาก  พอโตขึ้นมาหน่อย  พ่อก็พามาเฝ้าประเจ้าปเสนทิโกศล

 

กรรมเก่าเข้ามาสนอง

                        ทีนี้เวลาไปเรียนศิลปวิทยา  เพราะความดีของท่าน  เขาเรียนกัน 4 ปี ท่านเรียน 2 ปี จบหลักสูตรทั้งหมด  ทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น  ทั้งเพลงอาวุธด้วย  เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้ อาจารย์ก็ให้เป็นครูสอนแทน  ทีนี้ไอ้เพื่อนที่ไปด้วยกันมันอิจฉา  มาด้วยกันเสือกมาเป็นครู  ตอนนี้กรรมเก่าเข้ามาสนอง  ก็หาทางจะฆ่า  เลยไปยุอาจารย์  บอกว่าอหิงสกกุมารมันคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์เสียเอง  มันจะฆ่าท่านอาจารย์

                        ไอ้ลมพายุมันพัดแล้วก็ไป  แต่ไอ้ลมปากคนมันพัดบ่อย ๆ ก็ชักไหวเหมือนกัน  ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เชื่อ  ก็คิดในใจว่า  ถ้าเราจะฆ่าเสียเองมันจะเสียชื่อ  ทางที่ดีให้คนอื่นเขาฆ่าดีกว่า

                        วันหนึ่งจึงเรียกอหิงสกกุมารเข้าไปถามว่า  เวลานี้เจ้าเก่งมากทั้งวิชาฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋นทั้งหมด  แม้ในการรบก็เก่ง  แต่ทว่าวิชาของอาจารย์ยังมีอีกหน่อย เขาเรียกว่า วิษณุมนต์  ถ้าหากใครเรียนได้จะปราบได้ทั่วไตรภพ  มนุษย์ก็ปราบได้ เทวดาก็ปราบได้  พรหมก็ปราบได้  ทีนี้คนเป็นวัยรุ่นและก็เก่งอยู่แล้วก็อยากเก่งต่อไป  ก็อยากเรียน อาจารย์ก็เลยบอกว่า

                        คนอื่นเรียนไม่ได้แต่อย่างเธอนี่เรียนได้แน่  จะให้ได้คนเดียว  แต่ก่อนที่จะเรียนต้องยกครูเสียก่อน  แต่ว่าการยกครูนี่ไม่ใช้ของ  แต่ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน  ถ้าฆ่าคนได้หนี่งพันคนละก็  เธอจึงจะเรียนได้  ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน  ทีนี้คนที่แกจะฆ่าได้ง่าย ๆ ก็แค่ 2-3 คนแรกเท่านั้นแหละ  ตอนหลังเขารู้ข่าวว่าอีตาคนนี้ไล่ฆ่าคน  ใครเขาฟังข่าวก็ไม่อยากจะเห็นแก  เห็นเข้าเขาจำรูปร่างได้เขาก็หนี  กว่าจะไล่ฆ่าได้ก็แย่

                        ทีนี้ฆ่าไปฆ่าไป   ลืมนับจำนวน  หนัก ๆ เข้าก็ลืม  ไม่รู้เท่าไร  ทีหลังก็เริ่มต้นใหม่  ฆ่าได้หนึ่งคนตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว  ตอนนี้จึงมีนามว่า องคุลีมาลโจร  แปลว่า โจรผู้ฆ่าคนเอานิ้วมือ  ฆ่าไปจนได้ 999 นิ้ว  นี่ถ้านับจริง ๆ มันเกิน 1,000  แล้วนะ  ใช่ไหม อีตอนที่ไม่ได้เอานิ้วไว้ไม่รู้เท่าไร   แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี  และคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่  แต่ความจริงท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแม่  แต่ว่ามันเหลืออีกนิ้วเดียว  แต่ละนิ้วก็หาได้ยาก    วันพรุ่งนี้จะเข้าไปกรุงพาราณสี  จะเป็นใครก็ตามที  ถ้าเห็นต้องฆ่า

                        ทีนี้คืนนั้น   แม่ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะมาอยู่ใกล้  ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมลูก  จะไปห้าม  ถ้าแม่ไปก็ถูกฆ่า เพราะว่าเป็นคู่ปรับเดิม  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ตอนเช้ามืด  ทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่  จัดเป็นอนันตริยกรรม  มรรคผลจะไม่ได้เลย  ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ  ต้องการให้คนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม  ท่านจึงเสด็จไปก่อน  ไปก่อนแม่

