[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 มิถุนายน 2568 06:59:34 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )  (อ่าน 23246 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 17:53:13 »





บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด
( โลหิตสูตร )

BLOOD STREAM  SERMON

http://img410.imageshack.us/img410/6381/zazen.gif
บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )


ทุกสิ่งที่ปรากฏในภพทั้งสามล้วนเกิดจากจิต1*
ดังนั้น พระพุทธเจ้า2* ทั้งในอดีตและอนาคต
ย่อมสอนด้วยวิธีจิตสู่จิต โดยไม่ยึดรูปแบบตายตัวใด ๆ3*

“ แต่ถ้าไม่ใช่รูปแบบตายตัว พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจะใช้จิตโดยวิธีใด ? ”
“ สิ่งที่ท่านถามนั้นแหละคือจิตของท่าน ”
“ สิ่งที่ฉันตอบนั้นแหละคือจิตของฉัน ”

“ ถ้าฉันไม่คิดฉันจะตอบได้อย่างไร ”
“ ถ้าท่านไม่คิดท่านจะถามได้อย่างไร ”
“ สิ่งที่ท่านถามก็คือความคิด ( จิต ) ของท่าน ”

ตลอดกัปกัลป์4* อันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้
ท่านทำสิ่งใดก็ตาม
อยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งนั้นคือจิตที่แท้จริงของท่าน

สภาวะนั้นคือพระพุทธเจ้าที่แท้จริงของท่าน จิตนี้คือพุทธะ5*   
ท่านกล่าวว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
นอกเหนือจากจิตนี้แล้วท่านจะพบพระพุทธเจ้าที่อื่นไม่ได้เลย

การแสวงหาโพธิ6* ( การบรรลุธรรม ) หรือนิพพาน7*
นอกจากจิตนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ความเป็นจริงของธรรมชาติของท่านเอง8*
ที่เป็นสภาพที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ก็เกิดมาจากจิตด้วย
เพราะภาวะแห่งนิพพานมีอยู่แล้วในจิตของท่าน

ท่านอาจคิดเอาเองก็ได้ว่า
ท่านสามารถค้นพบพระพุทธเจ้าหรือโพธิอยู่นอกจิตนี้
แต่สถานที่เช่นนั้นจะไม่มีอยู่จริงได้เลย



เชิงอรรถ บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด

1*พุทธศาสนาไม่ได้จำกัดตนเองว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เข้าใจกันว่ามี พระพุทธเจ้านับไม่ได้ แท้จริงแล้วทุกคนมีพุทธภาวะ มีพุทธะในทุก ๆ โลก (ทุกๆ หนแห่ง) เหมือนมีความรู้สึกตัวอยู่ในทุกความคิด คุณสมบัติสำคัญสำหรับพุทธภาวะ คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สมบูรณ์ ( สติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม)

2* หลังจากที่ท่านมาถึงประเทศจีน ท่านโพธิธรรมได้ใช้เวลา 9 ปี โดยการพึ่งกรรมฐานหันหน้าเข้ากำแพงแห่งถ้ำ ใกล้กับวัดเส้าหลิน คำว่า กำแพงตามความหมายของท่านโพธิธรรม ก็คือความว่าง ที่สัมพันธ์กับสิ่งที่ตรงข้ามทุกสิ่ง รวมทั้งตนเองและ ผู้อื่น คนพาลหรือบัณฑิตก็ตาม

3* ไม่มีขอบเขตในการถ่ายทอดธรรม เป็นเครื่องทดลองแบบหนึ่งของพุทธศาสนานิกายเซ็น ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการไม่ใช้คำพูดเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นก็มิได้จำกัดรูปแบบในการถ่ายทอด การแสดงอาการ ( บอกใบ้ ) เป็นการถ่ายทอดพอ ๆ กับการใช้คำพูด

4*กัลป์เป็นช่วงจากการสร้างโลกไปจนความวินาศของโลกชื่อ กัลป์หนึ่ง

5* นี้คือพุทธศาสนาแบบมหายาน มีเรื่องเล่าไว้สั้น ๆ ว่า ครั้งหนึ่งพระรูปหนึ่งถามปุโรหิตท่านหนึ่งว่า “ท่านมัชสุ ( MATSU ) สอนเขาว่าอย่างไร ?” ปุโรหิตตอบว่า “ จิตคือพุทธะ” พระนั้นตอบว่า “ปัจจุบันท่านมัชสุสอน (ไหม) ว่า สิ่งใดไม่ใช่จิตสิ่งนั้นไม่ใช่พุทธะ” ปุโรหิตนั้นจึงตอบว่า “ ขอให้ท่านมีสิ่งที่ทั้งไม่ใช่จิตและไม่ใช่พุทธะ” เมื่อท่านมัชสุได้ยินเรื่องนี้จึงกล่าวว่า “ลูกพลัมสุกแล้ว” (BIG PLUM=ปุโรหิต แปลจากปทีปสูตรบทที่ 7)

6* โพธิเมื่อจิตหลุดพ้นจากโมหะจึงเรียกว่า “ มีแสงสว่างเต็มรอบ ” เสมือนพระจันทร์ไม่มีเมฆหมอกบดบังอีกต่อไป เป็นการประสบกับการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง คนที่บรรลุโพธิแล้วย่อมถึงพระนิพพาน เพราะโพธิทำให้หมดกรรม การได้ยินได้ฟัง ( สุตะ ) เป็นหน้าที่อันดับแรก แต่การเห็นเป็นความเคยชินของมนุษย์ ซึ่งเป็นแหล่งหรือบ่อเกิดความรู้เกี่ยวกับความจริง ดังนั้น การใช้อุปมาอุปไมยกับสิ่งที่เห็นจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ในพระสูตรก็พูดถึงโลกที่พระพุทธเจ้าทรงสอน โดยความรู้สึกทางกลิ่นด้วยเช่นกัน ( ฆานสัมผัส )

7* ผู้แปลภากษ์จีนครั้งแรก พยายามจะใช้ภาษาจีนประมาณ 40 คำก่อน ในที่สุดก็ใช้จนจบ และคำนี้ก็แปลมาจากคำสันสกฤต ซึ่งหมายถึง “การไม่หายใจ” แต่มัน ก็จำกัดว่าเป็นความสงบเท่านั้น คนส่วนมากก็เข้าใจว่าเหมือน “ความตาย” แต่การนิพพานแบบพุทธหมายถึง การไม่เกี่ยวข้องว่าลมหายใจมีหรือไม่มี ตามหลักของท่านนาคารชุน ว่า “ เมื่อมีอัตตาที่รับกรรมอยู่ สังสาระก็มี เมื่อไม่มีอัตตาที่รับกรรมอีกต่อไปก็เป็นนิพพาน” ( มัธยามิกสูตร บทที่ 25 คาถาที่ 9 ไตรปิฎกมหายาน)

8* สภาวะสิ่งที่เป็นเช่นนั้นเอง สภาวะไม่ได้อาศัยอะไร คือภาวะทั้งถาวร,ชั่วคราว หรือว่าง ๆ ดุจอากาศ , สภาวะไม่มีปรากฏการณ์ที่อยู่รวมกันหรือแยกกัน สภาวะเป็นความว่างจากรูปลักษณ์ รวมทั้งความว่างเอง และสภาวะยังจำกัดความจริงด้วย


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 สิงหาคม 2554 16:41:31 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: ลงใหม่ค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 18:00:09 »


http://i346.photobucket.com/albums/p422/greencactus_2008/DSCN2913.jpg
บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด ( โลหิตสูตร )


ความพยายามค้นหาพระพุทธเจ้า หรือค้นหาการบรรลุธรรม
ก็เหมือนการจับฉวยเอาอากาศ ซึ่งมีแต่ชื่อแต่ไร้ตัวตน
มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะสามารถหยิบขึ้นหรือวางลงได้

และท่านไม่สามารถจะจับฉวยมันได้
พระพุทธเจ้าเกิดจากจิตของท่าน
แล้วจะค้นหาพระพุทธเจ้านอกจิตนี้ไปทำไม ?


พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคตล้วนแต่กล่าวถึงจิตนี้เท่านั้น
ดังนั้น จิตนี้จึงคือพุทธะ และพุทธะก็คือจิตนั่นเอง


นอกเหนือจากจิตไม่มีพุทธะ และนอกเหนือพุทธะก็ไม่มีจิต
ถ้าท่านคิดว่ามีพุทธะที่เหนือจิตนี้แล้ว พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ


ดังนั้น จึงไม่มีพระพุทธเจ้านอกเหนือจากจิต   ทำไมเราไม่เผชิญหน้ากับพระองค์
ตราบใดที่คุณหลอกตัวเองอยู่   คุณก็ไม่สามารถรู้จักจิตที่แท้จริงของตัวเอง


ตราบใดที่คุณยังหลงติดอยู่ในรูปที่ไร้ชีวิต
( หมายถึงรูปกับนามไม่ได้อยู่ด้วยกัน กายอยู่ที่หนึ่งแต่จิตคิดไปอีกที่หนึ่ง )

คุณก็ยังไม่มีอิสระ ถ้าไม่เชื่อคำกล่าวนี้  คุณก็หลอกตัวเอง
อย่างช่วยไม่ได้
มันไม่ใช่ความผิดของพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 18:30:07 »





แม้ประชาชนเองก็ถูกหลอก พวกเขาไม่เคยรู้จักว่า จิตของตนเองนั้นแหละ
คือพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้นไม่ต้องแสวงหาพระพุทธเจ้านอกจิตของตนเอง

พระพุทธเจ้าย่อมไม่ดูแลรักษาพระพุทธเจ้าด้วยกันเอง   หมายความว่า
ถ้าท่านใช้จิตของท่านหาพุทธะ ท่านก็จะไม่เห็นพุทธะ
(การใช้ความคิดดูจิตย่อมไม่เห็นจิต ใช้สติดูจิตจึงจะเห็นจิต )

ตราบใดที่ท่านหาพระพุทธเจ้าภายนอกตนเอง
ท่านก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ภายในจิตของท่านเอง

อย่าใช้พระพุทธเจ้าบูชาพระพุทธเจ้า   ( ผู้ที่รู้จักตนเองย่อมไม่หลงบูชา สิ่งอื่น )
อย่าใช้จิตปลุกพระพุทธเจ้า9*

พระพุทธเจ้าย่อมไม่สวดมนต์10*  พระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาศีล11*
พระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาวินัย และไม่ต้องละเมิดวินัยใด ๆ

พระพุทธเจ้าไม่ต้องทำดีหรือชั่ว
( จิตเข้าถึงพุทธะย่อมอยู่เหนือสมมติ และโลกธรรมทั้งปวง )

การค้นหาพุทธะท่านต้องค้นหาตนเองให้พบก่อน
ใครก็ตามที่เห็นตนเอง ชื่อว่าเห็นพุทธะ12*

ถ้ายังไม่เห็นตนเอง ,การทำพุทธาภิเษก
,การท่องบ่นพระสูตร,
,การบำเพ็ญทาน และการรักษาศีล
ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์

การปลุกเสก การสวดมนต์อ้อนวอนพระพุทธเจ้า
อาจส่งเสริมให้สร้างกุศลกรรม

การท่องจำพระสูตรอาจเป็นผลให้มีความทรงจำดี,
การสมาทานรักษาศีลอาจเป็นผลให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี


และการบำเพ็ญทานเป็นผลให้ได้รับความสุข แต่ไม่ส่งผลให้เป็นพุทธะได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2553 05:31:08 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 18:36:05 »




ถ้าท่านไม่เข้าใจคำสอนด้วยตัวของท่านเอง
ท่านก็ต้องไปพบกับครูผู้มีความเข้าใจลุ่มลึก
และลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตและความตาย13*

ผู้ไม่เห็นธรรมชาติของตนเองนั้นยังเป็นครูไม่ได้


ถึงแม้เขาจะสามารถ
ท่องพระไตรปิฎกได้จบถึงสิบสองรอบก็ตาม14*

เขาก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารได้15*
เขาย่อมเป็นทุกข์อยู่ในภพทั้งสาม ( กามภพ , รูปภพ , อรูปภพ )
โดยไม่มีหวังที่จะปลดเปลื้องทุกข์ได้เลย


นานมาแล้ว มีพระรูปหนึ่งเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป16*
เป็นผู้สามารถท่องพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด
แต่ท่านก็ไปไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร

เพราะท่านไม่เห็นธรรมชาติของตนเอง*
( *ผู้เห็นธรรมชาติของตน เข้าใจว่าเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม
หรือได้ธรรมจักษุ นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป … ผู้แปลไทย)


เพราะเข้าใจกันว่าการท่องพระสูตรเป็นเหตุให้มีชื่อเสียง17*
ดังนั้นศาสนิกทุกวันนี้จึงชอบท่องพระสูตรหรือคาถาไว้มากบ้างน้อยบ้าง
และคิดว่าการได้ท่องพระสูตรได้เป็นการรู้ธรรมะ

ความเข้าใจเช่นนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลา เว้นไว้แต่คนที่รู้จักจิตของตนเอง
การสาธยายพระสูตรหรือท่องคาถาภาษิตได้นั้น

นับได้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 19:23:03 »





การจะค้นพบพระพุทธเจ้า สิ่งที่ท่านต้องทำก่อนคือ
การค้นตนเองให้พบ
เพราะ ธรรมชาติของตนเอง นั่นแหละคือพุทธะ
พบพุทธะภาวะซึ่งเป็นภาวะที่อิสระ
คืออิสระจากพิธีกรรม อิสระจากอุบายต่าง ๆ
และอิสระจากการปรุงแต่งวิตกกังวล


ถ้าท่านยังไม่เห็นตนเอง ย่อมวนเวียนแส่ส่ายหาแต่สิ่งภายนอกตัวเรื่อยไป
เพราะสัจจธรรมมีอยู่แล้วในคนทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องค้นหาอีก
แต่การเข้าถึงปัญญาเช่นนั้นได้ ท่านจำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายาม
เพื่อทำให้ตนเองเข้าใจตนเอง ( ทำความเข้าใจในตนเองได้ )

ชีวิตและความตายเป็นสิ่งสำคัญ
อย่าทำตนเองให้เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไร้สาระ
การหลอกลวงตนเอง
ไม่ได้ทำให้ท่านก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้เลย
แม้ท่านจะมีเพชรเม็ดโตเท่าภูเขา
และมีบริวารมากเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ตาม





เมื่อท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ดวงตาของท่านก็สว่างไสว
แต่ดวงตาของท่านปิดเพราะอะไร และปิดตั้งแต่เมื่อไหร่
ท่านต้องรู้และเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
เพราะทุกสิ่งที่ท่านเห็นมันเป็นเสมือนความฝัน หรือภาพลวงตา


ถ้าท่านไม่รีบพบครูโดยเร็ว ท่านก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระประโยชน์
ความจริงก็คือว่า ท่านมีพุทธภาวะอยู่แล้ว
แต่เพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากครู ( กัลยาณมิตร )
ท่านจึงไม่รู้จักพุทธภาวะนั้น

แต่ก็มีเพียงหนึ่งในล้านคนที่จะบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยครู
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2553 13:25:34 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 19:38:11 »





ถ้าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร
เข้าใจความปรุงแต่งของสังขารทั้งหลาย ( ขันธ์ห้า )
บุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องมีครู
เพราะคนเช่นนั้นมีสติสัมปชัญญะสูงมาแต่กำเนิด
ใครจะสอนสิ่งใดเขาก็เข้าใจได้ทันที
สำหรับท่านที่สร้างสมบารมีมามาก
ศึกษาปฏิบัติมาด้วยความยากลำบาก
ท่านเหล่านี้เพียงอาศัยการสอนเท่านั้นก็เข้าใจได้


คนที่ไม่เข้าใจธรรมะถ่องแท้ และคิดว่าตนเองเข้าใจ
โดยปราศจากการศึกษาและปฏิบัติ (อย่างถูกต้อง)
คนเช่นนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากคนหลงทาง
หลงตนเองไม่สามารถจะแยกขาวต่างจากดำได้18*
ย่อมประกาศพุทธธรรมอย่างผิด ๆ เช่นนั้นย่อมชื่อว่า
กล่าวตู่หรือดูหมิ่นพระพุทธเจ้า และชื่อว่าเป็นผู้ลบล้างพระธรรม


เขาแสดงธรรมเสมือนว่าเขากำลังทำฝนให้ตก
แต่ที่จริงคนเช่นนั้นกำลังแสดงธรรมของมาร
ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ครูของพวกเขาก็คือพญามาร19*
และสาวกของเขาก็คือบริวารของพญามาร
คนที่หลงงมงายทำตามคำสอนเช่นนั้น
ย่อมจมลงในทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิดลึกลงไปเรื่อย ๆ


