[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 13:01:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๕๕ เนมิราชชาดก : พระเนมิราช  (อ่าน 60 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 121.0.0.0 Chrome 121.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2567 17:57:00 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๕๕ เนมิราชชาดก
พระเนมิราช

         นานมาแล้ว มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มฆเทวราช ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงมิถิลา นครหลวงของวิเทหรัฐ
          วิเทหรัฐ เป็นชื่อรัฐแห่งหนึ่งอยู่ในชมพูทวีป เป็นดินแดนของพวกวัชชีอีกถิ่นหนึ่ง ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำคงคา ตรงข้ามกับรัฐมคธ
          กษัตริย์มฆเทวราชหรือพระเจ้ามฆเทวะ ทรงเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มฆเทวะ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ได้มีกษัตริย์สืบเชื้อสายอีกมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์ นับเป็นพระราชวงศ์ที่มีกษัตริย์ ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
          ความเหมือนกันของกษัตริย์ราชวงศ์มฆเทวะก็คือ ทุกพระองค์ล้วนดำรงมั่นอยู่ในธรรมะ ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญพรหมวิหาร และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมหงอกแล้วออกบวช
          ในช่วงปลายๆ พระราชวงศ์ กษัตริย์พระองค์หนึ่งเมื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินจนเริ่มเบื่อหน่ายชีวิตทางโลกแล้ว ก็มีรับสั่งแก่นายภูษามาลา (ช่างแต่งผม) ว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกบนศีรษะละก็ขอให้รีบบอกทันที ต่อมาช่างกัลบกเห็นพระเกศาของพระองค์หงอกแล้ว จึงกราบทูลให้ทรงทราบ
          พระเจ้าอยู่หัวครั้นทรงทราบแล้ว ก็ทรงโปรดให้นายภูษามาลาเอาแหนบทองถอนพระเกศา แล้วให้วางไว้บนพระหัตถ์ (มือ) พระองค์ทอดพระเนตรดู (มองดู) พระเกศาที่หงอกเป็นดอกเลา ก็ทรงมองเห็นกาลแห่งมรณะว่าย่างกรายเข้ามาใกล้ประหนึ่งมาเจอผมหงอก ๑ เส้นอยู่ตรงพระนลาฏ (หน้าผาก) จึงมีพระดำริว่า “บัดนี้ถึงคราวที่เราจะต้องออกบวชแล้ว”
          จากนั้นก็โปรดพระราชทานบ้านสวยแก่นายภูษามาลา รับสั่งให้หาพระราชโอรสองค์ใหญ่มา มีพระดำรัสว่า “ลูกเอ๋ย! เจ้าจงครองราชสมบัติต่อจากพ่อเถิด เพราะตอนนี้พ่อจะออกบวชแล้ว”
          พระราชโอรสทูลถามถึงสาเหตุที่จะออกผนวช
          พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “เส้นผมของพ่อหงอกแล้ว เส้นผมเหล่านี้นำวัยผ่านไป เทวทูตปรากฏแล้ว จึงถึงคราวที่พ่อจะออกบวช”
          คำว่า เทวทูต ที่พระเจ้าอยู่หัวตรัสนี้ หมายความถึงเครื่องหมายที่แสดงให้เห็น หรือสัญญาณเตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มิให้มีความประมาท
          เทวทูตนี้จัดเป็น ๓ อย่างก็มี ได้แก่ เด็กแรกเกิด คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย จัดเป็น ๔ อย่างก็มี ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ จัดเป็น ๕ อย่างก็มี ได้แก่ เด็กแรกเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกลงโทษ และคนตาย สรุปลงพูดง่ายๆ อย่างชาวบ้านก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นเอง
          สำหรับเทวทูตที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมองเห็นก็คือ ความแก่ เมื่อทรงเห็นผมหงอก ก็ทรงมองเห็นความแก่ทันที หลังจากนั้นก็โปรดให้มีการอภิเษกพระราชโอรสองค์ใหญ่ให้ขึ้นครองราชสมบัติ แล้วพระราชทานพระบรมราโชวาทว่า “แม้ตัวเจ้าก็เหมือนกัน เมื่อเห็นผมหงอกอย่างนี้แล้ว ก็ควรออกบวชอย่างพ่อ ลูกๆ หลานๆ ควรสืบต่อประเพณีนี้เรื่อยไปอย่าให้ขาดสายได้”
          ตรัสฉะนี้แล้วก็เสด็จออกจากพระนคร ทรงผนวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่า อาศัยใบไม้ผลไม้ดำรงชีวิต เจริญพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตนตลอดชีวิต จนสำเร็จฌานขั้นโลกีย์ เมื่อละจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในพรหมโลก
          แม้พระราชโอรสองค์โตที่ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อจากพระราชบิดาในที่สุด เมื่อทรงเห็นพระเกศาหงอก ก็ได้ออกผนวชเจริญพรหมวิหาร และไปเกิดในพรหมโลก
          พระราชโอรสองค์โตนี้มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ นี้ก็ทรงดำเนินตามพระราชบิดาเช่นกัน
          เป็นอันว่า พระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์มฆเทวราช ได้ทรงสืบสานพระราชประเพณีผมหงอกแล้วออกบวชกันทุกพระองค์ รวมทั้งสิ้น ๘๔,๐๐๐ พระองค์ด้วยกัน อันประเพณีที่ดีนั้น ควรจะได้รักษาสืบสานและสร้างสรรค์ให้คงอยู่มีประโยชน์ต่อไป
          ในบรรดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายเหล่านั้น พระราชามฆเทวะ (พระปฐมบรมกษัตริย์) ที่ทรงบังเกิดในพรหมโลกก่อนกษัตริย์ทั้งปวง ได้ทรงตรวจดูพระราชวงศ์ของพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ทรงออกผนวช โดยขาดไป ๒ พระองค์เท่านั้น คือ ออกบวชกันถึง ๘๓,๙๙๘ พระองค์เท่านั้น ก็ทรงพอพระทัย
          จากนั้นก็ทรงใคร่ครวญดูว่าแต่นี้ราชวงศ์ของพระองค์จะยังคงมีผู้สืบสายต่อไปหรือไม่หนอ ทรงทราบว่าราชวงศ์จะสิ้นสุดเพียงแค่นี้ ทำให้ทรงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรสืบสกุลวงศ์ให้ยืนยาวต่อไป ก็ทรงจุติ (เคลื่อน, ตาย) จากพรหมโลกลงมาปฏิสนธิ (เกิด) ในโลกมนุษย์ โดยถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ
          เมื่อพระครรภ์ได้ ๑๐ เดือน พระอัครมเหสีก็ประสูติพระโอรสออกมาอย่างง่ายดาย
          ในวันขนานพระนามพระราชกุมาร พระเจ้าอยู่หัวได้มีรับสั่งให้โหรหลวงลงมาตรวจพระลักษณะ และทำนายทายทักว่าจะดีร้ายประการใด โหรหลวงพิเคราะห์ดูตามตำราแล้วก็กราบทูลว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอเห็นว่าพระราชกุมารน้อยจะทรงสืบราชสกุลให้ยืนยาวต่อไปอีกอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากพระราชวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต ดังนั้น ต่อจากพระกุมารน้อยนี้ไปเบื้องหน้าก็จักไม่มีผู้สืบราชวงศ์อีก จะหมดสิ้นแต่เพียงนี้ พระพุทธเจ้าข้า”
          เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับดังนั้น ก็ทรงคิดว่ากุมารน้อยนี้มาเกิดเพื่อสืบต่อตระกูลวงศ์ของเรา เหมือนกงล้อรถ ฉะนั้น เราจะตั้งชื่อเขาว่า เนมิกุมาร แปลว่า พระกุมารผู้เป็นเหมือนดังกงล้อรถ
          พระเนมิกุมารทรงเจริญวัยขึ้นตามลำดับ เมื่อทรงรู้ความแล้ว ทรงเป็นผู้ยินดีมีพระทัยใฝ่ในการบำเพ็ญทาน รักษาศีลฯ และถืออุโบสถศีล หรือศีล ๘ ในวันอุโบสถ และทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ในศีลธรรมเช่นนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่นและวัยหนุ่มเป็นประจำสม่ำเสมอ
