นักวิชาการภาคอีสานหนุนภาค ปชช. เบรกเมกะโปรเจกต์ 'ผันน้ำโขง เลย ชี มูล'
<span class="submitted-by">Submitted on Sat, 2023-09-16 06:01</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ภาพปก: (ซ้าย) <span style="color:null;">สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์</span><span style="color:#d35400;"> </span>และ (ขวา) นิรันดร คำนุ</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>นักวิชาการอีสานหนุนภาคประชาสังคม เบรกนายกฯ ดันเมกะโปรเจกต์ 'ผันน้ำโขง เลย ชี มูล' มูลค่า 2.27 ล้านล้านบาท ขอ รบ.ฟังเสียงคนเห็นต่าง-ปชช.ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่อยากให้ลงเงินมหาศาล แลกผลกระทบใหญ่หลวง เสนอปฏิรูปทำ EIA และ SEA ให้น่าเชื่อถือ ให้ความสำคัญภาควิชาการ</p>
<p> </p>
<p>16 ก.ย. 2566 ที่จังหวัดขอนแก่น จากกรณีที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 8-9 ก.ย. 2566 ซึ่งเมื่อ 8 ก.ย. นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตลอดจนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมเขื่อนอุบลรัตน์ และพบปะประชาชนอยู่ในพื้นที่ชลประทาน และอยู่นอกพื้นที่ชลประทาน เพื่อพูดคุยประเด็นปัญหาภัยแล้งผลกระทบจากเอลนีโญ พื้นที่ทำกินและการบริหารจัดการน้ำ ทำให้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลนี้ต้องไม่ท่วม ไม่แล้ง เล็งผุดโครงการ "โขง-เลย-ชี-มูล" แก้ปัญหาภัยแล้งในภาคอีสาน </p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53189981301_f4615d3d1b_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">เศรษฐา ทวีสิน ลงพื้นที่ขอนแก่น เมื่อ 8 ก.ย. 2566 (ที่มา: </span>
<span style="color:#d35400;">เฟซบุ๊ก เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin</span><span style="color:#d35400;">)</span></p>
<p>ขณะที่เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำโขงได้ออกมาโต้และให้ความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีในกรณีแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งอีสานจะต้องศึกษารอบด้าน ไม่ใช่ฟังแต่นักการเมืองและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง วันนี้ด้านนักวิชาการภาคอีสานยังให้ความเห็นหนุนภาคประชาชนเบรกเมกะโปรเจกต์ ผันน้ำโขง เลย ชี มูน หลังนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคอีสาน</p>
<p>สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า นายกฯ เศรษฐา อย่าด่วนตัดสินใจ หลังประกาศดันเมกะโปรเจกต์ ผันน้ำโขง เลย ชี มูล มูลค่า 2.27 ล้านล้านบาท โดยเฟสแรกใช้เงิน 3 แสนล้าน เพื่อขุดลอก-ขยาย ปากแม่น้ำเลย-น้ำโขง เพื่อทำคลองผันน้ำเข้ามาแม่น้ำเลย และเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา วางท่อส่งน้ำ มายังลุ่มน้ำโมง อ.สุวรรณคูหา และเส้นทางหนึ่งก็ส่งน้ำไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ </p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53189688109_542b11bf3d_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์</span></p>
