[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
03 กรกฎาคม 2568 12:46:39 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ความจริงก็คือความจริง-ทางโลกทางธรรมก็ไม่สน  (อ่าน 1954 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 มิถุนายน 2554 10:01:15 »




สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ที่กำลังมาถึงชาวโลกและชาวไทยภายใน  2-3 ปีนี้ตามสเปกตรัมของจิต ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของจิตโดยรวมและปัจเจกบุคคล แม้ว่าบางครั้งบางคราวจิตแห่งปัจเจกบุคคลนั้นอาจจะสะเปะสะปะไปบ้าง  แต่โดยรวมแล้วมาถึงแน่ๆ และแช่แป้งไว้ล่วงหน้าได้ ที่บ้านเรานั้นขณะนี้คนเข้าวัดหาพระ ฟังเทศน์ฟังธรรม กระทั่งทำสมาธิกันมากขึ้นไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร? ผู้หญิงทำละหมาด ทำคริสเตียนเม็ดดิเตชั่นมากขึ้น คงจะกลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวภัยธรรมชาติกระมัง? ที่เรารู้สึกว่ามันเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกขณะ  ประเด็นก็คือมันไม่มีทางหนีเสียด้วย ที่พูดมานี้มีความหมายว่าการมีสภาวะทางจิตวิญญาณหรือสปิริตจวลลิตี้นี้ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการปฏิบัติที่ดี แต่ก่อนหน้านี้ผู้เขียนและคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นมีใครเขียนบอกไว้ว่า ก่อนที่จะมาถึงจุดที่มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางจิตของตัวเองนั้นจะใช้เวลานานมาก สำหรับการทำสมาธิอานาปานสติในวัชรญาณพุทธศาสนานั้น บี อลาน วอลเลซ (B. Alan Wallace ซึ่งได้อ้างไปแล้วหลายหน) บอกว่าจะต้องใช้เวลายาวนานถึง 10,000-15,000 ชั่วโมง หรือถ้าหากว่าเราทำสมาธิวันละ 2  ชั่วโมง โดยไม่หยุดสักวัน ก็จะต้องใช้เวลาถึง 20 ปี
   
   ผู้เขียนเคยถามเด็กที่มีอายุเลย 3 ขวบไปแล้ว 2-3 คน (เพราะผลของการวิจัยของฌ็อง เปียเจต์ บอกว่า เด็กที่มีอายุครบ 3 ขวบบริบูรณ์ไปแล้วถึงจะรู้ความจริงของโลกได้ทั้งหมด และตามพิสูจน์ประสบการณ์ของตัวเองนั้นด้วยตัวเอง) ว่าความจริงมีกี่ชนิด? และเรารู้ว่ามันเป็นความจริงได้อย่างไร? ซึ่งเด็กเหล่านั้นจะตอบเหมือนๆ กันว่ามันมีความจริงชนิดเดียวเท่านั้น คือความจริงตามที่ตาของเรา ของมนุษย์ มองเห็น เพราะว่าเด็ก 3-4 ขวบ จะพูดความจริงตามที่ตนมองเห็น และพูดแต่ความจริงตามที่ตนรู้สึกและรู้เท่านั้น ในสมัยก่อนนานมาแล้ว  ปี 1958 กระมัง? อาร์ต ลิงค์เล็ตเตอร์ นักหนังสือพิมพ์ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ ขึ้นเล่มหนึ่งเรื่องการพูดความจริงชนิดตรงไปตรงมาของเด็ก 3-4 หรือ 5  ขวบ จากการสัมภาษณ์หรือถามตรงๆ ที่ทั้งน่ารักและน่าขำ - คำตอบที่เด็ก 3-4  ขวบ หรือ 5 ขวบตอบนั้น ว่ากันตามจริง “อีกในแง่หนึ่ง” ช่างตรงกับของผู้ใหญ่ที่ทรงปัญญาลึกล้ำในอดีตชาวกรีก (ไม่ได้ประชดนะ!) ซึ่งผู้ใหญ่นั้นยิ่งทรงปัญญามาก ยิ่งฉลาดมาก ก็ยิ่งมีอัตตาอีโก้มาก ยิ่งตอแหลมาก มักรักษาศีลข้อที่ 2  ลำบากมาก ชาวกรีกในอดีต เป็นต้นว่า อริสโตเติลและนักปรัชญาชาวฝรั่งหลายต่อหลายคนหลังจากนั้น - ต้นตระกูลของหลักการที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าแม็ตทีเรียลลิซึ่ม (materialism) ที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้เชื่อถือและมักจะปกป้องคุ้มครอง
   
