[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 06:56:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว  (อ่าน 18265 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:02:29 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า (อุปัติสุขาวดีธารณี)



นโม อมิตาภายะ ตถาคตายะ ตัทยาถา อมฤโตทภะเวอมฤตะ-สิทธัมภะเว อมฤตะ-วิกรานเต อมฤตะ - วิกรานตะ คามิเน
คคน กิรตะ-กเร สวาหา




คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า(ทศอมฤตธารณี)



นโม รัตนะ ตรายายะ นมะ อารยะ มิตาภายะ ตถาคตายะ อรหัตเตสัมยัก สัมพุธายะ ตัทยะถา โอม อมฤเต อมฤโตทภเว
อมฤตะ-สัมภเว อมฤตะ-ครเภ อมฤตะ-สิทเธ อมฤตะ-เตเชอมฤตะ-วิกรานเต อมฤตะ-วิกรานตะ-คามิเน อมฤตะ-คคน-
กิระติกะเร อมฤตะ-ทุมัม ทุภิ-สวเร สรวารถะ-สาธเนสรวะ-กรัมะ เกเลศะ กัษยัม-กเร สวาหา



คาถาประจำพระอมิตาภะพุทธเจ้า(ย่อ)



โอม อมริตะ เต เช หะระ ฮุม



ที่มาของเนื้อหาฉบับนี้ 後學釋聖傑
พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก
วัดเทพพุทธาราม (เซียนฮุดยี่)
จ.ชลบุรี



พระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระนามในภาษาจีนอยู่หลากหลายตามคุณสมบัติประจำพระองค์อาทิ ออนีท้อ คือพระอมิตา บ่อเหลี่ยงซิว
(無量壽) คือพระอมิตายุ(Amitayus) แปลว่าผู้มีอายุกาลไม่มีประมาณ หาประมาณไม่ได้, บ่อเหลี่ยงกวง (無量光) คือพระอมิตาภา(Amitabha)
แปลว่าผู้มีแสงประภาสส่องสว่างไม่มีประมาณ ไม่ติดขัดในโลกธาตุในทิศทั้งสิบ และตามพระสูตรแล้วจะมี
(ไม่ต่ำกว่า) ๑๓ พระนามมี อกิญจนประภาพุทธะ(無礙光佛) อนันตประภาพุทธะ (無邊光
佛) วิสุทธิประภาพุทธะ(淨光佛) เกษมประภาพุทธะ(樂光佛) ปรัชญาญาณประภาพุทธะ(智
慧光佛) อจินไตยประภาพุทธะ(不思議光佛) ฯลฯ ถ้าทางประเทศจีนนิยมให้พระอมิตาภะ
มีพระวรกายสีทอง แต่ทางธิเบตว่าเป็นสีแดง ดั่งพระอาทิตย์ยามอัสดง ตามทิศของแดนสุขาวดี และถวาย





................................佛教晚課繞佛..............................



.................................นำโม ออนีทอฮุก..................................



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:07:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:07:15 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



พระนามว่า อมฤตราช(甘露王) โดยให้เหตุผลว่าพระอมิตาภะทรงนิรมาณกายเพื่อเทศนาธรรม ประดุจฝนอมฤตโปรยปรายสู่โลก
ปฏิมากรของพระองค์จะทรงมีลักษณะอย่างมหาบุรุษ ทรงเครื่องเหมือนกับพระพุทธรูปทั่วไป แต่จะมีข้อสังเกตคือ ในพระหัตถ์ซ้ายจะทรงถือแท่นปัทมอาสน์ หรือดอกบัว(บางแห่งจะปั้นหรือวาดให้ทรงถืออยู่ทางด้านขวา) ทรงแบพระหัตถ์ขวาแนบไว้กับพระวรกาย(มีทั้งปางประทับยืนและประทับนั่ง)
มีความหมายว่าพระองค์จะทรงรับสรรพสัตว์หรือดวงวิญญาณของผู้ที่ศรัทธาแล้วภาวนาในพระนามของพระองค์ ไปกำเนิดยังดอกบัวในสุขาวดีโลกธาตุนั่นเองบางครั้งจะทรงขัดสมาธิเพชร และประสานหัตถ์ในท่าสมาธิก็มีแต่พระวรกายของพระองค์ในคัมภีร์อมิตายุรธยานสูตร พรรณนาไว้ว่า พระวรกายของพระอมิตายุพุทธเจ้านั้น (มีวรรณะ)ประดุจทองชมพูนุชจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิบนยามาเทวโลก พระวรกายนั้นสูงเป็นจำนวนโยชน์ เท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ โกฏินยุตสาย๒ พระอุณาโลมมีสีดั่งหิมะหรือเงินบริสุทธิ์และเวียนไปทางขวาประดุจเขาสุเมรุทั้งห้า พระพุทธเนตรประดุจห้วงสาครของมหาสมุทรทั้งสี่ที่เลื่อมพราวผุดผาด บรรดาพระโลมาชาติทั่วพระสรรพางค์กายนั้นก็เปล่งรัศมียิ่งใหญ่ประดุจเขาพระสุเมรุ อันพระพุทธรัศมีที่กลมสมบูรณ์นั้น(แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่ว)ประดุจตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุจำนวนร้อยโกฏิ และรัศมีอันกลมนั้นก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้าจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาจำนวนร้อยโกฏินยุตะสายพระองค์ และพระพุทธนิรมาณหนึ่ง ๆ นั้นก็ยังมีบรรดาพระโพธิสัตว์จำนวนอสงไขย ฯลฯและพระอมิตายุพุทธเจ้าทรงมีมงคลลักษณะ ๘๔,๐๐๐ ประการ ในลักษณะหนึ่งๆก็มีรัศมี
อีก ๘๔,๐๐๐ ประการ ในรัศมีประการหนึ่งๆยังแผ่ฉายไปยังสรรพสัตว์ที่ระลึกถึงพระองค์ในทศทิศโลกธาตุเพื่อสงเคราะห์มิได้เพิกเฉย อันพุทธรัศมีอันประเสริฐและพระพุทธนิรมาณนั้น มิอาจจักพรรณนาให้สมบูรณ์
ได้เลยซึ่งพระพุทธลักษณะวิเศษที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ เป็น ๑ ใน ๑๖ วิธี ที่นิกายสุขาวดีนำไปเพ่งในจิตเพื่อน้อมนำพระพุทธคุณของพระอมิตาภะ ที่จะกล่าวถึงต่อไป๒ คือ ทราย ๑ เม็ดเท่ากับ ๑ โยชน์ ต้องนับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหนึ่งแห่ง แล้วคูณกับ ๖๐๐,๐๐๐ คูณ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐(โกฏิ) คูณ
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐(ศูนย์สี่สิบสองตัว) แล้วจะทราบส่วนสูงของพระองค์ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:07:58 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:11:44 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



