TDRI ประเมินผลงานรัฐบาลประยุทธ์ 2 และข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลใหม่
<span class="submitted-by">Submitted on Sat, 2023-08-12 16:06</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความ "การประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 และข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลใหม่" ชี้รัฐบาลประยุทธ์ดำเนินนโยบายหลายด้านที่ไม่ประสบความสำเร็จ-ก่อให้เกิดปัญหา ทั้งการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางแทนที่จะกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น การใช้กลไกของระบบราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นหลักในการขับเคลื่อนนโยบายทั้งที่มีประสิทธิภาพต่ำ ตลอดจนการที่นโยบายของรัฐบาลได้รับอิทธิพลจากกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม นโยบายเหล่านี้สมควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งยกเลิกไปโดยรัฐบาลใหม่</p>
<p><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53110864438_5fd44b85d9_o_d.jpg" /></p>
<p>เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทความ "การประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 และข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลใหม่" โดยคณะผู้ประเมินจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ได้ประเมินนโยบาย 2 ด้าน 10 นโยบาย ส่งต่อรัฐบาลใหม่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้</p>
<h2><span style="color:#3498db;">1. ผลงานของรัฐบาลด้านความ “มั่งคั่ง”</span></h2>
<p><strong>การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)</strong></p>
<p>การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve industries) ต่อเนื่องจากร้ฐบาลประยุทธ์ 1 โดยโครงการที่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญมีหลายโครงการ เช่น การพัฒนากำลังคนระดับสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์แม่นยำ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนมายังพื้นที่ EEC โดยรวม ในขณะที่หลายโครงการยังไม่มีความคืบหน้านัก เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve)</p>
<p>ในส่วนของการพัฒนากำลังคนระดับสูง สำนักงาน EEC ได้สนับสนุนการพัฒนากำลังคนที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ โดยส่วนที่ปรากฏว่ามีความก้าวหน้ามากคือ หลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น (Type B) ซึ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง โดยสถานประกอบการได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไม่เกินร้อยละ 50 และสามารถนำค่าใช้จ่ายในส่วนของตนไปลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2.5 เท่า ทั้งนี้จนถึงเดือนกรกฎาคม 2565 มีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมกว่า 9.6 พันคน</p>
<p>ในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์แม่นยำ สำนักงาน EEC ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ในการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Whole Genome Sequencing) คนไทยจำนวน 5 หมื่นคนเพื่อสร้างฐานข้อมูลทางพันธุกรรมของคนไทยเพื่อการศึกษาวิจัยและสนับสนุนการพัฒนาแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยจนถึงเดือนมีนาคม 2566 มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมไปแล้วกว่า 1 หมื่นตัวอย่าง</p>
<p>อย่างไรก็ตาม มีหลายโครงการที่ยังไม่มีความคืบหน้านัก ทั้งที่มีความสำคัญสูงในระดับเป็น “เรือธง” เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (Flagship project) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางขนส่งทางบกและทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้มาก</p>
<p>โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินระหว่างสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา ได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2562 และเดิมคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2567 ต่อมาเลื่อนการเปิดเป็นปี 2569 และล่าสุดเลื่อนการเปิดไปอีกถึงปี 2571 โดยยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้างเลย ซึ่งช้ากว่ากำหนดเดิมไปอย่างน้อย 4 ปี และช้ากว่าการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงจีน-ลาว ซึ่งได้เริ่มการก่อสร้างเมื่อปี 2559 และสามารถเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้ว แม้ช่วงเวลาในการก่อสร้างมีปัญหาการระบาดของโควิด-19 ก็ตาม</p>
