14 ธันวาคม 2568 13:42:33
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
.:::
ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
:::.
หน้า:
1
2
3
4
5
1
...
3
4
[
5
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี (อ่าน 34706 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #80 เมื่อ:
18 มกราคม 2568 16:43:46 »
ความสุขของผู้สิ้นกิเลส
ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ ขอความเมตตาพระอาจารย์ได้อธิบายความสุขของผู้สิ้นกิเลสครับ
พระอาจารย์ : ก็เป็นความสุขแบบมันไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นความสุขตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง มันเป็นความสุขของจิตใจ ความทุกข์ทางร่างกายมันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ร่างกายก็ยังเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ เป็นไข้อะไรของมันไป ส่วนนี้มันเป็นเรื่องของร่างกาย ของขันธ์ แต่ความสุขที่ปราศจากกิเลสนี้มันเป็นความสุขของใจ เป็นธาตุรู้ ความทุกข์ที่เกิดจากกิเลสตัณหา ความอยากต่างๆ ไม่มีในใจ เช่น ความเครียด ความวิตก ความกังวล ความห่วงใย ความหวาดกลัว ความฟุ้งซ่าน ความอะไรต่างๆ เหล่านี้มันไม่มี แต่เรื่องของสุขทุกข์ทางร่างกายมันยังมีอยู่ เวลาหิวข้าวก็ทุกข์ เวลากินข้าวอิ่มก็สุข ถ้าไม่หิวไม่อิ่มมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นกลางๆ อันนี้เป็นเหมือนเดิม ขันธ์ของพระพุทธเจ้า ของพระสาวก กับของปุถุชนอย่างพวกเรานี้เหมือนกัน มีเวทนาเหมือนกัน มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหมือนกัน เวทนาก็ยังมีสุขมีทุกข์ แล้วแต่ที่ไปสัมผัสกับอะไรมา ไปสัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรส เช่นเป็นพิษเป็นภัยก็ทุกข์ เช่น ไปเห็นแสงจ้าๆ อย่างนี้ก็แสบตาได้ ได้ยินสียงดังๆ หรืออะไรนี่ก็ปวดหูได้ อาการเหล่านี้ที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้มันยังมีแบบทั้งสุขทั้งทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มันก็ขันธ์ของทุกคนเหมือนกันหมด ขันธ์ของพระพุทธเจ้า ขันธ์ของพระอรหันต์ ของปุถุชนนี้เหมือนกัน มีการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือใจไม่ได้ไปทุกข์กับการแปรปรวนต่างๆ ของเวทนา เวทนาจะสุขก็ไม่ได้ไปดีใจ ไม่ได้ไปอะไร เวลามันทุกข์ก็ไม่ได้ไปเดือดร้อน ก็รับรู้มันไปเฉยๆ รับรู้ว่าตอนนี้เกิดเวทนาขึ้นมา เกิดทุกขเวทนาขึ้นมา ตอนนี้เกิดสุขเวทนาขึ้นมา เกิดไม่สุขไม่ทุกขเวทนาขึ้นมา ถ้าแก้ได้ก็แก้ไป ถ้าทุกขเวทนาเกิดจากการที่เราไปเดินเหยียบของแหลมคม เราก็หารองเท้าใส่ อันนี้ก็เรื่องของขันธ์ ของทางร่างกาย แต่ทางจิตใจก็เฉยๆ ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวายไปกับเวทนาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ส่วนสังขาร ความคิดปรุงแต่งก็จะต่างกัน คือจะไม่คิดไปในทางความโลภ ความอยาก จะไม่คิดไปในทางเรื่องความโกรธ จะคิดไปในทางไตรลักษณ์ อะไรอย่างนั้น เห็นอะไรก็ยังเป็นไตรลักษณ์อยู่เหมือนเดิม เห็นทุกอย่างว่าไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เป็นสภาวธรรมที่ไม่มีใครควบคุมบังคับได้ มันเป็นไปของมันตามเหตุตามปัจจัย อันนี้ใจก็จะคิดเรื่องราวเหล่านี้ จะไม่ได้คิดอยากมีบ้านสวยๆ อยากได้บ้าน เห็นรถสวยๆ ก็อยากจะได้รถ อะไรอย่างนี้ จะไม่คิด เห็นก็เห็นเฉยๆ ไป
เหมือนแย่งกันใช้รถ
ถาม : เวลาเจริญปัญญา สังขารปรุงแต่งจะเข้ามามาก
พระอาจารย์ : การเจริญปัญญามันต้องใช้สังขารอยู่แล้ว
ถาม : แต่มันจะออกไปข้างนอก
พระอาจารย์ : กิเลสกับธรรมจะแย่งใช้สังขารกัน เหมือนแย่งกันใช้รถ มีรถคันเดียวแต่คน ๒ คนแย่งกันใช้ ถ้าปัญญาขับก็จะมาวัด ถ้ากิเลสขับก็จะเข้าโรงหนังโรงละคร
ตายไปสามารถเดินปัญญาเองได้ไหม
ถาม : ถ้าเคยเจริญปัญญามาบ้างในสมัยที่เป็นมนุษย์ เมื่อตายไปจะสามารถเดินปัญญาเองได้บ้างไหมคะ หรือต้องอยู่ในสมาธิได้อย่างเดียว
พระอาจารย์ : อ๋อ ปัญญาถ้าเราเจริญ เราก็เอาติดตัวไปได้ แต่จะได้มากได้น้อย ก็อยู่ที่เราเจริญมากหรือเจริญน้อย แล้วโอกาสที่มันจะลืมก็มากน้อยต่างกัน คือ ถ้าเจริญน้อยโอกาสที่จะลืมก็มาก ถ้าเจริญมาก โอกาสที่จะลืมมันก็จะน้อย มันก็อยู่ที่ปริมาณของการเจริญของเรา
โลกสมมุติกับโลกวิมุตติ
ถาม : กราบนมัสการถาม ความแตกต่างระหว่างสมมุติกับวิมุตติ การก้าวจากสมมุติไปสู่วิมุตติทำอย่างไร ทั้งสองสิ่งเกิดจากรากเหง้าเดียวกันหรือไม่ และการทรงจิตให้เป็นวิมุตตินานๆ ทำอย่างไรเจ้าคะ
พระอาจารย์ : คือคำว่าสมมุติก็คือสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เราเรียกว่า “โลกสมมุติ” ลาภยศสรรเสริญสุขที่เราหากันอยู่นี้ มันเป็นของสมมุติกันขึ้นมา สมมุติจากดินน้ำลมไฟนี้เอง เราเอาดินน้ำลมไฟมาผสมกัน แล้วเราก็สมมุติว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหมา เป็นแมว เป็นข้าวเป็นของ แล้วก็สมมุติว่าเป็นของฉันเป็นของเธอ อันนี้คือโลกของสมมุติ โลกของสมมุตินี้มันจะต้องมีแต่เรื่องวุ่นวายใจ เพราะว่ามันเป็นของชั่วคราว แต่ใจเราอยากจะให้มันเป็นของเราไปตลอด เราเลยต้องดิ้นรนคอยรักษา คอยดูแล แล้วคอยปกป้อง คนที่เขาอยากได้ของที่เขาไม่มี บางทีเขาก็จะมาแย่งจากเราไป มันก็โลกสมมุติ ก็เลยเป็นโลกของความวุ่นวายใจ ไม่มีวันจบสิ้น แย่งกันไปแย่งกันมา ได้มาแล้วเดี๋ยวเสียไปก็ร้องห่มร้องไห้ แล้วก็ไปหาใหม่ หาใหม่ได้มาเท่าไหร่ เดี๋ยวก็เสียไปอีก นี่คือโลกของสมมุติ โลกที่ทำมาจากดินน้ำลมไฟ เช่น แม้แต่ร่างกายของเราก็ทำมาจากดินน้ำลมไฟ
จิตของเรานี่เป็นจิตที่วิมุตติ แต่มันไม่วิมุตติ มันหลง ถูกความหลงหลอกให้มาติดอยู่กับโลกของสมมุติ มาติดกับร่างกาย มาติดกับลาภยศสรรเสริญ มาติดกับรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ จึงทำให้จิตเรานี้ วุ่นวายใจ เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับเรื่องราวเหล่านี้ สำหรับจิตที่ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ เราก็เรียกว่า “จิตวิมุตติ” จิตวิมุตตินี่ต้องเป็นจิตที่มีความสงบ ถ้าทำจิตให้สงบได้ จิตมีความสุขในตัวมันเอง จิตมันฉลาด มันรู้ว่า ของที่มีอยู่ในโลกของสมมุตินี้เป็นทุกข์ทั้งนั้น มันก็เลิกไปเกี่ยวข้องกับโลกของสมมุติ มันก็ไปอยู่โลกของวิมุตติ คือ อยู่กับความสงบเพียงอย่างเดียว
โลกของวิมุตติก็คือโลกของพระพุทธเจ้า โลกของพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านมีความรู้ว่า โลกของสมมุตินี้เป็นโลกของความวุ่นวายใจ โลกของความทุกข์ โลกของการเกิดแก่เจ็บตาย โลกของการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนวิมุตตินี้เป็นโลกของความสงบที่ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีความวุ่นวายใจต่างๆ นี่คือโลกสองโลกด้วยกัน โลกสมมุติกับโลกวิมุตติ พวกเรานี้อยู่ในโลกของสมมุติกัน แต่เราสามารถออกจากโลกสมมุติได้ ถ้าเรามาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาเงินที่มีอยู่นี้ทิ้งไปให้หมด ของสมมุติทั้งนั้น แล้วก็ไปรักษาศีล ไปนั่งสมาธิ ไปบวชกัน ทำใจให้สงบ พอใจสงบแล้ว ทีนี้ก็เข้าไปอยู่ในโลกของวิมุตติ ไม่ต้องมายุ่งกับข้าวของเงินทอง ไม่ต้องมายุ่งกับคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้
เราต้องรุก บุกมันเลย
ถาม : ขอส่งการบ้าน รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น แล้วเย็นเบา แต่ไม่ถึงขั้นสว่าง
พระอาจารย์ : ต้องปฏิบัติเชิงรุก ต้องพิจารณา อย่าปล่อยให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย อย่าไปตามรู้ เราต้องรุก บุกมันเลย คิดเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เรื่องไตรลักษณ์ หรือบริกรรมพุทโธตลอดเวลา มันถึงจะเป็นเชิงรุก ถ้ารอให้ถึงเวลาแล้วค่อยปฏิบัติ ยังเป็นเชิงรับอยู่ ปล่อยให้มันรุกเรา ๑๐ ชั่วโมง แล้วเรารุกมันแค่ ๒ ชั่วโมง ก็จะไปไม่ถึงไหน เราต้องลุยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย ต้องปฏิบัติเชิงรุก อย่าปฏิบัติเชิงรับ ถ้าเชิงรับก็เช้านั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง เย็นก็นั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง ส่วนเวลาอื่นก็ปล่อยให้มันรุกตลอด.
ไม่ควรเป็นประเด็นถกเถียงกัน
ถาม : คนที่บอกว่าพระพุทธเจ้าสอนปัญญาศีลสมาธิ เขาจะเอาอะไร
พระอาจารย์ : ถูกทั้ง ๒ ประเด็น แต่ไม่ควรเป็นประเด็นถกเถียงกัน ทรงแสดงอย่างนั้น เพื่อให้เห็นว่าต้องมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ การกระทำอะไรต้องมีปัญญาเป็นตัวนำเสมอ แต่เวลาปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติจากขั้นต่ำขึ้นไป ทรงตรัสว่า สมาธิที่ศีลอบรมดีแล้วมีอานิสงส์มาก มีประโยชน์มาก ปัญญาที่สมาธิอบรมดีแล้วมีอานิสงส์มากมีประโยชน์มาก จิตที่ปัญญาอบรมดีแล้วย่อมหลุดพ้นจากความทุกข์โดยถ่ายเดียว ทรงสอนเป็นขั้นๆ ต้องมีศีลอบรมสมาธิ มีสมาธิอบรมปัญญา มีปัญญาอบรมจิตให้หลุดพ้น แต่เวลาทรงแสดงมรรค ๘ ทรงแสดงปัญญา แสดงสัมมาทิฐิก่อน
ถาม : ถ้ายังไม่มีสัมมาทิฐิ ก็ไปไม่ได้
พระอาจารย์ : ไปไม่ได้ แต่ไม่ควรเป็นประเด็นถกเถียงกัน ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในที่หนึ่งกับอีกที่หนึ่ง อาจจะขัดกันก็ได้ ในที่หนึ่งก็ทรงสอนให้เชื่อ ในอีกที่หนึ่งก็ทรงสอนไม่ให้เชื่อ ถ้าฟังแบบไม่ใช้ปัญญาก็จะว่า ทำไมสอนให้เชื่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แล้วกลับมาสอนไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์ ในกาลามสูตร ๑๐ ที่ทรงสอนไม่ให้เชื่อ หมายความว่าให้ฟังหูไว้หู ไม่ให้เชื่อแต่ไม่ให้ปฏิเสธ ใครพูดอะไรก็รับฟังไว้ แล้วต้องไปพิสูจน์ดู เช่นมีคนมาบอกว่าแฟนเรามีชู้ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ต้องพิสูจน์ดูว่าจริงหรือไม่ก่อน พิสูจน์แล้วก็จะรู้เองว่าจริงหรือไม่ การฟังเป็นการจุดชนวน ให้ดำเนินไปสู่การพิสูจน์ อย่าเป็นเหมือนกระต่ายตื่นตูม แต่บางอย่างที่ทรงสอนให้เชื่อก็ต้องเชื่อ เช่นทรงสอนให้รีบปฏิบัติ ก็ต้องเชื่อ กลับไม่เชื่อกัน การฟังเทศน์ฟังธรรมนี้ ต้องรู้ว่าทรงแสดงให้กับใครที่ไหนเกี่ยวกับเรื่องอะไร.