<p>ก่อนนี้มีการก่อสร้างประตูน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ มูลค่า 5 พันล้านบาท โดยไม่ได้ทำรายงาน EIA เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการเก็บกักน้ำไม่ถึงปริมาณที่กำหนดให้ต้องทำ EIA และกรมชลฯ ก็อ้างว่าไม่เกี่ยวกับโครงการผันน้ำ ทั้งๆ ที่ประตูน้ำศรีสองรักฯ เป็นการดัดแปลงแม่น้ำเลยใหม่ มีการขุดคลองลัดแม่น้ำเลย ทำประตูน้ำขนาดใหญ่ในคลองลัดใหม่ 2 แห่ง และแทบจะเป็นจุดเดียวกันกับแม่น้ำเลยที่ต้องขุดลอก เพื่อรองรับการผันน้ำ และประตูน้ำย่อมมีส่วนสำคัญในการควบคุมระดับแม่น้ำเลยเชื่อมต่อกับระดับแม่น้ำโขงในจุดที่มีการผันน้ำ ยังมีโครงการทำพนังกั้นน้ำในแม่น้ำเลยอีก โดยทำคันดินยกขอบพนังให้สูงขึ้นจากตลิ่งแม่น้ำเลย เพื่อให้เก็บน้ำในแม่น้ำเลยมากขึ้น และอาจจะสร้างผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในหลายชุมชนริมแม่น้ำเลยของ อ.เชียงคาน เป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งของชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจากที่น้ำหลากจากภูเขาสูงไม่สามารถไหลลงแม่น้ำเลยได้เพราะมีพนังกั้นอยู่ น้ำก็จะย้อนมาท่วมชุมชนริมน้ำแน่นอน นับเป็นผลกระทบจากการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศอย่างมโหฬารอีกโครงการหนึ่ง</p>
<p>โครงการประตูน้ำศรีสองรัก กับโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล จึงเป็นโครงการเดียวกัน แต่การแยกโครงการออกจากกัน ก็เป็นเหตุผลทางเทคนิคที่หลีกเลี่ยงการทำรายงาน EIA ให้โครงการประตูน้ำฯ ทำไปก่อน ส่วนโครงการผันน้ำฯ ก็จะทำทีหลัง </p>
<p>เป็นที่น่าสังเกตว่า มูลค่าโครงการเฟสแรก 3 แสนล้านบาท แต่ค่าชดเชยที่ดินที่เส้นท่อผันน้ำผ่านที่ดินชาวบ้าน จะจ่ายแค่ 1.3 พันล้าน เฉลี่ยไร่ละประมาณ 4 หมื่นบาท </p>
<p>โครงการนี้ ผลักดันมาตั้งแต่สมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในโมดูลน้ำที่ศาลปกครองสั่งให้รับฟังความเห็นใหม่ ตอนหาเสียงปี 2566 พรรคเพื่อไทย ก็ชูนโยบายนี้ และมี สส. จังหวัดเลย จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดขอนแก่น หนุ่นเต็มที่ เนื่องจากงบฯ มหาศาล</p>
<p>วันที่นายกฯ เศรษฐา มาลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ก็แถลงสนับสนุนโครงการนี้เต็มที่ อ้างแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จึงขอให้ข้อมูลด้วยเห็นว่า นายกฯ เป็นนักธุรกิจ น่าจะคำนึงเรื่องความคุ้มค่า และการสร้างประโยชน์ให้ประชาชนอย่างแท้จริง ต้องอย่าด่วนตัดสินใจ เพราะแค่ชื่อโครงการนายกฯ ยังเรียกผิดเป็น โครงการ โขง ชี มูน เลย แสดงว่าท่านมีข้อมูลเรื่องนี้น้อยมาก หากฟังแค่ สส. กรมชลฯ หรือ สทนช. จับรายงานสรุปโครงการไม่กี่หน้ายัดใส่มือโดยท่านยังไม่ได้อ่านศึกษารายละเอียดและยังไม่ได้รับฟังเสียงของฝ่ายที่เห็นต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาจได้รับผลกระทบฯ และผู้ที่เคยได้รับผลกระทบแล้วจากโครงการ โขง ชี มูน เดิมที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งจากเขื่อน ประตูน้ำต่างๆ ในแม่น้ำชีและแม่น้ำมูน </p>
<p>"จึงอยากให้นายกฯ ฟังเสียงประชาชนก่อน เหมือนกับที่ท่านไม่เห็นด้วยกับการขอเพิ่มงบฯ งานพืชสวนโลกไปอีกเท่าตัวจาก 2.5 พันล้าน โดยไม่เป็นเหตุเป็นผล" สันติภาพ กล่าว </p>
<p>ในส่วนของภาควิชาการ และประชาชนที่ศึกษาติดตาม ปัญหาและผลกระทบจากการจัดการน้ำขนาดใหญ่ในภาคอีสานมานาน ก็อยากเห็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่านี้ ไม่เอาอนาคตและเงินจำนวนมหาศาลไปลงกับโครงการขนาดใหญ่ที่ผลกระทบรุนแรง เช่น โครงการผันน้ำ 2.27 ล้านบาทนี้ รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่จะปลุกผีปัดฝุ่นของเก่าเอามาทำใหม่ในอนาคต เช่น โครงการผันน้ำยวมมาน้ำปิง และลงเขื่อนภูมิพล โครงการสร้างเขื่อนปากชม กั้นแม่น้ำโขง ที่ อ.ปากชม จ.เลย เพื่อดันน้ำไปถึงปากน้ำเลยรองรับการผันน้ำ ซึ่งต้องใช้งบอีกมหาศาล เป็นการปู้ยี่ปูยำกระทำชำเราแม่น้ำโขงจากการพัฒนาอีกคำรบใหญ่ โดยไม่สนใจเรื่องผลกระทบต่อชุมชน ความคุ้มค่า ระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ</p>