                        อหิงสกกุมารเห็นพระพุทธเจ้านึกว่าหวานแล้ว  อีตานี่เดินนวยนาด สวย หล่อ ลีลาดีหม่ำสบายละ  แกก็วิ่งกวดเลย  พระพุทธเจ้าทรงเดินเฉย ๆ  ท่านทำให้แผ่นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ แกก็วิ่งไม่ถนัด  แกเห็นแกก็กวดไม่ทัน  แกก็ร้องบอก  เอ้า...สมณะหยุดก่อน  พระพุทธเจ้าบอกตถาคตหยุดแล้ว  แล้วท่านก็เดินต่อไป  แกก็วิ่งไม่ทัน  พอเหนื่อยเข้าก็ร้องบอก  ไง...สมณะทำไมพูดมุสาวาท  ท่านบอกว่าท่านหยุดแต่ท่านยังเดินอยู่

                        พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุดหันมาบอกอหิงสกกุมาร  ตถาคตหยุดจากบาปกรรมธรรมอันลามกมานานแล้วนะ  เธอน่ะยังไม่หยุดอีกรึ  เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผลก็รู้สึกตัวทันที  วางดาบ  วางพวงนิ้วมือแล้วก็นุ่งผ้าให้เรียบร้อย  ทำผมให้เรียบ  วิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า  ท่านก็ทรงให้โอวาทนิดหนึ่ง  ท่านก็ขอบวช  ท่านก็ให้บวช  บวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์

                        นี่เรื่องนี้บางคนสงสัยว่า  ทำไมองคุลีมาลฆ่าคนเหยง ๆ แต่ไปเป็นพระอรหันต์  ก็ท่านทำบุญไว้ดีน่ะซิ  แต่ไอ้บุญประเภทนี้เราก็ไม่อยากทำนะ

 

(จาก หนังสือธรรมสัญจร เล่มที่ 4)


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%CD%A7%A4%D8%C5%D5%C1%D2%C5&getarticle=34&keyword=&catid=3

.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:22:00 »

บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลานะ มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า  ท่านที่มีบุญใหญ่  คือ  พระโมคคัลลานะ เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เป็นพระสาวกฝ่ายซ้ายที่มีฤทธิ์มาก  ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน  บอกว่าทำบุญทำทานมามาก  ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ทำดีจะได้รับผลดี  แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย  ถ้าคิดอย่างนี้ละก็  นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่า ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง  เอาเข้ามาคิด  จงคิดว่า  ชาตินี้เราไม่ได้ทำ  แต่ว่าชาติก่อน ๆ เราอาจจะทำก็ได้  เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า  ชาติก่อน ๆ เราทำอะไรไว้บ้าง

                        ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  คือ การระลึกชาติหนหลังได้  มันก็เป็นของไม่ยาก  แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้  ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน  ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก  ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติหนหลัง  ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง  ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก  แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ  บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า  ถ้ามีเวลา  จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า  การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติได้นั้น  เขาทำกันอย่างไร  เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน  นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร  เล่านิทานสู่กันฟัง  แต่เป็นนิทานเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น  เว้นไว้แต่ว่า ไปหยิบเอาตัวนิทานมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ได้  แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร  พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า  ถ้าใครไม่เชื่อเชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม  ฉะนั้น  ขอบัณฑิตทั้งหลายที่ทรงความเป็นบัณฑิต ประเภทไหนก็ช่าง  ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่า ๆ  ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยากไม่ลำบากอะไร ต่อไปนี้  มาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

                        ในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา  อัคร  แปลว่า  ผู้เลิศ  พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ  ประเสริฐ  ไม่มีใครเสมอเหมือน  นอกจากพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน   เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ  พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า  เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์

                        อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระขยัน  เวลากลางคืน  ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง  ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง  ไปพบเทวดาก็ดี ไปพบพรหมก็ดี ไปพบสัตว์นรก เปรต อสุรกายก็ตาม  ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม  เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ใครเป็นดี่ ใครเป็นน้อง  ทำความดี ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้  เมื่อท่านทราบแล้ว  ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์  ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท

                        เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น  พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง  ก็ทรงรับรอง  แล้วประกาศให้เขาทราบ  แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก  คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ  พระอื่นมีความสามารถไม่พอ  พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป

                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว  ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ  ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์  เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ  เห็นเป็นอัศจรรย์  แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง  ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

                        เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล  เลิศกว่าบุคคลอื่น  แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ  บรรดาบริษัทบริวารของเดียรถีย์ทั้งหลายพากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า  สร้างความยากสร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์  เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ และก็ดีไม่จริง   เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขามาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด

                        เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า  องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก  มีลาภสักการะมาก  ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ  เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ เที่ยวเมืองนรกบ้าง  เมืองสวรรค์บ้าง  ปลุกใจประชาชนให้มีความเคารพในองค์สมเด็าจพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ

                        เขาจึงคิดกันต่อไปว่า  ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  คือพระพุทธเจ้า  ทำลายไม่ได้แน่  เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว  เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า  พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง  แต่หนูจัญไรกลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา  เป็นเหตุให้นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษลงอเวจีทั้งเป็น

