อินเดียทีน่าประทับใจ

ภาพจาก www.posttoday.com

อินเดียทีน่าประทับใจ

"อินเดีย" ประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักคุ้นเคยตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งจากแบบเรียนทางพระพุทธศาสนา จากขนบธรรมเนียมแบบพราหมณ์ฮินดูที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน จากตำนานคงคาสายวารีอันมีเรื่องราวเล่าขานมากมาย จากมหาเทพหลากหลายที่คนยุคนี้นิยมชมชื่น หรือจากมหากาพย์เรื่องยาวอย่างมหาภารตยุทธ เหล่านี้ ทำให้คนไทยมีสายใยแห่งความผูกพันเล็กๆ ร้อยเรียงแนบสนิทกับดินแดนแห่งนี้อยู่ภายใน ยิ่งในฐานะชาวพุทธ หลายคนอาจหวังใจว่า สักครั้งในชีวิต ถ้ามีโอกาสได้ไปคงถือเป็นกำไรอยู่มิใช่น้อย

ปัจจุบันอินเดีย ถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก ทั้งสีสันความสดใหม่ของเทคโนโลยี ทั้งกลิ่นอายอารยธรรมเก่าแก่ ที่ผสมปนเปจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ดูคล้ายกับว่าคนอินเดียจะมิยอมสูญเสียสิ่งเก่าที่ดีงามและสิ่งใหม่อันน่าลิ้มลองไปทั้งสองอย่างทีเดียว จึงทำให้ผู้ไปเยือนแดนดินแห่งนี้ หลายต่อหลายคนมักจะแปลกใจภายใต้คำอุทานว่า incredible india! และที่สุดก็ต้องมนต์เสน่ห์อันลี้ลับให้ติดตรึงอยู่กับความประทับใจอย่างยากจะลืมเลือน

ในฐานะที่ผู้เขียนไปใช้ชีวิตสัมผัสความเป็นอินเดียอยู่หลายปี จึงทำให้มีเรื่องเล่าถึงความ incredible หรือความเหลือเชื่อที่เหนือความคาดหมายอยู่หลายประการ คือ

1.ปรัชญาชีวิตที่คิดไม่เหมือนใคร คือ คนอินเดียจะมีแนวคิดหรือปรัชญาการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใครในโลก เช่น การชอบทำเรื่องยากให้ง่าย เน้นการค้าขายมากกว่าให้บริการ เลือกมองผู้คนด้วยจุดเด่นมากกว่าจุดด้อย การแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง กินอยู่อย่างเรียบง่าย มีความภาคภูมิใจในประเทศชาติว่า ล้ำเลิศที่สุดในโลก หรือการมีความสามารถหาอะไรรอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นเสน่ห์น่าสนใจของคนในประเทศนี้

2.สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย อินเดียเป็นเมืองที่ยกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่ ใครจะทำอะไรหรือจะใหญ่มาจากไหน ก็ต้องยอมลงให้เมื่อเทพเจ้ามาถึง เช่น ครั้งหนึ่งมีการยืนเสนอร่างกฎหมายว่าด้วยการคุมกำเนิด เพราะแนวโน้มประชากรในอินเดียมีแต่จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งขณะที่ร่างกฎหมายฉบับนี้กำลังจะผ่านสภาอยู่รอมร่อ แต่ทันทีที่มีผู้ตั้งคำถามว่า "การกำเนิด เป็นเรื่องของเทพเจ้า คุณเป็นมนุษย์มีสิทธิ์อะไรจะมายับยั้งขัดขวาง?" จึงเป็นอันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องถูกเขี่ยทิ้งไปในทันที อย่างชนิดไม่มีใครกล้าหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอีก เพราะคนอินเดียอยู่กันด้วยความเคารพเทพเจ้า ซึ่งเทพเจ้าก็สถิตในทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่วัว ควาย หรือต้นไม้ ทำให้คนอินเดียเคารพธรรมชาติ ไม่กล้าตัดไม้ทำลายป่า จึงกลายเป็นว่าเหนือกว่ากฎหมายยังมีกฎเทพเจ้าคุ้มครองอยู่อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งถ้าเรามองว่างมงาย ก็น่าสนใจที่เทพเจ้าของเขาสามารถปกครองคนกว่า 1,300 ร้อยล้านคนให้อยู่กันได้อย่างไม่มีปัญหา