พระอมิตาภะทรงมีมหาโพธิสัตว์ผู้เป็นอัครสาวกอยู่ ๒ พระองค์ องค์ที่ประทับทางเบื้องซ้ายของพระอมิตาภะคือ
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (觀世音菩薩) และทางเบื้องขวาคือ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์(大勢至菩薩) ซึ่งในคัมภีร์กรุณาปุณฑริกสูตร
กล่าวว่าพระโพธิสัตว์
ทั้งสองพระองค์นี้ เคยทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตและองค์รองจากทั้งหมดจำนวน ๑,๐๐๐ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้าในครั้งทรงเสวยพระชาติเป็นมหาจักรพรรดิราชาพระนามว่า อวิวาทสติ เมื่อครั้งอดีตที่แสนยาวนาน และทั้งสามพระองค์นี้ก็ทรงได้ถวายมหาสักการะต่อ พระรัตนครรภ์พุทธเจ้า
(寶藏佛)และเหล่าอรหันตสาวกตลอดเวลา ๓ เดือน ได้ประกาศมหาปณิธานว่าจะโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นพร้อมกันในสมัยนั้น และอวิวาทสติมหาราชก็ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าในอนาคตกาลเบื้องหน้าจะได้สำเร็จ
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญานในโลกธาตุชื่อ สุขาวดี (極樂世界) และจะมีพระพุทธนามว่าอมิตาภะ จึงส่งผลให้ทั้งสามพระองค์สถิตอยู่ในดินแดนพุทธเกษตรแห่งเดียวกัน ซึ่งชาวโลกแห่งนี้น้อมถวายพระสมญานามแด่พระองค์ว่า พระมหาอริยเจ้าทั้ง ๓ แห่งปัจฉิมทิศ (西方三聖)
และในวัชรธาตุมณฑลพระอมิตาภะทรงมีพระมหาโพธิสัตว์สาวกอยู่ ๔ พระองค์คือ..................................................
๑.วัชรธรรมโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร)
๒.วัชรตีกษณะโพธิสัตว์
๓.วัชรเหตุโพธิสัตว์
๔.วัชรวาจโพธิสัตว์ และทรงประทับบนมยุรอาสน์
ทั้งพระองค์ยังทรงมีพระมหาโพธิสัตว์ที่สถิตในสุขาวดีโลกธาตุอีก ๘ พระองค์ ซึ่งเรียกว่า............................................
มหาโพธิสัตว์ทั้ง ๘ แห่งสุขาวดี คือ.........................................
๑.อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
๒.มัญชุศรีโพธิสัตว์
๓.สมันตภัทรโพธิสัตว์
๔.เมตไตรยโพธิสัตว์
๕.วัชรปาณิโพธิสัตว์(มหาสถามปราปต)
๖.อากาศครรภ์โพธิสัตว์
๗.สรวนี วรณ
วิษกัมภินโพธิสัตว์
๘. กษิติครรภ์โพธิสัตว์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:08:55 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:16:39 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