<p>ประชาชนอยากเห็นระบบการจัดการน้ำที่เข้าถึงเป้าหมายเชิงพื้นที่มากกว่า ไม่ไปดัดแปลงแม่น้ำ ลำน้ำ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำจนเกิดความเสียหายและขาดสมดุล ควรมุ่งจัดการแหล่งน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน โดยกระจายอำนาจและงบประมาณมายังจุดที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะท่วมหรือแล้ง ที่ตอบโจทย์ประชาชนในแต่ละภูมินิเวศที่แตกต่างหลากหลาย ใช้เงินน้อยและผลกระทบน้อยกว่าเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเขตฯ และอาศัยน้ำฝน (ไม่ว่าจะมีเมกะโปรเจกต์ใด น้ำก็ไปไม่ถึง) เน้นสร้างแหล่งเก็บน้ำและระบบจัดการน้ำในไร่นา บูรณาการร่วมกับชุมชน ท้องถิ่น กรมพัฒนาที่ดิน หรือแม้แต่กรมชลฯ ก็มี สำนักจัดรูปที่ดินและระบบจัดการน้ำเพื่อเกษตรกรรม ที่สนับสนุนและพัฒนาระบบการจัดการน้ำในระดับไร่นา แต่ก็ไม่คอยได้รับการสนับสนุนภารกิจมากนัก ไม่เหมือนกับสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่</p>
<p>จึงอยากให้รัฐบาลฯ โดยเฉพาะท่านนายกฯ ใหม่ ที่อยากพิสูจน์ผลงานในมิติใหม่ฉีกแนวออกไปจากเดิม ไม่ฟังความข้างเดียวแล้วสร้างปัญหาซ้ำซ้อนตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นสำคัญ ดังนี้</p>
<p>1. การทบทวนโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดหนี้สาธารณะผูกพันในอนาคตที่สูง และเสี่ยงไม่คุ้มค่า มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพที่รุนแรงจนไม่อาจชดเชยความสูญเสียหรือลดผลกระทบได้ เช่น โครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูน โครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง หรือเขื่อน ประตูน้ำ ในแม่น้ำสายหลักที่สำคัญ เช่น แม่น้ำสงคราม ซึ่งเป็นแรมซาร์ไซต์ (พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ) แห่งล่าสุด และเป็นแม่น้ำใหญ่สายเดียวที่ยังไม่มีเขื่อนปิดกันลำน้ำ</p>
<p>2) ปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) การประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ให้มีความเป็นอิสระในการพิจารณา มีความเป็นธรรม มีความน่าเชื่อถือในการพิจารณาและตรวจสอบ และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาควิชาการที่หลากหลาย ภาคประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงตั้งแต่ขั้นริเริ่มโครงการ</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">นักวิชาการมอง 'วาทกรรมอีสานแล้ง' มาจากนักการเมือง-ประชาชนต้องการการบริหารจัดการน้ำต้นทุน</span></h2>
<p>ด้านอาจารย์นิรันดร คำนุ หัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า "วาทกรรมอีสานแล้ง" เป็นเสมือนเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองรุ่นเก่า ที่มักก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับคนทั่วไปเกี่ยวกับสภาพเชิงนิเวศของภาคอีสานว่า "อีสานนั้นแห้งแล้งกันดาร" อยู่เสมอ ซึ่งในข้อเท็จจริงสภาพภูมิอากาศความร้อนแล้ง เป็นเพียงฤดูกาลหนึ่งของอีสานที่มีลักษณะเฉพาะเชิงนิเวศหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยน ทั้งฤดูร้อนที่แล้ง ฤดูหนาวที่เยือกเย็น และฤดูฝนที่มีน้ำท่วม-น้ำหลาก อยู่เป็นปกติ แต่ไม่มีผลกระทบรุนแรงยาวนาน จากบทเรียนข้อสรุปในหลายเวทีของเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคอีสานทุกลุ่มน้ำต่างยืนยันว่า สภาพปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งของภาคอีสานเป็น "ปัญหาเรื่องการจัดการน้ำต้นทุน" ให้มีเพียงพอกับการใช้น้ำทั้งในการอุปโภค-บริโภค หรือในภาคเกษตรกรรมในแต่ละปี