[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 19:25:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัจธรรมความจริงของชีวิต โดย พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี  (อ่าน 1084 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1006


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 84.0.4147.135 Chrome 84.0.4147.135


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 กันยายน 2563 18:00:26 »



สัจธรรมความจริงของชีวิตที่พวกเรามักจะไม่ค่อยสนใจ

หนังสือธรรมะนี้ก็เป็นหนังสือที่เขียนโดยพระอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านได้ศึกษาได้ปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็รู้เห็นอะไรท่านก็มาถ่ายทอด เช่นหนังสือของที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้เขียน เป็นหนังสือที่คัดมาจากธรรมะที่ได้พูดเอาไว้ ไม่ได้เป็นธรรมะที่เขียนแต่งขึ้นมาแบบเป็นหนังสือที่เขาเขียนแต่งกันแต่เป็นการลอกจากเสียงเทปเสียงซีดีที่ได้พูดได้อัดได้บันทึกเอาไว้ แล้วก็อาจจะมีการปรับภาษาบ้างเล็กน้อย คำสอนหรือหนังสือธรรมะของแต่ละพระอาจารย์ก็อาจจะมีแนวทางของการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน เพราะการปฏิบัตินี้มีหลากหลายวิธีด้วยกัน แต่ละองค์แต่ละรูปนี้ก็อาจจะใช้วิธีที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่องของการทรมานร่างกายทรมานกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในจิตใจ วิธีการกำจัดกิเลสตัณหาของแต่ละองค์แต่ละท่านก็จะมีความแตกต่างกัน ผู้ศึกษาก็ต้องดูจริตของตนว่าถูกกับอุบายวิธีของการกำจัดกิเลสตัณหาวิธีไหนที่ถูกใจก็ใช้วิธีนั้น วิธีทำใจให้สงบเช่นการเจริญสตินี้ก็มีหลายวิธีด้วยกัน บางท่านก็สอนให้บริกรรมพุทโธพุทโธพุทโธ บางท่านก็สอนให้คอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย ร่างกายกำลังทำอะไรอยู่ก็ให้จดจ่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย อย่าให้ใจไปคิดเรื่องอื่น อย่าส่งใจไปที่อื่น อย่าส่งใจไปอดีตไปอนาคต ให้อยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันก็คือร่างกายนี้

ร่างกายของเรานี้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าเราดูร่างกายจิตก็จะอยู่ปัจจุบัน ถ้าจิตอยู่ปัจจุบันจิตก็จะสงบได้ ถ้าไปอดีตไปอนาคตนี้ต้องส่งจิตไปส่งความคิดไป เมื่อมีการส่งจิตส่งความคิดจิตก็จะไม่นิ่งไม่สงบ จิตต้องหยุดคิด คำบริกรรมพุทโธก็ช่วยให้หยุดคิดได้ กำลังคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจก็ลองบริกรรมพุทโธพุทโธไป พุทโธไปสักพักเดี๋ยวก็ลืมเรื่องที่คิดเพราะหยุดคิด คิดอยู่กับคำบริกรรมพุทโธพุทโธ พุทโธนี้ก็เป็นเหมือนกับยางลบของกระดานดำ กระดานดำในโรงเรียนสมัยก่อนนี้ครูจะเขียนสอนเด็กนักเรียน จะเขียนบนกระดานดำ ถ้าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ก็จะเขียน ๒ บวก ๒ เป็น ๔ เขียนอะไรเต็มไปกระดาน พอไม่มีที่เขียนก็ใช้ที่ลบมาลบมันไป ใจของพวกเราก็เป็นเหมือนกระดานดำนี่ เวลาเราคิดก็เหมือนกับเราเขียนมันไว้บนกระดานดำ คิดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เต็มกระดาน เราคิดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เต็มไปในใจของเรา จนทำให้ใจเราฟุ้งซ่านขึ้นมา เราต้องลบมันออก พยายามลบมันออกให้ใจว่างๆ เหมือนกระดานดำที่ว่างดีกว่า เพราะเวลามันว่างแล้วมันไม่มีอารมณ์ มันไม่ร้อนมันไม่วุ่นวายใจ คำบริกรรมพุทโธก็เป็นเหมือนลบความคิดที่คิดอยู่ในใจนี้ให้มันหายไป พอไม่มีความคิดอะไรแล้วใจก็จะเย็นจะสบาย