รักษาอุเบกขาให้อยู่นานๆ
ถาม : ขออนุญาตสอบถามพระอาจารย์เจ้าค่ะ เมื่อเรานั่งสมาธิจนเกิดอุเบกขาแล้ว ต้องพิจารณาอะไรต่อเจ้าคะ ระหว่างตอนนั่งสมาธิ
พระอาจารย์ : เวลานั่งไม่ต้องทำอะไร พยายามรักษาอุเบกขาให้อยู่นานๆ เหมือนกับการเอาน้ำเข้าไปแช่ในตู้เย็น เวลาแช่น้ำเราก็ต้องการให้มันเย็น ก็ต้องแช่นานๆ เพราะว่าเวลาเราเอาออกจากตู้เย็น เราจะได้น้ำเย็นมาดื่ม จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าใจเราเข้าไปในสมาธิแล้ว ใจก็จะเหมือนเข้าตู้เย็น เข้าไปแล้วก็ต้องพยายามรักษาให้มันอยู่ไปนานๆ ให้มันเย็นมากๆ เย็นนานๆ เพราะเวลาเราเอาออกมา มันจะได้เย็นต่อได้ ไม่หายไปทันที อุเบกขานี้ ที่เราได้จากสมาธิ มันจะติดมากับใจเวลาเราออกจากสมาธิมา ใจเราถึงแม้ว่ายังจะคิดได้อยู่แต่มันยังไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง มันก็จะเป็นจิตที่มีความนิ่งความสงบ ความไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องราวต่างๆ เราก็จะสามารถใช้ปัญญามาสอนใจให้หยุดความอยากต่างๆ ได้ เวลาเกิดความอยากขึ้นมาใจก็จะไม่ร้อนเหมือนกับตอนที่ไม่มีอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขา พอเกิดความอยากขึ้นมา ใจมันจะร้อนจะดิ้น จะทรมาน จึงต้องไปทำตามความอยากกัน แต่ถ้ามีอุเบกขาแล้วมันจะไม่ร้อน มันจะไม่ดิ้น มันจะเฉยๆ สู้กับความอยากได้
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #81 เมื่อ:
31 มกราคม 2568 10:50:30 »
นามขันธ์ไม่ต้องอาศัยร่างกายก็ได้
ถาม : ทีนี้พูดถึงเรื่องของขันธ์ ๕ ที่ประกอบเรื่องกายกับจิตนี่ ส่วนที่เป็นกายกับจิตนี่เข้าใจ แต่ว่า สัญญา สังขาร วิญญาณต้องประกอบกับกายและจิตรวมกันใช่ไหมครับ ที่จะเกิดขึ้นมาได้
พระอาจารย์ : นอกจากวิญญาณที่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแล้ว ก็ยังมีมโนวิญญาณ ที่รับรู้ความคิดปรุงแต่งของจิตเอง สมมุติว่าเราปิดอายตนะทั้ง ๕ ไม่รับรู้เรื่องภายนอกทั้งหมด แต่จิตก็ยังคิดได้ ยังปรุงได้ ยังรับเวทนาที่เกิดจากความคิดของตนเองได้
ถาม : ไม่ต้องอาศัยร่างกาย
พระอาจารย์ : ไม่ต้องอาศัยร่างกาย เช่นพวกเทพทั้งหลาย เวลาที่เรานอนหลับไป เราก็ยังฝัน ความฝันนี้ก็ออกมาจากนามขันธ์ ออกมาจากเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพียงแต่รูปที่เห็นไม่ได้เป็นรูปหยาบ แต่เป็นรูปทิพย์ เป็นเสียงทิพย์ เวลาเรานอนหลับ เรายังฝันเห็นโน่นเห็นนี่ เราจะเห็นได้อย่างไรในเมื่อเราหลับตา แต่เห็นด้วยใจ เห็นด้วยใจก็ต้องเห็นด้วยนามขันธ์ คือ มโนวิญญาณ เวลาที่เรานอนหลับฝันดี ก็เหมือนไปสวรรค์ ถ้าฝันร้ายก็เหมือนไปนรก
นามขันธ์ไม่ต้องอาศัยร่างกายก็ได้ อย่างพวกเทพนี้ เป็นพวกกายทิพย์ กายละเอียด ไม่ต้องมีกายหยาบอย่างร่างกายของพวกเรา พวกเทพ พวกพรหม หรือแม้กระทั่งพวกสัตว์นรก เขาไม่มีกายหยาบ จิตของเขาเป็นจิตที่มีแต่ความรุ่มร้อน ปรุงแต่เรื่องความทุกข์ ถ้าเป็นอสุรกายก็ปรุงแต่เรื่องความหวาดกลัว ถ้าเป็นเปรตก็ปรุงแต่ความหิวความอยาก ถ้าสัตว์นรกก็ปรุงแต่ความเคียดแค้นอาฆาตพยาบาท ทำอะไรไม่ได้ดังใจก็โกรธแค้นโกรธเคือง กินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่เป็นใจของพวกสัตว์นรก ความรุ่มร้อนที่เกิดจากความโกรธ.
ความเมตตาที่มีมากไปทำให้เราเป็นทุกข์
ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ ความเมตตาที่มีมากไปทำให้เราเป็นทุกข์ เช่น เราเมตตาต่อสัตว์ พอเขาป่วยหรือเดือดร้อน เราก็อดทุกข์ใจ หาทางช่วยเหลือเขาไม่ได้ จะวางใจดีอย่างไรเจ้าคะ
พระอาจารย์ : เราก็ต้องฝึกอุเบกขาด้วย สลับกัน คือ ใจนี่มันเหมือนรถยนต์ เข้าใจไหม รถยนต์มันก็มีเกียร์ ใช่ไหม มีเกียร์เดินหน้า ถอยหลัง มีเกียร์ต่ำ เกียร์สูง ใจเราเวลาเจอเหตุการณ์ มันก็ต้องใช้เกียร์ต่างกันไป เจอเหตุการณ์บางทีก็ต้องใช้เมตตา บางทีก็ต้องใช้กรุณา บางทีก็ต้องใช้มุทิตา บางทีก็ต้องใช้อุเบกขา ดังนั้นเราก็ต้องรู้ว่าถ้าเราใช้เมตตามากเกินไป ทำให้ใจเราเศร้า เราก็ต้องหยุด เราก็ต้องกลับเข้าเกียร์ว่าง เกียร์ว่างก็คืออุเบกขา ทำใจเฉยๆ ปล่อยให้เป็นกรรมของสัตว์ไป ทำนองนี้
ทุกข์ทางใจกับทุกข์ทางกายเป็นคนละเรื่องกัน
ถาม : พระโสดาบันตัดกามตัณหาได้ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ พระสกิทาคามี ๕๐ เปอร์เซ็นต์พระอนาคามี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของภวตัณหาและวิภวตัณหาเล่าครับ
พระอาจารย์ : อันนี้เป็นความอยากในความสุขทางความสงบ อยากในรูปฌาน อยากในอรูปฌาน ก็เรียกเป็นวิภวตัณหา
ถาม : ทุกขเวทนาทางกาย ถือเป็นทุกข์ในอริยสัจหรือไม่ครับ หรือแค่ทุกขเวทนาทางใจครับ
พระอาจารย์ : อ๋อ ทุกขเวทนาทางร่างกายนี้เป็นเวทนา ไม่ได้เป็นอริยสัจ ไม่ได้เป็นทุกข์ในอริยสัจ เพราะไม่ได้เกิดจากความอยาก ทุกข์ในอริยสัจนี้ เกิดจากความอยาก เช่นร่างกายสุขสบาย แต่พอได้ยินข่าวไม่ดีก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะว่าใจไม่อยากจะรับข่าวไม่ดี พอรับข่าวไม่ดีก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา อยากจะได้รับแต่ข่าวดีๆ พอได้รับข่าวไม่ดีใจก็ทุกข์ขึ้นมา อันนี้เป็นทุกข์ทางใจ ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก แต่ทางร่างกายนี้สุขสบายดี ร่างกายไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เจ็บตรงนั้นไม่ปวดตรงนี้ ก็ถือว่าไม่มีทุกขเวทนาทางกายในตอนนั้น ฉะนั้นทุกข์ทางงใจกับทุกข์ทางกายนี้เป็นคนละเรื่องกัน เพราะใจกับร่างกายนี้เป็นคนละคนกันนั่นเอง คนหนึ่งเจ็บ อีกคนหนึ่งไม่เจ็บ เช่นเป็นฝาแฝด แฝดพี่แฝดน้อง แฝดน้องไม่เจ็บ แต่แฝดพี่เจ็บอย่างนี้ ไม่เกี่ยวกัน.
