[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 13:57:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อรรถกถาสุทธัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๔ ผู้ไม่หมดจด (ผู้มีโรคเพราะถูกโรคคือกิเลสถึงทับ)  (อ่าน 4453 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 กันยายน 2554 12:44:28 »



                     

อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส
อัฏฐกวัคคิกะ ๔. สุทธัฏฐกสุตตนิทเทส

อรรถกถาสุทธัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๔
ในสุทธัฏฐกสูตรที่ ๔ พึงทราบเนื้อความในคาถาแรกก่อน :-

             พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความหมดจดย่อมมีเพราะความเห็น เห็นปานนี้หามิได้ อีกอย่างหนึ่งแล คนพาลผู้มีทิฏฐิเห็นพราหมณ์จันทาภะ หรือคนเห็นปานนี้อื่น ผู้ไม่หมดจดเพราะขุ่นมัวด้วยกิเลส ผู้มีโรคเพราะถูกโรคคือกิเลสถึงทับ ย่อมรู้เฉพาะ ย่อมเห็นผู้หมดจดว่าเป็นผู้ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ก็ความหมดจดดีย่อมมีแก่นรชน เพราะความเห็นกล่าวคือทิฏฐินั้นดังนี้.
              คนพาลนั้นรู้เฉพาะอยู่อย่างนี้ รู้แล้วว่า ความเห็นเป็นเยี่ยม เป็นผู้พิจารณาเห็นความหมดจดในความเห็นนั้น ย่อมเชื่อว่าความเห็นนั้นเป็นมรรคญาณ แต่ความเห็นนั้นมิได้เป็นมรรคญาณ.


              บทว่า ปรมํ อาโรคฺยํ ปตฺตํ ความว่า ถึงความไร้พยาธิอันอุดมตั้งอยู่.
              บทว่า ตาณปฺปตฺตํ ความว่า ถึงธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองอย่างนั้น.
              บทว่า เลณปฺปตฺตํ ความว่า ถึงธรรมเป็นที่แอบแฝง.
              บทว่า สรณปฺปตฺตํ ความว่า ถึงธรรมเป็นที่พึ่ง หรือถึงธรรมเครื่องยังทุกข์ให้พินาศ.
              บทว่า อภยปฺปตฺตํ ความว่า ถึงความปลอดภัย.
              บทว่า อจฺจุตปฺปตฺตํ ความว่า ถึงภาวะเที่ยง.

              บทว่า อมตปฺปตฺตํ ความว่า ถึงธรรมไม่ตาย คือมหานิพพาน.
              บทว่า นิพฺพานปฺปตฺตํ ความว่า ถึงธรรมที่เว้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด.
              บทว่า อภิชานนฺโต ความว่า รู้โดยวิเศษ.
              บทว่า อาชานนฺโต ความว่า รู้ทั่ว.
              บทว่า วิชานนฺโต ความว่า รู้หลายอย่าง.
              บทว่า ปฏิวิชานนฺโต ความว่า รู้แจ้งเพราะอาศัยความเห็นนั้นๆ .

              บทว่า ปฏิวิชฺฌนฺโต ความว่า กระทำไว้ในหทัย.
              บทว่า จกฺขุวิญฺญาเณน รูปทสฺสนํ ความว่า ความเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ.
              บทว่า ญาณนฺติ ปจฺเจติ ความว่า ย่อมเชื่อว่าเป็นปัญญา.
              บทว่า มคฺโคติ ปจฺเจติ ความว่า ย่อมเชื่อว่าเป็นอุบาย.
              บทว่า ปโถ ความว่า เป็นที่สัญจร.
              บทว่า นียานํ ความว่า เครื่องถือไป. ปาฐะว่า นิยฺยานํ ก็มี.

              คาถาที่ ๒ ว่า ทิฏฺเฐน เจ สุทฺธิ เป็นต้น เนื้อความของคาถานั้นว่า
              ถ้าความหมดจดจากกิเลสย่อมมีแก่นรชน ด้วยความเห็น กล่าวคือความเห็นรูปนั้น. หรือว่า ถ้านรชนนั้นย่อมละทุกข์มีชาติเป็นต้น ด้วยญาณนั้นไซร้ เมื่อเป็นอย่างนั้น นรชนนั้นย่อมหมดจดด้วยมรรคอันไม่หมดจดอื่นจากอริยมรรคนั่นแล. คือย่อมถึงความเป็นผู้ที่จะพึงกล่าวว่า เป็นผู้ยังมีอุปธิด้วยอุปธิมีราคะเป็นต้นอยู่นั่นแลหมดจด และไม่เป็นอย่างนั้นหมดจด เพราะทิฏฐิย่อมบอกนรชนนั้นว่าเป็นผู้พูดอย่างนั้น คือทิฏฐินั้นแหละย่อมบอกว่า ผู้นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้แก่บอกอย่างนั้นๆ โดยนัยว่า โลกเที่ยงเป็นต้น สมควรแก่ทิฏฐิ.
              ชื่อว่ายังมีราคะ เพราะอรรถว่าเป็นไปกับด้วยราคะ ความว่า มีราคะ.
              แม้ในบทว่า สโทโส เป็นต้นก็นัยนี้แล.

              คาถาที่ ๓ ว่า น พฺราหฺมโณ เป็นต้น เนื้อความของคาถานั้นว่า
              ก็ผู้ใดชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะลอยคือย่างบาปเสียแล้ว ผู้นั้นถึงความสิ้นอาสวะ เป็นพราหมณ์ขีณาสพด้วยมรรค ไม่กล่าวความหมดจดด้วยมิจฉาญาณที่เกิดขึ้นในอารมณ์ที่เห็น กล่าวคือรูปที่สมมติว่าเป็นมงคลยิ่ง ในอารมณ์ที่ได้ยินกล่าวคือเสียงอย่างนั้น ในศีลกล่าวคือความไม่ก้าวล่วงในวัตรต่างโดยหัตถีวัตรเป็นต้น และในอารมณ์ที่ทราบต่างโดยปถพีเป็นต้นซึ่งอื่นจากอริยมรรคญาณ. คำนี้ท่านกล่าวด้วยการกล่าวสรรเสริญพราหมณ์ขีณาสพ.
              ก็พราหมณ์นั้นเป็นผู้ไม่เข้าไปติดในบุญที่เป็นไปในธาตุสามและในบาปทั้งปวง เป็นผู้ละเสียซึ่งตน เพราะเหตุไร? เพราะละตนนั้นได้ คือเพราะละความเห็นว่าตนหรือความยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่ง. ท่านกล่าวว่าเป็นผู้ไม่ทำเพิ่มเติมอยู่ในโลกนี้ เพราะไม่กระทำปุญญาภิสังขารเป็นต้น.
              อนึ่ง พึงทราบการเชื่อมบทนั้นทั้งหมดนั้นแล ด้วยบทแรกว่า พราหมณ์ผู้ไม่เข้าไปติดในบุญและบาป ผู้ละเสียซึ่งตน ผู้ไม่ทำเพิ่มเติมอยู่ในโลกนี้ ไม่กล่าวความหมดจดโดยมรรคอื่น.
              บทว่า นาติ ปฏิกฺเขโป ความว่า น ศัพท์เป็นศัพท์ปฏิเสธ.
              คาถาว่า พาเหตฺวา สพฺพปาปกานิ เป็นต้น มีความว่า บุคคลใดลอยบาปทั้งปวงเสียแล้วด้วยมรรคที่ ๔ (อรหัตตมรรค) ชื่อว่ามีตนตั้งอยู่แล้ว เพราะทิฏฐิตั้งอยู่ไม่ได้ และเพราะลอยบาปเสียแล้วนั่นแล. ชื่อว่าปราศจากมลทิน คือถึงความเป็นผู้ปราศจากมลทินคือความเป็นพรหม ความเป็นผู้ประเสริฐ. ชื่อว่ามีจิตตั้งมั่นด้วยดี ด้วยมรรคสมาธิและผลสมาธิ ซึ่งสละมลทินคือกิเลสที่กระทำความฟุ้งซ่านแก่สมาธิ. ท่านเรียกว่าเป็นผู้สำเร็จกิจ เพราะความเป็นผู้มีกิจอันสำเร็จแล้ว เพราะล่วงสงสารได้แล้ว เพราะก้าวล่วงเหตุแห่งสงสาร ว่าเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย เพราะความเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว. และว่าเป็นผู้คงที่ เพราะไม่มีพิการด้วยโลกธรรม บุคคลนั้นควรชมเชยอย่างนี้ จึงเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐคือเป็นพราหมณ์.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 12:46:11 »



              บทว่า อญฺญตฺร สติปฏฺฐาเนหิ ความว่า พ้นสติปัฏฐาน ๔.
              แม้ในสัมมัปปธานเป็นต้นก็นัยนี้แล.
              บทว่า สนฺเตเก สมณพฺราหฺมณา ความว่า สมณพราหมณ์บางพวกได้โวหารว่าสมณพราหมณ์ ด้วยการกำหนดของโลก มีอยู่.
              บทว่า ทิฏฺฐสุทฺธิกา ความว่า ปรารถนาความหมดจด ด้วยการเห็นรูป.
              บทว่า เต เอกจฺจานํ รูปานํ ทสฺสนํ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นปรารถนาความหมดจดด้วยการเห็นรูป ย่อมเชื่อการแลดูรูปารมณ์เหล่านั้น.
              บทว่า มงฺคลํ ปจฺเจนฺติ ความว่า ย่อมให้ตั้งไว้ซึ่งเหตุแห่งความสำเร็จ เหตุแห่งความเจริญ เหตุแห่งสมบัติทั้งปวง.
              บทว่า อมงฺคลํ ปจฺเจนฺติ ความว่า ย่อมให้ตั้งไว้ซึ่งเหตุแห่งความสำเร็จ หามิได้, ซึ่งเหตุแห่งความเจริญ หามิได้. ซึ่งเหตุแห่งสมบัติทั้งปวง หามิได้.
              บทว่า เต กาลโต วุฏฺฐหิตฺวา ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นคือพวกเชื่อถือสิ่งที่เห็นเป็นต้นว่าเป็นมงคล ลุกขึ้นก่อนกว่าทีเดียว.

              บทว่า อภิมงฺคลคตานิ ความว่า ที่ถึงเหตุแห่งความเจริญโดยพิเศษ.
              บทว่า รูปานิ ปสฺสนฺติ ความว่า ย่อมเห็นรูปารมณ์มีอย่างต่างๆ.
              บทว่า วาตสกุณํ ความว่า นกมีชื่ออย่างนั้น.
              บทว่า ปุสฺสเวฬุวลฏฺฐํ ความว่า ผลมะตูมอ่อนที่เกิดขึ้นโดยบุษยฤกษ์.
              บทว่า คพฺภินิตฺถึ ความว่า หญิงมีครรภ์.
              บทว่า กุมารกํ ขนฺเธ อาโรเปตฺวา คจฺฉนฺตํ ความว่า คนที่ยกเด็กรุ่นๆ ขึ้นบ่าเดินไป.
              บทว่า ปุณฺณฆฏํ ความว่า หม้อเต็มด้วยน้ำ.
              บทว่า โรหิตมจฺฉํ ความว่า ปลาตะเพียนแดง.
              บทว่า อาชญฺญรถํ ความว่า รถเทียมม้าสินธพ.

              บทว่า อุสภํ ความว่า โคตัวผู้เป็นมงคล.
              บทว่า โคกปิลํ ความว่า แม่โคดำแดง.
              บทว่า ปลาลปุญฺชํ ความว่า กองข้าวเปลือก.
              บทว่า ตกฺกฆฏํ ความว่า ถาดที่เต็มไปด้วยเปรียงโคเป็นต้น.
              บทว่า ริตฺตฆฏํ ความว่า หม้อเปล่า
              บทว่า นฏํ ความว่า การฟ้อนรำของนักฟ้อนเป็นต้น.
              อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กิริยาของนักเลง.
              บทว่า นคฺคสมณกํ ความว่า สมณะไม่นุ่งผ้า.
              บทว่า ขรํ ความว่า ลา.

