[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 มิถุนายน 2568 05:32:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การกินเนื้อสัตว์...ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?  (อ่าน 2923 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554 21:14:10 »




การกินเนื้อสัตว์... ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาหรือไม่ ?
อาจารย์สมภาร พรมทา

บทสรุป ท้ายที่สุดแล้วพุทธทุกฝ่ายก็เห็นร่วมกันว่า

การถือมังสวิรัติเป็นดี การที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สาวกกินเนื้อสัตว์ได้
ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทนั้น
ควรเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกับการสนับสนุนให้กินเนื้อสัตว์

เป็นระบบที่คิดเผื่อให้มีทางออก
สำหรับสถานการณ์ที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้
เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงหนัง
โรงหนังนั้นต้องมีทางออกปิดเอาไว้

สำหรับคนที่มีภาระต้องออกไป ก่อนคนอื่น
หรือไม่ยินดีที่จะดูหนังต่อเพราะหมดสนุก
พระพุทธองค์ทรงคิดเช่นนี้
จึงทรงอนุญาตให้ชาวพุทธบริโภคเนื้อสัตว์ได้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในอนาคตหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้ว
พุทธศาสนาอาจแพร่เข้าไปในดินแดนที่อาหารหลักของผู้คนคือเนื้อสัตว์
(เช่นบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปลูกพืชแทบจะไม่ได้เลย
มีแต่ปลาและเนื้อเท่านั้นที่ผู้คนจะกินเป็นอาหารได้)

การปิดประตูสนิทสำหรับการกินเนื้อสัตว์
จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แต่การมีประตูออกที่โรงหนัง
ไม่ได้แปลว่าเป็นการเชิญชวนให้ทุกคนออกมาจากโรงหนัง
การมีอยู่ของประตูนั้น
ควรเข้าใจว่ามีอยู่ในฐานะช่องทางสำหรับการเลือก

จริยธรรมแบบที่ไม่มีช่องทางสำหรับการเลือกเลยนั้น
พุทธศาสนาเถรวาทถือว่าเป็นจริยธรรมที่สุดโต่ง
การที่ฝ่ายมหายานมีความปรารถนา
ที่จะให้โลกนี้ลดการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารมนุษย์นั้น

ต้องถือว่าเป็นเจตนาดีอย่างไม่มีข้อสงสัย
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์
กระทำในรูปธุรกิจที่มีการเลี้ยงสัตว์คราวละมากๆ
และฆ่าสัตว์เพื่อส่งตลาดคราวละมากๆ

ข้อเสนอของฝ่ายมหายานยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การที่เรายังกินเนื้อสัตว์อยู่
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความชั่วร้าย
ที่กลายเป็นระบบไปแล้วนี้ยังดำรงอยู่ต่อไป
ถูกปฏิบัติอย่างไม่มีคุณค่าโดยเจ้าของธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง
รอวันหนึ่งเมื่อเนื้อของมันจะให้ค่าตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ลงทุน
พวกมันก็จะถูกกวาดต้อนไปเชือด

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554 21:23:24 »



 
นี่คือปาณาติบาตที่ทำอย่างเป็นระบบ เป็นวงจร
และอย่างปราศจากความสำนึกทางศีลธรรมใดใด
การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารบ้างในสังคมเกษตรกรรมนั้น
อาจถูกตั้งคำถามไม่มากนักในเชิงจริยธรรม

ชาวนาที่เลี้ยงไก่ไว้ในบ้าน
ปฏิบัติต่อไก่นั้น อย่างมนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อสรรพสัตว์
ให้อาหารมัน มีที่มีทางให้มันได้เดิน ได้วิ่ง

ได้เลี้ยงลูก ตามประสาของมัน
ถึงเวลาที่จำเป็นเขาอาจขอชีวิตพวกมันบางตัวเพื่อเป็นอาหาร
ปาณาติบาตในสภาพการณ็เช่นนี้ยังพอเป็นที่เข้าใจได้
แต่ไก่หรือหมูที่อยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์จำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวนั้น
ไม่มีคุณค่าหรือศักดิ์ใดใดหลงเหลืออยู่