ศาสนิกจะสามารถเรียกตนเองว่าเป็นพุทธศาสนิกได้อย่างไร
หากพวกเขาเป็นคนโกหกหรือมุสา
ซึ่งหลอกลวงผู้อื่นให้ก้าวไปสู่ภพภูมิแห่งมาร ( อบายภูมิ )
นอกจากคนที่เห็นตนเองแล้ว
การแสดงธรรมของคนผู้ที่เรียนแต่พระไตรปิฎกได้ถึง 12 หมวด
ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากเป็นการแสดงธรรมของมาร


 


18* หลักฐานยืนยันที่มาของศาสนาพุทธ เหมือนกับศาสนาขงจื้อหรือลัทธิเต๋า ซึ่งได้กล่าวไว้ ในข้อเขียนของท่านฮุย – หลิน ( Hui – Lin ) ที่เขียนเป็นเรื่องราวถึง 435 เรื่อง ซึ่งเขาเรียกว่า ความจริงเสมอกันของลัทธิขงจื้อและพุทธศาสนา ในข้อเขียนเหล่านี้ เขาได้ปฏิเสธถึงการให้ผลของกรรม หลังจากการตายแล้วด้วย


19* ปีศาจ ชาวพุทธก็เหมือนกับศาสนิกของศาสนาอื่น ๆ คือ รู้จักแยกแยะเป้าหมาย ( จุดประสงค์ ) ของตน คือการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง มารซึ่งเป็นผู้นำกองทัพปีศาจอันมหาศาล ซึ่งถูกพระพุทธเจ้าทรงปราบปรามให้พ่ายแพ้ ในคืนวันตรัสรู้ของพระองค์เอง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2553 14:28:29 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: คำอธิบายเชิงอรรถค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 20:17:08 »





ความเลื่อมใสก็เป็นความเลื่อมใสต่อมาร
ไม่ใช่เลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าไม่อาจแยกขาวออกจากดำได้
เขาจะหลีกเลี่ยงการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร

ผู้ใดเห็นธรรมในตนผู้นั้นชื่อว่าเป็นพุทธะ (เห็นพุทธะ)
ผู้ใดยังไม่เห็นธรรมในตน ผู้นั้นชื่อว่ายังเป็นปุถุชน*

( *คือผู้ที่ต้องตายด้วยความประมาท เพราะความประมาทคือความตาย…
 ผู้แปลไทย)

ถ้าท่านค้นพบพุทธภาวะของตนเอง
อันต่างไปจากความเป็นปุถุชน
สภาพเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้ตรงไหน

ปุถุชนภาวะของเราก็คือพุทธภาวะของเราเช่นกัน

นอกจากปุถุชนภาวะก็ไม่มีพุทธภาวะเช่นกัน
พุทธภาวะก็คือธรรมชาติของเรา
ไม่มีพุทธะนอกเหนือไปจากธรรมชาติ
และไม่มีธรรมชาตินอกเหนือไปจากพุทธภาวะ


“ สมมติว่าฉันยังไม่เห็นธรรมชาติของฉัน
ฉันไม่สามารถบรรลุธรรมได้ด้วยการปลุกพุทธะ ,
สาธยายพระสูตร , ให้ทาน , รักษาศีล ,
อุทิศส่วนบุญหรือทำกรรมดีใด ๆ ได้เลยหรือ ? ”

“ ไม่ ท่านยังบรรลุธรรมไม่ได้ ”
“ ทำไม จึงไม่ได้ ”

“ ถ้าท่านเข้าถึงได้ในสิ่งหนึ่ง
มันก็เป็นเพียงสังขาร ( เป็นการคิดเอา )
ซึ่งทำให้ต้องทำกรรมต่อไป

ทำกรรมนั้นก็ให้ผลสนองตอบต่อไป


ผลกรรมนั้นก็ทำให้ต้องเวียนว่ายในวัฏฏสงสารอยู่เรื่อยไป
ตราบใดที่ท่านยังต้องทำกรรมที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย
ท่านก็ยังจะบรรลุธรรมไม่ได้

เพราะการบรรลุธรรมได้
ท่านต้องเห็นธรรมชาติของตนเองก่อน
เมื่อเห็นธรรมชาติในตนเองแล้ว

การพูดถึงเหตุปัจจัยทุกอย่างเป็นเรื่องไร้ประโยชน์

พระพุทธเจ้าจะไม่ทำในสิ่งเหลวไหลไร้สาระ เพราะพระองค์
เป็นอิสรภาพ
จากกรรม
20* และเป็นอิสรภาพจากเหตุปัจจัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2553 14:54:56 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2553 20:37:21 »





การกล่าวว่า ตนได้บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง ( ถ้าไม่เป็นจริง )
ถือว่าเป็นการกล่าวตู่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า  คนเช่นนั้นจะบรรลุธรรมอะไรได้ ?

แม้แต่การสำรวมจิต การมีพลังสำนึก , ความเข้าใจและความเห็นที่ถูกต้อง
ต่อพระพุทธองค์ยังไม่มีเลย
พระพุทธเจ้าไม่มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ธรรมชาติแห่งจิตของพระองค์ มีความว่างเป็นพื้นฐาน

ไม่ใช่ความสะอาดหรือสกปรก พระองค์เป็นอิสระจากการปฏิบัติและการรู้แจ้ง
เป็นอิสระจากเหตุปัจจัย

พระพุทธเจ้าไม่ได้สมาทานศีล , ไม่ได้ทำความชั่วอีก ไม่ได้เป็นคนขยันหรือขี้เกียจ
พระองค์ไม่ได้ทำอะไรต่อไปอีก
ไม่ได้ระวังจิตเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า


ถ้าท่านไม่เห็นสิ่งที่ท่านกำลังพูด ท่านก็ยังไม่รู้จักใจของตนเอง
คนที่ยังไม่เห็นตนเอง
แต่คิดเอาว่าเห็นตนเองและปฏิบัติด้วยจิตว่างตลอดเวลา

นั้นเป็นเรื่องโกหกและโง่เขลาด้วย  เขาย่อมตกไปสู่ห้วงเหวอเวจีได้

เหมือนคนเมาไม่อาจแยกดีออกจากชั่วได้

ถ้าท่านใส่ใจที่จะฝึกฝนอบรมการปฏิบัติให้เข้าใจตนเอง

ท่านต้องเห็นตนเองเสียก่อน แล้วท่านจึงจะทำลายความคิดปรุงแต่งให้สิ้นสุดได้
การบรรลุธรรมโดยไม่เห็นธรรมชาติของตนเองก่อนย่อมเป็นไปไม่ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2553 15:23:29 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553 09:52:06 »




ถ้ายังประกอบกรรมทำชั่วชนิดต่าง ๆ อยู่
แล้วอ้างว่ากรรมที่ทำไม่มีผล

เมื่อทุกสิ่งเป็นความว่าง
ทำกรรมชั่วแล้วคิดว่าไม่ผิด

ความเข้าใจเช่นนั้นยังมีอันตรายอยู่มาก
คนเช่นนั้นย่อมตกนรกในอเวจี


โดยไม่มีหวังจะปลดเปลื้องได้เลย
แต่ท่านผู้ฉลาดย่อมไม่เข้าใจเช่นนั้น


“ แต่ถ้าทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมาจากจิตทั้งหมด
ทำไมเมื่อกายและจิตนี้แตกดับเราจึงไม่รู้ ? ”

“ จิตนี้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา ท่านไม่ดูจิตต่างหากเล่า ! ”
“ แต่ถ้าจิตเป็นปัจจุบันเสมอ ทำไมฉันจึงไม่เห็นจิต ? ”

“ ท่านเคยฝันบ้างไหม ? ”

“ เคยแน่นอน ”

“ เมื่อท่านฝัน ความฝันนั้นเป็นท่านใช่ไหม ? ”

“ ใช่ เป็นข้าพเจ้า ”

“ และในฝันนั้น ท่านกำลังทำ กำลังพูดอะไร มันต่างไปจากตัวท่านหรือไม่ ? ”

“ ไม่ ไม่แตกต่างอะไรเลย ”

“ แต่ ถ้าไม่แตกต่าง กายนี้เป็นธรรมกายของท่าน
และกายของท่านก็เป็นใจของท่านด้วย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553 10:04:07 »




จิตนี้ได้ผ่านกาลเวลามาหลายกัปหลายกัลป์
ไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่มีการเริ่มต้น และไม่เคยแปรเปลี่ยน ,
มันไม่เคยอยู่และไม่เคยตาย ,

ไม่ปรากฏขึ้นและไม่หายไป , ไม่ได้สะอาดหรือสกปรก ,
ไม่ดีหรือไม่ชั่ว , ไม่ได้เป็นอดีตหรืออนาคต , ไม่ถูกหรือผิด , จริงหรือเท็จ ,

ไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชาย , ไม่ใช่เป็นพระหรือฆราวาส , ไม่ใช่สามเณรหรือพระเถระ ,
ไม่ใช่นักปราชญ์หรือคนพาล , ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือปุถุชน

เป็นความเพียรที่ไม่ต้องการรู้แจ้ง เป็นทุกข์โดยไม่ต้องการสร้างกรรม ไม่มีภาวะแข็งหรืออ่อน


มันเป็นเสมือนอากาศ ท่านไม่สามารถจะเป็นเจ้าของหรือทำลายมันได้
ไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวของสภาวะนี้ด้วยแรงแห่งภูเขา , แม่น้ำ , หรือกำแพงหิน

พลังอำนาจของสิ่งนี้ ( พุทธภาวะ ) มีอำนาจเจาะทะลุภูเขาแห่งขันธ์ห้า21*
อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ และสามารถข้ามโอฆะสงสารได้22*

ไม่มีกรรมใด ๆ สามารถควบคุม ธรรมกาย ( กายแท้หรือนามรูปล้วน ๆ ) นี้ได้
แต่จิตเป็นภาวะละเอียดอ่อนยากที่จะมองเห็น

มันไม่เหมือนจิตที่รู้สึกนึกคิดได้ ( จิตตสังขาร ) ทุกคนต้องการเห็นจิตนี้


คนที่เคลื่อนไหวมือและเท้า
โดยอาศัยความชัดเจนของความรู้สึกชนิดนี้ให้ได้มากเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา

แต่เมื่อถามถึงลักษณะของความสว่างไสวของจิตชนิดนี้
ก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นเหมือนหุ่นกระบอก


คนที่ใช้เท่านั้นย่อมรู้ ทำไมคนดูจึงไม่เห็นล่ะ ?
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553 10:27:55 »




พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ถูกอวิชชาครอบงำ นี้คือเหตุผลที่ว่า
เมื่อใดทำกรรมเมื่อนั้นย่อมเข้าไปสู่กระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

และเมื่อใดเขาพยายามออกจากกระแส
ก็ดูเหมือนดิ่งจมลึกลงไปอีก เพราะคนเหล่านั้นไม่เห็นตนเอง

ถ้าสรรพสัตว์ไม่ถูกครอบงำ ทำไมเขาจึงถามเรื่องธรรมะ
ทั้ง ๆ ที่ธรรมะก็ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเขานั้นเอง


ไม่มีใครเข้าใจความเคลื่อนไหวของมือ
และเท้าของตนเองเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้ผิด

 
แต่เพราะมนุษย์ถูกความหลงครอบงำ จึงทำให้ไม่รู้จักว่าตนเองเป็นใคร
เป็นสิ่งที่ยากแก่การหยั่งรู้

แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ได้ยาก
นอกจากผู้มีปัญญาเท่านั้นจะรู้จักจิตนี้ จิตนี้จึงถูกเรียกว่าธรรมชาติบ้าง อิสรภาพบ้าง

ไม่ว่าชีวิตหรือความตายไม่อาจควบคุมหรือหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของจิตนี้ได้
ไม่มีอะไรยั้งจิตได้เลยจริง ๆ

แม้พระตถาคต23* ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้เช่นกัน คือเป็นภาวะที่เข้าใจยาก ,
เป็นอัตตาที่ศักดิ์สิทธิ์ , ไม่รู้จักตาย ( ตายไม่เป็น ) , เป็นผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ จิตนี้จึงมีชื่อต่าง ๆ กันไป

ไม่มีสาระที่แน่นอน พุทธภาวะก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ไม่ทอดทิ้งจิตของตนเอง


ศักยภาพของจิตนี้ไร้ขอบเขต
การปรากฏตัวของจิต

เป็นภาวะที่ไม่รู้จักจบสิ้นเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส
บทบาททุกอย่างล้วนออกมาจากจิตของตนทั้งสิ้น

ในทุก ๆ ขณะจิตของเราสามารถไปได้ทุกหนทุกแห่ง
ที่มีสื่อภาษาให้ไปถึงได้ ( สมมติ ) และไปเหนือภาวะที่ไร้ภาษา ( ปรมัตถ์ )


สามารถหาอ่านเพิ่มเติม
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2981


Credit by : http://ongart.spaces.live.com/blog/cns!8526C50E90F50A92!1121.entry
Pics by : http://www.travelpod.com/travel-blog-entries/oandb/1/1271202420/tpod.html#pbrowser/oandb/1/1271202420/filename=nanna-ji-cherry-trees.jpg
: Google

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2553 12:48:45 »


(:LOVE:)พุทธะเท่านั้นคือ จิต ภายในตัวเรามีดวง จิต ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ แต่จะทำอย่างไรให้ ดวงจิต ที่สะอาดบริสุทธิ์โผล่ออกมา รัก



Peaceful Japanese Music


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤษภาคม 2553 12:59:01 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2553 09:18:35 »




เชิงอรรถ บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด

1*พุทธศาสนาไม่ได้จำกัดตนเองว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เข้าใจกันว่ามี พระพุทธเจ้านับไม่ได้ แท้จริงแล้วทุกคนมีพุทธภาวะ มีพุทธะในทุก ๆ โลก (ทุกๆ หนแห่ง) เหมือนมีความรู้สึกตัวอยู่ในทุกความคิด คุณสมบัติสำคัญสำหรับพุทธภาวะ คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สมบูรณ์ ( สติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม)


2* หลังจากที่ท่านมาถึงประเทศจีน ท่านโพธิธรรมได้ใช้เวลา 9 ปี โดยการพึ่งกรรมฐานหันหน้าเข้ากำแพงแห่งถ้ำ ใกล้กับวัดเส้าหลิน คำว่า กำแพงตามความหมายของท่านโพธิธรรม ก็คือความว่าง ที่สัมพันธ์กับสิ่งที่ตรงข้ามทุกสิ่ง รวมทั้งตนเองและ ผู้อื่น คนพาลหรือบัณฑิตก็ตาม


3* ไม่มีขอบเขตในการถ่ายทอดธรรม เป็นเครื่องทดลองแบบหนึ่งของพุทธศาสนานิกายเซ็น ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการไม่ใช้คำพูดเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นก็มิได้จำกัดรูปแบบในการถ่ายทอด การแสดงอาการ ( บอกใบ้ ) เป็นการถ่ายทอดพอ ๆ กับการใช้คำพูด


4*กัลป์เป็นช่วงจากการสร้างโลกไปจนความวินาศของโลกชื่อ กัลป์หนึ่ง


5* นี้คือพุทธศาสนาแบบมหายาน มีเรื่องเล่าไว้สั้น ๆ ว่า ครั้งหนึ่งพระรูปหนึ่งถามปุโรหิตท่านหนึ่งว่า “ท่านมัชสุ ( MATSU ) สอนเขาว่าอย่างไร ?” ปุโรหิตตอบว่า “ จิตคือพุทธะ” พระนั้นตอบว่า “ปัจจุบันท่านมัชสุสอน (ไหม) ว่า สิ่งใดไม่ใช่จิตสิ่งนั้นไม่ใช่พุทธะ” ปุโรหิตนั้นจึงตอบว่า “ ขอให้ท่านมีสิ่งที่ทั้งไม่ใช่จิตและไม่ใช่พุทธะ” เมื่อท่านมัชสุได้ยินเรื่องนี้จึงกล่าวว่า “ลูกพลัมสุกแล้ว” (BIG PLUM=ปุโรหิต แปลจากปทีปสูตรบทที่ 7)


6* โพธิเมื่อจิตหลุดพ้นจากโมหะจึงเรียกว่า “ มีแสงสว่างเต็มรอบ ” เสมือนพระจันทร์ไม่มีเมฆหมอกบดบังอีกต่อไป เป็นการประสบกับการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง คนที่บรรลุโพธิแล้วย่อมถึงพระนิพพาน เพราะโพธิทำให้หมดกรรม การได้ยินได้ฟัง ( สุตะ ) เป็นหน้าที่อันดับแรก แต่การเห็นเป็นความเคยชินของมนุษย์ ซึ่งเป็นแหล่งหรือบ่อเกิดความรู้เกี่ยวกับความจริง ดังนั้น การใช้อุปมาอุปไมยกับสิ่งที่เห็นจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ในพระสูตรก็พูดถึงโลกที่พระพุทธเจ้าทรงสอน โดยความรู้สึกทางกลิ่นด้วยเช่นกัน ( ฆานสัมผัส )


