[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 13:02:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การตั้งจิตไว้ถูก  (อ่าน 3722 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553 12:39:34 »




การตั้งจิตไว้ถูก
การบรรลุธรรม  โลกุตตรผล  มีได้จากการตั้งจิตไว้ถูก
อริยสัจจากพระโอษฐ์
ภาคปลาย ธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาส

โลกุตตรผลมีได้จากการตั้งจิตไว้ถูก

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนเดือยเมล็ดข้าวสาลี หรือเดือยเมล็ดข้าวยวะ ที่มันตั้งอยู่ในลักษณะผิดปกติ ถูกย่ำด้วยมือหรือด้วยเท้าแล้ว จักตำมือหรือเท้าที่ย่ำลงไป หรือจักทำโลหิตให้ห้อขึ้นมาได้ นี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่าเดือยแห่งเมล็ดข้าวสาลีนั้นตั้งอยู่ผิดลักษณะ ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุมีจิตตั้งไว้ผิด จักทำลายอวิชชา จักทำวิชชาให้เกิดขึ้น หรือจักกระทำนิพพานให้แจ้งได้ นั้นไม่เป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า? เพราะความที่ตั้งจิตไว้ผิด แล.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนเดือยเมล็ดข้าวสาลี หรือเดือยเมล็ดข้าวยวะ ที่มันตั้งอยู่ถูกลักษณะ ถูกย่ำด้วยมือหรือด้วยเท้าแล้ว จักตำมือหรือเท้าที่ย่ำลงไป หรือจักทำโลหิตให้ห้อขึ้นมาได้ นี้เป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่าเดือยแห่งเมล็ดข้าวสาลีนั้นตั้งอยู่ถูกลักษณะ ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุมีจิตตั้งไว้ถูก จักทำลายอวิชชา จักทำวิชชาให้เกิดขึ้น หรือจักกระทำนิพพานให้แจ้งได้ นั้นเป็นฐานะที่มีได้ เพราะเหตุไรเล่า? เพราะความที่ตั้งจิตไว้ถูก แล.

-เอก. อํ. ๒๗/๙/๔๒-๔๓
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤษภาคม 2553 06:02:24 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เปลี่ยนภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553 12:46:23 »



เบญจพล (พละห้าหรือกำลังห้า)
กำลังที่ใช้ในการตัดกิเลสเพื่อเข้าสู่การบรรลุธรรม


ภาวะที่จะตัดกิเลสขาด หรือตัดความคิด (เบญจขันธ์) ขาดนั้น คุณจะต้องมีกำลังห้าเสมอกัน คือมีการกำหนดอย่างต่อเนื่อง จนกำลังของ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เปี่ยมกำลังขึ้นมาจนแก่กล้าและเสมอกัน อันใดอันหนึ่งนำอยู่ก็ยังไม่พอดี.. ยังไม่ได้จังหวะ..

การกำหนดอย่างต่อเนื่องนั้น (กำหนดจิตให้ปกติ “ตั้งจิตไว้ถูก” ไม่ซัดซ่าย หรือที่เรียกว่านิพพานชั่วคราว) จึงนับเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเหมือนการเตรียมตัวพร้อม พอมีจังหวะเหมาะเท่านั้น มันก็จะหลุดผั๊วะออกมาจากตัวตนได้ทีเดียว

สมาธิภาวนาหรือที่เรียกว่า วิปัสสนาหรือการกำหนดนั้น จึงเหมือนการเติมหยดน้ำเล็กๆ (นิพพานชั่วคราวหรือตั้งจิตไว้ถูก) ลงตุ่มรั่ว ผู้เขียนใช้ตุ่มรั่วเพราะ ตลอดเวลาเราก็จะตกต่ำไปด้วยกิเลสตัณหาที่พร้อมเรียกเราออกไปเล่นจนหลุดออกไปจากสติได้เช่นกัน คนเติมน้ำน้อยแต่รั่วมาก ถึงจะดีกว่าพวกไม่เติม แต่ก็อย่าได้หวังว่าตุ่มนั้นจะเต็มได้

คนเติมต่อเนื่องเป็นเส้นสาย (กำหนดได้ดี) จะทำให้เกิดกำลังมหาศาล จิตจะตื่นหรือเบิกบานอย่างยิ่ง ซึ่งเรียกว่ามีอินทรีย์ห้าแก่กล้าหรือพละห้าแก่กล้านั่นเอง และภาวะที่มีกำลังห้าแก่กล้านี่แหละ ที่จะทำให้เราหลุดจากความคิดได้เมื่อได้สบขณะจังหวะที่มันเสมอกัน