นิมิตหมายบอกว่าเราอยู่ในขั้นไหน
ถาม : ปกติถือพรหมจรรย์รักษาศีลอยู่มานานแล้ว แต่ในฝันควบคุมตัวเองไม่ได้ มีการเสพสังวาส และตื่นมารู้สึกล่วงพรหมจรรย์ได้กระทำผิด รู้สึกแย่ควรทำใจอย่างไรดีครับเพื่อไม่ให้ฝันแบบนี้
พระอาจารย์ : คือเวลาเรานอนหลับนี่เราฝันเราควบคุมความฝันไม่ได้ มันเป็นเรื่องของวิบากเรื่องของจิตใจของเรา ว่าเราได้เจริญมาถึงขั้นไหนแล้ว ถ้าเรายังมีความเสพกามอยู่ในขณะที่เรานอนหลับฝันไป ก็แสดงว่าจิตเรายังไม่ได้ละกามารมณ์ยังไม่ได้ละการเสพ แต่ถ้าเราอยากจะละเราก็ต้อง นอกจากถือศีล ๘ แล้ว เราก็ต้องเจริญอสุภะเท่านั้น ถ้าเห็นร่างกายไม่สวยไม่งาม ต่อไปมันก็จะไม่มีความอยากเสพกามกับใคร แต่การรักษาศีลนี้มันยังไม่สามารถหยุดการอยากจะเสพกามได้ เพราะมันเพียงแต่เป็นรั้วกั้นไม่ให้ไปทำเท่านั้นเอง แต่ในใจมันยังดิ้นอยู่มันยังอยากอยู่ ถ้าอยากให้ใจหยุดดิ้นต้องให้มันเห็นอสุภะ เห็นร่างกายที่สวยงามกลายเป็นร่างกายที่น่ากลัวน่าขยะแขยง พอเห็นว่าร่างกายมันเป็นน่ากลัวน่าขยะแขยง ความอยากจะเสพมันก็ไม่มี ต้องใช้อสุภะ ถ้ายังไม่ใช้อสุภะ ก็ยังนอนหลับฝันว่าไปนอนกับคนนั้นคนนี้ได้อยู่ เพราะยังมีความอยากอยู่ ไม่ต้องไปรู้สึกเสียใจเพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย เราห้ามมันไม่ได้ มันเป็นเพียงนิมิตหมายบอกเราว่าเรากำลังอยู่ในขั้นไหน เผื่อเราหลงคิดว่าเราไม่มีการอยากจะเสพกามแล้ว เราก็จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่เป็นของจริง เพราะของจริงมันยังอยากเสพกามอยู่ การถือศีล ๘ นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะดับความอยากเสพกามได้หมดเลย อาจจะเพียงแต่กันมันไว้ห้ามมันไว้
การบริจาคอวัยวะ
ถาม : การบริจาคอวัยวะ แพทย์ระบุว่าสมองตาย แต่อวัยวะอื่นๆ ที่บริจาคยังทำงานอยู่ แบบนี้เป็นบาปใหม่คะ
พระอาจารย์ : คือยังไม่ตายหน่ะตามหลักของพุทธศาสนา เวลาตายนี้ต้องหมดลมหายใจเท่านั้นถึงจะเรียกว่าตาย เพราะว่าเมื่อเราหมดลมหายใจแล้วอวัยวะต่างๆ ก็จะหยุดทำงานทั้งหมด แต่ทีนี้ทางแพทย์เขาก็จะอาจจะมีกิเลสเข้ามาครอบงำ เขาก็หาวิธีว่าจะเอาอวัยวะที่ยังไม่ตายนี้มาใช้ประโยชน์ต่อไป เขาก็เลยอ้างว่าตายแล้ว ตายที่สมอง แต่ความจริงมันเป็นการสร้างนิยามใหม่ขึ้นมาของคำว่าความตาย แต่ความตายที่แท้จริงมันก็ต้องอยู่ที่การไม่หายใจนี่แหละ เพราะเมื่อไม่หายใจแล้วทุกอย่างมันก็ดับหมดหยุดหมด
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 133.0.0.0
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #82 เมื่อ:
07 มีนาคม 2568 16:44:54 »
ไม่ชอบเดินจงกรม
ถาม : ท่านอาจารย์คะ ลูกไม่ชอบเดินจงกรมนะคะ แต่นั่งสมาธิ จะทำให้การปฏิบัติแตกต่างกันอย่างไรคะ
พระอาจารย์ : ถ้าปฏิบัติอย่างญาติโยมนี้ การเดินจงกรมก็ยังไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไร เพราะยังปฏิบัติน้อยอยู่ ที่ต้องเดินจงกรมนั้น หมายถึงพวกที่ปฏิบัติเป็นอาชีพ อย่างพระปฏิบัติ จะนั่งตลอดเวลานี่มันไม่ไหว ร่างกายต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ถ้าจะภาวนาแต่เฉพาะท่านั่งก็ไม่พอ เพราะต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เวลาที่เปลี่ยนอิริยาบถก็ยังภาวนาต่อไปได้ เคยบริกรรมพุทโธๆๆอยู่ในท่านั่ง ลุกขึ้นมาเดินก็บริกรรมพุทโธๆๆต่อไปได้ ใจสามารถภาวนาได้ทั้ง ๔ อิริยาบถ เพียงแต่อิริยาบถท่านอนที่ไม่ควรจะทำเท่านั้นเอง เพราะจะทำให้หลับง่าย แต่ท่ายืน ท่าเดิน ท่านั่งนี่ สามารถใช้เป็นอิริยาบถสำหรับภาวนาได้ ถ้าต้องภาวนาทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนหลับไป จะนั่งทั้งวันมันก็ไม่ไหว ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถ เมื่อนั่งมากๆจนรู้สึกว่าเจ็บปวด เมื่อยล้าไปทั้งร่างกาย ก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นมาเดิน เวลาเดินก็อย่าปล่อยให้ใจไปคิดเรื่องราวต่างๆ แต่ควบคุมจิตใจ เช่นบริกรรมพุทโธ ๆๆไปเรื่อยๆ
มีพระอยู่รูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านก็ใช้การบริกรรมพุทโธนี้ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าจะทำกิจอะไร ท่านก็ไม่ห่างจากพุทโธเลย อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการภาวนาอยู่ตลอดเวลา พอตื่นขึ้นมาท่านก็พุทโธจนถึงเวลาหลับไปเลย เวลาจะนอนก็ภาวนาพุทโธไป ทั้งวันมีแต่คำว่าพุทโธ อาจจะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างเมื่อมีความจำเป็น เช่นเวลาเจอคนนั้นคนนี้ ต้องพูด ต้องคุยกัน ก็วางพุทโธไปสักระยะหนึ่ง แต่พอไม่ต้องไปคุย ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านก็จะกลับมาอยู่ที่พุทโธ ไม่ว่าจะเป็นการปัดกวาด ล้างบาตร เดินบิณฑบาต หรือทำอะไร ก็จะมีพุทโธอยู่ในใจ.
ไม่แน่
ถาม : พระอาจารย์คะ เวลาเราเกิดมานี่เราอาจจะทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีนี่นะคะ ตอนช่วงที่เราจะดับนี่นะคะ ถ้าหากว่าเราได้สมาธิ เราจะไปภพภูมิที่ดีเลย คล้ายข้ามชั้นไปเลยอย่างนั้นใช่หรือเปล่าคะ หรือเราจะมาวนใช้กรรมก่อน
พระอาจารย์ : ไม่แน่ ถ้าเป็นพระอริยะ จะไปที่ดีโดยถ่ายเดียว แต่ถ้ายังอยู่ขั้นสมาธินี้ไม่แน่ เพราะสมาธิไม่ใช่โลกุตตรธรรม มันไม่ถาวร ไม่เหมือนกับปัญญา ถ้ามีปัญญาอยู่ติดกับใจแล้ว จะป้องกันใจไม่ให้ไปสู่ที่ต่ำได้ อย่างพระโสดาบัน ท่านจะไม่ไปเกิดในอบายอีกต่อไป ถึงแม้จะเคยทำบาปทำกรรมมาในอดีต แล้วยังไม่ได้ใช้กรรมใช้บาปที่ได้ทำไว้ กรรมเหล่านั้นจะไม่มีอำนาจส่งให้ท่านไปเกิดในอบายได้ แต่ถ้าเป็นสมาธิ อย่างพระเทวทัต ท่านได้สมาธิแล้ว มีฤทธิ์มีเดช แต่ไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล เมื่อไปทำบาปทำกรรม เวลามรณภาพไป ก็ต้องไปตกนรกก่อน สมาธิไม่ใช่ตัวที่จะรับประกันไม่ให้ไปเกิดในอบาย ต้องเป็นโลกกุตตรธรรม เป็นปัญญาขั้นแรก คือขั้นของพระโสดาบัน ดังที่มีพระอยู่รูปหนึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านมีความผูกพันกับจีวรอยู่ผืนหนึ่ง พอท่านมรณภาพ ท่านก็กลับมาเกิดเป็นตัวเล็น มาเกาะจีวรอยู่ ๗ วัน แสดงว่าท่านก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ถ้าจิตเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ท่านย่อมไม่ไปเกิดเป็นตัวเล็น เป็นสัตว์ เดรัจฉาน จะต้องเป็นมนุษย์หรือเป็นเทพเท่านั้น แล้วก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ ชาติ
ถ้าเป็นสมาธินี่ ยังกำหนดอะไรไม่ได้ ยังไปเกิดในอบายได้ ยังเวียนว่ายตายเกิดอีกแสนชาติก็ได้ อย่างครูบาอาจารย์ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ รูปที่ได้บรรลุฌาน เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านก็จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหมโลก แต่หลังจากนั้นแล้วเมื่อสมาธิเสื่อมหมดไป จิตก็จะหยาบลง ก็จะกลับมาเกิดเป็นเทพ กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ต้องมาสร้างบุญสร้างกุศล มาใช้เวรใช้กรรมที่เคยทำไว้ต่อไป แต่ถ้าได้เจริญปัญญา เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์ ๕ ว่าไม่มีตัวไม่มีตน อย่างพระโสดาบันที่สามารถละสักกายทิฐิได้ เห็นว่าขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีตัวไม่มีตน ท่านก็จะปล่อยวาง ไม่หลง ไม่ยึดไม่ติดกับขันธ์อีกต่อไป มันต่างกันตรงนั้น คือที่ปัญญา เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบเอง ก่อนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น นักปฏิบัติเขาพบแล้วคือทานศีลสมาธิ แต่ทานศีลสมาธิไม่สามารถทำให้จิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ เพราะไม่สามารถทำลายกิเลส ทำลายอวิชชาได้นั่นเอง ตัวที่จะทำลายกิเลส ทำลายอวิชชาได้ ก็คือปัญญา คือไตรลักษณ์นี่เอง
ถ้าเห็นความไม่เที่ยง เห็นความทุกข์ เห็นอนัตตาในขันธ์ ๕ แล้ว ก็จะปล่อยวางได้ เมื่อปล่อยวางแล้วก็จะไม่หลง ไม่หวนกลับไปหาสิ่งนั้นอีก ถ้าพระรูปนั้นท่านเห็นไตรลักษณ์ ท่านก็จะไม่เสียดายจีวรผืนนั้น ท่านมรณภาพแล้วก็จะไปเลย ไปข้างหน้า ไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ ถ้ายังจำเป็นจะต้องมีรูปมีร่าง มีเสื้อผ้าใส่ก็ไปหาข้างหน้า ผืนที่มีอยู่แล้วจะดีวิเศษแค่ไหนก็ไม่ยึดไม่ติดกับมัน พอถึงเวลาจากกันก็จากกันไปเลย ไปแล้วไม่เหลียวหลัง แต่คนที่ไม่มีปัญญายังชอบเหลียวหลังอยู่ ยังคิดถึงของดีๆ ของวิเศษที่ตนเองมีอยู่ คนบางคนจึงกลับมาเกิดในบ้านของตัวเอง เศรษฐีที่ขุดหลุมฝังเงินไว้ เวลาตายก็กลับมาเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตน เพราะยังมีความผูกพันกับเงินทองของตน จึงควรเจริญไตรลักษณ์ให้มากๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อจะได้ตัดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ถ้ามีคนสอนจะไม่ยากหรอก เมื่อก่อนไม่มีคนสอนก็เลยไม่มีใครรู้ ก็เลยไม่ได้ทำกัน มัวแต่ติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอมีพระพุทธเจ้ามาสอน ทรงแสดงธรรมครั้งแรกพระอัญญาโกณฑัญญะก็ปล่อยวางขันธ์ได้ บรรลุเป็นพระโสดาบันขึ้นมาทันที.
ทำจิตใจให้สงบให้ได้
ถาม : ท่านอาจารย์คะ ทุกวันนี้ถึงแม้จะรู้ว่าเราอยู่ในกฎของไตรลักษณ์นะคะ แต่บางครั้งมีความท้อแท้ในจิตใจนี่ ไม่ทราบว่าจะดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่ท้อแท้กับสิ่งนั้น
พระอาจารย์ : ต้องพยายามทำสมาธิให้ได้ สมาธิจะเป็นที่พึ่งของจิตใจ ถ้ามีสมาธิแล้วจะไม่ท้อแท้กับอะไร พอท้อแท้ก็เข้าสมาธิ แล้วทุกอย่างก็จะหายไป ความท้อแท้เกิดจากความคิดปรุงของเราที่เราสร้างขึ้นมาเอง พอสงบปั๊บความท้อแท้ก็หายไป ขณะนี้สิ่งที่เราขาดก็คือที่พึ่งของใจ ก็คือความสงบนี้เอง เหมือนกับเวลาฝนตกแดดออก ถ้าเรามีบ้านที่หลบแดดหลบฝนได้ เราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเราไม่มีที่หลบแดดหลบฝน เราก็ต้องทนกับแดดกับฝนไป พวกเราก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีสมาธิก็เหมือนกับคนไม่มีที่หลบแดดหลบฝนนั่นเอง
เวลามีความทุกข์ก็ไม่รู้จะไปหลบที่ไหน แต่ถ้าเราฝึกทำสมาธิอยู่เรื่อยๆ เช้า-เย็น ถึงแม้จะไม่สงบเต็มที่ ก็ยังช่วยได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สวดมนต์ให้ได้สักครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง เวลาสวดมนต์ไปสักครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง เรื่องราวต่างๆที่สร้างความทุกข์ ความท้อแท้ในใจ ก็จะไม่มีโอกาสเข้ามาเบียดเบียนใจ เพราะใจกำลังสวดมนต์อยู่ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องท้อแท้ก็หายไป ความท้อแท้ก็หายตามไป ทุกอย่างเกิดจากการสร้างขึ้นมาในจิตของเราเอง โดยเอาเรื่องราวต่างๆภายนอกมาคิดมาปรุง
ถ้าไม่คิดไม่ปรุงแล้ว เรื่องราวจะเดือดร้อน จะวุ่นวายขนาดไหน ก็จะไม่เข้ามาสู่ใจ ปัญหาของเราอยู่ตรงที่ไม่สามารถทำใจให้สงบได้ พอมีเรื่องราวอะไรภายนอกก็ดึงเข้ามา เหมือนกับเอาไฟเข้ามาเผาใจเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงอยู่ที่การทำจิตใจให้สงบให้ได้ .
