[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 04:28:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ภาพวาดผลไม้ เรียงตามตัวอักษร  (อ่าน 2113 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 102.0.0.0 Chrome 102.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2565 14:56:27 »



กระท้อน

กระท้อน (Santol, Sentul, Red sentol, Yellow santol) หรือบางพื้นที่เรียกว่า สะตู สตียา สะโต เตียน ล่อน สะท้อน มะติ๋น มะต้อง หมากต้อง

ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sandoricum koetjape (Burm. f.) Merr. ชื่อพ้องคือ Melja koetjape Burm. f., S. indicum Cav., S. ternatum Blanco. เป็นพืชในวงศ์ MELIACEAE มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ดอกช่อมีขนตามก้านดอก และกลีบเลี้ยง ใบเรียงตัวเป็นเกลียว ใบย่อยแยกเป็น 3 ใบ ขอบใบเรียบ ใบแก่มีสีแดง ผลสีเหลือง เปลือกด้านในสีเนื้อ เนื้อในมีสีขาวหุ้มเมล็ด ผลรับประทานได้

สรรพคุณพื้นบ้านระบุว่า เปลือกต้น รักษากลากเกลื้อน ใบ แก้ไข้ เปลือกต้น ดอก และผล แก้ลงท้อง แก้ฝีเปื่อย แก้บวม ราก แก้ท้องเสีย สารสำคัญที่พบคือ koetjapic acid, katonic acid, bryonolic acid, sanjecumins A และ B, sandoripins A และ B, sentulic acid  

คุณค่าทางโภชนาการของกระท้อนในส่วนของเนื้อที่กินได้ต่อน้ำหนัก 100 ก. (พันธุ์สีเหลือง) คือ โปรตีน 0.118 ก. ไขมัน 0.1 ก. ใยอาหาร 0.1 ก. แคลเซียม 4.3 มก. ฟอสฟอรัส 17.4 มก. ธาตุเหล็ก 0.42 มก. แคโรทีน 0.003 มก. วิตามินบี1 0.045 มก. วิตามินบี3 0.741 มก. และวิตามินซี 86.0 มก.

สายพันธุ์ของกระท้อนที่ได้รับความนิยมจะเป็นพวกกระท้อนห่อที่มีรสหวาน ได้แก่ พันธุ์อีล่า ปุยฝ้าย นิ่มนวล อินทรชิต ทับทิม ขันทอง เทพรส อีแดง ส่วนพันธุ์พื้นเมืองจะมีผลดก ผลมีขนาดเล็ก รสเปรี้ยว จึงนิยมนำมาทำเป็นกระท้อนดองและกระท้อนทรงเครื่อง  สำหรับการเลือกกระท้อนมาเพื่อรับประทานผลสุก ควรเลือกผลที่มีเปลือกสีเหลืองอมส้ม หากมีเขียวปนแสดงว่ายังไม่สุกดี เมื่อเก็บจากต้น ควรตั้งทิ้งไว้ 2 - 3 วัน อย่างที่เรียกกันว่าทิ้งไว้ให้ลืมต้น และหลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า การจะรับประทานกระท้อนให้อร่อย ต้องทุบเบาๆ พอให้น่วมทั่วผลเสียก่อน เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นกันนะ ซึ่งก็มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานไปต่างๆ กันว่า ถ้าทุบแล้วเม็ดกับเนื้อจะแยกออกจากกันทำให้กินง่ายขึ้น หรือเนื้อกระท้อนด้านนอกมีรสฝาด แต่เม็ดมีรสหวาน ถ้าเราทุบจะทำให้เซลล์แตกแล้วความหวานของเม็ดมันจะแทรกไปตามเนื้อทำให้เนื้อหวานขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานเหล่านี้ค่ะ ส่วนการนำเนื้อกระท้อนไปประกอบอาหารหรือแปรรูปก็ควรแช่น้ำเกลือทิ้งไว้สักครู่ แล้วขยำเบาๆ เพื่อลดความฝาดเสียก่อน

ในแต่ละปีเมื่อเข้าฤดูที่กระท้อนออกผล เรามักจะพบเห็นข่าวการเสียชีวิตจากการรับประทานกระท้อน เนื่องจากเมล็ดกระท้อนมีความลื่น ค่อนข้างแข็ง และมีปลายแหลม หากเผลอกลืนลงไปหรือเมล็ดขนาดใหญ่ลื่นไหลเข้าไปในคอ อาจติดหลอดลมหรือเป็นอันตรายต่อลำไส้ได้ อย่างที่เคยเป็นข่าวว่าหญิงวัย 68 ปี เก็บกระท้อนจากต้นข้างบ้านมานั่งกินกับลูกหลาน แล้วเกิดหัวเราะทำให้เผลอกลืนเม็ดเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ จนรุ่งเช้าอีกวันก็มีอาการปวดท้องรุนแรง ขับถ่ายไม่ออก จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากลำไส้ใหญ่ทะลุ ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องท้องและในกระแสเลือด  ดังนั้นจึงควรรับประทานกระท้อนด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ

การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของกระท้อนยังมีค่อนข้างน้อย โดยพบว่าสารสำคัญและสารสกัดจากลำต้นและเปลือกต้นของกระท้อน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านเซลล์มะเร็งหลายชนิด ส่วนของเปลือกผลมีใยอาหารช่วยขับถ่าย ส่วนผลและเมล็ดมีฤทธิ์ฆ่าหอย แต่ทั้งหมดยังเป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลอง



ที่มา : "กระท้อน" บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน  สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กรกฎาคม 2565 15:55:22 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 102.0.0.0 Chrome 102.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2565 15:03:57 »



กะทกรก
สรรพคุณและประโยชน์ของกะทกรก

กะทกรก ชื่อสามัญ Fetid passionflower, Scarletfruit passionflower, Stinking passion flower
 
ชื่อวิทยาศาสตร์ Passiflora foetida L. จัดอยู่ในวงศ์กะทกรก (PASSIFLORACEAE)

สมุนไพรกะทกรก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ผักขี้หิด (เลย), รุ้งนก (เพชรบูรณ์), เงาะป่า (กาญจนบุรี), เถาเงาะ เถาสิงโต (ชัยนาท), ยันฮ้าง (อุบลราชธานี), เยี่ยววัว (อุดรธานี), ผักบ่วง (สกลนคร), หญ้าถลกบาต (พิษณุโลก, อุตรดิตถ์), เครือขนตาช้าง (ศรีษะเกษ), ตำลึงฝรั่ง ตำลึงทอง ผักขี้ริ้ว ห่อทอง (ชลบุรี), รกช้าง (ระนอง), หญ้ารกช้าง (พังงา), ผักแคบฝรั่ง (ภาคเหนือ), รก (ภาคกลาง), กระโปรงทอง (ภาคใต้), ละพุบาบี (มลายู-นราธิวาส, ปัตตานี), ผักแคบฝรั่ง (ขมุ), มั้งเปล้า (ม้ง), หล่อคุ่ยเหมาะ(กะเหรี่ยงแดง), เล่งจูก้วย เล้งทุงจู (จีน), รังนก, กะทกรกป่า เป็นต้น

ลักษณะของกะทกรก
ต้นกะทกรก จัดเป็นไม้เถาเลื้อย มีอายุประมาณ 2-5 ปี มีมือสำหรับใช้ยึดเกาะ และมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทุกส่วน และทุกส่วนของลำต้นเมื่อนำมาขยี้จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเขียว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด และเจริญเติบโตได้ดีในที่ราบ

ใบกะทกรก มีใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหัว ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ส่วนขอบใบเว้าเป็น 3 แฉก แผ่นใบมีขนสีน้ำตาลขนาดเล็กขึ้นทั้งสองด้าน และที่ขนมีน้ำยางเหนียว
ใบกะทกรก

ดอกกะทกรก ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ ดอกมีกลีบดอก 10 กลีบ กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนกลีบด้านในเป็นสีขาว มีกระบังรอบเป็นเส้นฝอยมีสีขาวโคนม่วง ส่วนกลีบเลี้ยงของดอกเป็นเส้นฝอย ดอกมีก้านชูเกสรร่วม แยกเป็นเกสรตัวผู้ประมาณ 5-8 ก้าน ส่วนก้านเกสรตัวเมียมีประมาณ 3-4 ก้าน รังไข่เกลี้ยง

ผลกะทกรก หรือลูกกะทกรก ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ผลเมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมสีส้ม และมีใบประดับเส้นฝอยคลุมอยู่ ภายในผลมีเนื้อหุ้มเมล็ดใสและฉ่ำน้ำ (คล้ายกับเมล็ดแมงลักแช่น้ำ) มีรสหวานแบบปะแล่มๆ และจะออกดอกออกผลในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

สรรพคุณของกะทกรก
- เปลือกใช้เป็นยาชูกำลัง (เปลือก)
- เนื้อไม้ใช้เป็นยาควบคุมธาตุในร่างกาย (เนื้อไม้) ส่วนเถาใช้เป็นยาธาตุ (เถา)
- รากสดหรือรากตากแห้งใช้ชงกับน้ำดื่มเป็นชา จะช่วยทำให้สดชื่น (ราก)
- ผลดิบมีรสเมาเบื่อ ส่วนผลสุกมีรสหวานเย็น ช่วยบำรุงปอด (ผล)
- ทั้งต้นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ (ทั้งต้น)
- ช่วยถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิด (เนื้อไม้)
- ช่วยแก้ความดันโลหิตสูง (ราก)
- แพทย์ชาวเวียดนามใช้ใบเป็นสงบระงับ ระงับความเครียดและความวิตกกังวล ด้วยการใช้ใบแห้งประมาณ 10-15 กรัม (ต่อวัน) นำมาต้มกับน้ำกิน (ใบ)
- ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ใบนำมาตำใช้พอกหรือประคบที่ศีรษะ (ใบ)
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น (ราก)
- ใบใช้ตำพอกศีรษะ ช่วยแก้อาการหวัด คัดจมูก (ใบ)
- ช่วยแก้อาการไอ (ใบ, ดอก, ต้น, ทั้งต้น)
- ช่วยขับเสมหะ (ใบ, ต้น, ทั้งต้น)
- เมล็ดใช้แก้เด็กที่มีอาการท้องอืดเฟ้อ ช่วยทำให้ผายลม ด้วยการนำเมล็ดมาตำให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำส้มและรมควันให้อุ่น แล้วเอาไปทาท้องเด็ก (เมล็ด)
- ใบนำมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยาเบื่อและยาขับพยาธิ (ใบ)
- ดอก ใบ และทั้งต้นมีรสเบื่อเมา ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ใบ, ดอก, ต้น, ทั้งต้น)
- ช่วยแก้กามโรค (ราก)]
- ช่วยรักษาบาดแผล (เนื้อไม้, ใบ, ผลและเถาใช้เป็นยาพอกรักษาแผล (เถา)
- ใบใช้ตำพอกฆ่าเชื้อบาดแผล (ใบ)
- เปลือกใช้ตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว ช่วยแก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก (เปลือก)
- เปลือกช่วยทำให้แผลเน่าเปื่อยแห้ง (เปลือก)
- ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำพอสมควร นำมาทาวันละ 3-4 ครั้ง เพื่อใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้อาการคัน แก้หิด แก้หืด (ใบ)
- ช่วยแก้อาการปวด (ผล)
- ช่วยแก้อาการบวม (ใบ, ต้น, ทั้งต้น), แก้อาการบวมที่ไม่รู้สาเหตุ (ทั้งต้น)
- ช่วยแก้อาการเหน็บชา โดยนำมาสับตากแดด แล้วนำมาต้มกิน (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
- ใบนำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำใช้พอกรักษาสิว (ใบ)

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกะทกรก
ผลอ่อนและใบอ่อนมีสารประกอบไซยาไนต์คือ ไซยาโนจีนิก ไกลโคไซด์ ส่วนอีกรายพบว่าใบกะทกรกมีกรดไฮโดรไซยานิก ซึ่งเป็นสารพิษ แต่พิษจะสลายไปเมื่อถูกความร้อนที่นานพอ และในงานวิจัยยังใช้ส่วนของลำต้นและใบ เพื่อนำมาประเมินคุณสมบัติทางกายภาพและคุณสมบัติทางเคมี โดยสกัดด้วยวิธีการสกัดต่อเรื่องด้วยเครื่องสกัดต่อเนื่อง ด้วยเอทานอล 95% จะได้ปริมาณสารสกัดเท่ากับ 23.37% โดยน้ำหนัก ซึ่งสารสกัดที่ได้จะเป็นของเหลวที่มีลักษณะข้นหนืด เป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นเฉพาะตัว

