[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 19:03:49 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พัพพุชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นช่างแก้วผู้สลักหิน  (อ่าน 1313 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 03 เมษายน 2563 14:24:31 »


จิตรกรรมฝาผนังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ

พัพพุชาดก
ยตฺเถโก ลภเต พพฺพูติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต กาณมาตาสิกฺขาปทํ อารพฺภ กเถสิ ฯ

พระศาสดาเมื่อประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภสิกขาบทที่ทรงบัญญัติด้วยมีมารดากาณาเป็นต้นเหตุ ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยตฺเถโก ลภเต พพฺพุ ดังนี้ ฯ

เรื่องพิสดารมีว่า อุบาสิกาในพระนครสาวัตถี ปรากฏนามด้วยอำนาจธิดาว่า กาณมารดา ได้พระโสดาบัน เป็นอริยสาวิกา นางได้ให้ธิดาชื่อ กาณา แก่ชายผู้มีชาติสมควรกัน ในหมู่บ้านตำบลใดตำบลหนึ่งไปแล้ว นางกาณาจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ไปบ้านของมารดา ต่อมาสองสามวันสามีของนางกานานั้นส่งทูตไปว่า นางกาณาจงมาเสียเถิด เราต้องการให้นางกาณามา   นางกาณาฟังคำพูดของทูตแล้ว บอกลามารดาว่า แม่จ๋าดิฉันต้องไปละ มารดากล่าวว่า เจ้าอยู่นานปานนี้จักไปมือเปล่าอย่างไรกัน แล้วทอดขนม  ขณะนั้นเอง ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งสมาทานการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ได้ไปถึงที่อยู่ของนาง อุบาสิกานิมนต์ท่านให้นั่งแล้วถวายขนมเต็มบาตร ภิกษุนั้นออกไปแล้วก็บอกแก่ภิกษุรูปอื่น อุบาสิกาก็ถวายแม้แก่ภิกษุนั้นโดยทำนองเดียวกันทั้งนั้นแหละ แม้รูปนั้นออกไปแล้ว บอกต่อแก่รูปอื่น อุบาสิกาถวายแก่ภิกษุนั้นเหมือนกัน ต้องถวายแก่ภิกษุต่อๆ กันอย่างนี้ถึงสี่รูป ขนมตามที่ตระเตรียมไว้ได้หมดสิ้นไป นางกาณาก็ยังไม่พร้อมที่จะไปได้  ครั้งนั้นสามีของนางส่งทูตไปซ้ำเป็นครั้งที่สอง พอครั้งที่สามส่งทูตไปพร้อมกับคำขาดว่า ถ้านางกาณาจักไม่มา เราจักนำหญิงอื่นมาเป็นภรรยา แม้ตลอดวาระทั้งสามนางกาณาคงไม่พร้อมที่จะไปได้ ด้วยข้อติดขัดนั้นเอง สามีของนางกานาก็เลยนำหญิงอื่นมาเป็นภรรยา นางกาณาได้ฟังแล้ว ก็ก่นแต่ร้องไห้

พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น ครั้นรุ่งเช้าทรงครองผ้าถือบาตรจีวร ไปที่อยู่มารดานางกาณา ประทับที่นั่งเหนืออาสนะที่จัดถวาย แล้วตรัสถามมารดานางกาณาว่า กาณานี้ร้องไห้เพราะเหตุไร ครั้นทรงสดับแล้ว ตรัสปลอบกาณามารดา แสดงธรรมิกถา ลุกจากอาสนะกลับพระวิหาร  ครั้งนั้น ความที่ภิกษุทั้งสี่รูปนั้น รับเอาขนมที่ตระเตรียมไว้จนถึงตัดรอนการไปของนางกาณา ก็ล่ำลือไปในหมู่ภิกษุ ครั้นวันหนึ่ง พวกภิกษุจึงยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุสี่รูปกินขนมที่มารดานางกาณาทอดไว้ถึงสามครั้ง ทำให้นางกาณาไปไม่ได้ เลยถูกผัวทิ้ง ทำความโทมนัสให้บังเกิดแก่มหาอุบาสิกา   พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อกี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร  เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุทั้งสี่เหล่านั้นกินของของมารดานางกาณา ทำให้โทมนัสเกิดแก่นาง แม้ในครั้งก่อน ก็เคยทำให้นางเกิดโทมนัสมาแล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