              บทว่า ขรยานํ ความว่า ยวดยานเป็นต้นที่เทียมลา.
              บทว่า เอกยุตฺตยานํ ความว่า ยานที่เทียมด้วยสัตว์พาหนะตัวเดียว.
              บทว่า กาณํ ความว่า คนตาบอดข้างเดียวและสองข้าง.
              บทว่า กุณึ ความว่า คนมือง่อย.
              บทว่า ขญฺชํ ความว่า คนเท้ากระจอก คือมีเท้าไปขวาง.
              บทว่า ปกฺขหตํ ความว่า คนพิการ.
              บทว่า ชิณฺณกํ ความว่า คนแก่เพราะชรา.
              บทว่า พฺยาธิกํ ความว่า คนถูกพยาธิเบียดเบียน.
              บทว่า มตํ ความว่า คนตาย.

              บทว่า สุตสทฺธิกา ความว่า ปรารถนาความหมดจดด้วยการได้ยินเสียงด้วยโสตวิญญาณ.
              บทว่า สทฺทานํ สวนํ ความว่า การได้ยินสัททารมณ์.
              บทว่า วฑฺฒาติ วา เป็นต้น ท่านกล่าวถือเอาสักว่าเป็นเสียงที่เป็นไปในโลก แต่เสียงที่กล่าวโดยชื่อนั้นๆ ว่า กาโณ เป็นต้นนั่นแลไม่เป็นมงคล.
              บทว่า ฉินฺนนฺติ วา ความว่า เสียงว่าถูกตัดมือและเท้าเป็นต้น.
              บทว่า ภินฺนนฺติ วา ความว่า เสียงว่าถูกตีศีรษะเป็นต้น.
              บทว่า ทฑฺฒนฺติ วา ความว่า เสียงว่าถูกไฟไหม้.
              บทว่า นฏฺฐนฺติ วา ความว่า เสียงว่าพินาศเพราะพวกโจรเป็นต้น.

              บทว่า นตฺถีติ วา ความว่า หรือเสียงว่าของไม่มี.
              บทว่า สีลสุทฺธิกา ความว่า ผู้ปรารถนาความหมดจดด้วยศีล.
              บทว่า สีลมตฺเตน ความว่า ด้วยเหตุสังวร.
              บทว่า สญฺญมมตฺเตน ความว่า ด้วยเหตุสักว่าเข้าไปยินดี.
              บทว่า สํวรมตฺเตน ความว่า ด้วยเหตุสักว่ากั้นทวาร.
              บทว่า อวีติกฺกมมตฺเตน ความว่า ด้วยเหตุสักว่าไม่ก้าวล่วงศีล.
              บทว่า สมณมุณฺฑิกาปุตฺโต เป็นชื่อที่ได้มาทางฝ่ายมารดา.
              บทว่า สมฺปนฺนกุสลํ ความว่า มีกุศลบริบูรณ์.
              บทว่า ปรมกุสลํ ความว่า มีกุศลสูงสุด.
              บทว่า อุตฺตมปตฺติปฺปตฺตํ ความว่า ผู้ถึงพระอรหันต์อันอุดมที่พึงตั้งอยู่.
              บทว่า อโยชฺฌํ ความว่า สมณะผู้อันใครๆ ไม่อาจให้แพ้.

              บทว่า วตฺตสุทฺธิกา ความว่า ผู้ปรารถนาความหมดจดด้วยวัตรคือการสมาทาน.
              บทว่า หตฺถิวตฺติกา วา ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติหัตถีวัตร เพราะอรรถว่ามีหัตถีวัตรที่สมาทานไว้.
              อธิบายว่า กระทำกิริยาอย่างช้างทั้งปวง ทำอย่างไร? สมณพราหมณ์เหล่านั้นเกิดความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า จำเดิมแต่วันนี้ไป เราจักกระทำสิ่งที่ช้างทั้งหลายทำ จึงกระทำอาการเดิน ยืน นั่ง นอน ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอย่างช้างทั้งหลายและอาการที่เห็นช้างอื่นๆ แล้วชูงวงเดินไปทุกอย่าง ดังนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติหัตถีวัตร.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 12:47:10 »



              แม้ในบทว่า เป็นผู้ประพฤติอัสสวัตรเป็นต้น ก็พึงประกอบบทตามที่ควรประกอบ ด้วยสามารถบทที่ได้มา.
              บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ทิสาวตฺติกา วา ซึ่งเป็นบทสุดท้ายมีความว่า
              เป็นผู้ประพฤติทิสวัตรที่สมาทาน ด้วยสามารถนมัสการทิศมีทิศบูรพาเป็นต้น. การสมาทานวัตรของสมณพราหมณ์มี ประการดังกล่าวแล้วเหล่านั้น เมื่อสำเร็จย่อมนำเข้าไปถึงความเป็นเพื่อนกับช้างเป็นต้น. แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิมีแก่เขาผู้คิดอยู่ว่า เราย่อมเป็นเทวดาหรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งด้วยการสมาทานศีลและวัตร และความประพฤติอันประเสริฐนี้ พึงทราบว่า นรกและกำเนิดดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมมี.
              สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
              ดูก่อนปุณณะ บุคคลบางคนในโลกนี้บำเพ็ญวัตรสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย, บำเพ็ญศีลสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย. บำเพ็ญสมาธิสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย บำเพ็ญอากัปปะสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย. บุคคลนั้นบำเพ็ญวัตรสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย, บำเพ็ญศีลสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย. บำเพ็ญสมาธิสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย. บำเพ็ญอากัปปะสุนัขบริบูรณ์ไม่วุ่นวาย.

              ครั้นแตกกายตายไปแล้วย่อมเข้าถึงความเป็นเพื่อนกับสุนัขทั้งหลาย,
              ก็ถ้าเขามีทิฏฐิอย่างนี้ว่า เราจักเป็นเทวดาหรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีล วัตรหรือพรหมจรรย์นี้ ทิฏฐิของเขานั้นย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูก่อนปุณณะเรากล่าวว่าคนมิจฉาทิฏฐิมีคติ ๒ อย่างคือนรก หรือกำเนิดดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง.
              ดูก่อนปุณณะ วัตรสุนัขเมื่อสำเร็จ ย่อมนำเข้าถึงความเป็นเพื่อนกับสุนัขทั้งหลาย. เมื่อไม่สำเร็จย่อมนำเข้าสู่นรก.
              ไม่พึงถือเอาเนื้อความว่า ผู้ประพฤติคันธัพพวัตรเป็นต้นย่อมเข้าถึงความเป็นเพื่อนกับคนธรรพ์เป็นต้น. แต่พึงถือเอาว่าย่อมเข้าถึงนรกและกำเนิดดิรัจฉานนั่นแล เพราะถือเอาด้วยมิจฉาทิฏฐิ.

              บทว่า มุตสุทฺธิกา ความว่า ผู้ปรารถนาความหมดจด ด้วยอารมณ์ที่ถูกต้อง.
              บทว่า ปฐวึ อามสนฺติ ความว่า ย่อมถูกต้องแผ่นดินใหญ่ที่มีสัมภาระด้วยกาย.
              บทว่า หริตํ ความว่า หญ้าแพรกเขียวสด.
              บทว่า โคมยํ ความว่า โคมัยของโคเป็นต้น.
              บทว่า กจฺฉปํ ความว่า เต่าหลายชนิดมีเต่ากระดูกเป็นต้น.

              บทว่า ชาลํ อกฺกมนฺติ ความว่า ย่ำเหยียบข่ายเหล็ก.
              บทว่า ติลวาหํ ความว่า เกวียนบรรทุกงา หรือกองงา.
              บทว่า ปุสฺสติลํ ขาทนฺติ ความว่า เคี้ยวกินงาที่ประกอบด้วยมงคล.
              บทว่า ปสฺสเตลํ มกฺเขนฺติ ความว่า ทำน้ำมันงาอย่างนั้นเป็นเครื่องพรมสรีระ.
              บทว่า ทนฺตวฏฐํ ความว่า ไม้สีฟัน.

              บทว่า มตฺติกาย นหายนฺติ ความว่า ถูสรีระด้วยดินอ่อน มีดินสอพองเป็นต้นแล้วอาบน้ำ.
              บทว่า สาฏกํ นิวาเสนฺติ ความว่า นุ่งห่มผ้าที่ประกอบด้วยมงคล.
              บทว่า เวฏฺฐนํ เวฏฺฐนฺติ ความว่า วาง คือสวมผ้าโพกศีรษะซึ่งเป็นผ้าไหมเป็นต้นบนศีรษะ.
              บทว่า เตธาตุกํ กุสลาภิสงฺขารํ ความว่า ปัจจยาภิสังขารซึ่งเกิดแต่ความฉลาด ให้ปฏิสนธิในกามธาตุ รูปธาตุและอรูปธาตุ.
              บทว่า สพฺพํ อกุสลํ ความว่า อกุศลซึ่งเกิดแต่ความไม่ฉลาด ๑๒.

              บทว่า ยโต ได้แก่ ในกาลใด.
              ปุญญาภิสังขาร ๑๓ อปุญญาภิสังขาร ๑๒ และอาเนญชาภิสังขาร ๔ เป็นอันละได้แล้ว ด้วยสมุจเฉทปหานตามสมควร.
              บทว่า อตฺตทิฏฺฐิญฺชโห ความว่า ละทิฏฐิที่ถือว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา.
              บทว่า คาหญฺชโห ความว่า ละความยึดถือที่สัมปยุตด้วยมานะว่า เราเป็นนั่น.

              บทว่า อตฺตญฺชโห มีความอีกว่า บทเป็นต้นว่า ความถือลูบคลำ ความจับต้องแต่ข้างหน้า ความถือมั่นในอัตตานั้น ความติดใจกลืนด้วยสามารถตัณหามีกำลัง และความปรารถนามีกำลัง ด้วยสามารถความยึดถือด้วยตัณหาและด้วยสามารถความยึดถือด้วยทิฏฐิ ว่านั่นของเรา ความถือเป็นต้นทั้งปวงนั้นย่อมเป็นอันพราหมณ์นั้นสละแล้ว ดังนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

              ครั้นกล่าวว่า พราหมณ์ไม่กล่าวความหมดจดโดยมรรคอื่น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงความที่ทิฏฐินั้นของพวกมีทิฏฐิที่กล่าวความหมดจด โดยมรรคอื่นเหล่านั้น เป็นทิฏฐินำทุกข์ออกไม่ได้ จึงกล่าวคาถา ปุริมํ ปหาย ดังนี้ เป็นต้น.
              คาถานั้นมีความว่า
              สมณพราหมณ์เหล่านั้นแม้เป็นผู้กล่าวความหมดจดโดยมรรค อื่น ละศาสดาต้นเป็นต้น อาศัยศาสดาหลัง เพราะถูกความถือและความปล่อยครอบงำ เพราะละทิฏฐินั้นไม่ได้ ไปตามตัณหากล่าวคือความแสวงหา คือถูกตัณหาครอบงำ ย่อมไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องต่างโดยราคะเป็นต้น และเมื่อไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง ย่อมเรียนด้วย ย่อมละด้วยซึ่งธรรมนั้นๆ เหมือนลิงเกาะกิ่งไม้.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 13:47:43 »



              บทว่า ปุริมํ สตฺถารํ ปหาย ความว่า เว้นปฏิญญาของศาสดาที่ถือไว้ในก่อน.
              บทว่า อปรํ สตฺถารํ นิสฺสิตา ความว่า อาศัย คือติดแน่น ปฏิญญาของศาสดาอื่น.
              แม้ในบทว่า ปุริมํ ธมฺมกฺขานํ ปหาย เป็นต้นก็นัยนี้แล.
              บทว่า เอชานุคา ความว่า ไปตามตัณหา.
              บทว่า เอชานุคตา ความว่า ไปตามตัณหาแล้ว.
              บทว่า เอชานุสุฏา ความว่า ซ่านไปตาม หรือแล่นไปตามตัณหา.
              บทว่า เอชาย ปนฺนา ปติตา ความว่า จมลงในตัณหา และอันตัณหาเก็บเสียแล้ว.

