[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 มิถุนายน 2567 09:58:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เพราะมีโลกมีจักรวาล - ชีวิตและมนุษย์ถึงมี (II)  (อ่าน 1597 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5088


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2554 10:54:46 »



บทความนี้เป็นภาค 2 ของบทความคราวที่แล้ว และคงจะไม่จบแค่นี้ เป้าหมายของบทความชุดนี้ก็เพื่อบอกชาวโลก ซึ่งมีนักศาสนศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์และนักจิตวิทยาใหม่ได้เขียนมากมาย แต่คนไทยมีคนเขียนน้อย คือนอกจากผู้เขียนก็มีคนเขียนตามไม่กี่คน ซึ่งนั่นเป็นเป้าหมายที่สำคัญ “ที่สุด” ซึ่งชาวโลกและชาวไทยจะ “ต้องเรียนรู้และรับรู้กันก่อนที่จะสายเกินไป เพราะอย่างดีที่สุดที่รูปแบบต่างๆ ของสังคม โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจที่มนุษย์เราบ้าคลั่งกันอยู่ในปัจจุบันวันนี้ หากอยู่รอดจากปลายสุดปี 2012 ตามที่วัฒนธรรมพระเวทและปฏิทินของชาวมายาและอินเดียนแดงบอก หรือรอคอยปี 2020 ตามที่นักวิทยาศาสตร์บางคนบอก นั่นคือพร้อมๆ กับอารยธรรม “สมัยใหม่” ที่จะดับสูญสิ้นไปพร้อมกัน อารยธรรมที่เรียกว่าอารยธรรมหลังสมัยใหม่เต็มรูปแบบจึงจะได้เริ่มต้นเต็มพิกัดเมื่อประชาโลกเหลือไม่ถึง 20% พระเถระอาวุโสในพุทธศาสนาทำนายว่า “ให้ระวังปีมะโรง (2012) จนถึงปีกุนที่ภัยธรรมชาติสุดร้ายแรงมาเยือนโลกอย่างกะทันหัน”

“เราคือใคร?” เป็นคำถามที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์พร้อมกับคำถามอื่นๆ  ที่ใกล้เคียงกันที่ตามมา และจนบัดนี้คำถามเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ตอบไม่ได้ หรือตอบให้ทุกคนพอใจไม่ถามต่อไปไม่ได้ และผู้เขียนก็ตอบไม่ได้ แต่ที่ถามนั้น เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกันกับควอนตัมฟิสิกส์แสะทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และความเสริมเติมซึ่งกันและกัน (complimentary principle) ของสรรพสิ่งกับสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลนี้ของนีลส์ บอห์ร ที่ทางวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ พูดง่ายๆ ของรูปกับนามหรือกายกับจิต หลักการของกฎนี้มีอยู่ว่า ในทางควอนตัมเราสามารถจะชี้วัดได้ว่า คลื่นอนุภาคเป็นได้ทั้งเป็น “คลื่น” หรือเป็น “อนุภาค” (สสารวัตถุหรือ  matter) แต่ทั้ง 2 เสริมเติมซึ่งกันและกันทำให้เราเข้าใจสภาพควอนตัมของสรรพสิ่งทั้งหมดเลย ดังนั้นจิตจึงเข้ามาอยู่ในฟิสิกส์ใหม่ น่าแปลกใจที่จินตนาการผ่านอวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกของคนเราสามารถแปรเปลี่ยนความรู้สึกของคนเราให้รู้สึกแข็งกระด้างเป็นกายภาพ (physical ดุจ matter) ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าทางวิทยาศาสตร์นั้น ร่างกายเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% และในทางควอนตัม ฟิสิกส์ เรา “เชื่อว่า” โดยธรรมชาติคลื่นอนุภาคจะอยู่ในสภาพเป็น “คลื่น” ตลอดเวลา (ไฮเซนเบิร์ก) จนกว่าสภาพคลื่นนั้นจะถูกพังพาบ (wave-function  collapse) ด้วยจิตและการสังเกต ไม่เห็นมีตรงไหนที่เป็นของแข็งที่แข็งกระด้างประดุจสสารวัตถุหรือโลหะ (matter) ที่รู้สึกดั่งว่าอย่างใดเลย จึงเป็นไปได้ที่มนุษย์เราคิดว่าเป็นความจริงทางโลกที่ทำให้อะไรๆ ที่แข็งกระด้าง หรือโลกและจักรวาลมีรูปและเป็นสสารวัตถุนั้นน่าจะเป็นที่การรับรู้ (perception) ของมนุษย์เราเอง พูดอีกอย่างคือ การรับรู้ของเราเองที่ทำให้เราคิดว่าความจริงทางโลกมีรูปร่างและแข็งกระด้าง บทความของวันนี้จึงเป็นความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังการรับรู้ (perception) ของมนุษย์เราก็ได้ หรือมุมมองของเราก็ได้

