[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 15:22:55 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : กำเนิดจักรวาลใหม่ บิ๊กแบ็งกับวิวัฒนาการ  (อ่าน 1849 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5068


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2553 07:48:45 »




เราคือใคร? เรามาจากไหน? และกำลังจะไปไหน? เป็นคำถามที่ว่าที่นักปรัชญากับว่าที่นักจิตวิทยาสมัยดึกดำบรรพ์ตั้งเป็นคำถามถามตัวเองตั้งแต่ก่อนที่เราจะมีหนังสือเขียนเพื่อจะหาคำตอบ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้สักที มันถึงได้มีข้อสันนิษฐานมากมาย เป็นต้นว่ามาจากไข่ของจักรวาล มาจากน้ำเต้า ถูกผ่าออกมาจากพุงยักษ์ ฯลฯ ส่วนที่ถามมาว่าเราจะไปไหน? ก็มีนิยายมากมายเช่นเดียวกัน เช่น ชาวอียิปต์โบราณคิดว่ากษัตริย์ (ฟาโรห์) ของเขา เมื่อตายไปแล้วจะกลับเป็นพระเจ้าโอสิริสตอนกลางคืน หรือเกิดเป็นดาว ที่แปลกคือมีวัฒนธรรมหลากหลาย รวมทั้งที่ทิเบตจะมองว่าความตายคือการเดินทางของจิตวิญญาณ (spiritual journey) ซึ่งตรงนี้จะหมายถึงการวิวัฒนาการทางจิตไปสู่จิตวิญญาณหรือจิตเหนือสำนึกหรือไม่? และอย่างไร? น่าจะเอามาคิดต่อ


     บทความวันนี้เป็นความหมายของนักจักรวาลวิทยาที่จะตอบคำถามถึงเรื่องที่ถามกันมาตลอดเวลานั่นแหละ จนกระทั่งเมื่อราวๆ ไม่ถึงร้อยปีดีมานี้ ที่เรามีจักรวาลวิทยาศาสตร์ "สมัยใหม่" ขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็เพียงภายหลังที่เรามีกล้องดูดาวขนาดใหญ่ที่ยอดเขาวิลสันขึ้นมาแล้วที่ยังคงใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ และจักรวาลวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ "สมัยใหม่" ที่เราในประเทศไทยก็ยังใช้อยู่ในทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่หลายๆ แห่งทั้งโลกเขาเลิกใช้กันแทบหมดแล้ว เนื่องจากส่วนหนึ่งประเทศไทยยังไม่มีวิชาจักรวาลวิทยาทางด้านวิทยาศาสตร์ เท่าที่ผู้เขียนรู้ - ที่แท้จริงแยกออกมาจากวิชาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ แม้ในทุกวันนี้เรายังคงมีสภาวะความเสถียรของจักรวาลไปตามกฎของฟิสิกส์ที่คงที่ (steady state universe) เรายังมีจักรวาลเปิดจักรวาลปิด ที่ผู้เขียนเอง ในหนังสือจักรวาลสัจธรรมควอนตัมจิตวิญญาณ - ยังเข้าใจผิดโดยคิดว่าจักรวาลจบแค่นั้น และแปลจักรวาลมีวิวัตตา-สังวิวัตตาผิดๆ ด้วยซ้ำไป