          อยู่มาวันหนึ่ง พระราชบิดาทอดพระเนตรเห็นพระศกบนพระเศียรของพระองค์เริ่มหงอกประปราย อันเป็นสัญญาณว่ามรณกาลใกล้เข้ามาแล้ว  ดังนั้น พระองค์จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา (ช่างแต่งผม) แล้วมอบราชสมบัติแก่พระเนมิราชพระราชโอรส
          จากนั้นพระองค์ก็ออกผนวชอยู่ในพระราชอุทยานอัมพวัน (สวนมะม่วง) เป็นฤาษีบำเพ็ญพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จนสำเร็จฌาน ครั้นชีวิตหาไม่แล้วก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระเนมิกุมารเมื่อได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระราชาพระนามว่า เนมิราช ก็ทรงโปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ที่กลางพระนคร (กลางใจเมือง) อีก ๑ แห่ง พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สำหรับใช้จ่ายในโรงทานอย่างละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (เท่ากับ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ) ๕ แห่งก็เท่ากับ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (เท่ากับ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท) เป็นประจำทุกวัน
          - ทรงรักษาศีล ๕ เป็นนิตย์
          - ทรงสมาทานศีลอุโบสถ (ศีล ๘) ทุกวันปักษ์คือวันข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันข้างแรม ๑๔ ค่ำ หรือทุก ๑๕ วัน
          - ทรงชักชวนให้ประชาราษฎร์บำเพ็ญบุญกุศลตามอย่างพระองค์เนืองนิตย์
          - ทรงชี้ทางสวรรค์ให้ประชาชนดำเนินไป
          - ทรงขู่ประชาชนให้กลัวภัยในนรก
          - ทรงแนะนำประชาชนให้รู้จักบำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ สมาทานศีลอุโบสถในวันปักษ์ เมื่อตายไปแล้วก็จะไปเกิดในเทวโลก โลกสวรรค์จะเต็มไปด้วยหมู่เทวดา เทพธิดา โลกนรกก็จะว่างเปล่า เพราะไม่มีคนทำชั่วจนเป็นเหตุให้ตกนรก
          ผลจากการสั่งสอนธรรมของพระเจ้าเนมิราช ปรากฏว่าประชาชนพากันปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทไปทั่วทุกระแหง ส่งผลให้เกิดความสุข ความสงบ ความสร้างสรรค์ โดยทั่วถึงกัน บรรดาประชาชนที่ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระเจ้าเนมิราช ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ครั้นตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นเทวดาบ้าง เป็นเทพธิดาบ้าง ต่างก็พูดสรรเสริญพรรณาพระเกียรติคุณของพระเจ้าเนมิราชให้ชาวสวรรค์ด้วยกันฟังในทำนองว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ! พระเจ้าเนมิราช อาจารย์ของพวกเรามีพระทัยใฝ่ในการทำบุญการกุศล ทรงให้ทานรักษาศีลเป็นประจำ พวกเราได้อาศัยพระองค์ท่านจึงได้เสวยทิพยสมบัติ การเสพสุขในสวรรค์ของพวกเรา เพราะได้ฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของท่านแท้ๆ
          แม้ในโลกมนุษย์ประชาชนก็พากันสรรเสริญเกียรติคุณของพระเนมิราชไปทั่วทุกหัวระแหง ราวกับน้ำมันที่เทราดลงบนมหาสมุทร
          วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ทรงเปลื้องเครื่องราชาภรณ์ทั้งปวงออกจากพระวรกาย บรรทมเหนือพระที่สิริไสยาสน์ ทางก้าวลงสู่นิทรารมณ์ตลอดสองยาม แล้วทรงตื่นบรรทมในยามสุดท้าย ทรงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วทรงเกิดความสงสัยว่า “เราให้ทานนับประมาณไม่ได้แก่ประชาชนบ้างและรักษาศีลบ้าง ผลของทานจะมาก หรือผลของการประพฤติพรหมจรรย์จะมากกว่าหนอ”
          ทรงสงสัยอยู่แล้ว แล้วก็ไม่อาจแก้ความสงสัยของพระองค์เองได้ จนกระทั่งร้อนไปถึงพระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราช
          ท้าวสักกเทวราชผู้เป็นพระอินทร์รู้สึกไม่สบายพระทัยในความสงสัยของพระเจ้าเนมิราช จึงเสด็จลงมาในเวลาใกล้สว่างของวัน ๑๕ ค่ำวันหนึ่ง ทรงทำให้พระราชวังสว่างไสวไปทั่ว แล้วเสด็จเข้าสู่ห้องพระตำหนักสิริไสยาสน์ ทรงแผ่รังสีเสด็จประทับอยู่กลางอากาศ เตรียมจะแก้ข้อสงสัยของพระเจ้าเนมิราชให้สิ้นไป
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นพระอินทร์ลอยอยู่กลางอากาศเช่นนั้น เกิดอาการขนลุกซู่ชูชัน แล้วตรัสถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใครรึ เป็นเทวดา คนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้บำเพ็ญทานในชาติก่อน รัศมีของท่านเช่นนี้ เราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ขอให้ท่านจงบอกให้ข้าพเจ้ารู้ด้วย”
          ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าพระเจ้าเนมิราชรู้สึกสยองพระโลมา จึงตรัสตอบว่า “เราเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาเยี่ยมท่าน ท่านอย่าได้รู้สึกเกรงกลัวเราเลย ท่านมีปัญหาอะไรสงสัยก็จงถามมาเถิด”
          พระเจ้าเนมิราชพอได้โอกาสเช่นนั้น จึงตรัสถามว่า “ท่านจอมเทวดา! ผู้เป็นใหญ่ในสรรพสัตว์ หม่อมฉันอยากจะถามพระองค์ว่า ระหว่างทานกับพรหมจรรย์ อย่างไหนมีผลมากกว่ากัน?”
พระอินทร์ตรัสตอบว่า “เพียงแค่รักษาศีลด้วยการงดเว้นจากการร่วมประเวณี ซึ่งเป็นเพียงพรหมจรรย์ขั้นต่ำ ก็ส่งผลให้ผู้ประพฤติตามได้ไปเกิดในตระกูลกษัตริย์แล้ว  ถ้ารักษาศีลแล้วได้บรรลุอุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแน่วแน่, สมาธิที่ยังไม่ดิ่งถึงที่สุด) ซึ่งเป็นพรหมจรรย์ขั้นกลางอีกด้วย จะทำให้ได้เกิดเป็นเทวดา เทพธิดา เสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่บนสวรรค์
          ถ้ารักษาศีลแล้วทำให้สมาบัติแปด (การเข้าฌาน ทำจิตให้เข้าสู่สมาธิอย่างลึกซึ้ง จิตสงบลงถึง ๘ ขั้น) อีกด้วย ซึ่งเป็นพรหมจรรย์ขั้นสูงสุด ก็จะทำให้ไปเกิดในพรหมโลก
          มหาบพิตร! การประพฤติพรหมจรรย์ มีผลมากกว่าการให้ทานถึงร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่าเชียวนะ
          มหาบพิตร! ในอดีตกาล พระเจ้าทุทีปราชแห่งกรุงพาราณสี ได้ทรงบริจาคทานอย่างมากมาย เมื่อเสด็จสวรรคตแล้วก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นกามาพจร (สวรรค์ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกาม)
          พระราชาอีก ๘ พระองค์ คือ พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจอินทรราช พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนรราช พระเจ้าอัตถกราช พระเจ้าอัสสกราช และพระเจ้าปุถุทธนราช ก็เหมือนกัน พระราชาอื่นๆ และพราหมณ์อื่นๆ อีกมากมายที่ได้บูชายัญ บริจาคทานเป็นอันมาก ก็ยังไม่ล่วงพ้นจากเปตภพ กล่าวคือกามาวจรภูมิไปได้  แท้จริง สวรรค์ชั้นกามาพจรนั้นท่านเรียกว่าเปตภพ เพราะสำเร็จอยู่ได้โดยอาศัยผู้อื่น”
          เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกอธิบายอย่างนั้นแล้ว ก็ได้กล่าวถึงดาบสที่อาศัยการประพฤติพรหมจรรย์ จนล่วงพ้นเปตภพแล้ว แล้วไปเกิดในพรหมโลกว่า “มหาบพิตร! หม่อมฉันได้ยินมาว่า ยังมีฤๅษีทั้งเจ็ดซึ่งเป็นพี่น้องกัน คือ ท่านยามหนุ, ท่านโสมยาคะ, ท่านมโนชวะ, ท่านสมุททะ, ท่านมาฆะ, ท่านภรตะ, ท่านกาลปุรักขิตะ, กับฤๅษีอีก ๔ ท่าน คือ ท่านอังคีรส, ท่านกัสสปะ, ท่านกีสวัจฉะ และท่านอกันติ  ท่านฤๅษีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอนาคาริก ไม่มีเหย้าเรือน บำเพ็ญตบธรรมคือศีลและสมาบัติแปด ได้ก้าวล่วงพ้นเปตภพ คือ กามาพจรภพได้แล้ว”
          พระอินทร์ตรัสสรรเสริญพรหมจรรย์ว่ามีผลมากตามที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็ทรงนำเรื่องที่เคยเห็นด้วยพระองค์เองมาเล่าว่า
          “มหาบพิตร! ในอดีตกาล ยังมีแม่น้ำสายหนึ่งเรียกกันว่า แม่น้ำสีทา ไหลไประหว่างภูเขาทองสองลูกในดินแดนป่าหิมพานต์ ด้านทิศเหนือเป็นแม่น้ำลึกมาก แม้ใช้เรือก็ยังข้ามได้ยาก เพราะแม่น้ำนั้นเป็นน้ำใสละเอียด ยิ่งแม้แววหางนกยูงตกลงไปในนั้นก็ไม่อาจจะลอยอยู่ได้จะจมลงถึงก้นทีเดียว เพราะเหตุนั้น แม่น้ำดังกล่าวจึงชื่อว่า สีทา
          ที่ริมฝั่งแม่น้ำสีทา ภูเขาทองสองลูกนั้นมีสีดุจไฟสีครามส่องแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา และริมฝั่งแม่น้ำนั้นมีต้นกฤษณางอกงามขึ้นอยู่มากมาย เป็นกฤษณาที่มีกลิ่นหอมมาก ภูเขาลูกอื่นๆ มีหมู่ไม้นานาพรรณขึ้นงอกงาม ออกดอกออกผลสะพรั่งปกคลุมตลอดทั่วทั้งภูเขา
          ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์มีบรรดาฤๅษีประมาณหมื่นท่านด้วยกันปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอภิญญา ๕ (อภิญญา คือ ความรู้ยิ่ง ความรู้ชั้นสูงมี ๖ อย่าง คือ ๑.อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น เหาะได้, หายตัวได้, ย่นหนทางได้  ๒.ทิพยโสต หูทิพย์ คือ ประสาทหูมีญาณวิเศษ สามารถได้ยินทุกสิ่งทั้งใกล้และไกล  ๓.เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่นอ่านความคิดของเขาได้  ๔.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้  ๕.ทิพยจักขุ ตาทิพย์ นัยน์ตาที่สามารถดูอะไรเห็นได้หมด ทั้งในทึ่อับที่แจ้ง ทั้งใกล้และไกล ทั้ง ๕ ข้อนี้นับเป็นโลกียอภิญญา ซึ่งฤๅษีทั้งหลายเหล่านั้นมีอยู่  แต่โลกุตตรอภิญญา อภิญญาขั้นโลกุตตระ ซึ่งเป็นอภิญญาข้อที่ ๖ คือ อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้อาสวะกิเลสที่หมักดองอยู่ในสันดานหมดสิ้นไปนี้ ฤๅษีเหล่านั้นไม่มี)  และสมาบัติ ๘ ทั้งสิ้น (สมาบัติ แปลว่า สภาวะสงบประณีตที่พึงเข้าถึง ฤๅษีเหล่านั้นมีสมาบัติ ก็คือสามารถเข้าฌาณถึงขั้นทำจิตเป็นสมาธิได้อย่างลึกซึ้ง มี ๘ อย่าง คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔)
          ในเวลาภิกขาจาร (เที่ยวไปบิณฑบาต) บรรดาพระฤๅษีทั้งหลายเหล่านั้นก็แยกกันไปคนละถิ่น พระฤๅษีบางพวกไปยังอุตตรกุรุทวีป เป็นทวีปที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ บางพวกนำผลหว้าใหญ่มา บางพวกนำผลไม้หวานน้อยใหญ่มาจากป่าหิมพานต์ บางพวกไปตามหมู่บ้าน ตำบล ชนบท เมืองต่างๆ ทั่วทั้งชมพูทวีป พระฤๅษีจำนวนเป็นหมื่นนั้นไม่ได้หลงรสในอาหารเหล่านั้นเลย พวกท่านไม่ได้ถูกตัณหาความอยากในรสเข้าครอบงำแม้แต่น้อย ความสุขของพระฤๅษีเหล่านั้น เป็นความสุขที่เกิดจากฌานอย่างเดียว
          ครั้งหนึ่งพระฤๅษีท่านหนึ่งเหาะไปยังกรุงพาราณสี เพื่อเที่ยวไปบิณฑบาต ท่านเดินไปตามลำดับจนกระทั่งประตูเรือนของปุโรหิต พราหมณ์ผู้เป็นที่ปรึกษาของพระราชา เขาเห็นบุคลิกลักษณะกิริยาอาการอันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของท่านแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใส นิมนต์ท่านเข้าไปในบ้านนำอาหารมาถวาย พูดคุยปราศรัยกับท่านด้วยความนอบน้อม แล้วได้นิมนต์ท่านให้มาฉันอาหารอีก
          ผ่านไปได้ ๒-๓ วัน พอคุ้นเคยกันแล้ว ปุโรหิตได้ถามพระฤๅษีว่า “พระคุณเจ้าครับ! ท่านพำนักอยู่ที่ไหนหรือครับ?”
          ปุโรหิตถามต่อ “ที่ป่าหิมพานต์นั้นมีพระฤาษีอยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐,๐๐๐ ตน พระฤๅษีเหล่านั้นล้วนแต่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ทั้งสิ้น”
          ปุโรหิตได้ยินคุณของพระฤๅษีเหล่านั้น จิตใจก็น้อมไปใคร่จะบวชเพื่อจะได้คุณคืออภิญญาและสมาบัติอย่างพระฤๅษีบ้าง จึงกล่าวว่า “พระคุณเจ้า! ท่านจงพาข้าพเจ้าไปบวชที่ป่าหิมพานต์นั้นบ้างเถิด ข้าพเจ้าอยากบวชจริงๆ”
          “ประสก! ท่านเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน อาตภาพคงบวชให้ไม่ได้หรอก”
          “ถ้าอย่างนั้น ในวันนี้ข้าพเจ้าจะไปทูลลาพระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ในพรุ่งนี้ขอให้พระคุณเจ้ามารับข้าพเจ้าไปด้วย”
          พระฤๅษีรับคำตามนั้นแล้วก็เหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์
          ฝ่ายปุโรหิตรับประทานอาหารเช้าแล้วก็รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระราชาทันที เมื่ออยู่ในเฉพาะพระพักตร์แล้วก็กราบทูลว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะออกบวช พระพุทธเจ้าข้า”
          พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ทำไมท่านจึงคิดอยากบวชเสียเล่า”
          “เพราะข้าพระพุทธเจ้ามองเห็นโทษในกาม และเห็นผลดีในการออกบวชพระพุทธเจ้าข้า”
          “ถ้าท่านอาจารย์อยากบวชจริงๆ ข้าพเจ้าก็จะอนุญาตให้บวชได้ แต่ว่าเมื่อบวชแล้วให้นึกถึงข้าพเจ้าบ้าง อย่าลืมกันเสียล่ะ”
          ปุโรหิตรับพระดำรัสว่า “พระพุทธเจ้าข้า” แล้วถวายบังคมลากลับไปยังเรือนของตน
          เมื่อไปถึงบ้าน เขาก็เรียกลูกเมียมาอบรมสั่งสอน มอบทรัพย์มรดกให้ปกครองดูแลและใช้สอยให้เกิดประโยชน์สุข ส่วนตัวเองก็ถือเอาแต่บริขารที่ใช้ในการบวช แล้วนั่งรอพระฤๅษีมารับ สักพักหนึ่งพระฤๅษีท่านนั้นก็มาถึง เขานำอาหารมาถวายท่านแล้ว เขาเองก็รับประทานเองจนอิ่ม จากนั้นพระฤๅษีก็พาเขาไปบวชที่ป่าหิมพานต์ให้พักอยู่ที่เดียวกับตน จัดหาอาหารมาให้ แล้วได้สั่งสอนให้บริกรรมกสิณ (เพ่งวัตถุเพื่อจูงจิตใจให้เป็นสมาธิ) ผ่านไปได้ ๒-๓ วัน พระฤๅษีปุโรหิตได้รับการฝึกฝนอบรมจากอาจารย์ ก็สามารถบรรลุอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้ ครั้นบรรลุธรรมระดับนั้นแล้ว ท่านก็สามารถเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากอาจารย์ เพราะเหาะมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ตำบลชนบท และในเมืองได้อย่างสะดวกสบาย
          อยู่มาวันหนึ่ง พระฤๅษีปุโรหิตได้หวนระลึกถึงปริญญาที่เคยให้ไว้แก่พระเจ้าอยู่หัว ก็คิดว่าสมควรจะไปเข้าเฝ้า จึงกราบลาอาจารย์และฤๅษีทั้งหลาย เหาะไปยังกรุงพาราณสี เดินเที่ยวภิกขาจารไปเรื่อยจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระเจ้ากรุงพาราณสีทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงจำได้ จึงรีบเสด็จออกมาต้อนรับอาราธนาให้เข้าข้างใน ทรงกราบท่านแล้วก็ตรัสถามว่า “พระคุณเจ้า! ท่านอยู่ที่ไหนหรือ?”
          อาตมภาพอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสีทาที่ไหลไประหว่างภูเขาทองสองลูก ในดินแดนในป่าหิมพานต์ ด้านทิศเหนือ ขอถวายพระพร”
          “พระคุณเจ้าอยู่ที่นั่นรูปเดียว หรือมีผู้อื่นอยู่ด้วย?”
          “มหาบพิตร! ที่นั่นมีฤๅษีอยู่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ท่านเหล่านั้นล้วนแต่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ทั้งสิ้น”
          พระเจ้าแผ่นดินทรงสดับเช่นนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงตรัสนิมนต์ให้ฤๅษีเหล่านั้นมารับบิณฑบาตในวังทั้งหมด ทรงขอร้องให้พระฤๅษีปุโรหิตนำฤๅษีทั้งหมดมาให้ได้
          พระฤาษีปุโรหิตทูลว่า “ขอถวายพระพร! พระฤๅษีเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ติดรสชาติอาหาร อาตมภาพเห็นจะไม่อาจพาพวกฤๅษีเหล่านั้นมาได้หรอก”
          “แต่ข้าพเจ้าอยากจะถวายอาหารแก่พระฤๅษีทั้งหลาย ถ้าอย่างไรพระคุณเจ้าโปรดบอกวิธีการให้ข้าพเจ้าได้รู้ด้วยเถิด”
          “ขอถวายพระพร! ถ้าพระองค์มีพระราชประสงค์จะถวายอาหารแก่พระฤๅษี ก็โปรดเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำสีทาเถิด”
          “ดีละ พระคุณเจ้า!”
          แล้วพระเจ้าแผ่นดินก็โปรดให้เจ้าพนักงานจัดเตรียมอาหาร จากนั้นขบวนเสด็จก็ออกจากพระนคร บรรลุถึงริมฝั่งแม่น้ำสีทาโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ของพระฤาษีปุโรหิตนั่นเอง เมื่อถึงริมฝั่งแม่น้ำสีทาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดให้จัดตั้งค่าย สร้างพลับพลาที่ประทับบนชัยภูมิที่เหมาะสม พระฤๅษีปุโรหิตได้แนะนำพระเจ้าแผ่นดินไม่ให้ประมาทในการอยู่ที่นั่น ถวายพระพรแล้วก็เหาะกลับไปยังอาศรมของตน
          ในวันรุ่งขึ้น พระฤๅษีปุโรหิตก็เหาะมาบิณฑบาตที่ริมฝั่งแม่น้ำสีทา โดยเหาะตรงไปยังพลับพลาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินถวายอาหารแด่พระฤๅษีด้วยตนเองโดยความเคารพ พอท่านฉันเสร็จแล้ว จึงตรัสนิมนต์ว่า “พรุ่งนี้เช้า ขอให้พระคุณเจ้าพาพระฤาษีทั้งหมดมารับอาหารที่พลับพลานี้ด้วยเถิด”
          พระฤๅษีปุโรหิตรับว่า “ดีละ” แล้วก็เหาะกลับไปแจ้งให้พระฤๅษีทั้งหลายไปรับบิณฑบาตของพระราชา
          พระฤๅษีทั้งหลายรับว่า “ดีละ” แล้วรุ่งขึ้นก็พากันเหาะไปยังพลับพลาของพระเจ้าแผ่นดิน”
          พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกจากพลับพลามาต้อนรับบรรดาพระฤๅษี ให้ท่านนั่งบนอาสนะ ทรงนำอาหารอย่างดีมาถวายพร้อมด้วยข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ เมื่อพระฤๅษีทั้งหลายฉันกันจนอิ่มนำสำราญแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงนิมนต์ท่านเหล่านั้นมาฉันในรุ่งขึ้นอีก
          ในรุ่งขึ้น พระองค์ทรงนิมนต์ให้มาฉันอีก และทรงนิมนต์ต่อเนื่องกันมาอีกหลายวัน จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายปี จนกระทั่งทรงโปรดให้สร้างเมืองสร้างบ้านเรือนให้ จัดที่ทำกสิกรรมขึ้นในที่ตรงนั้นเลย
          มหาบพิตร! พระเจ้าแผ่นดินที่หม่อมฉันกล่าวถึงนี้มิใช่ใครอื่น ที่แท้ก็คือตัวหม่อมฉันนั่นเอง แม้หม่อมฉันจะบริจาคทานอย่างมากมายจนได้ชื่อว่าเป็นยอดคนผู้เลิศด้วยการบริจาคทาน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า การบำเพ็ญบุญอย่างนี้ไม่ทำให้หม่อมฉันล่วงพ้นจากเปตภพไปเกิดในพรหมโลกได้เลย สู้พระฤๅษีเหล่านั้นก็ไม่ได้ พวกท่านรักษาศีลเป็นคุณธรรมที่มีอานิสงส์มาก คือ การรักษาศีลนั้นมีอานิสงส์มากกว่าการให้ทาน การให้ทานส่งผลให้เกิดในสวรรค์ แต่การรักษาศีลส่งผลให้เกิดถึงในพรหมโลก
          แต่อย่างไรก็ตาม แม้การประพฤติพรหมจรรย์จะมีผลมากกว่าทาน ถึงอย่างนั้นธรรมทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นของมหาบุรุษเช่นเดียวกัน การให้ทานกับการรักษาศีลต่างเป็นความดีด้วยกัน จึงสมควรที่เราจะได้ทั้งสองอย่างคู่กันไป การที่พระองค์ทรงบริจาคทานด้วย รักษาศีลด้วยนั้น ชื่อว่าได้ทำถูกต้องสมควรแล้ว
          ครั้นประทานพระโอวาทแด่พระเจ้าแผ่นดินเช่นนั้นแล้ว พระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราชจอมเทวดาก็เสด็จกลับสู่เทวสถานวิมานทิพย์ พระเจ้าเนมิราชได้รับฟังคำตอบจากพระอินทร์ก็หมดสิ้นข้อสงสัย เกิดปีติความอิ่มใจโสมนัส ความดีใจสุขใจปลาบปลื้มอย่างที่สุด
          พระอินทร์เมื่อกลับไปถึงสวรรค์แล้ว ก็ถูกหมู่เทพทูลถามว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า! พระองค์เสด็จไปไหนมาหรือ?”