<p>เช่นเดียวกันกับโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเดิมตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการเฟสแรกได้ในปี 2567 ก็เลื่อนออกมาเป็นปี 2570 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F ก็ก่อสร้างล่าช้าจนไม่น่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดในปี 2568 อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว และคาดว่าน่าจะเปิดท่าเรือก๊าซ (ส่วนที่ 1) ได้ภายในปี 2570 ตามที่กำหนด</p>
<p>ในด้านการดึงดูดการลงทุน โดยภาพรวมพื้นที่ EEC สามารถดึงดูดการลงทุนได้มากจนอาจเกิดการกระจุกตัวของการลงทุนในพื้นที่เมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งประทศ โดยในช่วงปี 2562-2565 มีมูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC รวม 8.7 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 45 ของการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมทั้งหมดของบีโอไอในช่วงเวลาดังกล่าว</p>
<p>อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ยังเกิดขึ้นไม่มากนัก โดยในช่วงปี 2562-2565 ประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งในและนอกพื้นที่ EEC 1.2 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 61ของการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมทั้งหมดของบีโอไอ) อย่างไรก็ตามการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายกว่าร้อยละ 80 ยังเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม (Existing S-Curve) ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 24) ยานยนต์และชิ้นส่วน (ร้อยละ 22) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 15) การเกษตรและแปรรูปอาหาร (ร้อยละ15) ขณะที่การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ยังมีสัดส่วนต่ำมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (ร้อยละ 0.3) และอุตสาหกรรมอากาศยาน (ร้อยละ 0.8) เราจึงอาจกล่าวได้ว่า EEC ช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ให้แก่ประเทศไทย</p>
<p>รัฐบาลใหม่ควรสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ EEC ไปต่อเนื่อง แต่ควรทบทวนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยหากจะมีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ก็ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศโดยดำเนินการอย่างโปร่งใส รัฐบาลยังควรยกระดับการพัฒนากำลังคนทักษะสูง โดยให้เงินอุดหนุนบางส่วนในการฝึกอบรมแก่สถานประกอบการ และกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐในพื้นที่ร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในสาขาที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรส่วนใหญ่ในปัจจุบันกระจุกตัวในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต</p>
<p>นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ควรเร่งแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ EEC อย่างจริงจัง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างรับผิดชอบและสอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใช้ฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องจนเกิดประสิทธิผล</p>
<p>ที่สำคัญ รัฐบาลควรใช้การพัฒนาพื้นที่ EEC เป็นต้นแบบในการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบในการออกใบอนุญาตต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน และขยายผลไปสู่การปฏิรูปกฎระเบียบในการประกอบธุรกิจของประเทศในวงกว้าง</p>
<p><strong>การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม</strong></p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้มีลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมต่อเนื่องจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 ทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภูมิภาคอื่นๆ แม้ว่าสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 จะทำให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า ทั้งการอนุมัติโครงการและการก่อสร้าง แต่รัฐบาลก็สามารถผลักดันโครงการบางส่วนให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เริ่มเปิดให้บริการทั้งสายสีแดงและสายสีเหลือง รวมถึงสายสีชมพูที่กำลังจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ และการอนุมัติเส้นทางรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางได้แก่เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย และบ้านไผ่-นครพนม</p>
<p>อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่สำคัญอีกอย่างน้อย 4 โครงการดังต่อไปนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้</p>
