[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:04:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ภาพเก่าเล่าตำนาน  (อ่าน 2479 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2304


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 มีนาคม 2561 19:20:37 »


ภาพเก่าเล่าตำนาน
------------------------------------



รูปถ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม สันนิษฐานว่า ถ่ายเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๐๗ ในคราวได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ชั้นหิรัญบัตร
ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในลักษณะนั่งสมาธิบริกรรมคาถา ครองจีวรลายดอกพิกุล ขนาบข้างด้วยพัดสองเล่ม เล่มขวามือท่านคือพัดยศประจำตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ โดยมีลูกศิษย์
คอยประคอง (พัดเห็นโครงข้างในคงใช้มาแต่ต้นกรุง เลยคร่ำคร่านัก)  เล่มซ้าย ได้แก่พัดวีชนีโดยมีสามเณรยืนประคองเช่นกัน
[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก silpa-mag.com]




วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าวัดมีรถรางไฟฟ้าวิ่งบนถนนจักรพงษ์
วัดชนะสงคราม สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ วัดกลางนา ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้มีชาวมอญมาอาศัยอยู่บริเวณวัด และได้นิมนต์พระสงฆ์มอญมาอยู่จำพรรษา
แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า วัดตองปุ  ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงสถาปนาใหม่ขึ้นทั้งพระอาราม
ด้วยพระองค์ทรงตั้งนิวาสถานอยู่หลังวัดในขณะทรงรับราชการในพระเจ้ากรุงธนบุรี  ต่อมาเมื่อทรงทำสงครามชนะอริราชศัตรูในสงคราม ๙ ทัพ รัชกาลที่ ๑
จึงทรงเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมเด็จพระอนุชาธิราช และเป็นมงคลแก่แผ่นดิน โดยทรงตั้งพระมหาสุเมธาจารย์ ให้เป็นผู้ครองวัด
ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่รามัญ

วัดชนะสงครามเป็นวัดมอญที่มีความสำคัญมาก ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์มอญวัดชนะสงคราม เข้าไปสวดพระปริตรเสกน้ำพระพุทธมนต์สำหรับ
สรงพระพักตร์และประพรมพระราชมณเฑียรมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกว่า พระปริตรรามัญ
[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก silpa-mag.com]





สีไว้ทุกข์ในสมัยรัชกาลที่ ๕

สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พร้อมด้วยพระราชชายา พระเจ้าลูกเธอ เจ้าจอมมารดา พระบรมวงศานุวงศ์
และข้าราชบริพารฝ่ายใน ทรงฉายภาพเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี
ณ พระราชวังบางปะอิน โดยผู้มีพระชันษาสูงกว่าพระเจ้าลูกเธอในพระโกศ จะทรงสีดำไว้ทุกข์ส่วนผู้ที่มีพระชันษาอ่อนกว่าจะทรงชุดขาว ตามธรรมเนียมในสมัยนั้น

การไว้ทุกข์ในสมัยก่อนนั้นมีอยู่หลายอย่างต่างชนิด คือ
 ๑. สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย
 ๒. สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย
 ๓. สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ สำหรับผู้ที่มิได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตายแต่ประการใด

ฉะนั้นในงานศพคนหนึ่งๆ หรือในงานเผาศพก็ตาม เราจะได้ความรู้ว่า ใครเป็นอะไรกับใครเป็นอันมาก เพราะผู้ที่แต่งตัวตัวไปในงานนั้นๆ จะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวเอง
โดยถูกต้องจึงจะแต่งสีให้ถูกได้ ถ้าผู้ใดแต่งสีและอธิบายไม่ได้ ก็มักจะถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้ไม่มีความรู้ แม้เรื่องเลือดเนื้อของตัวเอง

ของทุกอย่างมีดีก็ต้องมีเสีย แต่ก่อนก็ดีที่ได้รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ก็ลำบากในการแต่งกายเป็นอันมาก ถ้าจะต้องไปพร้อมกัน ๒ ศพในวันเดียวกัน ก็จะต้องกลับบ้าน
เพื่อไปผลัดสีให้ถูกต้องอีก ฉะนั้นในการที่มาเลิกสีอื่นหมด ใช้สีดำอย่างเดียวเช่นทุกวันนี้ก็สะดวกดี แต่ก็ขาดความรู้จักกัน เด็กสมัยนี้จึงมักจะตอบเรื่องพืชพันธุ์ของตัวเองไม่ได้
แม้เพียงปู่ก็ไม่รู้เสียแล้วว่าเป็นใคร และได้ทำอะไรเหนื่อยยากมาเพียงใดบ้าง แต่ถ้าจะพูดกันถึงเพียงความสะดวกแล้ว การแต่งตัวสีดำเพียงสีเดียวก็ดีแล้ว

เพิ่มเติม ภาพนี้น่าจะถ่ายระหว่างวันที่ ๘-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ ที่ฝ่ายในล่วงหน้าไปที่พระราชวังบางปะอินก่อน และก่อนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร -
กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ จะทรงประชวร ซึ่งต่อมาได้สิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ เพราะภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ
ที่จะทรงชุดขาวไว้ทุกข์ จึงเปลี่ยนมาแต่งขาวทั้งหมด
[ที่มา : หนังสือ สารคดี ของ ม.จ.หญิง พูนพิศมัย ดิศกุล]