เมื่อให้สารสกัดกะทกรกทางปากในสัตว์ทดลองซึ่งเป็นหนูตัวผู้พันธุ์วิสตาร์ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 180-220 กรัม เป็นระยะเวลา 28 วัน พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางอย่างกว้างขวาง มีฤทธิ์ทำให้สงบระงับได้ สามารถช่วยระงับความวิตกกังวล ช่วยลดอาการซึมเศร้า ลดอาการความจำบกพร่อง และยังช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเซลล์ประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส นอกจากนี้ยังสามารถนำไปพัฒนาเป็นสารสกัดกะทกรกด้วยเอทานอลในรูปแบบของยาเม็ดขนาด 125 มิลลิกรัมต่อเม็ด ซึ่งจะได้เป็นยาเม็ดที่มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของการผลิตเป็นยาสมุนไพรที่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ และยังมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพดี มีความคงตัวสูง

ประโยชน์ของกะทกรก
ยอดอ่อน ผลอ่อน ผลสุก ผลแก่ รวมทั้งรกหุ้ม สามารถใช้รับประทานเป็นผักสด หรือนำมาต้มหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก และแกงเลียง ผลสามารถนำมาปั่นเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มได้

ในด้านทางการเกษตร เนื่องจากต้นกะทกรกมีสารพิษชื่อว่า Cyanpgenetic glycosides ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นยาฆ่าและป้องกันแมลงศัตรูพืชได้ โดยเฉพาะตัวด้วงถั่วเขียว ซึ่งสารพิษดังกล่าวจะไปยับยั้งการเกิดเป็นตัว

ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินและทำปุ๋ยหมักได้ เนื่องจากต้นกะทกรกมีกลิ่นเหม็นเขียว จึงช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ามาทำลายได้
ข้อควรระวังในการรับประทานกะทกรก

ทั้งต้นสดมีรสเบื่อเมาและเป็นพิษ หากนำมากินอาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่พิษจะสลายไปเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นจึงต้องนำไปต้มให้สุกก่อนนำมาใช้

ผลอ่อนมีพิษ เนื่องจากมีสารไซยาโนจีนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenetic glucoside) เปลือกผล เมล็ด และใบมีสารที่ไม่คงตัว เมื่อสารดังกล่าวสลายตัวจะทำให้ Acetone และ Hydrocyanic acid (สารชนิดหลังเป็นพิษ) ทำให้เม็ดเลือดแดงขาดออกซิเจน ทำให้เกิดอาการอาเจียน


ขอบคุณเว็บไซท์ https://medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)

750
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มิถุนายน 2565 15:33:16 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 102.0.0.0 Chrome 102.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2565 13:34:02 »



กล้วย

กล้วย เป็นพรรณไม้ล้มลุกในสกุล Musa มีหลายชนิดในสกุล บางชนิดก็ออกหน่อแต่ว่าบางชนิดก็ไม่ออกหน่อ ใบแบนยาวใหญ่ ก้านใบตอนล่างเป็นกาบยาวหุ้มห่อซ้อนกันเป็นลำต้น ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็น ปลี และมักยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ๆ รวมเรียกว่า เครือ พืชบางชนิดมีลำต้นคล้ายปาล์ม ออกใบเรียงกันเป็นแถวทำนองพัดคลี่ คล้ายใบกล้วย เช่น กล้วยพัด (Ravenala madagascariensis) ทว่าความจริงแล้วเป็นพืชในสกุลอื่น ที่มิใช่ทั้งปาล์มและกล้วย


กล้วยหอม
กล้วยหอม เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เช่น กล้วยหอมจันท์ กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว โดยกล้วยหอมเขียวหรือกล้วยหอมคาเวนดิชเป็นกล้วยหอมที่นิยมปลูกกันโดยทั่วไป จัดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารครบถ้วนตามหลักทางโภชนาการ เช่น มีวิตามิน ใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย มีสารแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ Escherichia coli เป็นต้น กล้วยหอมถูกจัดเป็นผลไม้เมืองร้อน สามารถปลูกได้เกือบทุกประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นหลายแห่ง เหมาะกับดินที่ร่วนซุย และดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี สามารถขยายพันธุ์ด้วยหน่อหรือเหง้า แต่มีข้อจำกัดว่ากล้วยหอมไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง สำหรับประเทศไทย พบกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ


ประโยชน์ของกล้วยหอม
กล้วยหอมอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรีต่อหน่วย เพราะในกล้วยหอมมีน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส รวมทั้งเส้นใยอาหาร ดังนั้น ร่างกายเราจะได้รับพลังงาน และนำไปใช้ได้ทันที แค่กล้วยหอม 2 ลูกก็ให้พลังงานได้ถึง 90 นาที และยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกดังนี้

- กล้วยหอมมีสาร Tryptophan เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายแปลงเป็น Serotonin ได้ ซึ่งเป็นสารกระตุ้นทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียด อารมณ์สดใสและมีความสุข
- ลดอาการปวดศีรษะ เพิ่มพลังสมอง สามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมองได้ การทานกล้วยหอมเป็นอาหารเช้าช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ และทานอีกในช่วงกลางวันจะทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวได้
- กล้วยหอมมีใยอาหารอยู่มากจึงช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยอาหารได้ดีขึ้น และช่วยเคลือบกระเพาะอาหารไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง และช่วยลดท้องผูกอีกด้วย
- ลดโรคโลหิตจาง กล้วยหอมอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮีโมโกลบินให้กับเม็ดเลือดแดง จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้
- ลดความดันโลหิต กล้วยหอมอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ผลวิจัยยืนยันว่าโพแทสเซียมในผลไม้ช่วยลดความดันโลหิตได้ กล้วยหอมจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองจากความดันโลหิตสูงได้
- ลดการเกิดตะคริว คนที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริวส่วนหนึ่งมาจากการขาดหรือมีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ การทานกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้
- บำรุงระบบประสาท วิตามินบีในกล้วยหอมจะช่วยบำรุงระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสมดุลมากขึ้น


ลักษณะทั่วไปของกล้วยหอม
ราก รากกล้วยหอมเป็นแบบ adventitious root ที่แตกออกจากหน่อ ซึ่งหน่อจะแตกออกจากเหง้า รากมีความยาวได้มากกว่า 5 เมตร ลึกลงดินได้ถึง 5 - 7.5 เมตร

ลำต้น มีลำต้นจริงเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน และมีลำต้นที่อยู่เหนือดินสูง 2.5 - 3.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 20 เซนติเมตร กาบลำต้นด้านนอกมีประดำ ด้านในสีเขียวอ่อนและมีเส้นลายสีชมพู

ใบ เป็นใบเดี่ยว เป็นแบบขนาน ก้านใบมีร่องค่อนข้างกว้าง และมีปีก เส้นกลางใบสีเขียว ใบอาจยาวได้มากถึง 3 เมตร

ดอก/ปลี ดอกหรือปลีจะแทงออกจากหยวกตรงกลางปลายยอด เมื่อแทงออกช่วงแรกจะตั้งตรง และค่อยๆโค้งงอลงด้านล่าง ด้านบนสีแดงอมม่วง มีไข่ ด้านในสีแดงซีด บรรจุน้ำข้างใน

ผล กล้วยหอมติดผลเป็นเครือ เครือหนึ่งมี 4 - 6 หวี หวีหนึ่งมี 12 - 16 ผล กว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 21 - 25 เซนติเมตร ปลายผลมีจุกเห็นชัดเปลือกบาง เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แต่ที่ปลายจุกจะมีสีเขียว แล้วเปลี่ยนสีภายหลัง เนื้อสีขาวขุ่น กลิ่นคาว รสหวานอุ่นฉ่ำ


750
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มิถุนายน 2565 15:32:20 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 102.0.0.0 Chrome 102.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2565 15:47:08 »



กลึงกล่อม

กลึงกล่อม ชื่อวิทยาศาสตร์: Polyalthia suberosa เป็นไม้พุ่มในวงศ์ Annonaceae จัดอยู่ในวงศ์กระดังงา เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน ผิวเรียบ เปลือกลอกออกเป็นแผ่นได้ มีจุดสีขาว ใบเดี่ยว ผิวใบด้านหน้าเรียบเป็นมัน ด้านหลังเขียวนวล ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลือง กลีบดอกชั้นในปลายติดเป็นสามเหลี่ยม กลีบดอกชั้นนอกเล็กกว่า มีกลิ่นหอม ผลกลุ่ม กลมยาว ผลสีเขียวบางส่วนสีม่วง สุกแล้วเป็นสีแดง เนื้อน้อย มีเมล็ดเดียว ใช้เป็นไม้ประดับ

สรรพคุณของกลึงกล่อม
- รากและเนื้อไม้ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ (รากและเนื้อไม้)
- ใช้เป็นยาขับพิษ ขับพิษภายใน แก้น้ำเหลือง (รากและเนื้อไม้)
- ใบและกิ่งมีสาร suberosol ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อโรคเอดส์ (HIV) ในหลอดทดลอง (ใบและกิ่ง)

ประโยชน์ของกลึงกล่อม
- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาทั่วไปสำหรับบ้านขนาดเล็ก เพื่อช่วยบังแดดให้กับห้องทางด้านใต้และหรือทางตะวันตก และผลยังดูสวยงามน่ารัก
- ยอดอ่อน ผลอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักสด หรือนำไปต้มรับประทานร่วมกับน้ำพริก
- สำหรับชาวล้านนานั้นจะนิยมนำผักกลึงกล่อมมาเป็นส่วนผสมของอาหารประเภทส้า เช่น ส้าผัก ส้าผักรวม หรือใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกหรือลาบ
- ผลสุกรับประทานได้ สัตว์ป่าชอบกินนัก


ขอขอบคุณ เว็บไซท์ (ที่มาข้อมูล)
- วิกิพีเดีย
- medthai.com

750
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มิถุนายน 2565 15:50:08 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 102.0.0.0 Chrome 102.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2565 16:26:04 »



กีวี

กีวี (ชื่อวิทยาศาสตร์: Actinidia chinensis) ภาษาจีนเรียกหมีโหวเถา เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ต่อมาเริ่มเป็นที่แพร่หลายออกนอกประเทศจีน ต่อมามีผู้นำไปปลูกที่นิวซีแลนด์เมื่อ พ.ศ.2449 และได้ปรับปรุงพันธุ์จนได้กีวีที่รสดีมากขึ้น จนกลายเป็นผู้ส่งออกกีวีรายใหญ่ที่สุด นอกจากนั้น นิวซีแลนด์ยังเปลี่ยนชื่อเรียกผลไม้ชนิดนี้จาก Chinese gooseberry เป็นกีวี ตามชื่อของนกกีวีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ  Jack Turner เป็นคนที่เริ่มเรียกว่า "kiwifruit" เมื่อราว พ.ศ.2505 ในประเทศไทยนำกีวีเข้ามาปลูกที่ดอยอ่างขาง และดอยขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่  กีวีเป็นไม้เลื้อย กิ่งและใบมีขนปกคลุม สีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยว ดอกแยกเพศและแยกต้นกัน ดอกสีขาว ผลรีรูปไข่ มีขนเล็กๆ ปกคลุมทั่วผล เนื้อสีเขียว บางพันธุ์เนื้อสีเหลือง ชุ่มน้ำ รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ได้นาน แต่มีความไวต่อเอทิลีน ถ้าเก็บกีวีดิบไว้ใกล้กับผลไม้ที่ปล่อยเอทิลีน เช่น กล้วย แอปเปิล จะสุกเร็วมาก ถ้าเก็บอย่างเหมาะสม จะเก็บได้นานถึงสองสัปดา

กีวีกินได้ทั้งเป็นผลไม้สด และแปรรูปเช่น แช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง กวน ตากแห้ง น้ำผลไม้และไวน์ ใช้แต่งหน้าเค้กและสลัด

สรรพคุณของกีวี
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
- กีวี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับยาก กีวีจะช่วยให้คุณหลับง่ายและสบายมากขึ้น
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
- โพแทสเซียมจากกีวีช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
- ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจวาย
- โฟเลตจากกีวีช่วยในเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ จำเป็นอย่างมากสำหรับมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาทหากขาดโฟเลต และเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์
- ซิงค์จากกีวี เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันฟันผุ กีวีจะช่วยลดอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้
- ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท
- ช่วยซ่อมแซมเซลล์ DNA ที่ถูกทำลายจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายของเราได้
- ควรรับประทานกีวีพร้อมหรือหลังอาหาร หากอาหารมื้อนั้นมีไขมัน
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- กีวีสีทองสามารถทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ได้ดี
- ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
- ไฟเบอร์ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ขับถ่ายอย่างสะดวกและสม่ำเสมอ
- ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย


ขอขอบคุณเว็บไซท์ (ที่มาข้อมูล)
- วิกิพีเดีย
- medthai.com/
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2565 15:12:16 »



โกโก้

โกโก้ ชื่อสามัญ Cacoa (โกโก้), Cacao (กากาโอ), Chocolate Tree (ช็อกโกแลต)

โกโก้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Theobroma cacao L. ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)

โกโก้ มีชื่อเรียกอื่นว่า โคโค่ (ภาคกลาง)

หมายเหตุ : ต้นโกโก้ที่กล่าวถึงในบทความนี้ เป็นพรรณไม้คนละชนิดกันกับต้นโคโค่ (Erythroxylon coca Lam.)