โดยสิ่งที่ยืนยันสมมุติฐานนี้คือข้อมูลเชิงประจักษ์ของปรากฏการณ์ผลกระทบภายหลังการก่อสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำทั้งในลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำชี ซึ่งพบว่าในฤดูฝนภาคอีสานทั้งลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำชี เกิดสภาพน้ำท่วมตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำจนถึงท้ายน้ำ ในขณะที่พอถึงฤดูหนาว และฤดูร้อน อีสานกลับแล้งจนแม่น้ำบางจุดตื้นเขินเดินข้ามได้ ซึ่งยืนยันว่านี่คือปัญหาการบริหารจัดการน้ำ</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53189884216_d6ee088688_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">นิรันดร คำนุ</span></p>
<p>นิรันดร ระบุต่อว่า บทเรียน 30 ปี จากโครงการโขง ชี มูล สะท้อนความไม่เข้าใจในบริบทเชิงนิเวศ และความหลากหลายของระบบลุ่มน้ำอีสาน ที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของผู้คนในลุ่มน้ำ สัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม และระบบความเชื่อ ซึ่งยึดโยงกันไว้ในฐานะฐานทรัพยากรที่เป็นหัวใจของระบบรวมทั้งหมดของชุมชนท้องถิ่น ในขณะที่โลกทัศน์ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำมักมอง "น้ำ" เป็นเพียงทรัพยากรที่ต้องจัดการและจัดเก็บ มองน้ำเสมือนทรัพยากรที่ต้องถูกกักเก็บในภาชนะกะละมังใบใหญ่ โดยลืมพิจารณาภาพความสัมพันธ์ของน้ำกับระบบนิเวศและผู้คนประชาชนในท้องถิ่น โลกทัศน์การมองน้ำแบบแยกส่วนของหน่วยงานภาครัฐตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก่อให้เกิดโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เกี่ยวกับการกักเก็บน้ำ และความพยายามในการผันน้ำโขงมาสู่ลุ่มน้ำในภาคอีสาน ขณะที่วาทกรรมเรื่องอีสานแล้ง-ท่วม ก็กลายเป็นเครื่องมือการแสวงหาผลประโยชน์จากปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งในภาคอีสานมายาวนานร่วม 30 ปี นับตั้งแต่เกิดโครงการโขง ชี มูล ขึ้นในภาคอีสาน และที่น่าเศร้าก็คือบรรดาโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะคลี่คลายปัญหาเรื่องน้ำ กลับยิ่งทำให้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง เกิดขึ้นหนักกว่าเดิมตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ถามภาครัฐ ทำไมยังดันเมกะโปรเจกต์ แม้มีงานวิจัยเรื่องบ่งชี้เรื่องผลกระทบ</span></h2>
<p>นิรันดร กล่าวว่า ภาพการลงพื้นที่ภาคอีสานของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยมีการพูดคุยให้สัมภาษณ์ในทำนองที่จะฟื้นและพัฒนาต่อ โครงการ โขง เลย ชี มูล ตามที่เสนอข่าวเมื่อช่วงวันที่ 8-9 ก.ย. 2566 คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะว่าในรัฐบาลที่ผ่านมาเมื่อครั้งพรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายค้าน ก็ปรากฏความพยายามในการเสนอโครงการ โขง เลย ชี มูล ต่อรัฐบาล โดย สส.อีสานจากพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลานั้น ขณะที่หากตัดภาพมายังปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจและน่าตั้งคำถามมากที่สุดก็คือ เหตุใด พรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยจึงสนใจ ที่จะผลักดัน และขับเคลื่อนโครงการ โขง เลย ชี มูล ทั้งๆ ที่ทราบข้อมูลจากผลการศึกษา และผลการวิจัยหลายฉบับซึ่งชี้ชัดถึงปัญหาจากการดำเนินโครงการโขง ชี มูล เช่น กรณีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางสังคม กรณีเขื่อนราษีไศล และกรณีเขื่อนหัวนา ในแม่น้ำมูล รวมถึงกรณีเขื่อนร้อยเอ็ด กรณีเขื่อนยโสธร-พนมไพร และกรณีเขื่อนธาตุน้อย ในแม่น้ำชี ซึ่งผลการศึกษาต่างก็ชี้ชัดว่า โครงการ โขง ชี มูล นั้นมีปัญหาทำให้เกิดผลกระทบ ถึงขั้นว่าต้องฟื้นฟูเยียวยาระบบนิเวศ และผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว ขณะที่การศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ รวมถึงข้อกังวลข้อคำถามถึงความคุ้มค่า คุ้มทุน หลักประกันความเสี่ยงและความสูญเสียทั้งในระยะสั้น และระยะยาวก็มิได้มีสิ่งยืนยันว่าจะเกิดผลดี ผลเสียอย่างชัดเจนหากดำเนินโครงการนี้ต่อไป</p>