คนที่กำหนดเก่งจนพละห้าแก่กล้ามาก แต่ยังไม่เสมอนั้น คือเกือบๆ จะเสมอแล้วแต่ก็พลาดไป ถือว่าเป็นการพลาดโอกาสทองอย่างยิ่ง เพราะจะเข้าสภาวะฟันกิเลสขาดอยู่แล้ว พอพลาดไปนิดไปหน่อยก็จะหลุดจากโอกาสนั้นทันที ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกโอกาสทองนี้ว่า “ขณะสัมปัตติ” ซึ่งเป็นโอกาสที่เกิดได้ยากยิ่ง ต้องปล่อยวางอย่างยิ่ง ถ้าพลาดแล้วก็น่าเสียดายมาก แต่บางคนก็พลาดแล้วพลาดอีก.. คือมันเสมอได้ยาก อาจจะเสียจังหวะกันไป อันนี้ก็คิดมากไม่ได้อีก คิดมากจิตจะร่วงเปล่าๆ คือเกิดขึ้นได้ยากแต่เสียโอกาสได้ง่าย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤษภาคม 2553 05:51:54 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553 13:02:52 »



สมาธิขั้นไหน สำหรับการบรรลุธรรมแต่ละขั้น

สมาธินับเป็นกำลังสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทะลวงเข้าสู่ความจริง ถ้าพูดกันตามอริยมีองค์แปด ก็ถือเป็นกำลังของหนึ่งในแปด ถ้าพูดกันตามศีลสมาธิปัญญา ก็เป็นกำลังของหนึ่งในสาม หรือพูดง่ายๆ ตามหลักการวิปัสสนา ที่ท่านพุทธทาสอธิบายว่าวิปัสสนาเป็นคำใหม่ สมัยก่อนไม่มีคำนี้เพราะใช้คำว่า “สมาธิภาวนา” ก็ถือว่าสมาธิเป็นกำลังของหนึ่งในสอง นั่นคือ สมาธิกับปัญญา (จริงๆ แล้วย่อมาจากกำลังห้า แต่เหลือแค่ สมาธิภาวนา (ปัญญา))

สมาธิภาวนา หรืออธิบายง่ายๆ ว่า การกำหนดรู้เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง

ไม่ว่าจะกำหนดสมาธิภาวนาโดยอานาปานสติ หรือทางลัด”ใบมือในกำมือ”ที่เป็นทางให้พ้นทุกข์ เข้าถึงภาวะนิพพานหรือความจริงที่พระสัมมาสัมโพธิตรัสสอนไว้ คือ สติปัฏฐานสี่ ในทุกขณะของการกำหนดสตินั้น จะมีสภาวะของสมาธิและปัญญาเกาะเกี่ยวกันอยู่ ผู้มีสติจะมีกำลังของสมาธิและปัญญาควบคู่อยู่ในสตินั้นเสมอ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นกำลังหนุนเนื่องกันตลอดเวลา จะพูดให้เต็มก็คือ การกำหนดสติสัมปัชชัญญะทำให้พละห้าหรืออินทรีย์ห้าแก่กล้าขึ้น

การกำหนดสตินั้น ผู้ที่กำหนดยิ่งมาก จากสมาธิที่ได้เพียงขณิกะสมาธิ หากกำหนดได้ต่อเนื่อง สมาธิจะเพิ่มจากขั้นขณิกะ เป็นอุปจารสมาธิ จากอุปจารเข้าสู่อัปนาสมาธิ (จิตเป็นเอกัคตา) ซึ่งจะเป็นปฐมฌาน (ฌาน1) ไปถึงทุติยณาน (ฌาน2) ตติยณาน (ฌาน3) จตุตถฌาน (ฌาน 4) ได้ทั้งนั้น

คนไม่ชำนาญกว่าจะเข้าสมาธิระดับอัปนาได้ อาจต้องผ่านฌานหนึ่ง อยู่ คือมี วิตก วิจารณ์ ปิติสุข เอกัคตา (แบบทั่วไป คือนั่งทนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวดีเอง)
คนที่ชำนาญอาจไม่ต้องคิดอะไรมาก พอกำหนดก็เข้าสู่ฌานสอง ไม่ผ่านวิตก วิจารณ์ก็ได้ คือมีแค่ ปิติ สุข เอกัคตา เท่านั้น (เก่งมากๆ)
ยิ่งชำนาญขนาดไม่ต้องผ่านปิติด้วยก็เข้า ฌานสาม ได้เลยคือ มีสุข และเอกัคตา
หรือที่เข้าณานสี่ เอกัคตา ได้เลยก็มี กำหนดปุ๊บเข้าณานสี่ได้ (เก่งอะไรจะปานนั้น)