อตีเต พาราณสิยํ  พฺรหฺมทตฺเต  รชฺชํ  กาเรนฺเต ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลช่างสลักหิน เจริญวัยแล้วศึกษาศิลปะสำเร็จแล้ว ในนิคมหนึ่งในแคว้นกาสี ได้มีเศรษฐีมีสมบัติมากอยู่คนหนึ่ง ฝังเงินไว้ ๔๐ โกฏิเหรียญ ภรรยาของเขาตายไปแล้ว เพราะความห่วงใยทรัพย์ จึงเกิดเป็นหนูอยู่บนกองทรัพย์ ต่อๆ มาตระกูลนั้นทั้งหมดถึงความย่อยยับไป ผู้สืบสายก็ขาดตอน แม้บ้านนั้นก็ถูกทิ้งร้าง ถึงความไม่มีบัญญัติ   ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ขุดหินในบ้านเก่านั้นมาสลัก ฝ่ายนางหนูนั้นเที่ยวหากิน เห็นพระโพธิสัตว์บ่อยๆ ก็เกิดความรัก คิดว่า ทรัพย์ของเรามากมายจักฉิบหายเสียโดยไร้เหตุ เราจักร่วมกับบุรุษนี้ใช้จ่ายทรัพย์นี้ วันหนึ่งนางจึงคาบทรัพย์หนึ่งกษาปณ์ไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เห็นนางแล้วเมื่อจะปราศรัยด้วยวาจาเป็นที่รัก ก็กล่าวว่า แม่เอ๋ย คาบกษาปณ์มาทำไมกันเล่านะ นางตอบว่า พ่อคุณ ท่านจงรับกษาปณ์นี้ไปใช้ส่วนตัวบ้าง หาเนื้อมาให้ฉันบ้างเถิดนะ ท่านรับคำว่าดีละ แล้วรับเอากษาปณ์ไปสู่พระนคร ซื้อเนื้อเสียมาสกหนึ่ง นำมาให้แก่นาง นางรับเอาเนื้อนั้นไปสู่ที่อยู่ของตน เคี้ยวกินตามพอใจ ตั้งแต่นั้นก็ให้กษาปณ์แก่พระโพธิสัตว์ทุกวัน โดยทำนองนี้แล พระโพธิสัตว์นั้นเล่าก็นำเนื้อมาให้นางหนูทุกๆ วัน
 
อยู่มาวันหนึ่ง แมวจับนางหนูนั้นได้ ทีนั้นนางหนูพูดกะมันอย่างนี้ว่า เพื่อนเอ๋ย อย่าฆ่าฉันเสียเลยนะ แมวถามว่า เหตุไรเราจึงจะไม่ต้องฆ่า ก็เราหิวอยากกินเนื้อ ไม่สามารถที่จะไม่ฆ่าเจ้าได้  ถามว่า ก็แกอยากจะกินเนื้อเพียงวันเดียวเท่านั้น หรืออยากจะกินตลอดไป แมวตอบว่า เมื่อจะได้ ข้าก็อยากจะได้กินตลอดไป กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นข้าจักให้เนื้อแกตลอดไป แกปล่อยข้าเสียเถิด ทีนั้นแมวก็กำชับนางหนูว่า ถ้าเช่นนั้นแกอย่าลืมเสียนะ แล้วปล่อยไป ตั้งแต่นั้น นางหนูก็แบ่งเนื้อที่พระโพธิสัตว์นำมาให้ตนเป็นสองส่วน ให้แมวเสียส่วนหนึ่ง กินเองส่วนหนึ่ง  อยู่มาวันหนึ่งนางถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก นางหนูก็ต้องขอร้องให้มันตกลงทำนองเดียวกัน แล้วให้ปล่อยตน ตั้งแต่นั้นก็ต้องแบ่งเนื้อเป็นสามส่วน ครั้นถูกแมวอื่นจับได้อีก ก็คงขอร้องให้ปล่อยตนด้วยวิธีนั้นแหละ ตั้งแต่นั้นก็ต้องแบ่งเนื้อออกเป็นสี่ส่วน ต่อมาถูกแมวอื่นจับได้อีก ก็ขอร้องให้ปล่อยตนด้วยวิธีนั้นอีก นับแต่นั้นก็ต้องแบ่งกินกันถึง ๕ ส่วน นางหนูกินส่วนที่ ๕ เพราะมีอาหารน้อยจึงลำบากซูบผอมมีเนื้อและเลือดน้อย
 
