[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 14:43:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แรกมี “น้ำมันก๊าด” ใช้ในสยาม  (อ่าน 138 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 กันยายน 2566 18:25:47 »


วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าวัดมีรถรางไฟฟ้าวิ่งบนถนนจักรพงษ์

แรกมี “น้ำมันก๊าด” ใช้ในสยาม ราษฎรไม่คุ้นชินจนเกิดไฟไหม้หลายคดี
FacebookTwitterGoogle+LINE

ที่มา -   ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2558
ผู้เขียน - ดร. นนทพร อยู่มั่งมี
เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ.2566


“น้ำมันก๊าด” มีใช้ในสยามครั้งแรกสมัย “รัชกาลที่ 5” แต่ความที่ราษฎรส่วนใหญ่ไม่คุ้นชิน จึงเกิดเหตุ “ไฟไหม้” ขึ้นหลายครั้ง

แม้จะมี “ไฟฟ้า” ในกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2427 แต่แสงสว่างชนิดนี้จำกัดอยู่เฉพาะการใช้งานของรัฐ เช่น ตามท้องถนนบางสาย กับตามบ้านเรือนของผู้มีฐานะ ซึ่งต้องซื้อหาอุปกรณ์และจ่ายค่าไฟในราคาสูง การที่แสงสว่างจำกัดนี้ส่งผลต่อกิจวัตรของผู้คน เช่น ความบันเทิง การสัญจรของราษฎร เช่นที่ ขุนวิจิตรมาตรา กล่าวถึงวิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ดังนี้

“มหรสพสมัยโน้น (ยังไม่มีไฟฟ้า) แสดงแต่วันข้างขึ้น ราวขึ้น 8 ค่ำ ไปจนถึงประมาณสามทุ่ม พระจันทร์ยังสว่างอยู่ ข้างแรมเดือนมืดไม่มีแสดง โรงละครนฤมิตรที่วัดสระเกศเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้แสดงตอนบ่าย พอถึงเย็นก็เลิก ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเริ่มไปอยู่กรุงเทพฯ มีไฟฟ้าแล้ว คือเพิ่งเริ่มจะมีโดยเฉพาะตามถนนนั้นขึงสายไฟฟ้าขวางระหว่างตึก ดวงโคมไฟฟ้าห้อยติดกับสายอยู่กลางถนนแต่สูงมาก แสงไฟก็ริบหรี่ไม่สว่าง คนเดินอาศัยร้านเจ๊กเขียนหวย ซึ่งมีตะเกียงกระจกตั้งโต๊ะสว่างไปสองข้างถนนระยะห่างๆ กันไปสว่างมากกว่าไฟฟ้า

ไฟฟ้าเมื่อแรกมีนี้ ถ้าเป็นข้างขึ้นพระจันทร์สว่าง ไฟดับหมด พอถึงข้างแรมพระจันทร์มืดจึงเปิดไฟ สลับไปอย่างนี้ทุกข้างขึ้นข้างแรม ส่วนตามตึกบ้านเรือนที่ต้องการใช้ไฟฟ้า คิดค่าเช่าเป็นดวงๆ ละ 6 สลึง (หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์) ดวงหนึ่งไฟ 10 แรงเทียน จะติดกี่ดวงก็ได้ตามราคาที่คิดเป็นดวง เท่าที่เห็นใช้กันเพียงหนึ่งหรือสองดวงเท่านั้น ไฟฟ้าดีอย่างหนึ่งเป็นการบอกเวลา คือเวลาสองทุ่มตรง ไฟจะดับแวบหนึ่งให้รู้ว่าสองทุ่ม ใครมีนาฬิกาก็ตั้งจากไฟฟ้าได้ทันที”

แหล่งเชื้อเพลิงที่ให้แสงสว่างยามค่ำคืนที่สำคัญคือ น้ำมันมะพร้าว จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ 25 หรือช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ราษฎรในกรุงเทพฯ เริ่มใช้ น้ำมันก๊าด เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง ซึ่งตรงกับระยะเวลาเดียวกับที่เมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ เช่นที่สุราบายา ในเกาะชวา ราษฎรพื้นเมืองใช้น้ำมันก๊าดหลัง พ.ศ.2407 (ค.ศ.1864)

