องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้กับบริบทสังคมไทยปัจจุบัน
<span class="submitted-by">Submitted on Wed, 2024-01-17 23:48</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><div class="note-box">
<p>บทความชิ้้นนี้เขียนเมื่อปี 2554 ซึ่งยังมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่บ้าง ในกรณีที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.)กำลังนำพื้นที่สวนป่าฯ ออกเร่ขายหาเงิน ผ่านโครงการคาร์บอนเครดิต</p>
</div>
<p>นับเป็นเวลากว่า 64 ปี (พ.ศ. 2490 – 2554) ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้กำเนิดขึ้นในสังคมไทย ภายหลังจากที่บริษัททำไม้จากอังกฤษและบริษัทต่างประเทศอื่นๆ ซึ่งทำไม้สักในประเทศไทยมานานเกือบ 100 ปี (ประมาณปี 2399-2497) สิ้นอายุการสัมปทานในปี 2497 ทั้งนี้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ออป.เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2499 ด้วยทุนแรกเริ่มที่รัฐจัดสรรให้จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อทำหน้าที่หลักคือ การทำไม้ในเขตสัมปทาน การทำไม้นอกเขตสัมปทานในพื้นที่โครงการต่างๆของรัฐ เช่น พื้นที่สร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ และการใช้หรือขายไม้ที่อายัดจากการลักลอบตัดไม้หรือการทำไม้เถื่อน เป็นต้น </p>
<p>หากพิจารณาวัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง ออป. นอกไปจากการทำไม้แล้ว ยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆอีก เช่น ปลูกสร้างสวนป่า การค้นคว้าวิจัย และเผยแพร่ความรู้ แต่ที่ผ่านมาบทบาทหลักของ ออป.จะเน้นหนักอยู่ที่การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมป่าไม้และการปลูกสร้างสวนป่า เป็นด้านหลัก</p>
<p>ในบทความนี้ เครือข่ายฯ ขออนุญาตนำเสนอมุมมองต่อสถานภาพขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ( ออป.) ภายใต้บริบทสังคมไทยปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาแนวทาง มาตรการแก้ไขปัญหาขององค์กรดังกล่าว ให้เกิดความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อไป</p>
<p>1.ด้านเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 – 2531</p>
<p>ออป. ถือเป็นผู้สัมปทานไม้รายใหญ่ของประเทศ และมีช่วงระยะเวลาการสัมปทานที่ยาวนาน ทำให้รายได้ของ ออป.ในแต่ละปีมีมูลค่ามหาศาล กล่าวคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490-2515 ออป. มีกำไรสุทธิรวม 1,739.91 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 66.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ปี พ.ศ. 2516-2533 ออป. มีกำไรสุทธิรวม 5,276.41 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 293 ล้านบาท ก่อนรายได้จะลดลงในปี 2534 และประสบภาวะขาดทุนในปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา กระทั่งประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนต้องหาทางออกด้วยการเข้าไปทำไม้ในประเทศพม่า แต่ทว่าทำได้เพียง 3 ปีรัฐบาลพม่าก็ยกเลิกการอนุญาต ทำให้รัฐบาลต้องอุดหนุนองค์กรแห่งนี้ปีละไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านบาท </p>
<p>สาเหตุสำคัญที่ทำให้ ออป. ประสบกับภาวะขาดทุนคือ การประกาศยกเลิกการสัมปทานทำไม้ทั่วประเทศ (ยกเว้นป่าชายเลน) ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2532 ภายหลังเกิดพายุเกย์ถล่มภาคใต้ในปลายปี พ.ศ. 2531 ทำให้ ออป. ไม่มีแหล่งรายได้หลักจากการสัมปทานตัดไม้นั่นเอง</p>