              บทว่า มกฺกโฏ ได้แก่ ลิง.
              บทว่า อรญฺเญ ความว่า ในทุ่ง.
              บทว่า ปวเน ความว่า ในป่าใหญ่.
              บทว่า จรมาโน ความว่า ไปอยู่.
              บทว่า เอวเมว เป็นบทอุปไมย เครื่องยังบทอุปมาให้ถึงพร้อม.
              บทว่า ปุถุ ความว่า ต่างๆ.
              บทว่า ปุถุทิฏฺฐิคตานิ ความว่า ทิฏฐิมีอย่างต่างๆ.

              บทว่า คณฺหนฺติ จ มุญฺจนฺติ จ ความว่า ย่อมจับด้วยสามารถแห่งการถือ และย่อมปล่อยด้วยสามารถแห่งการสละ.
              บทว่า อาทิยนฺติ จ นิรสฺสชนฺติ จ ความว่า ย่อมกระทำความกังวล ย่อมสละ และย่อมซัดไป.
              เนื้อความที่ตรัสไว้ว่า เพราะทิฏฐิย่อมบอกนรชนนั้นว่าเป็นผู้พูดอย่างนั้น นั้นเชื่อมความในคาถาที่ ๕ ว่า สยํ สมาทาย สมาทานวัตรทั้งหลายเองเป็นต้น.
              บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สยํ แปลว่า เอง.
              บทว่า สมาทาย ความว่า ถือเอา.

              บทว่า วตฺตานิ ความว่า วัตรทั้งหลายมีหัตถีวัตรเป็นต้น.
              บทว่า อุจฺจาวจํ ความว่า กลับไปกลับมา หรือเลวและประณีต คือจากศาสดาสู่ศาสดาเป็นต้น.
              บทว่า สญฺญสตฺโต ความว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในกามสัญญาเป็นต้น.
              บทว่า วิทฺธา จ เวเทหิ สเมจฺจ ธมฺมํ ความว่า ส่วนผู้มีความรู้ คือพระอรหันต์ตรัสรู้สัจจธรรม ๔ อันเป็นปรมัตถ์ ด้วยความรู้คือมรรคญาณ ๔.
              บทที่เหลือปรากฏแล้วทั้งนั้น.
              บทว่า สยํ สมาทาย ความว่า ถือเองทีเดียว.

              บทว่า อาทาย ความว่า ถือเอาแล้ว คือรับเอาแล้ว.
              บทว่า สมาทาย ความว่า ถือเอาแล้วโดยชอบ.
              บทว่า อาทิยิตฺวา ความว่า กระทำความกังวล.
              บทว่า สมาทิยิตฺวา ความว่า กระทำความกังวลโดยชอบ.
              บทว่า คณฺหิตฺวา ความว่า ไม่สละ.
              บทว่า ปรามสิตฺวา ความว่า แสดงแล้ว.
              บทว่า อภินิวิสิตฺวา ความว่า ตั้งมั่นแล้ว.

              บทว่า กามสัญญา เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
              บทว่า วิทฺธา แปลว่า ผู้มีปัญญา.
              บทว่า วิชฺชาคโต ความว่า ผู้ถึงความรู้แจ้ง.
              บทว่า ญาณี ความว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา.
              บทว่า วิภาวี ความว่า ผู้พิจารณาด้วยญาณ.
              บทว่า เมธาวี ความว่า ผู้มีญาณตรึกตรองโดยอนิจจลักขณะเป็นต้น.
              บทว่า ปญฺญา เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.

              บทว่า จตุสจฺจธมฺมํ วิจินาติ ความว่า ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์.
              เนื้อความของโพชฌงค์ กล่าวไว้แล้วในหนหลังเทียว.
              บทว่า วีมํสา ความว่า ปัญญาเครื่องค้นคว้าสัจจธรรม ๔ นั่นแล. ท่านอธิบายว่า วิมังสา คือการคิดธรรม.
              บทว่า วิปสฺสนา ความว่า ปัญญาเครื่องเห็นโดยอาการต่างๆ ที่สัมปยุตด้วยมรรคนั่นแล.
              บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า สัมมาทิฏฐิที่งาม บัณฑิตสรรเสริญ ดี สัมปยุตด้วยมรรค.
              บทว่า เตหิ เวเทหิ ความว่า ด้วยมรรคญาณ ๔ เหล่านั้นนั่นแล.
              บทว่า อนฺตคโต ความว่า ถึงที่สุดชาติ ชรา และมรณะ.

              บทว่า โกฏิคโต เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
              บทว่า เวทานํ วา อนฺตคโต ความว่า ถึงที่สุดแห่งทุกข์ที่พึงรู้.
              บทว่า เวเทหิ วา อนฺตคโต ความว่า ถึงพระนิพพานกล่าวคือที่สุด โดยเป็นที่สุดรอบแห่งทุกข์ในวัฏฏะ ด้วยปัญญาคือมรรคญาณ ๔.
              บทว่า วิทิตตฺตา ความว่า เพราะความเป็นผู้รู้แจ้ง คือเพราะความเป็นผู้รู้.
              คาถาว่า เวทานิ วิเจยฺย เกวลานิ เป็นต้นมีความว่า ผู้ใดกระทำความสิ้นกิเลสด้วยเวทคือมรรคญาณ ๔ ถึงแล้ว ผู้นั้นชื่อว่าถึงเวทโดยปรมัตถ์.

              อนึ่ง ผู้ใดเลือกเฟ้นเวททั้งหลายที่เรียกกันว่าศาสตร์ของสมณพราหมณ์ทั้งปวง ด้วยสามารถอนิจจลักษณะเป็นต้นโดยกิจ ด้วยมรรคภาวนานั้นแล. ก้าวล่วงเวททั้งปวงนั้นนั่นแล ด้วยการละฉันทราคะในเวทนั้น เป็นผู้ปราศจากราคะในเวทนาทั้งปวงที่เกิดขึ้นเพราะเวทเป็นปัจจัยหรือโดยประการอื่น. เพราะเหตุนั้น เมื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ถูกทูลถามว่า ผู้ถึงเวทกล่าวถึงการบรรลุอะไร? มิได้ตรัสตอบว่า การบรรลุนี้ ตรัสว่า บุคคลเลือกเฟ้นเวททั้งหลาย ฯลฯ ชื่อว่าเป็นเวทคู ดังนี้.

              อีกอย่างหนึ่ง เพราะผู้ใดเลือกเฟ้นเวททั้งหลายด้วยปัญญาเครื่องเลือกเฟ้น ย่อมเป็นไปก้าวล่วงเวททั้งปวงด้วยการละฉันทราคะในเวทนั้น. ผู้นั้นถึงคือรู้ คือก้าวล่วงเวททั้งหลายที่เรียกกันว่าศาสตร์. ผู้ใดปราศจากราคะในเวทนาทั้งหลาย แม้ผู้นั้นก็ถึง คือก้าวล่วงเวททั้งหลายที่เรียกกันว่าเวทนา คือถึงเวทนายิ่ง. แม้ดังนั้นก็ชื่อว่าเวทคู ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความว่า จึงมิได้ตรัสว่า การบรรลุนี้ แต่ตรัสว่า บุคคลเลือกเฟ้นเวททั้งหลาย ฯลฯ ชื่อว่าเป็นเวทคู ดังนี้.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 14:36:31 »



              บทว่าสเมจฺจความว่า มาพร้อมด้วยญาณ.
              บทว่าอภิสเมจฺจความว่า แทงตลอดด้วยญาณ.
              บทว่าธมฺมํความว่า สัจจธรรม ๔.
              บทว่าสพฺเพ สงฺขาราความว่าธรรมพร้อมด้วยปัจจัยทั้งปวง.ด้วยว่าธรรมเหล่านั้นชื่อว่าสังขารอันปัจจัยปรุงแต่งย่อมร่วมกระทำด้วยปัจจัยทั้งหลาย เหตุนั้นจึงชื่อว่าสังขาร.สังขารเหล่านั้นท่านกล่าวโดยวิเศษว่า สังขตะเพราะร่วมกระทำด้วยปัจจัยทั้งหลายด้วยประการฉะนี้.
              ในอรรถกถาทั้งหลายกล่าวว่า ธรรมมีรูปที่เป็นไปในภูมิ ๓เป็นต้นที่บังเกิดเพราะกรรม ชื่อว่าอภิสังขตสังขาร.อภิสังขตสังขารแม้เหล่านั้นย่อมสงเคราะห์เข้าในสังขตสังขารทั้งหลาย.ในประโยคว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เป็นต้นสังขารที่มีอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแลมาในประโยคว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบุรุษบุคคลผู้ไปด้วยอวิชชานี้ ย่อมปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร เป็นต้น.

              กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาที่เป็นไปในภูมิ ๓ชื่อว่าสังขารเครื่องปรุงแต่งความเพียรทางกายและความเพียรทางใจที่มาในประโยคว่า คติแห่งอภิสังขารมีประมาณเท่าใด ไปประมาณเท่านั้นเข้าใจว่าได้ตั้งอยู่กำจัดอินทรีย์ เป็นต้น ชื่อว่าปโยคาภิสังขาร.
              วิตกวิจารที่มาในประโยคว่า แน่ะท่านวิสาขะวจีสังขารของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแลย่อมดับก่อนต่อแต่นั้นกายสังขารดับ ต่อแต่นั้น จิตตสังขารดับเป็นต้น ชื่อวจีสังขารเพราะอรรถว่าปรุงแต่งวาจา. ลมอัสสาสะลมปัสสาสะชื่อกายสังขาร เพราะอรรถว่าปรุงแต่งกาย. สัญญาและเวทนาชื่อจิตตสังขาร เพราะอรรถว่าปรุงแต่งจิต.

              แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาสังขตสังขาร.
              บทว่าอนิจฺจาความว่า เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี.
              บทว่าทุกฺขาความว่า เพราะอรรถว่า เบียดเบียน.
              บทว่าสพฺเพ ธมฺมาความว่า ท่านกล่าวทำแม้พระนิพพานไว้ภายใน.
              บทว่าอนตฺตาความว่า เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ.

              ในบทว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราผลมาอาศัยธรรมใดเกิดฉะนั้น ธรรมนั้นชื่อว่าเป็นปัจจัย.
              บทว่าปฏิจฺจความว่า เว้นไม่ได้. อธิบายว่า ไม่ห้าม.
              บทว่าเอติความว่า เกิดขึ้นและเป็นไป.
              อีกอย่างหนึ่ง มีความว่า อุปการะ มีความว่า เป็นปัจจัย
              อวิชชานั่นด้วย เป็นปัจจัยด้วย ชื่อว่าอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะเหตุนั้น สังขารทั้งหลายจึงมีอวิชชาเป็นปัจจัย.

              บทว่าสมฺภวนฺติความว่า ย่อมบังเกิดเฉพาะ.
              พึงประกอบศัพท์สมฺภวนฺติแม้ด้วยบทที่เหลือทั้งหลายด้วยประการฉะนี้.
              ในอวิชชาและสังขารเหล่านั้น อวิชชาเป็นไฉน? ความไม่รู้ในทุกข์, ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ความไม่รู้ในส่วนเบื้องต้น, ความไม่รู้ในส่วนเบื้องปลาย, ความไม่รู้ในส่วนเบื้องต้นและส่วนเบื้องปลาย.ความไม่รู้ในธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น คืออิทัปปัจจยตา.
              สังขารเป็นไฉน? ปุญญาภิสังขาร, อปุญญาภิสังขาร, อาเนญชาภิสังขาร, กายสังขาร, วจีสังขาร, จิตตสังขาร.