7* ผู้แปลภาพจีนครั้งแรก พยายามจะใช้ภาษาจีนประมาณ 40 คำก่อน ในที่สุดก็ใช้จนจบ และคำนี้ก็แปลมาจากคำสันสกฤต ซึ่งหมายถึง “การไม่หายใจ” แต่มัน ก็จำกัดว่าเป็นความสงบเท่านั้น คนส่วนมากก็เข้าใจว่าเหมือน “ความตาย” แต่การนิพพานแบบพุทธหมายถึง การไม่เกี่ยวข้องว่าลมหายใจมีหรือไม่มี ตามหลักของท่านนาคารชุน ว่า “ เมื่อมีอัตตาที่รับกรรมอยู่ สังสาระก็มี เมื่อไม่มีอัตตาที่รับกรรมอีกต่อไปก็เป็นนิพพาน” ( มัธยามิกสูตร บทที่ 25 คาถาที่ 9 ไตรปิฎกมหายาน)


8* สภาวะสิ่งที่เป็นเช่นนั้นเอง สภาวะไม่ได้อาศัยอะไร คือภาวะทั้งถาวร,ชั่วคราว หรือว่าง ๆ ดุจอากาศ , สภาวะไม่มีปรากฏการณ์ที่อยู่รวมกันหรือแยกกัน สภาวะเป็นความว่างจากรูปลักษณ์ รวมทั้งความว่างเอง และสภาวะยังจำกัดความจริงด้วย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2553 09:23:55 »


เชิงอรรถ บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด


9* การอ้อนวอน ( หรือการอธิษฐาน ) รวมทั้งการจินตนาการถึงพุทธะและกล่าวพระนามของพุทธะบ่อยๆ จุดประสงค์โดยทั่วไปของการแสดงความจงรักภักดีคือ อมิตาพุทธะซึ่งเป็นพุทธเจ้าสากล การแสดงความจงรักภักดีแบบหมดชีวิตจิตใจต่ออมิตาพุทธะ เป็นหลักประกันผู้ภักดีว่าจะได้ไปเกิดใหม่ในสวรรค์ด้านตะวันตก ซึ่งเป็นสภาพที่จะได้บรรลุธรรมได้ง่ายกว่าที่กล่าวไว้ในโลกนี้ * ( *คติของพุทธแบบหินยาน หรือเถรวาท อาจจะได้แก่โลกพระศรีอริยเมตไตย …. ผู้แปลไทย )

10* พระสูตรหมายถึงเส้นด้าย คือพระสูตรย่อมร้อยเรียงเอาพระพุทธพจน์เข้าไว้ด้วยกันเป็นหมวดหมู่

11* ศีล การรักษาศีลแบบชาวพุทธ ได้รวมเอาข้อห้ามไว้จำนวนหนึ่งด้วย โดยทั่วไปศีล 5 สำหรับ ฆราวาส ศีล 227 หรือเกือบ 250 สำหรับพระ และศีล 350 ถึง 50 อันมาจากที่ต่าง ๆ สำหรับภิกษุณี

12* เห็นธรรมชาติของท่านเองจะเรียกว่า SELF – NATUER หรือ BUDDHA – NATUER ก็ได้ ธรรมชาติของเราคือธรรมกายของเรา ( กายจริง ) และมันก็รวมถึงกายเทียม ( รูปกาย – รูปสมมติ ) ของเราด้วย ธรรมกายของเรา มิใช่อัตตาภาวะที่จะไปเกิดหรือตาย ปรากฏหรือไม่ปรากฏ แต่กายเทียมของเรายังอยู่ในภาวะที่ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อเห็นธรรมชาติของตนเอง ธรรมชาติของเราก็เห็นตัวมันเองด้วย เพราะความหลงและความรู้สึกตัวมิได้ต่างกัน สำหรับการปรากฏขึ้นของสภาวะนี้ ให้ไปดูหนังสือของท่าน D.T.SUZUKI ชื่อ ZEN DOCTRINE OF NO MIND .
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2553 16:29:16 »


เชิงอรรถ บทที่ 2 ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด


13* การออกเรือนบวชของพระศากยมุนี เพื่อแสวงหาการออกจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่มีสิ้นสุด ใครที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำเช่นเดียวกับพระองค์ เมื่อคราวที่มีการมอบจีวรและบาตรเพื่อสืบทอดทายาททางธรรมของเซ็น ท่านรัง -เจน (Hung-jen) สังฆปรินายกเซ็นองค์ที่ 5 ได้เรียกสาวกของท่านมารวมกัน และบอกว่า “ ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าชีวิตและความตาย แต่แทนที่จะค้นหาทางออกจากทะเลแห่งชีวิตและความตาย พวกท่านกลับใช้เวลาทั้งหมดของพวกท่าน แสวงหาทางแห่งบุญ ถ้าท่านยังใบ้บอดต่อธรรมชาติของตนเอง บุญจะมีประโยชน์อะไร ? จงใช้ปัญญาของท่าน ธรรมชาติแห่งปัญญามีอยู่แล้วในใจของท่าน ขอให้ทุกท่านจงเขียนโศลกธรรมแก่ฉันคนละหนึ่งโศลก ” สูตรแห่งสังฆปรินายกองค์ที่หก ( บทที่ 2 )

14* คัมภีร์ 12 หมวด สิบสองหมวดของคัมภีร์ที่พุทธศาสนามหายานยอมรับ สิบสองหมวดเหล่านี้ที่ทำการแยกส่วนต่าง ๆ และแยกเป็นหัวข้อ ๆ รวมลงพระสูตร

 – สุตตะ = ธัมมเทศนาของพระพุทธเจ้า,
พระเคยยะ = พระพุทธพจน์ที่ซ้ำ ๆ กัน ,
คาถา = บทสวดและโศลกธรรม ,
นิทาน = คำบรรยายทางประวัติศาสตร์ ,
ชาดก = เรื่องของพระพุทธเจ้าในอดีต ,
อิติวุตตกะ = เรื่องราวในอดีตของพระสาวก ,
 
อัพภูตธรรม = ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ,
อาทาน = นิทานเปรียบเทียบ ,
อุปเทศ = การสนทนาธรรม ,
อุทาน = บทธรรมที่แสดงโดยไม่มีการอาราธนา ( คำอุทาน )
เวปุลละ = คำขยายอธิบายพระสูตร
และไวยากรณ์ = คำทำนายการบรรลุธรรมหรือพุทธพยากรณ์ *

( *คำสอนทั้งหมดตามคัมภีร์ของหินยาน -เถรวาท เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ แต่คัมภีร์ของมหายานมี 12 หมวด อาจเรียกเสียใหม่ว่า “ ทวาทสังคสัตถุศาสน์ ” … ผู้แปลไทย )

15* วัฏฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ซึ่งผู้มีได้บรรลุพุทธภาวะเท่านั้น จึงจะหลีกหรือพ้นได้

16* ในบทที่ 33 แห่งนิพพานสูตร Good Star กล่าวกันว่าเป็นพระราชกุมารองค์หนึ่งในบรรดาพระราชกุมาร 3 พระองค์ ของพระศากยมุนีและดูเหมือนพระราหุลจะเป็นพี่ชายของท่าน ต่อมาก็ได้บวชเป็นพระ ท่านสามารถอธิบายและสาธยายพระสูตรอันศักดิ์สิทธิ์ได้หมด ตลอดชีวิตของท่าน และเข้าใจว่าตัวเองบรรลุพระนิพพาน ที่จริงท่านเข้าถึงเพียงฌานที่ 4 อันเป็นรูปฌานและด้วยอำนาจแห่งกรรมนั้น ท่านกลับไปเกิดในนรกแห่งวัฏฏะ อันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้

17* Surtras คือ พระสูตรอันเป็นพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า Shastras คือพระสูตรของพระมหาสาวก เช่นของพระสารีบุตร ( เถระคาถา ) เป็นต้น

18* หลักฐานยืนยันที่มาของศาสนาพุทธ เหมือนกับศาสนาขงจื้อหรือลัทธิเต๋า ซึ่งได้กล่าวไว้ ในข้อเขียนของท่านฮุย – หลิน ( Hui – Lin ) ที่เขียนเป็นเรื่องราวถึง 435 เรื่อง ซึ่งเขาเรียกว่า ความจริงเสมอกันของลัทธิขงจื้อและพุทธศาสนา ในข้อเขียนเหล่านี้ เขาได้ปฏิเสธถึงการให้ผลของกรรม หลังจากการตายแล้วด้วย