พระโพธิสัตว์เห็นนางหนูนั้นแล้ว กล่าวว่า แม่เอ๋ย ทำไมจึงซูบเซียวไปเล่า ครั้นนางหนูบอกเหตุแล้ว ก็กล่าวว่า ทำไมไม่บอกฉันจนป่านนี้ ฉันจักต้องแก้ไขเรื่องนี้จงได้ ปลอบนางแล้วก็กระทำถ้ำด้วยแก้วผลึกใสนำมาให้ บอกว่า แม่เอ๋ย เธอจงเข้าไปสู่ถ้ำนี้ นอนเสียแล้วตวาดแมวที่พากันมาด้วยวาจาที่หยาบๆ นางเข้าถ้ำนอน ครั้นแมวตัวที่หนึ่งมาหานางว่า แกจงให้เนื้อแก่ข้า นางหนูก็ตวาดมันว่า ไอ้แมวชั่วตัวระยำ กูเป็นขี้ข้าหาเนื้อให้มึงหรือ เชิญไปกินเนื้อลูกๆ ของมึงเถิด แมวไม่รู้ว่านางนอนในถ้ำแก้วผลึก ด้วยอำนาจความโกรธ จึงไปโดยเร็วด้วยหมายจักจับนางหนูให้ได้ เลยเอาทรวงอกกระแทกที่ถ้ำแก้วผลึก หัวใจของมันแตกทันที ตาทั้งคู่ถลนออกมา มันสิ้นชีวิตตรงนั้นเอง แล้วล่วงไปในที่รกๆ ข้างหนึ่งด้วยอุบายนี้ แม้ตัวอื่นๆ ทั้งสี่ตัวต่างก็พากันสิ้นชีวิตหมด ตั้งแต่นั้นนางหนูก็ปลอดภัย ให้กษาปณ์ ๒-๓ กษาปณ์แก่พระโพธิสัตว์ทุกๆ วัน  ครั้นต่อมาก็ได้มอบทรัพย์ทั้งหมดแก่พระโพธิสัตว์เลยทีเดียว  ทั้งคู่นั้นมิได้ทำลายไมตรีกันจนชั่วชีวิต แล้วพากันไปตามยถากรรม

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ครั้นตรัสรู้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า

ยตฺเถโก ลภเต พพฺพุ     ทุติโย ตตฺถ ชายติ
ตติโย จ จตุตฺโถ จ             อิทนฺเต พพฺพุกา พิลํ
 

แปลว่า แมวตัวหนึ่งได้เนื้อในที่ใด ตัวที่สองก็เกิดในที่นั้น และตัวที่สามที่สี่ก็พากันเกิด แมวทั้งหลายกระแทกถ้ำของเธอนี้ตายหมดแล้ว

มีอรรถาธิบายว่า แมวตัวหนึ่งได้หนูหรือเนื้อในที่ใด แม้ตัวที่สองก็บังเกิดขึ้นในที่นั้นได้ ตัวที่สามที่สี่ ก็เกิดตามๆ กันมาทำนองนั้น ด้วยอย่างนี้ในครั้งนั้นจึงเป็นแมว ๔ ตัว มากินเนื้ออยู่ทุกๆ วัน แมวเหล่านั้น เอาอกกระแทกถ้ำทำด้วยแก้วผลึกนี้ ถึงสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว ฯ       

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า แมวทั้งสี่ในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุทั้งสี่ นางหนูได้มาเป็นมารดานางกาณา ส่วนช่างแก้วผู้สลักหินได้มาเป็นเราแล.


จบ  พัพพุชาดก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.338 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้