   ที่พูดว่าไม่ได้ประชดนั้นเป็นการพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เพราะว่าผู้ใหญ่ที่พูดเหมือนกับเด็ก 3 ขวบที่มองเห็นหรือรับรู้เหมือนกันเปี๊ยบ เป็นเพียงแต่ผู้ใหญ่จะรู้จักตอแหลมากขึ้นและมากขึ้นๆ ด้วยอีโก้อหังการไปเรื่อยๆ ตามวันเวลาจนกระทั่งเสื่อมก่อนการแตกสลายที่ช้า-เร็วไม่เหมือนกัน ขึ้นกับเวลาของการเจริญเติบโตและการเสื่อมของผู้นั้นๆ แต่มนุษย์ทั้งโลกเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ทั้งๆ ที่ช้างได้ยินไกลถึง 5 กิโลเมตร แต่มนุษย์จะได้ยินเพียง 500 เมตร  นั่นคือทั้ง 2 ต่างก็หูไม่หนวก ต่างก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 มีการดำรงอยู่รอด  (existentialism) แตกต่างกัน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะไม่คิดและไม่สนใจ คิดแต่มนุษย์ - มิตรหรือศัตรู - ด้วยกันเท่านั้น ชีวิตของสัตว์พืชและต้นไม้อื่นๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!
   
   อาร์โนลด์ มินเดล นักจิตวิทยาและนักฟิสิกส์ใหม่ (วิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ) ได้คิดวิชาจิตวิทยาที่จัดตั้งบนกระบวนการธรรมชาติที่ผู้เขียนคิดว่าได้ลอกเลียนแบบหรือกระบวนการมาจากพุทธศาสนา ส่วนใหญ่มาจากมหายานและวัชรญาณพุทธศาสนา - จากมหายาน  คือการปฏิบัติสมาธิแบบเซนพุทธศาสนาและจากวัชรญาณคือปฐมเนื้อหาของจิต  ส่วนในเถรวาทนั้นผู้เขียนคิดว่าอาจอยู่ในสติปัฏฐาน 4 คืออยู่ในความจริงทางธรรม เป็นต้นว่า การ “เห็นกายในกาย” หรือการ “เห็นธรรมในธรรม” ในพุทธศาสนานั้นจิตปฐมภูมิแยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ คือทั้ง 2 ต้องอยู่คู่กันและไปด้วยกัน จิตจะทำงานไม่ได้ถ้าหากปราศจากพลังงาน และพลังงานจะอยู่โดยไม่มีจิตไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนการไหลเลื่อนเคลื่อนที่หรือการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์จะต้องมีแรงหรือพลังงานที่ทำให้มันเคลื่อนที่ไป ทั้ง 2 จะต้องคู่กันเสมอในสังสารวัตรนื้ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าทุกสิ่งย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจตา จนกระทั่งบรรลุนิพพานที่เป็นอสังขตธรรม คงที่เสถียรเป็นหนึ่งเดียว
   