<p>ถ้าหากตีความเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจจะดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ใดๆ ก็ตาม ในด้านลึก ก็อาจจะพบว่ามีนัยยะของความพยายามในการควบคุมจัดการฐานทรัพยากรสำคัญของชาติให้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ไฟฟ้า หรือพลังงานต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนการคุมบังเหียนประเทศของนักปกครองที่ควบคู่กับการควบคุมบังเหียนทางรัฐศาสตร์บวกเศรษฐศาสตร์เชิงอรรถประโยชน์นิยมของชนชั้นนำ โดยอาจจะใช้กฎหมาย หรือยุทธศาสตร์ชาติต่างๆ เป็นเครื่องมือ ในขณะที่องค์ประกอบของระบบการเมืองเช่นนี้ มักจะมีสัดสวนของ 1. บรรดาพรรคการเมือง-นักการเมืองชั้นนำที่ดูแลกระทรวงนั้นๆ 2. ข้าราชการประจำเจ้ากระทรวง เจ้ากรม 3. ทุนใหญ่ในด้านพลังงานและการจัดการทรัพยากรบวกธนาคารแหล่งทุน "อาจจะพากันดีลลับ" เพื่อร่วมกันกำหนดให้เกิดโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่อาจจะมีธงอยู่แล้วว่าจะต้องดำเนินโครงการให้ได้ผ่านกลไกของรัฐ และระบบรัฐสภา เนื่องจากโครงการลักษณะใหญ่เช่นนี้หากมีการดำเนินการที่ไม่รัดกุม และหากไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน เม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากโครงการก็จะกลายเป็นสายธารผลประโยชน์ที่ไหลไปหล่อเลี้ยงธุรกิจ-กิจการของบรรดากลุ่มผลประโยชน์ และนักการเมืองที่รอฉวยโอกาสจากโครงการลักษณะเช่นนี้ ขณะที่ประชาชนตาดำๆ ก็จะกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ และเผชิญชะตากรรมที่ต้องรอคอยการชดเชย เยียวยา และการแก้ไขปัญหาเป็นวงจรอยู่เช่นนี้</p>
<p>"การประกาศตัวเป็นรัฐบาลประชาชน" ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา นั้นมีความหมายอย่างยิ่งต่อวิถีปฏิบัติในทางการเมืองต่อจากนี้ไป ว่าสิ่งที่รัฐบาลจะพิจารณาดำเนินการนั้นจะต้องยึดโยงกับพี่น้องประชาชน ในขณะที่บทเรียนการล่มสลายของหลายพรรคการเมืองก็ควรเป็นแนวทางที่การเมืองใหม่ในปัจจุบันต้องเรียนรู้ และวิพากษ์ปัญหาการเมืองเก่าที่เน้นเฉพาะผลประโยชน์ของพรรคพวก และให้ข้าราชการประจำชี้นำนโยบายได้โดยไม่มีสมการของพี่น้องประชาชนอยู่ในสูตรของการตัดสินใจในการดำเนินนโยบาย หรือโครงการใดๆ ซึ่งน่าจะไปไม่รอด ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป หากรัฐบาลปัจจุบันตั้งมั่นจะเป็นรัฐบาลประชาชนอย่างแท้จริง จะต้องลงมือแก้สมการปัญหาให้ถูกที่ ถูกเวลา คือการรับฟังประชาชนเจ้าของปัญหา รวมถึงการทบทวนบทเรียนปัญหาที่ผ่านมา การพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้านอย่างหนักแน่น และการสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่หลากหลายสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ทุนทางสังคม และผู้คน และต้องอย่ายอมให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐกลายร่างเป็นปีศาจร้ายทำลายวิถีชีวิตของผู้คนลุ่มน้ำ และทำลายฐานทรัพยากรระบบนิเวศลุ่มน้ำที่หลากหลาย รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตั้งสติเพื่อมอง "น้ำ" ให้เห็นชีวิต เห็นผู้คนประชาชน และเห็นระบบนิเวศที่สัมพันธ์กับสายน้ำ</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/09/105920