     มนุษย์เราเหมือนถูกสาปแช่งให้คิดถึงแต่ตัวเอง ดังนั้นจึงคิดไกลๆ ไม่เป็น หากว่าคิดอะไรที่มีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ที่พูดว่าคิดถึงแต่ตัวเองนั้น จริงๆ แล้วก็ "ตัวกู" นั้น โดยหลักการจะจบลงที่ตัวเอง แต่เพราะมนุษย์แยกออกจากสังคมมนุษย์ไม่ได้ เราจะต้องไล่ "ของกู" ต่อไปตามลำดับไปเรื่อยๆ นั่นคือ จากใกล้ที่สุดออกไปจนไกลที่สุด เช่น ลูกๆ ผัวเมียแม่พ่อไล่ไปถึงพี่ๆ น้องๆ และวงศาคณาญาญาติ เราส่วนหนึ่งจะคิดได้ไกลเพียงแค่นั้น ถึงแค่นี้ผู้เขียนขอเรียกว่า "ตัวกูของกูชนิดปัจเจกบุคคล" ซึ่งแคบเล็กลงไปที่ครอบครัวหรือไกลถึงวงศ์ตระกูล อีกส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนขอเรียกว่า "ตัวกูของกูชนิดโดยรวม" หรือส่วนรวมของ "ตัวกูของกู" จะขยายออกไปไกลเรื่อยๆ เช่น พรรคพวกของกู โรงเรียนของกู ชุมชนและสังคมกู ไล่ไปถึงประเทศชาติของกู • ตามสามัญสำนึกหรือความเคยชินหรือฝึกฝนให้เป็นอาชีพและมีหน้าที่รับผิดชอบ โลกทัศน์จึงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ - อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนนักที่จะคิดไปไกลถึงโลก และยิ่งมีน้อยที่สุดที่จะคิดไปไกลถึงจักรวาล และไกลยิ่งกว่านั้น (worldcentric and cosmocentric and beyond) ซึ่งก่อนนี้ถือเป็นอาณาบริเวณของเมตาฟิสิกส์ แต่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกจัดให้เป็นวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ (Willis Harman and Jane Clark editors : Metaphysical Foundations of Modern Sciences, 1994) เพราะฉะนั้น เรื่องของการมองอะไรๆ ที่จำกัดเฉพาะเรื่องใกล้ๆ ตัว หรือมองอะไรๆ ที่ไกลตัวไม่เห็นหรือไม่ได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่สาธารณชนคนไทยส่วนใหญ่มากๆๆๆ - รวมทั้งผู้เขียนด้วยในช่วงแรกๆ - พากันเดือดร้อนเรื่องของการจัดการกับกลุ่มคนที่ใส่เสื้อสีต่างๆ กัน ออกมาเรียกร้องกัน กระทั่งถึงกับเข่นฆ่ากันเพราะความแตกแยกของความคิดที่ร้าวลึก ที่เรียกกันผิดๆ ว่าอุดมการณ์อันแยกไม่ได้กับกระบวนการของความคิดที่ไปในทางเดียวกันของประชาชนส่วนใหญ่โดยรวม ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เพราะว่าเราไม่ได้ลงไปลึกถึงต้นตอจริงๆ เราไม่มีความรู้ที่เป็นจริงของโลกและจักรวาลจริงๆ ที่สำหรับผู้เขียน จักรวาลและโลกคือความสำคัญที่สุด และเป็นความรู้ที่แท้จริงที่ทุกคนจะต้องติดตาม - โดยเฉพาะทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ หรือจักรวาลวิทยาที่เปลี่ยนบ่อยๆ เพราะคณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และยอมรับกันของนักวิทยาศาสตร์แล้ว พูดง่ายๆ เพราะว่าเราไม่ได้ติดตามความรู้ที่เกี่ยวกับตัวเราเองที่มาทีแรกที่สุดของเราเอง หรือคำถามที่ผู้เขียนยกมาถามในตอนแรกของบทความนี้ รวมทั้งธรรมชาติที่อยู่รอบตัว - ทั้งใกล้และไกล - ฉะนั้น เราจึงปราศจากปัญญาหรือแม้แต่ข้อมูลที่เราจะเอามาคิดต่อไปอย่างเป็นเหตุผล บทความบทนี้จึงเป็นเสมือนบทย่อของข้อมูลความรู้ทางฟิสิกส์จักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ที่เพิ่งมีขึ้นไม่ถึงสิบปีกับความรู้เรื่องวิวัฒนาการของธรรมชาติหรืออนิจจตาทั้งหมดนั้น หนึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือยอมรับกันในชมรมนักวิทยาศาสตร์ (ส่วนใหญ่) เท่าที่ผู้เขียนรู้มา สองเป็นข้อมูลของศาสนาที่ได้มาจากลัทธิพระเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพุทธศาสนา  ซึ่งผู้อ่านจะเชื่อก็ได้หรือไม่เชื่อก็ได้ เพียงแต่หลายๆ อย่างในฟิสิกส์แห่งยุคใหม่  โดยเฉพาะจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งเกิดมาเพียงสิบปี เกิดไปตรงกันกับอภิปรัชญาของพุทธศาสนาและลัทธิพระเวท - โดยหลักการ - อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออาจพูดได้ว่า บทความบทนี้มีส่วนอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ในการประสานข้อมูลของโลกของวิทยาศาสตร์เก่าที่อยู่กับเรามานาน ที่เป็นโลกของวัตถุ รวมทั้งโลกแห่งชีวิตที่ควบคุมด้วยกลไกเหมือนเครื่องจักรเครื่องยนต์ (objective experience) และที่สำคัญมีส่วนอย่างยิ่งต่อวิทยาศาสตร์ใหม ควอนตัมเม็คคานิกส์และจักรวาลวิทยาใหม่ พูดอีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ควอนตัมเม็คคานิกส์นั้น - แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นวิทยาศาสตร์เก่าหรือนิวโดอเนียนฟิสิกส์ว่าด้วยสิ่งที่เล็กที่สุด เช่น อะตอมและอนุภาค - แต่ก็เป็นไปด้วยกลไกแห่งทางเลือก (choices) หรือคลื่นของความน่าเป็นไปได้ (probability wave) นอกจากนั้นระบบควอนตัมหรือสนามควอนตัมที่เล็กละเอียดอย่างยิ่งนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคือ จิต หรือสนามจิต (mind field or field of consciousness) ที่เล็กละเอียดกว่าระบบควอนตัมหรือสนามควอนตัมมากยิ่งนัก แต่น่าจะทำงานเหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงคิดว่า จักรวาลวิทยาใหม่ที่มีเมื่อเพียงสิบปีมานี้ (ที่มีเวลาแช่แข็งหรือ frozen time จนกว่าผู้สังเกตจะเอาจิตเข้าไปจับ) อธิบายจักรวาลวิทยาว่าด้วยสิ่งที่เล็กละเอียดกว่าอนุภาคหรือคว้ากมากนัก (ซูเปอร์สตริงธีออรี) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์แห่งจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนไม่รับ เพราะไปติดอยู่กับสามัญสำนึกและความเคยชินที่ตนเรียนมา - ที่แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ทุกๆ มหาวิทยาลัยในโลกที่เรียนสอนวิชาวิทยาศาสตร์แห่งชีวิต (life sciences) เช่น ชีววิทยา แพทย์ ประสาทวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ก็ยังไม่ต้องเรียนทฤษฎีควอนตัมและวิทยาศาสตร์ทางจิต - ซึ่งสำหรับผู้เขียน วิชาอันหลังนี้ - คืออภิปรัชญาของศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่มีแต่ความเชื่อศรัทธาเป็นหัวหอก (subjective experience)

     นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนเชื่อจอร์จ กามอฟ นักฟิสิกส์รัสเซีย-อเมริกันรางวัลโนเบล ผู้ใช้คำว่า "บิ๊กแบ็ง" อธิบายกำเนิดของจักรวาลจากซิงกูลาริตี้ อันเป็นประหนึ่งความว่างเปล่า ตรงนี้จะมีสองทฤษฎีที่อธิบายว่าสรรพสิ่งปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าจักรวาลมันเกิดจากความว่างเปล่าที่สมบูรณ์อย่างไร? ทั้งสองทฤษฎีเป็นเรื่องที่ศาสนาอธิบาย เพราะวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ซิงกูลาริตี้ก็คือความว่างเปล่า เพราะคิดได้ แต่ทำไม่ได้ สองทฤษฎีนั้นก็คือ มีผู้ที่อยู่นอกจักรวาลเป็
นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งก็คือพระเจ้าของศาสนาต่างๆ นั่นเอง ส่วนทฤษฎีที่สองคือ "มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง" หรือตถาตา มันมีอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ต้น ตถาตาที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายโดยอาศัยปฏิจจสมุปปบาท (self organizing system) ซึ่งก็คือกฎของธรรมชาติที่ท่านพุทธทาสเชื่อว่าสามารถจะข้ามภพข้ามชาติหรือการติดต่อเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาลเข้าด้วยกัน - โดยไร้รอยเย็บรอยต่อ - เป็นหนึ่งเดียวที่อวตามังสกสูตรของมหายานพุทธศาสนากล่าวไว้นั่นเอง (All Is One, One Is All) อันเป็นความจริงทางควอนตัม ที่เดวิด โบห์ม พิสูจน์เบ็ดเสร็จได้ทางคณิตศาสตร์