<p>หากพิจารณาสถิติรายได้ของ ออป. จะพบว่าลดลงเป็นลำดับ จาก 303.87 ล้านบาทในปี 2533 เหลือเพียง 35.86 ล้านบาทในปี 2534 และ 24.76 ล้านบาทในปี 2535 หลังจากนั้น ออป.ก็หนีไม่พ้นภาวะขาดทุนซึ่งมากถึง 71.40 ล้านบาทในปี 2536 และขาดทุนสะสมเรื่อยๆ กระทั่งในปี 2541 ออป.ขาดทุนสูงถึง 225.88 ล้านบาท</p>
<p><strong>กล่าวโดยสรุป สถานภาพของ ออป.ในทางเศรษฐกิจถือว่าประสบความล้มเหลวในการประกอบการอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังเป็นภาระของสังคมที่ต้องจัดหางบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีประชาชนมาใช้จ่ายในองค์กรแห่งนี้</strong> </p>
<p>2. ด้านนิเวศวิทยา ออป. ผู้รักษาหรือทำลาย เป็นที่แน่ชัดว่าวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ คือ การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไม้ และการปลูกสร้างสวนป่า ซึ่งพื้นที่ดำเนินการจำแนกเป็น 5 ประเภท (โครงการ 1 – 5) จำนวน 124 แห่ง เนื้อที่ทั้งสิ้น 1,118,374.935 ไร่ โดยชนิดพันธุ์ไม้ที่ ออป.ปลูกสร้างส่วนใหญ่คือ ยูคาลิปตัส และปัจจุบันกำลังดำเนินการปลูกยางพาราในพื้นที่สวนป่าเดิม</p>
<p>กระบวนการปลูกสร้างสวนป่าของ ออป. จะมีลักษณะเป็นสวนป่าขนาดใหญ่ (Plantation) โดยการปลูกไม้เศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ซึ่งต้องเตรียมแปลงโดยการไถปรับพื้นที่ ทำให้เกิดการทำลายไม้ธรรมชาติเดิมหมดไป ในหลายพื้นที่ เช่น สวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จะพบว่าเจ้าหน้าที่สวนป่าได้ทำลายไม้ธรรมชาติบางแห่ง เช่น ประดู่ แดง ไผ่ ฯลฯ เพื่อปลูกยางพารา เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ทำให้พื้นที่เสื่อมสภาพ อีกทั้งในหลายพื้นที่ เจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมในการลักลอบนำไม้ธรรมชาติในเขตสวนป่าออกไปจำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว</p>
<p>จากสถิติพื้นที่ป่าไม้ที่จัดทำโดยกรมป่าไม้ ระบุว่าในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่ 171.02 ล้านไร่ หรือร้อยละ 53.33 ของพื้นที่ประเทศ และในปี พ.ศ. 2547 พื้นที่ป่าไม้ลดลงเหลือ 104.74 ล้านไร่ หรือร้อยละ 32.66 ของพื้นที่ประเทศ จำนวนพื้นที่ป่าที่เหลือ ได้ผนวกรวมเอาพื้นที่สวนป่าในการดูแลของ ออป. จำนวน 1,118,374.935 ไร่ ด้วย (ในจำนวนเนื้อที่สวนป่าทั้งหมด เป็นสวนป่าประเภทที่ปลูกตามเงื่อนไขสัมปทานทำไม้ ในโครงการ 2 , 3 , และ 4 ทั้งสิ้น 597,646.75 ไร่)</p>
<p><strong>ดังนั้น การทำไม้จากสวนป่าที่กำลังดำเนินการอยู่ จะทำให้พื้นที่ป่าของประเทศไทยลดลงจากเดิม และ ในสายตาของประชาชนในท้องถิ่นมองว่า ออป. คือผู้ทำลายป่าไม้ ไม่มีภาพลักษณ์ของผู้ทำหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากปลูกแล้วตัด หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “โครงการปลูกไม้ ทำลายป่า”</strong></p>
<p>นอกจากนี้ จากรายงานของกรมทรัพยากรธรณี พบว่าสวนป่าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมีจำนวน 46 สวนป่า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่าง บริเวณดังกล่าวได้มีการตัดไม้สักออกจากสวนป่าเพื่อจำหน่าย และจะทำให้เกิดความรุนแรงของดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากเพิ่มมากขึ้น</p>