ลักษณะของโกโก้
ต้นโกโก้ จัดเป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก แต่มีการนำมาปลูกทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาปลูกตามสวนทั่วไปทางภาคใต้ โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ ๓-๙ เมตร และอาจสูงได้ถึง ๑๓ เมตร ขึ้นใต้ร่มเงาไม้ อากาศร้อน ความชื้นสูง และมีฝนตกชุก

ใบโกโก้ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับหรือเวียนรอบ ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับ หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือสอบ ส่วนขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ ๔-๒๐ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๑๐-๔๘ เซนติเมตร เส้นแขนงใบมีข้างละประมาณ ๙-๑๒ เส้น ปลายเส้นโค้งจรดกัน ก้านใบยาวประมาณ ๑-๓ เซนติเมตร โคนใบป่องทั้งสองข้าง มีหูใบขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปใบหอก ขนาดกว้างประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตร และยาวประมาณ ๐.๕-๑.๕ เซนติเมตร หลุดร่วงได้ง่าย

ดอกโกโก้ ดอกมีขนาดเล็กออกเป็นกลุ่มๆ ตามลำต้นหรือกิ่งใหญ่ๆ ที่แก่แล้ว ตรงที่ใบร่วงไป เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร ก้านดอกยาวประมาณ ๑-๒.๓ เซนติเมตร ดอกเป็นสีเขียวหรือสีแดง มีขนขึ้นประปราย ดอกมีใบประดับขนาดเล็ก มีขน ส่วนกลีบดอกมี ๕ กลีบ ออกเรียงสลับกับกลีบเลี้ยง กลีบดอกเป็นสีขาวอมเหลืองหรือสีขาวอมชมพู กลีบดอกตอนล่างมีลักษณะเป็นกระพุ้งสอบลงมาหาโคนกลีบ มีเส้นสีม่วงตามยาว ๒ เส้น มีขนาดกว้างประมาณ ๓ มิลลิเมตร และยาวประมาณ ๓-๔ มิลลิเมตร กลางกลีบดอกคอดเป็นเส้น โค้งออก ยาวได้ประมาณ ๒ มิลลิเมตร ปลายกลีบดอกเป็นสีเหลือง แผ่ออกเป็นรูปช้อน มีขนาดกว้างประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร และยาวประมาณ ๓ มิลลิเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี ๕ กลีบ กลีบเป็นสีขาวหรือสีขาวประชมพู ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก มีขนาดกว้างประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร และยาวประมาณ ๖-๘ มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ ๑๐ อัน โคนก้านชูอับเรณูติดกันเป็นหลอดสั้นๆ แยกออกเป็น ๒ ชนิด ชนิดแรกมี ๕ อัน อยู่ตรงกับกลีบเลี้ยง มีลักษณะตั้งตรง ปลายเรียว โคนกว้าง ไม่มีอับเรณู ยาวประมาณ ๔-๖ มิลลิเมตร สีม่วงเข้มมีขนอ่อนนุ่มสีขาว อีก ๕ อัน อยู่ตรงกับกลีบดอก โค้งงอลงมาจนกระทั่งอับเรณูเข้าไปอยู่ในอุ้งกลีบดอกตอนล่าง ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ ๒ มิลลิเมตร อับเรณู ๔ อัน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก ๕ แฉก

ผลโกโก้ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาว รูปไข่แกมรูปขอบขนาน หรือรูปรี ห้อยลงตามกิ่งและลำต้น ผลมีขนาดกว้างประมาณ ๖-๑๐ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๑๒-๒๒ เซนติเมตร ผิวผลแข็งขรุขระ ตามผลมีร่องตามยาวประมาณ ๑๐ ร่อง และมีสันเป็นปุ่มป่ำ ผลเป็นสีเขียว สีเหลือง ผลเมื่อแก่จัดจะเป็นสีแดงอมเหลืองหรือสีแดงอมม่วง ภายในผลมีเมล็ดโกโก้ประมาณ ๒๐-๖๐ เมล็ด เรียงเป็นแถว ๕ แถว ยาวตามแกนกลางของผล

เมล็ดโกโก้ ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปรี มีขนาดกว้างประมาณ  ๑.๓-๑.๕ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๒-๒.๕ เซนติเมตร เมล็ดเป็นสีน้ำตาล มีเยื่อหุ้มเมล็ดบางๆ รสหวาน

สรรพคุณของโกโก้
- โกโก้เป็นแหล่งสำคัญของ polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (เมล็ด)
- เมล็ดมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยบรรเทาภาวะของโรคเครียด โรคซึมเศร้า (เมล็ด)
- ช่วยลดระดับไขมันในเลือด (เมล็ด)
- ช่วยลดความดันโลหิต (เมล็ด)
- ช่วยระดับลดน้ำตาลในเลือด (เมล็ด)
- theobromine เป็นสารอัลคาลอยด์ที่แยกได้จากเมล็ดโกโก้ มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ ขยายหลอดเลือด - - นิยมใช้เมื่อมีอาการบวมเกี่ยวกับโรคหัวใจ (เมล็ด)
- ช่วยป้องกันฟันผุ (เมล็ด)
- theobromine มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ (เมล็ด)
- ช่วยทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว แก้หอบหืดคล้ายกับฤทธิ์ของ Theophylline แต่ถ้ากินเมล็ดมากๆ ก็อาจทำให้เสพติดได้ (เมล็ด)
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ (เมล็ด)
- ในประเทศฟิลิปปินส์จะใช้น้ำต้มจากรากโกโก้เป็นยาขับระดูของสตรี (ราก)
- oil หรือ cocoa butter เป็นไขมันที่แยกออกเมื่อนำเมล็ดโกโก้มาคั่ว theobroma oil ใช้เป็นยาพื้นในการเตรียมยาเหน็บและเครื่องสำอาง (เมล็ด)

วิธีการใช้ : ให้นำเมล็ดโกโก้ที่คั่วแห้งมาใช้เป็นเครื่องดื่มยามว่างหรือทำเป็นช็อกโกแลตผสมในอาหาร


ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2565 16:05:44 »



เกรปฟรุต

เกรปฟรุต ภาษาอังกฤษ Grapefruit (ตรงตัว) สามารถสะกดได้หลายแบบ เช่น เกรฟฟรุต หรือ เกรพฟรุต หรือ เกรปฟรุ๊ต เป็นต้น เป็นผลไม้กึ่งเขตร้อนที่จัดอยู่ในสกุลส้ม (Citrus) เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจัด มีรสฝาดปนนิดๆ

ลักษณะของเกรปฟรุต
ต้นเกรปฟรุต เป็นไม้ผลยืนต้น สูงโดยเฉลี่ยประมาณ ๕-๖ เมตร และสามารถสูงได้ถึง ๑๓-๑๕ เมตร ลักษณะของใบเกรปฟรุตเป็นใบสีเขียวเข้ม รูปร่างยาวและเรียว ส่วนดอกเป็นสีขาว มี ๔ กลีบ ลักษณะของผลเกรปฟรุต ภายนอกผลเปลือกสีเหลือง รูปกลมแป้นๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๕ เซนติเมตร เนื้อด้านในแบ่งเป็นกลีบออกสีเหลือง

สรรพคุณของเกรปฟรุต
- การดื่มน้ำเกรปฟรุตจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าและเมื่อยล้าได้ด้วย
- หากคุณเป็นไข้ การได้ดื่มน้ำเกรปฟรุตก็จะช่วยทำให้ไข้หวัดหายเร็วมากยิ่งขึ้น
- มีส่วนช่วยป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดใหญ่และมาลาเรีย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานก็รับประทานเกรปฟรุตได้อย่างปลอดภัย และยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายอีกด้วย
- ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ และมะเร็งปอด
- ช่วยในการย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ป้องกันอาการท้องผูก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
- การดื่มน้ำเกรปฟรุตเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนิ่วในไตได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของเกรปฟรุต
- ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับและส่งเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้นได้
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
- กลิ่นของเกรปฟรุตสามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้
- ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเกรปฟรุตมีเอนไซม์ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ ลองหันมารับประทานหรือดื่มน้ำเกรปฟรุตทุกวันดู แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง !
- สารต่อต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตมีประสิทธิภาพในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- ช่วยทำให้กลิ่นเท้าหอม ด้วยการผสมเนื้อเกรปฟรุต ๑ ช้อนโต๊ะ / เกลือทะเลครึ่งถ้วยเข้ากับขิงสด ๑ ช้อนโต๊ะ / น้ำมันงาหรือน้ำมันอัลมอนด์ ๑ ถ้วย แล้วนำมาขัดเท้า ถ้าเหลือก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ ๓ สัปดาห์
- ในทางการแพทย์พบว่า เมื่อใช้เกรปฟรุตร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งจะสามารถช่วยลดการใช้ตัวยาบางชนิดลงได้ จึงช่วยประหยัดค่ารักษาได้อีกทางหนึ่ง
- มีการนำผลไม้ชนิดนี้ไปใช้ในการผลิตเครื่องสำอางประเภทต่างๆ หรือทำน้ำมันหอมระเหย

คำเตือน : การรับประทานหรือดื่มน้ำเกรปฟรุตร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยารักษามะเร็ง ยาลดระดับคอเลสเตอรอล ยาลดความดันเลือด ยาที่ใช้เพื่อกดระบบภูมิต้านทาน เป็นต้น (สถาบันวิจัยสุขภาพลอว์สันจากมหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์น ออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ระบุว่ายาที่มีผลข้างเคียงต่อเกรปฟรุต มีตัวยามากกว่า ๔๓ ชนิด) อาจส่งผลให้เกิดอาการ e หรือปริมาณยาที่มากเกินไปได้  เนื่องจากน้ำผลไม้ดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้ตัวยาที่รับประทานเข้าไปไม่แตกตัวในลำไส้และตับ ซึ่งหมายความว่าจะมีปริมาณยาจำนวนมากที่ไม่ถูกดูดซึมผ่านระบบการย่อยอาหาร ซึ่งมันจะสะสมในเลือดเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว (ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เหมือนเรารับประทานยา ๑ เม็ด แต่จะส่งผลทำให้มีอาการคล้ายกับรับประทานยา ๕ ถึง ๑๐ เม็ด ซึ่งแน่นอนว่ามันอันตรายมาก) ดังนั้นหากคุณกำลังรับประทานอะไรอยู่ก็ตามก่อนการรับประทานเกรปฟรุต คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน


ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2565 18:29:53 »



แก้วมังกร

แก้วมังกร ภาษาอังกฤษชาวเอเชียเรามักนิยมเรียกกันว่า Dragon fruit แต่สำหรับต่างประเทศในแถบยุโรปนั้นจะใช้คำว่า Pitaya ส่วนแก้วมังกร ชื่อวิทยาศาสตร์เราจะเรียกว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose.
 
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง นำเข้ามาในทวีปเอเชียที่ประเทศเวียดนามเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่แล้ว จัดเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญจะอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรี และสมุทรสงคราม ซึ่งได้ผลผลิตมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน โดยเป็นผลไม้ที่มีรูปร่างกลมรี เปลือกมีสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวหรือแดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้นๆ มีเมล็ดคล้ายเมล็ดแมงลักฝังอยู่ทั่วผล โดยแก้วมังกรจะมีสายพันธุ์ดังนี้คือ แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดงที่จะให้รสชาติหวานนิดๆ อมเปรี้ยวหน่อยๆ แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลืองให้รสชาติออกหวาน และแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงที่มีรสชาติหวานกว่าพันธุ์อื่นๆ โดยวิธีการรับประทานก็รับประทานเหมือนแตงโม นำมาผ่าครึ่งแล้วใช้ช้อนตักรับประทานได้เลย

แก้วมังกรอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด อย่างเช่น วิตามินซี วิตามินบี ๑ วิตามินบี ๒ วิตามินบี ๓ ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถ้ารับประทานแก้วมังกร ๑ ลูก น้ำหนัก ๑๐๐ กรัม ร่างกายจะได้คาร์โบไฮเดรต ๑๒.๔ กรัม โปรตีน ๑.๔ กรัม ฟอสฟอรัส ๓๒ มิลลิกรัม แคลเซียม ๙ มิลลิกรัม วิตามินซี ๗ มิลลิกรัม พลังงาน ๖๖ กิโลแคลอรี และใยอาหาร ๒.๖ กรัม และสารอื่นๆ อีกด้วย แก้วมังกรเลยถูกจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพของคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามอีกด้วย

