[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 07:47:51 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3 4   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 44657 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 17:59:05 »

108 เคล็ดกิน

ผมจะนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับการกินมาให้อ่านกัน

หากท่านใดที่มีข้อมูลนำเสนอ  ช่วยกันลงข้อมูล จะได้มีไว้ศึกษากันครับ


http://board.palungjit.com/f76/108-เคล็ดกิน-226035.html
.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
 
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 17:59:49 »

สารอาหารบำรุงเส้นผม 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กุมภาพันธ์ 2553 15:39 น.
 
 
 
 
สำหรับสาวๆ แทบทุกคนแล้ว นอกจากหน้าตาต้องสดใส เสื้อผ้าต้องสวย เรื่องของเส้นผมและหนังศีรษะก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความงามที่หลายๆคนให้ความสำคัญ เพราะเส้นผมที่ดูมีสุขภาพดีก็จะทำให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นไปด้วย

"108 เคล็ดกิน" มีสารอาหารที่เส้นผมต้องการมาฝากกัน โดยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเส้นผมนั้นก็คือซิลิคอน ไอโอดีน กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส โดยในเมล็ดฟักทองและถั่วต่างๆ นั้นเป็นแหล่งรวมของสังกะสี ส่วนแตงกวาและข้าวโอ๊ต ก็มีซิลิกาที่เส้นผมต้องการ สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ งา และเมล็ดทานตะวัน ก็มีธาตุเหล็กอยู่มาก ต้องไม่ลืมกินปลาซึ่งเป็นแหล่งรวมโปรตีนและกรดโอเมก้า 3 ส่วนข้าวกล้องและธัญพืช ก็มีทั้งวิตามินบี ส่วนผักใบเขียวก็มีกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้สวยงาม

นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาผมร่วงก็เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล ใครที่มีปัญหาผมร่วงจะลองใช้น้ำกะทิช่วยดูก็ได้ เพราะน้ำกะทินั้นอุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย แค่ใช้หัวกะทิมาโชลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมตามปกติ
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:00:21 »

"ผักกูด" เฟิร์นกินได้ 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มกราคม 2553 18:09 น.
 
 
 
 
"ผักกูด" แม้เป็นผัก แต่ก็จัดอยู่ในพืชประเภทเฟิร์น ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะอย่างเช่นริมลำธาร หรือตามชายคลอง ซึ่งผักกูดสามารถเป็นตัวบ่งชี้สภาพแวดล้อมได้ เพราะหากสภาพแวดล้อมไม่ดี ผักกูดก็จะไม่ขึ้น

ผักกูดสามารถนำมาประกอบอาหารหลายอย่าง โดยเราจะนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาทำเป็นอาหาร แถมเมนูจากผักกูดก็ยังอร่อยถูกปากหลายๆ คนเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย แกงปลากับผักกูด จะกินสดๆ หรือลวกจิ้มกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรกินสดบ่อยนักเพราะจะมีสารออกซาเลตสูง โดยสารนี้จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญๆ อีกทั้งหากสะสมสารนี้ไปในร่างกายมากๆ ก็จะทำให้ออกซาเลตไปตกผลึกสะสมในไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เป็นนิ่ว จึงควรทำผักกูดให้สุกก่อนกิน

สารอาหารในผักกูดนั้นก็มีมากมาย โดยมีสารเบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็กสูง นอกจากนั้นก็ยังให้แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินซี ไนอาซีน ผักกูดยังเป็นผักพื้นบ้านของไทยที่มีสรรพคุณทางยา โดยจะช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับปัสสาวะ
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:00:54 »

"มันฝรั่ง" อาหารเก่าแก่ของชาวโลก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มกราคม 2553 14:55 น.
 
 
 
 
"มันฝรั่ง" เป็นพืชชนิดหัวใต้ดินที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์มายาวนานตั้งแต่ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่าต้นมันฝรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าอเมริกาใต้ และเป็นสารอาหารคาร์โบไฮเดรตหลักที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปัจจุบัน

แม้จะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเทียบกับข้าวแล้วในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มันฝรั่งจะให้แคลอรี่ในปริมาณที่น้อยกว่า นอกจากนั้นมันฝรั่งยังอุดมไปด้วยกากใย มีธาตุโปแทสเซียมสูง วิตามินซีสูง และมีธาตุเหล็กในปริมาณปานกลาง ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีเนื่องจากมีวิตามินซีเป็นตัวช่วยในการดูดซึม

มันฝรั่งยังช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ แก้อาการท้องผูก ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ช่วยในการห้ามเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันเส้นเลือดใหญ่แข็งตัว โพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการตะคริว อาการเจ็บปวดช้ำ ปวดประสาท และไขข้ออักเสบ นอกจากนั้น น้ำมันฝรั่งคั้นสดๆ ยังช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็กๆ วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน อาจเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติด้วยก็ได้
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:01:36 »

หวานชุ่มคอกับ "มะขามเทศ" 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 17:11 น.
 