          พระอินทร์ตรัสตอบว่า “เราลงไปแก้ข้อสงสัยของพระเจ้าเนมิราช แห่งมิถิลานครในโลกมนุษย์มาน่ะซิ พวกท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า ในโลกมนุษย์นั้นได้มีบุคคลผู้ประกอบคุณงามความดีอย่างยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าเนมิราชของชาวแคว้นวิเทหะ เป็นกษัตริย์ผู้มีปัญญาทรงคุณธรรม ไร้ศัตรูปองร้าย พระองค์มีพระทัยในการบุญการกุศลยิ่งนัก ทรงบริจาคทานและรักษาศีลเป็นประจำ ยากจะหาใครเทียมเท่าได้ ทั้งยังได้แนะนำสั่งสอนประชาชนให้เอาอย่างพระองค์อีกด้วย จนบ้านเมืองของพระองค์มีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุข และสร้างสรรค์ทั่วไปทั้งพระนครทีเดียว”
          เหล่าเทวดาและเทพธิดาได้ฟังดังนั้น ก็ใคร่จะพบพระเจ้าเนมิราช จึงทูลว่า “มหาราชเจ้า! พระเจ้าเนมิราชเป็นอาจารย์ของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ ทิพย์สมบัติสุขในสวรรค์ที่พวกเราได้รับอยู่นี้ก็เพราะอาศัยพระองค์ พวกเราจึงอยากจะเห็นพระองค์เหลือเกิน พระองค์มหาราชเจ้าเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นมาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ถ้วยเถิด พระเจ้าข้า”
          พระอินทร์ทรงรับคำแล้วก็มีพระบัญชาให้มาตลีเทพบุตรขับรถเวชยันตราชลงไปรับพระเจ้าเนมิราชในเมืองมนุษย์ มาตลีเทพบุตรรับเทวโองการแล้วก็เทียมเทพรถขับออกไป ใช้เวลาเดินทาง ๑ เดือน นับอย่างมนุษย์ก็ถึงโลกมนุษย์
          ในคืนวันนั้นขณะที่พระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญ พระองค์ทรงเปิดสีหบัญชร (หน้าต่าง) ด้านทิศปราจีน (ทิศตะวันออก) แวดล้อมอยู่ด้วยหมู่อำมาตย์ ประทับนั่งอยู่ในท้องพระโรง ทรงกำหนดพิจารณาถึงศีล ทันใดนั้น เวชยันตราชรถของมาตลีก็ปรากฏขึ้น พร้อมด้วยดวงจันทร์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้า ประชาชนซึ่งบริโภคอาหารเย็นกันแล้ว ก็พากันนั่งสนทนาปราศรัยอยู่ข้างประตูเรือนของตนอย่างมีความสุข เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แปลกจริงนะ! วันนี้มีพระจันทร์ขึ้นมาตั้งสองดวง”
          ครั้นเวชยันตราชรถปรากฏใกล้เข้ามา พวกเขาจึงพูดกันว่า “นี่ไม่ใช่พระจันทร์ แต่เป็นราชรถ”
          เมื่อเวชยันตรถเทียมด้วยม้าสินธพนับพันตัว ขับมาด้วยเทพบุตรมาตลี ใกล้เข้ามามากขึ้น พวกเขาจึงคิดกันว่า ทิพย์ยานนี้มาเพื่อใครกันหนอ แต่เมื่อมองไม่ห็นใคร ก็พากันสันนิษฐานว่า คงจะมาเพื่อพระเจ้าแผ่นดินของเราเป็นแน่ เพราะพระเจ้าแผ่นดินของเราเป็นแน่ พระเจ้าแผ่นดินของเราทรงเป็นธรรมิกราช ท้าวสักกเทวราชคงจะส่งมาเพื่อพระองค์นั่นเอง ซึ่งก็เป็นการสมควรแก่พระเจ้าแผ่นดินของเราโดยแท้ แล้วก็พากันร่าเริงยินดีปรีดาปราโมทย์ และกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เหตุอันน่าขนลุกขนชันไม่เคยมี บัดนี้บังเกิดขึ้นในโลกแล้วหนอ รถทิพย์ปรากฏขึ้นเป็นพระเจ้าวิเทหรัฐ ผู้มีเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่” เมื่อประชาชนกล่าวกันอยู่อย่างนี้ มาตลีเทพบุตรก็มาถึงโดยพลัน แล้วกลับรถให้ท้ายรถอยู่ตรงหน้าต่างเตรียมการรับเสด็จให้พร้อม พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ทูลเชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้น ด้วยคำทูลว่า “ท่านกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่! ขอเชิญเสด็จมาทรงบัดนี้เถิด บรรดาเทพชั้นดาวดึงส์พร้อมทั้งองค์อินทร์อยากจะพบเห็นท่าน ตอนนี้พวกเขาประชุมคอยเฝ้าอยู่ที่สุธรรมาสภา”
          พระเจ้าเนมิราชได้รับคำเชิญเช่นนั้น ก็ทรงดำริว่าดีเหมือนกัน เราจะได้เห็นเทวโลกสักที เกิดมายังไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นคราวนี้แหละ เมื่อมาตลีเทพบุตรมาชักชวนช่วยเหลืออย่างนี้ เราก็จะไปตามคำเชิญ แล้วตรัสเรียกคนฝ่ายใน ข้าราชบริพาร ขุนนาง ข้าราชการ และประชาชนทั้งหลายมาสั่งว่า “เราจะไปไม่นานหรอกนะจะกลับมา ท่านทั้งหลายอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท จงหมั่นทำบุญให้ทาน รักษาศีล ให้เป็นประจำเถิด จะเกิดผลดีต่อชีวิตไปตลอดชาติ”
          ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จขึ้นประทับเวชยันตราชรถแล้วก็เคลื่อนออกจากโลกมนุษย์ไป
          เมื่อเวชยันตราชเคลื่อนไปแล้วระหว่างทาง มาตลีเทพบุถตรก็ทูลถามพระเจ้าเนมิราชว่า “เราจะไปทางไหนก่อนดี จะไปทางสวรรค์ทางของสัตว์ทำบุญ หรือจะไปทางนรก ทางของสัตว์ทำบาปก่อน?”
          พระเจ้าเนมิราชตรัสว่า “เราอยากจะไปดูทั้งสองทางนี้แหละ เพราะยังไม่เคยเห็นทั้งนั้น”
          “แต่ข้าพระองค์ไม่อาจจะแสดงทั้งสองทางพร้อมกันคราวเดียวได้”
          “ถ้าอย่างนั้น เราขอไปดูนรกก่อนก็แล้วกัน เพราะสวรรค์เราจะต้องไปอยู่แน่แล้ว”

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 กุมภาพันธ์ 2567 18:01:54 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 121.0.0.0 Chrome 121.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2567 18:00:04 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๕๕ เนมิราชชาดก (ต่อ)
พระเนมิราช

         มาตลีเทพบุตรจึงขับเวชยันตราชรถพาพระเจ้าเนมิราชมุ่งไปทางนรกก่อน โดยได้พาไปให้เห็นแม่น้ำเวตรณี ที่ตั้งขึ้นดังฤดูปัจจัยเกิดแต่กรรม บรรดาผู้คุมนรกหรือยมบาลในนรกนั้นต่างถือศาสตราวุธทื่มีเปลวไฟลุกโพลงอยู่ เช่น ดาบ มีด หอก หอกซัด และไม้พลอง เป็นต้น เข้าประหาร ทิ่มแทง โบยตีสัตว์นรกทั้งหลายอย่างรุนแรง สัตว์นรกเหล่านั้นเมื่อทนทานต่อความเจ็บปวดไม่ได้ก็ตกลงไปในแม่น้ำเวตรณี เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายอยู่ที่ต้นหวายไปนานๆ ก็จะตกลงมาถูกหลาวเสียบ มีสภาพราวกับเสียบปลาย่างไฟ และถูกอยู่อย่างนั้นนานเหลือเกิน
          หลาวที่ว่านั้นมีไฟลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา ที่ตัวสัตว์นรกก็มีไฟลุกโพลง ที่ใต้หลาวลงไปมีบัวเหล็กแหลมคมดุจมีดโกนลุกเป็นไฟอยู่ใต้น้ำ พอสัตว์นรกหลุดจากหลาวเหล็กก็ตกลงไปในใบบัวเหล็ก ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จากนั้นสัตว์นรกเหล่านั้นก็จะตกลงไปในน้ำกรด ซึ่งน้ำนั้นก็ลุกเป็นไฟ ที่ตัวสัตว์นรกก็มีไฟลุกโพลง และได้เกิดควันไฟขึ้นด้วย ที่ใต้น้ำกรดนั้นมีท้องน้ำดารดาษไปด้วยเครื่องประหารคมกริบ สัตว์นรกทั้งหลายคิดในใจว่าข้างล่างนี้จะเป็นอย่างไรหนอ แล้วก็ดำน้ำลงไป ปรากฏว่าร่างกายก็ขาดเป็นท่อนๆ พวกเขาไม่สามารถจะทนทุกข์ทรมานได้ ก็ร้องโหยหวนส่งเสียงออกมาน่ากลัวมาก
          บางครั้งพวกเขาก็ถูกพัดไปตามกระแสน้ำ บางครั้งก็ลอยทวนกระแสน้ำ แล้วจะถูกพวกผู้คุมนรกหรือยมบาลที่ยืนอยู่ริมฝั่ง ใช้ลูกศรยิงเอาบ้าง ใช้มีดฟันบ้าง ใช้หอกแทงบ้าง ใช้หอกซัดทะลวงเอาบ้าง แล้วก็เสียบเขาไว้เหมือนปลา พวกเขาได้รับความเจ็บปวดแรงกล้าก็ส่งเสียงร้องลั่นไปตามๆ กัน