19* ปีศาจ ชาวพุทธก็เหมือนกับศาสนิกของศาสนาอื่น ๆ คือ รู้จักแยกแยะเป้าหมาย ( จุดประสงค์ ) ของตน คือการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง มารซึ่งเป็นผู้นำกองทัพปีศาจอันมหาศาล ซึ่งถูกพระพุทธเจ้าทรงปราบปรามให้พ่ายแพ้ ในคืนวันตรัสรู้ของพระองค์เอง

20* กรรม คือ ดุลยภาพแห่งธรรมชาติ เป็นกฎแห่งเหตุและผลของกรรม ได้แก่ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ซึ่งนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร และก่อให้เกิดความทุกข์ แม้แต่การทำดีหรือกุศลกรรม ก็นำไปสู่สังสารวัฏนี้เช่นกัน ส่วนเป้าหมายของการปฏิบัติแบบพุทธนั้น คือต้องการทำให้ตนเองพ้นไปจากวัฏฏสงสารดังกล่าวนี้ เป็นการตัดกรรมเป็นการกระทำที่ไม่ต้องทำ (อโหสิกรรม) โดยไม่หวังว่าจะได้ไปเกิดอีกในภูมิที่ดีกว่าต่อไปอีก

21* เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง การปรุงแต่งทางจิต ( จิตตสังขาร ) หรือนามรูป คือรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ

22* หมายถึง กระแสของความต่อเนื่องของเหตุปัจจัย ( อิทัปปัจจยตา ) เป็นวัฏฏะแห่งความสิ้นไป คือความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันของการเกิดและการตายที่ไม่จบสิ้น

23* เป็นพระนามหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าใช้เรียกพระองค์เอง พุทธะ คือ สติ ตถาคต คือ การเกิดขึ้นของพุทธะ เป็นนิรมานกายซึ่งแยกจากสัมโภคกายและธรรมกาย ฉะนั้นคำว่า ตถาคต จึงเป็นผู้สอนธรรมทั้งปวง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2553 17:21:03 »




ในพระสูตรกล่าวว่า รูปกายของพระตถาคตไม่มีที่สุด และรูปกายเช่นนั้นก็คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของพระองค์ ความเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขอบเขตของรูปเป็นผลที่เนื่องมาจากจิต จิตสามารถที่จะแยกแยะทุกสิ่งได้ การเคลื่อนไหวหรืออิริยาบถใด ๆ ก็ตาม เกิดมาจากความรู้สึกทางจิตของเราทั้งสิ้นแต่จิตก็ไม่มีรูป ความรู้สึกของจิตก็ไม่ใช่ขอบเขตดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า รูปกายของพระตถาคตไม่มีขอบเขต รูปนั้นก็คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของพระองค์นั่นเอง (ธรรมกาย)

รูปกายอันประกอบด้วยธาตุ 4 (24*) เป็นทุกข์ และเป็นที่ตั้งของความเกิดและความตาย แต่ธรรมกาย ( รูปแท้จริงหรือกายดั้งเดิม ) ดำรงอยู่โดยไม่แสดงตัวเพราะธรรมกายของพระตถาคตไม่เคยเปลี่ยนแปลง ( ความรู้สึกตัว )
( เชิงอรรถ 24* คือ องค์ประกอบทั้ง 4 ของวัตถุทั้งปวง รวมทั้งร่างกายนี้ด้วย ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ และ ลม )

พระสูตรกล่าวว่า “ บุคคลควรรู้จักธรรมชาติของพุทธภาวะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว ” พระคุณเจ้ามหากัสสปะ เป็นบุคคลแรก ( นอกจาก พระพุทธเจ้า ) ที่รู้แจ้งธรรมชาติของตน

ธรรมชาติของเราก็คือจิต จิตก็คือธรรมชาติของเรา ธรรมชาติก็เหมือนกันกับจิตของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ 25* พระพุทธเจ้าทั้งอดีตและอนาคต อุบัติมาเพียงเพื่อถ่ายทอดจิตชนิดนี้ นอกจากจิตชนิดนี้แล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าในที่ไหนเลย
( 25* พระมหากัสสปะ หรือพระมหากัสสปเถระ เป็นพระสาวกองค์สำคัญองค์หนึ่งในเหล่าสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้า และได้เป็นผู้ยอมรับนับถือยกย่องให้ดำรงตำแหน่ง พระสังฆปรินายกองค์แรกของเซ็น ในประเทศอินเดีย ในคราวที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชูดอกไม้ขึ้น แล้วตรัสถามปัญหา ท่านกัสสปเถระได้ตอบโดยการยิ้ม และนั้นเป็นการสื่อความหมายแบบเซ็นเป็นครั้งแรก )

แต่ปุถุชนที่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา ย่อมไม่รู้จักจิตของตนเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะเขามัวแต่แสวงหาแต่พระพุทธเจ้าภายนอก และถามอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใดหนอ ?

อย่าหลงเพลินไปในจินตนาการอันหลอกหลอนเช่นนั้นอีกเลย ให้มารู้จักจิตของตนเองเท่านั้น นอกเหนือจากจิตนี้แล้วไม่มีพุทธะในที่อื่นเลย พระสูตรกล่าวว่า “ ทุกสิ่งที่มีรูปล้วนเป็นมายาหลอกลวง ” ท่านกล่าวไว้อีกว่า “ ท่านอยู่ที่ใดพุทธะก็อยู่ที่นั้น ” เพราะจิตของท่านก็คือพุทธะ อย่าใช้พุทธะบูชาพุทธะ

หากแม้พระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ 26* บังเอิญปรากฏขึ้นต่อหน้าท่านไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ เพราะจิตของเรานี้เป็นความว่าง และไม่บันทึกรูปใด ๆ เอาไว้
( 26* พระโพธิสัตว์ เป็นอุดมคติของฝ่ายมหายาน หมายถึง ผู้ที่วางเงื่อนไข ความหลุดพ้นของตนเองไว้กับสรรพสัตว์ ส่วนพระอรหันต์นั้น เป็นอุดมคติของฝ่ายหินยาน หมายถึง ผู้ที่แสวงหาความหลุดพ้นด้วยตนเอง แทนที่จะนำจิตเข้าสู่สุญญตภาวะเหมือนพระอรหันต์ พระโพธิสัตว์กลับแผ่ขยายไปสู่ชีวิตอื่น ๆ อย่างไม่มีขอบเขต นั้นเป็นเพราะเขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าทุกชีวิตมีพุทธภาวะเหมือนกันหมด )

บรรดาบุคคลที่ยึดถือเอาตามปรากฏการณ์คือปีศาจ พวกเขาย่อมหลุดไปจากทางอริยมรรค จะหลงบูชามายาที่เกิดจากจิตอยู่ทำไม ? คนบูชาย่อมไม่รู้ คนที่รู้ย่อมไม่บูชา เพราะการบูชานั้นท่านต้องตกอยู่ภายใต้การสะกดของมาร


ฉันชี้ให้เห็นจุดนี้ เพราะเกรงว่าท่านจะไม่รู้สึกตัว*
( *คนที่มัวเคารพบูชาสิ่งภายนอกตัว มักจะหลงลืมความรู้สึกที่มีอยู่ในตัวเอง ไม่ให้ความสำคัญความรู้สึกที่มีอยู่ในตัวเอง …..ผู้แปลไทย)

เพราะธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานของพุทธะ ไม่มีรูปใด ๆ อยู่เลย*
( *มโนภาพหรือจินตนาการเป็นภาวะแปลกปลอมที่เกิดขึ้นทีหลัง เหมือนรูปปรากฏขึ้นในกระจก …. ผู้แปลไทย)

จงรักษาความรู้สึกตัวนี้ไว้กับจิตเสมอ แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างจะดูไม่เหมาะสมก็ตาม ก็จงอย่ายึดติดอย่าเกิดความขี้ขลาดหวาดกลัว อย่าสงสัยเลยว่าจิตของท่านมีความบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จะมีห้อง ( หัวใจ ) ห้องไหนว่างสำหรับรูปเช่นนั้นอีก ?



