'ก้าวไกล' อภิปรายศาลยุติธรรม ตั้งปมงบเบี้ยประชุมเพิ่มทุกปี-ความเหลื่อมล้ำสนามสอบ ผช.ผู้พิพากษา
<span class="submitted-by">Submitted on Wed, 2023-10-11 14:26</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>'ทนายแจม สส.ก้าวไกล' อภิปรายรายงานศาลยุติธรรม ตั้งคำถามงบเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นทุกปี - ฝากพิจารณาความเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ชี้ทำให้ได้กระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนตั้งคำถาม ยกกรณีคดี 112 'อานนท์-วารุณี' ไม่ได้ประกัน เทียบคดี 'อิทธิพล' ได้ประกัน ทั้งที่เคยมีประวัติหลบหนี</p>
<p>11 ต.ค.2566 ทีมสื่อพรรคก้าวไกลรายงานต่อสื่อมวลชนว่า ในการอภิปรายรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2565 โดยสภาผู้แทนราษฎร ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้ร่วมการอภิปราย โดยตั้งคำถามถึงกรณีงบประมาณด้านเบี้ยประชุมที่เพิ่มขึ้นทุกปี และความเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53249224722_393ca67dda_b.jpg" style="width: 1024px; height: 583px;" /></p>
<p>ศศินันท์ ระบุว่าจากที่ได้อ่านงบการเงินของศาลยุติธรรม พบว่ามีงบประมาณด้านหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกต นั่นคือค่าใช้จ่ายในการประชุมที่เพิ่มขึ้นกว่า 119 ล้านกว่าบาท ในปี 2565 เป็น 319 ล้านบาท ซึ่งส่วนต่างนี้เมื่อตนเห็นแล้วก็ตกใจ จึงได้ไปสืบค้นข้อมูลย้อนหลังมาตั้งแต่ปี 2561 ก็พบว่าค่าใช้จ่ายในการจ่ายเบี้ยประชุมอยู่เฉลี่ยปีละ 207 ล้านกว่าบาท</p>
<p>ซึ่งการจ่ายเบี้ยประชุมของสำนักงานศาลยุติธรรม ก็พบอีกว่ามีการกำหนดกรอบเอาไว้ ประกอบด้วยของประธาน ประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง, องค์ประชุมคนละ 8,000 บาท, ผู้เข้าร่วมคนละ 8,000 บาท, เลขานุการคนละ 6,000 บาท แม้จะมีการกำหนดกรอบเอาไว้แล้ว แต่ตัวเลข 319 ล้านกว่าบาทก็ยังเป็นตัวเลขที่สูง ซึ่งประชาชนอาจตั้งคำถามต่อความสมเหตุสมผล ว่าเป็นไปเพื่อให้ศาลมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรมมากขึ้นอย่างไร และในปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการประชุมจะขึ้นไปอีกเป็นเท่าไร</p>
<p>ศศินันท์ ยังได้อภิปรายต่อถึงประเด็นต่อไป เกี่ยวกับกระบวนการคัดสรรผู้พิพากษา โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยระบุว่าในวงการนักศึกษาด้านกฎหมาย เป็นที่ทราบดีว่าช่องทางการเป็นผู้พิพากษาต้องผ่านการสอบ โดยมี 3 สนาม อันประกอบด้วย </p>
<p>1) “สนามใหญ่” ที่ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาตรีด้านกฎหมาย และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 2 ปี
2) “สนามเล็ก” ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต และจบปริญญาโทด้านกฎหมาย และ
3) “สนามจิ๋ว” ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศหลักสูตรไม่น้อยกว่า 2 ปี และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 1 ปี หรือจบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศหลักสูตรไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือจบปริญญาเอกด้านกฎหมายมหาวิทยาลัยในไทย</p>
<p>ไม่นานมานี้ มีการแชร์ในโลกออนไลน์ ถึงตัวเลขที่น่าตั้งข้อสังเกต ว่าผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนสนามจิ๋วในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี 2561 มีจำนวน 21 คน ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพด้านกฎหมายมา ซึ่งอาจตีความได้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าสู่สนามสอบทันที และเมื่อพิจารณาถึงคะแนนสอบของแต่ละสนาม จะพบว่ามีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน สนามจิ๋วให้น้ำหนักกับการสอบภาษามากกว่าด้านอื่นๆ สนามใหญ่เน้นด้านกฎหมายมากที่สุด</p>
<p>ข้อมูลที่น่าสนใจ คือในปี 2560 การสอบสนามใหญ่มีผู้ผ่านการคัดเลือก 33 จาก 7 พันกว่าคน ถือเป็น 0.47% ของผู้สมัคร ขณะที่สนามจิ๋วในปีเดียวกัน มีผู้ผ่านการคัดเลือก 116 คนจากผู้สมัคร 348 คน ถือเป็น 33.33% ของผู้สมัครทั้งหมด ในปี 2561 อัตราสอบผ่านสนามใหญ่อยู่ที่ 1.76% สนามเล็ก 1.40% สนามจิ๋ว 22.18% </p>
<p>ศศินันท์กล่าวต่อไป ว่าจากสถิติจะเห็นได้ว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยในสนามจิ๋วมีโอกาสมากกว่าสนามอื่นถึง 10 เท่าเป็นอย่างน้อย และสะท้อนให้เห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบในสนามต่างๆ อยู่จริง ยังไม่นับรวมกับการ “เก็บคดี” ที่ในวงการนักศึกษากฎหมายทราบดีว่าเมื่อจบมาแล้ว ก็อาจไปขอเก็บคดีตามศาล เพื่อให้ได้คดีตามจำนวนที่จะสอบผู้พิพากษาได้ โดยไม่ได้ว่าความจริง แล้วเอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบ เพื่อมาเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตาชีวิตประชาชน</p>
<p>ด้วยความเหลื่อมล้ำ ทั้งของกระบวนการสอบคัดเลือก การเก็บคดี สวัสดิการ หรือเบี้ยประชุม จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เวลามีการตัดสินคดีความต่างๆ ก็คือความเหลื่อมล้ำในการตัดสิน ในการให้ประกันตัวในแต่ละคดี </p>
<p>เช่น ในคดี มาตรา 112 ของ อานนท์ นำภา จำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญา ไม่ให้ประกันตัวทั้งที่ไม่เคยหลบหนีไปไหน, คดี มาตรา 112 ของ วารุณี จำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่ให้ประกันตัว โดยอ้างว่าเป็นความผิดร้ายแรงและเชื่อว่าจะหลบหนี ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยหลบหนี ขณะเดียวกัน คดีของ อิทธิพล คุณปลื้ม ศาลกลับให้ประกันทั้งที่มีประวัติหลบหนี และยังมีคดีของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ที่ศาลยกฟ้องคดีฆาตกรรม “บิลลี่” โดยชี้ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ศาลก็ให้ประกันตัว</p>
<p>ศศินันท์กล่าวทิ้งท้าย ว่าทั้งหมดนี้ ตนอยากชี้ให้เห็นว่าด้วยกระบวนการคัดเลือกผู้พิพากษา การใช้งบประมาณต่างๆ สิ่งที่ประชาชนได้มา คุ้มค่ากับสิ่งที่ประชาชนเสียไปแล้วหรือไม่</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/10/106317 