ระบบที่ปฏิบัติต่อพวกมันก็ไม่ใช่ระบบของมนุษย์
(เมื่อเทียบกับที่ชาวนาเลี้ยงไก่)
สิ่งที่พุทธศาสนามหายานเรียกร้องชาวพุทธก็คือ
ทำไมเมตตาธรรมของเราจงไม่ควรที่จะเอื้อมาถึงสัตว์เหล่านี้
พวกมันไม่มีอำนาจต่อรองใดใด

ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากนรกบนดินนี้
นอกจากจะมีมนุษย์ผู้มีจิตใจประเสริฐมาช่วยเหลือ
เมตตาธรรมสำหรับฝ่ายมหายาน
นอกจากจะคือความรักและหวังดีต่อเพื่อสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ยังหมายถึงการจะไม่ยอมให้มีการกดขี่เบียดเบียนกัน

โดยที่เราไม่ยอมยื่นมือไปช่วย ด้วยเมตตาธรรมในความหมายหลังนี้
คือความมีน้ำใจ การคิดถึงผู้อื่น
และรู้สึกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังมีการกดขี่เบียดเบียนกัน
เราจะนิ่งดูดายคิดถึงแต่ความบริสุทธิ์ส่วนตัวไม่ได้

ชาวพุทธที่ปิดบ้านนั่งภาวนาเพื่อไปพระนิพพาน
โดยไม่มองออกไปข้างนอกบ้านว่าที่โน่นเขาทำอะไรกันบ้าง
จะถือว่ามีเมตตาได้หรือ
นี่คือคำถามที่ผู้วิจัยคิดว่าฝ่ายมหายานได้ตอบเอาไว้ชัด

ฝ่ายเถรวาทจะตอบคำถามนี้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เราชาวเถรวาท
จะต้องช่วยกันตอบ การไม่กินเนื้อสัตว์
เป็นหลักการแก้ความชั่วร้ายโดยวิธีอหิงสาโดยแท้
เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องระบบการคุ้มครองสิทธิสัตว์ (คือเสนอ
ให้มีกฏหมายยกเลิกการค้าขายเนื้อสัตว์) อย่างที่ชาวตะวันตก
บางพวกกำลังรณรงค์

เพราะการเสนอเช่นนั้นเป็นการสร้างการเผชิญหน้ากัน
สิ่งทื่เราสามารถทำได้ง่ายๆ ตรงไปตรงมาทันทีทันใด
คือ พยายามไม่กินเนื้อสัตว์
สำหรับชาวพุทธเถรวาท คฤหัสถ์อาจถือมังสวิรัติได้ง่ายกว่าพระสงฆ์
เพราะเป็นผู้ที่สามารถเลือกได้ และคฤหัสถ์ที่ถือมังสวิรัตินั่นแหละ

ที่จะช่วยให้พระสงฆ์ถือมังสวิรัติได้อย่างง่ายดาย
ด้วยการถวายอาหารมังสวิรัติแก่ท่าน
พระสงฆ์ท่านไม่มีทางปฏิเสธการอุปถัมภ์ของชาวบ้านอยู่แล้ว
เราถวายสิ่งใดท่านก็ฉันสิ่งนั้น

แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่ของที่จะเลิกกระทำได้ง่ายๆ
เพราะระบบวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เราถือกันเป็นหลักใหญ่ในโลกขณะนี้
เชื่อว่ามนษย์ถูกสร้างมาให้กินเนื้อสัตว์

เพื่อสร้างสมองของเด็กให้เจริญเติบโต ถ้ามนุษย์
ยังมีความจำเป็นบางประการ ที่จะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่
จริยธรรมแบบทางเลือก ที่พุทธศาสนาเถรวาทเสนอนั้น
ก็น่าที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

การกินเนื้อสัตว์บนพื้นฐานของความสำนึกว่า
ตนเองกำลังเอาเปรียบผู้อื่นจะเป็นแรงหน่วงดึงที่สำคัญ
ที่ไม่ได้ทำให้เด็กกินเพื่อความอร่อย แต่เพราะความจำเป็น
ยิ่งพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอน
ที่บรรยายโทษของการประกอบอาชีพปาณาติบาต