แก้วมังกรลดความอ้วนได้จริงหรือ? ได้แน่นอน เพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัว แก้วมังกรมีแคลอรีต่ำเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ รับประทานแล้วอิ่มท้องนาน เรียกได้ว่าสามารถรับประทานแทนอาหารหนึ่งมื้อได้เลย แม้จะรับประทานเยอะแค่ไหนก็ไม่ทำให้อ้วน แถมช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส ดูมีน้ำมีนวลอีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรรับประทานอย่างพอประมาณหรือวันละไม่เกิน ๑ ลูก ถ้าจะให้ดีในทุกๆ วันไม่ควรรับประทานผลไม้เดิมๆ ซ้ำๆ ติดต่อกันหลายวัน เพื่อให้ได้สารอาหารอย่างหลากหลาย และได้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่ โดยการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามหลักโภชนาการนั้น ควรรับประทานผลไม้ให้ได้วันละ ๓-๕ ส่วนนั่นเอง

ประโยชน์ของแก้วมังกร
- แก้วมังกรช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส ชุ่มชื่น
- เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อน ดับกระหายได้เป็นอย่างดี
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง
- แก้วมังกรลดน้ำหนักและช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ช่วยในเรื่องการลดความอ้วนเนื่องจากมีแคลอรีต่ำ
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัย ความแก่ชรา และริ้วรอยต่างๆ
- มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
- ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
- มีส่วนในการช่วยรักษาโรคเบาหวาน
- ช่วยบรรเทาอาการของโรคความดันโลหิตได้
- มีส่วนช่วยบรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง
- มีส่วนช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
- ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่วที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันของคุณให้แข็งแรง
- มีกากใยสูง ช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก
- ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่างๆ ให้ดีขึ้น
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบกำจัดของเสียในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
- นิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด
- ใช้เป็นส่วนผสมในฟรุตสลัดและน้ำปั่นผลไม้


ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กรกฎาคม 2565 16:35:13 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2565 18:30:39 »



ขนุน

ขนุน ชื่อสามัญ Jackfruit, Jakfruit ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus heterophyllus Lam. จัดอยู่ในวงศ์ขนุน (MORACEAE)

ผลไม้ขนุน มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ขะนู (จันทบุรี), นะยวยซะ (กาญจนบุรี), เนน (นครราชสีมา), ซีคึย ปะหน่อย หมากกลาง (แม่ฮ่องสอน), นากอ (ปัตตานี), มะหนุน (ภาคเหนือ ภาคใต้), ลาน ล้าง (ภาคเหนือ), หมักหมี้ (ตะวันอองเฉียงเหนือ) และชื่ออื่นๆ เช่น ขะเนอ, ขนู,นากอ, มะยวยซะ, Jack fruit tree เป็นต้น

ลักษณะของขนุน
ต้นขนุน เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ ๑๕-๓๐ เมตร กิ่งและลำต้นเมื่อมีแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นไหลออกมา ลักษณะของใบขนุน เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบเป็นรูปรี ปลายใบทู่ถึงแหลม โคนใบมน ใบหนา ผิวด้านบนของใบจะมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนผิวใบด้านล่างจะสากมือ ใบขนุนกว้างประมาณ ๕-๘ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๐-๑๕ เซนติเมตร

ดอกขนุน ออกเป็นช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน เป็นช่อสีเขียว อัดกันแน่นและอยู่บนต้นเดียวกัน โดยดอกเพศผู้จะออกตามปลายกิ่งหรือซอกใบ ซึ่งเราจะเรียกว่า “ส่า” ส่วนดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และลำต้น เมื่อติดผลดอกทั้งช่อจะเจริญร่วมกันเป็นผลรวมมีขนาดใหญ่ โดย ๑ ดอกจะกลายเป็น ๑ ยวง

ผลขนุน หรือ ลูกขนุน ลักษณะภายนอกจะคล้ายๆ จำปาดะ (ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกัน) โดยลักษณะของลูกขนุน ในผลดิบเปลือกมีสีขาว หนามทู่ ถ้ากรีดจะมียางเหนียว ถ้าแก่เปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อนอมเหลืองและหนามจะป้านขึ้นด้วย ภายในผลของขนุนจะมีซังขนุนหุ้มยวงสีเหลืองไว้ เมล็ดจะอยู่ในยวง โดยดอกขนุนจะออกดอกปีละ ๒ ครั้ง คือในช่วงเมษายน-พฤษภาคม และในช่วงธันวาคม-มกราคม

สรรพคุณของขนุน
ประโยชน์ของขนุนประโยชน์ขนุนรูปขนุนพันธุ์ขนุน มีอยู่หลายสายพันธุ์ ซึ่งสีของเนื้อก็แตกต่างกันออกไปด้วยตามแต่ละสายพันธุ์ ขนุนบางสายพันธุ์มีรสหวานใช้รับประทานได้ แต่บางพันธุ์มีรสจืดไม่นิยมนำมารับประทาน โดยสายพันธุ์ขนุนที่นิยมปลูกในประเทศไทยก็ได้แก่ พันธุ์ตาบ๊วย (ผลใหญ่ เนื้อหนา สีจำปาออกเหลือง), พันธุ์ทองสุดใจ (ผลใหญ่ยาว เนื้อเหลือง), พันธุ์ฟ้าถล่ม (ผลค่อนข้างกลมและใหญ่มาก มีเนื้อสีเหลืองทอง), พันธุ์จำปากรอบ (ผลขนาดกลาง รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อสีเหลือง) เป็นต้น

ต้นขนุนจัด เป็น ๑ ใน ๙ ไม้มงคลของไทย ไม้ขนุนมีความหมายว่า การช่วยหนุนบารมี เงินทอง ความร่ำรวย ให้ดียิ่งขึ้น มีผู้ให้การเกื้อหนุนจุนเจือ โดยนิยมปลูกไว้หลังบ้านด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้

นอกจากขนุนจะเป็นไม้มงคลนามแล้ว ก็ยังเป็นผลไม้ที่มีเนื้อหอมหวานอร่อยอีกด้วย และยังนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู แต่สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานขนุนหรือรับประทานแต่น้อยเพราะมีรสหวาน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรอีกด้วย ส่วนที่นำมาใช้เป็นยารักษาอาการต่างๆ ได้แก่ ใบ ยวง เมล็ด แก่น ส่าแห้งของขนุน

สรรพคุณของขนุน
- ช่วยบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น (แก่นขนุนหนังหรือขนุนละมุด, ราก, แก่น)
- ช่วยบำรุงกำลัง ชูหัวใจให้สดชื่น (เนื้อหุ้มเมล็ดสุก, เนื้อในเมล็ด, ผลสุก, เมล็ด)
- ช่วยบำรุงร่างกาย (เมล็ด)
- ขนุนหนังเป็นผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงติด ๑๐ อันดับแรกของผลไม้ และยังมีวิตามินซีสูงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ผลสุก)
- ขนุนมีประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานได้ โดยมีผลงานวิจัยของประเทศศรีลังกา ที่ได้ทำการทดลองในผู้ป่วยเบาหวานและในหนูทดลอง ซึ่งผลการทดลองพบว่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผลการทดลองยังได้ทำการเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาเบาหวาน ซึ่งก็คือยา Tolbutamide และได้ผลสรุปว่าสารสกัดจากขนุนสามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ายา Tolbutamide ภายในเวลา ๕ ชม. สำหรับวิธีนำมาปรุงเป็นยาก็ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ใบขนุนแก่ ๕-๑๐ ใบ นำมาต้มในน้ำ ๓ แก้ว เคี่ยวนานประมาณ ๑๕ นาที แล้วนำมาดื่มก่อนอาหารเช้า-เย็น (ใบ)
- ช่วยระงับประสาท (ใบ)
- ช่วยแก้โรคลมชัก (ใบ)
- ใบขนุนละมุด นำไปเผาให้เป็นถ่านผสมกับน้ำปูนใสใช้หยอดหู แก้อาการปวดหู และเป็นหูน้ำหนวก (ใบขนุนละมุด)
- ใบขนุนใช้ต้มดื่มช่วยแก้อาการท้องเสียได้ (ใบ, ราก)
- เมล็ดช่วยแก้อาการปวดท้อง (เมล็ดขนุน)
- ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ (เนื้อหุ้มเมล็ด, ผลสุก)
- ช่วยสมานลำไส้ (แก่น)
- เม็ดขนุน มีสารพรีไบโอติกหรือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ทนต่อการย่อยของกระเพาะอาหารและการดูดซึมของลำไส้เล็กตอนบน ซึ่งช่วยดูดซึมแร่ธาตุอย่างแคลเซียม เหล็ก สร้างสารป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยไม่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคแต่อย่างใด (เมล็ด)
- ไส้ในของขนุนละมุด ใช้รับประทานช่วยแก้อาการตกเลือดในทวารเบาของสตรีที่มีมากไปให้หยุดได้ (ไส้ในขนุน)
- แก่นและเนื้อไม้ของต้นขนุน นำมาใช้รับประทานช่วยแก้กามโรค (แก่นและเนื้อไม้)
- ช่วยขับพยาธิ (ใบ)
- ใช้แก้โรคผิวหนังต่างๆ (ใบ, ราก)
- ช่วยรักษาแผลมีหนองเรื้อรัง (ยาง, ใบ)
- ช่วยสมานแผล (แก่น)
- ใช้ทาแผลบวมอักเสบ (ยาง)
- ช่วยแก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบที่เกิดจากแผลมีหนองที่ผิวหนัง (ยาง)
- ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ช่วยในการจับกลุ่มอสุจิ เม็ดเลือดแดง แบคทีเรีย สารในของเหลวของร่างกาย ช่วยยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และ- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว

ประโยชน์ของขนุน
- เม็ดขนุน ช่วยบำรุงน้ำนม ขับน้ำนม ทำให้น้ำนมของแม่เพิ่มมากขึ้น (เม็ดขนุน)
- ใช้หมักทำเหล้า (เนื้อหุ้มเมล็ดสุก)
- ช่วยแก้อาการเมาสุรา (ผลสุก)
- แก่นของต้นขนุน นำมาใช้ทำสีย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีน้ำตาลแก่ นิยมนำมาใช้ย้อมสีจีวรพระ
- ส่าแห้งของขนุนนำมาใช้ทำเป็นชุดจุดไฟได้
- เนื้อไม้ของต้นขนุนสามารถนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรีได้
- เมล็ดและยวงสามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้
- เนื้อขนุนสุกนำมารับประทานเป็นผลไม้และทำเป็นขนมได้หลายชนิด เช่น ใส่ในไอศกรีม ลอดช่อง กินกับข้าวเหนียวมูน นำไปอบแห้ง
- ขนุนอ่อนนิยมนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานเป็นผัก เช่น ใส่ในส้มตำ ตำมะหนุน แกงขนุน ยำ ขนุนอบกรอบ เป็นต้น


ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)

750-12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กรกฎาคม 2565 16:34:36 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2565 16:33:24 »



ข้าวโพด
ข้าวโพด เป็นผักหรือผลไม้ ?
เฉลย .. ข้าวโพดเป็นผลไม้ในเชิงพฤกษศาสตร์ แต่กลับถูกจัดว่าเป็นผักในเชิงการทำครัว


ข้าวโพด ข้าวโพด ชื่อวิทยาศาสตร์ Zea mays Linn. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)

ข้าวโพด มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า ข้าวแช่ (แม่ฮ่องสอน), ข้าวสาลี เข้าสาลี สาลี (ภาคเหนือ), โพด (ภาคใต้), บือเคส่ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เข้าโพด (ไทย), เป๊ากื่อ (ม้ง), แผละลี (ลั้วะ), ข้าวแข่ (เงี้ยว, ฉาน, แม่ฮ่องสอน), เง็กบี้ เง็กจกซู่ (จีน), ยวี่หมี่ ยวี่สู่สู่ (จีนกลาง) เป็นต้น

ลักษณะของข้าวโพด
ต้นข้าวโพด จัดเป็นไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ในปัจจุบันมีการปลูกทั่วไปในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก ลำต้นนั้นมีลักษณะอวบกลมและตั้งตรงแข็งแรง มีความสูงของต้นประมาณ ๑-๔ เมตร ผิวต้นเรียบ เนื้อภายในฟ่ามคล้ายกับฟองน้ำ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด

ใบข้าวโพด ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ใบมีลักษณะเรียวยาวเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบมนและมีขนอ่อน ๆ สีขาว เส้นกลางใบมองเห็นได้ชัดเจน ใบมีขนาดกว้างประมาณ ๒-๑๐ เซนติเมตรและยาวประมาณ ๓๐-๑๐๐ เซนติเมตร ส่วนก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น

ดอกข้าวโพด ออกดอกเป็นช่อ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ในต้นเดียวกัน โดยดอกเพศผู้จะออกดอกเป็นช่อและออกที่ปลายยอด ส่วนดอกเพศเมียจะอยู่ต่ำถัดลงมา ออกระหว่างกาบของใบและลำต้น เรียงเป็น ๒ แถว มีประมาณ ๘-๑๘ ดอก ดอกย่อยจะมีก้านเกสรเพศผู้จำนวน ๙-๑๐ ก้าน และมีอับเรณูสีเหลืองส้ม ยาวประมาณ ๕ มิลลิเมตร ส่วนยอดเกสรเพศเมียเป็นเส้นบางๆ ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก คล้ายกับเส้นไหมจำนวนมาก (บ้างก็เรียกว่าหนวดข้าวโพด) โดยจะอยู่ระหว่างกาบใบและลำต้น และดอกเพศเมียเมื่อเจริญเติบโตแล้วก็จะออกเป็นฝักหรือเรียกว่าผล