นอกจากนี้แล้ว บทความวันนี้ยังเป็นเรื่องอีกเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่สำคัญมากที่เราต้องเข้าใจ เพราะว่าทุกๆ คนใช้มันเป็นประจำในทุกๆ ขณะ แต่เพราะว่าใช้ประจำทุกๆ ขณะนั่นเองที่ทำให้เราลืมเลือนที่จะทำความเข้าใจกับมัน   เราทำเช่นนี้เสมอจนเป็นนิสัย และบทความวันนี้เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น นั่นคือเรื่องของการสังเกต เรามักจะลืมไปว่าการสังเกตมันจะต้องมี 2 อย่างเสมอ คือ มีผู้สังเกต (observer) กับสิ่งที่ถูกสังเกต (observed) ที่จะต้องทำให้ครบเพื่อทำให้เราเห็น ได้ยิน ฯลฯ คงเป็นเพราะเราคุ้นกับมันตั้งแต่ยังแบเบาะ และคงจะเป็นเพราะเราเชื่อตา เชื่อหู เชื่ออวัยวะประสาทสัมผัสที่ล้วนตั้งหรือติดต่อกับภายนอกว่า “มัน (สิ่งที่ถูกสังเกตโดยเรา) ตั้งหรือวางอยู่ข้างนอก (ตัวเรา) นั่นไง” เราคุ้นกับมันเสียจนเราคิดว่าเป็นธรรมชาติของเรา “ที่ต้องรู้” เมื่อตาเราเห็น หูเราได้ยิน ฯลฯ เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้จิต ใช้วิญญาณขันธ์ ใช้ตัวรู้อะไรทั้งสิ้น การสังเกตจึง “ต้อง” ใช้ทั้งผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกตเสมอ

นิวโตเนียนฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป ใช้แต่เฉพาะสิ่งที่ถูกสังเกต  “ที่ตั้งอยู่ข้างนอกนั่นไง” เหมือนเราที่เป็นคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปที่ใช้อวัยวะประสาทสัมผัสของเรา (ดูไทยโพสต์ฉบับวันอาทิตย์ที่แล้วด้วย) มีเฉพาะแต่ควอนตัมฟิสิกส์เท่านั้นที่ใช้ทั้ง 2 อย่างในการสังเกต ในขณะที่จิตวิทยาใช้ผู้สังเกต  (observer) เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตตาวสัย (subjective fact) แต่จิตวิทยาที่เกิดขึ้นมาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะวิชาจิตวิทยา จิตวิญญาณ หรือจิตวิทยาผ่านพ้น  (ก้าวล่วง) ตัวตน (spiritual or transcendent psychology) ใช้ทั้ง 2 ในการสังเกต  คือทั้งผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต

วูล์ฟกัง พอลี่ นักควอนตัมฟิสิกส์รางวัลโนเบล ซึ่งเป็นคนที่เขียนหนังสือร่วมกันกับคาร์ล ซี. จุง ซึ่งไม่ค่อยเขียนหนังสือร่วมกับใคร ดังที่ผู้เขียนได้อ้างอิงไว้ในบทความเมื่อวันอาทิตยที่แล้ว วูล์ฟกัง พอลี่ เป็นผู้สนใจในเรื่องของจิตไร้สำนึกเป็นพิเศษ เขาพูดว่าเรา (นักฟิสิกส์) กับเรื่องของความจริงที่จะต้องมี 2  อย่างเสมอ คือ ความจริงทางด้านของปริมาณ (กาย) กับความจริงทางด้านคุณภาพ (จิต) หรือที่ในพุทธศาสนาเรียกว่ารูปกับนาม

น่าแปลกไหม? ว่าทำไมเราต้องเข้านอนยาวๆ ตอนกลางคืนด้วย? ที่ก่อนเราจะเข้านอน เราจะรู้สึกตัวดี แต่หลังจากเราหลับ เราจะไม่รู้สึกตัว และมารู้สึกตัวปกติในตอนเช้า แต่ตอนที่เรานอนหลับ เราจะไม่รู้สึกตัวเลยตามปกติเหมือนกัน หลังจากตื่นนอนเช้าแล้ว เราไปไหน? นอกจากฝัน เราทุกคนเลยโดยไม่มีการยกเว้น - ฝัน แต่เราส่วนมากจะจำไม่ได้ และอย่างน้อยเราจำความฝันของตัวเองส่วนใหญ่เหมือนกันไม่ได้ และคนพวกนี้จะคิดว่าตัวเองไม่ได้ฝัน  และจะเถียงจนคอเป็นเอ็น แต่ผู้เขียนขอบอกอีกที เขาฝันไปจริงๆ และความฝันนั้น  มีบางส่วนเป็นจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวม (universal mind) บอกเรา

ขอโทษจริงๆ ที่ผู้เขียนจำไม่ได้ในขณะที่เขียนตอนนี้ว่าใครที่เป็นคนที่แต่งเพลง “โลกนี้คือละคร......” มันเป็นเช่นนั้นจริงในสายตานักจิตวิทยาบางคน  ผู้เขียนเองยังเคยคิดว่า โลกนี้เหมือนเป็นเวทีของลิเกหรือละครที่เราเองเป็นคนเล่น เป็นคนที่ใส่ชฎาสวมบทบาท ซึ่งเราเป็นทั้งคนแต่งและเป็นผู้กำกับ ทั้งยังฉีกตัวเองไปเป็นคนดูด้วย นั่นเป็นเรื่องที่เคยคิดที่นานมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดอย่างนี้แล้ว คือตอนนี้กลับไปคิดว่าชีวิตตัวเองเป็นความฝันในเรื่องที่ตนเป็นคนแต่งเนื้อเรื่อง แต่ชีวิตคนเรานั้น - ผู้เขียนคิดและเชื่อมั่นว่าคิดไม่ผิด - เพียงแต่ความฝันของชีวิตตัวเองนั้นคือ เป็นความจริงทางโลกทางสังคม นั่นเป็นความรู้สึก และชีวิตทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ ล้วนอยู่ในโลกในจักรวาลอันแข็งกระด้างประดุจสสารวัตถุหรือโลหะ (matter) และกลายเป็นแมตทีเรียลลิสต์ ซึ่งก็คือนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่าส่วนใหญ่อันมีนิวโตเนียนฟิสิกส์เป็นศูนย์กลาง และความจริงทางโลกที่ว่านั่นแหละ นั่นคือ ความเป็นสอง (Dualism) หรือทวิตาในพุทธศาสนา หรือระหว่างสองความจริง นั่นคือ ความจริงทางโลกที่ปรากฏในฝันนั่น กับความจริงทางธรรม “ไม่ใช่” ความจริงทางธรรมที่เป็นความฝันตามปกติที่เล่ามาก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวม หรือจิตจักรวาล (universal  unconscious continuum - Jung หรือ universal mind - Arnold Mindel) ซึ่งติดต่อกันได้เองเมื่อเซลล์สมอง (neuron) ว่าง เช่น ว่างจากบริบททางกายและทางจิต คือว่าง - ความเป็นอนุภาคสสารวัตถุ กับความเป็นคลื่น (physicho -  psychical condition) เป็นต้นว่าระหว่างกำลังฝัน หรือในระหว่างสมาธิ (Robert  G. John and Brenda Dunne : Margin of Reality, 1987) นั่นในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คือ ควอนตัมเม็คคานิกส์ เพราะว่าทุกๆ ข้อของความจริงทางควอนตัมทั้ง 8 ข้อ ล้วนเป็นความจริงทางธรรมทั้งนั้นเลย (Nick Robert :  Quantum Re4ality, 1985)