   วิทยาศาสตร์โดยเฉพาะฟิสิกส์บอกเราว่าจักรวาลของเราอันนี้มีอายุ 13.7  พันล้านปี และโลกเรามีอายุ 4.6 พันล้านปี โบราณคดีวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์บอกเราต่อไปว่า เราเพิ่งมาถึงโลกนี้จักรวาลนี้ไม่นานนัก คือมนุษย์เหมือนเป็นทารกแรกเกิด (แต่ทำไม? เราถึงใหญ่คับฟ้าก็ไม่รู้) จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่โลกและจักรวาลนี้มันมีวิวัฒนาการของชีวิตเป็นสัตว์โลก และแม้เป็นพืช เป็นต้นไม้ที่มีกลุ่มเซลล์หลายเซลล์ช้ามาก และมีจิตมาก่อนรูปกายนานนักหนา แต่มนุษย์หายไปไหนถึงได้มาช้านัก คงจะเป็นเพราะเราต้องไปจากดาวเคราะห์โลกนี้เร็วกระมัง? แม้ว่าในตอนนั้นโลกจะมีชีวิตมาตั้งนานแล้วก็ตาม  แต่ในตอนแรกนั้นเป็นชีวิตสัตว์เซลล์เดียวนานถึงร่วม 200 ล้านปี ยิ่งเป็นมนุษย์แบบเราๆ และพูดเป็นภาษาพูดได้ดีก็เพียงไม่ถึงแสนปี มันจึงน่าแปลกใจว่ามนุษย์มัวไปอยู่ที่ไหนมา จริงๆ แล้วมนุษย์เพิ่งจะตั้งหลักแหล่งเป็นถิ่นฐานบ้านช่องก็เมื่อ 12,000 ปีมานี้ และตั้งเป็นเมืองเป็นนครก็เมื่อเพียง 5,000 ปี หรือว่ากว่านั้นก็ไม่มากนัก หรือพูดง่ายๆ ก็ได้ว่า เมื่อเพียงราวๆ 150 ชั่วคนมานี้เท่านั้น  และแล้วระบบความเชื่อ (belief system) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นศาสนา เช่น  ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธเพียงเมื่อ 70-80 ชั่วคนก่อน มนุษย์เราเหมือนกับว่าเรามีวิวัฒนาการเร็ว เจริญเติบโตเร็ว พัฒนาเร็ว พร้อมๆ กันกับเรียนรู้เร็ว  วิวัฒนาการเร็ว และการเรียนรู้ที่เพียงไม่กี่ชั่วคนนี้มนุษย์เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวัตถุจนกระทั่งได้เบียดเบียนกดขี่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมโลกเสียจนหมดกว่านี้ไม่ได้อีก สิ่งที่ทำร้ายโลกที่ผู้เขียนได้เขียนบ่อยๆ ว่าด้วยระบบสังคมต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนือวาระของบทความนี้ จึงจะไม่เขียนอีก เพียงแต่จะพูดว่าการกระทำผิดของมนุษย์เรานั้นทำให้มนุษย์เราส่วนหนึ่งมีวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงทางจิตตามสเปกตรัมได้เร็วขึ้น มีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ (spirituality) เร็วขึ้น
   
   สังเกตไหม? ว่าผู้เขียนไม่ได้พูดถึงชาวโลก “ส่วนใหญ่” ราวๆ กว่า 60- 70% หรือพูดเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม ทั้งไม่พูดถึงเรื่องของระบบความเชื่อของชาวมายา ชาวอินเดียนแดง หรือลัทธิพระเวท และปี 2012-2013 หรือความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ที่สุดในจักรภพอังกฤษ และปี 2020 เลย
   
   คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกไม่จำเพาะแต่ประเทศไทยประเทศเดียวมักอยู่กับนิสัยความเคยชินหรือสามัญสำนึก หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าเป็นความคิดที่นอนแนบเนื่องกับจิตใต้สำนึก คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกจึงมักเชื่อแต่ที่ตาของตัวเองเห็น  หูของตัวเองได้ยิน ฯลฯ และเชื่อว่าสัตว์โลกอื่นๆ จะเห็นเหมือนกับที่มนุษย์เห็น  และได้ยินตามที่มนุษย์ได้ยิน พูดง่ายๆ คือเอามนุษย์เป็นตัวตั้ง เพราะว่ามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ (anthropocentric) เราคิดว่าสัตว์นั้นอย่างดีก็เป็นอาหารหรือเงินเท่านั้น ฉะนั้นเราจึงไม่สนใจสรรพสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น คนส่วนใหญ่มากๆ ส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ผ่านมาหยกๆ  เช่น เมื่อ 40-50 ปีก่อน และโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย ซึ่งแม้แต่วันนี้และบัดนี้ก็ยังมีสาธารณชนเป็นจำนวนมากแทบจะทั่วทั้งประเทศ แม้แต่นักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัย  ซึ่งเคยได้ยินควอนตัมฟิสิกส์มาบ้าง แต่ไม่ได้รู้หรือไม่ได้ติดตามพอ จึงยังคงเป็นแม็ตทีเรียลลิสติก (materialist) หรือนักวัตถุนิยมจ๋า ซึ่งคงเป็นเพราะบ้าเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ที่จำเดิมฝรั่งในประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมมากๆ แล้วคิดขึ้น โดยเข้าใจว่าเป็นวิทยาศาสตร์ชักนำให้เชื่อเช่นนั้น
   สาธารณชนคนส่วนใหญ่เหล่านี้มักจะคิดว่าความจริงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ความจริงที่ผู้เขียนและนักพุทธศาสนชนเรียกว่าความจริงทางโลกเพื่อที่จะแยก “ความเป็นสอง” ออกจากความจริงที่มีอยู่ในวัฒนธรรมเวดิก ซึ่งต่อมาได้มีวิวัฒนาการมาเป็นศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาพุทธ เป็นต้น  ส่วนความจริงทางธรรมที่บางคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่คนเหล่านี้จะไม่เชื่อหรือไม่สนใจ นั่นก็คือความจริงก็คือความจริง ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าอย่างใดก็ได้ ซึ่งฌ็อง เปียเจต์ ทำวิจัยและสังเกตแล้วบอกว่า เด็กอายุ  3 ขวบเต็ม และผู้ใหญ่ที่มีอายุเท่าไหร่ก็ได้นั้น ในที่นี้จึงเหมือนกัน เพราะรับรู้ความจริงทางโลกเหมือนกันจริงๆ
   