          ต่อมายมบาลก็เอาเบ็ดเหล็กที่มีไฟลุกโพลงเกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้น ลากมาให้นอนบนแผ่นดินเหล็กที่มีไฟลุกโพลง แล้วยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไปในปาก
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกได้รับทุกขเวทนาขนาดนั้นก็สะดุ้งกลัว แล้วตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “สัตว์นรกเหล่านั้นได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ”
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านั้น เมื่อตอนอยู่ในโลกได้เบียดเบียน ด่าว่าผู้มีกำลังน้อยกว่า ครั้นตายไปก็ตกนรกเวตรณี”
          เมื่อมาตลีเทพบุตรพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยมชมเวตรณีนรกจนทั่วแล้ว ก็บันดาลให้ภาคพื้นแห่งนรกหายไป แล้วขับรถต่อไปอีกก็ถึงภาคพื้นนรกสุนัข เป็นนรกที่มีสุนัข แร้ง กา คอยกลุ้มรุมทำร้ายกัดกินสัตว์นรกอยู่ตลอดเวลา
          พวกสุนัขที่มาทำร้ายกัดกินสัตว์นรกนั้นเป็นสุนัขสีแดง ด่าง และขาว ดำ เหลือง  สุนัขเหล่านั้นโตขนาดเท่าช้างใหญ่ วิ่งไล่กัดสัตว์นรกทั้งหลายราวกับวิ่งไล่ล่าเนื้อบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟ พอสัตว์ล้มลงไปร้องครวญครางอยู่ มันก็เหยียบหน้าอกสัตว์นรก ทึ้งเนื้อของสัตว์นรกมากัดกินจนเหลือแต่เยื่อติดกระดูก
          ฝูงแร้งที่มาทำร้ายมากัดกินสัตว์นรกเป็นแร้งปากเหล็ก ตัวใหญ่เท่ากับเกวียนบรรทุกของทีเดียว พวกมันจะแทะกระดูก ใช้จะงอยปากที่คมกริบเหมือนกรรไกรจิกกินเนื่อเยื่อในกระดูกของสัตว์นรกเหล่านั้น
          สำหรับฝูงกาที่มาทำร้ายกัดกินสัตว์นรกนั้น เป็นกาปากเหล็ก ตัวใหญ่ ตาแดงกล่ำ น่ากลัวมาก พวกมันจะกัดกินสัตว์นรกทุกตัวที่พบเห็น
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็ตกพระทัยจึงตรัสถามว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ จึงเป็นเช่นนี้”
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวจัด ไม่ยอมเสียสละแบ่งปันให้แก่ใครๆ ด่าว่า ดูหมิ่น เบียดเบียน โบยตีสมณะและพราหมณ์ จึงต้องมารับผลของกรรมชั่วเช่นนี้”
          เมื่อชมนรกสุนัขจนเบื่อแล้ว มาตลีเทพบุตรก็นำพระเจ้าเนมิราชเที่ยมชมนรกทองแดงต่อไป  
          นรกทองแดงนี้ สัตว์นรกจะมีไฟลุกโพลงทั่วร่างกาย พวกสัตว์นรกจะเดินเหยียบอยู่บนแผ่นดินเหล็กที่มีไฟลุกโพลงอยู่ ถูกยมบาลโบยตีด้วยท่อนเหล็กร้อนลุกเป็นไฟขนาดเท่าต้นตาล จนล้มลงแล้วล้มลงอีกแล้วทุบซ้ำย้ำลงไปให้ร่างกายย่อยยับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นนรกทองแดงแล้วก็ตกพระทัยสะดุ้งกลัว แล้วตรัสถามว่า “สัตว์สรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ จึงเป็นเช่นนี้?”  
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้เบียดเบียน ด่าว่า ดูหมิ่นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม จึงต้องมารับผลของกรรมชั่วเช่นนี้”
          นรกถ่านเพลิง เป็นนรกที่มีกองถ่านเพลิงลุกอยู่ตลอดเวลา พวกสัตว์นรกจะถูกพวกยมบาล (ผู้คุมรก) เข้ามารุมใช้อาวุธเพลิงทิ่มแทงตามร่างกาย เหมือนกับรุมแทงวัวควายที่ไม่ยอมเข้าคอก แล้วก็ตกลงไปในกองถ่านเพลิง จมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงนั้น พวกยมบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนหัวสัตว์นรกเหล่านั้น แล้วเนื้อตัวของสัตว์นรกก็ถูกไหม้เกรียม พวกเขาเจ็บปวดมาก จึงร้องไห้คร่ำครวญร่ำไห้กระสับกระส่ายดิ้นรนไปมาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นนรกถ่านเพลิงแล้วก็ทรงรู้สึกสะดุ้งกลัว จึงตรัสถามขึ้น “สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ จึงเป็นเช่นนี้?”
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์บางพวกได้รับจ้างเป็นพยานเท็จ บางพวกได้เที่ยวเรี่ยไรทรัพย์สินเงินทองของชาวบ้านว่าจะนำมาสร้างปฏิสังขรณ์บูรณะถาวรวัตถุ แต่กลับนำมาใช้เพื่อส่วนตัว จึงต้องมารับผลของกรรมชั่วเช่นนี้”
          ถัดจากนรกถ่านเพลิง ก็เป็นนรกหม้อทองแดง ที่มาตลีเทพบุตรพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมต่อไป
          นรกขุมนี้ พวกสัตว์นรกจะถูกยมบาลจับตัวแล้วพุ่งหัวลงไปในหม้อน้ำทองแดงที่กำลังร้อนแรงเดือดพล่าน น้ำในหม้อจะเดือนพลุ่งพล่าน เห็นแล้วน่ากลัวมาก
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็รู้สึกสะดุ้งกลัว จึงตรัสถามว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปกรรมอะไรหรือ จึงเป็นเช่นนี้?”  
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อตอนเป็นมนุษย์เป็นคนบาปหยาบช้า เบียดเบียน ทำร้าย ดูหมิ่น ด่าว่าสมณะและพราหมณ์ผู้มีศีล จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้
          นรกขุมต่อไปที่มาตลีเทพบุตรพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมก็คือ นรกโซ่ทองแดง
          นรุกขมนี้ พวกสัตวฺนรกจะถูกยมบาลเอาโซ่เหล็กทองแดงผูกคอกดหัวลงดึงขึ้นมาแล้วบิด สาดด้วยน้ำทองแดง แล้วโบยตีอย่างเต็มที่ สัตว์นรกได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะทานทน
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามมาตลีเทพบุตรถึงบาปกรรมที่สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำมา อันเป็นสาเหตุให้ต้องมารับผลร้ายเช่นนี้ มาตลีเทพบุตรทูลว่า สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ยึดอาชีพเป็นพรานนกบ้าง บางพวกก็ชอบยิงนก ขว้างนกเล่นบ้าง จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้
          มาตลีเทพบุตรนำพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมนรกขุมต่อไป คือ นรกแม่น้ำแกลบ
          ในนรกขุมนี้เมื่อมองดูแต่ไกล จะรู้สึกว่ามีแม่น้ำใสเย็นน่ารื่นรมย์อยู่ข้างหน้า พวกสัตว์นรกเมื่อกระหายน้ำมาก ก็จะพากันรีบไปที่แม่น้ำ ลุยลงไปในแม่น้ำนั้น แต่แล้วแม่น้ำนั้นก็กลายเป็นแกลบและฟางลุกเป็นไฟ พวกสัตว์นรกไม่อาจกลั้นความกระหายได้ ก็พากันกินแกลบและฟางที่ลุกเป็นไฟนั้น แล้วแกลบและฟางก็แผดเผาร่างกายเขาจนทนไม่ไหว จนต้องร้องครวญครางออกมา
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงสาเหตุที่ทำให้สัตว์นรกเหล่านี้ต้องมาตกอยู่ในนรกขุมนี้
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้ค้าขายข้าวเปลือกด้วยการคดโกง คือ ปนข้าวลีบกับแกลบเข้าไปกับข้าวดี เพื่อให้ได้ปริมาณมาก จึงต้องมารับผลความชั่วเช่นนี้”
          เมื่อชมนรกแม่น้ำแกลบจนทั่วแล้ว มาตลีเทพบุตรก็พาพระเจ้าเนมิราชชมนรกแหลนหลาวต่อไป
          ในนรกขุมนี้ พวกสัตว์นรกจะถูกยมบาลเอาเชือกเหล็กที่ลุกเป็นไฟผูกคอ แล้วลากมาให้นอนลงบนแผ่นเหล็กที่ร้อนเป็นไฟ แล้วเอาหอกบ้าง ดาบบ้าง แหลนบ้าง หลาวบ้าง ทิ่มแทงฟันจนดิ้นพราด นอนดิ้นไปมาเหมือนปลาถูกน้ำร้อน
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ทำกรรมชั่วอะไรไว้หรือ จึงต้องมารับผลร้ายเช่นนี้?”