 
 
 
มะขามนั้นถือเป็นต้นไม้ท้องถิ่นของบ้านเรา มีปลูกไปทั่วทั้งประเทศ และยังมีมะขามหลายชนิด ทั้งมะขามหวานกินอร่อยช่วยขับถ่าย มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันหวัด และสำหรับ "มะขามเทศ" ก็เป็นมะขามอีกหนึ่งชนิดที่กินอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน

"มะขามเทศ" นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ส่วนที่เรานำมากินกันนั้นก็คือผลของมัน ที่อยู่ในฝักโค้งเป็นวงกลม รสชาติของมะขามเทศจะออกหวานมัน ผสมรสฝาดนิดๆ กินอร่อยชุ่มคอ และยังมีประโยชน์ตรงที่เป็นผลไม้ไทยที่มีวิตามินอีสูงเป็นอันดับสองรองจากขนุนหนัง และให้วิตามินซีสูงเป็นอันดับสี่ รองจากฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด และมะขามป้อม ทั้งยังมีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ทั้งยังมีเส้นใยสูง ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ไม่เป็นโรคท้องผูกอีกด้วย

นอกจากนั้นแล้ว มะขามเทศยังถือเป็นพืชสมุนไพร คนโบราณมักนำเอาเปลือกมาต้มกับเกลือป่นแก้โรคปากเปื่อย ส่วนเปลือกต้นใช้ต้มน้ำเคี่ยวรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง ใช้อมแก้ปวดฟัน เปลือกใช้ทำยาย้อมผม และยาสระผมได้อีกด้วย
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:20:14 »

เสริมสร้างสมองของเด็กๆด้วยธาตุเหล็กในผัก 5 ชนิด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2553 16:50 น.
 
 
 
 
หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของเด็กๆ ได้เฮกันบ้าง เพราะวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมนั้นถือเป็น "วันเด็ก" ที่เด็กๆทุกคนจะได้ทำกิจกรรมสนุกๆมากมาย "108 เคล็ดกิน" ก็เลยนำเอาอาหารที่จะช่วยให้เด็กๆ แข็งแรงสมวัย มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เต็มที่มาฝากกัน นั่นก็คือสารอาหารสำคัญอย่าง "ธาตุเหล็ก" นั่นเอง

ธาตุเหล็กนั้นเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะเกิดภาวะโลหิตจาง และทำให้ความสามารถของเลือดในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงยังเนื้อเยื่อต่างๆลดประสิทธิภาพลง และสำหรับเด็กๆแล้ว ธาตุเหล็กถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาร่างกายและสมอง เพราะการขาดธาตุเหล็กจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ทำให้มีสมาธิในการเรียนต่ำ ความจำไม่ดี แถมยังมีอาการเหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ง่วงเหงาหาวนอน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และไม่มีกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ

และสำหรับคุณแม่ที่อยากจะให้ลูกๆได้รับธาตุเหล็กเต็มที่ "108 เคล็ดกิน" ก็มีผักพื้นบ้านที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับมาฝากกัน ได้แก่ ผักกูด ให้ธาตุเหล็ก 36.3 มิลลิกรัม/100 กรัม ถั่วฟักยาว ให้ธาตุเหล็ก 26 มิลลิกรัม/100 กรัม ผักแว่น ให้ธาตุเหล็ก 25.2 มิลลิกรัม/100 กรัม เห็ดฟาง ให้ธาตุเหล็ก 22.2 มิลลิกรัม/100 กรัม และพริกหวาน ให้ธาตุเหล็ก 17.2 มิลลิกรัม/100 กรัม คุณแม่ลองนำผักเหล่านี้มาทำอาหารจานอร่อยให้คุณลูกกิน ก็จะได้รับธาตุเหล็กกันถ้วนหน้า อ้อ...และหากอยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:20:48 »

ดื่มสารต้านอนุมูลอิสระ ดื่ม"โกโก้"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2552 17:09 น.
 
 
 
 
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เป็นสารที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะสารตัวนี้รู้จักกันดีว่าเป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย

ส่วนมากแล้วสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะพบมากในอาหารประเภทผักผลไม้ แต่ในตอนนี้มีการศึกษาแล้วว่า "โกโก้" ก็เป็นเครื่องดื่มอย่างหนึ่งที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วยเช่นกัน และมีอยู่มากเสียด้วย

การวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

โกโก้นั้นถูกนำไปผลิตเป็นอาหารหลายๆ อย่าง เช่น ช็อกโกแลต ซึ่งก็ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ หากจะให้ดีก็ควรจะดื่มโกโก้โดยตรงจะดีกว่าการกินช็อคโกแลต เพราะในช็อกโกแลตแท่งขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:22:10 »

"ไก่งวง" พระเอกบนโต๊ะอาหารวันคริสต์มาส
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ธันวาคม 2552 14:48 น.
 
