ศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง 'สุเทพ' คดีทุจริตก่อสร้างโรงพัก
<span class="submitted-by">Submitted on Tue, 2023-08-22 15:16</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ภาพปก: สุเทพ เทือกสุบรรณ (ที่มา:
Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ))</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>ศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' อดีตแกนนำ กปปส. คดีทุจริตก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง ลั่นอาจฟ้องกลับ เพื่อเป็นบทเรียนกับ ป.ป.ช. ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ </p>
<p> </p>
<p>22 ส.ค. 2566 เว็บไซต์
มติชนออนไลน์ รายงานวันนี้ (22 ส.ค.) เวลา 11.31 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) ศาลกำหนดนัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.อธ.11/2565 ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทน โครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)</p>
<p>โดย ป.ป.ช.โจทก์ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2552-18 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมา จำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด</p>
<p>โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาเเล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิด ยกฟ้องจำเลยทั้ง6 ต่อมา ป.ป.ช.โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อก่อนที่จะนัดอ่านคำพิพากษาในวันเดียวกันนี้ ปรากฎว่าจำเลยทุกคนเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ</p>
<p>องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์โจทก์ จำเลยเห็นว่า จำเลยที่ 1 นายสุเทพ รองนายกฯในขณะนั้น การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติลงบันทึกข้อความเสนอต่อนายกฯและคณะรัฐมนตรีในโครงการจัดสร้างโรงพักทดแทนฯ โดยให้คำนึงถึงความเห็นของสำนักงบประมาณและมติครม. ที่ผ่านมาการที่จำเลยอนุมัติรวมสัญญาครั้งเดียวโดยไม่ได้นำเสนอต่อ ครม. ย่อมมีประเด็นพิจารณาว่ามติครม.ครั้งที่ 7/2552 ได้อนุมัติโดยกำหนดให้จำเลยต้องเสนออนุมัติโดยแก้ไขหรือไม่ ซึ่งมติ ครม.ดังกล่าว มีข้อกำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีมติให้ชัดเจน แต่ไม่มีข้อความระบุชัดเจนถึงการจัดซื้อจัดจ้างว่าให้ดำเนินการอย่างไรมติดังกล่าวเพียงเก่าแต่เรื่องการรื้อถอนโครงสร้างเดิมและการผูกพันงบประมาณข้ามปีเท่านั้น โดยมีพยานที่เกี่ยวข้องทั้งสองปากเบิกความยืนยันน่าเชื่อถือว่ามติครม. ไม่ได้ระบุถึงการจัดซื้อจัดจ้างโดยกำหนดให้เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งสำนักงบประมาณก็มีหนังสือยืนยันความเห็นควรอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอภายในกรอบ 6,600ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ3 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2554 ดังนั้น ข้อความตามมติครม. ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่มีผลผูกพัน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอ แม้จำเลยที่ 1 เคยเสนอให้กระจายสัญญาเป็นรายภาคแต่ต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอรวมไว้ที่ส่วนกลางกรณีจึงเป็นอำนาจของจำเลยที่1 ที่อนุมัติได้เองและไม่พบข้อเท็จจริงข้อพิรุธที่จำเลยที่1 จะเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ที่อนุมัติเพราะเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบถูกต้องเหมาะสมแล้ว กรณีจึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าการรวมสัญญาไม่ทำให้การเสนอราคาไม่เป็นธรรมเสมอไปส่วนผู้ก่อสร้างที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ไปด้วยว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยที่หนึ่งในการอนุมัติโดยไม่เสนอ ครม.การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง</p>
<p>ส่วนจำเลยที่ 2 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่2ต้องปฏิบัติตามมติครม. จำเลยที่2เสนอการจัดจ้างต้องประกาศราคาในครั้งเดียว โดยใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความเป็นธรรมแม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยที่สองแต่ก็ยังมีการใช้ประกวดราคาเช่นเดิมแค่เปลี่ยนจากปลายภาคเป็นรวมกันครั้งเดียวซึ่งมีการศึกษาข้อดีข้อเสียมาแล้วกรณีจึงมีเหตุผลในการที่เสนอวิธีเปลี่ยนการจัดซื้อจัดจ้าง แม้จะเสนอเพียงหนึ่งวันก่อนอนุมัติก็ไม่ถือเป็นพิรุธ และไม่ปรากฏว่าการเสนอดังกล่าวมีผลประโยชน์แอบแฝงข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่การกระทำไม่เป็นความผิดตามฟ้อง</p>