ในคัมภีร์กรุณาปุณฑริกสูตร ยังกล่าวอีกว่า ในสมัยอดีตกาลแสนยาวนานมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า มหาวิชยอภิญญาญาณ
ก่อนหน้าที่จะทรงสำเร็จพระพุทธญาณนั้นทรงเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง มีพระราชโอรส ๑๖ องค์ ต่อมาภายหลังเมื่อตรัสรู้แล้ว
จึงประทานพระธรรมเทศนาแก่
โอรสเหล่านั้น เมื่อเหล่าโอรสได้สดับแล้วจึงได้ออกบวชเป็นสามเณร และมีมโนสิการระลึกว่า พวกหม่อมฉันมีปณิธานที่ตั้งมั่นอยู่เช่นใดนั้น พระตถาคตทรงทราบดี ด้วยจิตได้เฝ้าระลึก(ถึงพระโพธิญาณ)อยู่ทุกวาระเช่นนี้ พระตถาคตเจ้าจักทรงเป็นสักขีได้ ภายหลังเมื่อพระโอรสเหล่านั้นได้สดับ
พระธรรมบรรยายชื่อ
(สัทธรรมปุณฑริกสูตร)เพียงครั้งเดียว แล้วได้กล่าวแสดงเผยแผ่แก่มหาชน ภายหลังจึงได้สำเร็จซึ่งพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และโปรดสรรพสัตว์ไปทั่วในทศทิศ และหนึ่งในพระราชโอรสนั้นก็คือพระอมิตาภะพุทธเจ้าในครั้งนี้นั่นเองหากจะกล่าวว่า พระอมิตาภะทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่มีพุทธศาสนิกชนเคารพนับถือมากที่สุดในโลกพอๆกับพระศากยมุนีก็เห็นจะไม่ผิด เนื่องจากอิทธิพลของพระสูตรมหายานที่พระอมิตาภะทรงมีอยู่เฉพาะของพระองค์เองหลายปกรณ์ และมีการกล่าวถึงมาก ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ใด ๆแม้ว่าพระสูตรบางปกรณ์จะเป็นของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์อื่น ๆ ก็ตามที
แต่ภายในนั้นก็ยังมีการกล่าวถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกครั้งพระสูตรของพระอมิตาภะที่เป็นของพระองค์เองโดยเฉพาะนั้นมี
๑.จุลสุขาวดีวยูหสูตร หรือ อมิตายุสูตร (阿彌陀經) ฉบับแปลจากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีน ยึดถือเอาฉบับของพระกุมารชีพมหาเถระ(พ.ศ.๙๔๓)
พระภิกษุอินเดียสมัยห้าราชวงศ์ของจีนเป็นหลัก ซึ่งถือว่ามีความไพเราะสละสลวยที่สุด และพระภิกษุจีนทั่วโลกก็ใช้สาธยายในบทวัตรเย็น งาน
อวมงคล(งานศพ) และงานต่างๆที่มีจุดประสงค์เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ ด้วยมีเนื้อความไม่ยาวจนเกินไปนัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:09:42 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:21:26 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



๒. มหาสุขาวดีวยูหสูตร (無量壽經 ) แปลสู่ภาษาจีนโดยพระสังฆวรมันมหาเถระ
(พ.ศ.๗๙๕) และพระคังเจ็งไค้มหาเถระ กล่าวว่ามีข้อความที่ละเอียดพิศดารมาก แสดงถึงพระประวัติดั้งเดิมของ
พระอมิตาภะพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นภิกษุธรรมากร (法藏比丘)ที่ได้ตั้งปณิธานต่อพระพักตร์แห่งพระ
โลเกศวรราชาพุทธเจ้า(世自在王佛 : หนึ่งในกลุ่มพระพุทธเจ้า ๕๓ พระองค์) ไว้ ๔๘ ประการ
๓. อมิตายุรธยานสูตร(觀無量壽經) แปลสู่ภาษาจีนโดยพระกาลยสมหาเถระ(พ.ศ.๙๖๗)
๔. อมิตายุสูตรอุปเทศ ของพระวสุพันธุ์มหาเถระ และพระโพธิรุจิมหาเถระเป็นผู้แปล
ทั้ง ๔ พระสูตรนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงถึงโลกธาตุอันบริสุทธิ์และน่าอภิรมย์ที่มีนามว่า สุขาวดี ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเราแห่งนี้ห่างออกไปไกลแสนไกล คือต้องผ่านโลกธาตุอื่น ๆ ไปอีกจำนวนหนึ่งแสนโกฏิ๔ มีพระอมิตาภะประทับอยู่เป็นองค์ประธาน ทรงตรัสรู้มาแล้วถึงปัจจุบัน
เป็นเวลาสิบกัลป์ แม้นปัจจุบันก็ยังทรงแสดงธรรมบรรยายแก่หมู่พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์และพระสาวก
อีกคณานับจำนวนมิได้ ซึ่งแสดงว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ตามนัยยะแห่งนามว่า อมิตายุ แล้วในโลกแห่งนั้นล้วนมีแต่พระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้าและสัตบุรุษมากมาย เป็นที่ชุมนุมแห่งสัตบุรุษคนดีปราศจากความชั่ว สิ่งบีบคั้นและอบายภูมิทั้งปวง สิ่งก่อสร้างในโลกแห่งนั้นล้วนแต่เป็นเงินทองและแก้วรัตนมณีมีค่าทั้งสิ้น ฯลฯ แต่ถึงกระนั้นพระอริยเจ้าทั้งปวงในที่นั้น ก็มิได้ยินดีหรือยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นว่ามีค่า
แต่กลับพิจารณาว่าเป็นเพียงแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ที่เราเรียกสมมุติว่าสิ่งที่เป็นโลหะสีเหลืองอร่าม กำหนดชื่อให้ว่า ทอง หินชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแร่หิน
ชาวโลกตั้งชื่อให้มันว่า เพชร และพร้อมกับตีค่าให้มันเสร็จ ว่านั่นคือมีค่า นี้คือด้อยค่า โดยกำหนดวัดด้วยกิเลสของตนเอง ซึ่งเงินทองของมีค่าในโลกแห่งนั้น สำหรับพระอริยเจ้าแล้วก็คงมีค่าเท่ากับอิฐ หิน กรวด ทรายของโลกที่เราอยู่นี้ในคัมภีร์อมิตายุธยานสูตรกล่าวว่า พระนางวิเทหิ พระราชมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเศร้าโศกเสียพระทัยที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาต(ฆ่าพ่อ หนึ่งในอนันตริยกรรมคือกรรมที่สาหัสที่สุด ๕ ประการ) โดยการยุยงของพระเทวทัต พระนางจึงทูลขอประทานพระธรรมเทศนาถึงโลกธาตุที่พร้อมด้วยความสุขารมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระเมตตา ยังให้โลกธาตุอันน่าสุขารมณ์ในทศทิศ มาปรากฎต่อพระจักษุของพระนาง แล้วพระนางวิเทหิจึงทรงเลือกที่จะไปอุบัติยัง สุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า แล้วจึงทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัสแสดงถึงวิธีที่จะได้ไปเกิด พระองค์จึงตรัสแสดงพระสูตรเหล่านี้ ที่ภายในประกอบด้วยการเพ่งนิมิต ๑๖ ประการอันมีการเพ่งจิตต่อรัตนวิหาร ดอกบัว รัตนบัลลังก์อาสน์ รัตนพฤกษ์ สระทิพย์ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปตและสิ่งต่างๆในแดนสุขาวดี
แบ่งเป็น ๙ ขั้นตอน สำหรับเป็นองค์สมาธิในการยังจิตให้เข้าถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้า ในบันทึกประวัติของพระมหาเถระจีน เล่มที่ ๒๐ กล่าวว่า พระคณาจารย์เต๋าเฉียกทุกวันจะนั่งบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก และภาวนาต่อพระนามของพระอมิตาภะถึงวันละเจ็ดหมื่นจบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:10:15 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:24:16 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