 
 
 
"เทศกาลคริสต์มาส" ถือเป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลก เพราะถือเป็นวันประสูติของพระเยซู ซึ่งถือเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ อีกทั้งยังเป็นวันที่ครอบครัวญาติพี่น้องจะได้มาเจอกัน ในบ้านจะตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสประดับไฟไว้อย่างงดงาม มีการแลกของขวัญกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะได้กินอาหารมื้อใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกด้วย

อาหารที่มักจะกินกันในเทศกาลคริสต์มาสนั้นจะเป็นอาหารพิเศษที่ไม่ได้กินกันเป็นปกติทุกวัน โดยปกติแล้วมักจะมี "ไก่งวง" เป็นพระเอกในโต๊ะอาหาร สำหรับที่ประเทศอังกฤษนั้นมักจะกินไก่งวงคริสต์มาส ซึ่งเป็นไก่งวงตัวโตอบแล้วราดด้วยซอสเกรวี่ และมีของหวานเป็นพุดดิ้งคริสต์มาส มีลักษณะคล้ายเค้กก้อนกลมๆ สีน้ำตาล มีส่วนผสมของผลไม้แห้งจำพวกลูกเกด แอปเปิ้ล และราดด้วยบรั่นดี

ส่วนชาวเยอรมันก็มักจะมีจานเด็ดวันคริสต์มาสเป็นห่านย่างกรอบแบบโบราณ ยัดไส้ด้วยผลไม้และผัก เช่น ลูกเกด เก๋าลัด และมีมันฝรั่งบด หัวผักกาดแดง รวมทั้งแอปเปิ้ลเป็นเครื่องเคียง ชาวอิตาลีนอกจากจะกินไก่งวงแล้วก็ยังนิยมกินปลาในวันคริสต์มาสกันด้วย และชาวอเมริกัน ก็จะมีเครื่องดื่มแก้หนาวในช่วงคริสต์มาสอย่าง เอ๊กน็อก (Egg-Nog) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นครีม มีน้ำตาล นมสด และไข่ไก่ นำมาปั่นด้วยเครื่องปั่น จนทั่วและเหยาะด้วยเหล้ารัม หรือจะเป็นวิสกี้ หรือบรั่นดีก็ได้ตามใจชอบ
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:22:53 »

"แกงกระหรี่" มีดีช่วยป้องกันความจำเสื่อม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 ธันวาคม 2552 16:39 น.
 
 
 
 
"แกงกะหรี่" อาหารจานอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ถือเป็นของโปรดของ "108 เคล็ดกิน" เวลากินได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะกินกับโรตีแบบอาหารอินเดียซึ่งเป็นต้นฉบับของแกงกะหรี่ก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ เพิ่งรู้ว่านอกจากความอร่อยแล้ว แกงกะหรี่ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยดุค ในนอร์ธ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าสารเคอร์คูมินที่อยู่ในขมิ้น ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่อยู่ในส่วนผสมหลักของแกงกะหรี่นั้น มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของหินปูนโปรตีนที่ชื่อแอมมิลอยด์ ในสมองที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของความจำเสื่อม และทางสมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาสนับสนุนผลทางการวิจัยนี้ โดยชี้ว่าชุมชนชาวอินเดียที่รับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ มีอัตราการเกิดของโรคความจำเสื่อมอย่างน่าประหลาดใจ

นอกจากนั้น ก็ยังมีงานวิจัยจากศูนย์ เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าสารเคอร์คิวมินตัวเดียวกันนี้ยังสามารถช่วยหยุดยั้งมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ โดยสถาบันได้ทดลองกับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม พบว่าหนูที่ได้รับสารเคอร์คิวมินเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้ก้อนเนื้อเล็กลงเรื่อยๆได้อีกด้วย
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:23:21 »

"มะกรูด" สมุนไพรคู่บ้าน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ธันวาคม 2552 14:32 น.
 
 
 
 
"มะกรูด" เป็นสมุนไพรคู่บ้านที่หลายคนคงรู้จักและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะว่ามะกรูดนั้นอยู่คู่กับคนไทยมานาน และเราใช้มะกรูดในการปรุงอาหาร ใช้ทำยารักษาโรค และประโยชน์อีกสารพัด มะกรูดถือได้ว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน โดยจะไว้ปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เรามักใช้มะกรูดเป็นส่วนประกอบในอาหาร โดยในผิวและใบมะกรูดนั้น จะมีน้ำมันหอมระเหย เราจึงมักใช้ผิวมะกรูดเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความหอมในเครื่องแกงหลายชนิด ส่วนใบมะกรูดนั้นก็มีกลิ่นหอม ใช้แต่งกลิ่นในอาหารคาวหลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ส่วนน้ำมะกรูดใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยวและดับกลิ่นคาวปลา

