[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 พฤษภาคม 2567 18:19:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
กระบวนการ NEW AGE


.:::

ความทรงจำนอกมิติ : ความเป็นไปได้ยิ่งกว่าความเป็นไปไม่ได้ที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ

:::.
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ความเป็นไปได้ยิ่งกว่าความเป็นไปไม่ได้ที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ  (อ่าน 1490 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 ตุลาคม 2554 05:55:20 »



ผู้อ่านคิดว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่? ขึ้นกับสิ่งหลักๆ 2 เหตุการณ์  คือ ฝน - เขื่อน กับพายุ อย่างเช่น ไต้ฝุ่น - กับน้ำทะเลหนุนอย่างถาวร เช่น จากโลกร้อน เพราะการเผาซากฟอสซิลคาร์บอน (น้ำมัน) ฝนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำลายป่าไม้อันเนื่องมาจากความอยากร่ำอยากรวย และไล่ไปจนถึงกิเลสตัณหาของคนที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ฝนเป็นตัวการทำให้น้ำมีมาก ส่วนน้ำทะเลหนุนอย่างถาวรเป็นเรื่องของโลกร้อน

 นานมาแล้วร่วม 20 ปีก่อน (ปี ๒๕๓๗) ผู้เขียนได้เขียนคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ว่า “หลังปี ๒๕๕๓ ให้ระวังน้ำจะเอ่อล้นโลก” ซึ่งในรายละเอียดผู้เขียนได้อ้างถึงรายงานทางวิทยาศาสตร์จะส่งตรงไปถึงประธานาธิบดีจอร์จ บุช  จูเนียร์ โดยในรายงานดังกล่าวมีขึ้นเมื่อปี 1992 และบอกว่าการเผาฟอสซิลคาร์บอน ที่ไม่ว่าจากโรงงานผลิตอุตสาหกรรมต่างๆ การทำลายและทำร้ายป่าไม้  การใช้รถยนต์อาจทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นได้ถึง 3 องศาเซลเซียส ภายในเร็วๆ นี้ หากเราไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผลของรายงานและบทบาทของสหรัฐอเมริกาและโลกอันเป็นผลของความบ้องตื้นของประธานาธิบดีจอร์จ บุช นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเราจะกล่าวโทษสาเหตุของน้ำท่วมที่กำลังทรมานคนทั่วทั้งโลก - รวมทั้งคนไทยอยู่ในขณะนี้ว่า อย่างน้อยมาจากความบ้องตื้นบางส่วนของประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาคือผู้นำประเทศต่างๆ ของโลก ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง  และประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถรอดพ้นจากสงครามโดยที่แทบว่าจะไม่ได้รับความบอบช้ำเท่าไรเลย

ในบทความดังกล่าวผู้เขียนได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่สภาวะโลกร้อนจากการเผาซากฟอสซิลคาร์บอนจนส่งผลทำให้น้ำเข้าท่วมที่ลุ่มต่ำของโลก เนื่องจากการละลายของก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกภายในช่วงหลังปี ๒๕๕๓ ที่เกิดขึ้นชนิดถาวรเร็วๆ นี้ในปีใดปีหนึ่ง โดยอ้างอิงมาจากการคำนวณของอดีตนักลมฟ้าอากาศ (climatologist) ที่มีชื่อว่า ฮิวเบิร์ต แลมบ์ ที่ทำวิจัยเมื่อปี 1982 และบอกว่ายุคสมัยโฮโลซีน (holosein) ที่นำด้วยสภาวะอบอุ่น (interglacial) มานานนั้นกำลังสิ้นสุดลงแล้ว หมายความว่าโลกกำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคน้ำแข็งจริงๆ นั่นแสดงว่าทั้งรัสเซียและอเมริกาล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายถูก คือ โลกเรากำลังมีทั้งยุคน้ำแข็งที่แท้จริง และมีสภาวะโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน และเป็นอย่างที่ผู้เขียนพูดและเขียน ว่าโลกได้เจอภัยธรรมชาติทั้ง 2 อย่าง เรียกว่าแทบจะพร้อมกันก็ได้ อย่างหนึ่งเป็นกรรมรวมโดยรวมของมนุษยชาติ อีกอย่างเป็นฝีมือของมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวเป็นปัจเจก ส่วนอย่างไหนเป็นภัยมากกว่าหรือเป็นผู้ร้ายมากกว่า เราคงจะไม่เกี่ยว เพราะส่วนใหญ่คงไม่รอดมาบอก ซึ่งภายหลังหน้าหนาวปีนี้ (๒๕๕๔) ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ประชากรที่รอดเหลืออยู่อาจจะบอกกับเราก็ได้