<p>1. การก่อสร้างรถไฟทางคู่ ซึ่งเกิดความล่าช้ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างทางช่วงมาบกระเบา-จิระ ซึ่งทำให้เส้นทางรถไฟทางคู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เสร็จสิ้นไปมากแล้วไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ
2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเกิดความล่าช้าในการประมูล นอกจากนี้การดำเนินงานให้เกิดตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วมของระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑลยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าโดยสารราคาแพง และระบบขนส่งมวลชนที่ลงทุนไปไม่ได้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า
3. โครงการระบบขนส่งมวลชนในส่วนภูมิภาค ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น รวมทั้งโครงการรถรางในจังหวัดขอนแก่นที่ภาคธุรกิจและเทศบาลหลายแห่งได้พยายามผลักดันมานาน เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในส่วนของงบลงทุน
4. โครงการระบบขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ที่ยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้างเลย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น</p>
<p>รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการดังต่อไปนี้ ประการแรก ควรเร่งรัดการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เร่งรัดการจัดซื้อหัวรถจักรและขบวนรถเพื่อให้บริการรถไฟสำหรับขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และเร่งรัดการออกกฎหมายการขนส่งทางราง เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมให้บริการเดินรถไฟได้</p>
<p>ประการที่สอง ควรเร่งแก้ไขปัญหาการประมูลสัญญาสัมปทานสายสีส้ม และเร่งรัดให้เกิดค่าโดยสารร่วมทั้งระบบรถไฟฟ้าและรถโดยสารประจำทาง เพื่อให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายน้อยลงในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก</p>
<p>ประการที่สาม ควรเร่งแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค กระจายอำนาจและสนับสนุนด้านการเงินให้ท้องถิ่นสามารถให้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ของตนได้</p>
<p><strong>การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล </strong></p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ประกาศให้ความสำคัญต่อการพัฒนา “เศรษฐกิจดิจิทัล” และ “บริการรัฐบาลดิจิทัล” ทั้งนี้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ปฏิรูปการบริหารจัดการของภาครัฐ และยกระดับทักษะของคนไทย ผลงานที่สำคัญของรัฐบาลประกอบไปด้วยการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับคือ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 และพ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ตลอดจนกฎหมายลำดับรองต่างๆ ซึ่งรวมถึง พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 และพ.ร.ฎ. จัดตั้งสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2566</p>
<p>การปรับปรุงกฎระเบียบดังกล่าวอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้อันดับ E-government Development Index (EDGI) ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอันดับที่ 73 ในปี 2561 เป็นอันดับที่ 57 ในปี 2563 และอันดับที่ 55 ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ที่ออกมาในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมนัก อาทิ</p>
<p>- การบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งออกมาในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 1 เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนได้ถูกเลื่อนออกไป 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี ทำให้สามารถบังคับใช้อย่างเต็มที่เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 จากเดิมที่ควรจะสามารถใช้ได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมาล่าช้า ทำให้การออกกฎหมายลำดับรองล่าช้าและสร้างความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมาย อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายของหน่วยงานรัฐเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังจัดทำ (ร่าง) พ.ร.ฎ. กำหนดลักษณะกิจการหรือหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ให้นำ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ 2562 บางส่วนมาใช้บังคับ ซึ่งหากประกาศใช้ จะกระทบต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งในภาครัฐและเอกชน