พูดถึงประโยชน์สรรพคุณทางยา ในน้ำมะกรูด มีกรดซิตริกเป็นสารหลัก ซึ่งน้ำของมะกรูดนั้นสามารถแก้ปวดท้อง แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ไอช่วยละลายขับเสมหะ ฟอกเลือด ส่วนผิวผลสดและผลแห้งมีสรรพคุณแก้ลมหน้ามืด แก้วิงเวียน บำรุงหัวใจ ขับลมลำไส้ ขับระดู ใบใช้แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำใน มีสารต้านมะเร็งอีกด้วย ส่วนประโยชน์อย่างหนึ่งที่จะลืมกันไปไม่ได้เลยก็คือ สามารถนำเอามะกรูดมาสระผมเพื่อขจัดรังแคและทำให้ผมดกดำเงางามได้อีกด้วย
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:24:47 »

"กระเจี๊ยบแดง-เขียว" กินก็ได้ ดื่มก็ดี
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2552 16:07 น.
 
 
 
 
หลายคนคงเคยได้ลองลิ้มรสน้ำกระเจี๊ยบ น้ำสมุนไพรสีแดงสด รสชื่นใจกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยทำความรู้จักกับ "กระเจี๊ยบ" กันอย่างจริงๆจังๆ โดยกระเจี๊ยบนั้นเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ปลูกกันทั่วไป แต่จะพบมากในภาคกลาง การบริโภคนั้นจะนำผลของมันมากิน โดยมีให้เลือกกินกันได้สองแบบ คือ "กระเจี๊ยบแดง" และ "กระเจี๊ยบเขียว"

สำหรับผลกระเจี๊ยบแดงนั้นมีลักษณะค่อนข้างกลม มีกลีบเลี้ยงหนาสีแดง เรามักจะนำผลแห้งใช้มาต้มทำน้ำกระเจี๊ยบ รสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ กัดเสมหะ แก้ไอ ช่วยย่อยอาหาร แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ช่วยขับปัสสวะ และยังสามารถลดไขมันในเลือด และสารสีแดงในผลกระเจี๊ยบนั้นก็ยังมีสาร anthocyanin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วย

ส่วนผลกระเจี๊ยบเขียวนั้น จะมีลักษณะยาวรีเป็นสีเขียว นิยมนำมาลวกกินกับน้ำพริก เมื่อเคี้ยวฝักกระเจี๊ยบเขียวแล้วจะรู้สึกลื่นๆในปาก เพราะฝักกระเจี๊ยบเขียวจะมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ที่ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เหมาะกับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง ช่วยระบาย และสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:25:31 »

เลือกกินให้ถูกหลัก กลางกระแส"รักสุขภาพ"

 
ชมรมโภชนวิทยา มหิดล พบคนไทยรักสุขภาพมากขึ้น พร้อมเปิดรับกระแสความคิดมุมมองกับ "อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?" โดยเฉพาะกลุ่มธัญญาหารยอดฮิต อาทิ งาดำ ถั่วเหลือง ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี มอลต์ เป็นต้น และยังหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีนมโคเพื่อเพิ่มแคลเซียม วิตามินและเกลือแร่สูง ส่งผลให้มีการนำมาแปรรูปหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น จึงแนะผู้บริโภคเลือกกินเลือกซื้ออย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้คุณค่าและประโยชน์อย่างแท้จริง

ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กระแสอาหารธรรมชาติมีมานานแล้วแต่จะเงียบหายไปเป็นบางช่วง เช่น การกินน้ำข้าวอาร์ซี โรยงาผสมในข้าว ดื่มน้ำข้าวกล้องงอก เป็นต้น จนปัจจุบันกระแสนี้ค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น เพราะคนไทยเริ่มใส่ใจตัวเองและมีปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งอาหารธรรมชาติหรือธัญญาหารที่กำลังมาแรงในเมืองไทย ได้แก่ ข้าวกล้อง งาดำ ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต มอลต์ ลูกเดือย และจมูกข้าวสาลี เพราะธัญญาหารเหล่านี้เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งวิตามิน เอ บี 1 บี 2 บี 12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก โฟเลต ไอโอดีน และมีใยอาหารสูง หลายคนนำมาเติมในเมนูอาหารและเครื่องดื่ม แต่ส่วนใหญ่จะเลือกแบบแปรรูปสำเร็จเป็นเครื่องดื่ม และอาหารเสริมมากกว่า เพราะจากข้อมูลคนยุคใหม่จะไม่ทำอาหาร ทำให้เทรนด์ในอนาคตอาจมาควบคู่กับเทคโนโลยีการแปรรูปที่สูงขึ้น และหลากหลายมากยิ่งขึ้นซึ่งก็น่าจะกลายเป็นเทรนด์ฮิตได้อย่างแน่นอน

 