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กรกฎาคม 2553 14:24:35 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2553 05:08:00 »




ขณะเดียวกันเมื่อภูตผีปีศาจหรือเทวดา 27* ปรากฏขึ้นก็อย่าคิดเคารพหรือหวาดกลัว เพราะจิตของท่านเป็นจิตว่างมาแต่เดิม ปรากฏการณ์ทั้งปวงล้วนเป็นมายาภาพ อย่ายึดมั่นถือมั่นเอาตามปรากฏการณ์
( 27* หมายถึง ชีวะที่แยกออกจากร่างกาย Demons คือเหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งเทพบนฟ้า (เทวดา ) ในทะเล (นาค ) และบนพื้นพิภพ ( ยักษ์ ) Devine Being คือ พระอินทร์ เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพระพรหมคือผู้สร้างสรรพสิ่ง )

เมื่อท่านได้พบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระโพธิสัตว์ 28* และคิดจะเคารพท่านเหล่านั้น ท่านก็ผลักไสตนเองไปสู่ภูมิปุถุชน
( 28* หมายถึง องค์ประกอบทั้งสามประการ อันเป็นที่พึ่งของชาวพุทธ เรียกว่าพระรัตนตรัย พระธรรม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า บุคคลที่ปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้น เรียกว่าพระสงฆ์ หรือพระโพธิสัตว์ ตามทัศนคติฝ่ายมหายาน )

ถ้าท่านแสวงหาความไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาปรากฏการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นก็ตาม ท่านจะประสบความสำเร็จ

ฉันไม่มีคำแนะนำอย่างอื่น พระสูตรกล่าวว่า “ปรากฏการณ์ทั้งปวงเป็นมายาภาพ มายาภาพเหล่านี้ไม่มีภพที่แน่นอน ไม่มีรูปที่ถาวร เป็นสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ ( อนิจจัง ) อย่ายึดมั่นกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย แล้วท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ

พระสูตรกล่าวว่า “ สิ่งซึ่งเป็นอิสรภาพจากรูปทั้งปวง คือพุทธภาวะ ”

แต่ทำไมเราจึงบูชาพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์กันอีกเล่า ?

ภูตผีปีศาจเป็นเจ้าของอำนาจแห่งปรากฏการณ์ อำนาจเหล่านี้สามารถสร้างมโนภาพพระโพธิสัตว์ให้ปรากฏขึ้นด้วยรูปจำแลงชนิดต่าง ๆ แต่ก็เป็นพระโพธิสัตว์ปลอม ไม่มีใครเป็นพุทธะจริง ( ด้วยมโนภาพ ) เพราะพระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือจิตของเราเอง อย่านำการบูชาของท่านไปในทางที่ผิด

พุทธะ เป็นศัพท์สันสกฤตแทนคำที่ท่านเรียกว่า “ สติสัมปฤดี ” คือ ตื่นตัวอย่างปาฏิหาริย์ คือ อาการยินยอมน้อมรับด้วยความรู้สึกตัวในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น การพับตา เลิกคิ้ว เคลื่อนไหวมือและเท้า ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติแห่งการตื่นอย่างปาฏิหาริย์ของท่าน และธรรมชาตินี้ก็คือจิต จิตนี้ก็คือพุทธะ และพุทธะก็คือมรรค มรรคก็คือเซ็น 29*
( 29* คำว่า เซ็น เดิมใช้ว่า ธฺยาน ซึ่งเป็นศัพท์กรรมฐานในภาษาสันสกฤต ท่านโพธิธรรมได้รับรองว่า เป็นเซ็นที่ปราศจากรูปแบบของการปฏิบัติเป็นการใช้คำเหมือน ( ไวพจน์ ) ที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เซ็นเป็นจิตที่ซื่อ ๆ ตรง ๆ เป็นจิตที่นั่งโดยไม่ต้องนั่ง และทำโดยไม่ต้องทำ )

แต่คำว่าเซ็นเป็นเพียงคำเดียว ที่ยังความพะวงสงสัยให้เกิดแก่ปุถุชนและนักปราชญ์ เมื่อเฝ้าดูธรรมชาติของตนก็คือเซ็น เมื่อท่านได้เห็นธรรมชาติของตนเองแล้วมันก็ไม่ใช่เซ็น *
( *คำว่า “ เซ็น “ มาจากคำว่า “ฌาน” ในภาษาบาลี แปลว่า การเพ่งพินิจหรือการเฝ้าดูจิต การเผาผลาญความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ อันเกิดจากการปรุงแต่ง ภาวะที่ทำงานเช่นนั้นเรียกว่า เซ็น ตามภาษาญี่ปุ่น … ผู้แปลไทย)
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2553 05:13:11 »




แม้ท่านจะสามารถอธิบายพระสูตร ได้หลายพันสูตรก็ตาม 30* เมื่อท่านเห็นธรรมชาติของท่าน ที่ยังเป็นธรรมชาติของอัตตาอยู่ การเห็นตัวเอง* ที่ยังเป็นอัตตาอยู่เช่นนั้น ยังเป็นคำสอนของปุถุชน ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
( 30* เป็นหมวดหมู่แห่งคำสอนของพุทธศาสนาในจีน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระไตรปิฎก แต่งขึ้นในตอนต้นศตวรรษที่ 6 เท่าที่ปรากฏมีจำนวนถึง 2,213 เล่ม และในบรรดาคัมภีร์เหล่านี้ เป็นพระสูตร 1,600 เล่ม และมีหลายสูตรที่เพิ่มเข้าในพระไตรปิฎกในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคัมภีร์จะมีเป็นจำนวนมากมาย ก็ยังมีการสูญหายไปบ้างมิใช่น้อย ที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบันมีจำนวน 1,662 เล่ม )
( *การเห็นตัวเองตามความเป็นจริง หมายถึงการเห็นที่ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นมิใช่เห็นด้วยความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวตน … ผู้แปลไทย . )

มรรคที่แท้จริงคืออริยมรรค อริยมรรคไม่สามารถจะสื่อกันได้ด้วยภาษา แล้วตำราหรือคัมภีร์จะมีประโยชน์อะไร ?

คนที่พบเห็นตนเองแล้ว ย่อมพบทางแห่งอริยมรรค แม้เขาจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็ตาม คนที่เห็นธรรมในตนเองก็คือพุทธะ และธรรมกายของพุทธะเป็นกายที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลทินโดยแท้ ทุกสิ่งที่ท่านตรัสก็เป็นสิ่งที่แสดงออกมาจากใจอันบริสุทธิ์ของท่าน

เมื่อพุทธะเป็นความว่างมาแต่เดิมแล้ว พุทธะก็ไม่อาจค้นพบได้ในคำพูดหรือคำสอนในคัมภีร์ใด ๆ อันมีถึงสิบสองหมวดก็ตาม (พระไตรปิฎกมหายาน)

อริยมรรคเป็นมรรคที่สมบูรณ์มาแต่เดิม ไม่ต้องการความสมบูรณ์ใด ๆ อีก อริยมรรคไม่มีรูปหรือเสียง เป็นสภาพที่ละเอียดประณีต และยากแก่การเข้าใจ เหมือนกับท่านดื่มน้ำ ท่านย่อมรู้เองว่าความร้อนความเย็นเป็นอย่างไร แต่ท่านไม่อาจจะบอกผู้อื่นได้


ในบรรดาสภาพธรรมเหล่านั้น พระตถาคตเจ้าเท่านั้นทรงรู้ มนุษย์และเทวดายังเข้าใจไม่ได้ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของปุถุชนยังไม่สมบูรณ์ ตราบใดที่เขายังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับปรากฏการณ์ เขาก็ยังไม่รู้ว่าจิตของเขาเป็นความว่างและเพราะการยึดติด ตามปรากฏการณ์ของทุกสิ่งอย่างผิด ๆ พวกเขาจึงหลงทาง

ถ้าท่านทราบว่าทุกสิ่งล้วนออกมาจากจิต ก็อย่ายึดมั่นถือมั่น เมื่อใดท่านหลงยึดถือก็ย่อมหลงลืมตัวเองเมื่อนั้น เมื่อใดท่านเห็นธรรมชาติของตัวเองเมื่อนั้นคัมภีร์ธรรมะทั้งหมดก็กลายเป็นเพียงคำพูดธรรมดา ๆ

พระสูตรและคาถาเป็นจำนวนหลาย ๆ พันสูตร เป็นประโยชน์เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือชำระจิต ความเข้าใจเกิดจากคำพูดเป็นสื่อกลาง แล้วคำพูดคำสอนที่เป็นสื่อกลางแบบไหนล่ะ ? ที่เป็นคำสอนที่ดี

ปรมัตถสัจจะ ย่อมอยู่เหนือคำพูด คำสอนเป็นเพียงคำพูด คำสอนจึงไม่ใช่อริยมรรค มรรคไม่ใช่คำพูด คำพูดเป็นมายาภาพ ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากสิ่งที่ปรากฏในความฝันของท่านในเวลากลางคืน ซึ่งท่านอาจฝันเห็นปราสาท ราชวัง ราชรถหรือวนอุทยาน หรือทะเลสาปหรือพระราชฐานอันโอ่อ่า อย่าหลงติดใจกับสิ่งที่เป็นความฝัน เพราะทั้งหมดเป็นเหตุให้สร้างภพใหม่ จงตั้งใจให้ดีเท่านั้น ขณะที่ท่านใกล้ตาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กรกฎาคม 2553 10:49:41 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2553 06:00:19 »