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ทำการฆ่าสัตว์ เช่น ฆ่าเนื้อ ฆ่าปลา ฆ่า          วัว ฆ่าควาย ฆ่าแพะ ฆ่าแกะ และฆ่าหมู เป็นต้น แล้วขายเลี้ยงชีวิต จึงต้องมารับผลร้ายเช่นนี้
          ถัดจากนรกแหลนหลาว มาตลีเทพบุตรก็พาพระเจ้าเนมิราชชมนรกขุมต่อไป คือ นรกทุบตี
          ในนรกขุมานี้ พวกสัตว์นรกจะถูกพวกยมบาลล้อม ทำร้ายทุบตีทิ่มแทงด้วยมือด้วยเท้าด้วยเข่าด้วยศอก ทิ่มแทงด้วยลูกศรจนร่างกายบอบช้ำ มี่รอยปรุงเต็มไปหมด ไม่ต่างอะไรกับรอยปรุพรุนใบไม้แห้ง ได้รับความทุกข์ทรมานมาก
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ ทำความชั่วอะไรมากหรือ จึงต้องมารับผลร้ายเช่นนี้?”
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ทำมาหากินในทางทุจริต คือ ลักขโมย ปล้นสะดม จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้”
          ต่อจากนรกขุมทุบตี มาตลีเทพบุตรก็นำชม นรกอุจจาระปัสสาวะ (นรกมูตรคูถ)
          ในนรกขุมอุจจาระปัสสาวะนี้ จะมีอุจจาระปัสสาวะเต็มไปหมด ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งไปทีเดียว พวกสัตว์นรกเมื่อหิวขึ้นมาก็จะกอบเอาอุจจาระปัสสาวะขึ้นมากินเป็นอาหาร
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงผลกรรมที่สัตว์นรกทำไว้เมื่อชาติก่อน
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้ทรยศหักหลังประทุษร้ายมิตรสหาย จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้”
          ต่อไปมาตลีเทพบุตรได้พาพระเจ้าเนมิราชชมนรกน้ำเลือดน้ำหนอง
          ในนรกขุมนี้มีน้ำเลือดน้ำหนองเต็มไปหมด พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อเกิดความหิวกระหายก็พากันดื่มกินน้ำเลือดน้ำหนองเป็นอาหาร
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูนรกขุมนี้แล้วทรงรู้สึกสะอิดสะเอียน ได้ตรัสถามถึงกรรมชั่วที่สัตว์นรกทำกันมากับเทพบุตรมาตลี
          เทพบุตรมาตลีทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้ก่อกรรมชั่วอย่างร้ายแรง คือ ฆ่าบิดามารดาหรือฆ่าพระอรหันต์ จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้”
          ผ่านนรกน้ำเลือดน้ำหนองมาแล้ว มาตลีเทพบุตรก็พาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมนรกเบ็ด
          ในนรกขุมนี้ สัตว์นรกจะถูกยมบาลเอาเบ็ดเหล็กแดงมีไฟลุกโพลงอยู่ เกี่ยวลิ้นดึงออกมาให้นอนแผ่หลาบนแผ่นเหล็กแดง แล้วใช้ขอเหล็กถลกหนัง ราวกับแผ่นหนังวัวหนังควาย สัตว์นรกพากันดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกโยนขึ้นบนบก ได้รับความทุกขเวทนาแสนสาหัส ส่งเสียงร้องโอดครวญน้ำลายจุกปาก
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตตรเห็นแล้วก็ตรัสถามมาตลีเทพบุตร ถึงสาเหตุที่ทำให้สัตว์นรกเหล่านั้นต้องมารับผลร้ายเช่นนี้เ
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้คดโกงผู้อื่น โดยทำการค้าขายด้วยกลโกง ตีราคาของแพงให้ถูกเกินจริง เพราะรับสินจ้างจากผู้ซื้อมาแล้ว ทำให้ผู้ซื้อซื้อของแพงไปอย่างถูกๆ โดยไม่เป็นธรรมแก่ผู้ขาย”
          เมื่อนรกเปิด มาตลีเทพบุตรก็พาพระเจ้าเนมิราชไปเที่ยวชมนรกภูเขาเหล็กแดง
          ในนรกขุมนี้ พวกสัตว์นรกจะถูกภูเขาบดขยี้จนปี้ป่นเป็นชิ้นเล็กๆ แต่แล้วก็ประกอบร่างเป็นขึ้นอีก ด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดสัตว์นรกจึงวิ่งหนีภูเขาไปบนแผ่นเหล็กแดง แต่วิ่งไปได้ไม่ทันไร ก็มีภูเขา ๓ ลูกมาล้อมไว้แล้วเข้าบดขยี้ให้ปี้ป่นเป็นชิ้นเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงกรรมชั่วของสัตว์นรกเหล่านี้ในชาติก่อนกับเทพบุตรมาตลี
          เทพบุตรมาตลีทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้เมื่อตอนเป็นมนุษยย์ เป็นหญิงที่นอกใจสามี มีสามีเป็นของตนอยู่แล้ว ก็ยังไปชื่นเชยกับชายอื่น”
          จากนรกภูเขาเหล็กแดง ก็มาถึงบ่อไฟ
          นรกขุมนี้จะมีบ่อถ่านเพลิงขนาดใหญ่ พวกสัตว์นรกจะถูกยมบาลจับโยนลงไปในบ่อ แล้วใช้อาวุธต่างๆ ทิ่มแทง เหมือนดังแทงวัวควาย
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามถึงสาเหตุที่พวกสัตว์นรกต้องมาหมกไหม้อยู่ในนรกขุมนี้
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เป็นชายที่นอกใจภรรยา ไปคบชู้กับหญิงอื่น ชอบล่วงละเมิดลูกเมียเขา จึงต้องมารับผลกรรมชั่วเช่นนี้”
          ต่อไปเป็นนรกสัตว์น่าเกลียด นรกขุมที่ ๑๕ ขุมสุดท้าย
          สัตว์นรกในขุมนี้ จะมีเนื้อตัวร่างกายสูงต่ำ เล็กใหญ่ น่าเกลียด น่ากลัว ต่างๆ กันไป เห็นแล้วจะรู้สึกรังเกียจ หวาดกลัว และประหลาดใจว่าไฉนจึงมีสัตว์หน้าตาแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
          พระเจ้าเนมิราชตรัสถามมาตลีถึงสาเหตุที่ทำให้สัตว์นรกเหล่านี้ต้องมารับทุกข์ในนรกขุมนี้
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อก่อนเป็นมนุษย์เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด เห็นผิดเป็นชอบ เห็นว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี เห็นว่าบิดามารดาไม่มีบุญคุณ ไม่เชื่อเรื่องบุญหรือบาปเป็นต้น”
          ระหว่างที่มาตลีเทพบุตรนำพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมนรกขุมต่างๆ อยู่นั้น หมู่เทพทั้งเทวดาและเทพธิดาในเทวโลกก็ได้นั่งประชุมกันอยู่ในสุธรรมาเทวสภา เพื่อคอยพระเจ้าเนมิราชเสด็จมา
          ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่า ทำไมมาตลีจึงชักช้านัก ครั้นทราบว่าเพราะมัวเที่ยวชมนรกกันอยู่ จึงพิจารณาว่าถ้ามัวเที่ยวชมนรกกันเพลิดเพลินต่อไปอีก พระชนมายุของพระเจ้าเนมิราชจะเหลือน้อยไปๆ ไม่พอที่จะเที่ยวชมนรกได้หมดสิ้น เพราะนรกมีมากมายเหลือเกิน จะเสด็จสวรรคตเสียก่อนที่ได้ขึ้นไปชมสวรรค์ ทรงดำริฉะนั้นแล้วก็ส่งเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีความรวดเร็วมากให้ไปแจ้งแก่มาตลีเทพบุตร
          มาตลีเทพบุตรจึงทูลพระเจ้าเนมิราชว่า “บัดนี้พระอินทร์ท่านมีเทวบัญชาให้รีบเสด็จขึ้นไปบนเทวโลก ฉะนั้น การเที่ยวชมนรกจึงควรยุติไว้เพียงแค่นี้”
          ทูลดังนั้นแล้ว มาตลีก็นำเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นสู่เทวโลกทันที
          ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า วันเวลาของโลกมนุษย์นั้นเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับวันเวลาในโลกนรกและสวรรค์ คนตกนรก จะทุกข์จนท้อ คนขี้นสวรรค์ จะสุขจนเซ็ง  ฉะนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์จึงดีที่สุด เพราะได้พบทั้งทุกข์ ได้ประสบทั้งสุข ชีวิตเต็มไปด้วยรสชาติอย่างแท้จริง
          พระเจ้าเนมิราช เมื่อเสด็จขึ้นไปบนเทวโลก ทอดพระเนตรเห็นวิมานของเทพธิดาวารุณีเป็นอันดับแรก วิมานนี้เรียกว่า วิมานแก้วมณี เพราะทำด้วยแก้วมณีทั้งหลัง กว้างใหญ่มาก ยาวถึง ๑๒ โยชน์ หรือเท่ากับ ๑,๘๒๐ กิโลเมตร บนวิมานมียอด ๕ ยอด ประดับด้วยแก้วมณีทั้งสิ้น
          บริเวณของวิมานจะมีอุทยาน มีสระน้ำใสเย็น แวดล้อมด้วยต้นกัลปพฤกษ์ น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก  
          พระเจ้าเนมิราชเห็นเทพธิดาวารุณีนั่งอยู่ในวิมาน โดยมีนางอัปสร ๑,๐๐๐ แวดล้อมอยู่ จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรผู้เป็นสารถีว่า “เทพธิดาได้ทำบุญกุศลอะไรไว้ จึงมาเกิดอยู่ในวิมานนี้?”