ปล่อยวางเวทนา
ถาม : ท่านอาจารย์คะ น้องเขามีปัญหาถาม นั่งขัดสมาธิไปสัก ๓ ชั่วโมงถ้าเผื่อมันปวดมากๆนี่เขาเปลี่ยนขาได้ไหมคะ
พระอาจารย์ : เปลี่ยนได้ แต่ไม่ได้แก้ปัญหา ที่ต้องแก้คือการปล่อยวางกาย ปล่อยวางเวทนาให้เป็นไปตามสภาพ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีหยูกไม่มียาไม่มีหมอ ก็ต้องเจ็บปวด เราก็ทนได้ ส่วนใหญ่เราไม่อยากจะทน ความไม่อยากจะทนนี่แหละคือตัวกิเลส ต้องดับตัวไม่อยากจะทนให้ได้ ด้วยการปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ พิจารณาร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนท่อนหนึ่ง มันอยู่ของมันได้ มันไม่เดือดร้อนหรอก ที่เดือดร้อนไม่ใช่ร่างกาย ที่เดือดร้อนคือใจ คือกิเลสที่อยู่ในใจ ตัวที่ไม่ชอบ ไม่ต้องการความเจ็บปวดนี้เท่านั้นเอง.
นั่งแล้วง่วงนอน
ถาม : ท่านอาจารย์คะ น้องเขามีปัญหาถาม นั่งขัดสมาธิไปสัก ๓ ชั่วโมงถ้าเผื่อมันปวดมากๆนี่เขาเปลี่ยนขาได้ไหมคะ
พระอาจารย์ : เปลี่ยนได้ แต่ไม่ได้แก้ปัญหา ที่ต้องแก้คือการปล่อยวางกาย ปล่อยวางเวทนาให้เป็นไปตามสภาพ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีหยูกไม่มียาไม่มีหมอ ก็ต้องเจ็บปวด เราก็ทนได้ ส่วนใหญ่เราไม่อยากจะทน ความไม่อยากจะทนนี่แหละคือตัวกิเลส ต้องดับตัวไม่อยากจะทนให้ได้ ด้วยการปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ พิจารณาร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนท่อนหนึ่ง มันอยู่ของมันได้ มันไม่เดือดร้อนหรอก ที่เดือดร้อนไม่ใช่ร่างกาย ที่เดือดร้อนคือใจ คือกิเลสที่อยู่ในใจ ตัวที่ไม่ชอบ ไม่ต้องการความเจ็บปวดนี้เท่านั้นเอง.
อุบายของการพิจารณา
ถาม : นั่งไปหลายๆชั่วโมงเมื่อเกิดทุกขเวทนามากๆนี่ ได้พยายามดูเขา
แต่บางทีตรงส่วนหนึ่งหาย มันก็จะเลื่อนไปเรื่อยๆ ท่านอาจารย์มีวิธีแก้อย่างไรคะ ไม่ให้พิจารณาตรงบริเวณนั้นหรือว่าให้ไปดูอย่างอื่นเลย
พระอาจารย์ : มันแก้ได้ ๒ แนวทาง คือแนวทางของสมาธิ ก็ให้บริกรรมอย่างเดียว อย่าไปสนใจว่าจะเจ็บจะปวดตรงไหน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เหมือนเรานั่งคุยกันขณะนี้ เราไม่ไปสนใจเรื่องเสียง เรื่อง อะไรต่างๆ ถ้าไม่ไปสนใจ มันก็จะไม่เข้ามาในใจ เราก็สามารถคุยกันได้ มีสมาธิอยู่กับการคุยกันได้ ถ้าไปรำคาญกับเสียงต่างๆ เดี๋ยวก็เสียสมาธิ คุยกันไม่รู้เรื่อง การภาวนาก็แบบนี้ ถ้าเกิดความเจ็บปวดตรงนั้น เจ็บปวดตรงนี้ คันตรงนั้นตรงนี้ ถ้าไม่ไปสนใจ บริกรรมอย่างเดียว ให้อยู่กับคำบริกรรมไปเรื่อยๆ ก็อยู่ได้ แต่ถ้าหยุดเมื่อไร จะรู้สึกเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ ปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว ก็จะเริ่มเกิดความทุกข์ภายในใจขึ้นมา แล้วก็จะทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเราไม่ได้บริกรรมแล้ว นี่คือวิธีหนึ่ง
อีกวิธีหนึ่งก็ใช้ปัญญาพิจารณา ดูไอ้ตัวเวทนานี้ว่าเป็นอย่างไร ทำไมจึงทนไม่ได้ เป็นเพราะว่าเราไม่ชอบเขาใช่ไหม ทำไมเวทนาที่เราชอบ เช่นสุขเวทนา ทำไมเรารับได้ อาตมาพิจารณาเปรียบเทียบกับเสียงที่เข้ามาในหู เสียงที่เราชอบจะดังขนาดไหน ก็จะไม่รบกวนใจเรา แต่เสียงที่เราไม่ชอบ แม้แต่เพียงนิดเดียว ก็เป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงใจ ทั้งๆที่เป็นเสียงเหมือนกัน เข้าใจไหม เวลาคนสรรเสริญเยินยอเรานี่ จะพูดดังขนาดไหนก็ไม่มีปัญหา เราฟังได้ แต่พอใครตำหนิเรานิดเดียวนี่ เสียงเบาๆเพียงคำเดียวก็ทำลายใจเราได้ พิจารณาดูก็เห็นว่าอยู่ที่ความชอบ ความไม่ชอบของใจเรา เป็นเสียงเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสรรเสริญหรือนินทา เวทนาที่เกิดจากร่างกาย ก็เป็นการสัมผัสของกายกับโผฏฐัพพะ แล้วก็เข้าไปในใจ รับรู้ที่ใจเหมือนกับเสียง เวทนาก็มีทั้งที่เราชอบ กับที่เราไม่ชอบ ถ้าชอบก็จะไม่รังเกียจ เช่นเวลานั่งดูหนัง นั่งคุยกันนานๆนี่ ไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเลย เพราะมันเพลิน เราไม่ไปสนใจกับมัน แต่เวลานั่งสมาธินี้ อะไรนิดมาสัมผัสกับใจ ก็ออกไปรับรู้แล้ว จึงไม่อยากนั่งเฉยๆ
เวทนาก็เกิดจากการสัมผัสของโผฏฐัพพะกับกาย ทำให้เกิดเวทนาขึ้นมาภายในใจ รับรู้ในใจ ถ้าใจยินดีก็เป็นสุข ถ้ายินร้ายก็เป็นทุกข์ ถ้าทำใจเป็นกลางๆ ไม่ยินดียินร้าย ก็ไม่เดือดร้อน ก็พยายามพิจารณาอย่างนี้ไป พิจารณากลับไปกลับมาจนในที่สุดก็ยอมรับ ใจก็วางเฉย แต่เวทนาก็ไม่หาย ยังมีอยู่ แต่ไม่ทรมานใจ เพราะใจไม่รังเกียจ ไม่ได้อยากจะให้เวทนาหาย หรืออยากจะหนีจากเขาไป ใจรับได้ ยอมรับว่าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ อยู่กันได้ อย่างนี้ก็เป็นความสงบแบบหนึ่ง แต่ร่างกายไม่ได้หายไปจากความรู้สึก ร่างกายก็อยู่ เวทนาก็อยู่ จิตก็อยู่ ก็นั่งไปสบายๆ ท่ามกลางความเจ็บที่ยังมีอยู่ แต่ไม่เดือดร้อน วางเฉยได้
อุบายของการพิจารณาจึงพูดยาก ของแต่ละคนต้องสรรหากันเอง แต่ก็อยู่ในแนวนี้ ที่ว่าของทุกอย่างมีทั้งหัวมีทั้งก้อย ของชิ้นเดียวกัน คนหนึ่งเห็นแล้วก็ชอบ อีกคนหนึ่งเห็นแล้วก็ชัง คนหนึ่งเห็นแล้วเกิดความทุกข์ขึ้นมา อีกคนหนึ่งเห็นแล้วเกิดความสุขขึ้นมา อยู่ที่จะมองกัน ว่าจะชอบหรือชังเท่านั้นเอง ถ้าไปเจอในสิ่งที่ไม่ชอบ ก็จะทรมานใจมาก แต่ถ้าทำใจได้ว่า หนีไม่พ้น ต้องเป็นอย่างนี้ ยอมรับได้ จะเป็นอย่างนี้ก็ให้เป็นไป ไม่ไปอยากให้เป็นอย่างอื่น เรื่องก็จบ โดยสรุปเวลาเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา ก็ปล่อยให้เป็นไป เราก็ภาวนาของเราต่อไป พุทโธๆๆไป เวทนาจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป รู้ว่าเป็นอย่างนี้ บังคับไม่ได้ จะอยู่ก็อยู่ไป ไม่รังเกียจ ไม่อยากหนีจากเวทนาไป เวทนาก็ไม่ต้องหนีจากเราไป อยากจะอยู่ก็อยู่ไป
ถ้าพิจารณาจนยอมรับความจริงนี้ได้ เวทนากับเราก็อยู่ร่วมกันได้ ใจไม่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นลักษณะเดียวกัน อาหารอย่างเดียวกัน คนหนึ่งชอบ อีกคนหนึ่งไม่ชอบ ปัญหาก็อยู่ที่ชอบกับไม่ชอบของใจเท่านั้นเอง ถ้าเป็นคนเฉยๆ อะไรก็กินได้ ไม่กินก็ได้ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร คนที่ชอบไม่ได้กินก็เดือดร้อนนะ คนที่ไม่ชอบต้องกินก็เดือดร้อน แต่คนที่เฉยๆนั่นแหละดีที่สุด กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ โดยสรุปก็ต้องตัดความชอบตัดความชังออกไป ให้เข้าสู่ความเป็นกลาง ต้องอยู่กับอะไรก็อยู่ไป เมื่อไม่มีอะไรก็ไม่ต้องไปหามา ไปแล้วก็แล้วกันไป เมื่อยังไม่ไป ก็อยู่ไป เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดความรู้สึก เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ก็เหมือนกัน อ้าว!มาแล้วหรือ มาเยี่ยมเราแล้ว ก็ให้อยู่ไป ไม่ต้องไปหนี ลองนั่งดูซิ ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว เข้าใจหลักของการนั่งแล้ว ต่อไปจะไม่รังเกียจ แล้วจิตจะเข้าสู่ความเป็นกลาง .
ภาวะของจิต
ถาม : แล้วการภาวนานี่เราจะดีขึ้นไหมคะ ประเมินตัวเองได้ไหมคะ
พระอาจารย์ : ความสงบ ความหนักแน่น ความอิ่มเอิบ ที่เกิดจากความสงบนี้แหละที่จะเป็นตัววัดผล
ถาม : เราพิจารณาดูจิตว่ามีความหนักแน่น ไม่มีความอ่อนไหวเมื่อมีแรงกระทบ จิตจะไม่มีความรู้สึกอะไร
พระอาจารย์ : ถ้าจิตจะไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเฉยๆ หนักแน่นกว่าเมื่อก่อน ก็แสดงว่าได้ขยับก้าวหน้า เมื่อก่อนใครพูดอะไรนิด ทำอะไรหน่อย ก็ปุ๊บขึ้นมาเลย แต่ตอนนี้มีสติมีสมาธิคอยถ่วงคอยดึงไว้ จิตมีความหนักแน่นมากขึ้น ไม่ค่อยจะไปมีปฏิกิริยากับเรื่องราวต่างๆมากนัก
ถาม : เมื่อตะกี้ท่านอาจารย์พูดถึงว่าเราติดกับผลที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้จดจำเหตุที่ทำให้เกิดผลอันนั้น
พระอาจารย์ : ใช่
ถาม : บางทีเราก็ เอ๊ะ! เคยเป็นแบบนี้ ทำไมเดี๋ยวนี้มันไม่เป็น จี้อยู่ตรงผลที่จะเกิด แต่ลืมวิธีที่จะทำให้ผลเกิด ว่าทำอย่างไร
พระอาจารย์ : ใช่ เพราะเวลาที่เราปฏิบัติใหม่ๆ เราจะทำแบบผิดๆถูกๆ บางจังหวะไปทำถูกเข้า แล้วมันสงบเข้า แต่ก็ไม่รู้ว่าสงบได้อย่างไร พอคราวหน้าจะทำอีก ก็ไปคิดถึงผล ว่าคราวนี้จะต้องให้มันสงบเหมือนคราวที่แล้ว ก็นั่งคิดถึงแต่ผล ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่านใหญ่
ถาม : คือนึกไม่ออกว่าผลมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
พระอาจารย์ : มันอยู่ที่สติ ให้สติอยู่กับพุทโธหรืออยู่กับกรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ที่ใช้เป็นเครื่องกำกับใจ สถานที่ก็สงบไม่มีอะไรมารบกวน ภาวะของจิตในวันนั้นก็ไม่มีเรื่องมีราวมาก ไม่มีปัญหากับใคร ไม่มีนิวรณ์มารุมเร้า ก็ช่วยเสริมกัน ทำให้เกิดผลคือความสงบขึ้นมา ส่วนอีกวันเกิดไปมีเรื่องมีราวกับคนนั้นคนนี้ กับเรื่องนั้นเรื่องนี้มา พอจะมานั่งสมาธิ เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังอยู่ในใจ วันนั้นถึงแม้จะทำถูกวิธี ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมีเรื่องคอยรบกวน เหมือนกับวิทยุ บางวันคลื่นก็ชัดแจ๋วเลย ไม่มีอะไรเข้ามารบกวน บางวันก็มีเสียงฟ้าร้อง มีเสียงอย่างอื่นเข้ามารบกวน.