ผลข้าวโพด ออกผลเป็นฝัก ผลถูกหุ้มไปด้วยกาบบางๆ หลายชั้น ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีนวล เรียกว่าเปลือกข้าวโพด ฝักมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ในหนึ่งฝักจะมีเมล็ดอยู่รอบฝักเรียงเป็นระเบียบรอบแกนกลางของฝัก เมล็ดจะเกาะอยู่เป็นแถวประมาณ ๘ แถว แต่ละแถวจะมีประมาณ ๓๐ เมล็ดและมีสีต่างๆ กัน เช่น สีนวล เหลือง ขาว หรือสีม่วงดำ

ชนิดของข้าวโพด
เราสามารถจำแนกข้าวโพดตามพฤกษศาสตร์ โดยแยกตามลักษณะภายนอกของเมล็ดและลักษณะของแป้ง โดยแบ่งได้ ๗ ชนิด ดังนี้

ข้าวโพดไร่ชนิดหัวบุบ (Dent corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays indentata เมล็ดตอนบนจะมีรอยบุบสีขาว เนื่องจากตอนบนเป็นแป้งชนิดอ่อน ส่วนด้านข้างเป็นแป้งชนิดแข็ง เมื่อนำมาตากแห้งจึงเกิดการยุบตัว

ข้าวโพดไร่ชนิดหัวแข็ง (Flint corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays indurate เป็นชนิดที่มีลักษณะของเมล็ดค่อนข้างแข็งแรง กลม เรียบ หัวไม่บุบ ด้านนอกถูกห่อหุ้มไปด้วยแป้งชนิดแข็ง เมื่อนำมาตากแห้งจึงไม่หดตัวหรือยุบตัว โดยมีขนาดของฝักและจำนวนแถวของเมล็ดน้อยกว่าชนิดหัวบุบ

ข้าวโพดหวาน (Sweet corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays saccharata ชนิดนี้เป็นข้าวโพดที่ใช้ปลูกเพื่อรับประทานฝักสดโดยเฉพาะ เมล็ดมีลักษณะอ่อนใสและโปร่งแสง มีรสหวานอร่อย เนื่องจากมีน้ำตาลมาก เมื่อเมล็ดแก่จะเกิดการหดตัวและเหี่ยวย่น

ข้าวโพดคั่ว (Pop corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays everta เมล็ดมีขนาดค่อนข้างเล็ก มีแป้งแข็งอยู่ภายใน ภายนอกห่อหุ้มไปด้วยสารที่ค่อนข้างเหนียวและยืดตัวได้ ภายในเมล็ดมีความชื้นอยู่พอสมควร เมื่อถูกความร้อนจะทำให้เกิดแรงดันภายในเมล็ด เมื่อร้อนถึงขีดสุดก็จะระเบิดออกมา ซึ่งโดยทั่วไปอาจแบ่งตามรูปร่างของเมล็ดได้เป็น ๒ จำพวก คือ พวกหัวแหลม หรือ rice pop corn และพวกเมล็ดกลม pearl pop corn โดยเมล็ดจะมีสีต่างกันออกไป เช่น ขาว เหลือง ส้ม ม่วง เป็นต้น ส่วนฝักก็มีขนาดต่างๆ กัน ตั้งแต่ ๕-๑๐ เซนติเมตร

ข้าวโพดข้าวเหนียว หรือ ข้าวโพดเทียน (Waxy corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays ceratina ลักษณะของเมล็ดมีความเหนียวคล้ายขี้ผึ้ง แป้งที่ได้จะมีลักษณะคล้ายกับแป้งมันสำปะหลัง ใช้ปลูกเพื่อทำเป็นแป้งที่มีคุณภาพคล้ายกับแป้งมัน นิยมใช้ปลูกเพื่อรับประทานฝักสดคล้ายกับข้าวโพดหวาน แม้รสจะไม่หวานเท่า แต่เมล็ดนิ่ม มีรสอร่อย รับประทานแล้วไม่ติดฟัน โดยเมล็ดจะมีสีต่างๆ กัน เช่น ขาว เหลือง ส้ม ม่วง หรือมีหลายสีในฝักเดียวกัน

ข้าวโพดแป้ง (Flour corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays amylacea เมล็ดจะประกอบไปด้วยแป้งชนิดอ่อนปริมาณมาก ลักษณะของเมล็ดคล้ายกับเมล็ดข้าวโพดไร่ชนิดหัวแข็ง แต่หัวจะไม่บุบหรืออาจบุบเล็กน้อย ชนิดนี้จะมีเมล็ดประมาณ ๘-๑๒ แถว ชาวอินเดียแดงใช้ทั้งฝักสดและฝักแก่เป็นอาหาร

ข้าวโพดป่า (Pod corn) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays tunicate เมล็ดมีเปลือกหุ้มทุกเมล็ด และยังมีเปลือกฝักอีกชั้นหนึ่ง โดยเมล็ดจะมีลักษณะต่างๆ กัน คือ มีทั้งหัวบุบ หัวแข็ง ข้าวโพดแป้ง ข้าวโพดหวาน หรือข้าวโพดคั่ว ซึ่งข้าวโพดชนิดนี้ไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเลย เพียงแต่ปลูกไว้เพื่อการศึกษาเท่านั้น

สรรพคุณของข้าวโพด
- เมล็ดมีรสหวานมัน ช่วยบำรุงร่างกาย (เมล็ด)
- หากความจำเสื่อมหรือลืมง่าย ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้งเอามาใส่ในกล้องยาสูบแล้วใช้จุดสูบ (เกสรเพศเมีย)
- เมล็ดช่วยบำรุงปอดและหัวใจ (เมล็ด)
- ยอดเกสรเพศเมียและฝอยข้าวโพดใช้เป็นยาแก้เบาหวาน ด้วยการใช้ยอดเกสรเพศเมียที่ตากแห้งแล้วประมาณ ๓๐ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เกสรเพศเมีย, ฝอย)
- ยอดเกสรเพศเมียหรือไหมข้าวโพดและฝอยข้าวโพดช่วยแก้โรคความดันโลหิตสูง ตามตำรับยาจะใช้ยอดเกสรเพศเมียที่แห้งแล้ว เปลือกกล้วยแห้ง และเปลือกแตงโมแห้งอย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำดื่ม (เกสรเพศเมีย, ฝอย)
- ต้นและเมล็ดช่วยทำให้เจริญอาหาร (ต้น, เมล็ด)
- เกสรเพศเมียมีรสหวาน เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะ มีสรรพคุณขับความร้อนชื้น แก้อาการกระหายน้ำ (เกสรเพศเมีย)
- ช่วยแก้ไข้ทับระดู (ต้น)
- ช่วยแก้โลหิตกำเดา (เกสรเพศเมีย)
- หากตรากตรำทำงานหนัก มีอาการไอเป็นเลือดหรือตกเลือด ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมีย นำมาต้มกับเนื้อสัตว์รับประทาน (เกสรเพศเมีย)
- ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน (ฝอย) รากและเมล็ดช่วยแก้อาการเจียน (ราก, เมล็ด) รากและเกสรเพศเมียช่วยแก้อาการ- - อาเจียนเป็นโลหิต ด้วยการใช้รากข้าวโพดแห้งประมาณ ๖๐-๑๒๐ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก, เกสรเพศเมีย)
- ช่วยแก้โพรงจมูกอักเสบ จมูกอักเสบเรื้อรัง (เกสรเพศเมีย)
- สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ โดยมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเพียงจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นซีกซ้ายหรือขวาก็ได้ และจะเจ็บเพียงชั่วขณะที่หายใจเข้าลึกๆ ที่ปอดขยายตัวเต็มที่ เลยทำให้ส่วนที่อักเสบเกิดการเสียดสีกัน ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรงก็จะไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ แต่สำหรับอาการที่เห็นทั่วไปจะมีเหงื่อเย็นๆ ออกจนเปียกข้างลำตัว ให้ใช้เกสรเพศเมีย ๑ กิโลกรัม นำมานึ่งแล้วใช้พอกบริเวณปอด จะช่วยทำให้มีอาการดีขึ้น หรือจะนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเช่นกัน (เกสรเพศเมีย)
- ช่วยแก้เต้านมเป็นฝี (เกสรเพศเมีย)
- ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร (เมล็ด)
- ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ด้วยการใช้ข้าวโพด ๕๐๐ กรัมและเปลือกทับทิม ๑๒๐ กรัม นำมาผิงไฟให้แห้ง แล้วบดให้เป็นผง นำมาผสมกับน้ำให้ได้ประมาณ ๑,๕๐๐ มิลลิลิตร แล้วใช้ดื่ม ๑๐ มิลลิลิตรต่ออายุ ๑ ปี จะช่วยรักษาอาการพิษได้ และในช่วงการรักษาให้ระวังคอยดูแลระดับน้ำและอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้เกิดความผิดปกติด้วย (ไม่ระบุแน่ชัดว่าใช้ส่วนใดของข้าวโพด)
- สำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ให้ใช้เมล็ดข้าวโพดนำมาต้มใส่เกลือเล็กน้อยและไข่ขาว แล้วนำมารับประทานเป็นอาหารเสริม (เมล็ด)
- ซังข้าวโพดมีรสจืดชุ่ม ใช้ซังแห้งประมาณ ๑๐-๑๒ กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาเป็นถ่านผสมกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด แก้อาการท้องร่วง (ซัง)
- ราก เกสรเพศเมีย ซัง และเมล็ดเป็นยาขับปัสสาวะ ตามตำรับยาจะใช้รากแห้งประมาณ ๖๐-๑๒๐ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้ยอดเกสรเพศเมียหรือซังข้าวโพดเอามาต้มกับน้ำดื่มแทนน้ำชาก็ได้ (ราก, เกสรเพศเมีย, ฝอย, ซัง, เมล็ด) ใช้เกสรเพศเมียประมาณ ๑๐-๒๐ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มทุกวันเป็นยาแก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ช่วยแก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงนิ่วในอวัยวะอื่นๆ ด้วย (เกสรเพศเมีย) ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (ลำต้น, ใบ, เกสรเพศเมีย) ช่วยแก้ปัสสาวะขัด (ซัง) ราก ต้น และใบมีรสออกหวาน ใช้เป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว ตามตำรับยาให้ใช้ต้นและใบสดหรือแห้งจำนวนพอสมควร นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว ถ้าเป็นรากให้ใช้รากแห้งประมาณ ๖๐-๑๒๐ กรัมนำมาต้มกับดื่ม (ราก, ต้นและใบ, ฝอย)
- เกสรเพศเมียหรือไหมข้าวโพดมีรสออกหวาน ช่วยขับนิ่วในถุงน้ำดี กระตุ้นให้น้ำดีขับเคลื่อน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ มะเร็งในถุงน้ำดี และช่วยบำรุงน้ำดี (เกสรเพศเมีย)
- เกสรเพศเมียช่วยบำรุงตับ แก้ตับอักเสบ ตับอักเสบเป็นดีซ่าน แก้ดีซ่าน แก้ไตอักเสบ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไตอักเสบจะใช้เกสรเพศเมีย ๓๐ กรัม, หญ้าหนวดแมว ๒๐ กรัม, หญ้าคา ๒๐ กรัม, ข้าวเย็นเหนือ ๒๕ กรัม, ข้าวเย็นใต้ ๒๕ กรัม และโกฐน้ำเต้า ๕ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือหากไตอักเสบหรือเริ่มเป็นนิ่วที่ไต ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียพอประมาณ นำมาต้มจนข้นแล้วนำมากิน หรือหากเป็นโรคไตอักเสบเรื้อรัง ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้ง ๕๐ กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน โดยจะมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้นจากอาการบวมน้ำและปริมาณของอัลบูมิน (albumin) ในปัสสาวะนั้นลดลง โดยคนไข้ที่กินติดต่อกันนาน ๖ เดือนยังไม่พบอาการเป็นพิษแต่อย่างใด ส่วนอีกตำรับยาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับไต ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้ง ๖๐ กรัม นำมาต้มกับกินวันละ ๒ ครั้ง แล้วให้กินโพแทสเซียมคลอไรด์ร่วมด้วย โดยทั่วไปเมื่อกินยานี้ไปแล้ว ๓ วัน ปัสสาวะจะมากขึ้น ปริมาณของอัลบูมินและสารจำพวกไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนในปัสสาวะนั้นจะลดลง และคนไข้บางรายจะมีปริมาณของอัลบูมินในโลหิตสูง ส่วนบางรายความดันโลหิตจะลดลงจนสู่ระดับปกติ (เกสรเพศเมีย) ช่วยรักษาไต (ฝอย)
- ใช้ซังแห้งประมาณ ๑๐-๑๒ กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาเป็นถ่านผสมกับน้ำกินเป็นยาบำรุงม้าม (ซัง)
- ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ด้วยการใช้ซังแห้งประมาณ ๑๐-๑๒ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาให้เป็นถ่านแล้วผสมกับน้ำกิน หรือจะใช้ซังข้าวโพดแห้ง ๖๐ กรัมผสมกับฮวงเฮียงก้วย ๓๐ กรัม (ผลของ Liquidambar taiwaniana Hance.) นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนเกสรเพศเมียช่วยแก้อาการบวมน้ำ ขาบวม ซึ่งตามตำรับยาจะใช้เกสรเพศเมีย ๓๐ กรัม, หญ้าหนวดแมว ๒๐ กรัม, หญ้าคา ๒๐ กรัม, ข้าวเย็นเหนือ ๒๕ กรัม, ข้าวเย็นใต้ ๒๕ กรัม และโกฐน้ำเต้า ๕ กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนอีกตำรับจะใช้เกสรเพศเมีย ๕๐ กรัม ผสมกับเมล็ดเทียนเกล็ดหอย ๑๕ กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละ ๓ ครั้ง (เกสรเพศเมีย, ซัง)
- เมล็ดนำมาบดพอกแผลเพื่อทำให้เยื่ออ่อนนุ่มไม่ให้เกิดการระคายเคือง (เมล็ด)
- หากเกิดบาดแผล ให้ใช้เกสรเพศเมียสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดแล้วใช้เป็นยาพอกแผล จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น (เกสรเพศเมีย)
- สำหรับเด็กที่เป็นแผลที่ผิวหนัง และมีเลือดออก ให้ใช้ซังข้าวโพดนำมาเผาให้เป็นเถ้า แล้วนำมาผสมกับน้ำมันเมล็ดป่านหรือน้ำมันพืช ใช้เป็นยาทา (ซัง)
 


ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)

750-12
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2565 19:59:48 »




แคนตาลูป

แคนตาลูป (Cantaloupe) หรือ “แตงแคนตาลูป”  ชื่อวิทยาศาสตร์ “Cucumis melo L. var. cantaloupensis” เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย แต่มีผู้นำผลไม้ชนิดนี้ไปปลูกที่ประเทศอิตาลีในเมือง “แคนตาลูโป (Cantalupu)” ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโรม จึงเป็นที่มาของชื่อผลไม้ชนิดนี้ โดยผลไม้ชนิดนี้ได้นำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ โดยปลูกครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนได้มีการนำมาทดลองปลูกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ปรากฏว่าได้ผลดี โดยแหล่งปลูกแคนตาลูปที่สำคัญของประเทศในปัจจุบันอยู่ที่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร

ผลแคนตาลูปจะมีลักษณะคล้ายกับแตงไทยบ้านเรา คนไทยจึงนิยมเรียกกันว่า แตงเทศ, แตงฝรั่ง, แตงไทยฝรั่ง โดยลักษณะของผลจะกลม ผิวมีสีเขียว เหลือง ขาว น้ำตาลคล้ำ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้นๆ เป็นหลัก ผิวของผลจะหยาบ เปลือกแข็ง มีร่องลึกรอบๆ ผล เปลือกจะมีลายคล้ายร่างแหหรือตาข่าย เมื่อสุกแล้วเนื้อข้างในจะมีสีส้มหรือสีจำปา รสชาติออกหวาน มีกลิ่นหอม แต่ถ้าจะนำมาทำน้ำแคนตาลูป แนะนำว่าควรเลือกแคนตาลูปที่กำลังสุกพอดี ถ้าอ่อนมากเกินไปจะไม่มีกลิ่นหอม แต่ถ้าสุกมากเกินไปเมื่อลองเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน ยิ่งเสียงน้ำมากเท่าไหร่แปลว่ายิ่งสุกมากเท่านั้น และให้เลือกผลขนาดกลางๆ น้ำหนักประมาณ ๑ กิโลกรัม โดยเลือกผิวที่เรียบตึง ไม่เป็นรอยหยักหรือเลือกที่เป็นสีนวลเหมือนเปลือกไข่ก็ใช้ได้

สำหรับประโยชน์ของแคนตาลูปและสรรพคุณของแคนตาลูปนั้นมีอยู่มากมาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี ๑ วิตามินบี ๒ วิตามินบี ๓ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก โดยแคนตาลูป ๑ ชิ้น น้ำหนักประมาณ ๒๕๐ กรัม ให้พลังงาน ๔๐ แคลอรี ซึ่งแคนตาลูปที่ปลูกในช่วงฤดูกาลประมาณเดือนเมษายน จะมีวิตามิน ๑ วิตามินบี ๒ วิตามินบี ๓ และวิตามินซีมากกว่าแคนตาลูปที่ปลูกนอกช่วงฤดูกาล

สรรพคุณของแคนตาลูป
- มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ
- มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
- ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยในการลดไข้ เพราะน้ำแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น
- ช่วยดับร้อน แก้กระหาย
- ช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
- ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
- ช่วยบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
- ช่วยในการขับน้ำนม
- ช่วยในการขับเหงื่อ
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

ประโยชน์ของแคนตาลูป
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยเสริมสร้างภูมิร่างกายให้แก่ร่างกาย
- ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
- ส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
- มีส่วนช่วยในเรื่องของการเกิดสมาธิ

น้ำแคนตาลูปปั่น หวานสดชื่น ดับร้อน แก้กระหายได้เป็นอย่างดี วิธีการทำง่ายๆ คือ
- ปอกเปลือกแคนตาลูปแล้วนำเมล็ดออก
- นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กประมาณ ๑ ถ้วย
- แตงโมเอาเม็ดออกครึ่งถ้วย
- น้ำส้มคั้นครึ่งถ้วย
- มะนาว ๑ ช้อนชา

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นจนได้ที่ เสร็จแล้วน้ำแคนตาลูปฝีมือของเรา


750 - 18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 ตุลาคม 2565 14:34:21 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 103.0.0.0 Chrome 103.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 05 สิงหาคม 2565 14:00:10 »



แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย นิยมปลูกเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ในอเมริกา ผลแครนเบอร์รี่เป็นผลสีแดงสด มีรสเปรี้ยวหวาน

สรรพคุณของแครนเบอร์รี่
- ช่วยป้องกันโรคเหงือก
- ช่วยรักษาแผลในช่องท้อง
- ช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ ขจัดกลิ่นปัสสาวะได้ดี (บ้างว่าใช้แก้อาการปวดปัสสาวะแบบกระปริบกระปอยได้ด้วย)
- ช่วยรักษาและป้องกันโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย โดยผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ระบุว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ ๓๐ ml. จะช่วยลดจำนวนของแบคทีเรียในปัสสาวะลง และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะได้ดี เพราะผลไม้ชนิดนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli) โดยมีรายงานว่าผู้หญิงที่ได้รับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่อย่างต่อเนื่อง จะช่วยยับยั้งการยึดเกาะตัวของเชื้ออีโคไลได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.0001) เมื่อเทียบกับหญิงที่ไม่ได้รับสารสกัดจากผลแครนเบอร์รี่
- สามารถช่วยยับยั้ง ป้องกัน และรักษาการเกิดนิ่วในไตได้, การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ ๕๐๐ มิลลิกรัม แล้วดื่มน้ำตาลอีก ๑,๕๐๐ มิลลิลิตร สามารถช่วยป้องกันการตกตะกอนของ Calcium oxalate ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของนิ่วในไตได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว
- ช่วยทำให้ร่างกายสามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้หลังเกิดอาการชัก

ประโยชน์ของแครนเบอร์รี่
- แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งในรูปของผลสด ผลตากแห้ง น้ำคั้น หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มประเภทสมูทตี้ผลไม้ก็ได้ ด้วยการนำส้มคั้นลูกขนาดกลาง ๑ ลูก เกรปฟรุต ๑/๒ ลูกคั้นเอาแต่น้ำใส่ลงในเครื่องปั่น แล้วเติมผลแครนเบอร์รี่ ๒ กำมือ และกล้วยอีก ๑ ผลลงไป ปั่นจนเข้ากัน แล้วนำมาดื่ม จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้
- แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูง และยังประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Catechins, Quinic acid, Hippuric acid, Proanthocyanidins, Triterpenoids, และ Tannin จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม
- เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาวได้ดี
- ช่วยป้องกันมะเร็งและต้านการก่อกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย มีรายงานทางการแพทย์มากมายเกี่ยวกับการบริโภคแครนเบอร์รี่ว่าสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมากและอื่นๆ ได้อีกมากมาย โดยสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Proanthocyanidins) จะเป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสาร Proanthocyanidins สามารถยับยั้งกลไกการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหลายกลไก และพบว่าเป็นตัวเลือดที่ดีที่จะนำไปพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งต่อไป และยังมีผลในการทำลายเซลล์มะเร็งรังไข่ได้ โดยสาร Proanthocyanidins จะเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตายลง หรือเมื่อร่วมกับยารักษามะเร็งรังไข่ ก็จะไปช่วยเสริมฤทธิ์ยาในการลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง การรับประทานแครนเบอร์รี่สามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลองได้ Proanthocyanidins ที่พบได้มากในผลแครนเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนมะเร็งและนำไปสู่การตายของเซลล์มะเร็งปอด
- สาร Proanthocyanidins ในผลแครนเบอร์รี่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด แครนเบอร์รี่ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Anthocyanin, Flavonoids, Proanthocyanidins) โดยที่ Flavonoids จะไปยับบั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันเลว (LDL) ทำให้ป้องกันเกิด Oxidized LDL ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบและอุดตันได้
- ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ในเลือด ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระจากผลแครนเบอร์รี่สามารถเหนี่ยวนำให้ตัวรับไขมันเลว (LDL) ที่ตับทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้เพิ่มการขับออกของไขมันเลวจากระบบไหลเวียนของเลือด และเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์ตับเพื่อขับออกได้ จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
- การรับประทานแครนเบอร์รี่เป็นประจำสามารถช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมองได้
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
- แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีนแครนเบอรี่ (Lutein & Zeaxanthin) ซึ่งมีประโยชน์ในด้านการช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายจ่อดวงตา ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา และช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต้อกระจุก และโรคจอตาเสื่อมได้
- สาร Proanthocyanidins ที่ได้จากน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น สามารถช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่สร้างมาจากเซลล์ gingival fibroblasts ได้ เช่น interieukin (IL-6,IL-8) และ PGE ในโรคปริทันต์ จึงส่งผลให้สามารถช่วยลดขบวนการอักเสบได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี ที่จะสามารถพัฒนาเป็นสารช่วยในการรักษาโรคปริทันต์ (Perlodontitis) ต่อไป
- น้ำแครนเบอร์รี่มีส่วนประกอบของ High molecular weight non-dialyzable material ที่สามารถช่วยยับยั้งการยึดเกาะและการรวมตัวกันของแบคทีเรียในช่องปากได้หลายชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทางช่องปาก การเกิดคราบหินปูน และจุลินทรีย์บนผิวฟัน และยังช่วยลดอาการฟันผุ และป้องกันโรคเหงือกอักเสบได้อีกด้วย
- การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ ๒๕๐ มิลลิลิตร ร่วมกับการได้รับยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร จะสามารถเพิ่มอัตราการฆ่าเชื้อได้สูงขึ้นในเพศหญิงที่ติดเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ในกระเพาะอาหาร
- แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้จากธรรมชาติที่สามารถป้องกันและต่อสู้กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารปัสสาวะได้ดีที่สุด โดยแครนเบอร์รี่นั้นได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการในเภสัชตำรับของสหรัฐอเมริกา (U.S. Pharmacopeia) ให้เป็นยาที่ใช้รักษาปัญหาเหล่านี้อย่างได้ผล (แต่ยังมีข้อโต้แย้งจากนักวิชาการเพียงไม่กี่คนว่า แครนเบอร์รี่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรด จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อตาย หรือเพียงแต่ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะกับผนังของกระเพาะปัสสาวะ) คนที่เป็นโรคนี้ถ้าดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น (ไม่ผสมน้ำตาล) วันละ ๓๐๐ ml. ทุกวัน จะชวยป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้อีก ซึ่งจากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์กับผลการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ พบว่าแครนเบอร์รี่สามารถลดอัตราการติดเชื้อได้สูงถึง ๕๐% นอกจากนี้แครนเบอร์รี่ยังสามารถช่วยป้องกันการยึดเกาะของแบคทีเรียกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองผลไม้ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงการเกิดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน
- การรับประทานสารสกัดจากแครนเบอร์รี่ในขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับยา Trimethoprim ในการป้องกันการเป็นซ้ำของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ พบว่าสารสกัดจากแครนเบอร์รี่สามารถป้องกันได้ แต่จะได้ผลน้อยกว่ายา Trimethoprim อย่างไรก็ตามผู้ป่วยให้การยอมรับสารสกัดจากแครนเบอร์รี่มากกว่า Trimethoprim เนื่องจากแครนเบอร์รี่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลข้างเคียงต่ำกว่าในการทำให้เชื้อดื้อยา และการเกิดติดเชื้อรา และ Clostridium difucile ซ้ำซ้อน อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าด้วย
- วิตามินซีในแครนเบอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่น เกลี้ยงเกลา ผิวมีสุขภาพที่ดีขึ้น และยังช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน

ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแครนเบอร์รี่มีวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ แครนเบอร์รี่อบแห้ง ซอส แยม โยเกิร์ต อาหารเสริมทั้งในรูปแบบชงและแบบแคปซูล และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลไม้แครนเบอร์รี่ไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จึงสามารถรับประทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ซึ่งในวงการแพทย์ต่างก็ให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าแครนเบอร์รี่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของน้ำผลไม้สด สารสกัดแบบบรรจุแคปซูล แบบชงดื่ม ต่างก็มีประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะภายในช่องท้องของสตรี ที่มักประสบปัญหาการอักเสบขึ้นภายในและการอั้นปัสสาวะ เมื่อได้รับประทานอย่างต่อเนื่องก็จะเห็นผลดีขึ้น

คำแนะนำในรับประทานแครนเบอร์รี่
- แครนเบอร์รี่ในรูปของแคปซูลนั้นมีขนาดที่แนะนำให้รับประทานคือ ๑ แคปซูล วันละ ๑-๓ เวลา
- น้ำแครนเบอร์รี่สำเร็จรูปที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้นจะมีรสหวานมาก และผ่านกระบวนการแปรรูปมาแล้ว จึงไม่แนะนำให้รับประทาน (เพราะต้องระวังในเรื่องของปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน) แต่ควรเลือกรับประทานน้ำแครนเบอร์รี่สดไม่เจือปนจะให้ผลดีในการรักษามากกว่า (แต่ถ้ามีรสฝาดมากก็ให้หาน้ำแอปเปิ้ลมาผสมแครนเบอร์รี่ที่มีจำหน่ายตามร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาจจะได้ผล แต่คุณก็ไม่ควรเป็นแบบที่มีการเติมน้ำตาลลงไป)
- การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากเกินไปในผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เนื่องจากมีรายงานว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่มากกว่าวันละ ๑,๔๒๐ มิลลิลิตร จะมีผลทำให้มีโอกาสเลือดออกภายในได้ แต่การดื่มแต่น้อยนั้นจะไม่มีอันตราย เพราะมีรายงานสนับสนุนว่าการดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ ๒๔๐ มิลลิเมตร วันละ ๒ ครั้ง ติดต่อกัน ๑ สัปดาห์ ในผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดไม่พบว่ามีอันตรายจากภาวะเลือดออกภายในแต่อย่างใด



ขอขอบคุณเว็บไซท์ medthai.com/ (ที่มาข้อมูล)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤศจิกายน 2565 16:18:11 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 105.0.0.0 Chrome 105.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2565 14:41:40 »




เงาะ

เงาะ ชื่อสามัญ Rambutan เงาะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium lappaceum L. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE) เงาะ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า เงาะป่า (นครศรีธรรมราช), พรวน (ปัตตานี), กะเมาะแต มอแต อาเมาะแต (มาเลย์ปัตตานี) เป็นต้น เงาะเป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และแพร่ขยายมาปลูกในบ้านเราในภายหลัง ซึ่งนิยมปลูกในภาคใต้และภาคตะวันออก สายพันธุ์ที่นิยมเพาะปลูกมากที่สุดก็ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน (เงาะโรงเรียน) พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ก็มีปลูกกันบ้างประปราย 

ประโยชน์ของเงาะ เงาะมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก ช่วยแก้อาการท้องร่วงรุนแรงอย่างได้ผล ช่วยรักษาโรคบิด ท้องร่วง ใช้เป็นยาแก้อักเสบ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ประโยชน์ของเงาะ สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เช่น การทำเงาะกระป๋อง เงาะกวน เป็นต้น เงาะมีสารแทนนิน ซึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ย้อมสีผ้า บำบัดน้ำเสีย ทำปุ๋ย และกาว เป็นต้น สารแทนนิน (tannin)ช่วยป้องกันแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ใช้ทำเป็นยารักษาโรค


ข้อมูลอ้างอิง (Source) : medthai.com

pristina 26-750
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 107.0.0.0 Chrome 107.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2565 16:22:20 »



อินจัน

อินจัน ชื่อสามัญ Gold apple ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros decandra Lour. จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)

สมุนไพรอินจัน มีชื่อเรียกอื่นว่า จัน, อิน, จันอินจันโอ, จันอิน, จันลูกหอม, จันท์ลูกหอม, จันขาว, ลูกจัน, ลูกอิน, จันอิน, ลูกจันทน์, ลูกจันทร์ เป็นต้น

ข้อควรรู้ : ต้นจันอินยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดจันทบุรี และยังเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ต้นอินจัน หรือต้นจัน เป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตช้า เป็นต้นไม้โบราณที่ในปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ สมัยนี้หาดูได้ค่อนข้างยาก ซึ่งเมื่อก่อนจะนิยมปลูกไว้ตามวัด ต้นอินจันนับว่าเป็นไม้ผลที่ค่อนข้างแปลก โดยต้นเดียวกันแต่ออกผลได้ ๒ แบบ ซึ่งไม่เหมือนกัน ผลหนึ่งลูกกลมป้อมๆ ขนาดใหญ่กว่ามาก เราเรียกว่า “ลูกอิน” แต่อีกผลลูกแบนๆ แป้นๆ มีขนาดเล็กกว่า เราจะเรียกว่า “ลูกจัน“ ลักษณะของอินจัน ต้นจันอิน เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ ๑๐-๒๐ เมตร เรือนยอดเป็นทรงกลมหรือทรงกระสวย หนาทึบ ลำต้นตรง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้มอมเทาหรือดำแตกเป็นสะเก็ด เนื้อไม้สีขาว ส่วนกิ่งอ่อนยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุม และมีกิ่งก้านเหนียว ใบอินจัน เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม ออกเรียงสลับกัน ใบคล้ายรูปรี โคนใบมน ปลายใบสอบหรือแหลม แผ่นใบเรียบบางเป็นมันลื่น ขอบใบเรียบ ยาวประมาณ ๗-๑๐ เซนติเมตร กว้างประมาณ ๑-๓ เซนติเมตร ดอกอินจัน ดอกมีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกช่อ แยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก ช่อหนึ่งมีประมาณ ๓ ดอก ตามส่วนต่างๆ มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ มีกลีบเลี้ยง ๔-๕ กลีบเรียงเป็นรูปถ้วยแต่ไม่เชื่อมกัน ส่วนกลีบดอกมี ๔-๕ กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำ ส่วนดอกเพศเมียจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามกิ่งเล็กๆ กลีบดอกและกลีบเลี้ยงจะเหมือนดอกเพศผู้แต่ใบใหญ่กว่า

ผลไม้อินจัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผลประมาณ ๔-๘ เซนติเมตร ที่ผลจะมีส่วนของกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่จุก ผลอ่อนมีสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีเหลือง เนื้อนุ่ม มีกลิ่นหอมและมีรสหวาน สามารถรับประทานได้ โดยผลอินจันจะมีอยู่สองแบบคือ ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแป้น ไม่มีเมล็ดหรือมีเมล็ดลีบ ผลมีรอยบุ๋มตรงกลาง รสฝาดหวาน มีกลิ่นหอม จะเรียกว่า ลูกจัน ส่วนผลที่มีลักษณะของผลเป็นรูปกลมและมีเมล็ด ๒-๓ เมล็ด ไม่มีรอยบุ๋ม มีรสฝาดหวาน จะเรียกว่า ลูกอิน โดยผลอินจันจะมีรสฝาด ต้องคลึงให้ช้ำก่อนรสฝาดจึงจะหายไป



อ้างอิง (Source) : medthai.com

750-24
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 107.0.0.0 Chrome 107.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2565 16:32:32 »



ชมพู่

ชมพู่เป็นผลไม้เขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย โดยชมพู่มีชื่อภาษามาลายูว่า จามู แต่ในอดีตมีการเรียกชื่อเพี้ยนเป็นจัมบู กระทั่งกลายมาเป็นชมพู่ที่เรารู้จักกัน ส่วนภาษาอังกฤษของชมพู่นั้นเรียกกันว่า Rose apple ชมพู่เป็นผลไม้ในวงศ์ MYRTACEAE ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium jambos (L.) Alston เป็นผลไม้น้ำตาลน้อย เหมาะสำหรับผู้ดูแลสุขภาพ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ชนิดละลายน้ำและชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย

ชมพู่ทับทิมจันทร์ น้ำหนัก ๑๐๐กรัม หรือ ๑ ผลขนาดกลาง มีน้ำตาลประมาณ ๗.๗-๗.๙ กรัม หรือคิดเป็น ๑.๙-๒ ช้อนชา ส่วนชมพู่มะเหมี่ยว มีน้ำตาล ๕.๘ กรัม หรือ ๑.๕ ช้อนชา ต่อน้ำหนัก ๑๐๐ กรัม (ประมาณ ๑ ผลขนาดกลาง) ชมพู่ทูลเกล้า ๑ ผลขนาดใหญ่ น้ำหนัก ๑๐๐ กรัม มีปริมาณน้ำตาล ๗.๙ กรัม หรือประมาณ ๒ช้อนชา เท่ากับปริมาณน้ำตาลในชมพู่เพชร ในน้ำหนักเท่ากัน

ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี อีกทั้งยังฉ่ำน้ำ รับประทานแล้วเพิ่มความสดชื่น เติมน้ำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และวิตามินเอก็มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ส่วนวิตามินซีก็ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และลดความรุนแรงของโรคหวัด

ไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำในผลชมพู่มีคุณสมบัติลดการดูดซึมไขมันในระบบทางเดินอาหาร ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดได้อีกทาง อีกทั้งในชมพู่ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ โพแทสเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยบำรุงหลอดเลือดและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้



750-24
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 107.0.0.0 Chrome 107.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2565 16:43:14 »


เชอร์รี่

เชอร์รี่ เชอรี่ หรือ เชอร์รี่ (Cherry) จัดอยู่ในวงศ์ ROSACEAE ในตระกูลพรุน เช่นเดียวกับ พลัม ลูกท้อ บ๊วย อัลมอนด์ และนางพญาเสือโคร่ง เชอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ลักษณะของผลมีลักษณะกลม ขนาดเล็ก เปลือกมีทั้งสีแดงเข้ม สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งเชอร์รี่ออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเชอร์รี่หวาน และกลุ่มเชอร์รี่หวานอมเปรี้ยว โดยแหล่งที่เพาะปลูกเชอร์รี่มากที่สุดก็คือทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ออสเตรเลีย รวมไปถึงญี่ปุ่น เพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น เชอร์รี่ เป็นผลไม้ที่นิยมซื้อมารับประทานสด ๆ หรือจะนำไปคั้นเป็นน้ำเชอร์รี่ก็ได้ หรือจะนำไปทำขนมต่างๆ เช่น แยมเชอร์รี่ พายเชอร์รี่ เชอร์รี่เชื่อม โดยสายพันธุ์เชอร์รี่ที่นิยมนำมารับประทานมากที่สุดก็คือ เชอร์รี่ป่า (Prunus avium) เชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่ก็มีพิษซ่อนอยู่ในเมล็ดด้วย นั่นก็คือ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ โดยเฉพาะเวลาที่เคี้ยว หรือบดผลเล็กๆของเชอร์รี่ เชอร์รี่จะผลิตสารนี้โดยอัตโนมัติ แต่เป็นพิษที่ค่อนข้างอ่อน อย่างมากก็แค่ทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน แต่หากได้รับมากจนเกินไปก็อาจจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต อาจทำให้ไตวายหรือเกิดอาการชักจนเสียชีวิตได้ ! และสิ่งที่จะต้องระวังอีกเรื่องก็คือ เชอร์รี่ที่เราเห็นอยู่บนขนมเค้กตามท้องตลาด ที่มีสีแดงดูน่ารับประทานส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการย้อมสี การเลือกรับประทานก็ควรดูให้ดีๆ เพราะอาจจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตได้