สำหรับภัยธรรมชาติเฉพาะหน้าหรือจะเรียกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์กับกิเลสราคะ (ความโลภจากความอยากรวย) จากระบบเศรษฐกิจทุนนิยม “การตลาดที่เสรี” ที่เลิกไม่ได้ทั้งๆ ที่ผิดเห็นกันชัดๆ ภัยธรรมชาติที่เราบอกว่าเกิดขึ้นจากก๊าซเรือนกระจกที่ว่านั้น ทางกรมอุตุนิยมและกรมชลประทานได้บอกเตือนชาวกรุงเทพฯ ไว้ล่วงหน้าว่า ให้ระวังวันที่ 19-20 กันยายนเอาไว้ เพราะมวลน้ำมหึมาก้อนใหญ่จากเหนือจะมาถึงกรุงเทพฯ ในวันนั้น และประกอบกับช่วงที่น้ำทะเลหนุน ดังนั้นน้ำจึงอาจท่วม ในวันนั้นจะมีน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทางตะวันออกก็มีทางเป็นไปได้ นั่นว่ากันทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ๆ กันอยู่ อันเป็นวิทยาศาสตร์เก่าที่บอกย้ำๆ ว่าเรื่องของน้ำทะเลหนุนนั้นเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแทบทุกวันในเดือนกันยายน ซึ่งข้อนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนกังวล เพราะเราไม่รู้ว่าที่พูดว่าน้ำทะเลหนุนๆ นั้นมันจะทำให้น้ำทะเลหนุนอย่างถาวร และทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ อันเป็นจุดจบของน้ำท่วมประเทศไทย และนั่นคือน้ำได้ท่วมโลกแล้วตามสภาพของน้ำท่วมโลกในความหมายที่ผู้เขียนได้เขียนในคอลัมน์นี้มาตลอดเวลา เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องของการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับภัยธรรมชาติแล้ว ที่บอกตรงๆ ผู้เขียนไม่ว่าพวกเขาคิดอะไรถึงได้แย่งกัน “เป็นเล็ก”  โดยคิดเอาเองว่าใหญ่ ซึ่งสำหรับผู้เขียนคำว่ากรุงเทพฯ นั้นก็คือประเทศไทย

สิ่งที่ผู้เขียนสงสัยและกังวลใจนั่นเป็นเรื่องของความจริงทางโลกที่แต่ก่อนเมื่อไม่นานมานั้น เมื่อมีความรู้อันเป็นของชาวตะวันตกเรียนและใช้ๆ กันอยู่ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์เก่าที่นำโดยนิวโตเนียนฟิสิกส์แพร่เข้ามาถึงทางตะวันออกใหม่ๆ การแพร่ขององค์ความรู้ตะวันตกที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาด้วยสสารวัตถุ (matter) ทำให้ชาวโลกทั้งหมด รวมทั้งชาวตะวันออกด้วย ซึ่งถูกสอนให้เชื่อในความเป็นสอง (dualism) มานานหลายพันปี  โดยกลับโยนทิ้งความรู้ความเชื่อที่ว่านั้น แล้วหันไปรับความรู้ใหม่โดยภาวะจำยอมและโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ เป็นที่น่าเสียใจยิ่งว่าความรู้ทางตะวันตกที่นักวิชาการทั่วทั้งโลกที่ว่านั้น โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์นั้นยังคงเชื่อองค์ความรู้เก๋ากึ้กที่ว่านั้น โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรือแทบจะทุกคนของประเทศไทย รวมทั้งสาธารณชนทั่วๆ ไป  ทั้งนี้ ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกเองที่เชื่อถือในวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่รวมทั้งควอนตัมเม็คคานิกส์กันมากขึ้นและมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสงสัยกังวลใจของผู้เขียนอันเป็นความจริงทางโลกอันไม่ใช่เป็นความไม่จริงทางธรรมที่ชาวตะวันออกเคยเชื่อมานาน และที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นฟิสิกส์ใหม่ที่รวมทฤษฎีสัมพันธภาพและทฤษฎีควอนตัม ซึ่งผู้เขียนคิดว่าสอดคล้องกับเส้นทางหรือมรรคปฏิปทาของความจริงทางธรรม