เพียงไม่ทิ้งตัวสติให้อ่อนกว่าสมาธิเท่านั้น กำลังจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าสมาธิมีกำลังสูงอย่างนั้นแล้วแต่ปล่อยให้สติอ่อนกว่า ในสภาวะของสมาธิที่มีกำลังมาก อาจเข้าไปเห็นนั่นเห็นนี่มากกว่ากายหยาบที่เคยเห็น เช่นได้ยินเสียงจากมิติอื่น จิตจากมิติอื่นมารบกวน หากสติตามไม่ทันสมาธิที่มีกำลังมาก ก็อาจจะมีการปรุงแต่งความคิดไปอีกแบบ อธิบายง่ายๆ คนที่เห็นโลกมนุษย์ก็เชื่อโลกนี้ตามที่เห็น คนที่เข้าไปเห็นโลกอื่นถ้าไม่ตั้งสติดีๆ ก็เชื่ออีกโลกใหม่ที่เห็น เราก็ใคร่รู้ใคร่สนใจ จนปล่อยสติไปบ้าง สนุกไปกับภาพมายาใหม่ๆ หรือใครไปเห็นภาพน่ากลัวเข้าหากขาดสติก็จะตกใจ ฟุ้งซ่านไป

แต่หากไม่ปล่อยสติแล้ว ยิ่งกำหนดได้อย่างต่อเนื่อง ภาวะจิตปกติหรือนิพพานชั่วคราวก็จะยาวนานขึ้น ภาวะความคิดน้อยมาก นิมิตไม่รบกวน จิตตื่นตัวทั่วพร้อม ทุกอย่างแจ่มชัด ยิ่งความคิดน้อยลงเท่าไรภาวะความจริง (นิพพาน) ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จนที่สุดหากดับคิดดับตัวตนได้ นิพพานชั่วคราวก็จะกลายเป็นนิพพานถาวร โดยกำลังของการภาวนาจะเข้าไปตัดกิเลสตัณหา (ตัดสังโยชน์ ตามกำลังของอินทรีย์ห้าหรือพละห้า)

โดย - ระดับพระโสดาบันกับพระสกทาคามี ต้องใช้กำลังสมาธิขั้นอุปจารสมาธิขึ้นไปแต่ไม่ถึงขั้นอรูปฌานที่ขาดสติ - ระดับพระอนาคามีกับพระอรหันต์ ต้องใช้กำลังสมาธิปฐมฌานขึ้นไป แต่ไม่ถึงขั้นอรูปฌานที่ขาดสติ (เคยอ่านในหนังสือพุทธธรรมของท่านธรรมปิฎกนานแล้วนะ แต่เนื้อหาในตอนนี้ คงไม่อธิบายรายละเอียด เพราะขี้เกียจกลับไปค้น)

แม้เรื่องของบาปบุญจะไม่เกี่ยวกับการบรรลุธรรม เพราะการหลุดจากกระแสสมมุติเป็นเรื่องเหนือดีเหนือชั่วลอยบุญลอยบาปและลักษณะทวิภาวะทั้งปวง แต่โดยทางอ้อมผู้ที่มีศีลหรือดำเนินไปตามความดีงาม ย่อมเข้าสู่กระแสโลกุตตรธรรมได้ง่ายกว่า เพราะสมาธิที่เกิดจากศีลนั้นมั่นคงและสงบกว่า แม้นักฆ่าบางคนจะมีสมาธิสูง แต่สมาธิที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนศีล จะหวั่นไหวและแปรปรวนตามจิตที่ชั่วร้ายได้ง่าย ดังคำสอนที่ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤษภาคม 2553 06:19:36 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553 13:18:55 »



สติปัฎฐานสี่

คือการกำหนดจิตให้เกาะอยู่กับฐานทั้งสี่ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ให้มีที่จับ ไม่ซัดซ่ายไปกับความคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ซึ่งเกิดจากกิเลส โลภ โกรธ หลง

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้อาการของกายเป็นที่จับ จะด้วยลมก็ดี การเคลื่อนไหวก็ดี

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้อาการของกายเป็นที่จับ จะด้วยเวทนาจากร่างกายที่บังคับไม่ได้ เช่น ปวดหนัก ปวดเบา บาดเจ็บ ปวด เมื่อย คัน ฯลฯ โดยให้จิตไปเกาะกับอาการนั้น หรือแม้แต่เวทนาที่เกิดจากจิตเองไม่เกี่ยวกับกาย เช่น โกรธ เศร้า ปวดร้าว ก็กำหนดดูเวทนานั้น อย่าปรุงแต่งต่อ มีสติรู้ตัวก็ดูความคิดนั้น