[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก silpa-mag.com]

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2304


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 เมษายน 2561 19:15:27 »



รัชกาลที่ ๖ “พระองค์ทรงมีกรรมเสมือนเพ็ชร์น้ำหนึ่งที่ตกอยู่ในตม”

“ถ้าเราจะหยิบยกอคติออกวางให้อารมณ์ของเราเป็นกลางจริงๆ แล้ว. ก็จะเห็นได้ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงเป็นสุภาพบุรุษอย่างประเสริฐ.
และมีน้ำพระราชหฤทัยดีอย่างหาได้ด้วยยาก. ที่เหตุการณ์เป็นไปแล้วต่างๆ ก็เพราะพระองค์ทรงมีกรรมเสมือนเพ็ชร์น้ำหนึ่งที่ตกอยู่ในตม. ผู้ที่รู้จัก
พระองค์จริงๆ จึงมีความเศร้าโศกและสงสารอยู่เป็นเนืองนิตย์ และทุกคนคงจะช่วยกันอุทิศกุศลกรรมทั้งหลายที่ได้ทำแล้ว ไปทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระองค์.
ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ขออธิษฐานว่า -เดชะแห่งความสัตย์สุจริตที่ข้าพเจ้าได้เล่ามาแล้วนี้รวมทั้งความจงรักภักดีและกตัญญูกตเวทีที่ข้าพเจ้ามีอยู่
ต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ขอให้ทรงประสพแต่ความศุขสำราญในที่ทุกแห่งไม่ว่าจะประทับอยู่ในที่ใดๆ ขอพระองค์จงทรงมีชัยแก่ผู้ที่รักตัวยิ่งกว่าพระองค์,
ขออย่าให้ทรงถูกเขาแย่งชิงกันจนชอกช้ำเหมือนชาตินี้อีกเลย, และถ้าแม้จะยังมีชาติใหม่สำหรับพระองค์อีก. ก็ขอให้ได้เป็น–
“ตาผมยาวใส่แว่นตามือคลำหนังสืออยู่ตลอดวันนั้น…ศุขจริงๆ” ให้สมดังพระราชประสงค์จงทุกประการเทอญ”

ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล

(คัดจากบทส่งท้ายของท่านหญิงพูนที่ทรงนิพนธ์ถวายรัชกาลที่ ๖) ใน “พระราชวงศ์จักรี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ (สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นสมัยรัชกาลที่ ๖)” สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๖๑.
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2304


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 06 กันยายน 2561 17:26:00 »


แสดงการเขียนหนังสือให้เจ้านาย ภาพถ่ายราวยุค 2400 หรือราวสมัย ร.4-ต้น ร.5 จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

เจ้าพระยาพระคลัง(หน) อ่านหนังสือหลอก ร.1
ผู้เขียน - เอนก นาวิกมูล
เผยแพร่ - นิตยสารศิลปวัฒนธรรม วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ.2561

วันหนึ่ง ร.1 ทรงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยาพระคลัง(หน บุญ-หลง) มหากวี และขุนนางใหญ่ร่างสาส์นตราฉบับหนึ่ง

เจ้าพระยาพระคลังหนรับรับสั่งแล้วก็ไปลืมเสีย

ต่อมาอีกสองสามวัน ร.1 ตรัสเตือนว่าโปรดให้ร่างสาส์นตรา จนป่านนี้ยังไม่แล้วอีกหรือ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตกใจ ลนลานหยิบสมุดออกมาพลิกอ่านร่างถวาย

ร.1 ตรัสว่าดีแล้ว แต่จะต้องแก้สักแห่งสองแห่ง แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปรับสมุดมาทอดพระเนตร….

ปรากฏว่าเป็นสมุดเปล่าทั้งเล่ม ไม่มีตัวหนังสือเลย !!!

จึงทรงเอาสมุดฟาดหัวเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตรัสว่าให้ไปเขียนมาใหม่ ให้เหมือนกับที่อ่านปากเปล่าถวาย ถ้าไม่เหมือนจะลงพระราชอาญา (เจ้าพระยาพระคลังมีปฏิภาณ แต่ท่า ร.1 จะทรงมีปฏิภาณกว่า อาจทรงรู้ทัน !! -เอนก)

เจ้าพระยาพระคลัง(หน) กลับไปเขียนร่างสารตราลงในสมุดเล่มเดียวกันแล้วนำกลับไปอ่านถวาย

ทรงฟังตลอดแล้วตรัสว่าเหมือนกันกับที่อ่านถวายปากเปล่า เป็นอันว่าแก้ตัวพ้นโทษได้

เกร็ดเรื่องนี้อยู่ในหนังสือชื่อ “สามกรุง” พระนิพนธ์ของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้าของนามแฝง น.ม.ส. (น.ม.ส.ย่อมาจากตัวท้ายของพระนามเดิม พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส อดีตรองเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์) แต่งเมื่อ พ.ศ.2487