ด้วยวิวัฒนาการและการตลาดทำให้อาหารธรรมชาติมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบเมล็ดแห้งบรรจุห่อหรือแบบแบ่งขายตามท้องตลาด ตลอดจนเครื่องดื่มธัญญาหารเพื่อสุขภาพแบบสำเร็จหรือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการอาหารในบางบริษัทก้าวหน้าถึงขั้นนำธัญญาหารมาบดละเอียดจนเนียนเป็นน้ำทำให้มีใยอาหาร แต่ปริมาณใยอาหารจะเพียงพอหรือไม่ต้องดูฉลากควบคู่กันไป หากเพียงพอ ก็ดื่มแทนการกินแบบเมล็ดได้ นอกจากนี้เครื่องดื่มที่เลือกตั้งมีไขมันต่ำและหวานน้อย ตัวอย่างเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยม เช่น เครื่องดื่มมอลต์ เครื่องดื่มผสมธัญญาหารหลากชนิด น้ำเต้าหู้ เป็นต้น ดังนั้น การอ่านรายละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ ส่วนกรณีเมล็ดแห้งต้องดูบรรจุภัณฑ์ วันเดือนปีผลิต วันหมดอายุ เครื่องหมายมาตรฐานอาหาร บริษัทที่ผลิตต้องน่าเชื่อถือ และไม่ควรซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณมากๆ เพราะจะทำให้ธัญญาหารต่างๆ ลดคุณค่าลง หรืออาจเกิดเชื้อราได้

"อย่างไรก็ตามกระแสนิยมก็ยังมีคนเชื่อแบบผิดๆ จึงไม่ควรตามกระแสมากเกินไป กินแบบพอดี ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ กินผักผลไม้มากขึ้น หันมากินธัญญาหารเพื่อเพิ่มเส้นใยให้ขับถ่ายง่ายและช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่งปกติร่างกายควรได้รับปริมาณใยอาหาร 20-25 กรัมต่อวัน หากมากเกินไปกากใยจะไปดูดสารอาหารอื่นๆ ดังนั้น เดินสายกลางตามหลักโภชนาการเป็นดีที่สุด" ผศ.ดร.เรวดี กล่าวเสริม

 


รศ.พ.ญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ และประธานโครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาหารธรรมชาติ คือ อาหารที่ได้รับการปลูกและเติบโตตามธรรมชาติไม่มีการเติมสารเคมีใดๆ หากพูดตามหลักโภชนาการจะต้องเป็นอาหารครบ 5 หมู่ ประกอบด้วย ข้าว แป้งขัดสีน้อย ธัญญาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ และไขมัน การนำมาประกอบอาหารจะต้องสุก สะอาด และสงวนคุณค่าทางโภชนาการ หากปรุงอาหารเองจะดีมากแต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาบวกอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมจึงเกิดจุดเปลี่ยน จากอาหารธรรมชาติมาสู่อาหารสำเร็จรูปตามร้านค้า หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีน้ำตาล เกลือและไขมันสูง ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่ชื่นชอบอาหารตามสื่อโฆษณาเป็นทุนเดิม ประกอบกับการถูกตามใจ และชอบนั่งดูทีวี หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดวัน ส่งผลให้โรคร้ายเข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน และไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หอบ ภูมิแพ้โรคข้อและกระดูก มะเร็ง เป็นต้น

"โครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย" จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้เด็กนักเรียนมีวินัย มีการเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ รักการออกกำลังกาย โดยได้สำรวจนักเรียนในโรงเรียนภาครัฐพบว่ามีเด็กอ้วนร้อยละ 20 ภาคเอกชนพบร้อยละ 25-30 ซึ่ง 2 ใน 3 ของเด็กอ้วนมีความดันโลหิตสูงกว่าเด็กปกติ และ 3 ใน 4 มีไขมันในเลือดสูง นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องใส่ใจตั้งแต่ในครอบครัว เริ่มจากพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและส่งเสริมการกินที่ถูกต้องให้แก่ลูก หันกลับมากินอาหารธรรมชาติอย่าง ข้าวกล้อง ผัก ปลา ส่งเสริมให้กินผลไม้และธัญญาหารแทนขนมกรุบกรอบ งดน้ำหวานให้เด็กดื่มน้ำเปล่า และนมโคที่ไม่หวานหรือไขมันต่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

รศ.พ.ญ.ชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเลือกซื้ออาหารธรรมชาติ ขนมและเครื่องดื่มแปรรูปต่างๆ "ยึด" หลัก 3 ป. ในการเลือกซื้อคือ ป.-ปลอดภัย กินแล้วไม่มีโทษต่อร่างกาย สะอาด ไม่มีสีฉูดฉาด บรรจุภัณฑ์มิดชิด ดูฉลาก และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่มีวัตถุกันเสีย และสารปนเปื้อนต่อสุขภาพ ป.-ประโยชน์ สอนให้เด็กรู้จักเปรียบเทียบคุณค่าอาหารทางโภชนาการ และ ป.-ประหยัด สอนให้เด็กรู้จักคิดก่อนซื้อ ว่าสิ่งใดคุ้มค่าเงินที่จ่ายหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพขึ้นกับดุลพินิจ คงต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ที่ได้รับและความคุ้มค่า"

˹ѧ
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:26:11 »