(เช่นเรื่องนายโคฆาตก์และนายจุนทสูกริกใน “อรรถกถาธรรมบท”)
ว่าจะทำให้มีชีวิตที่เศร้าหมองอย่างไร
คำสอนนี้จะยิ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ประกอบอาชีพปาณาติบาต
โดยเฉพาะในเชิงอุตสาหกรรมมีความตระหนักคิดมากขึ้น

ฝ่ายมหายานนั้นรณรงค์ที่ผู้บริโภค ส่วนฝ่ายเถรวาทก็รณรงค์ที่ผู้ผลิต
เมื่อผนวกจริยธรรมจากสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
การฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ก็คงจะลดลงจากโลกนี้
เรื่อยๆ อย่างแน่นอน

ระบบจริยธรรมของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น สัตว์จำนวนมหาศาล
ต้องถูกเลี้ยงในสถานที่ที่แออัด 



(คัดลอกบางตอนมาจาก : งานวิจัยเรื่อง “กิน : มุมมองของพุทธศาสนา”
โดยอาจารย์สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา
โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ ๒๕๔๗, หน้า ๗๕-๗๘)



นำมาแบ่งปันโดย : terryh
: http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6027.msg24468/topicseen.html#msg24468
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554 22:04:46 »


พระพุทธองค์ไม่ได้ห้ามเรื่องการฉันเนื้อ
และไม่เคยมีบอกว่าพระพุทธองค์ทรงฉันเจ
หากพิจารณาโดยถ้วนแล้ว ยกตัวอย่างดังบท

ธาตุปัจจเวกขณ์  (ยะถาปัจจะยัง)

ยะถาปัจจะยัง  ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะ เมเวตัง,                   
สิ่งเหล่านี้นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น  กำลังเป็นไป
ตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ,


ยะทิทังปิณฑะปาโต ตะทุปะภุญชะโก จะปุคคะโล,               
สิ่งเหล่านี้ คือบิณฑบาต และคนผู้บริโภคบิณฑบาตนั้น,

ธาตุมัตตะโก,             
เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ,

นิสสัตโต,                       
มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน, 

นิชชีโว,                       
มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล,

สุญโญ,                             
ว่างเปล่าจากความหมาย แห่งความเป็นตัวตน,

สัพโพ ปะนะยัง ปิณฑะปาโต  อะชิคุจ ฉะนิโย,                   
ก็บิณฑบาตทั้งหมดนี้ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม,

อิมัง ปูติกายัง ปัตวา, 
ครั้งมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว,

อะติวิยะ  ชิคุจฉะนีโย  ชายะติ, 
ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน

อ้างถึง

จะเห็นว่าท่อน
ยะถาปัจจะยัง  ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะ เมเวตัง,                   

สิ่งเหล่านี้นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น  กำลังเป็นไป
ตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ,




สิ่งเหล่านี้นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น หมายความว่า เมื่อพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นพืช เป็นเนื้อสัตว์
ก็ประกอบขึ้นจากธาตุ ดังนั้นจึงมิให้กล่าวชื่อหรือชนิดของอาหาร แต่ให้มองlสักว่าล้วนเป็นธาตุ
เจริญพร : กิตฺติปาโล นามะ ภิกขุ
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7886


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122 Chrome 12.0.742.122


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2554 22:29:23 »

เจริญพรคุณโยมป้าแป๋ม ที่ช่วยคัดลอกสิ่งดี ๆ จากอีกเวบหนึ่งมาให้อ่านกัน

พระเพิ่งจะจงกรมและสวดมนตร์เสร็จ ได้ทำการแผ่เมตตาให้ผลบุญสำเร็จแด่โยมป้า

ขอให้โยมป้าหายจากอาการเจ็บป่วยโดยไว

เจริญพร
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: งานวิจัยเรื่อง กิน : มุมมองของพุทธศาสนา สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.623 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2568 13:37:59