ตามอรรถาธิบายของจีนได้กล่าวสรุปความพระมหาปณิธานของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ที่เคยทรงประกาศไว้เฉพาะเบื้องพระพักตร์แห่งพระโลเกศวรราชาพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นธรรมากร
ภิกษุทั้ง ๔๘ ประการดังนี้.....................................................
๑. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากในโลกธาตุของเราหากมีนรก เปรต เดรัจฉานแล้วไซร้
เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ ๕ ภายหลังที่สิ้นชีพลงแล้ว
ยังตกสู่อบายภูมิทั้ง ๓ อีกไซร้ ก็จักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ทั้งหมดในโลกธาตุมิได้มีรูปกายดั่ง
สุวรรณบริสุทธิ์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน
ยังมีศุภลักษณ์และอัปลักษณ์อยู่ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๕. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุไร้ซึ่ง
บุพเพนิวาสานุสติญาณ มิสามารถล่วงรู้ย้อนไปอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะ๖กัลป์ได้แล้วไซร้ เราจักมิขอ
สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๖. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงทิพยจักษุ
แล้วแลเห็นพุทธประเทศต่างๆจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิ
ญาณ
๗. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงทิพยโสต
ได้สดับในพระพุทธวัจนะทั้งปวงจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระ
สัมโพธิญาณ
๘. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงเจโตปริย
ญาณ ได้ล่วงรู้ถึงความระลึกแห่งจิตของสรรพสัตว์ในพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้
แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๙. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจบรรลุถึงอภิญญา
ฤทธิ์ โดยในชั่วขณะหนึ่งหากมิสามารถผ่านล่วงบรรดาพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะได้
แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๐. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุเกิดสัญญาความยึดมั่น
ยังละโมบมีแผนการณ์เพื่อสังขารแห่งตนแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๑. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุมิอาจธำรงมั่นในสมาธิ
ตราบถึงพระนิพพานได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๒. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากรัศมีประภาสถูกจำกัดขอบเขตปริมาณ มิอาจฉาย
ส่องไปยังพุทธประเทศจำนวนอย่างน้อยร้อยพันโกฏินยุตะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๓. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากอายุกาลถูกจำกัดขอบเขตปริมาณ อยู่น้อยกว่าร้อย
พันโกฏินยุตะกัลป์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๔. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสามารถคณนาซึ่งปริมาณของบรรดาสาวกในโลกธาตุ
ได้ ฤๅสามารถคณนาถึงปริมาณสรรพสัตว์ในตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุที่ล้วนได้สำเร็จเป็นปัจเจกโพธิ หาก
ด้วยอาศัยระยะเวลาหนึ่งร้อยกัลป์ในการคำนวณนับจนสามารถทราบถึงจำนวนทั้งหมดนั้นได้แล้วไซร้ เรา
จักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๕. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุไร้ซึ่งอายุกาลที่มิอาจ
ประมาณได้ เว้นเสียแต่เป็นปณิธานที่จักย่นอายุกาลของตนเอง (เพื่อนิพพาน) เท่านั้น หากมิเป็นเช่นนี้แล้ว
ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๖. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ ยังได้สดับยลยินถึงนาม
ของอกุศลอยู่ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๑๗. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากบรรดาพระพุทธเจ้าจำนวนอนันตะในทศทิศโลกธาตุ
มิได้สรรเสริญสดุดีในนามของเราอย่างอุโฆษเลื่องลือแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:12:08 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:27:00 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