- การบังคับใช้ พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องรับคำขอและการติดต่อที่ประชาชนส่งมาทางอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนแจ้งผลการพิจารณา ออกใบอนุญาตหรือออกเอกสารอื่นๆ ให้ประชาชนทางอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีผลจำกัดอยู่มาก เนื่องจากมีหน่วยงานรัฐขนาดเล็กจำนวนมากที่ยังไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมาย
- พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 น่าจะไม่มีประสิทธิผลมากนักในการกำกับธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ก่อปัญหาผูกขาดและเอาเปรียบผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากมีข้อกำหนดเพียงบางประเด็น เช่น ให้แพลตฟอร์มดิจิทัลต้องแจ้งการประกอบธุรกิจให้หน่วยงานรัฐทราบ ตลอดจนแจ้งข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการ เป็นต้น ในขณะที่การกำกับดูแลอย่างเต็มรูปแบบต้องใช้ร่าง พ.ร.บ. เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน</p>
<p>นอกจากนี้ในช่วงของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการประชุมและการทำงานออนไลน์ในวงกว้าง ตลอดจนมีการใช้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ โดยเฉพาะ “พร้อมเพย์” ที่ได้พัฒนาขึ้นก่อนหน้าอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดให้มีแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” และ “เป๋าตัง” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในช่วงที่โควิด-19 ระบาด</p>
<p>อย่างไรก็ตาม บริการรัฐบาลดิจิทัลของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ประสบปัญหาที่หน่วยงานรัฐแต่ละแห่งต่างพัฒนาบริการของตนโดยไม่เชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น จึงไม่มีลักษณะของ One-stop service อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามพัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำหรับประชาชนทั่วไป และ “Bizportal” สำหรับธุรกิจขึ้นเป็นแกนกลาง แต่ก็ยังไม่สามารถบูรณาการบริการต่างๆ ของหน่วยงานรัฐทั้งหลายได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาจากการมีแอปพลิเคชันของภาครัฐจำนวนมากที่ใช้งานไม่ได้ หรือให้บริการซ้ำซ้อนกัน ซึ่งทำให้เกิดความสับสนของประชาชน การสำรวจเบื้องต้นพบว่า หน่วยงานภาครัฐได้พัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ ขึ้นมาถึงประมาณ 300 แอปพลิเคชัน ยิ่งไปกว่านั้นแอปพลิเคชันของหน่วยงานรัฐแห่งเดียวก็ยังให้ประชาชนลงทะเบียนซ้ำหลายรอบ ซึ่งทำให้เกิดภาระที่ไม่จำเป็น</p>
<p>รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการดังต่อไปนี้ หนึ่ง พัฒนาบริการรัฐบาลดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ด้วยการบูรณาการบริการของหน่วยงานรัฐทั้งหลายเข้าด้วยกัน โดยยึดประชาชนผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง สอง เร่งออก พ.ร.บ. เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถกำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างเต็มที่โดยเร็ว สาม เร่งพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยงานรัฐให้สามารถให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ประชาชน และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนตามที่กฎหมายกำหนด
<strong>การพัฒนาภาคเกษตร</strong></p>
<p>รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ปีที่ 1-3 (พ.ศ. 2562-2565) ระบุว่าการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรมเป็นหนึ่งใน 12 เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่นๆ ที่ผ่านมารัฐบาลประยุทธ์ 2 ให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรมากกว่าการพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร</p>
<p>โครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การช่วยเหลือเกษตรกร 6 โครงการ ได้แก่ โครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ปลูกพืช 5 ชนิด (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา และปาล์ม) และสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการทำนา ซึ่งใช้เงินงบประมาณรวม 158,626 ล้านบาท [1] ในปี 2565-2566 (สูงกว่างบประมาณกระทรวงเกษตรฯ 111,185 ล้านบาท) จุดแข็งของโครงการดังกล่าวคือ เกษตรกรที่ลงทะเบียนได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงเข้าบัญชีที่ธกส. ทำให้มีการรั่วไหลน้อย และน่าจะมีทุจริตน้อยกว่าโครงการจำนำข้าวทุกเม็ด เนื่องจากรัฐไม่ได้เข้าแทรกแซงการค้าสินค้าเกษตร นอกจากนี้เมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาประกัน รัฐก็ไม่ต้องจ่ายเงินช่วยเหลือในโครงการประกันรายได้ เช่น ในปี 2563/64 ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยให้ชาวสวนปาล์ม ส่วนปี 2564/65 และ 2565/66 ก็ไม่มีการชดเชยให้เกษตรกรสวนปาล์ม มันสำปะหลังและข้าวโพด</p>