น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น

˹ѧ

น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น




 
อาการความจำเสื่อมมากับความชรา ในสหรัฐมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมราว 5 ล้านคนและคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านคนภายใน 40 ปีข้างหน้า แต่นักวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำบลูเบอร์รี่และน้ำองุ่นทำให้ความจำดีขึ้นได้ด้วยวิธีง่ายๆ

ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ รับประทานน้ำบลูเบอร์รี่คั้นสดทุกวัน วันละ 2 แก้วเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน พบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลบลูเบอร์รี่ดิบๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย

นอกจากนี้ ยังทดลองให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำองุ่นคั้นสดด้วยซึ่งได้ผลเช่นเดียวกันเพราะองุ่นและบลูเบอร์รี่มีสารอินทรีย์โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) ในระดับสูงซึ่งพบในผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยเพิ่มสัญญาณหรือกระตุ้นเส้นประสาทในสมอง จึงช่วยพัฒนาความทรงจำและความคิดได้ดี รวมทั้งยังช่วยต่อต้านอาการอักเสบต่างๆ ได้ด้วย
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:26:53 »

"มะตูม" ลดกำหนัด
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2553 14:49 น.
 
 
 
 
ในช่วงนี้อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนกันแล้ว ช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด "108 เคล็ดกิน" มักจะหาน้ำสมุนไพรเย็นๆ ดื่มดับกระหายและช่วยคลายร้อน อย่างเช่น "น้ำมะตูม" ที่เป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยแก้ร้อนในได้เป็นอย่างดี

"มะตูม" นั้น ถือเป็นผลไม้ไทยที่มีคุณค่าหลายอย่าง เรามักบริโภคมะตูมโดยการนำผลมาทำเป็นน้ำมะตูม หรือกินเป็นผลมะตูมแช่อิ่ม สรรพคุณของมะตูมนั้นก็คือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้ ทำให้ชุ่มคอ รักษาโรคหอบหืดได้ ส่วนใบมะตูมนั้นก็นำมากินได้เช่นกัน และมีสรรพคุณในการช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย รักษาอาการท้องเดิน

ใบมะตูมยังถือเป็นของมงคล ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระอิศวร เวลาบูชาพระอิศวรก็ต้องใช้ใบมะตูมนี้ด้วย ผลมะตูมยังมีสรรพคุณพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีฤทธิ์ลดความกำหนัด คลายกังวล และช่วยให้สมาธิดีขึ้น จึงนิยมใช้เป็นน้ำปานะถวายพระสงฆ์นั่นเอง
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:27:34 »

คนกรุงสยอง 115 ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน

?Œ? ?Œ?ʴ ?ǨҠ115 የ??ѨǡØ?䁨䴩??ðҹ









คนกรุงสยอง 115ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน (ไทยรัฐ)


สธ.เผยตลาดสดทั่ว กทม.150 แห่ง 35 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน จี้ ปรับปรุงด่วน รับผักปนเปื้อนยาฆ่าแมลง-สารกันรา-ฟอร์มาลีน เกลื่อนตลาด "จุรินทร์" สั่งเข้มช่วงตรุษจีน


เมื่อวันที่ 11 ก.พ.นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย นายกสมาคมตลาดสดไทย และคณะ ออกรณรงค์อาหารปลอดภัยช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร (กทม.) 1 ใน 35 ตลาด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อระดับห้าดาวของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และมอบใบประกาศเกียรติคุณพร้อมป้ายรับรองมาตรฐานตลาดสดน่าซื้อ จำนวน 35 แห่ง


นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ใช้เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ ขนม และ ผลไม้ เป็นของเซ่นไหว้ แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะไม่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค สธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรุงเทพมหานคร กรมปศุสัตว์ และผู้ประกอบการตลาด ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยไม่มีสารปนเปื้อนอันตราย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลในด้านความปลอดภัยอาหารที่ผลิต นำเข้า และบริโภคภายในประเทศ ให้ได้มาตรฐานระดับสากล ผลการดำเนินงาน ขณะนี้ มีสถานที่ผลิตอาหารแปรรูปผ่านมาตรฐานจีเอ็มพี ร้อยละ 96 อาหารสดปลอดภัยจากสารอันตราย 6 ชนิด ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารฟอร์มาลิน สารกันรา และยาฆ่าแมลง ร้อยละ 96 ปัญหาที่ยังตรวจพบต่อเนื่อง ได้แก่ การพบยาฆ่าแมลงตกค้างในผักสดมากที่สุด รองลงมา คือฟอร์มาลินในอาหารทะเล และสารกันราในผักดอง ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการตลาดสด ให้ล้างตลาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนตามแผงจำหน่ายอาหาร เขียง และทางเดินในตลาดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ส่วนผู้จำหน่ายอาหารทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ และอาหารปรุงสุก ต้องเลือกสินค้ามาจำหน่ายจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะร้านค้าที่จำหน่ายเป็ด ไก่ โดยคุมเข้มเป็นพิเศษในการเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสด ใหม่ สีไม่คล้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่นำสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายมาชำแหละ เพื่อป้องกันไข้หวัดนก