ขอย้ำว่า ความฝันที่มีควาามจริงทางโลกที่คล้ายๆ กับเพลงที่ผู้เขียนจำชื่อคนแต่งไม่ได้ และผู้เขียนบอกว่าโลกเหมือนเป็นเวทีลิเกหรือละครที่โลกกลายเป็นของแข็งกระด้างอันค้านกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ กับความฝันที่มีจิตไร้สำนึกร่วม หรือจิตจักรวาลที่มีความฝันของคนปกติธรรมดาที่ฝันอันเป็นความจริงทางธรรมที่เล่ามาตอนต้นของบทความนี้ข้างต้น

อยากบอกกับผู้อ่านที่อ่านบทความนี้ว่า เราต้องคิด ไม่ใช่คอยวันเกิดหรือวันตายอยู่เฉยๆ แล้วเป็นความทุกข์ที่ตัวเองเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีแต่ความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นเลย นอกจากความสุขทางกายและจิตรู้หรือจิตสำนึกชั่วคราว  อันเป็นความจริงทางโลก เพียงชั่วครั้งชั่วคราว (pleasure) ส่วนมากเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สิน ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกมีความสุขที่อิ่มเอิบ (bliss) ทั่วทั้งตัวตลอดกาลที่คนส่วนใหญ่ 99.9% บอกว่าไม่มีจริง ฉะนั้น จึงไม่รู้หรือไม่มีวันจะรู้ ยกเว้นน้อยคนที่ “อาจ” จะรู้ตอนใกล้ตายจริงๆ 

บทความบทนี้จึงเป็นบทความของชีวิตที่ “เป็นไปได้” ซึ่งในที่นี้เป็นชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมาในโลกในจักรวาลที่มีมิติ 3 มิติ (บวกเวลาอีก 1 มิติ) พูดง่ายๆ  เราอยู่ในโลกในจักรวาลที่มีตำแหน่งและมีเวลา (space-time) ซึ่งรวมเข้าหากันที่แยกกันไม่ได้ และเราคิดเอาเองและรับรู้ - ผ่านอายันตนะประสาทสัมผัสของเรา  - ว่ามันเป็นสสารวัตถุที่แข็งกระด้างและมีรูปร่างทางกายภาพที่หลากหลาย ทั้งหมดนั้นเราคิดเองแล้วเออเอง เพราะคิดว่ามันเป็นความจริง ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ความฝัน “ที่ต่อเนื่องยาวนานตราบที่โลกและจักรวาลนี้มีอยู่” นั่นคือความจริงทางโลกที่เป็นไปได้ที่จะเป็นแค่ความฝัน ส่วนตอนที่ยังไม่ตายจากโลกและนอนหลับแล้วฝันไปนั้น เป็นเรื่องของความเป็นสอง (dualism) ระหว่างความจริงทางโลกที่ต่อเนื่องกับความจริงทางธรรมที่เป็นความจริงที่แท้จริงของจิตหรือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวม.

http://www.thaipost.net/sunday/070811/42950

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2529 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2820 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2115 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2060 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เพราะมีโลกมีจักรวาล - ชีวิตและมนุษย์ถึงมี
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1580 กระทู้ล่าสุด 01 สิงหาคม 2554 08:48:28
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.323 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 27 กุมภาพันธ์ 2567 23:46:33