อันนี้เรียกว่าเป็นการฝึกสติเจริญสติด้วยการบริกรรมพุทโธ ทำได้ทุกเวลาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา พอลืมตาขึ้นมาจะคิดอดีตคิดถึงอนาคตก็พุทโธพุทโธไป เรื่องของการควบคุมความคิดเรื่องของการเจริญสตินี้อาจจะยากสำหรับผู้ที่ต้องใช้ความคิด เช่นศรัทธาญาติโยมผู้ครองเรือนที่ยังต้องมีภาระหน้าที่การงานอะไรต่างๆ พอตื่นขึ้นมาก็ต้องคิดแล้วว่า วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง มีความรับผิดชอบกับคนนั้นคนนี้มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ต้องคอยดูแล ก็เลยต้องใช้ความคิด จะพุทโธพุทโธไม่ได้เดี๋ยวไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ชีวิตของฆราวาสจึงไม่ค่อยจะเอื้อต่อการเจริญสติต่อการปฏิบัติธรรมต่อการกำจัดกิเลสตัณหาที่เป็นตัวสร้างความทุกข์สร้างความวุ่นวายใจต่างๆ เพราะต้องคอยคิดอยู่กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับสิ่งนั้นสิ่งนี้กับคนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา เลยแทบจะไม่มีโอกาสที่จะมาหยุดความคิดมาพุทโธพุทโธ พอคิดไปมากๆ แล้วพอแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ก็จะเกิดความเครียดขึ้นมา เกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา

นี่คือปัญหาของการใช้ความคิดโดยที่ไม่รู้จักวิธีหยุดคิด ถ้าเกิดใจเกิดวุ่นวายขึ้นมาก็แสดงว่าคิดเกินเหตุเกินผล ควรที่จะหยุดคิดได้แล้ว กลับมาคิดด้วยเหตุด้วยผล แต่บางทีคิดด้วยเหตุด้วยผลไม่เป็นคิดแต่อารมณ์ คืออยากจะได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ทั้งๆ ที่บางทีสิ่งที่อยากได้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ยอม ยังไม่ยอมหยุดความพยายาม พยายามคิดหาวิธีต่างๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา บางทีเราต้องยอมรับความจริงกัน ถ้าทำไม่ได้ก็ยอมรับความจริงก็หยุดทำมัน ยินดีตามมีตามเกิดไป อะไรจะเกิดก็เกิด อะไรจะเป็นก็เป็น อะไรจะไปก็ไป แต่บางทีเราไม่อยากให้เขาไปก็เลยเครียดเลยทุกข์ขึ้นมา ทำอย่างไงก็ห้ามไม่ให้เขาไปไม่ได้ ขอร้องเขาก็จะไป ถ้าจะไปทำไม่ให้เขาไปแบบวิธีที่ไม่ถูกต้องก็เกิดปัญหาขึ้นมา เช่นไปใช้กำลังบังคับกัน อันนี้ก็จะทำให้มีปัญหาตามมาอีก