"ตอนนี้ทั่วประเทศมีตลาดสด 1,536 แห่ง กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่าต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 3 ด้าน เพื่อรับรองมาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อ ได้แก่ 1.ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 2. ความปลอดภัยอาหาร อาหารที่จำหน่ายต้องปราศจากสารปนเปื้อน 6 ชนิด ได้แก่สารกันรา ยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลิน สารฟอกขาว และสารบอแร็กซ์ 3.เกณฑ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น มีราคาสมเหตุผล ตราชั่งได้มาตรฐาน มีจุดตรวจสารปนเปื้อน และ มีตลาดผ่านเกณฑ์แล้วร้อยละ 77 ที่น่าห่วงคือตลาดสดในเขต กทม.ที่มี 150 แห่ง แต่ผ่านเกณฑ์ 35 แห่ง จึงต้องเร่งให้ได้มาตรฐานทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:28:02 »

"เต้าหู้ยี้" อีกหนึ่งประโยชน์จากถั่วเหลือง
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กุมภาพันธ์ 2553 18:03 น.
 
 
 
 
เรามักจะเห็น "เต้าหู้ยี้" อยู่ในส่วนผสมของอาหารต่างๆ เช่น ในน้ำจิ้มสุกี้หรือผัดผัก บางคนอาจพลิกแพลงนำเต้าหู้ยี้มาประกอบอาหารอย่างยำเต้าหู้ยี้ หรือหลนเต้าหู้ยี้ เป็นต้น เอ...ว่าแต่เจ้าเต้าหู้ยี้นี้คืออะไรกันแน่ ทำจากเต้าหู้หรือเปล่า แล้วสีแดงๆ ที่เรามักเห็นในเต้าหู้ยี้นั้นคืออะไร

"เต้าหู้ยี้" นี้มีที่มาจากเมืองจีน ชาวจีนเรียกเต้าหู้ยี้ว่า "ซูฟู" ซึ่งเต้าหู้ยี้ก็เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง โดยใช้เต้าหู้ไปอบฆ่าเชื้อ แล้วใส่เชื้อราบ่มให้เจริญเติบโตประมาณ 1 อาทิตย์ ก่อนจะนำไปหมักในน้ำเกลืออีกครั้งหนึ่ง ส่วนมากเรามักจะเห็นเต้าหู้ยี้เป็นสีแดงหรือสีเหลือง นั่นก็เพราะสารปรุงแต่งที่ใส่ เช่น เต้าหู้ยี้สีแดงนั้นก็เพราะเติมข้าวแดงลงไป บ้างก็เติมกานพลู ข้าวหมัก ทำให้ได้สีสันต่างกันไปด้วย

เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ยี้จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น เกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม นอกจากนั้นก็ยังให้วิตามินเอ บี1 บี2 ดี อี เค และไนอะซีนอีกด้วย
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:28:37 »

มี“เต้าเจี้ยว” ไม่ขาดโปรตีน
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2553 15:42 น.
 
 
 
 
เมื่อตอนที่แล้ว "108 เคล็ดกิน" พูดถึงเต้าหู้ยี้ไปแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเครื่องปรุงอีกประเภทที่ทำมาจากถั่วเหลืองเหมือนกัน และเป็นการถนอมอาหารชองชาวจีนเช่นกัน นั่นก็คือ "เต้าเจี้ยว" ที่ได้จากการนำเอาถั่วเหลืองไปต้มหรือนึ่ง จากนำไปบ่มกับเชื้อราแล้วหมักใส่ขวดไว้จนได้เป็นเต้าเจี้ยวที่เรากินกัน

ส่วนมากแล้วเราจะใช้เต้าเจี้ยวในการปรุงรสอาหาร หรือทำเป็นเครื่องจิ้ม เช่น หลนเต้าเจี้ยว หรือผสมกับอาหาร เช่น ราดหน้า ผัดผัก น้ำจิ้มข้าวมันไก่ เป็นต้น เพื่อปรุงให้ได้รสอร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้รสชาติดีแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโปรตีนในอาหารได้อีกด้วย เพราะเต้าเจี้ยวทำจากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง อีกทั้งในเต้าเจี้ยวยังไม่มีแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต ทำให้ถั่วเหลืองเป็นอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และยังให้วิตามินเอ วิตามินบี 1, บี 2 และไนอะซีน

จึงถือว่าเต้าเจี้ยวเป็นเครื่องปรุงที่ให้ทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:29:09 »

ตะไคร้


ตะไคร้
[url=http://www.chuankin.com/properties_t...roperty_type=2]http://www.chuankin.com/properties_t...roperty_type=2


สรรพคุณน่ารู้ : หมวดพืชสวนครัว :
ตะไคร้



ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น

สรรพคุณ
ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว : เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:29:59 »

เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2553 16:14 น.
 
