" สังข์ " ทำไมมาอยู่ในพิธีมงคล
" สังข์ " ทำไมมาอยู่ในพิธีมงคล
สังข์ เป็นหอยอีกชนิดหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ที่เป็นมงคลของไทย ที่เห็นบ่อยๆ ได้แก่ การรดน้ำสังข์ในงาน แต่งงาน หรือในงานพระราชพิธีต่างๆ ที่มีการอัญเชิญพระสังข์ พระมหาสังข์องค์ต่างๆ เข้าประกอบพิธี เช่นพิธีโสกัณฑ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมาในงานพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของในหลวงเรา ก็คงจะได้เห็นภาพที่พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำพระมหาสังข์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย หรือแม้แต่ในพงศาวดารหลายเรื่อง ก็มีการกล่าวถึงหอยสังข์ เช่น การใช้เปลือกหอยสังข์มาทำเป็นผังเมืองสำหรับสร้างเมืองหริภุญไชย หรือที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ในตอนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเห็นว่าทำเลบริเวณหนองโสนอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีคูคลองล้อมรอบ จึงมีรับสั่งให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกลบบาตสุมเพลิง จากนั้นจึงให้พนักงานขุดดินโดยรอบเพื่อเตรียมสร้างพระราชวัง และได้พบสังข์ทักษิณาวรรตสีขาวบริสุทธิ์ใต้ต้นหมันหนึ่งขอน ( อ้อ ลืมบอกไปขอรับ คำลักษณะนามที่ใช้เรียก “สังข์” นั้น เขาเรียกกันเป็น “ขอน” เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นขอนของต้นหมันไป) ทรงถือเป็นศุภนิมิตร ทรงโปรดให้ปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานสังข์ทักษิณาวรรตขอนดังกล่าว
ในปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยายังคงรูปสังข์ทักษิณาวรรตประดิษฐานอยู่ในพานทองใต้ต้นหมันเป็นตราประจำจังหวัด นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ปรากฏว่ามีแขกคนหนึ่งชื่อนักกุดาสระวะสี ได้นำมหาสังข์ทักษิณาวรรตมาถวายเป็นคนแรก จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นขุนนางมียศเป็นหลวงสนิทภูบาล เรื่องราวที่เล่าขานมานี้ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าสังข์มีความเกี่ยวพันกับคนไทยมานานแล้ว .......หลายคนอาจจะสงสัยว่า
ทำไมต้องใช้สังข์หลั่งน้ำในงานมงคลต่างๆ หรือเข้าประกอบในงานมงคลต่างๆนั้น เรื่องนี้มีที่มาขอรับ.....
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ ครั้งพระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุแล้ว พระองค์ก็มีประกาศิตให้พระพรหมธาดาขึ้นไปอยู่ในพรหมโลก ให้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ในครั้งนั้นบรรดาพรหมที่มีจิตใจริษยาต่างก็ไม่พอใจ ก็เลยจุติลงมาเป็นสังข์อสูรอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ครั้งนั้นพระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์มาถวายพระอิศวร เมื่อมาถึงที่อยู่ของสังข์อสูรก็เกิดอาการร้อนรุ่มอยากสรงน้ำ จึงได้วางคัมภีร์ไว้ริมฝั่งแล้วเสด็จลงน้ำ ฝ่ายสังข์อสูรเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้ให้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์นั้นมา แล้วก็กลืนเข้าไว้ในท้องทั้งหมด ฝ่ายองค์พรหมเมื่อขึ้นมาจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระอิศวรทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ เมื่อพระศิวะเจ้าเข้าฌานก็ทราบถึงสาเหตุ จึงได้เชิญพระนารายณ์มา และให้เป็นธุระในการนำเอาพระคัมภีร์กลับมา พระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นปลากรายทอง นามว่า มัจฉาวตาร ไล่ ล่าสังหารผีเสื้อน้ำ และเข้าโรมรันกับสังข์อสูรเป็นสามารถ ในที่สุดก็เอาชนะสังข์อสูรได้ แล้วสำแดงองค์คืนร่างเป็นพระสี่กร ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากสังข์อสูร เพื่อหยิบเอาพระคัมภีร์ บางตำนานก็ว่า ทรงแหวกปากของสังข์อสูรออก ทำให้หอยสังข์ในปัจจุบันมีรอยนิ้วของพระนารายณ์ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้จาก นั้นพระสี่กรจึงสาปสังข์อสูรว่า สังข์อสูรเป็นพรหมมาจุติ และกลืนคัมภีร์พระเวทย์เข้าไว้ อีกทั้งยังมีรอยนิ้วพระหัตถ์แห่งพระองค์ปรากฏอยู่ด้วย นับว่าเป็นมงคล
ดังนั้น ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลพิธีในภายภาคหน้าก็จงเอาสังข์เข้าอยู่ในพิธีนั้น ผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ก็ให้เป็นมงคล กันอุบาทว์เสนียดจัญไร หรือเป่าก็ให้เป็นมงคลไปจนสุดเสียงสังข์ ครั้นสาปแล้วพระนารายณ์ก็นำคัมภีร์ไปถวายพระอิศวร และเสด็จกลับเกษียรสมุทร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์จึงถือว่าหอยสังข์ที่ปากมีริ้ว 2-4 ริ้ว อันเกิดจากนิ้วพระหัตถ์ของพระสี่กรปรากฏอยู่นั้นเป็นสังข์สำคัญ