จงทำตามธรรม แต่อย่าทำตามความคิด

อย่าหลงติดใจในปรากฏการณ์ แล้วท่านจะผ่านพ้นอุปสรรคชีวิตทั้งปวงได้ ความไม่แน่ใจแต่ละขณะ จะทำให้ท่านตกอยู่ภายใต้การสะกดของมาร ธรรมกายของท่าน ( กายจริง ) เป็นภาวะบริสุทธิ์หนักแน่น แต่เพราะโมหะธรรมจึงทำให้ท่านหลงลืมกายนั้น ( สติ – สัมปชัญญะ )เพราะเหตุนี้ท่านจึงทุกข์ เพราะความหลงทำให้ท่านทำในสิ่งที่ไร้สาระ เมื่อใดท่านหลงเกิดความยินดีพอใจ 31* ท่านก็ถูกผูกมัด ( ด้วยอุปาทาน ) แต่เมื่อใดท่านตื่นรู้ต่อกายใจดั้งเดิมของท่าน ( รูป – นาม ) ท่านก็ไม่ถูกผูกมัดด้วยอุปาทานต่อไป
( 31* ร่างกาย คือ ธาตุ 4 จิตใจคือขันธ์ 5 ที่มีการแสดงตัวในลักษณะต่าง ๆ แต่ท่านโพธิธรรมกล่าวว่า ได้แก่ตัวพุทธะนั้นเอง )

ใครก็ตาม ยังไม่ละเลิกความติดยึดในกามคุณ ซึ่งปรากฏในหลากหลายรูปแบบ ( รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ) เขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่

พระพุทธเจ้าคือบุคคลที่ค้นพบอิสรภาพ คือเป็นอิสระจากโลกธรรมและความชั่วทั้งหลาย การค้นพบเช่นนั้นเป็นอำนาจของพระองค์ ที่ทำให้กรรมไม่อาจติดตามทันได้ ไม่ว่ากรรมชนิดใดก็ให้ผลต่อพระองค์ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงกรรมได้ สวรรค์และนรก 32* ก็ไม่มีผลอะไรต่อพระองค์ แต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของปุถุชน เป็นภาวะที่คลุมเครือ เศร้าหมอง เมื่อเปรียบเทียบกับของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายในและภายนอก
( 32* พุทธศาสนิกชนทั่วไป เข้าใจเรื่องสวรรค์เป็นรูปธรรมว่ามี 4 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งออกได้อีก 16 – 18 ชั้น และที่ไม่มีรูปอีก 4 ชั้น ซึ่งตรงข้ามกับสังสารวัฏ คือ นรกร้อน 8 ขุม และนรกเย็นอีก 8 ขุม แต่ละขุมก็มีบริวารอีกขุมละ 4 มีนรกพิเศษอีกจำนวนหนึ่ง คือนรกมืดและทุกข์ตลอดกาล )

ถ้าท่านไม่แน่ใจอย่าพึ่งทำอะไร เมื่อท่านทำลงไป ก็ต้องเวียนว่าย ตายเกิด และเป็นทุกข์เพราะไม่มีที่พึ่ง ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้น เพราะความคิดผิด (มิจฉาทิฏฐิ ) การเข้าใจสภาวะจิตเช่นนี้ ท่านต้องทำแบบไม่ทำ* ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจะทำให้ท่านเห็นทุกสิ่งจากญาณทัศนะของพระตถาคต
( *คือทำสักแต่ว่าทำ หมายถึงการมีสติปัญญากำหนดรู้ใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมตลอดเวลา เมื่อกรรมถูกกำหนดรู้อย่างเท่าทัน กรรมนั้นจะดับด้วยพลังของ ญาณปัญญา, อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ไม่อาจเข้าไปแทรกแซง ปรุงแต่ง แต่เป็นกรรมได้ เรียกว่า ทำแบบไม่ทำ … ผู้แปลไทย )


แต่เมื่อท่านเข้าปฏิบัติตามมรรคครั้งแรก ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของท่านยังไม่มีจุดรวม ท่านก็เห็นทุกสิ่งเป็นเรื่องแปลก เหมือนภาพในฝัน แต่ท่านอย่าสงสัยว่า ความฝันทุกอย่างล้วนเกิดจากจิตของท่านเอง ไม่ได้เกิดจากที่อื่น

ถ้าท่านฝันว่าท่านเห็นแสงสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ ( นั้นเป็นนิมิตหมายว่า ) อุปาทานของท่านที่ยังเหลืออยู่ก็จะหมดไปโดยเร็ว และธรรมชาติของสัจจธรรมก็ปรากฏตัวขึ้น ปรากฏการณ์เช่นนั้นจะเป็นเครื่องช่วยเป็นพื้นฐานแห่งการบรรลุธรรม แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ไม่อาจอธิบายให้ผู้อื่นทราบได้

หรือหากท่านกำลังยืน เดิน นั่ง หรือนอนในป่าอันสงัดวิเวก ท่านอาจเห็นแสงสว่าง ( อันเกิดจากนิมิต ) ไม่ว่าเป็นนิมิตที่แจ่มใส หรือคลุมเครืออย่าบอกเรื่องนั้นแก่ผู้อื่น และอย่ากำหนดจดจำนิมิตเช่นนั้นไว้ เพราะมันเป็นภาวะที่สะท้อนออกมาจากธรรมชาติภายในของท่านเอง

ถ้าท่านกำลังยืน เดิน นั่งหรือนอน ในที่สงบเงียบ และมืดในยามกลางคืน ( นิมิตปรากฏให้ท่านเห็น ) ทุกสิ่งปรากฏเสมือนกลางวัน ก็อย่าตกใจ เพราะปรากฏการณ์นั้นเกิดจากจิตของท่านเอง ที่ต้องการ เปิดเผยตัวมันเอง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 23 กรกฎาคม 2553 06:02:50 »




การตัดเวรตัดกรรม คือการตัดความคิดปรุงแต่ง

ถ้าท่านฝันในเวลากลางคืน ทำให้ท่านเห็นพระจันทร์และดวงดาวสว่างทั่วท้องฟ้า นั้นเป็นนิมิตหมายว่า การบำเพ็ญเพียรทางใจของท่านใกล้ถึงที่สุด แต่อย่าบอกนิมิตนั้นแก่คนอื่น

ถ้าความฝันของท่านไม่ชัดเจนเหมือนท่านกำลังเดินในที่มืด นั่นเป็นเพราะจิตของท่านถูกครอบคลุมไปด้วยความวิตกกังวล ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องกำหนดรู้เท่านั้น






ถ้าท่านเห็นธรรมชาติของตน (เห็นตัวเอง) ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านพระสูตร
หรืออ้อนวอนพระพุทธเจ้า
ความเป็นผู้คงแก่เรียนหรือมีความรู้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งไร้สาระเท่านั้น ยังเป็นสิ่งที่บดบัง
ความรู้สึกตัวของท่านเองด้วย

ธรรมะหรือคำสอนเป็นเพียงสิ่งชี้นำให้รู้จักจิตเท่านั้น เมื่อท่านเห็นจิตของตนเอง
อยู่เสมอแล้ว
ทำไมต้องไปสนใจคำสอนอีกเล่า ?


การก้าวจากความเป็นปุถุชน ไปสู่ความเป็นพุทธะ ทำให้ท่านสิ้นกรรม จงดูแลรักษาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของท่านให้ดี * และยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต (ตามความเป็นจริง )
( *เจริญสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ… ผู้แปลไทย)

ถ้าท่านเป็นคนมักโกรธ ความโกรธนั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางตัวท่านไม่ให้บรรลุมรรคผล การหลอกลวงตัวเองไม่ทำให้ท่านก้าวหน้าได้เลย พระพุทธเจ้าผ่านพ้นความเกิดและความตายอย่างอิสระ จะอุบัติหรือจุติได้ตามความตั้งใจ กรรมไม่อาจหยุดยั้งท่านได้ แม้ภูตผีปีศาจและมารก็ไม่อาจเอาชนะท่านได้

เมื่อใดปุถุชนเห็นธรรมชาติของตนเอง (เห็นตนเอง ) อุปาทานทั้งปวงก็หมดไป ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไม่ใช่สิ่งลึกลับ แต่ท่านสามารถพบมันได้ในปัจจุบันขณะ (ตลอดกาล) มันเป็นปัจจุบันธรรม
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.151 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2568 07:50:49