 
 
 
"108 เคล็ดกิน" เองก็ไม่เคยนับหรอก ก็แค่เคี้ยวๆไปให้พอรู้สึกได้ว่าสามารถกลืนลงไปได้โดยไม่ติดคอ แต่รู้ไหมว่า การเคี้ยวนั้นก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีผลการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า การเคี้ยวให้ละเอียดนั้นจะเป็นการช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง เพราะฟันช่วยผ่อนแรงกระเพาะอาหารไปแล้ว และยังช่วยให้มีสุขภาพดี อายุยืนยาว นอกจากนั้นการเคี้ยวยังมีผลต่อการทำงานของสมอง เพราะการเคี้ยวนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หูให้หลั่งฮอร์โมนออกมา และการที่ฟันบนและฟันล่างได้กระทบกันนั้นก็จะเป็นการออกกำลังกายสมองไปด้วย

แต่มีคำถามว่า แล้วต้องเคี้ยวคำละกี่ครั้งจึงจะพอ? มีคำแนะนำว่า เคี้ยว 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง เคี้ยว 50 ที จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์และช่วยลดความอ้วน เคี้ยว 60 ที จะดีต่อการกินอาหารที่มีกากไยมาก ลดอาการท้องผูก คราวนี้เริ่มเคี้ยวยากหน่อยเพราะต้องเคี้ยว 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น ความจำดีขึ้น เคี้ยว 100 ที ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้มาก ลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ เคี้ยว 150 ที ระบบการทำงานของกระเพาะและลำไส้จะดีขึ้น และสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังให้เคี้ยว 200 ที ก็จะหายอย่างรวดเร็ว
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 18:30:37 »

ถั่งเช่า สมุนไพรแก้อาการนกเขาไม่ขัน

สมุนไพร ถั่งเช่า แก้นกเขาไม่ขัน




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก skn.ac.th , wikipedia

นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มมากมาย สำหรับ "ถั่งเช่า" หรือ "หนอนเทวดา" เห็ดมหัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างดีเยี่ยมพอ ๆ กับยาไวอะกร้า ยิ่งล่าสุด หลังจากได้มีการนำเห็ดชนิดนี้เข้ามาปลูกในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ก็ดูเหมือนว่า "ถั่งเช่า" จะยิ่งได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมมากขึ้น

แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่า "ถั่งเช่า" คืออะไร หน้าตาเป็นยังไง และมีที่ไปที่มาอย่างไร ถ้าหากท่านเป็นอีกคนที่ยังไม่รู้จักเห็ดชนิดนี้แล้วล่ะก็ วันนี้กระปุกจะพาท่านไปรู้จักพร้อม ๆ กันค่ะ

เห็ดถั่งเช่า หรือ ชื่อเต็มว่า ตังถั่งแห่เช่า เป็นราแมลงในกลุ่ม Ascomycetes มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Cordyceps Sinensis ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง และส่วนบนของตัวหนอนที่มีเห็ดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. มีแหล่งกำเนิดเฉพาะถิ่น คือ ในพื้นที่สูง 4,000-5,000 เมตร จากระดับ น้ำทะเล เช่น ประเทศจีน ภูฏาน และทิเบต เกิดขึ้นโดยสปอร์เชื้อราจะเข้าสู่ตัวอ่อนของ หนอนผีเสื้อค้างคาว ที่ฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว และเมื่อถึงฤดูร้อน ก้านสปอร์จะเติบโต ขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนต้นหญ้าที่ขึ้นเฉพาะฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" หรือ "หนาวหนอนร้อนหญ้า"

ถั่งเช่า มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) มีฤทธิ์บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด และมีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ดังนั้นเมื่อกินเห็ดชนิดนี้เข้าไป ก็จะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็น เวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว




ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า



และไม่เพียงแค่นั้น ถั่งเช่า ยังมีสรรพคุณอื่นอีกมายมาย ได้แก่ ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ อาการไอ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่น ความจำดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ ต่อต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิต้านทางของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชราได้

แต่ด้วยความที่เห็ดชนิดนี้หายาก ทั้งยังมีสรรพคุณดีเยี่ยม จึงทำให้เห็ดถั่งเช่ามีราคาสูงมาก คือ สูงถึงกิโลกรัมละ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งการรับประทานนั้นสามารถรับประทานได้โดยการรับประทานสด ตากแห้ง หรือ นำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม ซึ่งในไทยพบในรูปแบบของกาแฟแล้วค่ะ

และนี่ก็คือเรื่องราวของเห็ดถั่งเช่าที่นำมาฝากกัน ก็เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่ไม่เพียงแต่รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ มีสรรพคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ว่าแต่.. ราคากิโลกรัมละ 2 แสนบาทขนาดนี้ จะรับประทานทีก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก เลยล่ะค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- vcharkarn.com
- biothai.net
- tpma.or.th

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
คำค้น:
หน้า:  [1] 2 3 4   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.428 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 19:12:00