ดังนั้น บางทีถ้าไม่รู้จะทำอย่างไงก็หยุดคิดดีกว่า พุทโธพุทโธไปทำใจให้นิ่ง ทำใจให้สงบแล้วก็ยินดีรับกับความจริงที่จะเกิดขึ้น ถ้าใจสงบแล้วใจจะสามารถรับกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ จะเป็นไปตามความอยากหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราไม่สามารถทำให้มันเป็นไปตามความอยากของเราได้ เราก็มาหยุดความอยากกันดีกว่า หยุดความคิดกันดีกว่า มาทำใจให้เฉยๆ ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดก็เกิดไป อะไรจะไปก็ไป ใจถ้าเฉยแล้วใจก็จะไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ถึงแม้จะมีผลกระทบต่อร่างกาย มันก็ไม่สามารถไปกระทบที่ใจได้ เช่น ร่างกายจะต้องเป็นอะไรไป เจ็บไข้ได้ป่วย จะต้องพิกลพิการหรือจะต้องตายไป ถ้าใจยอมรับความจริงแล้วพยายามทำใจให้นิ่งๆ เฉยๆ ผลมันจะไม่มาถึงใจ มันก็จะไปถึงเพียงที่ร่างกาย คือร่างกายก็ต้องเจ็บไปต้องตายไปตามเรื่องของร่างกาย แต่จิตใจก็เป็นเหมือนเดิม จิตใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย เพียงแต่จิตใจจะเครียดจะทุกข์หรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าจิตใจไม่สงบจิตใจอยากจะให้ร่างกายไม่เจ็บไม่ตาย จิตใจก็จะเครียดจะทุกข์จะทรมาน แต่ถ้าจิตใจยอมรับว่าทำอะไรกับร่างกายไม่ได้ ร่างกายจะเป็นอะไรก็ห้ามเขาไม่ได้ จิตใจก็เฉยๆ ไป ถ้าไม่ยอมเฉยก็ต้องใช้พุทโธพุทโธทำให้มันเฉย ท่องพุทโธพุทโธไป แล้วจิตใจก็จะนิ่งจะหยุดความอยากต่างๆ ได้ พอไม่มีความอยากแล้วความทุกข์ความเครียดก็จะไม่เกิดขึ้นมา

นี่คือกระบวนการของการรักษาจิตใจไม่ให้ทุกข์ไม่ให้วุ่นวาย ทำใจให้มีความสุขได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะใจนี้ไม่ต้องอาศัยอะไรมาให้ความสุข ที่ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆ มาให้ความสุขกับใจเป็นความหลงที่ไปคิดว่า เมื่อเราได้สิ่งนั้นมาเมื่อมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อได้คนนั้นคนนี้มาแล้วจะมีความสุข ก็อาจจะได้ความสุขตอนที่ได้มาใหม่ๆ เวลาอยากได้อะไรพอได้มาก็ดีใจมีความสุข แต่ไม่เคยคิดว่าไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องมีการจากกันไป เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่อยู่ไปได้ตลอด ต้องมีการจากกัน เขาไม่จากเราไป เราก็ต้องจากเขาไป เพราะร่างกายที่เราใช้เป็นเครื่องมือในการหาสิ่งต่างๆ มาให้กับใจของเรานี้ มันไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากไป คือมันจะต้องตายไป เมื่อมันตายไปสิ่งต่างๆ ที่หามาได้ก็ต้องจากสิ่งเหล่านั้นไป ใจเอาอะไรไปกับใจไม่ได้เลย พอร่างกายที่เป็นเครื่องมือไม่สามารถทำหน้าที่ดูแลรักษาสิ่งต่างๆ ได้ สิ่งต่างๆ ก็กลายเป็นของคนอื่นไปหมด ดูสิ เวลาคนตายเห็นไหม ตายไปแล้วนี้อะไรที่เคยมีนี้เป็นของคนอื่นไปหมด มีตำแหน่งมียศคนอื่นเขาก็เอาไป เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตอนนี้คนอื่นเขาก็มาเอาไป เคยมีเงินมีทองกี่ล้านกี่หมื่นกี่แสนล้าน ตอนนี้ก็คนอื่นเขาเอาไปหมด เจ้าของเก่าเอาไปไม่ได้ เวลาร่างกายตายไปแล้วก็หมดสิทธิ์ มีอะไรมากน้อยเพียงไรก็ตกเป็นของคนอื่นไปหมด

