โหราศาสตร์ ฮวงจุ้ย ปุจฉา : กราบนมัสการองค์หลวงปู่ เพื่อนลูกฝากให้ปุจฉาว่า “โหราศาสตร์และฮวงจุ้ย” มีจริงหรือไม่ มีผลกับสรรพสิ่งอย่างไร เพื่อนลูกคนนี้มีความสนใจเป็นอย่างมากกับเรื่องพลัง ฮวงจุ้ย และโหราศาสตร์ จริงๆแล้วลูกก็มีบอกเขาไปว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีในความเป็นสมมติ เมื่อไม่เห็นสมมติก็เหมือนปลาอยู่ในน้ำแต่ก็ไม่เห็นน้ำ สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมมีผลตามแต่เหตุปัจจัย แต่เขาก็ได้แต่รับฟัง อย่างไรก็ดี เพื่อนลูกคนนี้นับถือหลวงปู่มาก และยืนยันขอให้ลูกช่วย เขียนคำปุจฉานี้เพื่อขอความเมตตาคำตอบจากองค์หลวงปู่
ขอหลวงปู่โปรดเมตตาด้วยครับ
วิสัชนา :
มีจริงซิคุณ ถ้าไม่มีอยู่จริง หมอดูจะหากินกับใคร การทำนายทายทัก เป็นศาสตร์หนึ่ง ซึ่งมีอายุมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แม้แต่วิชาดูฮวงจุ้ย ก็เช่นเดียวกัน
คุณถามว่า จะมีผลต่อสรรพสิ่งอย่างไร อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคำทำนายนั้นๆ ว่าจะเกี่ยวข้องกับอะไร แต่ที่ฉันเห็นว่าเกี่ยวมากที่สุดคือใจคนที่ฟังคำทำนายนั้นๆ เช่น อาจจะมีสุขใจ พอใจ ภูมิใจ อิ่มใจ เต็มใจ หรือไม่ก็ทุกข์ใจ เศร้าใจ เสียใจ ลำบากใจ ไม่สบายใจ
แต่ที่แน่ๆ พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นว่า มิใช่หนทางในการพ้นทุกข์ ถึงจะรู้คำทำนายอย่างไรก็มิสามารถจะเอาชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ นอกจากจะหันมาดูตัวเอง แล้วเพียรพยายามกำจัดมลภาวะ อวิชชา อกุศล และปัญหา ภายในตนเองให้หมดไป พร้อมทั้งพยายามละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส แค่นี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว อุทิศส่วนบุญ ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมได้ไปฟังธรรมจากหลวงปู่ ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงว่า ผู้ที่สามารถรับส่วนบุญกุศลจากเราได้นั้น เฉพาะญาติของเราที่เป็นเปรตเท่านั้น ผมจึงขอกราบเรียนถามหลวงปู่ครับ
1. เวลาที่เราทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้น จะมีเฉพาะเปรตเท่านั้นที่รับได้ ส่วนพวกที่อยู่ในทุคติภูมิประเภทอื่นนั้น ยังไม่สามารถรับบุญได้เลย หมายความว่าเขาสามารถรับได้ภายหลังหรือไม่ แล้วต้องมาเป็นเปรตเท่านั้นหรือไม่ครับถึงจะได้รับบุญนั้นทีหลังได้
2. แล้วสำหรับพวกที่อยู่ในสุคติภูมิ (เช่น เทวดา หรือแม้แต่มนุษย์) เขาสามารถรับบุญกุศลที่เราทำได้หรือไม่ครับ และเขารับได้อย่างไรครับ
3. กรณีที่เจริญสติ ซึ่งเวลาที่หลวงปู่ได้เมตตาสอนลูกหลานนั้น หลังจากปฏิบัติเสร็จแล้ว หลวงปู่จะนำแผ่เมตตาและอุทิศบุญกุศล การอุทิศส่วนกุศลนี้ผู้รับสามารถรับได้หรือไม่ และเขารับได้อย่างไรครับ เหมือนกับเวลาเราทำบุญหรือเปล่าว่าเฉพาะเปรตเท่านั้นครับ ที่สามารถรับได้ครับ