<p>[1] เงินชดเชยจริงน่าจะต่ำกว่าวงเงินงบประมาณ เพราะราคามันสำปะหลัง ปาล์มและข้าวโพดสูงกว่าราคาประกัน นอกจากนี้ยังมีนโยบายคู่ขนานที่ให้สินเชื่อรวบรวมและเก็บสต๊อกแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ และการส่งออก อีก 29,622 ล้านบาทในปี 2565/66</p>
<p>อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวมีจุดอ่อนคือ ประการแรก มีเกษตรกรบางส่วนจดทะเบียนเกินโควตาที่รัฐบาลกำหนด เช่น โครงการประกันรายได้ชาวนาจะให้เงินชดเชยไม่เกิน 14-30 ไร่ต่อรายขึ้นกับประเภทข้าวที่ปลูก ในขณะที่โครงการสนับสนุนค่าบริการและพัฒนาคุณภาพข้าวจะให้เงินช่วยเหลือไม่เกิน 20 ไร่ เกษตรกรบางรายซึ่งมีที่ดินเกิน 20 ไร่จึงแตกครอบครัวเพื่อให้ได้การอุดหนุนเพิ่มขึ้น และมีบางคนนำที่ดินที่ใช้เพื่อการอื่นมาจดทะเบียน ทั้งนี้เพราะหน่วยงานรัฐไม่ได้ตรวจสอบอย่างจริงจัง ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาอภิปรายในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่ไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง จึงมีครัวเรือนเกษตรกรที่ได้รับการอุดหนุนมากเกินไป</p>
<p>ประการที่สอง มีการอุดหนุนชาวนา 2 โครงการที่ซ้ำซ้อนกันคือ โครงการประกันรายได้และโครงการสนับสนุนค่าบริหารและพัฒนาคุณภาพผลผลิต โดยการกำหนดราคาประกันของโครงการแรกรวมต้นทุนการผลิตและบวกกำไรให้ส่วนหนึ่งไปแล้ว แต่โครงการที่สองกลับเพิ่มเงินช่วยเหลือต้นทุนอีกไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งเกิดจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐต่างหาเสียงด้วยนโยบายที่ต่างกัน เมื่อมาเป็นรัฐบาลร่วมกัน จึงดำเนินการทั้งสองนโยบายตามที่หาเสียงโดยไม่ได้บูรณาการกัน ทำให้เกิดภาระการคลังสูงเกินความจำเป็น</p>
<p>ประการที่สาม เงินอุดหนุนเกษตรกรที่ปลูกพืช 5 ชนิดไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินแต่ใช้เงินนอกงบประมาณขนาดใหญ่ ซึ่งจะกลายเป็นภาระของประชาชนในอนาคต โดยรัฐบาลให้ ธกส. จ่ายไปก่อนเพื่อไม่ให้ปรากฏในตัวเลขหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นการผิดวินัยทางการคลัง</p>
<p>ประการสุดท้าย หากเงินอุดหนุนดังกล่าวทำให้เกษตรกรปรับปรุงผลิตภาพการผลิต ทั้งเกษตรกรและประเทศก็จะได้ประโยชน์ แต่ผลการวิจัยของทีดีอาร์ไอชี้ว่า การอุดหนุนเกษตรกรโดย “ไม่มีเงื่อนไข” ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับตัว ดังนั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยจึงไม่เพิ่มขึ้นและยังต่ำกว่าของกัมพูชา บังคลาเทศ ปากีสถาน เนปาล และอินเดีย</p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ มีนโยบายที่อาจช่วยพัฒนาผลิตภาพของภาคเกษตร 4 นโยบายคือ (ก) การฝึกอบรมพัฒนาการเรียนรู้และสร้างเครือข่าย young smart farmers ไม่ต่ำกว่า 18,215 ราย ซึ่งยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน (ข) การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่จำนวน 2,313 แปลง โดยสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายเล็ก ซึ่งอาจทำให้เกิดการประหยัดของขนาด (economies of scale) แต่มีข้อเสียที่เกษตรกรบางกลุ่มไม่ได้นำเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ได้รับแจกไปใช้ประโยชน์ (ค) การจัดทำระบบแผนที่เกษตร (agri-map) เพื่อให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากข้อมูลดิจิทัล ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยมียอดการเข้าดูเพียง 767,698 ครั้งนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2562 (ง) การพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มและส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวพันธุ์พื้นนุ่ม ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ เพราะชาวนาเขตลุ่มเจ้าพระยาจำนวนมากหันไปใช้พันธุ์ข้าวที่ลักลอบนำเข้าจากเวียดนาม ซึ่งให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าและเป็นพันธุ์อายุสั้น 90 วัน เหมาะกับการทำนาปรังในพื้นที่ที่เสี่ยงน้ำท่วม</p>