<p>ยิ่งไปกว่านั้น ออป. ได้ดำเนินการนำสวนป่าที่ปลูกตามเงื่อนไขสัมปทานทำไม้ ไปขึ้นทะเบียนสวนป่าโดยเป็นผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ทีดินตามกฎหมาย กล่าวคือ ตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้มีกรรมสิทธิ สิทธิครอบครองหรือผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ทีดินตามมาตรา 4 ประสงค์จะใช้ที่ดินนั้นทำสวนป่าเพื่อการค้า ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด......”</p>
<p>ดังนั้น การที่จะกล่าวว่า การดำเนินงานของ ออป. เป็นไปเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศชาติไว้ จึงเป็นคำกล่าวที่หาข้อเท็จจริงไม่ได้ </p>
<p>3. ด้านสังคม การเมือง จากที่กล่าวแล้วว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ ออป. ดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าเป็นการปลูกสร้างตามเงื่อนไขสัมปทานตัดไม้ แต่ในทางข้อเท็จจริง กลับพบว่า ในหลายพื้นที่เป็นที่ดินที่ชาวบ้านถือครองทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ จากนั้นกรมป่าไม้ได้ให้อนุญาต ออป.เข้าดำเนินการปลูกสร้างสวนป่า กระทั่งเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งสภาพเช่นนี้เป็นมาโดยตลอด กระทั่งปัจจุบัน</p>
<p>การปลูกสร้างสวนป่าของ ออป. โดยส่วนใหญ่จะใช้ระบบสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ โดยชักชวนให้ชาวบ้านที่ถือครองทำประโยชน์ในพื้นที่ดินเดิมสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งจะได้รับสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รายละ 1 ไร่ และ 5 – 15 ไร่ ตามลำดับ รวมทั้งสาธารณูปโภคพื้นฐานจำพวกวัด โรงเรียน ไฟฟ้า น้ำประปา และการเป็นลูกจ้างปลูกป่า เป็นต้น </p>
<p>แต่ในทางเป็นจริง การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ออป. ไม่ประสบความตามแผนงานข้างต้น ทั้งการจัดสรรที่ดินทำกิน ที่ไม่สามารถจัดหาให้กับเกษตรกรได้ แต่นำไปปลูกสร้างสวนป่า ส่วนการจ้างงาน จะพบว่า ในระยะ 1–3 ปีแรก จะใช้แรงงานตามแผนการปลูกป่า แต่เมื่อไม้เจริญเติบโตจึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมากในการบำรุงดูแล ทำให้เกษตรกรสมาชิกโครงการประสบปัญหาว่างงานและไร้ที่ดินทำกิน ต้องอพยพแรงงานไปรับจ้างต่างจังหวัด ดังจะเห็นได้จากหมู่บ้านสวนป่าในหลายพื้นที่ของ ออป. </p>
<p>ทั้งนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเกษตรกรผู้ไม่ประสงค์สมัครเข้าเป็นสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ เนื่องจากไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่มาขับไล่ออกจากที่ดินเดิม ต้องออกจากพื้นที่ด้วยสภาพที่อึดอัด คับข้องใจ เนื่องจากการข่มขู่ คุกคามของเจ้าหน้าที่และนักเลงอันธพาลในท้องถิ่นที่ ออป. จ้างวานมา รวมทั้งการใช้มาตรการทางกฎหมายบีบบังคับ และอิทธิพลเถื่อนอื่นๆในบางพื้นที่ เช่น การนำอาวุธสงครามไปฝังไว้ใต้กระท่อมชาวบ้าน แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นและจับกุมในข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง เช่นกรณีชาวบ้านอำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น </p>