   ได้อ่านที่ไหนก็จำไม่ได้ว่าความจริงทางโลกนั้นเต็มไปด้วยกิเลส ทุกๆ  ซอก ทุกตรอก ทุกมุม ถ้าหากเป็นเมืองก็หาที่สงบไม่ได้ แม้ในชนบทก็หายากขึ้นเรื่อยๆ พูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทุกๆ ความจริงทางโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น  บนความสุขทางกายและจิตรู้ หรือจิตสำนึก หรือขันธ์ 5 ที่เป็นรูปและนามที่ประกอบเป็นจักรวาลทั้งหมด - ประเดี๋ยวประด๋าว จึงต้องหาความสุขใหม่ๆ ชนิดที่ว่านั้นตลอดเวลา โลกและจักรวาลเป็นแบบนี้ ความจริงทางโลกก็ต้องเป็นแบบนี้ อ่านมาแล้วจำไม่ได้บอกว่าสมัยก่อนคริสตกาล 700 และ 600 ปี ที่โลกแย่น้อยกว่านี้มากนัก ก็ได้มีการตื่นขึ้นมาของกระบวนการแสวงหาสภาวะจิตวิญญาณ  (spirituality) ที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่าโลกกับจักรวาลต้องการทดสอบมนุษย์ระหว่างสภาวะจิตวิญญาณกับเทคโนโลยีที่จะมีในอนาคต เราสามารถจะมีสปิริจวลลิตี้และผ่านพ้นได้หรือไม่? การแสดงสภาวะจิตวิญญาณกับการเตรียมศาสนาไว้ให้ก็คือการทดสอบนั้น ประเด็นที่สำคัญประเด็นนี้คือโลกและจักรวาลจึงเตรียมและต้องการ 3 อย่างคือ 1.เตรียมจัดให้มีสภาวะจิตวิญญาณและศาสนาเกิดขึ้นในโลก 2.เพื่อบอกมนุษย์ว่าการเรียนรู้คือเป้าหมายของมนุษย์ และการเรียนรู้นั้นมีจุดหมายสุดท้ายที่จิตวิญญาณหรือสปิริจวลลิตี้ กับ 3.เพื่อเตือนว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัตถุนิยม - เพื่อทดสอบอุปาทานการยิดติด - ที่สนับสนุนกิเลสและอัตตาอีโก้ - ผ่านการติดยึดหรืออุปาทานนั้น - ซึ่งมันกำลังมาแล้วนะ!  และการเตรียมการของโลกของจักรวาลทั้ง 3 อย่าง 3 ประการนั้นสามารถจะแก้ไขกิเลสและอุปาทานได้หรือไม่? ด้วยสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) กับศาสนาที่เตรียมให้ไว้อย่างไรล่ะ!
   
   http://www.thaipost.net/sunday/120611/40039

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.428 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 23 พฤศจิกายน 2567 20:10:34