๑๘. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศ ที่ยินดีในศรัทธาด้วยความเป็น
ที่สุดแห่งใจ ปรารถนาอุบัติยังโลกธาตุของเรา แม้นกระทั่งได้ระลึกถึงเรา ๑๐ วาระ๗แล้วมิได้ไปถืออุบัติแล้ว
ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ เว้นเพียงแต่ผู้ก่ออนันตริยกรรม และผู้ทำลายพระสัทธรรม
๑๙. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศได้บังเกิดมีโพธิจิต ได้บำเพ็ญซึ่ง
สรรพกุศลมีปณิธานมุ่งมั่นยิ่งเป็นที่สุดแห่งใจ ปรารถนาไปอุบัติยังโลกธาตุของเรา แลเมื่อคราวายชนม์แล้ว
สมมติว่าเราและบรรดามหาชนผู้แวดล้อมมิอาจไปปรากฏกายเบื้องหน้าของผู้นั้นได้แล้วไซร้ เราจักมิขอ
สำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๐. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากสรรพสัตว์ในทศทิศได้สดับนามของเรา มีจิตพันผูก
ระลึกถึงโลกธาตุของเรา เป็นผู้สั่งสมไว้ซึ่งกุศลมูลทั้งปวง แล้วมีจิตอุทิศเพื่อมุ่งไปอุบัติยังโลกธาตุของเรา
ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ หากมิอาจสำเร็จซึ่งผลนั้นแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๑. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ มิได้สำเร็จบริบูรณ์
ในทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะทั้ง ๓๒ ประการแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๒. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาคณะโพธิสัตว์ทั้งปวงจากพุทธเกษตรอื่น ๆ ที่มาถือ
อุบัติยังโลกธาตุของเรานั้น หากเป็นเอกชาติปฏิพันธ์โพธิสัตว์ ๘ แล้วไซร้เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณเว้นแต่จักเป็นผู้ที่มีมูลปณิธานดั้งเดิมของตนที่ยังจะสั่งสอนสรรพสัตว์ต่อไปเป็นเหตุ แลด้วยความตั้งใจนั้นอันเป็นคุณธรรมมูลฐานที่ตนได้สั่งสมไว้ด้วยความเหนื่อยยาก ในการโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น
เพื่อท่องเที่ยวไปในพุทธเกษตรทั้งปวงเพื่อบำเพ็ญโพธิสัตวจริยา เพื่อถวายสักการบูชาพระพุทธตถาคตเจ้าในทศทิศทั้งปวง เพื่ออนุศาสน์สอนสั่งสรรพสัตว์จำนวนอเนกอนันต์เท่าเม็ดทรายของคงคานทีหลวง เพื่อได้ตั้งมั่นในอนุตรสัมมาสัตยมรรคแล้วได้ก้าวพ้นออกจากจริยาแห่งภูมิทั้งปวง ได้ปรากฏสำแดงว่าได้บำเพ็ญซึ่งคุณธรรมแห่งพระสมันตภัทร หากมิเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 19:29:29 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:31:36 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



๒๓. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากด้วยอาศัยพุทธานุภาพในการถวายสักการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง แม้นในชั่วขณะภัตรกิจคราวเดียว หากมิอาจ(ถวายสักการะ)ไปได้ถ้วนทั่วถึงพุทธเกษตรจำนวนอสงไขยอนันตโกฏินยุตะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๔. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากแม้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพุทธพักตร์แล้ว ก็ย่อมจักสำแดงซึ่งการปลูกฝังกุศลมูล อันเครื่องสักการะบรรดาที่ต้องการใช้บูชานั้น หากมิสามารถได้ดั่งสมประสงค์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๕. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมิอาจกล่าวแสดง(ธรรม)ด้วยความเป็นสัพพัญญู(รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งปวง)แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๖. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมิได้บรรลุถึงวัชรนารายณกาย๑๐แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๗. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว เทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุหากในบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง อันบริสุทธิ์อลังการและสว่างสุกใส มีรูปลักษณ์อันวิเศษพิศดาร วิจิตรประณีตบรรจงซึ่งมิอาจกล่าวถึงปริมาณได้ แม้นบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นจักได้บรรลุซึ่งทิพยจักษุแล้ว หากสามารถล่วงรู้ถึงนามและนับ
จำนวน(ของสรรพสิ่งอันวิเศษในโลกธาตุ)ได้หมดสิ้นแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๘. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุตราบถึงผู้ที่มีกุศลน้อย มิอาจได้รู้แล
ได้ประสบซึ่งโพธิพฤกษ์(แห่งตน) ว่ามีประภาวรรณะจำนวนอเนกอนันต์ และมีความสูงถึงสี่ล้านลี้๑๑แล้วไซร้
เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๒๙. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากสาธยายพระธรรมสูตร อ่านท่อง
กล่าวแสดงแล้ว หากมิได้บรรลุซึ่งปฏิภาณแลปัญญาญาณแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๐. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุหากมีปัญญาญาณแลปฏิภาณที่อาจหยั่งวัดถึงขอบเขตปริมาณได้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๑. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว อันความบริสุทธิ์แห่งโลกธาตุจักฉายส่องโชติช่วงไปยังบรรดาพุทธเกษตรจำนวนอสงไขย จำนวนอนันต์ จำนวนอจินไตยในทศทิศโดยทั่ว ประดุจกระจกที่สว่างใส
ที่ฉายส่องอยู่ตรงหน้า หากมิดุจฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๒. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว อันพื้นพสุธาขึ้นไปเบื้องบนจรดความว่างเปล่าแห่งอากาศพระตำหนักมณเฑียรสถาน พระวิหารแลหอทัศนา สระโบกขรณี พฤกษาแลมาลี อีกสรรพสิ่งบรรดามีใน
โลกธาตุ ให้ล้วนสำเร็จจากรัตนชาตินานาชนิดและเครื่องสุคนธานับร้อยพันประการมิมีประมาณ ซึ่งประกอบตบแต่งกันอย่างอลังการและวิจิตรพิศดารยิ่งกว่าของเทพยดาทั้งปวง อันกลิ่นสุรภีคันธมาลย์นั้นหอมหวนโชยระรื่นไปยังโลกธาตุทั่วทศทิศ โพธิสัตว์ผู้ได้สูดดมแล้ว ย่อมล้วนบำเพ็ญในพุทธจริยา หากมิเป็นดังประการนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:13:01 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:35:30 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