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มีนาคม 2568 16:46:53 โดย Maintenence
»
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #83 เมื่อ:
17 เมษายน 2568 11:09:58 »
ต้องพิจารณาอยู่ตลอดเวลา
ถาม : การพิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา เวลาเกิดเหตุการณ์จริงๆนี่ มันล้มทั้งยืนเลยค่ะ
พระอาจารย์ : ยังไม่เป็นปัญญาที่แท้จริง เป็นจินตมยปัญญา ยังไม่เป็นภาวนามยปัญญา ที่ดับกิเลสดับความทุกข์ได้
ถาม : ทำอย่างไรให้ถึงตรงนั้นได้ล่ะคะ
พระอาจารย์ : ต้องพิจารณาอยู่ตลอดเวลา พอกิเลสโผล่มาปั๊บก็ตัดได้เลย
ถาม : กิเลสของแต่ละคนมันแตกต่างกันไหมคะ
พระอาจารย์ : มีหนาบางต่างกัน แต่โลภโกรธหลงเหมือนกัน นักปฏิบัติถึงแบ่งไว้เป็น ๔ พวก คือ ๑. รู้ง่ายและปฏิบัติง่าย ๒. รู้ง่ายแต่ปฏิบัติยาก ๓. รู้ยากแต่ปฏิบัติง่าย ๔. รู้ยากและปฏิบัติยาก รู้ง่ายเพราะมีปัญญาแหลมคม รู้ยากเพราะมีปัญญาทึบ ปฏิบัติง่ายเพราะกิเลสบาง ปฏิบัติยากเพราะกิเลสหนา
ถาม : อันนี้เปลี่ยนได้ไหมคะ หรือเป็นประจำจิตแต่ละดวง
พระอาจารย์ : เป็นบารมีที่สร้างมาไม่เท่ากัน
จิตยิ่งไปกดมัน มันก็ยิ่งต้านใหญ่
คำถาม : กราบนมัสการครับ ถ้าเริ่มต้นนั่งสมาธิ แล้วเพ่งหรือบังคับจิตให้สงบเร็วๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มปล่อยจิตเพื่อให้ทำวิปัสสนา หรือว่าไม่ควรบังคับจิตตั้งแต่เริ่มทำครับ
พระอาจารย์ : คือ บังคับไม่ได้หรอก มันบังคับได้ก็ดี จิตยิ่งไปกดมัน มันก็ยิ่งต้านใหญ่ งั้นต้องใช้อุบายของสติ ให้มันไปดูลมหรือไปพุทโธ แล้วเดี๋ยวมันก็จะสงบได้ แต่ถ้าใช้ไปกำหนดจิตให้มันนิ่ง ถ้าเราไม่มีสติกำหนดไม่ได้หรอก ถ้าเรามีสตินี่ ไม่ต้องพุทโธก็ได้ กำหนดให้จิตนิ่ง ไม่ปรุงแต่ง มันก็เชื่อตามที่เราสั่ง ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็ทำไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องใช้อุบายของสติ ใช้กัมมัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง พุทโธไป สวดมนต์ไป ดูลมไปอย่างนี้ มันถึงจะเข้าสู่ความสงบได้
ส่วนวิปัสสนานี้ รอไว้ก่อน มันอีกระดับหนึ่ง ระดับต้นนี้ฝึกสติ ฝึกสมาธิให้ชำนาญก่อน ให้จบระดับปริญญาตรีก่อน แล้วค่อยขึ้นไประดับปริญญาโท อย่าไปเรียนทั้งตรีทั้งโทควบกัน เดี๋ยวก็ไม่ได้ทั้ง ๒ อัน ตรีก็ไม่ได้ โทก็ไม่ได้ งั้นเบื้องต้นนี้ให้ฝึกสติ ให้นั่งสมาธิให้จิตรวมเป็นหนึ่งให้ได้ก่อน แล้วก็ฝึกไปบ่อยๆ ให้มันชำนาญ พอชำนาญแล้วทีนี้ เวลาออกจากสมาธิมา ก็เริ่มไปทางปัญญาได้ สอนใจว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เช่น ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราของเรา อนัตตา ไปสั่งมันไม่ได้ ทำให้มันเที่ยงไม่ได้ สั่งให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายไม่ได้ เพื่อจะได้ปล่อยมันได้ ปลงได้ว่า เอ้า ถึงเวลาแก่ก็ต้องแก่ ถึงเวลาเจ็บก็ต้องเจ็บ ถึงเวลาตายก็ต้องตาย อันนี้เป็นขั้นปัญญาต่อไป
ปฏิบัติก็เพื่อให้ยอมรับความจริง
ถาม : เวลาปฏิบัติอยู่ที่บ้าน จะตรวจสอบได้อย่างไร ว่าก้าวหน้ามาถูกทาง
พระอาจารย์ : ดูที่อารมณ์ว่าแรงขึ้นหรือเบาลง ความหงุดหงิดรำคาญใจน้อยลงหรือมากขึ้น ถ้าสบายใจปล่อยวางได้ รับกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ก็แสดงว่าก้าวหน้า ถ้ารับไม่ได้ แสดงว่ายังไม่ก้าวหน้า การปฏิบัติก็เพื่อให้ยอมรับความจริง ว่าไม่มีอะไรเป็นไปตามความต้องการของเรา
เป็นอุเบกขา
ถาม : เวลาปฏิบัติแล้ววูบลงไป สติยังอยู่ ไม่ได้บริกรรม อยู่นิ่งๆเฉยๆ เป็นสุขแบบไม่ใช่ปีติ ตรงนั้นเป็นอุเบกขา เป็นเอกัคคตารมณ์ หรือเป็นอะไร
พระอาจารย์ : เป็นอุเบกขา ไม่มีอารมณ์รักชัง เป็นเอกัคคตารมณ์ สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรุงแต่ง รู้เฉยๆ นิ่งสงบ เหมือนลิฟต์ดิ่งวูบลงมา จิตเวลาจะเข้าสู่ความสงบ ก็เหมือนลิฟต์ดิ่งลงมาแล้วก็หยุด จะรู้เฉยๆ เบาอกเบาใจ สบายอกสบายใจ บางทีมีปีติ น้ำตาไหลขนลุกซ่า แต่เป็นเดี๋ยวเดียว แล้วก็จะนิ่งสงบ เป็นอุเบกขา จนกว่าจะถอนออกมา เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้อง ถ้าสงบแล้วไม่นิ่ง ออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิที่ไม่ถูกต้อง เช่นไปเห็นกายทิพย์ อย่างคุณแม่แก้วนี่ เป็นสมาธิที่ไม่นิ่ง พอจิตสงบแล้วจะออกไปรู้เรื่องของวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นสมาธิที่ไม่ดี เพราะไม่สนับสนุนปัญญา ไม่ได้ทำให้ความอยากอ่อนกำลังลง เพราะความอยากยังทำงานอยู่ อยากจะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ พอออกจากสมาธิแบบนี้แล้ว จะไม่มีกำลังเจริญวิปัสสนา พิจารณาทางปัญญา
ต้องตัดกำลังของความอยากด้วยสัมมาสมาธิ ต้องวางยาสลบให้กับความอยาก จะได้ไม่มีกำลังเวลาออกมาจากสมาธิเหมือนนักมวย ต้องโดนนับ ๘ สักครั้ง ๒ ครั้ง จะได้ชนะอย่างง่ายดาย ถ้ายังไม่นับ ๘ จะมีกำลังต่อสู้มาก การทำสมาธิ ก็เพื่อให้ความอยากคือตัณหาถูกนับ ๘ ต้องให้จิตนิ่งๆ เวลาออกมาจากสมาธิถึงจะพิจารณาได้ ถ้าจะเจริญมรรคอย่าไปตามรู้สิ่งต่างๆ ต้องดึงกลับมาที่ตัวรู้ อย่าไปสนใจ เดี๋ยวก็จะหายไปเอง.
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #84 เมื่อ:
27 พฤษภาคม 2568 12:53:18 »
ต้องปฏิบัติเชิงรุก
ถาม : ขอส่งการบ้าน รู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น แล้วเย็นเบา แต่ไม่ถึงขั้นสว่าง
พระอาจารย์ : ต้องปฏิบัติเชิงรุก ต้องพิจารณา อย่าปล่อยให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย อย่าไปตามรู้ เราต้องรุก บุกมันเลย คิดเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เรื่องไตรลักษณ์ หรือบริกรรมพุทโธตลอดเวลา มันถึงจะเป็นเชิงรุก ถ้ารอให้ถึงเวลาแล้วค่อยปฏิบัติ ยังเป็นเชิงรับอยู่ ปล่อยให้มันรุกเรา ๑๐ ชั่วโมง แล้วเรารุกมันแค่ ๒ ชั่วโมง ก็จะไปไม่ถึงไหน เราต้องลุยตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย ต้องปฏิบัติเชิงรุก อย่าปฏิบัติเชิงรับ ถ้าเชิงรับก็เช้านั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง เย็นก็นั่งสมาธิชั่วโมงหนึ่ง ส่วนเวลาอื่นก็ปล่อยให้มันรุกตลอด.
บทเรียนสอนใจ
ถาม : ดิฉันเพิ่งสูญเสียสามีไปแบบกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ ดิฉันไม่มีลูก ดิฉันทำใจไม่ได้ ออกจากความทุกข์ใจความอาลัยอาวรณ์ไม่ได้เลย จนต้องป่วยตลอด ขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ว่าดิฉันควรทำอย่างไรคะ
พระอาจารย์ : ควรทำใจให้สงบให้ได้ พยายามฝึกสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิบ่อยๆ หยุดความคิด อดีตมันผ่านไปแล้ว คิดไปก็ทำให้เราเศร้าไปเปล่าๆ คิดถึงสามี อนาคตมันก็ยังมาไม่ถึง งั้นพยายามรักษาปัจจุบันของเราให้นิ่งให้สงบ อย่าไปเกิดความอยากเกิดเรื่องราวต่างๆ อย่าไปอยากให้อดีตที่มันผ่านมาแล้วกลับมาอีก มันไม่กลับมาแล้ว คนตายก็ตายไปแล้ว ให้เราอยู่ในปัจจุบัน ปล่อยวางด้วยการทำใจให้สงบ ฝึกสตินั่งสมาธิบ่อยๆ ก่อน แล้วค่อยใช้ปัญญาต่อไปหลังจากที่ได้สมาธิแล้ว ให้เราพิจารณาว่าทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของเรา อย่าไปอยากได้ ถ้าได้มาแล้วมันจะต้องเสียใจ เหมือนกับได้สามีมาแล้วสามีก็ไม่ใช่เป็นของเรา เขาเป็นของไม่เที่ยง พอถึงเวลาเขาก็ตายจากเราไป พอเราสูญเสียเขาไปเราก็ทุกข์ใจขึ้นมา เพราะเราไม่อยากให้เขาจากเรา งั้นต่อไปนี้เราต้องเอาอันนี้มาเป็นบทเรียนสอนใจว่า ต่อไปนี้อย่าไปอยากได้อะไร อยากแล้วมันจะทุกข์ใจไม่ช้าก็เร็ว อย่าให้เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ให้เรียนจากความทุกข์ของเรา ให้เข็ด อย่าไปอยากได้อะไร ให้อยู่กับความสงบเพียงอย่างเดียวก็พอ
เราไปลบมันไม่ได้
ถาม : มีเพื่อนคนหนึ่งใช้การพิจารณาคุณงามความดีของพ่อแม่ แทนที่จะใช้พุทโธหรือลมหายใจ อย่างนี้อยู่ในกรรมฐาน ๔๐ หรือไม่
พระอาจารย์ : ไม่
ถาม : เขาว่าง่ายกว่าพุทโธ
พระอาจารย์ : บริกรรมแม่ๆหรือพ่อๆไปเรื่อยๆก็ได้
ถาม : เขาคิดว่าแก้กรรมได้
พระอาจารย์ : กรรมที่ทำไปแล้วเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ด่าใครไปแล้วจะไปถอนคืนอย่างในรัฐสภาไม่ได้ นั่นมันหลอกกัน หลอกด่าแล้วก็ไปถอนคืนทีหลัง มันเกิดขึ้นแล้ว ฝังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดแล้ว เขาก็ต้องโกรธเกลียดเรา มีโอกาสก็จะด่ากลับ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วเราไปลบมันไม่ได้.