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้ฐานจิตให้เห็นความคิด ถ้ากำหนดเป็นจะเห็นคิด ความคิดจะหยุดก็กลับไปเกาะที่ฐานกายต่อ แต่บ่อยครั้ง ที่เป็นความคิดที่ไม่ได้เกิดจากกิเลส โลภ โกรธ หลง อย่างเดียว จะมีตัวปัญญา หรือตัวรู้เข้ามาพิจารณาถึงสิ่งที่รู้สึกนึกคิดอยู่ หากเป็นการพิจารณาที่ถูกทาง ความเข้าใจจะแตกเป็นเปลาะเข้าถึงความเข้าใจที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ

ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน นอกจากคิดงานคิดการ การครุ่นคำนึงถึงสัจจะต่างๆ ก็จะทำให้แตกฉานขึ้น ฐานธรรมนี่คล้ายฐานจิต เพียงแต่เป็นความคิดที่คิดเรื่องสัจจะทั้งทางโลกและธรรม บางคนคิดจนลืมตัวลืมตนไป ปัญญานำสู่สภาวะพละห้าแก่กล้า จนดับด้วยคิดของตัวเองก็มี หรือความคิดที่ฟังของคนอื่นอยู่ก็มี คล้ายๆ ฐานจิตนะ แต่ลึกซึ้งในเรื่องความเข้าใจความจริง


การตีความสติปัฎฐานสี่

ในหมวดของกายคือฐาน กายกับเวทนา ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใดนัก เพราะการกระทำจากกายซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวจากกายบ้าง ลมหายใจบ้าง หรือเวทนาที่เกิดขึ้นจากกาย เช่น ปวดหนัก ปวดเบา หรือ เมื่อย คัน ปวด เจ็บ ซึ่งทำงานร่วมกับเวทนาทางจิต ไม่ยากเกินความเข้าใจ

แต่ในหมวดจิตคือฐาน จิตกับธรรม ใช้อะไรล่ะเป็นตัวเกาะ?? บ่อยครั้งที่ถูกตีความจากหลายสำนักให้หยุดคิดแล้วกลับไปอยู่ที่กายกับเวทนา แต่ผู้เขียนคิดว่ามันน่าจะมีความหมายกว้างกว่านั้น คนชอบคิด บ่อยครั้งที่คิดงาน คิดอะไรเล่นๆ คิดถึงสิ่งที่สงสัย ทำให้รู้จักความคิด เห็นธรรมชาติที่บังคับได้ยาก ปรวนแปรและล่อหลอก จนกว่าจะเกิดสมาธิระดับนึง จะเห็นความคิดหนึ่งถูกดับลงไปเพราะอีกความคิดหนึ่ง หรือไม่..มันก็ดับของมันเอง เราใช้ความคิดให้จิตเกาะได้หรือเปล่า?? เกาะที่จะไม่ฟุ้งซ่าน และสงบไปด้วยการพิจารณานั้นๆ ไม่ต่างจากการเกาะอาการการเคลื่อนไหวหรือเวทนา และเวลามันไม่อยากคิดขึ้นมา จิตก็กลับไปอยู่กับกายและลมหายใจเอง ไม่ต้องบังคับอะไรทั้งนั้น ซึ่งเหมาะกับจริตของคนอีกประเภทหนึ่ง



 รัก   http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=suparatta&month=10-2005&date=14&group=2&gblog=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤษภาคม 2553 06:22:46 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2553 15:18:10 »





บางคนแสวงหาธรรม

ไปสู่สถานที่ต่าง ๆ หลายแห่งเพื่อแสวงหาธรรม

โดยไม่เข้าใจว่ามีธรรมปรากฏอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่เกิดจนตายที่ใกล้ที่สุดคือที่ตัวเองก็เป็นธรรมทั้งหมด

ทุกสิ่งภายนอกก็เป็นธรรมทั้งนั้น

เมื่อไม่รู้ว่าเป็นธรรมจึงไปแสวงหาธรรม

ต่อเมื่อใดได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจธรรม

ก็จะรู้ว่าธรรมนั้นไม่ต้องแสวงหา



(:LOVE:)สาธุ สาธุ สาธุ พรุ่งนี้วัน วิสาขบูชา แล้ว พี่ แป๋ม รัก

ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 พฤษภาคม 2553 15:23:22 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น: อริยสัจ  การตั้งจิตไว้ถูก  โลกุตตร  การตัดกิเลส  สติปัฎฐานสี่  บรรลุธรรม 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.319 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 22 กุมภาพันธ์ 2567 20:55:43