นี่คือสัจธรรมความจริงของชีวิตที่พวกเรามักจะไม่ค่อยสนใจคิดกัน เลยลืมว่ามันจะเกิดขึ้น เลยลืมว่าสิ่งต่างๆ ที่เราหามาได้แทบเป็นแทบตาย ที่เราอาศัยให้ความสุขกับเรา วันใดวันหนึ่งมันจะต้องจากเราไป แล้วเวลาเราไม่มีสิ่งต่างๆ ไม่มีอะไรเราก็จะเกิดความรู้สึกทุกข์ขึ้นมา เช่นคนที่ยังไม่ตายแต่หมดสิ้นเนื้อประดาตัวก่อน สูญเสียทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง สูญเสียสิ่งที่รักคนที่รักไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ก็จะทุกข์ทรมานใจมากจนถึงกับไม่อยากจะอยู่ต่อไป ฆ่าตัวตายกันก็มีมาก เพราะเมื่อไม่มีสิ่งที่เคยให้ความสุขมาให้ความสุขก็เลยไม่รู้ว่าจะอยู่แบบมีความสุขได้อย่างไร นี่คือผลที่เกิดจากความหลงที่ใจถูกหลอกให้ไปคิดว่าใจจะมีความสุขได้นั้นใจต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีบุคคลนั้นมีบุคคลนี้มาให้ความสุข แต่พอไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้ความสุขก็จะทุกข์ทรมานใจ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนใดก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องมีวันสิ้นสุดลง คนก็ต้องตายไป ของที่ใช้ก็ต้องเสียต้องเสื่อมไป ก็ต้องคอยหาใหม่กันไปเรื่อยๆ หาไปจนกว่าร่างกายที่เป็นเครื่องมือหาสิ่งต่างๆ ไม่สามารถหาได้ต่อไป พอไม่สามารถหาได้ทีนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็คิดฆ่าตัวตายกัน หนีความทุกข์ทรมานใจด้วยการฆ่าตัวตาย แต่มันเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว เวลาตายไปใจก็ต้องไปทุกข์อยู่ในนรก เวลาฆ่าตัวตายนี้มันทุกข์มาก ความทุกข์มันอยู่ในใจมันไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ถึงแม้ฆ่าร่างกายไปแล้วความทุกข์ในใจมันก็ยังไม่หมดไป