สรรพคุณของเชอร์รี่
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ประโยชน์ของเชอรี่ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน
- ช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวคุณขาวขึ้นได้
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและความแก่ สารโพลีฟีนอล (Pholyphenol)
- ในผลเชอร์รี่ช่วยป้องกันเซลล์ดีเอ็นเอถูกทำลายได้ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
- สารไลโคปีน (Lycopene) ในผลเชอร์รี่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึงร้อยละ ๒๐ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้
- สารแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (รับประทานแต่พอเหมาะ ไม่งั้นจะเป็นเบาหวาน)
- ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อหวัดและช่วยรักษาโรคหวัด
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต มีส่วนช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด (Lycopene)
- ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการรับประทานยา ทำให้อารมณ์ดีมีความสุข เพราะมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)
- ช่วยลดระดับของไขมันเลวหรือไขมันชนิดร้าย (LDL)
- เชอร์รี่มีสรรพคุณช่วยระบายและยังช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยบรรเทาอาการปวด แพทย์ตะวันตกเรียกเชอร์รี่ว่า “แอสไพรินธรรมชาติ”
- ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ
- ช่วยป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบ ปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง ๓๗%
- หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ ช่วยลดอาการแพ้ต่างๆ รวมไปถึงโรคภูมิแพ้อีกด้วย
- ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความอ่อนล้าจากการออกกำลังกาย

ประโยชน์ของเชอร์รี่
การรับประทานเชอร์รี่จะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกชดชื่นและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น นอกจากจะรับประทานเป็นผลไม้สดแล้ว สามารถนำไปคั้นเป็นน้ำเชอร์รี่ก็ได้ หรือจะนำไปทำขนมต่างๆ เช่น แยมเชอร์รี่ พายเชอร์รี่ เชอร์รี่เชื่อม คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่หวาน (สีแดง)



อ้างอิง (Source) : medthai.com

750-24
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 24 เมษายน 2566 14:25:32 »



แตงไทย


แตงไทย ชื่อสามัญ Muskmelon แตงไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucumis melo L. จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE) แตงไทย มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า แตงลาย, มะแตงลาย, มะแตงสุก, แตงจิง, ดี, ซกเซรา เป็นต้น

แตงไทยเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียแถวเชิงเขาหิมาลัย มีทั้งพันธุ์ผิวเรียบและผิวไม่เรียบ เช่น แคนตาลูป แตงเปอร์เซีย แตงกวาอาร์เมเนีย โดยเป็นผลไม้ที่สามารถปลูกได้ทุกภาคในประเทศไทยเรา เพราะปลูกง่าย ทนทาน แข็งแรง และให้ผลผลิตในช่วงหน้าร้อน ลักษณะของผลอ่อนจะมีสีเขียวและมีลายสีขาวพาดยาว เมื่อผลแก่เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผิวจะเรียบเป็นมัน เนื้อด้านในของผลจะมีสีเหลืองอ่อนอมเขียว ให้กลิ่นหอม มีเมล็ดรูปแบนรีสีครีมจำนวนมาก

แตงไทย จัดเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต

ประโยชน์ของแตงไทย
-  ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส และช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า
-  ช่วยลดความหยาบกร้านของผิวและรอยด่างดำต่างๆ
-  ช่วยในการชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย หน้าใสไร้สิวด้วยแตงไทย ด้วยการใช้แตงไทยสุกครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วย
    ไข่ไก่ ๑ ฟอง นำมาผสมรวมกัน แล้วนำมาพอกทิ้งไว้ประมาณ ๓๐ นาทีก่อนเข้านอนแล้วล้างออก
-  มีฤทธิ์เย็น ช่วยในการดับกระหาย ช่วยคลายร้อน ขับเหงื่อ ลดอุณหภูมิของร่างกาย
-  มีส่วนในการช่วยบำรุงหัวใจ
-  ช่วยบำรุงประสาทและสมอง
-  วิตามินเอจากแตงไทยมีส่วนช่วยบำรุงรักษาสายตา ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ
-  ช่วยในการขับน้ำนมของมารดาให้นมบุตร
-  ช่วยบรรเทาและแก้อาการไอ
-  มีสารรสขมที่ช่วยในการอาเจียน
-  ช่วยรักษาผิวอักเสบ ด้วยการใช้แตงไทยสุกบดละเอียดครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วยผสมเข้าด้วยกันจนได้เนื้อที่เข้มข้น
    แล้วนำมาพอกบริเวณผิวที่อักเสบทิ้งไว้ประมาณ ๒๐ นาทีแล้วล้างออก
-  แก้โรคดีซ่าน
-  ช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
-  ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล
-  รักษาแผลในจมูก ด้วยการนำมาบดเป็นผงแล้วนำมาพ่น
-  ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
-  ช่วยในการย่อยอาหาร รากนำมาต้มดื่มช่วยระบายท้อง
-  เมล็ดของแตงไทยช่วยในการขับปัสสาวะ
-  ช่วยรักษาโรคปัสสาวะอักเสบ
-  เป็นทั้งผักและผลไม้ ถ้าอยู่ในช่วงผลอ่อนก็รับประทานเป็นผักสด หรือรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใช้เป็นเครื่องเคียงกินกับยำกับน้ำพริก
   ถ้าสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้รสชุ่มเย็น นิยมรับประทานกับน้ำแข็งใส่น้ำเชื่อมกะทิแตงไทย นำมาแปรรูปใช้ทำเป็นของหวาน   
   เช่น น้ำปั่น น้ำกะทิแตงไทย ผลไม้แห้ง แยมแตงไทย เป็นต้น


ข้อมูลอ้างอิง (Source) : medthai.com
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 07 มกราคม 2567 13:59:26 »



ลูกตาล

ลูกตาล  เป็นอีกผลไม้พื้นบ้าน แสนอร่อย รสชาติดี และมีประโยชน์มากมาย ไม่แพ้ผลไม้อื่นๆ

ต้นตาล หรือ ต้นตาลโตนด เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ที่มีความสูงชะลูด มีลำต้นใหญ่ และเนื้อแข็งแรงมาก เป็นปาล์มที่แยกเพศกันอยู่คนละต้น ลำต้นขนาดประมาณ ๓๐-๖๐ เซนติเมตร มีความสูงของต้นได้ถึง ๒๕-๔๐ เมตร ลำต้นเป็นเสี้ยนสีดำ และแข็งมาก แต่ไส้กลางของลำต้นจะอ่อน ส่วนบริเวณโคนต้นจะมีรากเป็นกลุ่มใหญ่ ในขณะที่ต้นยังเตี้ยจะมีทางใบแห้งและติดแน่น เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนและระบายน้ำได้ดี มีความชื้นปานกลาง ไม่ชอบอากาศเย็น ชอบแสงแดดจัด ทนต่อดินเค็ม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด เพราะการย้ายไปปลูกแบบต้น จะไม่รอด เพราะรากแรกที่แทงลงดินอยู่ลึกมาก หากรากแรกขาดก็จะตายทันที

ผลตาล หรือลูกตาล
ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว ผลติดกันเป็นกลุ่มแน่น ลักษณะของผลเป็นทรงกลม หรือเป็นรูปทรงกระบอกสั้น ผลเป็นเส้นใยแข็งเป็นมัน มักมีสีน้ำตาลถึงสีม่วงเข้ม ปลายผลมีสีเหลือง หรือมีสีเหลืองแกมดำคล้ำเป็นมันหุ้มห่อเนื้อเยื่อสีเหลืองไว้ภายใน ผิวผลเป็นมัน และผลมีขนาดประมาณ ๑๕-๒๐ เซนติเมตร เมื่อผลสุกแล้วจะมีสีดำ ซึ่งในผลหนึ่งๆ จะมีเมล็ดใหญ่ และแข็งอยู่ประมาณ ๑-๓ เมล็ด จาวตาลหรือลอนตาล (คือเนื้อในของลูกตาล) จะถูกหุ้มด้วยใยและเนื้อผลสีเหลืองสด

จาวตาลมีฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ กาบหรือก้านใบสดนำมาอังไฟบีบเอาแต่น้ำใช้อมรักษาอาการปากเปื่อยได้

สรรพคุณของลูกตาล มีดังนี้
- ช่วยละลายเสมหะในลำคอ
- บรรเทาอาการไอเรื้อรัง
- แก้กระหายน้ำ
- ลดความร้อนในร่างกาย

สารอาหารในลูกตาล ประกอบด้วย
- คาร์โบไฮเดรต  กินแล้วให้พลังงาน
- ไฟเบอร์  ทำให้อิ่มนาน ช่วยขับถ่ายที่ดี
- แคลเซียม  ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน


750
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 07 มกราคม 2567 14:17:23 »



แตงโม

แตงโมเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ โดยมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้งแตงโมยังมีกากใยอาหารค่อนข้างสูง ทั้งน้ำและไฟเบอร์จากแตงโมจึงมีส่วนช่วยในระบบย่อยอาหารของร่างกายอย่างเต็มที่ และยังดีต่อเนื่องมาถึงระบบขับถ่ายอีกด้วย

มีงานวิจัยเผยถึงประโยชน์ของกรดอะมิโนที่พบในน้ำแตงโมว่า ในน้ำแตงโมมีสารซิทรูลีน (Citrulline) กรดอะมิโนที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนจำเป็นสำหรับร่างกาย อันเป็นสารที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งโกรทฮอร์โมน ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ

ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย : มีการทดลองให้อาสาสมัครรับประทานแตงโมวันละ ๑,๕๖๐ กรัม ติดต่อกัน ๓ สัปดาห์ ซึ่งพบว่า ปริมาณอาร์จีนิน (กรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย) ในเลือดของอาสาสมัครเพิ่มขึ้นถึง ๒๒% และเมื่อให้นักกีฬาดื่มน้ำแตงโม ๕๐๐ มิลลิลิตร หรือดื่มน้ำแตงโมที่เติมสารซิทรูลีนก่อนออกกำลังกาย ๑ ชั่วโมง พบว่า น้ำแตงโมทั้งแบบผสมและไม่ผสมจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจขณะฟื้นตัว และลดอาการปวดกล้ามเนื้อของนักกีฬาภายหลังออกกำลังกายได้ ซึ่งประโยชน์ของแตงโมในด้านนี้ยังถูกนำไปผลิตเป็นเครื่องดื่มช่วยฟื้นกำลังในนักกีฬาอีกด้วย

กระตุ้นการสร้างโปรตีน : แม้แตงโมจะไม่ใช่ผลไม้ที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ ทว่ากรดอะมิโนในน้ำแตงโมสามารถกระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อของอาสาสมัครที่รับประทานอาหารมีโปรตีนต่ำ โดยไม่มีผลกระทบต่อระบบหมุนเวียนโปรตีนในร่างกาย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า กรดอะมิโนในน้ำแตงโมสามารถกระตุ้นการสร้างโปรตีนให้ร่างกายเราได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นทางการแพทย์จึงนำประโยชน์ด้านนี้ของแตงโมมาผลิตเป็นอาหารเสริมโปรตีนให้ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารจำพวกโปรตีน

ป้องกันโรคหืดหอบกำเริบ : ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่น่าสนใจของแตงโมมีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและทำงานได้ตามปกติ อีกทั้งในแตงโมยังมีวิตามินซีค่อนข้างสูง โดยวิตามินซีก็มีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคหอบหืดได้อีกทาง

ลดความดันโลหิต : ผลการศึกษาจาก American Journal of Hypertension พบว่า สารสกัดจากแตงโมมีส่วนช่วยลดระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน รวมไปถึงผู้ป่วยสูงอายุที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในระดับ ๑ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

ดีต่อหัวใจ : ไลโคปีนในแตงโมมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิต อีกทั้งไลโคปีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของไขมัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อหัวใจได้ นอกจากนี้การศึกษาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดายังพบว่า ในแตงโมมีกรดอะมิโนซิทรูลีนค่อนข้างสูง และคนที่ได้รับกรดอะมิโนตัวนี้ประมาณ ๔,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตได้ภายใน ๖ สัปดาห์ โดยกรดอะมิโนซิทรูลีนจะช่วยร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ ทำให้หลอดเลือดขยายขึ้น การไหลเวียนของเลือดที่สูบฉีดเข้าหัวใจจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงต่างๆ ที่อาจก่อปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจได้นานัปการ

ลดการอักเสบต่างๆ : โคลีนเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างหนึ่งซึ่งพบได้ในแตงโม โดยโคลีนมีส่วนช่วยในกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการจดจำ กระบวนการเคลื่อนไหวของร่างกาย เนื่องจากโคลีนเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่สำคัญโคลีนยังช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย จึงช่วยลดโอกาสเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากไขมันเลวในเลือดได้



ที่มาข้อมูล : สำนักโภชนาการ กรมอนามัย 
750/26
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
เชอร์รี่ แอสไพรินธรรมชาติ ผลไม้สร้างความสุข
สุขใจ ห้องสมุด
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ 0 1544 กระทู้ล่าสุด 12 กุมภาพันธ์ 2555 22:59:35
โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
พจนานุกวน เรียงตามตัวอักษร
สุขใจ ตลาดสด
Band-Home-PC 3 2463 กระทู้ล่าสุด 12 มีนาคม 2555 18:09:18
โดย Band-Home-PC
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.458 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 20:13:57