ผลจากเชื้อเพลิงชนิดใหม่ปรากฏในรูปของคดี “ไฟไหม้” จำนวนมาก เนื่องจากความไม่คุ้นชินของบรรดาราษฎร เช่นที่พระยาอนุมานราชธนกล่าวไว้ ดังนี้

“เขาว่าเมื่อมีน้ำมันก๊าดใช้ใหม่ๆ มักเกิดไฟไหม้บ้านเรือนบ่อยๆ เพราะไปเข้าใจว่าเหมือนน้ำมันมะพร้าว ไม่รู้พิษสงของมันว่า มันลุกผึบได้ทันทีถ้าใกล้ไฟ พอรู้ก็หวาดเกรงกัน จึงยังมีผู้ดื้อใช้น้ำมันมะพร้าวอยู่ก็เป็นอันมาก ถ้าซื้อน้ำมันก๊าดทั้งปีบมาใช้ เวลาจะเปิดเอาปีบน้ำมันออก ถ้าอยู่ในสวน ก็ต้องหิ้วปีบไปเปิดหรือเก็บไว้ในสวนให้ห่างไกลจากตัวเรือน เพราะกลัวจะระเบิดเกิดลุกเป็นไฟไหม้บ้านเรือนขึ้น”

ราษฎรในเมืองหลวงสามารถซื้อหา “น้ำมันก๊าด” ได้จากโรงขายน้ำมันของชาวจีน พร้อมกับซื้อตะเกียงสำหรับให้แสงสว่างที่มีขายในกรุงเทพฯ อีกด้วย เช่น คดีไฟไหม้ตึกแถวอำแดงผาด ย่านถนนเฟื่องนคร เมื่อ พ.ศ.2450 ช่วงปลายสมัย รัชกาลที่ 5 ให้รายละเอียดดังนี้

“วันนี้เวลาบ่าย 3 โมงอำแดงช่วยได้วานผู้มีชื่อคือนายเคล้าซึ่งอยู่ห้องเดียวกันไปซื้อตะเกียงแก้วตั้ง คือดวงที่ลุกขึ้นนี้ จากร้านสี่กั๊กเสาชิงช้า ครั้นเมื่อซื้อมาแล้ว นายเคล้าเปนผู้เติมน้ำมันในคืนวันเดียวกันนั้นเองเวลา 2 ทุ่มเศษ ข้าพเจ้าได้ลองจุดแล้วเอาไปตั้งริมฝา พอจุดขึ้นไฟในตะเกียงก็พุบขึ้นโคมแตกน้ำมันก็ไหลซึมไปตามพื้นไปอิกห้องหนึ่ง คือห้องของอำแดงเจิมไปลุกที่หมอน 1 ใบ ที่นอนน้ำมันผ้าห่มปะลังเก้ด 1 ผืน”

คดีของอำแดงผาดนอกจากจะบอกถึงการซื้อหาอุปกรณ์ให้แสงสว่างแล้ว ยังบ่งชี้ถึงอันตรายจากน้ำมันก๊าด หรือที่เรียกกันว่า “น้ำมันปิโตรเลียม” ซึ่งราษฎรจำนวนไม่น้อยประมาทจนเกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน หนึ่งในนั้นรวมถึงคดีของหญิงชาวจีนชื่อ อำแดงหมุย เกือบต้องสูญเสียห้องพักของตนเมื่อ พ.ศ.2449 จากความประมาท ดังนี้

“อำแดงหมุยหญิงจีนเจ้าของห้องเติมตะเกียงเหล็กวิลาดจุดเพลิงแล้วติดไว้ที่ฝาครัว เพลิงลุกขึ้นเพราะน้ำมันปิโตรเลียมที่เติมมากเกินไป เพลิงลุกจนหูตะเกียงอันบัดกรีไว้สำหรับแขวนละลายตะเกียงตกยังพื้นน้ำมันหกเพลิงลุกขึ้นที่พื้นนั้น”

น้ำมันก๊าด จึงเป็นเชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่ราษฎรเริ่มให้ความนิยม แต่ต้องแลกมาด้วยอันตรายจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงเท่านั้น เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังนับเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งของการก่อคดีสำคัญในกรุงเทพฯ คือ คดีลอบวางเพลิง ที่กระทบต่อความสงบสุขและสร้างความหวาดหวั่นให้กับบรรดาราษฎรไปจนถึงพระมหากษัตริย์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.331 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 16 เมษายน 2567 23:15:36