<p>รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นต่อการยกผลิตภาพของภาคเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางเดียวในการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดแรงงาน เพิ่มผลผลิตและลดการใช้น้ำและทรัพยากรต่างๆ ให้เกิดผลสำเร็จจริง โดยวิเคราะห์จุดอ่อนของโครงการต่างๆ ที่ดำเนินมาและแก้ไขจุดอ่อนเหล่านั้น แทนการริเริ่มโครงการใหม่โดยไม่ได้ถอดบทเรียนที่ผ่านมา นอกจากนี้การให้การอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาลควรใช้เงินงบประมาณอย่างโปร่งใส หลีกเลี่ยงการใช้เงินนอกงบประมาณ และกำหนดเงื่อนไขความช่วยเหลือของภาครัฐให้เกษตรกรต้องปรับปรุงผลิตภาพในการผลิต ใช้น้ำชลประทานอย่างประหยัด ลดการใช้สารเคมีและการเผาเศษวัสดุการเกษตรในไร่นา</p>
<p><strong>การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน</strong></p>
<p>การประเมินผลนโยบายด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 จะพิจารณาจาก 2 เป้าหมายหลักคือ การยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยวิเคราะห์จากรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล และการดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการในระหว่างปี 2562-2566</p>
<p>การยกระดับคุณภาพการศึกษาควรเริ่มจากการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้ทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรแกนกลางในปัจจุบันถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2551 หรือผ่านมาแล้วเกือบ 15 ปี จึงค่อนข้างล้าสมัยและไม่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยควรปรับไปสู่หลักสูตรอิงสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) ทั้งนี้ในช่วงแรก รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้พยายามพัฒนาหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว แต่ดำเนินการได้อย่างล่าช้า และภายหลังเมื่อมีการพัฒนากรอบหลักสูตรบางส่วนขึ้นมา ฝ่ายการเมืองกลับห้ามนำหลักสูตรไปใช้ ซึ่งทำให้ประเทศเสียโอกาสในการปรับหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย</p>
<p>ในด้านทรัพยากรทางการศึกษา รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรบางส่วนแต่ยังไม่รอบด้าน โดยในด้านบุคลากร คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ปรับเกณฑ์อัตรากำลังครูให้อิงกับภาระงานสอนมากขึ้น และปรับเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะที่เอื้อให้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียนมากขึ้น แต่ยังไม่ได้พัฒนาครูให้สามารถตอบโจทย์การสอนเพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 มากนัก ส่วนในด้านงบประมาณ รัฐบาลได้ปรับอัตราเงินอุดหนุนรายหัวให้สอดคล้องกับต้นทุนการจัดการศึกษาที่เพิ่มขึ้น เช่น ปรับค่าไฟฟ้าและค่าครองชีพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาตลอด 13 ปี อย่างไรก็ตาม การจัดสรรเงินอุดหนุนยังไม่สะท้อนต้นทุนการจัดการศึกษาให้แก่นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษที่สูงกว่าทั่วไป เช่น นักเรียนพิการเรียนรวม และเด็กด้อยโอกาส เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่มีนโยบายการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่ชัดเจน ซึ่งทำให้การจัดการศึกษามีต้นทุนสูง แต่มีปัญหาด้านคุณภาพ</p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังได้สานต่อนโยบาย “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” ที่ริเริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 1 โดยผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการศึกษา ซึ่งช่วยกระจายอำนาจให้โรงเรียนมีอิสระในการจัดการศึกษาและใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การดำเนินงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณบวกในบางด้าน เช่น ครูเห็นความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพมากขึ้น นักเรียนมีความสุขในการเรียนมากขึ้นและนักเรียนกลุ่มเรียนอ่อนเข้าใจในการเรียนมากขึ้น แม้ผลในการยกระดับผลสัมฤทธิ์โดยรวมจะยังไม่ชัดเจนนัก</p>
<p>ในด้านการป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน แม้กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศห้ามลงโทษนักเรียนด้วยความรุนแรงและยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน แต่ยังมีเหตุการณ์ครูกล้อนผมนักเรียนเพราะผมยาว หรือด่าทอนักเรียนด้วยถ้อยคำรุนแรงดังปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง</p>
<p>สำหรับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้สนับสนุนให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดสรรเงินทุนเพิ่มเติมแก่นักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษ 3,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อลดการออกกลางคันของนักเรียนกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถกู้เงินเพื่อเรียนรู้ทักษะในสาขาวิชาที่ขาดแคลน และยกระดับทักษะของตนผ่านหลักสูตรระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตามการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวโดยผ่อนปรนเงื่อนไขการกู้ยืมจะทำให้เกิดปัญหาความยั่งยืนของกองทุนในอนาคต ทำให้รัฐบาลอาจต้องเพิ่มเงินให้แก่กองทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า</p>