              กามาวจรกุศลจิต ๘ รูปาวจรกุศลจิต ๕ เป็นปุญญาภิสังขาร.
              อกุศลจิต ๑๒ เป็นอปุญญาภิสังขาร.
              อรูปาวจรกุศลจิต ๔ เป็นอาเนญชาภิสังขาร.
              กายสัญเจตนาเป็นกายสังขาร.
              วจีสัญเจตนาเป็นวจีสังขาร
              มโนสัญเจตนาเป็นจิตตสังขาร.

              พึงมีคำถามในบทนั้นว่า ข้อว่า สังขารเหล่านี้มีอวิชชาเป็นปัจจัยนั้นพึงรู้ได้อย่างไร? รู้ได้โดยภาวะในความเป็นอวิชชา.
              ก็ความไม่รู้ กล่าวคืออวิชชาในธรรม ๘ประการมีทุกข์เป็นต้นอันบุคคลใดยังละไม่ได้บุคคลนั้นถือเอาทุกข์ในสังสารวัฏด้วยความสำคัญว่าเป็นสุขปรารภสังขารแม้ทั้ง ๓ อย่างที่เป็นเหตุแห่งทุกข์นั้นแลเพราะความไม่รู้ในทุกข์และส่วนเบื้องต้นเป็นต้นก่อน.
              บุคคลปรารภสังขารทั้งหลายที่เป็นบริขารแห่งตัณหาแม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ สำคัญว่าเป็นเหตุแห่งสุข เพราะความไม่รู้ในสมุทัย.

              บุคคลเป็นผู้มีความสำคัญในคติวิเศษแม้ไม่ใช่ความดับทุกข์ ว่าเป็นความดับทุกข์ เป็นผู้มีความสำคัญในการเซ่นสรวงและการบำเพ็ญพรตเพื่อเป็นเทวดาเป็นต้น แม้มิใช่ทางแห่งความดับทุกข์เลยว่าเป็นทางแห่งความดับทุกข์ เมื่อปรารถนาความดับทุกข์ ย่อมปรารภสังขารทั้ง ๓อย่างด้วยการเซ่นสรวงและการบำเพ็ญพรตเพื่อเป็นเทวดาเป็นต้นเป็นข้อสำคัญเพราะความไม่รู้ในนิโรธและในมรรค.
              อีกอย่างหนึ่ง บุคคลนั้นไม่รู้ทุกข์กล่าวคือผลบุญแม้เต็มไปด้วยโทษมีชาติชราและมรณะเป็นต้นว่าเป็นทุกข์โดยวิเศษ เพราะความที่ยังละอวิชชาในสัจจะ ๔ไม่ได้นั้น. ย่อมปรารภปุญญาภิสังขาร ชนิดกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร เพื่อบรรลุผลนั้น
เหมือนผู้ใคร่เป็นเทวดาและเทพอัปสร ปรารภเงื้อมผาเทวดาฉะนั้น.

              อีกอย่างหนึ่งบุคคลแม้ไม่เห็นความเป็นวิปริณามทุกข์ที่ให้เกิดความเร่าร้อนใหญ่ในที่สุดแห่งผลบุญนั้น ซึ่งสมมติว่าเป็นสุข และความไม่ชอบใจ ย่อมปรารภปุญญาภิสังขารซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล อันเป็นปัจจัยแห่งทุกข์นั้นเหมือนแมงเม่าบินเข้าหาเปลวไฟ และเหมือนคนอยากหยาดน้ำหวานเลียคมศัสตราที่ทาน้ำหวานฉะนั้น.
              อนึ่งบุคคลไม่เห็นโทษในการเข้าไปเสพกามเป็นต้นซึ่งมีวิบากย่อมปรารภอปุญญาภิสังขารที่เป็นไปในไตรทวาร เพราะสำคัญว่าเป็นสุขและเพราะความที่ถูกกิเลสครอบงำ เหมือนเด็กอ่อนเล่นคูถและเหมือนคนอยากตายเคี้ยวกินยาพิษฉะนั้น.


              อีกอย่างหนึ่งบุคคลไม่รู้ความเป็นวิปริณามทุกข์แห่งสังขารในอรูปวิบากย่อมปรารภอาเนญชาภิสังขารที่เป็นจิตตสังขาร ด้วยวิปลาสว่าเที่ยงเป็นต้นเหมือนคนหลงทิศเดินทางตรงไปเมืองปีศาจฉะนั้น.
              เพราะมีอวิชชานั่นแล จึงมีสังขาร. เพราะไม่มีอวิชชาจึงไม่มีสังขาร. ด้วยประการฉะนี้ ฉะนั้นพึงทราบข้อนี้วาสังขารเหล่านี้ย่อมมีอวิชชาเป็นปัจจัย.
              ในข้อนี้ท่านกล่าวว่า พวกเราถือเอาเนื้อความนี้ก่อนว่าอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลาย. ก็อวิชชานี้อย่างเดียวเท่านั้นเป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลายหรือ หรือว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีก, ก็ถ้าการกล่าวถึงเหตุหนึ่งจากเหตุหนึ่งเท่านั้น ย่อมถึงก่อนไซร้.เมื่อเป็นเช่นนั้น ปัจจัยแม้อื่นๆ ก็ย่อมมีการชี้แจงเหตุหนึ่งว่า :-สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นปัจจัย จะไม่เกิดขึ้นในข้อนี้หรือ? ไม่เกิดขึ้นหามิได้.

              เพราะเหตุไร? เพราะ :-
                                    ผลอย่างหนึ่งย่อมมีแต่เหตุอย่างเดียวในโลกนี้ หา
                        มิได้ ผลหลายอย่างแต่เหตุแม้หลายอย่าง ก็หามิได้ ผล
                        อย่างหนึ่งมีอยู่ หามิได้ แต่ประโยชน์ในการแสดงเหตุผล
                        อย่างหนึ่งมีอยู่.


              ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเหตุก็ตามผลก็ตามอย่างเดียวเท่านั้น โดยสมควรแก่ความงามของเทศนาและแก่เหล่าเวไนยสัตว์. เพราะเป็นประธานในที่บางแห่ง ปรากฏในที่บางแห่งเป็นอสาธารณะในที่บางแห่ง. ฉะนั้นอวิชชาในข้อนี้เมื่อเหตุแห่งสังขารทั้งหลายมีวัตถุอารมณ์และสหชาตธรรมเป็นต้นอื่นๆ แม้มีอยู่ ก็พึงทราบว่าทรงแสดงโดยความเป็นเหตุแห่งสังขารทั้งหลาย.เพราะเป็นประธานว่าเป็นเหตุของเหตุแห่งสังขารทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นแม้อื่นๆ เพราะปรากฏและเพราะเป็นอสาธารณะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ไม่มีปัญญา ได้ด้วยอวิชชา ย่อมปรุงแต่งแม้ปุญญาภิสังขาร โดยพระบาลีว่า ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้เห็นตามความพอใจ และว่าเพราะอวิชชาเกิด อาสวะจึงเกิด. และพึงทราบการประกอบในการแสดงเหตุผลเป็นอย่างๆ ในที่ทั้งปวง ด้วยการแสดงบริหารและกล่าวถึงเหตุผลเป็นอย่างๆ นี้นั่นเทียวแล.

ในข้อนี้ ท่านกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นความที่อวิชชาซึ่งมีโทษมีผลไม่น่าปรารถนาโดยส่วนเดียวเป็นปัจจัยแห่งปุญญาภิสังขารและอาเนญชาภิสังขาร จะถูกได้อย่างไรเพราะอ้อยจะเกิดแต่พืชสะเดาหาได้ไม่ จักไม่ถูกได้อย่างไร. เพราะในโลก :-
                                    บุคคลที่เป็นศัตรูก็ตาม เป็นมิตรก็ตาม ที่คล้ายกัน
                        ก็ตาม ไม่คล้ายกันก็ตาม สำเร็จเป็นปัจจัยแห่งธรรมทั้ง
                        หลาย บุคคลเหล่านั้นจะเป็นวิบากทั้งนั้นก็หามิได้.


              อวิชชานี้แม้มีผลไม่น่าปรารถนาโดยส่วนเดียวด้วยสามารถแห่งวิบาก, และมีโทษ ด้วยสามารถแห่งสภาวะ, ก็พึงทราบว่าเป็นปัจจัยแห่งปุญญาภิสังขารเป็นต้นเหล่านั้นแม้ทั้งหมด.ด้วยสามารถเป็นปัจจัยแห่งฐานะกิจสภาวะศัตรูและมิตรและด้วยสามารถเป็นปัจจัยแห่งผู้ที่คล้ายกันและไม่คล้ายกันตามสมควร.
              อนึ่ง ยังมีปริยายอื่นอีกว่า :-
                                  ผู้ใดลุ่มหลงในจุติและอุบัติในสังสารวัฏในลักษณะ
                        แห่งสังขาร และในธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ผู้นั้น
                        ย่อมปรุงแต่งสังขาร ๓ อย่างเหล่านั้นเพราะอวิชชาเป็น
                        ปัจจัยแห่งสังขาร ๓ อย่างเหล่านั้นทั้งหมด.

                                  นระผู้บอดแต่กำเนิด เป็นผู้นำไม่ได้ บางคราวไป
                        ถูกทาง บางคราวก็ไปผิดทาง แม้ฉันใด คนพาลท่องเที่ยว
                        อยู่ในสังสารวัฏเป็นผู้นำไม่ได้ บางคราวทำบุญ บางคราว
                        ก็ทำบาป.
ก็ผู้นั้นรู้ธรรมแล้วบรรลุสัจจะทั้งหลายในกาลใด
                        จักเป็นผู้เข้าไปสงบจากอวิชชาเที่ยวไปในกาลนั้น.

              บทว่าสงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํได้แก่ หมวดแห่งวิญญาณ ๖ คือจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ.
              บรรดาวิญญาณเหล่านั้น จักขุวิญญาณมี ๒ อย่างคือที่เป็นกุศลวิบาก ๑ ที่เป็นอกุศลวิบาก ๑. โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณชิวหาวิญญาณและกายวิญญาณก็เหมือนกัน. ส่วนมโนวิญญาณมี ๒๒ อย่าง คือวิปากมโนธาตุ ๒. อเหตุกวิปากมโนวิญญาณธาตุ ๓, สเหตุกวิปากจิต ๘, รูปาวจรวิปากจิต ๕, อรูปาวจรวิปากจิต ๔, วิปากวิญญาณฝ่ายโลกิยะทั้งหมดมี ๓๒ ด้วยประการฉะนี้.

              ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า ก็ข้อว่าวิญญาณซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วนี้มีสังขารเป็นปัจจัยนี้จะพึงรู้ได้อย่างไร? พึงรู้ได้เพราะไม่มีวิบากในเพราะไม่มีกรรมที่สั่งสมไว้.
              เรื่องวิบากนี้พึงทราบว่าวิบากจะไม่เกิดขึ้นในเพราะไม่มีกรรมที่สั่งสมไว้, ถ้าจะพึงเกิดขึ้นวิบากทั้งปวงของกรรมทุกอย่างพึงเกิดขึ้น แต่จะไม่เกิดขึ้น.ดังนั้นพึงทราบข้อนี้ว่า วิญญาณนี้ย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย.
              ก็วิญญาณนี้ทั้งหมดนั่นแลย่อมเป็นไปโดยประการ ๒ คือ ปวัตติและปฏิสนธิ. ใน ๒ ประการนั้น วิญญาณ ๕ ทั้ง ๒ ฝ่าย๑-(เป็น ๑๐), มโนธาตุ ๒, อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยโสมนัส ๑, รวมเป็นวิญญาณ ๑๓เหล่านี้ย่อมเป็นไปในปวัตติเท่านั้น ในปัญจโวการภพ, วิญญาณ ๑๙ที่เหลือย่อมเป็นไปทั้งในปวัตติ ทั้งในปฏิสนธิ ในภพ ๓ ตามสมควร.
____________________________
๑-เรียกทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ (วิญญาณ ๕ x ๒).