๓๓. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาสรรพสัตว์หลากสายพันธุ์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อผู้ที่กายนั้นได้สัมผัสต้องกับประภารัศมีแห่งเราแล้ว กายแลจิตจักได้อ่อนโยนยิ่งกว่าเทพและมนุษย์ หากมิได้เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๔. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาสรรพสัตว์หลากสายพันธุ์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แล้วมิได้บรรลุในอนุตปตติก ธรรมกษานติ๑๒ และธารณีอันคัมภีรภาพทั้งปวงแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๕. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น ภายในนั้นหากจักมีอิสตรีที่ได้สดับนามของเรา แล้วปีติยินดีศรัทธาปสาทะได้บังเกิดโพธิจิต เอือมระอาอย่างหนักหนาในสตรีกาย เมื่อหลังจากชีวาดับสิ้นแล้วยังมีรูปลักษณ์เป็นสตรี
อีกไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๖. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แลเมื่อภายหลังที่วายชนม์แล้วย่อมจักบำเพ็ญในพรหมจริยาวัตรโดยนิจศิล ตราบจนสำเร็จพุทธมรรค หากมิได้เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิ
ขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๗. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาประชากรชาวสวรรค์และมนุษย์ในพุทธเกษตรทั้งหลายที่มีจำนวนอจินไตยและหาประมาณมิได้ตลอดทั้งทศทิศนั้น เมื่อได้สดับนามของเรา แล้วจักกระทำเบญจางคประดิษฐ์อภิวาทนมัสการ จิตบังเกิดความปีติยินดีน้อมใจศรัทธา ได้มาบำเพ็ญในโพธิสัตวจริยา
แล้ว อันบรรดาเทพแลมนุษย์โลกทั้งหลายจักมินอบน้อมยำเกรง(แก่ผู้ที่อภิวาทนมัสการนั้น)ก็หาไม่ หากมิเป็นดังประการฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๓๘. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ เมื่อต้องการพัสตรา
ภรณ์แพรพรรณก็ย่อมได้ตามความระลึกนั้น ประดุจที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญในเครื่องนุ่งห่มอันเลิศที่
สมธรรม อันจักอยู่บนกายได้เอง หากมีการย้อม เย็บ ซักและตากอยู่แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิณญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:13:27 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:41:22 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



๓๙. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว หากบรรดาเทวดาและมนุษย์ในโลกธาตุ ได้เสวยซึ่งความสุขสวัสดีทั้งปวง มิดั่งเช่นภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพผู้ปราศจากกิเลสาสวะแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๐. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุ เมื่อปรารถนาจักทอดทัศนาความวิสุทธิอลังการของพุทธเกษตรต่างๆจำนวนไม่มีประมาณในทศทิศ ใน เพลานั้นย่อมจักได้สมดังมโนรถ ด้วยในรัตนพฤกษ์ล้วนจักสำแดงปรากฏให้เห็นได้ ประดุจคันฉ่องสะอาดใสยังให้ประจักษ์อยู่เบื้องหน้า หากมิได้
เป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๑. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของเราแล้ว ตราบจนได้บรรลุความเป็นพระพุทธะในระหว่างนั้นหากสรรพอินทรีย์เกิดอัปลักษณ์มิสมประกอบบริบูรณ์แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๒. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของเราแล้ว ให้ล้วนบรรลุถึงวิสุทธิวิมุตติสมาธิ๑๓ เมื่อดำรงในสมาธินี้แล้ว ในชั่วขณะหนึ่งจักสามารถถวายสักการะบรรดาพระพุทธโลกนาถเจ้าทั้งหลายจำนวนอนันตอสงไขยได้ โดยจิตมิบกพร่องในสมาธินี้ หากมิ
เป็นดังประการนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ๔๓. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
เรา แลเมื่อวายชนม์แล้วในภายหลัง จักได้ไปบังเกิดยังตระกูลที่สูงส่ง หากมิเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
 ๔๔. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
เราแล้ว ให้เกิดอุเพคาปีติจนโลมาลุกชัน ได้บำเพ็ญโพธิสัตวจริยา สมบูรณ์พร้อมในพีชะแห่งคุณธรรม หาก
มิประดุจฉะนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๕. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของ
เราแล้ว ล้วนแต่บรรลุในสมันตนุคตสมาธิ เมื่อดำรงในสมาธินี้แล้ว ตราบจนได้สำเร็จความเป็นพระพุทธะ
ย่อมจักได้ประสบกับบรรดาพระพุทธเจ้าจำนวนอนันตอสงไขยทั้งปวงโดยนิจศิล หากมิเป็นไปดังเช่นนี้แล้ว
ไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๖. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว โพธิสัตว์ในโลกธาตุ ย่อมจักได้สดับพระธรรมกถาตามใจปรารถนา โดยจักได้สดับเฉพาะตน หากมิประดุจเช่นนี้แล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๗. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของเราแล้ว ยังเป็นผู้ที่มิบรรลุซึ่งความมิเสื่อมถอยย้อนกลับแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ
๔๘. เพื่อการเป็นพระพุทธะแล้ว บรรดาโพธิสัตว์ในโลกธาตุแดนอื่น เมื่อได้สดับนามของเราแล้ว ยังมิบรรลุในธรรมกษานติ ประการที่1และที่ 2 แลในสรรพพุทธธรรม มิสามารถบรรลุถึงความเป็นผู้มิเสื่อมถอยย้อนกลับแล้วไซร้ เราจักมิขอสำเร็จพระสัมโพธิญาณ ด้วยประการฉะนี้แล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:13:56 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:45:57 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