จะมีเหตุมีผล ไม่มีอารมณ์
ถาม : แต่ก่อนกลัวผีมาก ตอนนี้ก็คิดว่ากล้าขึ้น ตอนนี้ทดสอบด้วยการไปรดน้ำศพ รู้สึกว่าได้ผลดี กลับมาบ้านแล้วก็จะเฉยๆ ไม่กลัวอะไรเลย อยู่คนเดียว รู้สึกว่าเข้มแข็งขึ้น อย่างนี้ถือว่าก้าวหน้าหรือไม่
พระอาจารย์ : ถ้าไม่กลัวก็ก้าวหน้า ความกลัวเป็นกิเลส ขั้นต่อไปก็ไปดูการผ่าศพ เพื่อปลงสังเวช ร่างกายของเขากับของเราก็เหมือนกัน ต่อไปร่างกายของเราก็ต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน
ถาม : ท่านอาจารย์สอนให้ไปอยู่ป่าช้า
พระอาจารย์ : ถ้ากลัวผีก็ต้องไป เราเองก็ไม่เคยอยู่ป่าช้า เคยไปนั่งอยู่คืนหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปองค์เดียว ไปด้วยกัน ๓ องค์ แต่แยกนั่งกันคนละมุม ภาวนาอยู่ ๒ ชั่วโมง ไม่เห็นมีอะไร
ถาม : ท่านอาจารย์เคยพูดว่า ให้นั่งจนสงบแล้วค่อยพิจารณา ถ้าไม่สงบก็จะไม่ได้พิจารณาสักที ลูกก็กลับมานั่งคิด คิดไปคิดมามันก็ว่าง จิตว่างเลย นี่สงบหรือเปล่า สักพักหนึ่งก็สงสัยว่าบรมสุขที่ท่านอาจารย์พูดถึงเป็นอย่างไร อย่างนี้ใช่หรือเปล่า ไม่เห็นจะสุขเลยมันแค่ว่างเฉยๆ บรมสุขน่าจะเหมือนถูกลอตเตอรี่ แต่นี่แค่ว่าง ไม่สุขแบบที่ว่าเลย
พระอาจารย์ : ยังไม่ใช่ จิตยังไม่รวมลงถึงฐาน
ถาม : ถ้าสุขจริงๆแล้ว มันเป็นอย่างไร
พระอาจารย์ : เหมือนตกหลุมตกบ่อตกเหว วูบลงไปแล้วก็นิ่ง เย็นสบาย โล่งอกโล่งใจ เบาอกเบาใจ ที่ให้พิจารณาหลังจากออกมาจากความสงบ เพราะจะได้ผลจริงๆ ถ้าพิจารณาโดยที่จิตยังไม่สงบ จะพิจารณาไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะกิเลสจะคอยรบกวนอยู่เรื่อย พิจารณาได้ไม่นานเดี๋ยวมันก็มาเถียงมาค้าน แต่ถ้าจิตสงบแล้ว พอออกมาจากความสงบ กิเลสยังงัวเงียอยู่ ยังไม่มีแรง ตอนนั้นจิตจะมีเหตุมีผล ไม่มีอารมณ์ พิจารณาความตายก็ยอมรับว่าต้องตายจริงๆ.
จะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ใจ
ถาม : จิตรวมคืออะไร
พระอาจารย์ : รวมเป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขา สงบนิ่ง
ถาม : จะรู้ไหมเวลาที่จิตรวมแล้ว
พระอาจารย์ : รู้ จะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ใจ
ถาม : เหมือนจิตว่างใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ : ใช่
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #85 เมื่อ:
04 ตุลาคม 2568 11:56:55 »
ผู้ปฏิบัติย่อมพิสูจน์เห็นได้
ถาม : การเห็นจิตนี้ เห็นอะไรถึงเรียกว่าเห็นจิต
พระอาจารย์ : เห็นจิตนั้นเห็นได้หลายอย่าง เช่นเห็นความคิด เห็นว่าความคิดกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน
ถาม : มันแยกกัน เห็นได้ขนาดนั้น
พระอาจารย์ : ได้ ถ้านั่งสมาธิจนจิตรวมลง จิตปล่อยวางร่างกาย จิตก็จะแยกออกจากร่างกาย จะเห็นในจิต ไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะมาจับภาพของจิตได้ ต้องปฏิบัติเอง สันทิฐิโก ผู้ปฏิบัติย่อมพิสูจน์เห็นได้ ไม่มีวิธีอื่นที่จะพิสูจน์ได้นอกจากการปฏิบัติ จิตต้องรวมลง แล้วแยกออกจากกาย ถึงจะเห็นชัด
ถาม : จะเกิดปัญญาได้ หมายถึงต้องแยกจิตกับกายให้ได้ใช่ไหม
พระอาจารย์ : การรู้ว่ากายกับจิตเป็นคนละส่วน เป็นปัญญาระดับหนึ่ง ขั้นต่อไปต้องตัดความผูกพันให้ได้ ต้องศึกษาร่างกายให้ถ่องแท้ว่าไม่ใช่ตัวเราของเรา พอรู้ว่าไม่ใช่ตัวเราของเรา ก็จะไม่วิตก ทำอย่างไรให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวเราของเรา ต้องเห็นว่าเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ มันมาจากอะไรก็วิเคราะห์ดู มันก็มาจากน้ำ ๒ หยด ของพ่อหยด ของแม่หยด พอรวมกันจิตก็เข้ามาครอบครอง ต่อจากนั้นก็เจริญเติบโตขึ้นมา ด้วยอาหารของแม่หล่อเลี้ยงในท้อง แม่ก็รับประทานอาหารชนิดต่างๆ ที่มาจากดินน้ำลมไฟทั้งนั้น
ถาม : จิตรู้ได้อย่างไรว่าจะเข้าร่างกายไหน
พระอาจารย์ : เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เป็นไปโดยอัตโนมัติ ถ้าจิตยังมีความอยากอยู่ จิตก็จะไปแสวงหาตามกำลังของบุญของกรรม มีการตั้งครรภ์ตรงไหนก็จะไปตรงนั้น ถ้าหาร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ ก็ต้องเอาร่างกายของหมาของแมวของนกของปลาก่อน แล้วแต่กำลังของบุญของกรรม ถ้ากำลังบุญมากก็จะได้ร่างกายของมนุษย์ ถ้ากำลังกรรมมากก็จะได้ร่างกายของเดรัจฉาน ของเปรต ของสัตว์นรก
พิจารณาดับทุกข์ในใจ
ถาม : เวลาเห็นความจริงตรง คือปัญญาใช่ไหมคะ
ตอบ : ถ้าใช้ความคิดพิจารณาดับทุกข์ในใจได้ ก็เป็นปัญญา ตอนที่ซ้อมพิจารณาก็เป็นจินตามยปัญญา เวลาอยู่ในเหตุการณ์จริงก็เป็นภาวนามยปัญญา จินตามยปัญญายังดับความทุกข์ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในเหตุการณ์จริง เวลาอยู่ในเหตุการณ์จริงจะเป็นภาวนามยปัญญา พอทุกข์เกิดขึ้นมา ก็พิจารณาจนเห็นว่าเกิดจากความอยาก พอละความอยากได้ ทุกข์ก็ดับไป ให้เห็นชัดๆ จึงจะเป็นการเห็นธรรม จะไม่สงสัยว่าดับทุกข์ได้หรือไม่
หาคำตอบเอง ด้วยปัญญา
ถาม : ผมมักจะมีปัญหาถามก่อนที่จะมาฟังท่านเทศน์ แต่เมื่อได้ฟังเทศน์จบลงผมมักจะลืมคำถามหมด
พระอาจารย์ : คำถามออกมาจากใจเรา คำตอบก็อยู่ในใจเรา เราต้องเป็นคนหาคำตอบเอง ด้วยปัญญา เพราะคำถามออกมาจากอวิชชาความไม่รู้หรือความหลง คำตอบที่แท้จริงต้องออกมาจากใจเรา ผู้อื่นเพียงแต่แนะวิธีสร้างปัญญา แต่เราจะต้องเป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมเอง ถึงจะพบคำตอบที่แท้จริง ถ้าเจอคำตอบแบบนี้แล้วจะไม่มีคำถามอีกต่อไป ถ้าไม่มีอวิชชาไม่มีความหลง ก็จะไม่มีคำถาม ไม่อยากจะรู้อะไร รู้หมดแล้วว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ไม่สงสัย ไม่มีอะไรคาอยู่ในใจเลย สิ่งที่คาอยู่ในใจก็คือความหลงนี่เอง ที่ทำให้ไม่เข้าใจกับเรื่องราวต่างๆ พอมีปัญญามีแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว ก็จะเข้าใจหมดทุกอย่าง พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงไม่ไปถามใคร รู้แล้วจะถามไปทำไม
ถาม : คราวหน้าจะไม่กล้าถามเลยคะ
พระอาจารย์ : ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ยังถามได้ แต่คำตอบที่แท้จริงเราต้องหาเอง ที่จะตอบก็เฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับวิธีที่จะทำให้เกิดปัญญา วิธีการปฏิบัติ จึงเน้นไปทางนี้ ไม่ค่อยได้พูดเรื่องอื่น สอนวิธีลืมตา พอลืมตาเป็นแล้วก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ตอนนี้เราเป็นแต่หลับตา ลืมตาไม่เป็น ก็เดาไป ลองลืมตาดูสิ จะได้ไม่ต้องไปถามใคร ตาใจเรามันบอด บอดด้วยอวิชชา บอดด้วยโมหะ จึงต้องสร้างปัญญาให้เกิดขึ้น เพื่อจะได้มีดวงตาเห็นธรรม มีตาใน มีธรรมจักษุ จะได้สว่างไสวภายในใจ จะเข้าใจหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ จะไม่สงสัยเรื่องอะไรทั้งสิ้น.
การเจริญสติสำคัญมาก
ถาม : เข้าใจว่าจะต้องมีสมาธิ แต่ยังไม่เข้าใจการพิจารณาปัญญา
ตอบ : ต้องรักษาศีล ๘ เจริญสติสมาธิปัญญา ตอนนี้ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน ตอนนี้ถือศีล ๘ ได้หรือยัง เจริญสติได้ทั้งวันหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องเจริญให้ได้ พอมีเวลาว่างก็นั่งสมาธิให้จิตรวมเป็นหนึ่ง พอรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว ก็เจริญปัญญาต่อหลังจากออกจากสมาธิ ถ้ามีสมาธิแล้วก็จะสามารถดับความทุกข์ได้ชั่วคราว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาจะตายก็เข้าสมาธิไป จะได้ไม่ทรมาน แต่กิเลสยังไม่ตาย ความกลัวตายยังไม่หายไป ต้องไปแก้ในภพหน้าชาติหน้า ถ้าตายแบบไม่มีสมาธิไม่มีสติจะหลง จะร้องโวยวาย เพราะไม่มีสติควบคุมใจให้สงบนิ่ง การเจริญสติจึงสำคัญมาก พอมีสติแล้วจะสามารถควบคุมใจได้ในระดับหนึ่ง ถ้ามีสมาธิก็จะควบคุมได้เต็มที่ คือให้หยุดนิ่งเวลาที่อยู่ในสมาธิ แต่เวลาออกจากสมาธิจะควบคุมไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาควบคุม จึงต้องเจริญปัญญา เพื่อทำใจให้สงบตลอดเวลา.