ให้ดูในช่วงคำอธิบายศัพท์ท้ายเล่มเฉพาะเรื่องนี้ข้อที่ 160 หน้า 384 ของฉบับพิมพ์ พ.ศ.2495 สำนักพิมพ์ชัยฤทธิ์

เจ้าพระยาพระคลัง(หน) เกิดในสกุล บุญ-หลง ขุนนางเก่า (ขี้เกียจไล่ที่มา – เดี๋ยวจะงง) เป็นบุตรของเจ้าพระยาสุรบดินทร์สุรินทรฦาชัย(บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ

เกิดเมื่อใดไม่ทราบ ถึงอสัญกรรมในรัชกาลที่ 1 เมื่อปีฉลู พ.ศ.2348 หรือเมื่อ 213 ปีมาแล้วนับจาก พ.ศ.2561

หน้าตาอย่างไรไม่ทราบ เพราะท่านตายก่อนมีการถ่ายรูป ไม่มีใครปั้นรูป หรือวาดรูปท่านไว้เลยแม้จากจินตนาการจนถึงปัจจุบัน

หนังสือชีวประวัติเจ้าพระยา โดย ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม สำนักพิมพ์บันดาลสาส์น พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2517 หน้า 26 กล่าวว่า นามท่านคือ หน หรือหนทาง ไม่บอกที่มา ไม่รู้ว่ารู้มาจากไหน

ได้เป็นหลวงสรวิชิต ในสมัยพระเจ้าตากสิน

ได้เคยโดยเสด็จ ร.1 ในการสงครามมาแต่ก่อน แสดงว่าใกล้ชิดกับ ร.1 แน่ๆ

โดยทั่วไปเรารู้จักเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ในฐานะผู้อำนวยการแปลเรื่อง สามก๊ก จากจีนเมื่อสมัย ร.1….


สามก๊กของแท้ฉบับแรกเลยนะครับ รีบไปหามาอ่านเสีย ถ้ามากขึ้นอีกนิดก็รู้ว่านอกจากสามก๊ก ท่านยังเป็นกวีคนสำคัญ

ผู้แต่งกากีกลอนสุภาพ ลิลิตเพชรมงกุฎ เพลงยาวเล่นว่าความ กลอนจารึกเรื่องสร้างภูเขาวัดราชคฤห์ ที่ตลาดพลู ธนบุรี

ซึ่งแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาอ่าน ต้องอ่านอย่างช้าๆ และต้องเจอศัพท์ยากๆ จงพยายามอ่านเถอะ ส่วนผมอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง !

หนังสือเรื่องตั้งเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ พระนิพนธ์กรมพระสมมตอมรพันธุ์ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อ้างหนังสือเรื่อง “ลำดับเสนาบดี” ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์-ขำบุนนาค (หนังสือชื่อนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าตา)

กล่าวว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เดิมเป็นหลวงสรวิชิตนายด่านเมืองอุทัยธานี

เข้ามารับราชการอยู่ที่กรุงธนบุรี เป็นคนสวามิภักดิ์ ร.1 ในฐานะข้าหลวงเดิม (แปลว่าคนที่พระเจ้าแผ่นดินเคยใช้สอยมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน)

ทำราชการกับเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (พ.ศ.2289-2349) ลูกคนโตของพี่สาว ร.1

เป็นคนเอากิจราชการสอดหนังสือลับไปถวาย ร.1 (ขณะเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ออกไปรบเขมร พ.ศ.2323-2325 ) ถึงด่านพระจาฤก หรือจารึกซึ่งอยู่ในแถบ จ.สระแก้ว เดี๋ยวนี้

พอเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ศึกกลับจากเขมรก็ได้ออกไปรับเสด็จถึงทุ่งแสนแสบ (พ.ศ.2325)

มีความชอบหลายอย่าง ทั้งมีฝีปากเรียบเรียงหนังสือดี

ต่อมา ร.1 จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพัฒน์โกษา แล้วเลื่อนเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี หรือเจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใหญ่มาก

เจ้าพระยาพระคลัง(หน) แม้จะมีบุตร (ลูกชาย) มาก แต่ก็ไม่ได้ทำราชการ

เท่าที่ทราบชื่อคือนายเกตุ กับนายทัด เป็นจินตกวี (ไม่รู้แต่งอะไรบ้าง)

และเป็นครูพิณพาทย์ ไม่มีรายละเอียดขยายความ

ส่วนบุตรหญิงที่ปรากฏคือเจ้าจอมมารดานิ่มในรัชกาลที่ 2

เจ้าจอมมารดานิ่มนี้เป็นแม่ของ พระองค์เจ้าชายมั่ง หรือสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (ต้นสกุล เดชาติวงศ์) ที่แต่งหนังสือโคลงโลกนิติ, นิราศเสด็จไปทัพเวียงจันทน์, ฉันท์กล่อมช้าง และอื่นๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กันยายน 2561 17:30:39 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.287 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 11:50:18