พระสูตรกล่าวว่าเมื่อธรรมากรภิกษุได้ประกาศมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่และจักยังพุทธเกษตรให้อลังการยิ่งกว่าพุทธเกษตรใด ๆ ในทศทิศแล้ว พระโลเกศวรราชาพุทธเจ้าจึงทรงบรรยายถึงพุทธเกษตรจำนวน ๒๑๐ โกฏิแห่งแก่ธรรมากรภิกษุ ครั้งนั้นธรรมากรภิกษุจึงนำเอาคุณสมบัติวิเศษของพุทธเกษตรแต่ละแห่งนั้น มารวมไว้เป็นคุณสมบัติของสุขาวดีโลกธาตุด้วยการที่มีพระสูตรและพระมหาปณิธานอันวิเศษจำนวนมากมาย สามารถเข้าถึงจิตใจผู้คนที่ใฝ่หาความสุขที่แท้จริงเช่นนี้เอง จึงทำให้พระอมิตาภะทรงเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือของคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากมีข้อปฏิบัติในการเข้าถึงพระองค์อย่างง่าย ๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถปฏิบัติได้ ก็คือการสวดภาวนาพระพุทธนามว่า นำ มอ ออ นี ท้อ ฮุก หรือ นโม อมิตาภะ พุทธายะ หรือ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระอมิตาภะพุทธเจ้า ในคัมภีร์จุลสุขาวดีวยูหะสูตรกล่าวว่า หากสรรพสัตว์น้อมระลึกถึงพระองค์ด้วยการภาวนาในพระพุทธนามตลอดเวลา ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน จนถึง ๗ วันด้วยจิตที่ศรัทธาแน่วแน่ หรือด้วยการระลึกถึงพระอมิตาภะด้วยความเป็นที่สุดของใจ ๑๐ ครั้ง
เมื่อถึงคราสิ้นชีพแล้วพระอมิตาภะพร้อมด้วยพระมหาโพธิสัตว์และพระอริยเจ้าทั้งปวง จะเสด็จมารับดวงวิญญาณของผู้นั้นไปเกิดใหม่ยังแดนสุขาวดี ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความยากจน จะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระองค์จนได้หลุดพ้นในโลกธาตุแห่งนั้น และหากมีความเมตตาปรารถนาจะกลับมาเกิดเพื่อโปรดสรรพสัตว์เพื่อสั่งสมบารมีอีก ก็สามารถกระทำได้ ด้วยความวิเศษเช่นนี้พุทธศาสนิกชนเมื่อวาระที่ตนหรือญาติมิตรจะ
สิ้นชีพ จึงภาวนาพระพุทธนามของพระอมิตาภะพุทธเจ้าให้ผู้วายชนม์ได้ฟังเป็นอนุสสติและบูชา เพื่อขอให้พระองค์มารับไปเกิดยังแดนสุขาวดีคล้าย ๆ กับคติของเถรวาทเราที่จะให้ผู้ใกล้วายชนม์ได้มองเห็นภาพเจดีย์ที่สมมติว่าเป็นเจดีย์พระธาตุเกตุแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ เพื่อให้ผู้นั้นได้ไปนมัสการพระธาตุจุฬามณีของจริง หรือจะเอ่ยคำว่าอรหันต์ให้ผู้นั้นได้ยิน ทั้งนี้เพื่อเป็นอุบายดึงจิตของผู้นั้นให้แนบติดอยู่กับกุศลเบื้องสูง เนื่องจากเชื่อว่า
ดวงจิตของผู้ใกล้จะวายชนม์นั้นหากไม่มีบุญกุศลที่สั่งสม หรือมิเคยได้บำเพ็ญสมาธิญานมาก่อนก็จะทำให้จิตใจซัดส่ายและเกรงกลัวต่อมรณะภัย
ฉุดรั้งจิตให้สับสนส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้และในแดนสุขาวดีก็แบ่งเป็น ๙ ระดับชั้น ในพระสูตรว่าเป็นดอกบัว ๙ ชั้น เป็นการแบ่ง
ระดับของผู้ที่มีบุญญาธิการบารมี ๙ ระดับ ซึ่งบัวชั้นล่างสุดจะเป็นดอกบัวตูม ผู้ที่ไปเกิดจะต้องบำเพ็ญเพียรภายในบัวนั้นเป็นระยะเวลานานแทนการชดใช้วิบากกรรมที่ภพภูมิอื่นๆ จนตนเองมีบารมีสูงขึ้น จึงจะได้เลื่อนไปอุบัติยังบัวชั้นสูงขึ้นต่อไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องบำเพ็ญตนภายในดอกบัวตูมระดับนั้นๆต่อไปอีก จนกว่าจะได้อุบัติยังบัวบานชั้นสูงสุด และผู้ที่ไปอุบัติยังบัวบานชั้นสูงสุดนั้นก็ว่าล้วนแต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้มากด้วยบุญญาธิการทั้งสิ้น ในคำอธิษฐานของชาวพุทธมหายานจะว่า ขอตั้งจิตบังเกิดยังวิสุทธิภูมิเบื้องปัจฉิมทิศ มีปุณฑริกมาศ ๙ ระดับชั้นเป็นบุพการี แลเมื่อดอกบัวบานขึ้นก็จงได้ประสบกับพระ
พุทธองค์ ได้รู้แจ้งแล้วลุถึงภาวะอันไม่มีการเกิดอีก และจงมิต้องเสื่อมถอยย้อนกลับจากการมีพระโพธิสัตว์เป็นกัลยาณมิตรเคียงคู่เทอญ กล่าวคือหากบัวบานแล้วได้พบกับพระพุทธเจ้าในทันทีนั้น ก็คือผู้ที่เกิดยังบัวชั้นสูงสุดมีบารมีถึงพร้อม เมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ให้รู้แจ้งบรรลุถึงการไม่ต้องเกิด
อีกต่อไป และจะได้ดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสรรพสัตว์ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และการที่ดอกบัวจะบานในชั้นสูงสุด หมายความว่า ดุจบัวพ้นน้ำ ได้รับพุทธรังสีอันประดุจแสงอาทิตย์ทำให้ดอกบัวบานออกได้............................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:15:28 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 17:48:23 »