ทำหน้าที่ของเราเท่านั้นเอง
ถาม : ทราบหมดแล้วว่าควรจะทำอย่างไร ท่านอาจารย์ก็มีเมตตาเทศน์สอนลูกศิษย์อยู่เรื่อยๆ จ้ำจี้จ้ำไช แต่ลูกศิษย์ไม่ค่อยๆขยับชั้นเสียที อยู่ซ้ำชั้นนานๆอย่างนี้ ท่านอาจารย์เบื่อไหม
พระอาจารย์ : เราไม่ได้ยึดไปติดกับการสอนหรือผลของการสอน พยายามทำหน้าที่ของเราเท่านั้นเอง เหมือนคนบอกทาง คนมาถามว่าจะไปกุฏิหลังนั้น อยู่ตรงไหน เราก็บอกเขาไป แต่ไม่เดินตามไปดูว่าไปถึงหรือไม่ บอกให้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ถ้าไปไม่ถึงก็เรื่องของเขา
ถาม : แต่เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์เดินกลับมาถามใหม่
พระอาจารย์ : เหมือนพราหมณ์ที่ถามพระพุทธเจ้าว่า ท่านก็สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามามาก บางองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางองค์ก็ไม่บรรลุ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ท่านก็ย้อนกลับไปถามพราหมณ์ว่า ท่านเองก็มีคนมาถามทาง ท่านก็บอกเขาไป บางคนก็ไปถึงบางคนก็ไปไม่ถึง แล้วท่านจะทำอย่างไร เราบอกเขาแล้ว เขาจะไปถึงหรือไม่ ก็เรื่องของเขา เราไม่เดือดร้อนด้วย ขอให้เราทำหน้าที่ของเราให้ถูกก็แล้วกัน อย่าไปบอกให้เขาหลงทาง ก่อนจะสอนใคร เราต้องมั่นใจในสิ่งที่เราสอนก่อน ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ดีกว่า อย่าไปอาย อย่าไปกลัวเขาว่าเราไม่ฉลาด พูดในสิ่งที่เรารู้ สิ่งไหนที่เราไม่รู้เราก็บอกไม่รู้ แต่อย่างน้อยถ้าได้มีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อยก็ยังดี เท่าที่ได้ยินทุกคนก็บอกดีขึ้น อย่างนี้ก็พอใจ
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #86 เมื่อ:
25 พฤศจิกายน 2568 12:31:46 »
เวลานั่งสมาธิแล้วกลัวตายเจ้าค่ะ
ถาม : น้องเขาฝากถามว่า เวลานั่งสมาธิเขากลัวตายเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ : กลัวตาย เวลานอน ทำไมไม่กลัวตายล่ะ เวลานอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ใช่ไม๊ เวลานั้นสมาธิก็เหมือนนอนหลับ แต่ไม่หลับเท่านั้นเอง มีความรู้สึกตัวตลอดเวลา งั้นไม่ต้องกลัวตาย ไม่มีใครตายจากการนั่งสมาธิกัน มีแต่มีความสุขกัน มีแต่บรรลุธรรมกัน ไม่ต้องไปกลัวตาย นั่งสมาธิไม่ได้ทำให้คนตาย เหมือนนอนหลับก็ไม่ได้ทำให้คนตาย คนมันจะตาย ตายด้วยสาเหตุอื่น ตายก็เพราะมันไม่หายใจ ถ้าหยุดหายใจเมื่อไหร่ ตายทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะนอนหรือนั่งสมาธินี่ งั้นถ้ายังหายใจอยู่ ไม่ต้องกลัวตายหรอก นั่งดูลมไป ถ้ายังหายใจอยู่ ไม่ตายแน่ๆ รับประกันได้
สมาธิเป็นเหมือนหินทับหญ้า
ถาม : ทำไมอานาปานสติจึงไม่สามารถดับสังโยชน์ได้คะ
พระอาจารย์ : เพราะไปกดกิเลสไว้ ไปกดสังโยชน์ไว้ ไม่ได้ไปตัดมันไปกดไว้สมาธิเป็นเหมือนหินทับหญ้า หญ้าไม่ตายเวลาเอาหินไปทับมันก็เพียงแต่ไม่ขึ้นเท่านั้นเอง แต่พอเรายกหินออกไปสักระยะหนึ่ง มันก็จะฟื้นขึ้นมาได้ เพราะราก มันไม่ได้ถูกถอนออก เช่นเดียวกับกิเลสคือสังโยชน์นี้ เราไม่ได้ถอนรากของ มันด้วยสมาธิ เราต้องถอนมันด้วยปัญญา เพราะรากของ สังโยชน์ก็คือความหลง ความไม่รู้ความจริง เราก็ต้องเอา ปัญญาคือความจริงไปสอนมัน เหมือนคนสมัยก่อนบอกโลกนี้แบนอย่างนี้ เราก็ต้องเอาความจริงไปสอนเขาว่าโลกนี้ไม่แบน โลกนี้มันกลม แต่มันกว้างใหญ่จนทำให้เรา รู้สึกว่ามันแบน แต่ความจริงมันกลม พอเอาความจริงมา ยืนยันปั๊บ มันเลิกเชื่อว่าโลกนี้แบนไปตลอด แต่ถ้าเพียง บังคับ เชื่อกูนะๆ ว่ามันกลม ทีนี้กลัวเขาก็ต้องเชื่อเขาไปแต่พอวันไหนที่เขาตายไปหรือเราใหญ่กว่าเขา ก็ไม่ต้องเชื่อเขาแล้ว ก็กลับมาเชื่อว่ามันแบนต่อก็ได้ แบบเดียวกับสมาธิ สมาธิเราไปกดมันไว้เฉยๆ ไม่ให้มันทำงานแต่พอออกจากสมาธิมา มันก็เริ่มทำงานต่อ ความโลภความอยากต่างๆ มันก็ทำงานต่อ แต่ถ้าเรามาสอนว่าอยาก
ดูความไม่สวยงาม
ถาม : มีครั้งหนึ่งเดินไปเห็นปลายเท้าตัวเอง เป็นกระดูกขาวโพลนขึ้นมา แล้วก็ตกใจ ก็เลยกลับมาได้ยินเสียงสุนัขเสียงรถใหม่
พระอาจารย์ : ไปตกใจทำไม เป็นของจริงไม่ใช่หรือ ใต้ผิวหนังมีกระดูกไม่ใช่เหรอ ใต้ผิวหนังใต้เนื้อมีอะไร ก็มีกระดูกที่ถูกหุ้มห่อด้วยเนื้อด้วยหนัง ควรจะให้มันเห็นนานขึ้น ควรจะกำหนดขึ้นมาบ่อยๆ ให้เห็นทั้งร่างเลย ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเท้า กำหนดดูทั้งของเราทั้งของคนอื่น จนเหมือนกับพระรูปหนึ่งที่เจริญโครงกระดูกเป็นอารมณ์ จนไม่เห็นใครเลย เห็นแต่โครงกระดูก มีคนมาถามว่าเห็นคนนั้นเดินมาทางนี้ไหม ก็บอกไม่เห็น เห็นแต่โครงกระดูก ไม่รู้ว่าเป็นใครไม่สนใจว่าเป็นใคร เห็นทีไรก็เห็นแต่โครงกระดูก ดูความไม่สวยงามเพื่อตัดกามราคะหรือกามตัณหา.
การปฏิบัติสำคัญกว่าการอ่านหนังสือ
ถาม: ทำไมการที่เราจะมีดวงตาเห็นธรรม การแค่อ่านหนังสืออย่างเดียวนี้ไม่พอเจ้าคะ ทำไมต้องปฏิบัติด้วยเจ้าคะ
พระอาจารย์ : ก็เหมือนกับอ่านเมนูแหละ อ่านเมนูกับการกินอาหาร มันเหมือนกันหรือเปล่า
ถาม : ไม่เหมือนค่ะ
พระอาจารย์ : นั่นแหละ เมนูบอก สเต็ก อย่างนู้นอย่างนี้ แล้วมันเป็นเหมือนสเต็กหรือเปล่า มันก็เป็นเพียงแต่ชื่อ ใช่ไหม เมนู พอเรากินสเต็กแล้ว เราถึงจะรู้ว่า อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง เราต้องเห็นทุกข์เวลาเกิดการสูญเสียขึ้นมา เดี๋ยวคุณพ่อเสียนี้ ใครเสียนี่ ทุกข์ ร้องห่มร้องไห้ เราก็เห็นว่า อ้อ มันเกิดจากตัณหาความอยาก อยากอยู่ด้วยกันไปนานๆ ไม่อยากจากกัน แต่พอเห็นด้วยปัญญาว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันต้องมีการสิ้นสุด พอเห็น ยอมรับความจริงได้ปั๊บ เห็นว่าสิ่งใดมีการเกิดขึ้น ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา มันก็หายทุกข์ ทุกข์ก็หายไป มันเห็นในใจของเรา พลิกหน้ามือไปเป็นหลังมือ พลิกจากการที่ทุกข์ เศร้าโศกเสียใจ กลายเป็นใจที่เฉยๆ ไป เพราะเห็นความจริงว่า อ้อ อะไรมีการเกิดขึ้น ต้องมีการดับไปเป็นธรรมดา ทุกข์ไปมันก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไร เศร้าโศกเสียใจก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไร
ถาม : งั้นการปฏิบัติจะมีความสำคัญมากกว่าการอ่านหนังสือ
พระอาจารย์ : ใช่การอ่านหนังสือมันเป็นเหมือนกับการดูแผนที่ มันก็ทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไร แต่เราต้องเอามาทำกับเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่มากระทบใจเรา ตอนนี้ไม่มีอะไรมากระทบใจเรา ก็มองไม่เห็นทุกข์ ใช่ไหม ต้องมีอะไร เดี๋ยวเกิดมีใครด่าเราขึ้นมา อยู่ดีๆ มาด่าเรา มาดับความโกรธที่ใจเราดีกว่าไปเถียงกับเขา
ต้องปล่อย
ถาม : ยิ่งปล่อยยิ่งสุข ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ใช่ไหมคะ
พระอาจารย์ : ต้องปล่อย เพราะอย่างไรก็ต้องหลุดจากมือเราไปอยู่ดี เวลาเราจากโลกนี้ไปเอาอะไรไปได้บ้าง ถ้ายึดติดก็เอาความยึดติดไป เอาความโกรธความโลภไป ถ้าปล่อยก็เอาอุเบกขาไป เอาความปล่อยวางไป เกิดชาติหน้าก็จะยึดติดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่ยึดติดอะไรเลย เช่นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้บำเพ็ญมาก่อน จะออกจากวังได้ไหม
มีใครจะออกจากวังบ้างในสมัยปัจจุบันนี้ มีใครที่อยู่ในวังนี่ จะออกบวชกัน ไม่มีหรอก เพราะไม่ได้บำเพ็ญมา ไม่ได้ปล่อยวางมาในอดีต แต่พระพุทธเจ้าทรงได้บำเพ็ญมาในอดีต ตอนที่เป็นพระเวสสันดร ทรงปล่อยขนาดไหน สละขนาดไหน จึงทำให้การออกบวชไม่ยากเลย ถ้าเคยทำบุญเสียสละมาอยู่เรื่อยๆ ปล่อยอยู่เรื่อยๆ จะออกบวชได้ง่าย
หลวงปู่ขาวเห็นไหมท่านก็ออกได้ สละภรรยาให้ผู้อื่นไป ทำไมท่านทำได้ เพราะท่านมีปัญญา ท่านเห็นว่ามันทุกข์มากกว่าสุข มีภรรยาก็ต้องกังวลว่าจะไปนอนกับใคร มีความสุขที่ไหน สู้ตัดไปดีกว่า ตัดไปแล้วก็จบ อยู่คนเดียวไม่ต้องกังวลกับใคร กังวลกับเรื่องของเราดีกว่า ว่าทำอย่างไรให้ใจเป็นอุเบกขา ให้ปล่อยวาง ให้ยอมหยุดเย็น พอยอมหยุดเย็นได้แล้วก็จะสบาย
ต้องไปอยู่วัด
ถาม : ลูกมาฟังพระอาจารย์ทีไร รู้สึกอยากออกบวชทุกที
พระอาจารย์ : ยังไม่ดีพอ เพราะยังไม่ได้ออกบวช ลองบวชดูสักปีหนึ่งก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องบวชอย่างถาวร ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะบวชไปได้ตลอดรอดฝั่ง หลอกกิเลสว่าบวชปีเดียวก่อน ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆจะปฏิบัติได้ จะไม่สึก
ถาม : เวลาอยู่ตรงนี้เหมือนสู้ไม่ถอย เวลาอยู่บ้านมีแต่ถอย
พระอาจารย์ : อย่าไปอยู่บ้าน ต้องไปอยู่วัด
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1308
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
«
ตอบ #87 เมื่อ:
21 ชั่วโมงที่แล้ว
»
ผ่านความกลัว
ถาม : ถ้าผ่านความกลัวไปแล้ว จะต้องพิจารณาอีกหรือไม่
ตอบ : ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เช่นเดียวกับกลัวความเจ็บ ถ้าพิจารณาจนปล่อยความเจ็บได้แล้ว ก็ไม่ต้องพิจารณาอีก