3.เมืองได้ใหม่เอาแต่ของเก่าก็ไม่ทิ้ง ความน่าประหลาดใจอีกอย่างของคนในประเทศนี้ คือ การผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมกับเทคโนโลยีโลกยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ถือเป็นเรื่องปกติมากถ้าเห็นฤๅษีเกล้ามวยผมยาวเฟื้อย ป้ายสีเจิมหน้าผากด้วยผงศักดิ์สิทธิ์ ขี่ช็อปเปอร์วิ่งวนไปมาบนท้องถนน หรือนักธุรกิจพันล้านผู้อู้ฟู้ตื่นเช้ามาแก้ผ้าอาบสรงบูชาพระสุริยะริมฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่ไม่เหมือนใครของอินเดีย จนสามารถสะกดผู้ไปเยือนให้หลงใหลได้อย่างไม่รู้ลืม

4.เมืองแห่งที่สุดในหลายด้าน เช่น น่าดูที่สุด อย่าง "ทัชมาฮาล" สิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ของโลก ไม่น่าดูที่สุด อย่างกองทัพขอทาน หรือสิ่งปฏิกูลที่ถูกทิ้งเรี่ยราด อินเดียมีภูมิอากาศแบบสุดขั้ว คือ ร้อนและเย็นจัดในหนึ่งเดียว ถ้าหน้าหนาวต่ำกว่า 0 องศา หน้าร้อนถึง 54 องศา มีทั้งคนสุดรวย และขอทานสุดจนที่มีเพียงไม้เท้ากับผ้านุ่งขาดๆ เพียงผืนเดียว มีคนสุดสวยอย่างนางงามจักรวาล และคนสุดอัปลักษณ์อย่างนางปัญจปาปาในพระไตรปิฎก

5.เมืองคนหน้าดุแต่ใจดี แขกผู้ชายส่วนใหญ่ต้องไว้หนวดเครา เพราะผู้ชายอินเดียเชื่อว่า การไว้หนวดแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ยิ่งคนมีผิวคล้ำเมื่อประกอบกับหนวดโง้งที่ดกดำ ยิ่งทำให้เพิ่มดีกรีความน่าสะพรึงกลัว โดยเฉพาะกับเราชาวไทยผู้มีจิตใจเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ พอไปพบเจอเข้าก็อาจรู้สึกแปลก แต่โดยเนื้อแท้คนอินเดียส่วนใหญ่จะช่างพูดคุย ช่างแสดงออก ชอบให้ถ่ายรูป ปากหวาน ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนจะชอบสาละวนกับการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ชอบส่งข้อความหา มีอารมณ์หวานแหว๋วกุ๊กกิ๊กจนดูน่าแปลกใจ แต่ก็เป็น indian style ที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่เหมือนใครในโลกจริงๆ

6.เป็นเมืองที่พร้อมจะให้อภัยซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากท้องถนนในอินเดีย ที่แม้จะปาดหน้ากันจนต้องเบรกตัวโก่ง ขอแค่ฝ่ายหนึ่งผายมือเป็นเชิงคำถามว่า "ทำอย่างนี้ทำไม?" หรือได้ตะโกนระบายอารมณ์สักนิด แล้วอีกฝ่ายหนึ่งส่ายหัวสักทีเหมือนเป็นการจะตอบว่า "เออ... โทษที" เรื่องทั้งหมดก็เป็นอันจบลงด้วยดีแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไม่ต้องมีใครเจ็บไม่ต้องมีใครตาย แยกย้ายไปทำมาหากินเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งดูแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าเอาเยี่ยงอย่างยิ่ง

เหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่น่าประทับใจของประเทศอินเดีย ที่หาดูได้ยากในโลก จึงอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมอินเดียจึงตราตรึงใจกับใครหลายคนที่เคยได้ยล และปรารถนาการกลับไปอีกสักครั้งหนึ่ง...

พระเฉลิมชาติ ชาติวโร
พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