http://img641.imageshack.us/img641/3356/64613401.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



การสรรเสริญในพระพุทธนามเช่นพระนามของพระอมิตาภะ หรือพระพุทธเจ้าอื่น ๆ ก็เป็นการน้อมนำอำนาจแห่งพระพุทธคุณหรือเป็นการเจริญพุทธานุสสติอย่างหนึ่ง ซึ่งทางมหายานได้อาศัยข้อความในพระพุทธธรรมคัมภีร์พุทธธยานสาครสูตร ว่าด้วยการเพ่งจิตถึงพระพุทธเจ้า
เป็นอารมณ์ จะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติเจริญด้วยเมตตากรุณา มีบารมีคุณแห่งพระพุทธเจ้าประดับในตน จึงให้แคล้วคลาดจากภยันตรายและอบายภูมิทั้ง
ปวงได้ ด้วยประการที่ว่าหากจิตมุ่งมั่นแต่พระพุทธเจ้าแล้วจิตย่อมไม่ฝักใฝ่ในธรรมฝ่ายอกุศลแน่นอน จึงเป็นการปิดหนทางแห่งอบายของตนเองได้
ด้วยความนิยมและแพร่หลายนี้ให้ก่อเกิดเป็น นิกายสุขาวดี(淨土宗) ซึ่งก่อตั้งโดยพระคณาจารย์ฮุ่ยเฮี้ยง เป็นพระเถระสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก(พ.ศ.๘๖๐–๙๖๓) มีสำนักเป็นวัดตังนิ่มบนเขาหลู่ซาน มณฑลกังไส ได้ร่วมกับภิกษุ ๑๘ รูปก่อตั้งปุณฑริกสมาคม(กลุ่มบัวขาว) ขึ้นในปี พ.ศ.๙๔๕บนภูเขานั้นมีการขุดสระใหญ่และปลูกดอกบัวขาวเต็มสระ คณาจารย์ฮุ่ยเฮี้ยงพร้อมศิษย์จำนวนหลายพัน
คนนั่งภาวนาอยู่หน้าสระนี้ โดยสมมติว่าเป็นสระโบกขรณีทิพย์ในแดนสุขาวดี ซึ่งท่านตั้งจิตจะไปเกิดเมื่อสิ้นชีพจากโลกนี้ในคัมภีร์ทศยมราชาขมาสูตร ก็ว่าพระอมิตาภะทรงนิรมาณกายเป็นพญายมราชปกครองนรกขุมที่ ๑๐ พระนามว่า จ๋วงหลุ่งเม้งอ้วง มีหน้าที่ให้สัตว์ที่ชดใช้กรรมหมดแล้วได้ไปเกิดใหม่ตามสภาพกรรมของตนต่อไปพุทธศาสนิกชนมหายาน ถือเอาวันที่ ๑๗ เดือน ๑๑ (ตามจันทรคติของจีน) เป็นวันคล้ายวันพระพุทธสมภพ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า




.......................................จบ..................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 18:17:21 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: 30 เมษายน 2553 18:56:29 »

http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/october/11.jpg
นำโม 阿彌陀佛 ออนีทอฮุกโจ้ว



พี่ แป๋ม เทศกาล เจ ปีนี้ เรามาทาน เจกันดีมั๊ย ?  10 วันเท่านั้นเอง ถือโอกาสชวนเลยแต่เนิ่น ๆ



ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นเครื่องสักการะ


แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์


และขออุทิศเพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 เมษายน 2553 19:03:34 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
佛教 晚課 阿彌陀佛
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
sometime 4 2206 กระทู้ล่าสุด 29 เมษายน 2553 13:34:08
โดย เงาฝัน
บทสวดสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม(นำโม ไต้ซือ ไต้ปุย กิ่วโค้ว กิวหลั่ง)
เพลงสวดมนต์
เงาฝัน 1 3209 กระทู้ล่าสุด 04 มิถุนายน 2556 13:17:25
โดย That's way
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.299 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 21 มีนาคม 2567 06:58:21