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 15:27:51 »



              วิญญาณที่ได้ปัจจัยเป็นเพียงธรรมนี้ย่อมเข้าถึง ระหว่างภพ ด้วยประการฉะนี้ วิญญาณนั้นไม่ข้ามภพนั้นไปได้ เว้นเหตุจากภพนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ.
              ก็วิญญาณที่ได้ปัจจัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นเป็นเพียงรูปธรรมและอรูปธรรม เรียกว่าย่อมเข้าถึงระหว่างภพด้วยประการฉะนี้. ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวะ และวิญญาณนั้นย่อมไม่ข้ามอดีตภพไปได้ในโลกนี้. ทั้งเว้นเหตุจากอดีตภพนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่ปรากฏในโลกนี้.
              ก็ในข้อนี้ท่านเรียกวิญญาณดวงแรกว่า จุติ เพราะเคลื่อนไป เรียกวิญญาณดวงหลังว่า ปฏิสนธิ เพราะสืบต่อในระหว่างภพเป็นต้น.

              ในข้อนี้ท่านกล่าวว่า เมื่อไม่มีการข้ามและความปรากฏอย่างนี้ เพราะขันธ์ทั้งหลายในอัตภาพมนุษย์นี้ดับ, เพราะกรรมซึ่งมีปัจจัยแห่ง ผลไม่ดำเนินไปในภพนั้น และเพราะประการอื่นแห่งกรรมอื่น ผลนั้นพึงมีมิใช่หรือ? ก็เมื่อไม่มีผู้ใช้สอย ผลนั้นจะพึงมีแก่ใคร ฉะนั้นวิธีนี้ไม่ถูก.
              ในข้อนั้นท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า :-
                                  ผลในสันดานมิใช่ของกรรมอื่นและโดยประการอื่น
                        การปรุงแต่งพืชทั้งหลายให้สำเร็จประโยชน์นั้น การสมมติ
                        ผู้ใช้สอย
สำเร็จได้ด้วยการเกิดขึ้นแห่งผลนั่นแล เหมือน
                        ต้นไม้ที่สมมติกันว่าผลิตผล ด้วยความเกิดขึ้นแห่งผลฉะนั้น.

              แม้ผู้ใดพึงกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น สังขารเหล่านั้นมีอยู่ก็ตาม ไม่มีอยู่ก็ตาม พึงเป็นปัจจัยแห่งผล. ก็ถ้ามีอยู่ วิบากแห่งสังขารเหล่านั้นพึงมีในปวัตติขณะทีเดียว. ถ้าไม่มี สังขารเหล่านั้นพึงนำผลมาเป็นนิจ ทั้งก่อนและหลังปวัตติขณะบุคคลเหล่านั้น. พึงกล่าวอย่างนี้ว่า :-
                                  สังขารเหล่านั้นเป็นปัจจัยเพราะกระทำ นำผลมา
                        เป็นนิจก็หามิได้ พึงทราบการชี้แจงในข้อนั้น ซึ่งมีผู้รับ
                        รองเป็นต้น.
              ในบทว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นี้ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ เป็นนาม. มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูปของมหาภูตรูป ๔ เป็นรูป.

              ในปฏิสนธิขณะของคัพภเสยยกสัตว์ที่ไม่มีภาวะ และของเหล่าสัตว์ผู้เกิดในไข่. วัตถุทสกะและกายทสกะ รวมเป็นรูปขันธ์ ๒๐ รูป, และนามขันธ์อีก ๓ รวมขันธ์เหล่านี้เป็นธรรม ๒๓. พึงทราบว่าเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป. เพิ่มภาวทสกะของเหล่าสัตว์ผู้มีภาวะ รวมเป็น ๓๓.
              ในปฏิสนธิขณะของเหล่าสัตว์ชั้นพรหมกายิกาทั้งหลายในบรรดาเหล่าโอปปาติกสัตว์ ทั้งหลาย จักขุทสกะ โสตทสกะ วัตถุทสกะและชีวิตนวกะ รวมเป็นรูปขันธ์ ๓๙ รูป, และนามขันธ์อีก ๓ รวมธรรมเหล่านี้เป็น ๔๒. พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป.
              ส่วนในปฏิสนธิขณะของเหล่าโอปปาติกสัตว์ ที่เหลือผู้เกิดในที่ชื้นแฉะโสโครกก็ตาม ผู้มีภาวะมีอายตนะบริบูรณ์ก็ตาม จักขุทสกะ, โสตทสกะ, ฆานทสกะ, ชิวหาทสกะ, กายทสกะ, วัตถุทสกะ, ภาวทสกะ, (อย่างละ ๑๐ รวม ๗๐) และนามขันธ์ ๓ รวมธรรมเหล่านี้เป็น ๗๓.

              พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป พึงทราบอย่างอุกฤษฏ์ด้วยประการฉะนี้. แต่อย่างต่ำ พึงทราบการปรุงแต่งนามรูปเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยในปฏิสนธิที่ค่อยๆ เสื่อมลงด้วยสามารถแห่งขันธ์นั้นๆ แห่งทสกะที่บกพร่องนั้นๆ.
              ก็นามขันธ์ ๓ ของเหล่าอรูปสัตว์นั่นแล พึงทราบว่า ชีวิตนวกะนั่นเอง โดยรูปแห่งอสัญญีสัตว์แล. พึงทราบนัยในปฏิสนธิเท่านี้ก่อน.
              ก็ในการแสดงความเป็นไปแห่งรูปในที่ทั้งปวงที่เป็นไป ย่อมปรากฏสุทธัฏฐกะที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน โดยที่เป็นไปกับปฏิสนธิจิต ในฐีติขณะแห่งปฏิสนธิจิต. จำเดิมแต่ภวังคจิตดวงแรก ย่อมปรากฏสุทธัฏฐกะที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน. รูปขันธ์ ๒๖ ด้วยสามารถแห่งสุทธัฏฐกะที่มีอาหารเป็นสมุฏฐานอย่างนี้ คือสุทธัฏฐกะที่มีอาหารเป็นสมุฏฐานของ เหล่าสัตว์ผู้อาศัยกวฬิงการาหารเป็นอยู่ ซึ่งเป็นสัททนวกะโดยอุตุและจิต ในกาลที่เสียงปรากฏ และแห่งนวกะทั้งสองที่มีอุตุและจิตเป็นสมุฏฐาน และรูปขันธ์ ๗๐ ที่มีกรรมดังกล่าวแล้วเป็นสมุฏฐาน ซึ่งเกิดขึ้น ๓ ครั้ง ในจิตดวงหนึ่งๆ รวมเป็นรูปขันธ์ ๙๖ และอรูปขันธ์ ๓ รวมเป็นธรรม ๙๙ พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป ตามสมควรที่จะเกิดได้.

              พึงมีคำถามในข้อนั้นว่า ก็ข้อว่า ปฏิสนธินามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนั้น จะรู้ได้อย่างไร?
              รู้ได้โดยสูตรและโดยยุติ.
              ก็โดยสูตร คือ :-
              ความที่เวทนาเป็นต้นมีวิญญาณเป็นปัจจัยโดยส่วนมาก สำเร็จโดยนัยเป็นต้นว่า ธรรมทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปตามจิต.
              แต่โดยยุติคือ :-
                                  ก็นามรูปย่อมสำเร็จด้วยรูปที่เกิดแต่จิต ที่เห็นได้ในภพนี้
                        วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูปแม้ที่เห็นไม่ได้
ด้วยประการฉะนี้แล.
              นาม ในบทว่า นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ ได้กล่าวไว้แล้วนั่นแล.

              ก็ในที่นี้ รูปมี ๑๑ อย่าง คือ มหาภูตรูป ๔ วัตถุรูป ๖ และชีวิตินทรีย์รูป ๑ โดยแน่นอน. ส่วนอายตนะมี ๖ คือ จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะและมนายตนะ.
              พึงมีคำถามในข้อนั้นว่า ก็ข้อว่า นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะนั้น จะรู้ได้อย่างไร? รู้ได้โดยภาวะในความเป็นนามรูป. ด้วยว่าอายตนะนั้นๆ ย่อมมีในภาวะแห่งนามและรูปนั้นๆ มิใช่มีโดยประการอื่นแล.
              บทว่า สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ความว่า :-
              ผัสสะอย่างย่อมี ๖ เท่านั้นมีจักขุสัมผัสเป็นต้น ผัสสะเหล่านั้นอย่างพิสดารมี ๓๒ เหมือนวิญญาณ.

              บทว่า ผสฺสปจฺจยา เวทนา ความว่า :-
              เวทนากล่าวโดยทวารมี ๖ เท่านั้นมีจักขุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น เวทนาเหล่านั้นกล่าวโดยประเภทในที่นี้มี ๓๒.
              บทว่า เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ความว่า:-
              ตัณหาท่านแสดงในที่นั้นมี ๖ โดยประเภทมีรูปตัณหาเป็นต้น ตัณหาแต่ละอย่างรู้กันว่ามี ๓ อย่าง โดยอาการที่เป็นไปในตัณหานั้น คือผู้มีทุกข์ย่อมปรารถนาสุข ผู้มีสุขย่อมปรารถนาสุขยิ่งๆ ขึ้น. ส่วนอุเบกขาท่านกล่าวว่าเป็นสุขแท้เพราะสงบ ฉะนั้นเวทนาทั้ง ๓ จึงเป็นปัจจัยแก่ตัณหา พระผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่จึงตรัสว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหาแล.

              บทว่า ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ ความว่า อุปาทาน ๔ คือกามุปาทาน, ทิฏฐุปาทาน, สีลัพพตุปาทาน, อัตตวาทุปาทาน.
              ในบทว่า อุปาทานปจฺจยา ภโว นี้ ประสงค์เอากรรมภพ แต่อุปปัตติภพ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการยกบทขึ้นแสดง.
              บทว่า ภวปจฺจยา ชาติ ความว่า เพราะกรรมภพเป็นปัจจัยจึงปรากฏปฏิสนธิขันธ์ทั้งหลาย.
              หากจะมีคำถามในข้อนั้นว่า ก็ข้อว่า ภพเป็นปัจจัยแก่ชาตินั้น จะรู้ได้อย่างไร? รู้ได้โดยความปรากฏต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้นแม้ในความบริบูรณ์ด้วย ปัจจัยภายนอก.
              ด้วยว่า ความต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้นของเหล่าสัตว์ตั้งร้อยคู่ ย่อมปรากฏแม้ในความบริบูรณ์ด้วยปัจจัยภายนอกมีบิดามารดา ความบริสุทธิ์เลือดและอาหารเป็นต้น. และความต่างกันนั้นไม่มีเหตุก็หามิได้ เพราะไม่มีในกาลทั้งปวงและแก่สัตว์ทั้งปวงเลย. มีเหตุอื่นจากกรรมภพก็หามิได้ เพราะไม่มีเหตุอย่างอื่นในสันดานภายในของเหล่าสัตว์ ผู้บังเกิดในภพนั้น. ดังนั้นจึงชื่อว่า มีกรรมภพเป็นเหตุแท้ เพราะกรรมเป็นเหตุแห่งความต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลาย. ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต. เพราะฉะนั้นพึงทราบข้อนี้ว่า ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ ดังนี้.

              ในบทว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า
              เพราะเมื่อชาติไม่มี ชรามรณะและธรรมมีโสกะเป็นต้น ย่อมไม่มี. แต่เมื่อชาติมี ชรามรณะและธรรมมีโสกะเป็นต้นที่เนื่องด้วยชรามรณะเป็นต้น ของชนพาลผู้อันทุกขธรรมกล่าวคือชรามรณะถูกต้องแล้วก็ตาม ที่ไม่เกี่ยวเนื่องของชนพาลผู้อันทุกขธรรมนั้นๆ ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมมี. ฉะนั้น เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ.
              บทว่า สเมจฺจ อภิสเมจฺจ ธมฺมํ ความว่า ประกอบด้วยญาณแทงตลอดสัจจธรรม ๔.
              ครั้นแสดงความเป็นไปแห่งปัจจยาการ ๑๒ บทอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงความดับอวิชชาเป็นต้นด้วยสามารถแห่งวิวัฏฏะ พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติ สเมจฺจ อภิสเมจฺจ ธมฺมํ ดังนี้.

              บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิชฺชานิโรธา ความว่า เพราะดับอย่างไม่เกิดขึ้น คือเพราะดับอย่างเป็นไปไม่ได้อีกแห่งอวิชชา.
              บทว่า สงฺขารนิโรโธ ความว่า ย่อมมีความดับอย่างไม่เกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลาย.
              แม้ในบทที่เหลือทั้งหลายก็อย่างนี้.
              บทว่า อิทํ ทุกฺขํ เป็นต้นมีนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล.
              บทว่า อิเม ธมฺมา อภิญฺเญยฺยา ความว่า ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ เหล่านั้น พึงทราบโดยสภาวะด้วยสามารถหยั่งรู้สภาวะและลักษณะ หรือด้วยญาณอันยิ่งโดยอาการอันงาม.
              บทว่า ปริญฺเญยฺยา ความว่า พึงกำหนดรู้ด้วยสามารถหยั่งรู้สามัญลักษณะและด้วยสามารถสำเร็จกิจ.

              บทว่า อิเม ธมฺมา ปหาตพฺพา ความว่า ธรรมที่เป็นไปในฝ่ายสมุทัยเหล่านั้น พึงละด้วยองค์คุณนั้นๆ.
              บทว่า ภาเวตพฺพา ความว่า พึงเจริญ.
              บทว่า สจฺฉิกาตพฺพา ความว่า พึงทำให้ประจักษ์. การทำให้แจ้งมี ๒ อย่าง คือการทำให้แจ้งการได้เฉพาะและการทำให้แจ้งโดยความเป็นอารมณ์.
              บทว่า ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ ความว่า อายตนะ ๖ มีจักขุเป็นต้น.
              บทว่า สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ ความว่า ความเกิดและความดับ.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 16:05:20 »



              บทว่า ภูริปญฺโญ ความว่า ปัญญาชื่อว่าภูริ เพราะอรรถว่าเหมือนแผ่นดิน ผู้ประกอบด้วยปัญญาเหมือนแผ่นดินนั้น ชื่อว่าผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดิน.
              ในบทว่า มหาปญฺโญ เป็นต้น ความว่า ประกอบด้วยปัญญาใหญ่เป็นต้น.
              ความต่างกันแห่งผู้มีปัญญาใหญ่เป็นต้น ในบทเหล่านั้นมีดังต่อไปนี้.
              ปัญญาใหญ่เป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถว่ากำหนดอรรถใหญ่, ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถว่ากำหนดธรรมใหญ่. นิรุตติใหญ่, ปฏิภาณใหญ่. ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถว่ากำหนดสีลขันธ์ใหญ่.
              ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถว่ากำหนดสมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ใหญ่.
              ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะอรรถว่ากำหนดฐานาฐานญาณใหญ่ วิหารสมาบัติใหญ่ อริยสัจใหญ่ สติปัฏฐานใหญ่ สัมมัปปธานใหญ่ อิทธิบาทใหญ่ อินทรีย์ใหญ่ พละใหญ่ โพชฌงค์ใหญ่ อริยมรรคใหญ่ สามัญญผลใหญ่ อภิญญาใหญ่ และนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถ์ใหญ่.

              ปัญญามากเป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญามาก เพราะอรรถว่าญาณเป็นไปในขันธ์ต่างๆ มาก. ชื่อว่าปัญญามาก เพราะอรรถว่าญาณเป็นไปในธาตุต่างๆ มาก, ในอายตนะต่างๆ มาก, ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ มาก, ในการไม่รับความว่างเปล่าต่างๆ มาก, ในอรรถต่างๆ มาก, ในธรรม ในนิรุตติ ในปฏิภาณ ในสีลขันธ์ต่างๆ มาก, ในสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ต่างๆ มาก. ในฐานาฐานญาณต่างๆ มาก, ในวิหารสมาบัติต่างๆ มาก, ในอริยสัจจ์ต่างๆ มาก, ในสติปัฏฐานต่างๆ มาก, ในสัมมัปปธาน ในอิทธิบาท ในอินทรีย์ ในพละ ในโพชฌงค์ ในอริยมรรคต่างๆ มาก, ในสามัญญผล ในอภิญญา ในนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถ์ ล่วงเลยธรรมที่สาธารณะแก่ชนต่างๆ มาก.
              ปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริงเป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าบุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มากด้วยความรื่นเริง มากด้วยเวท มากด้วยความยินดี มากด้วยความปราโมทย์ ยังศีลให้บริบูรณ์ ยังอินทรีย์สังวรให้บริบูรณ์, ยังโภชเนมัตตัญญุตาให้บริบูรณ์, ยังชาคริยานุโยค, ยังสีลขันธ์, ยังสมาธิขันธ์, ยังปัญญาขันธ์, ยังวิมุตติขันธ์, ยังวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ให้บริบูรณ์. ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าผู้มากด้วยความรื่นเริง มากด้วยความปราโมทย์ แทงตลอดฐานาฐานญาณ.
              ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าผู้มากด้วยความรื่นเริงย่อมยังวิหารสมาบัติให้บริบูรณ์. ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าผู้มากด้วยความรื่นเริง แทงตลอดอริยสัจ, เพราะอรรถว่าเจริญสติปัฏฐาน เพราะอรรถว่าเจริญสัมมัปปธาน, อิทธิบาท, อินทรีย์, พละ, โพชฌงค์, อริยมรรค.
              ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าผู้มากด้วยความรื่นเริงย่อมทำให้แจ้งซึ่งสามัญผล.
              ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าแทงตลอดอภิญญา.
              ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องรื่นเริง เพราะอรรถว่าผู้มากด้วยความรื่นเริง มากด้วยเวท ความยินดี ความปราโมทย์ กระทำให้แจ้งนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถ์.

              ปัญญาไวเป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าแล่นไปสู่รูปอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม โอฬารก็ตาม สุขุมก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลก็ตาม ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดโดยเป็นอนิจจังได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าแล่นไป โดยเป็นทุกขังเป็นอนัตตาได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะว่าแล่นไปสู่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ฯลฯ ไกลก็ตาม ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดโดยเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าแล่นไปสู่จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะซึ่งเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าตรึกตรอง พิจารณา ไตร่ตรอง คือทำให้แจ้งซึ่งรูปที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันว่าเป็นอนิจจัง, เพราะอรรถว่าสิ้นไป ว่าเป็นทุกขัง เพราะอรรถว่าน่ากลัว ว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าหาสาระมิได้ แล่นไปในนิพพานซึ่งเป็นที่ดับรูปได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าตรึกตรอง พิจารณา ไตร่ตรอง คือทำให้แจ้งซึ่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันว่าเป็นอนิจจัง เพราะอรรถว่าสิ้นไป, ว่าเป็นทุกขัง เพราะอรรถว่าน่ากลัว, ว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าหาสาระมิได้, แล่นไปในนิพพานซึ่งเป็นที่ดับชราและมรณะได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าตรึกตรอง พิจารณา ไตร่ตรอง คือทำให้แจ้งซึ่งรูปที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ว่าเป็นอนิจจัง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันและกันเกิดขึ้นมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความคลายกำหนัดเป็นธรรมดา มีความดับเป็นธรรมดา แล่นไปในนิพพานซึ่งเป็นที่ดับรูปได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาไว เพราะอรรถว่าตรึกตรอง พิจารณา ไตร่ตรอง คือทำให้แจ้งซึ่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ว่าเป็นอนิจจัง ฯลฯ มีความดับเป็นธรรมดา แล่นไปในนิพพานซึ่งเป็นที่ดับรูปได้ไว.


              ปัญญาคมกล้าเป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญาคมกล้า เพราะอรรถว่าตัดกิเลสทั้งหลายได้ไว.
              ชื่อว่าปัญญาคมกล้า เพราะอรรถว่ายังกามวิตกที่เกิดขึ้นให้อยู่ทับไม่ได้ ยังพยาปาทวิตกที่เกิดขึ้น วิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นบาปอกุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นๆ ราคะที่เกิดขึ้น โทสะ โมหะ ความโกรธ ผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ มารยา โอ้อวด หัวดื้อ แข่งดี ถือตัว ดูหมิ่นท่าน มัวเมา เลินเล่อที่เกิดขึ้น กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง กรรมเครื่องไปสู่ภพทั้งปวงให้อยู่ทับไม่ได้ คือละบรรเทาทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี.
              ชื่อว่าปัญญาคมกล้า เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องบรรลุคือทำให้แจ้ง ถูกต้องอริยมรรค ๔ สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ และอภิญญา ๖ ได้ในอาสนะเดียว.

              ปัญญาเป็นเครื่องทำลายกิเลสเป็นไฉน? ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องทำลายกิเลส เพราะอรรถว่าบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มากด้วยความตื่นเต้น มากด้วยความสะดุ้ง, มากด้วยความกระสัน, มากด้วยความไม่ยินดี, มากด้วยความไม่ยินดียิ่ง, เบือนหน้าไม่ยินดีในสังขารทั้งปวง, ย่อมแทงตลอด ย่อมทำลายกองโลภะที่ไม่เคยแทงตลอด ไม่เคยทำลายในสังขารทั้งปวง.
              ชื่อว่าปัญญาเป็นเครื่องทำลายกิเลส เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องแทงตลอด, เป็นเครื่องทำลาย กองโทสะ, กองโมหะ, ความโกรธ, ผูกโกรธไว้ ฯลฯ กรรมเครื่องไปสู่ภพทั้งปวงที่ไม่เคยแทงตลอด ไม่เคยทำลาย.
              บทว่า ส สพฺพธมฺเมสุ วิเสนิภูโต ยํกิญฺจิ ทิฏฺฐํว สุตํ มุตํ วา ความว่า ผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดินนั้น คือพระขีณาสพชื่อว่าเป็นผู้กำจัดเสนา เพราะความเป็นผู้ยังเสนามารในธรรมทั้งปวงเหล่านั้น รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่ทราบอย่างใดอย่างหนึ่งให้พินาศตั้งอยู่.


              บทว่า ตเมว ทสฺสึ ความว่า ซึ่งบุคคลนั้นนั่นแหละ ผู้เห็นความหมดจด.
              บทว่า วิวฏํ จรนฺตํ ความว่า ผู้ประพฤติเปิดเผย เพราะปราศจากเครื่องปกปิดคือตัณหาเป็นต้น.
              บทว่า เกนีธ โลกสฺมึ วิกปฺปเยยฺย ความว่า ใครๆ ในโลกนี้พึงกำหนด ด้วยกิเลสอะไรเล่า? คือด้วยความกำหนดด้วยตัณหา หรือด้วยความกำหนดด้วยทิฏฐิ หรือด้วยกิเลสที่กล่าวแล้วในก่อนมีราคะเป็นต้น เพราะละกิเลสเหล่านั้นได้แล้ว.
              ในคาถา ๔ คาถาว่า กามา เต ปฐมา เสนา เป็นต้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้
              เพราะกิเลสกามทั้งหลายทำเหล่าสัตว์ผู้ครองเรือนให้หลง อยู่ในวัตถุกามทั้งหลายแต่ต้นเทียว ความไม่ยินดีในเสนาสนะที่สงัด หรือในธรรมที่เป็นกุศลอันยิ่งอื่นๆ ย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ผู้ครอบงำกิเลสเหล่านั้นเข้าถึงความเป็นบรรพชิต,
              สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส บรรพชิตแลทำความยินดียิ่งได้ยาก. ฉะนั้น ความหิวและความกระหายย่อมเบียดเบียนบรรพชิตเหล่านั้น เพราะมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เมื่อถูกความหิวและความกระหายเบียดเบียน ตัณหาในการแสวงหาย่อมทำจิตให้ลำบาก.