ความสงสัยอันเป็นเป็นความจริงทางโลกที่ว่านั้น แม้เดี๋ยวนี้ผู้เขียนจะรู้ว่าไม่ใช่ความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางธรรม แต่เมื่ออยู่ในโลกและคุ้นเคยกับความจริงทางโลก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยกังวลใจ ความสงสัยที่เกิดจากน้ำทะเลหนุนที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน คือสงสัยว่ามันเป็นอันเดียวกัน น้ำทะเลที่เกิดจากก้อนน้ำแข็งจากขั้วโลกทั้ง 2 ขั้วที่ละลายกลายเป็นน้ำอย่างถาวรหรือไม่?

ความสงสัยกังวลใจที่ว่า แม้จะเขียนซ้ำๆ ว่าไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรม ก็ต้องอธิบายเพื่อให้ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ฟัง ผู้อ่านส่วนใหญ่ที่คิดว่ามันมีความจริงเพียงอย่างเดียว และนั่นคือความจริงทางโลก เพราะว่าทุกสรรพสิ่งประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุ (matter) ทั้งสิ้น นั่นคือความรู้ตะวันตกที่เรียนมาจากกรีซช้านานมาแล้ว ความรู้ตะวันตกที่แพร่ไปทั่วทั้งโลกมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของชาวตะวันตกไปทั่วทั้งโลก - เมื่อประมาณ 200-300 ปีก่อน ใช้อธิบาย คำอธิบายความเป็นสองหรือทวิตา (dualism) อันเป็นความรู้ชั้นสูงของชาวตะวันออกทางศาสนามานานหลายพันปี ความรู้ที่มีว่านั้นหรือความเป็นสองเป็นผลของความจริงที่ได้มาจากรูปกับนาม หรือกาย (ที่มองเห็นและรับรู้ด้วย  “ผัสสะ” หรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 หรือนามขันธ์) กับ “จิต” (ที่มองไม่เห็น) ซึ่งเกิดขึ้นและดับด้วยอัตราที่เร็วมากๆ จนเห็นต่อเนื่องกันเป็นสายเดียวติดต่อกัน เราอย่าลืมว่าความจริงทางโลกที่ทำให้ชาวกรีซและชาวตะวันตกเข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกในจักรวาลประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุนั้น หรือต้นเหตุของหลักการวัตถุนิยม  (materialistic) โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย และประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ ของเอเชีย เราถึงยังไม่ก้าวหน้า เราถึงยังไม่ประสีประสาต่อควอนตัมฟิสิกส์ก็เพราะเหตุนี้

การที่ประเทศทางตะวันตก และต่อมาประเทศต่างๆ ทุกประเทศทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศทางตะวันออกมองเห็นว่าโลกนี้จักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วยสสารวัตถุ (matter) และชีวิตต่างๆ ประกอบขึ้นด้วยรูปร่างทางกายภาพ  (physical) ที่ในเวลาต่อมาเกี่ยวข้องเป็นสาเหตุของหลักการวัตถุนิยม  (materialism) ซึ่งไทยเราแม้ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนยังคงไว้ซึ่งหลักการวิทยาศาสตร์ข้อนี้แทบจะเป็นหลักการเดียว

หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่นำโดยนิวโตเนียนฟิสิกส์นี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ 3 ประการ คือ 1.เพราะง่ายดี 2.เพราะมองเห็น โดยทั้ง 2 ข้อนี้เป็นต้นตอของหลักการวัตถุนิยม ซึ่งมองไม่เห็น และเป็นต้นตอที่มาของศาสนาที่มองไม่เห็น และแบ่งออกไปเป็น 2 ค่าย ส่วน 3.จักรวาลวิทยาเก่าบอกว่า จักรวาลนั้นอยู่กับ “ความเป็นระเบียบ” เพราะฉะนั้นจึงเรียกจักรวาลไปตามนั้น (cosmos)  จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เองที่เรารู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งตัวจักรวาลเองอยู่กับ  “ความไร้ระเบียบ” (chaos) ซึ่งแท้จริงแล้วจักรวาลของเราอยู่กับความไร้ระเบียบที่เป็นระเบียบอย่างที่สุด

เพราะมนุษย์อยู่กับเหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้นเอง และเรามองด้วยมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้นเราถึงได้โต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน ส่วนความจริงทางธรรมหรือความจริงที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นอยู่นอกเหตุและเหนือผล นอกสุขและเหนือทุกข์ นอกเกิดและเหนือตาย เนื่องจากธรรมชาตินั้นทุกสิ่งทุกอย่างว่ายเวียนเป็นวงกลมหรือวัฏจักร - ไม่ว่าจะเร็วยิ่งกว่าพริบตาเดียวหรือช้าเป็นล้านๆ  ปี - เราก็คาดการณ์ล่วงหนาเป๊ะๆ ไม่ได้ เพราะว่าพุทธศาสนาบอกว่า “มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง” ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือศาสนาที่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาพรามณ์ และศาสนาคริสต์จะบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นคือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง

เรื่องของน้ำทะเลจึงเป็นเรื่องที่จริงๆ แล้วคาดการณ์ไม่ได้ การคาดการณ์จึงต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ เช่น เรื่องของกรรมร่วมโดยรวมของเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ และการทำนายที่เชื่อถือได้มาช่วยการพิจารณา  เพราะฉะนั้นผู้เขียนคิดว่าเรื่องของกรรมร่วมโดยรวมของมนุษยชาติอันเป็นเรื่องของจิตและจิตวิญญาณที่กำลังมีวิวัฒนาการตามมาจึงสำคัญที่สุด กฎแห่งกรรมนั้นมนุษยชาติหนีไม่ได้ และเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำขึ้น และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมนั่นเองที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นตัวการปฐมและเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นตัวการในทีแรก แต่เรากลับมาร่วมกันทำร้ายและทำลายธรรมชาติในทีหลัง  เพราะความอยากร่ำอยากรวย ความไม่รู้จักพอ และก่อให้เกิดโลภจริตอันเป็นกิเลสตัณหา มนุษย์ทำร้ายธรรมชาติก็เพราะระบบที่ว่านั่นเอง เรื่องของสภาวะโลกร้อนและน้ำทะเลหนุนอย่างถาวรจึงน่าจะเป็นผลพวงที่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ชนิดที่หนีก็ไม่ได้ หรือหนีก็ไม่พ้น และนั่นเป็นเรื่องที่ผู้เขียนคิดและเชื่อเช่นนั้น

หากว่าน้ำทะเลหนุนเป็นการหนุนแบบถาวร เพราะเป็นการละลายของก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกทั้ง 2 จากสภาพโลกร้อน จึงน่าจะสำคัญกว่าสิ่งที่ฮิวเบิร์ต  แลมบ์ และทีมของนักวิจัยรัสเซียบอก โดยจะเป็นเรื่องที่ตามมา และฤดูหนาวปีนี้หรือไม่กี่วันนี้เราจะได้รู้กัน จึงเป็นการสรุปที่ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นความน่าเป็นไปได้ที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ก่อน และยุคน้ำแข็งจริงๆ ที่ทีมนักวิจัยชาวรัสเซียบอก และผู้เขียนได้เขียนไปแล้วเมื่อต้นปีนี้จะตามมาทีหลังติดต่อกัน.

http://www.thaipost.net/sunday/091011/46283

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2043 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2098 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1492 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 14:31:09
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลแห่งแสงเสียงและดนตรี
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 7538 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:37:13
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1473 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:39:49
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.416 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 10:58:40