                        แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า  สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง  ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง  กลิ้งหินให้ทับบ้าง  พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย

                        การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของทำได้ยาก  แต่ว่าถึงกระไรก็ดี  ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องเศร้าไป  แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์มาก และปลูกศรัทธาคนได้ดี

                        บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน  แต่ความจริงเขาประกาศว่า  เขาเป็นพระอรหันต์  แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉาพระพุทธเจ้า  คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดูเอาเถิดบรรดาท่านพุทธบริษัท  เขาประกาศตนว่า เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่สอนให้บุคคลอื่นทำความดี  แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เพราะอะไร  เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญูรู้ความดีของคน  แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้  เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้าและพระมหาโมคคัลลานะ  มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา   เขาต้องคิดทำลาย  สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  บรรดาท่านพุทธบริษัทที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา  แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า  มีอารมณ์อิจฉาริษยา  มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ  ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ  แต่เข้าใจว่าไม่มี  แต่ก็ไม่แน่นัก  เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง  ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา  ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง  ท่านเป็นพระ เป็นพระราชาคณะ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตนทนไม่ไหว  แทนที่จะมีมุทิตาในพรหมวิหาร 4  กลับหาทางย่ำยีกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  เป็นที่น่าสงสาร  ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป  เวลาก่อนจะตายถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุรายไค้สติสัมปชัญญะ  ตายแล้วลงอเวจีมหานรก  กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน

                        ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมากทรงพระชนม์อยู่  ก็มีตัวอย่างมากมาย  ท่านบวชภายหลัง  มีตำรามากเรียนได้ครบ  เรียนจบเป็นมหาเปรียญ  แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น  แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น  ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  ท่านตั้งสำนักหลอกชายและหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้เท่าเท่านั้น  ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้  แต่ตัวของท่านเองลงอเวจีมหานรก  ที่พูดอย่างนี้ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง  ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ  เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้นก็สร้างความแน่ใจว่า  คงจะเป็นแบบนั้น  เพระาว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น  ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

                        บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น  เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว  ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร  และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้นคือ โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด  พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี  การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้  ความจริงท่านทราบก่อน  เพราะมีญาณพิเศษ  ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า มีฤทธิ์ขนาดนั้น มีญาณขนาดนั้น ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง  ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง ท่านรู้  เมื่อรู้ตัวแล้ว ท่านก็เหาะหนีไป  โจรเข้ามาล้อมครั้งที่ 3  ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า  นี่มันเรื่องอะไร  ถอยหลังชาติเข้าไป  ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ก็ทราบว่ากรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน

                        เรื่องนี้  องค์สมเด็จพระชินวรเคยเทศน์ให้พระฟัง  เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า  พระมหาโมคคัลลานะนี้มีบุญใหญ่  ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย  แต่ความจริงระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้นท่านไม่ตาย  เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย  กระดูกแหลกเหลวหมด  เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่  เมื่อโจรไปแล้วท่านก็อธิษฐานจิต  ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์ ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน  แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว จึงได้กราบลาพระประทีปแก้วไปนิพพานในที่สมควร

                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายนำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ บรรจุเข้าไว้ในสถูปให้เขาสร้างสถูป  เป็นที่บรรจุกระดูกไว้  สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับบาตรคว่ำ  คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก  เป็นสัญญลักษณ์  คนจะได้ไม่เดินข้าม  และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ 1,000 ชาติ  เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า

                        พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่  ที่ทั้งพ่อและแม่ตาบอดทั้งคู่  โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น  เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณบิดาและมารดา  เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ  เมื่อทำงานกลับมาแล้วก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่  คนดีอย่างนี้หายาก

                        ต่อมาท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าลูกชายลำบาก  ก็อยากจะหาเมียให้จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ  แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า  อย่าเลย  หญิงที่นำมา ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อไม่รักแม่ก็เป็นได้  แต่ว่าบิดาและมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า  ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน  คือตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก  จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา

                        ในตอนแรก ๆ แม่ลูกสะใภ้คนดี  ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัวเป็นอย่างดี  แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะท่านมีความรักในพ่อและแม่ท่านมาก  เวลากลับมาจากทำงาน แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน  แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน  เหตุนี้เองเป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ  คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย  จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง

                        ในที่สุด  ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า  บิดามารดาของท่านเป็นคนใจร้าย  หุงข้าวให้กินก็ไม่กิน  แต่ความจริงเวลาที่ทำอาหารให้ผัวมีรสอร่อย  แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัวแม่ผัว  บางทีก็เค็มจัดเกินไป  เผ็ดจัดเกินไป  เปรี้ยวจัดเกินไป  พ่อผัวแม่ผัวกินไม่ไหวก็เลยไม่กิน  นางก็ฟ้องบอกว่า นี่แหละ อาหารมันเหมือนกัน  แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร

                        ต่อมา   นางในก็เอาใหม่อีก  ทำอาหารรสจัด  ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน นางก็เทราดไปเต็มบ้าน  เมื่อลูกชายกลับมาก็ฟ้องบอกว่า  ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคนทำอาหารให้ก็ไม่กิน  แล้วก็เทราดไปบนบ้านเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด  ฉันปัดกวาดไม่ไหว  เช็ดถูไม่ไหว  อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว  ฉันขอลากลับบ้าน

                        อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญูไม่รู้คุณคน  ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามนซึ่งเป็นคนกตัญญู รู้คุณ เป็นคนอกตัญญูไป  เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว  มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า  ความดีที่เรามีอยู่  เราจงอย่าเชื่อคนอื่น  อย่างไร ๆ ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน  เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น  เพราะอาศัยเมียออดอ้อนสนับสนุน  หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี

                        วันหนึ่ง  คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียในป่า  จึงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า  ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน  ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก  ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยมและเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว  จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน  ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป  เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟังก็เห็นใจ  คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี  จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรีนั่งบนเกวียน

                        พอเข้าไปถึงป่าลึก  ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ในป่า  จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า  คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที  กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ จะไปถ่ายอุจจาระ  ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้  บังคับวัวให้เดินตรง

                        ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว  ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น  ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคนได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย  เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น  ห่วงลูกชายของตนคือพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นลูกชาย  ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า  ลูกเอ๋ย พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว  ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด  ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน  ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่

                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  น้ำใจของบิดามารดาย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้  ยอมตายแทนลูก  แต่ว่าลูกคนนี้สิ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระโมคคัลลานะเองที่ปลอมมาเป็นโจร  เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น  ใจไม่ยักอ่อน  พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อและแม่ตายทั้งคู่  เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อและแม่ตายแล้ว  ก็แจวอ้าวกลับบ้าน

                        องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า  เขาก็ไม่มีความสุข  เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา  เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น  ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก  เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง  พ้นจากนั้นก็มาเกิดเป็นเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร  คือเป็นมนุษย์บ้าง  เทวดาบ้าง  เป็นพรหมบ้าง  เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี  ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อาศัยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็นสุเมธาบส

                        ตอนนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ  ท่านอยู่ในป่า  เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็ก ๆ  ท่านก็ทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เดิน  เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตนปรารถนาพระโพธิญาณ  ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์  พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ  พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ  สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก  เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล  เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง  จะมีการคล่องในกิจการของตน  คือในความเป็นอยู่  ถ้าปรารถนาความร่ำรวย  ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา  ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล  ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา  เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ทรงรับพระกระยาหาร  หลังจากนั้นแล้ว   พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร  และก็ทรงพยากรณ์ว่า  นับตั้งแต่นี้ไปอีก  91 กัป ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า  มีพระนามว่าพระสมณโคดม

                        ในขณะนั้นเองพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร  ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส  จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคตองค์หนึ่งบอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดม

                        เป็นอันว่า  อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้  สิ้นเวลา  91  กัป  แต่ความจริงมากกว่านั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงกล่าวว่า  มหาโมคคัลลานะชาตินี้มาพบเรา  จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย  ท่านก็ไปนิพพาน  ไม่มีความทุกข์อะไร

                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล  ดูตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะเป็นสำคัญ  ท่านเป็นอริยสงฆ์  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  มีฤทธิ์มาก  แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้  ขึ้นชื่อว่ากรรมใดที่เราทำไว้แล้ว  ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้  ก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป

                        ฉะนั้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่เคยบ่นบอกว่าทำบุญให้ทานแล้ว  ก็มีความไม่สบาย  เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้  ก็โปรดทราบว่า  กฎของกรรมเก่าของเราทำไว้มากเพียงใด  เราไม่ทราบ  ฉะนั้น  ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา  ทำให้เราได้รับความลำบาก  ก็คิดไว้ในใจว่า  เราจะใช้หนี้มัน

                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมเราหนีไม่พ้น  สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในเรื่องบุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%C1%CB%D2%E2%C1%A4%A4%D1%C5%C5%D2%B9%D0&getarticle=105&keyword=&catid=3-


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%C1%CB%D2%E2%C1%A4%A4%D1%C5%C5%D2%B9%D0&getarticle=105&keyword=&catid=3


.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 4.0.1 Firefox 4.0.1


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:24:19 »

.
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5657.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html

.

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html

.



บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.751 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 02:37:02