     ในทางจักรวาลวิทยาศาสตร์นั้น ก็มีคนที่เชื่ออเล็กซานเดอร์ ฟรีดแมน กับเอ็ดวิน ฮับเบิล ซึ่งเริ่มต้นที่การเคลื่อนที่ของจักรวาล (กาแล็กซี) โดยสังเกตแสงสีแดง (red shift) ของกาแล็กซีที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเราจะค่อยเปลี่ยนสีไปเป็นสีน้ำเงิน การค้นพบนี้พบในทศวรรษ 1920 ซึ่งทำให้ทฤษฎีกำเนิดของจักรวาลและโลกแห่งชีวิต ล้วนเป็นไปเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลแห่งนี้จะต้องมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การวิวัฒน์ในที่นี้พูดกันในแง่ความจริงทางโลกที่ตามองเห็นหรือที่อวัยวะสัมผัสรับรู้ (perception) บอกเรา พูดง่ายๆ เรากำลังไม่พูดถึงความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางควอนตัม (ที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าเป็นกลไกเดียวกันคือจิตกับควอนตัมทำงานเหมือนกัน เพียงแต่จิต (conscious ness) เล็กละเอียดยิ่งกว่าระบบควอนตัม (quaff) มากนัก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ได้บังเอิญพบพื้นฐานของการแผ่รังสีที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกๆ คนกระมัง? เชื่อในทฤษฎีบิ๊กแบ็งและการพองตัว (inflation) ของจักรวาลที่พองตัวอย่างรวดเร็วมากๆ และทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเลยเข้าใจว่าเป็นร่องรอยของบิ๊กแบ็งที่เกิดจากซิงกูลาริตี้อย่างค่อนข้างแน่นอน

     แต่ในสิบปีมานี้เอง ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการตรวจวัดแรงโน้มถ่วง (gravity wave detector) และเทคโนโลยีดาวเทียมต่างๆ อันเป็นผลของความคิดของไอน์สไตน์ส่วนหนึ่ง พร้อมๆ กับการค้นพบคณิตศาสตร์ของทฤษฎีซูเปอร์สตริงและเอ็มธีออรี  ทฤษฎีด้านจักรวาลวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกครั้ง เพราะควอนตัมฟิสิกส์ที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาส่วนใหญ่มากๆ เอามาใช้โดยเชื่อว่าจักรวาลมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (multiverses) และการเกิดกับการจบสิ้นของจักรวาลจึงไม่มีที่สิ้นสุดที่นักฟิสิกส์จำนวนมากคิดว่าไปตรงกับที่พุทธศาสนาบอกเปี๊ยบ นั่นคือมีบิ๊กแบ็งๆๆ กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดดังที่องค์ทะไล ลามะ พูดถึงบ่อยๆ ควอนตัมจักรวาลวิทยา (quantum cosmology) ที่ทั้งคล้ายๆ กับในพุทธศาสนา ยังบอกต่อไปว่า ที่สำคัญคือความจริงทางควอนตัมที่ไม่มีทั้งทางผิดและละเอียดอย่างยิ่ง (แต่จิตยังละเอียดที่สุด) นั้นก็เช่นจิตที่ทำงานเหมือนกัน ฉะนั้นในที่นี้จักรวาลวิทยาใหม่ที่บอกว่าจักรวาลที่เราเห็นว่ามีวิวัฒนาการพองตัวตลอดเวลานั้น ขึ้นกับการสังเกตของเรา จักรวาลส่วนใหญ่มากๆ ที่เรายังไม่ได้สังเกตถึงได้เป็นคลื่นแห่งความเป็นไปได้เท่านั้น เหมือนจักรวาลที่ถูกแช่แข็งจนกว่าใครหรือมีจิตใครไปสังเกต (frozen in time) จักรวาลประมาณ 99.99% ที่ยังไม่ถูกใครสังเกตหรือเป็นคลื่นของความเป็นไปได้ ซึ่งก็คือความว่างเปล่า (melted vacuum) ที่ว่างของจักรวาลคือความว่างที่จะกลายเป็นสสารเมื่อถูกจิตสังเกต.


http://www.thaipost.net/sunday/090510/21931

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2553 11:45:43 »




กลอกตา   ขอบพระคุณ คุณมดค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2466 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : บุพนิมิตเผ่าพันธุ์ใหม่-จากกายและจิตรู้สู่จิตวิญญาณ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2214 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 15:33:54
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2744 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : โลกกับแผ่นดินไหว-ทำไมถึงถี่และรุนแรงจัง?
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1700 กระทู้ล่าสุด 15 มีนาคม 2553 07:44:06
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ใกล้จะถึงแล้ว-ยุคจิตวิญญาณโลกานุวัตร
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2017 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:42:02
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.552 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 02:23:23