<p>ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวข้างต้น ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นบาดแผลเรื้อรังของประชาชนที่เคยถือครองทำกินมาก่อนการปลูกไม้เศรษฐกิจของ ออป. ในปัจจุบันมีชาวบ้านในหลายพื้นที่ได้ลุกขึ้นทวงสิทธิในที่ดินและทรัพยากรของตนเองคืน แต่ ออป. กลับเพิกเฉย และกล่าวอ้างถึงความชอบธรรมในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ความจริงที่ปรากฏต่อสายตาชาวบ้านคือ การปลูกไม้โตเร็ว แล้วตัดขาย บนที่ดินที่พวกเขาถือครองมาก่อน</p>
<p>นอกจากนี้ เมื่อ ออป.ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ องค์กรแห่งนี้ได้พยายามดิ้นรนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สวนป่าในรูปแบบต่างๆ เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว การปลูกยางพาราในพื้นที่สวนป่า การดำเนินโครงการ 1 สวนป่า 1 โรงไฟฟ้าชีวมวล โดยจะเริ่มต้นที่สวนป่าศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นแห่งแรก และการขยายผลจากการปลูกป่าเพื่อเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิต โดยขอสนับสนุนเงินแหล่งทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นญี่ปุ่น มาดำเนินการปลูกป่า แล้วเครดิตจากภาวะการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ที่ปลูก จะเป็นของประเทศผู้ให้ทุน ทั้งนี้ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต ว่าด้วยกลไกการพัฒนาแบบสะอาด (CDM) แต่อย่างไรก็ตาม การดิ้นรนเหล่านี้ ยังไม่สามารถตอบคำถามเรื่องความชอบธรรมจากสังคมได้ รวมถึงเรื่องเดิมที่ ออป.ได้สร้างปัญหามาแล้วยังไม่ได้แก้ไข อีกมากมาย</p>
<p>ในสภาพการณ์เช่นปัจจุบันนี้ อาจกล่าวได้ว่า ออป.ได้หมดยุคสมัย และหมดความจำเป็นต่อสังคมไทยไปแล้ว นับตั้งแต่การสิ้นสุดการสัมปทานตัดไม้ในปี พ.ศ. 2532 การพยายามดิ้นรนหาทางออกเช่นมาตรการข้างต้น นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ยังจะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ทับซ้อนเรื่องเดิมเพิ่มขึ้นอีก</p>
<p>ดังนั้น มาตรการที่น่าจะเหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อสังคมในมิติต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วคือ การยุบองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ แล้วนำพื้นที่มาจำแนกจัดสรรใหม่ทั้งหมด เช่น พื้นที่ที่เหมาะสมในการสงวนไว้เพื่อสิ่งแวดล้อม ให้สิทธิชุมชน ท้องถิ่น และภาครัฐจัดการฟื้นฟูให้เป็นแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์ พื้นที่ที่ประชาชนเคยถือครองทำกินมาก่อน ให้นำมาจัดสรรแก่ชาวบ้านผู้เดือดร้อน โดยอาจจัดการในรูปแบบโฉนดชุมชนหรือรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่</p>
<p><strong>ส่วนทรัพย์สินและบุคลากรของ ออป. รัฐบาลควรมีมาตรการดูแลพนักงานเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุขต่อไป ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ รัฐก็จะได้ไม่ต้องสูญเสียงบประมาณไปปีละ 1,000 กว่าล้านบาท ที่ดินสวนป่าเดิมกว่า 1,000,000 ไร่ ก็จะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสังคมมากขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้บริหารจะมีภาวะผู้นำในการตัดสินใจเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน</strong></p>
<p> </p>
<p><strong>ที่มาภาพ: </strong>นายอำเภอคอนสารบุกเข้าจับชาวบ้านโคกยาว เมื่อ 1 ก.ค.54 ดำเนินคดี 10 คน </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทค
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/01/107674