<p>รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการดังต่อไปนี้ ประการที่หนึ่ง เร่งปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้อิงกับสมรรถนะโดยเร็ว โดยอาจขยายผลการทดลองนำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาและถอดบทเรียนเพื่อนำไปใช้ทั่วประเทศ ประการที่สอง ปรับระบบการบริหารทรัพยากรด้านการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่ชัดเจน ประการที่สาม ประกาศนโยบายป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพของนักเรียนและไม่ยอมรับความรุนแรงในสถานศึกษา ตลอดจนวางกลไกป้องกันการฝ่าฝืนเช่น จัดระบบรับเรื่องร้องเรียน ประการที่สี่ ปรับปรุงการบริหาร กยศ. ให้มีความยั่งยืนทางการเงินมากขึ้น เช่น ใช้มาตรการสะกิดพฤติกรรม (behavioral nudge) ให้ผู้กู้เงินชำระเงินคืนโดยเร็ว เป็นต้น</p>
<h2><span style="color:#3498db;">2. ผลงานของรัฐบาลด้านความ “ยั่งยืน”</span></h2>
<p><strong>การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน</strong></p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ 2 กำหนดให้การต่อต้านทุจริตเป็นวาระแห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยงบประมาณด้านต่อต้านทุจริตรวม 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2563–2566 ในขณะที่อันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของไทยกลับลดลงจากที่ 96 จาก 180 ประเทศในปี 2560 อยู่ที่อันดับ 101 ในปี 2565 จึงกล่าวได้ว่า งบประมาณที่ใช้จ่ายไปไม่สามารถลดการทุจริตอย่างได้ผล</p>
<p>รัฐบาลประยุทธ์ 2 มีผลงานแก้คอร์รัปชันเป็นรูปธรรม 2 เรื่อง ได้แก่ การปฏิรูปจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใส และการ “กิโยตินกฎระเบียบ” (Regulatory Guillotine) ซึ่งเป็นการปฏิรูปกฎระเบียบครั้งใหญ่เพื่อลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่อันเป็นต้นตอสำคัญของคอร์รัปชัน</p>
<p>ในด้านหนึ่งรัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้ดำเนินการปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้โปร่งใส โดยร่วมมือกับองค์กรภาคสังคมและภาคธุรกิจขยายการใช้มาตรการ “ข้อตกลงคุณธรรม” (Integrity Pact) เพื่อตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐที่มีมูลค่าสูงเพิ่มเติมจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 เพิ่มอีก 66 โครงการ รวมมูลค่างบประมาณ 4.16 แสนล้านบาท การศึกษาของทีดีอาร์ไอพบว่า โครงการก่อสร้างของรัฐมูลค่าสูงโดยทั่วไปมีส่วนต่างของราคากลางและราคาที่ผู้ชนะการประมูลเสนอเพียงร้อยละ 0.5 แต่โครงการก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายกันแต่เข้าร่วมในข้อตกลงคุณธรรม ซึ่งมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาตรวจสอบร่าง TOR และการเสนอราคามีส่วนต่างดังกล่าวร้อยละ 7.5</p>
<p>นอกจากนี้รัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังสานต่องานกิโยตินกฎระเบียบของรัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งจะช่วยลดดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐในการออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจต่างๆ และช่วยลดการคอร์รัปชันได้ (ดูรายละเอียดในหัวข้อการกิโยตินกฎระเบียบ)</p>
<p>อย่างไรก็ตามรัฐบาลประยุทธ์ 2 ไม่ได้แสดงถึงความพยายามในการปฏิรูปตำรวจและกองทัพซึ่งถูกตั้งคำถามด้านความโปร่งใสอยู่บ่อยครั้งเมื่อเกิดข่าวอื้อฉาว ทั้งที่การปฏิรูปตำรวจเป็นวาระสำคัญตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติเพื่อกำจัดการซื้อขายตำแหน่ง และร่าง พ.ร.บ. การสอบสวนคดีอาญาเพื่อให้งานสอบสวนและการทำสำนวนคดีเป็นอิสระจากกัน รัฐบาลประยุทธ์ 2 ใช้เวลาเกือบ 2 ปีทบทวนร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับอีกครั้งกว่าจะเสนอต่อรัฐสภาได้ในกลางปี 2565 สุดท้ายแล้วมีเพียงร่าง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติผ่านรัฐสภาได้ในปลายปี 2565 การดำเนินการในรัฐบาลประยุทธ์ 2 จึงยังไม่ได้นำไปสู่การปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริงเนื่องจากขาดการปฏิรูปกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นรัฐบาลปล่อยให้เกิดกรณีทุจริตที่มีนายตำรวจพัวพันหลายกรณี อาทิ กรณี “ต