มันก็ยังทุกข์ไปเรื่อยๆ จนกว่าเหตุที่ทำให้มันทุกข์นั้นมันหมดกำลังลง เหตุที่ทำให้ก็คือความอยากต่างๆ หรือความคิดต่างๆ ที่มันยังปรุงแต่งต่อได้หลังจากที่ร่างกายตายไปแล้ว มันก็จะคิดจะปรุงแต่งไปจนกว่ามันจะหมดกำลัง พอหมดกำลังมันก็ยังจะกลับมาเกิดใหม่อีก เพราะมันยังมีความอยากใหม่โผล่ขึ้นมาอีก ความอยากที่จะหาความสุขจากสิ่งต่างๆ โผล่ขึ้นมา มันก็จะไปหาร่างกายอันใหม่มาเกิดใหม่ แล้วมาใช้ร่างกายอันใหม่นี้เป็นเครื่องมือหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ต่อไป แล้วไม่ช้าก็เร็วก็จะไปเจอกับความทุกข์ เจอกับปัญหา เจอกับการสูญเสีย เจอกับการพลัดพราก อันนี้เป็นปัญหาที่ไม่ว่าจะแก้ด้วยการฆ่าตัวตายหรือไม่ก็ไม่ได้แก้ปัญหา ความหลงนี้ต้องแก้ด้วยคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเรามาได้ฟังเทศน์ฟังธรรม พระพุทธเจ้าจะสอนให้เรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยที่จะไม่ผลิตความทุกข์ให้กับเรานี้อยู่ที่ความสงบของใจ ให้เราเปลี่ยนวิธีหาความสุขกัน แทนที่จะไปหาความสุขผ่านทางร่างกาย ใช้ร่างกายหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ หาความสุขจากเงินทองข้าวของเงินทองต่างๆ หาความสุขจากการมียศมีตำแหน่งต่างๆ หาความสุขจากการได้รับรางวัลสรรเสริญเยินยอต่างๆ หาความสุขจากการไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ความสุขเหล่านี้มันเป็นกับดักของความทุกข์ ถ้าไปหามันแล้วเดี๋ยวก็ต้องทุกข์ ต้องน้ำตาตกใน เพราะได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องมีวันเสียไปหรือมีวันเปลี่ยนไป ทำไมคนที่แต่งงานกันทำไมถึงต้องมาเลิกกัน ทั้งๆ ที่เวลาแต่งงานกันนี้รักกันยิ่งกว่ารักอะไร รักสุดๆของความรักถึงมาแต่งงานกัน เพราะว่าตอนที่แต่งกันนั้นมันดีไปหมด ต่างฝ่ายต่างเอาอกเอาใจกัน แต่พอแต่งกันแล้วใจมันเริ่มเปลี่ยนแล้ว ตอนที่ยังไม่ได้นี้อยากได้ก็ยินดีที่จะทำให้ผู้ที่เราอยากได้นั้นเขามีความสุข เขาก็เลยรักเราชอบเรา เขาก็ทำให้เรารักเขาชอบเขา ต่างฝ่ายต่างเอาอกเอาใจกัน มันก็เลยอยากจะอยู่ร่วมกัน เพราะรู้สึกว่าเวลาอยู่ร่วมกันแล้วมันมีความสุขมาก ทีนี้พออยู่ไปสักพักนี้ความเอาอกเอาใจนี้มันเปลี่ยนไปซะแล้ว แทนที่จะเอาอกเอาใจกันทีนี้มีแต่จะเอาใจตัวเองกัน ทีนี้ฉันจะเอาอย่างนี้แล้วล่ะ เธอจะเอาอย่างไงฉันไม่สนใจ เขาก็เหมือนกัน เขาก็จะเอาอย่างนั้น เราจะเอาอย่างไงเขาก็ไม่สนใจ พอต่างฝ่ายต่างจะเอาตามใจตัวเองทีนี้ความสุขก็หายไปแล้ว เขาไม่เอาใจเราแล้ว เราอยากได้สิ่งนี้เขาไม่ให้เรา เขาอยากได้สิ่งนั้นเราไม่ให้เขา เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้มันก็เกิดความเสียใจเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา และในที่สุดการที่เคยอยู่ร่วมกันตอนแต่งงานใหม่ๆ แบบสุขมหาสุขก็หายไปหมด กลายเป็นมหาทุกข์ขึ้นมาแล้ว ทีนี้ก็ไม่อยากจะเจอหน้ากัน อยู่บ้านเดียวกันก็หลบทางกัน ไม่มองหน้ากันไม่อยากจะเจอกัน เจอกันแล้วเดี๋ยวอดที่จะทะเลาะกันไม่ได้เดี๋ยวอดที่จะด่าจะว่ากันไม่ได้ ดีไม่ดีก็อาจจะถึงกับทุบตีกัน พอทุบตีกันเจ้าสาวก็หนีกลับบ้านก่อน นี่คือเรื่องของความสุขที่ได้จากสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันจะเปลี่ยนไป จากดีจากสุขกลายเป็นทุกข์ไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ไม่เข็ด


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ดีที่สุด พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 871 กระทู้ล่าสุด 16 ธันวาคม 2562 13:51:09
โดย Maintenence
อย่าไปยึดอย่างอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 812 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2563 13:53:44
โดย Maintenence
ธรรมโอสถ โดย พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
Maintenence 0 56 กระทู้ล่าสุด 04 มีนาคม 2567 13:14:10
โดย Maintenence
บัว ๔ เหล่า โดย พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
Maintenence 0 80 กระทู้ล่าสุด 02 เมษายน 2567 14:21:43
โดย Maintenence
กายกับจิต แยกให้ออกจากกัน พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
Maintenence 0 81 กระทู้ล่าสุด 14 เมษายน 2567 16:45:50
โดย Maintenence
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.407 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้