จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก
สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา
หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีปนอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้
หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก
แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด
เงินก็เลยหมดไปด้วย
ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พอถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง
จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียว
แต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด
พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐ บาท พร้อมผ้าไตร ๑ ชุด
ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ – ๕๐ วัด ก็มี
ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือน จะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง
เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน
คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน
พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ”
อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด
คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย
ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..”
แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..!