วิธีแก้ความกลัวมี ๒ วิธี คือ ๑. แก้ด้วยสมาธิ แก้ได้ชั่วคราว ๒. แก้ด้วยปัญญา แก้ได้อย่างถาวร แก้ด้วยสมาธิจะง่ายกว่า บริกรรมพุทโธๆไป ความกลัวก็จะหายไปชั่วคราว ถ้าแก้ด้วยปัญญาก็ต้องพิจารณาให้เห็นความจริง ให้เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ให้เห็นว่าความอยากเป็นตัวปัญหา ตัวที่ทำให้เราทุกข์มากๆ ความเจ็บไม่ใช่ปัญหา ความตายไม่ใช่ปัญหา แต่ความกลัวความเจ็บ กลัวความตาย อยากให้ความเจ็บหาย อยากไม่ตายต่างหากที่เป็นตัวปัญหา พอเห็นความจริงนี้แล้ว ก็ตัดความอยากไป ก็จะไม่ทุกข์กับความเจ็บกับความตาย เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป พอไม่หายใจก็ตายแล้ว ความตายนี้มันง่ายจะตายไป เพียงวินาทีเดียว พอไม่หายใจปั๊บก็ตายแล้ว แต่กลัวกันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ทุกข์กับความตายไม่รู้กี่พันกี่หมื่นครั้ง เพราะไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้จักใช้ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ได้ภาวนา ปัญญาจะต้องเกิดจากการภาวนา ต้องมีสมาธิก่อนถึงจะได้ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิเวลาเกิดอะไรขึ้น จะตื่นตระหนกโกลาหลขึ้นมาทันที ไม่มีสติปัญญาพิจารณา เหมือนกระต่ายตื่นตูม ถ้ามีสติมีสมาธิมีปัญญา พอเกิดอะไรขึ้นมาปั๊บ จิตจะวิเคราะห์จะพิจารณาทันที จึงควรภาวนากันมากๆ จะได้ไม่ต้องทุกข์กับเรื่องต่างๆ
เป็นธรรมชาติของร่างกาย
ถาม : ชีวิตมนุษย์เราเกิดแก่เจ็บตาย เกิดจากตัวเรากำหนดเองหรือบุญกรรมเก่าลิขิตมาไว้แล้วคะ
พระอาจารย์ : คือเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นธรรมชาติของร่างกาย ไม่มีใครกำหนด ถ้ามาเกิดพอได้ร่างกายแล้ว ต่อไปมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกันทุกคน จะทำบุญมามากน้อยเพียงไร จะทำบาปมามากน้อยเพียงไร พอมาเกิดก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน องคุลิมาลก็แก่เจ็บตายเหมือนกันสำหรับร่างกาย
ถ้าอยากไม่แก่เจ็บตายก็อย่ามาเกิดเท่านั้น ส่วนมาเกิดแล้วจะสุขจะทุกข์มากน้อยต่างกันนี้ เป็นเรื่องของบุญของบาป จะรวยหรือจะจนนี้เป็นเรื่องของบุญของบาปที่เราทำมา แต่เรื่องของร่างกายนี้เหมือนกันทุกคน มีอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ทำมาจากดินน้ำลมไฟ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องตายไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีตัวตน อันนี้เหมือนกันทุกคน
วิธีรักษาความเครียด
ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ เวลาที่เรามีความเครียดในใจ พระอาจารย์สอนให้ภาวนาพุทโธ เพื่อให้ใจปล่อยวางและเข้าสู่ความสงบ แต่ในทางการแพทย์ เราจะพยายามที่จะเอาปัญหาออกมาเพื่อคลายปมความเครียด เพราะการกดความเครียดหรือภาวะกดดันนั้นเอาไว้ จะยิ่งทำให้ปมความเครียดของคนไข้ยิ่งรุนแรงและมีผลทางกายมากขึ้น จึงมีข้อสงสัยว่าการรักษาภาวะฟุ้งซ่านและความเครียดในจิตใจในทางพุทธกับทางการแพทย์ ดูเหมือนจะไม่ไปในทางเดียวกัน เราควรจะเลือกแก้ไขปัญหาความเครียดฝังใจลึกๆ ของคนไข้ในแนวทางไหนถึงได้ผลดีกว่ากันคะ
พระอาจารย์ : อ๋อ การแก้ปัญหาความเครียดนี้ คนไข้ต้องแก้เอง คนสอนเพียงแต่บอกให้เขารู้วิธีแก้เท่านั้นเอง จะไปทำให้เขาหายเครียดเองไม่ได้ คนอื่นทำให้เขาหายเครียดไม่ได้ เขาจะต้องทำให้ตัวเขาหายเครียด
ทางหลักของพระพุทธศาสนาก็สอนใน ๒ ระดับด้วยกัน ระดับแรกก็หยุดตัวที่สร้างความเครียดก่อน มันเครียดเพราะคิดมาก คิดแล้วก็อยากมาก อยากได้นั่นอยากมีนี่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ พอไม่ได้มันก็เครียดขึ้นมา ก็ให้ทำใจให้สงบ หยุดความคิดที่จะไปสร้างความเครียด อันนี้ไม่ได้ไปกดดัน เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักหยุด เหมือนรถยนต์ที่จะวิ่งชนรถคันอื่น เราก็ต้องเหยียบเบรก เหยียบเบรกแล้วมันก็จะได้ไม่ไปชนกัน จิตใจของเราก็เหมือนกัน พอไปคิดไปอยากแล้ว พอมันไม่ได้มันก็เกิดความเครียดขึ้นมา ถ้าเราหยุดความคิดความอยากได้ด้วยการใช้สติ มันก็จะหยุดได้ชั่วคราว หายเครียดได้ชั่วคราว พอเรากลับไปคิดใหม่ มันก็เครียดขึ้นมาได้ใหม่
ถ้าอยากจะให้มันหายอย่างถาวรก็ต้องใช้ระดับที่ ๒ ที่เรียกว่าปัญญา ก็ต้องสอนใจให้รู้ว่าการทำตามความอยากนี้ ต้องไปเจอความเครียดอยู่เรื่อยๆ เพราะสิ่งที่เราอยากได้ บางทีได้มาแล้วมันก็หมดไป พอหมดไปมันก็เกิดความเครียดขึ้นมา แล้วก็อยากจะได้ใหม่ พอไม่ได้ก็จะเกิดความเครียดมากขึ้นไปอีก ถ้าได้ ความเครียดก็หายไปชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็เกิดความอยากเกิดความเครียดใหม่ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ไม่มีความเครียดหลงเหลืออยู่ในใจเลย ก็ต้องฝืนความอยาก ด้วยการเห็นโทษของความอยาก ว่าจะนำไปสู่ความเครียด
อันนี้เป็นวิธีรักษาโรคจิตที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้ารักษามาแล้ว แต่คนไข้ต้องรักษาเอง หมอเป็นเพียงคนสอนให้คนไข้รู้ว่าถ้าอยากจะให้หาย ก็ต้องหยุดความคิดให้ได้ ควบคุมความคิดของตนให้ได้ อย่าคิดไปในทางความอยาก คิดไปในทางไม่อยาก แล้วจะไม่ทุกข์ จะไม่เครียด.
เห็นนิมิต
ถาม : ถ้ามีสติตอนภาวนา รู้อยู่กับลม แล้วเห็นนิมิต ลมยังมีอยู่อย่างนี้ครับ
ตอบ : ถ้าใช้ลมเป็นอารมณ์ ก็ต้องเห็นลมเป็นธรรมดา
ถาม : มีภาพปรากฏอยู่แล้วเราก็เห็น คือสงสัยว่าเกิดได้อย่างไร แต่มีลมเป็นตัวบอกว่ายังมีสติอยู่ ไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน พอมาเจอมันเกิดตกใจ พอตกใจมันกลับมาที่ลม แล้วลมก็บอกว่ายังมีสติอยู่นะ
ตอบ : ก็แสดงว่ายังมีสติอยู่ ถ้าไม่มีสติก็อาจจะตามภาพนั้นไปก็ได้ อาจจะมีความตื่นเต้นหวาดกลัว หรือดีใจก็ได้ แล้วเพลินไปกับมัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าไม่มีสติแล้ว อย่างเณรที่นั่งแล้วเห็นดวงแก้ว ก็ตามดวงแก้วไป พอลืมตาขึ้นมาก็ไปอยู่บนต้นไม้ ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้อย่างไร เพราะตามดวงแก้วนั้นไป อย่างนี้แสดงว่าไม่มีสติ เวลาภาวนาพุทโธก็ให้อยู่กับพุทโธ กำหนดลมก็ให้อยู่กับลม เวลาอะไรมาแทรกก็ต้องรู้ แล้วก็ปล่อยวาง กลับมาหาลมหาพุทโธต่อ
ไก่ได้พลอย
ถาม : ท่านอาจารย์เมตตาสอนถึงเรื่องความสุขเวลามาวัด ทีนี้มันยังติดเที่ยวอยู่บ้าง มันก็เป็นความสุขคนละแบบ มาวัดก็อยากมา ไปเที่ยวก็ยังอยากไปเที่ยว เราจะจัดสมดุลตรงนี้ได้หรือไม่คะ
พระอาจารย์ : ได้ ให้เห็นว่าความสุขที่เกิดจากการไปเที่ยว เป็นเหมือนกับความสุขที่ได้จากยาเสพติด จริงๆมันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง เพียงแต่สังคมยอมรับกัน แต่การเที่ยวทำให้คนฉิบหายวายวอดมาก็มากเหมือนกัน ถ้าเที่ยวแบบไม่มีประมาณ หาเงินหาทองมาได้เท่าไหร่ ก็จะหมดไปกับการไปเที่ยวไปกินไปเล่น เหมือนกับความสุขที่ได้จากการเสพสุรายาเมาหรือสูบบุหรี่ เป็นความสุขที่มันเผาผลาญทำลายชีวิต ไม่ได้ฉุดไม่ได้ส่งเสริมให้ชีวิตดีขึ้นสูงขึ้น ถ้าเที่ยวพอประมาณ มีสมดุล ไม่ถึงกับต้องไปทำบาปทำกรรม ไปทุจริตประพฤติมิชอบ ก็จะไม่ขาดทุน
แต่ไม่ได้กำไร จากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ที่เป็นเหมือนกับเพชรน้ำหนึ่ง ที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ เป็นสมบัติของเราได้ แต่เราก็เป็นเหมือนกับไก่ที่ได้พลอย เห็นไส้เดือนดีกว่าพลอย เพราะไก่กินพลอยไม่ได้ ไก่ไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่าเอาพลอยไปขายได้ จะได้ไส้เดือนเป็นกิโลเก็บไว้กิน ไม่ต้องไปคุ้ยไปค้นหาให้เหนื่อยยากทุกวัน เราไม่เห็นคุณค่าของความสงบของจิตใจ ที่จะให้ความสุขกับเราไปตลอด ไม่ต้องไปขวนขวายดิ้นรนวุ่นวาย กับการหาความสุข จากการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอเลย แต่ความสุขที่ได้จากความสงบจะอิ่มมันจะพอไปตลอด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีความอิ่ม มีความพอตลอดเวลา อันนี้เราไม่เห็นกัน เรายังเป็นเหมือนไก่ได้พลอยอยู่ เห็นพลอยก็เขี่ยทิ้งไป หาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือนกินไปวันๆหนึ่ง ถ้าไม่เห็นเราก็จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้ายังเสียดายเรื่องเที่ยวอยู่ ก็แสดงว่ายังห่างไกลมาก
ถาม-ตอบปัญหาธรรม
ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะ บุคคลที่ได้โสดาบันแล้วต้องเกิดเป็นมนุษย์อีกไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วพระพุทธเจ้าทรงรับรองไหมเจ้าคะว่าจะเกิดภายใต้พระพุทธศาสนา ไม่ไปเกิดในศาสนาอื่นเด็ดขาด
พระอาจารย์ : ถ้าเป็นโสดาบันแล้ว มีศาสนาอยู่ในใจแล้ว เป็นเหมือนได้ Install Software ไว้ในเครื่องแล้ว มี Application อยู่ในเครื่องแล้ว ทีนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องไป Download Application ใหม่ พระโสดาบันมีศาสนาพุทธอยู่ในใจแล้ว มีมรรค ๘ อยู่ในใจ มีอริยสัจ ๔ อยู่ในใจ ดังนั้นพระโสดาบันนี้ก็สามารถที่จะปฏิบัติต่อไปโดยที่ไม่ต้องมีพระพุทธศาสนามานำทาง เพราะมีศาสนาอยู่ในใจแล้ว พระอริยบุคคลทุกระดับมีพระพุทธศาสนาอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ว่ายังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง คือ พระนิพพาน ก็บางคนก็มีภาระมีข้อผูกพันมีกรรมเก่าค้างอยู่ ก็เลยยังไปไม่ได้เร็ว บางคนชาตินี้ก็ไปได้เลยทีเดียว จากโสดาบันไปสู่นิพพานได้ในชาตินี้ บางคนก็ยังมีภาระมีลูกมีเมียอยู่ ยังห่วงลูกห่วงเมียอยู่ ก็เลยยังทิ้งไม่ได้ ก็เลยต้องอยู่กับเขาไปก่อน อันนี้ก็อาจจะต้องกลับมาเกิดใหม่ต่อ เพื่อที่จะมาหยุดงาน มาปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงนิพพาน แต่ไม่ต้องมีพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะรู้แล้ว เพราะรู้ทางแล้ว มีศาสนาอยู่ในใจแล้ว มี Application อยู่ในเครื่องแล้ว ไม่ต้องไปเหมือนกับเวลาไปเปลี่ยนเครื่องใหม่ก็ต้องไป Download App มาลง เพราะมันจะมีอยู่ตลอดเวลา
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า:
1
2
3
4
5
1
...
3
4
[
5
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...