              ลำดับนั้น ความหดหู่และความง่วงเหงาย่อมเยี่ยมกรายผู้มีใจลำบากเหล่านั้น. ต่อนั้น ความกลัวที่รู้กันว่าความหวาดสะดุ้ง ย่อมเกิดแก่ผู้ที่ยังไม่บรรลุคุณวิเศษ. ผู้อยู่ในเสนาสนะในป่าและหมู่ไม้ที่เกิดกลิ่นเหม็น เมื่อเขาเหล่านั้นไม่ไว้ใจหวาดระแวง ทำใจให้ยินดีรสวิเวกอยู่ ย่อมเกิดความสงสัยในปริยัติว่า ทางนี้จะพึงมีหรือหนอ. เมื่อบรรเทาความสงสัยนั้นได้ ความถือตัว ลบหลู่คุณท่านและหัวดื้อ ย่อมเกิด. เพราะบรรลุคุณวิเศษมีประมาณน้อย. เมื่อบรรเทาความถือตัว ลบหลู่คุณท่านและหัวดื้อแม้เหล่านั้นได้. ลาภสักการะและความสรรเสริญย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยการบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งกว่านั้น. ผู้ที่หมกมุ่นอยู่ในลาภเป็นต้น ประกาศธรรมปฏิรูปได้รับยศที่ผิดแล้วดำรงอยู่ในยศนั้น ย่อมยกตนข่มท่านด้วยชาติเป็นต้น.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 19:26:18 »



                        เอวเมตํ ทสวิธํ เสนํ อุทฺทิสิตฺวา ยถา (๔) สา กณฺหธมฺม-
              สมนฺนาคตตฺตา กณฺหสฺส นมุจิโน อุปการาย สํวตฺตติ ตสฺมา [๕]
              นํ ตว เสนาติ นิทฺทิสนฺโต อาห เอสา นมุจิ เต เสนา กณฺหสฺสาภิปฺ-
              ปหารินีติ ฯ
# ๔. ม. ยสฺมา ฯ ๕. ม. เอตฺถนฺตเร นนฺติ ทิสฺสติ ฯ
              พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงกองทัพ ๑๐ อย่างนี้ อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงชี้แจงว่า เหมือนความเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดำนั้น ย่อมเป็นไปเพื่ออุปการะแก่ผู้กำจัดผู้มีธรรมดำ ฉะนั้นจึงเป็นกองทัพของท่าน ดังนี้จึงตรัสว่า เอสา นมุจิ เต เสนา กณฺหสฺสาภิปฺปหาริณี ดังนี้.

              บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิปฺปหาริณี ความว่า เป็นผู้ฆ่าคือบดขยี้ กระทำอันตรายสมณพราหมณ์ทั้งหลาย.
              บทว่า น นํ อสูโร ชินาติ เชตฺวา จ ลภเต สุขํ ความว่า คนไม่กล้าคือคนผู้เพ่งเล็งกายและชีวิต ย่อมชนะกองทัพมารอย่างนี้ไม่ได้ แต่คนกล้าย่อมชนะได้ และครั้นชนะแล้วย่อมได้สุขเกิดแต่มรรคและสุขเกิดแต่ผล.
              บทว่า ยโต จตูหิ อริยมคฺเคหิ ความว่า ด้วยมรรค ๔ กล่าวคือเครื่องถึงพระนิพพาน ซึ่งไม่มีโทษในกาลใด.
              บทว่า มารเสนา ความว่า กองทัพของมารผู้ทำตามคำสั่ง ได้แก่กิเลส.

              บทว่า ปฏิเสนิกรา ความว่า กระทำความเป็นปฏิปักษ์.
              บทว่า ชิตา จ ความว่า ให้ถึงซึ่งความปราชัย.
              บทว่า ปราชิตา จ ความว่า ข่มขี่.
              บทว่า ภคฺคา ความว่า ทำลาย.
              บทว่า วิปฺปลุตฺตา ความว่า ทำให้แหลกละเอียด.
              บทว่า ปรมฺมุขา ความว่า ให้ถึงความหลบหน้า.

              บทว่า วิเสนิภูโต ความว่า เป็นผู้ปราศจากกิเลสตั้งอยู่.
              บทว่า โวทานทสฺสี ความว่า ผู้เห็นพระนิพพานอันเป็นอารมณ์ของโวทาน.
              บทว่า ตานิ ฉทนานิ ความว่า เครื่องปิดบังคือกิเลสมีตัณหาเป็นต้นเหล่านั้น.
              บทว่า วิวฏานิ ความว่า ทำให้ปรากฏ.
              บทว่า วิทฺธํสิตานิ ความว่า นำออกไปจากฐานที่ตั้งอยู่.
              บทว่า อุคฺฆาติตานิ ความว่า เพิกขึ้น.
              บทว่า สมุคฺฆาติตานิ ความว่า เพิกขึ้นเป็นพิเศษ.

              คาถาว่า น กปฺปยนฺติ เป็นต้น มีการเชื่อมความและเนื้อความดังต่อไปนี้.
              จะกล่าวบางอย่างโดยยิ่ง ก็สัตบุรุษเหล่านั้นคือเช่นนั้น ย่อมไม่กำหนดด้วยความกำหนด ๒ อย่างอย่างใดอย่างหนึ่ง และย่อมไม่ทำตัณหาและทิฏฐิไว้ในเบื้องหน้า ด้วยการทำไว้ในเบื้องหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง สัตบุรุษเหล่านั้นย่อมไม่กล่าวอกิริยทิฏฐิและสัสสตทิฏฐิ ซึ่งมิใช่ ความหมดจดส่วนเดียวกัน ว่าเป็นความหมดจดส่วนเดียว เพราะเป็นผู้บรรลุความหมดจดส่วนเดียวซึ่งเป็นปรมัตถ์.
              บทว่า อาทานคนฺถํ คถิตํ วิสชฺช ความว่า ละคือตัดคันถะ เป็นเครื่องยึดมั่น ๔ อย่าง คือเกี่ยวเนื่องในจิตตสันดานของตน เพราะเป็นผู้ยึดมั่นธรรมมีรูปเป็นต้น ด้วยศัสตราคืออริยมรรค.

              บทที่เหลือปรากฏแล้วนั้นเทียว.
              บทว่า อจฺจนฺตสุทฺธึ ความว่า ความหมดจดส่วนเดียวคืออย่างยิ่ง.
              บทว่า สํสารสุทฺธึ ความว่า ความหมดจดจากสงสาร.
              บทว่า อกิริทิฏฺฐิ ความว่า อกิริยทิฏฐิว่า ผู้กระทำบาป ชื่อว่าไม่เป็นอันกระทำ.
              บทว่า สสฺสตวาทํ ความว่า ไม่กล่าว คือไม่พูดว่า เที่ยง ยั่งยืน แน่นอน.


              บทว่า คนฺถา ความว่า ชื่อว่าผูกพัน เพราะอรรถว่าผูกพันนามกาย คือสืบต่อในวัฏฏะด้วยสามารถจุติและปฏิสนธิ. อภิชฌานั้นด้วย เป็นเครื่องผูกพันด้วยสามารถการสืบต่อนามกายด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่าเครื่องผูกพันทางกายคืออภิชฌา. ชื่อว่าพยาบาท เพราะอรรถว่ายังประโยชน์เกื้อกูลและความสุขให้ถึงความพินาศ. พยาบาทนั้นด้วย เป็นเครื่องผูกพันโดยนัยที่กล่าวแล้วด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่า เครื่องผูกพันทางกายคือพยาบาท.
              บทว่า สีลพฺพตปรามาโส ความว่า ความลูบคลำโดยประการอื่นว่า หมดจดด้วยศีล หมดจดด้วยวัตร ของเหล่าสมณพราหมณ์นอกศาสนานี้.


              บทว่า อิทํสจฺจาภินิเวโส ความว่า การห้ามแม้ภาษิตของพระสัพพัญญูเสียแล้ว ยึดมั่นโดยอาการนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ ชื่อว่าความยึดมั่นว่าสิ่งนี้จริง.
              บทว่า อตฺตโน ทิฏฺฐิยา ราโค ความว่า ฉันทราคะด้วยทิฏฐิที่ตนยึดมั่นถือเอา.
              บทว่า ปรวาเทสุ อาฆาโต ความว่า ความโกรธในเพราะคำของคนอื่น.
              บทว่า อปฺปจฺจโย ความว่า อาการที่ไม่ยินดี.
              บทว่า อตฺตโน สีลํ วา ความว่า ศีลมีโคศีลเป็นต้นที่ตนสมาทานแล้วก็ดี.

              บทว่า อตฺตโน ทิฏฺฐิ ความว่า ทิฏฐิที่ตนถือคือลูบคลำ.
              บทว่า เตหิ คนฺเถหิ ความว่า ด้วยกิเลสเครื่องสืบต่อนามกายที่กล่าวแล้วเหล่านี้.
              บทว่า รูปํ อาทิยนฺติ ความว่า ย่อมถือ คือจับรูปารมณ์ซึ่งมีสมุฏฐาน ๔.
              บทว่า อุปาทิยนฺติ ความว่า เข้าไปถือ จับด้วยตัณหา ถือมั่นด้วยทิฏฐิ ยึดมั่นด้วยมานะ.
              บทว่า วฏฺฏํ ความว่า วัฏฏะที่เป็นไปในภูมิ ๓.
              บทว่า คนฺเถ ความว่า กิเลสเครื่องผูกพัน.
              บทว่า โวสฺสชฺชิตฺวา ความว่า สละโดยชอบ.

              บทว่า คถิเต ความว่า กิเลสเครื่องผูกพัน.
              บทว่า คนฺถิเต ความว่า ที่ผูกพันด้วยกิเลสเครื่องผูกพัน.
              บทว่า วิพนฺเธ ความว่า ที่ผูกพันเป็นพิเศษ.
              บทว่า อาพนฺเธ ความว่า ที่ผูกพันหลายอย่าง.
              บทว่า ปลิพุทฺเธ ความว่า กิเลสเครื่องผูกพันที่พ้นไม่ได้.
              บทว่า โผฏยิตฺวา ความว่า ทำลายเครื่องผูกพัน คือตัณหามานะทิฏฐิ.
              บทว่า วิสชฺช ความว่า สละ.

              ก็การนำกิเลสเครื่องผูกพัน ๔ อย่างเหล่านี้มาตามลำดับกิเลสก็ดี ตามลำดับมรรคก็ดี ย่อมควรตามลำดับกิเลส. กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคืออภิชฌา ละได้ด้วยอรหัตตมรรค. กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคือพยาบาท ละได้ด้วยอนาคามิมรรค. กิเลสเครื่องผูกพันทางกาย คือสีลัพพตปรามาส กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคือความยึดมั่นว่าสิ่งนี้จริง ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ตามลำดับมรรค.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 6.0.2 Firefox 6.0.2


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 26 กันยายน 2554 20:34:48 »



              กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคือสีลัพพตปรามาส กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคือความยึดมั่นว่าสิ่งนี้จริง ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค. กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคือพยาบาท ละได้ด้วยอนาคามิมรรค. กิเลสเครื่องผูกพันทางกายคืออภิชฌา ละได้ด้วยอรหัตตมรรค ดังนี้แล.
              กิเลสเครื่องผูกพัน ๔ อย่างเหล่านี้มีอยู่แก่ผู้ใด ย่อมผูกพันคือสืบต่อผู้นั้นไว้ในวัฏฏะ ด้วยสามารถจุติและปฏิสนธิ ดังนั้นจึงชื่อว่ากิเลสเครื่องผูกพัน. กิเลสเครื่องผูกพันเหล่านั้นมี ๔ ประเภท สัตว์ทั้งหลายย่อมเพ่งเล็งด้วยอภิชฌานี้คือตัวอภิชฌาเองเพ่งเล็งก็ตาม อภิชฌานี้เป็นเพียงความเพ่งเล็งเท่านั้นก็ตาม ดังนั้นจึงชื่อว่าอภิชฌา คือความโลภนั่นเอง. ชื่อว่ากิเลสเครื่องผูกพันทางกาย เพราะอรรถว่าผูกพันนามกาย คือสืบต่อไว้ในวัฏฏะด้วยสามารถจุติและปฏิสนธิ.
              ชื่อว่าพยาบาท เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องที่จิตถึงความพินาศ คือถึงความเป็นจิตเสีย หรือทำอาจาระคือวินัย รูปสมบัติ ประโยชน์เกื้อกูลและความสุขเป็นต้น ให้ถึงความพินาศ.
              ความลูบคลำว่าหมดจดด้วยศีล หมดจดด้วยวัตรของเหล่าสมณพราหมณ์นอกศาสนานี้ ชื่อว่าสีลัพพตปรามาส. ชื่อว่าความยึดมั่นว่าสิ่งนี้จริง เพราะอรรถว่าห้ามแม้ภาษิตของพระสัพพัญญูเสียแล้วยึดมั่นโดยอาการเป็นต้นว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ.

              พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงสิ่งที่ปรุงแต่งมีวอเป็นต้น เป็นเครื่องเปรียบเทียบในการแยกแยะกิเลสเครื่องผูกพันทั้งหลาย จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ยถา วยฺหํ วา ดังนี้.
              บทว่า น ชเนนฺติ ความว่า ไม่ให้เกิดขึ้น.
              บทว่า น สญฺชเนนฺติ ความว่า ไม่ให้บังเกิด. ท่านขยายบทว่า นาภินิพฺพตฺเตนฺติ ด้วยอุปสรรค.
              บทว่า น สญฺชเนนฺติ ความว่า ไม่ยังลักษณะที่เกิดขึ้นให้บังเกิด.
              บทว่า นาภินิพฺพตฺเตนฺติ ท่านกล่าวหมายเอาลักษณะที่เป็นไป.

              พระอรหันต์ชื่อว่าล่วงแดนแล้ว เพราะล่วงแดนคือกิเลส ๔, และชื่อว่าพราหมณ์ เพราะลอยบาปเสียแล้ว และพระอรหันต์นั้นผู้เป็นอย่างนี้ รู้ด้วยปรจิตตญาณและปุพเพนิวาสญาณ หรือเห็นด้วยมังสจักษุและทิพยจักษุ จึงไม่มีความยึดถืออะไรๆ. ท่านอธิบายว่า ตั้งมั่น.
              อนึ่ง พระอรหันต์นั้น ชื่อว่ามิได้มีความกำหนัดในกามคุณเป็นที่กำหนัด เพราะไม่มีกามราคะ. ชื่อว่ามิได้กำหนัดในสมาบัติเป็นที่คลายกำหนัด เพราะไม่มีรูปราคะและอรูปราคะ. เพราะพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างนี้ จึงไม่มีความนับถืออะไรๆ ในที่นี้ว่า สิ่งนี้ยอดเยี่ยม.
              พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยเอกคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.

              บทว่า จตสฺโส สีมาโย ความว่า เขตที่กำหนด ๔ อย่าง.
              บทว่า ทิฏฺฐานุสโย ความว่า ทิฏฐินั้นด้วย เป็นอนุสัยเพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ด้วย ดังนี้จึงชื่อว่าทิฏฐานุสัย แม้ในอนุสัยคือวิจิกิจฉาเป็นต้นก็นัยนี้แหละ.
              ชื่อว่าอนุสัย ด้วยอรรถว่าอะไร? ด้วยอรรถว่านอนเนื่อง.
              ชื่อว่ามีอรรถว่านอนเนื่องนี้ เป็นอย่างไร? มีอรรถว่าละไม่ได้. เพราะกิเลสเหล่านี้ ชื่อว่าย่อมนอนเนื่องในสันดานของสัตว์นั้นๆ เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ จึงเรียกว่าอนุสัย.
              บทว่า อนุเสนฺติ ความว่า ได้เหตุที่สมควรย่อมเกิดขึ้น.

              หากจะมีคำถามว่า อาการที่ละไม่ได้ ชื่อว่ามีอรรถว่านอนเนื่อง ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า อาการที่ละไม่ได้ เกิดขึ้น ฉะนั้น อนุสัยทั้งหลายจึงไม่เกิดขึ้น.
              ในข้อนั้นมีคำตอบดังนี้ อาการที่ยังละไม่ได้ ไม่ใช่อนุสัย แต่กิเลสที่มีกำลัง ท่านเรียกว่า อนุสัย เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ อนุสัยที่เป็นจิตตสัมปยุต เป็นไปกับด้วยอารมณ์ เป็นไปกับด้วยเหตุเพราะอรรถว่าเป็นไปกับด้วยปัจจัย เป็นอกุศลโดยส่วนเดียว เป็นอดีตบ้าง เป็นอนาคตบ้าง เป็นปัจจุบันบ้าง ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่าเกิดขึ้น นี้เป็นประมาณในข้อนั้น.
              ในอภิสมยกถา คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ท่านถามก่อนว่า ละกิเลสที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้อย่างไร ดังนี้แล้วกล่าวว่า ผู้มีกำลังย่อมละอนุสัยได้ เพราะอนุสัยทั้งหลายมีความเป็นปัจจุบัน.

              ในบทภาชนะแห่งโมหะคัมภีร์ธัมมสังคณี ท่านกล่าวความที่โมหะเกิดขึ้นกับอกุศลจิตว่า อนุสัยคืออวิชชา การครอบงำคืออวิชชา ลิ่มคือวิชชา โมหะเป็นอกุศลมูล โมหะนี้มีในสมัยนั้น.
              ในคัมภีร์กถาวัตถุ ท่านปฏิเสธวาทะทั้งหมดว่า อนุสัยเป็นอัพยากฤต อนุสัยเป็นอเหตุกะ อนุสัยเป็นจิตตวิปปยุต. ในอุปปัชชนวาระบางแห่งแห่งมหาวาร ๗ ในอนุสยยมก ท่านกล่าวคำเป็นต้นว่า อนุสัยคือกามราคะเกิดขึ้นแก่ผู้ใด อนุสัยคือปฏิฆะก็เกิดขึ้นแก่ผู้นั้นใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คำที่ท่านกล่าวว่า บทว่า อนุเสนฺติ ความว่าได้เหตุที่สมควรย่อมเกิดขึ้นนั้น พึงทราบว่า ท่านกล่าวดีแล้ว โดยประมาณที่เป็นแบบแผนนี้.
              คำที่ท่านกล่าวแล้วว่า อนุสัยที่เป็นจิตตสัมปยุตเป็นไปกับด้วยอารมณ์เป็นต้น แม้นั้นก็เป็นอันท่านกล่าวดีแล้วทีเดียว. ในข้อนี้พึงตกลงว่า ก็ชื่อว่าอนุสัยนี้สำเร็จแล้ว เป็นอกุศลธรรมที่สัมปยุตด้วยจิต.


              บรรดาอนุสัยเหล่านั้นทิฏฐานุสัย ท่านกล่าวไว้ในอนุสัยที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔.
              วิจิกิจฉานุสัย กล่าวไว้ในอนุสัยที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา.
              อวิชชานุสัย กล่าวไว้ในอกุศลจิต ๑๒ ดวง ด้วยสามารถแห่งสหชาตธรรมและด้วยสามารถแห่งอารมณ์. ทิฏฐิวิจิกิจฉาและโมหะแม้ทั้ง ๓ กล่าวไว้ในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ที่เหลือ ด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
              ก็ในที่นี้ กามราคานุสัย กล่าวไว้ในจิตที่สหรคตด้วยโลภะทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งสหชาตธรรมและด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
              โลภะที่เกิดขึ้น กล่าวไว้ในธรรมเป็นกามาวจรที่เหลือ ซึ่งเป็นที่ชอบใจด้วยสามารถแห่งอารมณ์นั่นแล.

              ปฏิฆานุสัย กล่าวไว้ในจิตที่สหรคตด้วยโทมนัส ด้วยสามารถแห่งสหชาตธรรมและด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
              โทสะที่เกิดขึ้น กล่าวไว้ในธรรมเป็นกามาวจรที่เหลือ ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจ ด้วยสามารถแห่งอารมณ์นั่นแล.
              มานานุสัย กล่าวไว้ในจิตที่วิปปยุตด้วยทิฏฐิและสหรคตด้วยโลภะ ด้วยสามารถแห่งสหชาตธรรมและด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
              มานะที่เกิดขึ้น กล่าวไว้ในธรรมเป็นกามาวจรที่เหลือ และในธรรมเป็นรูปาวจรและอรูปาวจรซึ่งเว้นจากทุกขเวทนา ด้วยสามารถแห่งอารมณ์นั่นแล.


              ภวราคานุสัย แม้เมื่อเกิดขึ้น ก็กล่าวไว้ในจิตที่วิปปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ด้วยสามารถแห่งสหชาตธรรม.
              แต่โลภะที่เกิดขึ้น กล่าวไว้ในธรรมเป็นรูปารูปาวจระด้วยสามารถแห่งอารมณ์นั่นแล.
              บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐานุสโย ได้แก่ ทิฏฐิ ๖๒ อย่าง.
              บทว่า วิจิกิจฺฉานุสโย ได้แก่ วิจิกิจฉามีวัตถุ ๘.
              บทว่า ตเทกฏฺฐา จ กิเลสา ความว่า ตั้งอยู่โดยความเป็นอันเดียวกัน ด้วยสามารถเกิดร่วมกันและตั้งอยู่แห่งเดียวกัน คือ ด้วยสามารถทิฏฐิและวิจิกิจฉาเกิดร่วมกันและตั้งอยู่แห่งเดียวกัน.
              บทว่า มานานุสโย ได้แก่ มานะ ๙ อย่าง.

              บทว่า ปรจิตฺตญาเณน วา ญตฺวา ความว่า รู้ด้วยปัญญาเครื่องรู้วาระจิตของผู้อื่น. ท่านอธิบายว่า รู้ด้วยเจโตปริยญาณ.
              บทว่า ปุพฺเพ นิวาสานุสฺสติญาเณน วา ความว่า รู้ด้วยญาณเครื่องระลึกถึงขันธ์ที่อยู่อาศัยในอดีต.
              บทว่า มํสจกฺขุนา วา ได้แก่ ด้วยจักษุปกติ (ตาธรรมดา).
              บทว่า ทิพฺพจกฺขุนา วา ความว่า เห็นด้วยทิพยจักษุ ซึ่งคล้ายทิพย์หรืออาศัยทิพยวิหาร.
              บทว่า ราครตฺตา ความว่า ยินดีด้วยราคะ.


              บทว่า เย ปญฺจสุ กามคุเณสุ ความว่า ชนเหล่าใดกำหนัดในส่วนคือวัตถุกามมีรูปเป็นต้น ๕ อย่าง.
              บทว่า วิราครตฺตา ความว่า กำหนัดยิ่ง คือติดแน่นในรูปสมาบัติและอรูปสมาบัติ กล่าวคือวิราคะ.
              บทว่า ยโต กามราโค จ ความว่า ในกาลใด กามราคะ. แม้ในรูปภพและอรูปภพก็นัยนี้แหละ.

              สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทส             
              อรรถกถา
สุทธัฏฐกสุตตนิทเทส             
              จบสูตรที่ ๔              
              -----------------------------------------------------
             
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ ๔. สุทธัฏฐกสุตตนิทเทส จบ.



:http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=29.0&i=109&p=3
: http://agaligohome.com/index.php?topic=4868.msg13477#msg13477
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

บันทึกการเข้า
คำค้น: มรรคญาณ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.735 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 19 กุมภาพันธ์ 2567 00:06:07