กราบขอความเมตตาจากหลวงปู่วิสัชนาด้วยครับ
วิสัชนา :
1. เขาสามารถรับได้ในภายหลัง เพราะเปรตถือได้ว่าเป็นสัตว์นรกประเภทสุดท้าย เมื่อหมดกรรมหนักในนรก ก็จะมาเกิดเป็นเปรต เพราะเศษกรรม
2. จะได้รับก็ต่อเมื่อเขารับรู้ แล้วยินดี อนุโมทนาในบุญที่เราทำ
3. บุญที่ฉันพาคุณอุทิศให้สรรพสัตว์ ไม่ว่าเขาจะได้รับหรือยังไม่ได้รับ แม้ที่สุด เมื่อเขามารู้ทีหลังแล้วพลอยยินดี บุญนั้นก็จะสำเร็จประโยชน์แก่เขาในที่สุด นอกจากนั้นมันยังเป็นการฝึกตน ให้เป็นคนมีน้ำใจ ใจกว้างมากไปด้วยเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวงโดยไม่ มีประมาณ เป็นการสร้างมิตร ทำให้สัตว์ทั้งปวงไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเรา ล่วงเกินบิดามารดา ปุจฉา : ข้าพเจ้ามีคำถามที่จะรบกวน เรียนถามพระคุณเจ้าครับ
1. การที่เราด่า ล่วงเกิน พูดไม่ดีต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ จะได้รับบาปกรรมมากน้อยเพียงใด
2. การที่เราดูสิ่งยั่วยวนก่อให้เกิดกิเลสตัณหา บาปไหมครับ
3. การที่เราอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ตัวเราจะได้บุญด้วยไหมครับ
4. ถ้าคนเราบวช แต่จิตใจไม่เป็นสุข คิดถึงแต่กิเลส แต่กายปฏิบัติตามหน้าที่พระสงฆ์ จะก่อให้เกิดบาปแก่ตัวเราไหมครับ
5. เราจะทราบได้อย่างไรครับว่าเรากำลังทำบาป เมื่อมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อนมาก เช่น ความรู้สึกนึกคิดบางอย่างก่อให้เกิดบาปได้แล้ว แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม เพียงแต่คิดเท่านั้นจะบาปไหมครับ
วิสัชนา :
1. บาปกรรม บาปกรรม อย่าทำ นอกจากจะเป็นบาปแล้ว ผู้อื่นรู้เข้า เขาจะตำหนิว่าเรา แล้วจะไม่มีใครอยากคบด้วย วันข้างหน้าคุณมีครอบครัวมีลูก ลูกคุณก็จะด่าคุณเหมือนกัน หรือยิ่งกว่าที่คุณด่าพ่อแม่ ครูอาจารย์
2. ถือได้ว่าเป็นอกุศลชนิดหนึ่ง เป็นกิเลส ยังมิได้เป็นบาป เพราะยังมิได้ล่วงเกินใครให้เสียหายเดือดร้อน แต่ก็เป็นเหตุให้ตนเดือดร้อนได้เหมือนกัน
3. เพราะคุณมีบุญ คุณจึงแบ่งบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ก็ต้องถามคุณว่า วันๆ คุณทำบุญอะไรบ้างล่ะ ในบุญกิริยา 10 อย่าง เช่น ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อ่อนน้อมถ่อม ตน ทำหน้าที่ถูกต้อง แบ่งบุญให้แก่ผูอื่น เห็นคนอื่นทำดีคุณก็ยินดีด้วย ฟังธรรม สนับ สนุนให้ผู้อื่นฟังหรือแสดงธรรม ทำความเห็นให้ถูก เช่น เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทั้ง 10 อย่างนี้คุณทำได้อย่างไหน ในเวลาใดของแต่ละวันล่ะ
4. แน่นอน แน่นอน เป็นบาปแน่ๆ
5. ความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ที่เกิดจากผลของการกระทำแห่งเรานั่นแหละเป็นบาป บาปมีทั้งทางกาย และทางใจ ดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งให้ผลเป็นทุกข์ (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000048490