<p>ในส่วนจำเลยที่ 3-4 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่าฐานะคณะกรรมการประกวดราคา ตามมติสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุไม่ได้มีข้อกำหนดใดชัดแจ้ง แม้จำเลยที่5 จะเสนอต่ำกว่าราคากลาง 540 ล้านบาทแต่กรณีไม่มีอะไรแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่5 เสนอราคาต่ำจนก่อสร้างไม่ได้ เนื่องจากผู้เสนอราคาสามารถปรับลดบริหารได้ การที่จำเลยที่ 5 เสนอเสาเข็มถูกกว่าราคาตลาดมากรายการเดียว จำเลยที่5 ก็มีธุรกิจเสาเข็มดูแล้วจึงสามารถปรับลดราคาสินค้าบางอย่างได้ เพื่อให้เสนอราคาอย่างเสรีลำพังการที่ราคาเสาเข็มราคาต่ำกว่าราคาทั่วไปมาก ไม่เป็นเหตุที่จำเลยที่จำเลยที่ 3-4 จะไม่รับการประกวดราคาของจำเลยที่4-5 และไม่ถึงกับเป็นเหตุสำคัญที่ต้องเรียกจำเลยที่5 มาตรวจสอบถึงเรื่องราคาเสาเข็ม และไม่มีข้อพิรุธว่าเป็นกรณีการปกปิดข้อเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่3-4 กระทำโดยทุจริตฯ พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่3-4 กระทำผิดตามฟ้อง</p>
<p>ส่วนจำเลยที่5-6 ในฐานะผู้สนับสนุน เมื่อองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1-4 การกระทำไม่เป็นความผิดตามฟ้องจึงไม่ต้องวินิจฉัยในส่วนของจำเลยที่5-6เพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย มาเเล้ว องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่1-6</p>
<p>ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง จำเลยทั้ง 6 คน</p>
<p>เพจเฟซบุ๊ก
The Reporters รายงานว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ หลังฟังความพิพากษาระบุว่า เขาภูมิใจในชีวิตที่เป็นนักการเมืองไม่เคยทำการทุจริต หรือคอร์รัปชันใดๆ แม้ว่าจะถูกรุมใส่ร้ายในการเล่นงาน แต่ในที่สุดกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยได้ให้ความเป็นธรรมกับผม ที่ผมได้เคารพในหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมคิดว่ากรณีนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ที่ผู้ใช้อำนาจ ควรจะต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง </p>
<p style="text-align: center;">
<iframe allow="autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen="true" frameborder="0" height="587" scrolling="no" src="
https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FTheReportersTH%2Fposts%2Fpfbid02WeVzjUivcSqSLrWjYHuoBkzVwPPkDkf9yoAgJ4K8duwX5cwXgpxdu2hU4Lzh1TvTl&show_text=true&width=500" style="border:none;overflow:hidden" width="500"></iframe></p>
<p>สุเทพ มองว่า คนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุดก็คือ ป.ป.ช. รู้ข้อเท็จจริงดีทุกอย่าง แต่ยังดำเนินคดีกับผม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินแล้วว่าไม่ผิด ก็ยังอุทธรณ์ ดื้อรั้น ตอนฟ้องอัยการก็ไม่เห็นด้วย ก็ยังจะฟ้องอีก คิดว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรพิจารณาตัวเองเพราะสร้างความเสียหายให้เขามาก และเสียชื่อเสียง</p>
<p>สุเทพ กล่าวว่า เขาไม่สนใจเรื่องการเยียวยา แต่จะปรึกษาเรื่องกฎหมาย เพื่อหาช่องทางดำเนินคดีกับ ป.ป.ช. ไม่ใช่ด้วยความโกรธเคือง แต่ ป.ป.ช.ตั้งขึ้นด้วยกฎหมายพิเศษ เพื่อปฏิบัติหน้าที่พิเศษ แต่ว่าจากกรณีนี้เขาได้เห็นว่า ป.ป.ช. ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ เคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นการกระทำโดยไม่ชอบ ถ้าดำเนินคดีได้ จะดำเนินคดี แต่ย้ำว่าขอไปปรึกษาก่อน</p>
<p>"ต้องย้ำว่าไม่ได้ดำเนินคดีด้วยความโกรธเคือง แต่ต้องการให้เป็นบทเรียน ผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมายควรจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ" </p>
<p>ทั้งนี้ สุเทพ กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองว่า ตั้งแต่ตัดสินใจ ออกจาก ส.ส.มาเดินนำขบวน ก็ได้ประกาศแล้วไม่ทำการเมืองต่อ เพราะไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง แต่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นไม่เอาชื่อเสียงความสำเร็จและผลพลอยได้โอนมาเป็นคะแนนเสียงของตัวเองในทางการเมือง </p>
<p>อดีตแกนนำ กปปส. ฝากข้อความถึงนักการเมืองคนอื่นๆ ว่า </p>
<p>"ผมเรียนได้อย่างเดียวว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น การมาเป็นนักการเมืองต้องปฏิบัติตามหลักสัมมาทิฏฐิ คือต้องมีความคิดความเห็นที่ถูกต้อง มาทำงานการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ไม่ใช่ทำการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง พวกพ้องหรือแม้แต่พรรคตัวเอง</p>
<p>"ถ้านักการเมืองยึดหลักนี้ จะเป็นนักการเมืองที่ควรค่าแก่การส่งเสริมประชาชนก็สามารถพึ่งพาได้ แต่ถ้านักการเมืองคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ละเลยผลประโยชน์ของชาติไม่คิดถึงความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติโดยส่วนรวม ก็ไม่สมควรจะเป็นนักการเมืองที่เราให้ความสนใจ หรือไปยกย่องสรรเสริญ" สุเทพ กล่าว</p>
<p>สุเทพ กล่าวเสริมว่า ทุกคนต้องมีความตั้งใจดีต่อบ้านเมืองเป็นหลัก เพื่อให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคง พร้อมย้ำว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าใครเป็นคนละขั้วกัน ไม่ว่าฝ่ายใดก็แล้วแต่สามารถเปลี่ยนใจมาทำงานร่วมกันได้เพียงแค่ยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/08/105567