มาตลีเทพบุตรทูลว่า “เทพธิดาวารุณี เมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้เป็นสาวใช้ของบ้านหลังหนึ่งในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสปะ นางช่วยเจ้าของบ้านจัดปูอาสนะให้พระภิกษุนั่ง นางได้ช่วยเลี้ยงพระด้วยความเอาใจใส่ และได้ถวายอาหารเล็กน้อยๆ ที่เป็นส่วนของตนเองด้วยความเต็มใจ เพลินเพลินใจ สุขใจ ได้บริจาคทาน รักษาศีลอยูเป็นประจำ จึงได้มาเสวยสุขอยู่บนวิมานนี้”
          ผลบุญจะมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหรือปริมาณของวัตถุที่ทำ แต่อยู่ที่คุณภาพของจิตเป็นหลัก คือ ถ้าทำด้วยความเต็มใจ เลื่อมใส ศรัทธาละก็ได้บุญเต็มเปี่ยมแน่นอน
          เมื่อชมวิมานแก้วมณีจนทั่วแล้ว มาตลีเทพบุตรก็ขับรถต่อไปพบวิมานทอง ๗ หลัง ของเทพบุตรโสณทินนะ ตั้งเรียงรายอยู่
          วิมานทั้ง ๗ มีรัศมีโชติช่วง ส่องแสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์อ่อนๆ เห็นแล้วเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก
          เทพบุตรโสณทินนะประดับร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์สวยงามมาก เครื่องอาภรณ์แต่ละอย่างล้วนไม่เคยมีใครเห็น รอบๆ ตัวของเทพบุตรโสณทินนะ มีหมู่เทพธิดาแวดล้อมผลัดเปลี่ยนเวียนวนอยู่โดยรอบ
          พระเจ้าเนมิราชทรงรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงตรัสถามมาตลีว่า “เทพบุตรนี้ได้ทำความดีอะไรไว้หรือ จึงได้มาอยู่บนสวรรค์ ได้รับความบันเทิงใจอยู่ในวิมานนี้?”  
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “เทพบุตรนี้มีชื่อว่า โสณทินนะ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เขาเป็นคหบดีที่ร่ำรวยมหาศาล ได้สร้างวิหาร ๗ หลัง อุทิศถวายแด่พระภิกษุทั้งหลาย ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาเอาใจใส่บำรุงพระภิกษุทั้งหลายด้วยปัจจัย ๔ (จีวร=ผ้านุ่งห่ม, บิณฑบาต=อาหาร, เสนาสนะ=ที่อยู่อาศัย, คิลานเภสัช=ยาบำบัดโรค) อยู่เนืองๆ วันธรรมดารักษาศีล ๕ วันพระรักษาศีล ๘ จึงได้มาบันเทิงสุขอยู่ในวิมานทองนี้”
          ต่อจากนั้น มาตลีเทพบุตรก็ขับรถพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมสวรรค์ชั้นต่อไป
          คราวนี้เป็นวิมานแก้วผลึก ซึ่งมีความสูงถึง ๒๕ โยชน์ หรือ ๔,๐๐๐ กิโลเมตร เสาหลายร้อยต้นของวิมานทำด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกระดิ่งห้อยอยู่รอบๆ มีธงทอง ธงเงินปักไสว มีอุทยานดอกไม้นานาชนิด มีสระน้ำขนาดใหญ่ มีลานยกพื้นที่น่ารื่นรมย์ มีเหล่าเทพอัปสรขับร้อง ฟ้อนรำ ประโคมดนตรีอยู่ตลอดเวลา
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็มีพระทัยยินดี ได้ตรัสถามถึงกุศลกรรมของเหล่านางอัปสรหรือแม่เทพธิดาเหล่านั้นที่มาขับร้อง ฟ้อนรำ ประโคมดนตรีอยู่
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “เหล่านางอัปสรเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ พวกนางเป็นอุบาสิกาที่มีศีล ให้ทาน มีจิตใจเลื่อมใส มีสัจจะ ไม่ประมาท ได้รวมกันเป็นคณะทำบุญอยู่เนืองๆ รักษาศีลให้ทานเป็นประจำ ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จึงได้มาบันเทิงอยู่ในวิมานนี้”
          มาตลีเทพบุตรขับรถต่อไปพบวิมานแก้วมณี ซึ่งประดิษฐานอยู่ในภูมิภาคที่ราบเรียบ สูงเด่นเป็นสง่า เปล่งรัศมีราวกับภูเขาทอง ภายในวิมานมีการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีของเหล่านางอัปสร มีเทพบุตรมากมายเดินไปมาให้ขวักไขว่
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงรู้สึกดีใจ จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น
          มาตลีเทพบุตรได้ทูลตอบว่า “เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์เขาเป็นอุบาสกมีศีล ได้สร้างอาราม (วัด) บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้อุปถัมภ์บำรุงพระอรหันต์ด้วยความเอาใจใส่ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต (อาหาร) คิลานปัจจัย (ยาบำบัดโรค) และเสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) แก่พระภิกษุด้วยจิตใจเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง เขารักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา รักษาศีล ๘ ในวันพระ เป็นคนรักษาศีลอย่างเคร่งครัด และให้ทานอยู่เสมอ จึงได้มาเกิดเสวยสุขอยู่ในวิมานนี้”
เมื่อมาตลีเทพบุตรขับรถต่อไปก็ได้พบวิมานแก้วผลึกอีกวิมานหนึ่ง
วิมานแก้วผลึกนี้ ประดับด้วยยอดมากมาย แต่ละยอดประดับด้วยต้นไม้ดอกรุ่นๆ วิมานทั้งหลังจึงปกคลุมไปด้วยบุปผชาตินานาพรรณ มีแม่น้ำใสสะอาดอยู่รอบๆ วิมาน  ฝูงนกมากมายหลายชนิดจับอยู่บนต้นไม้ ส่งเสียงกึกก้องไปทั้งวิมาน
          ในวิมานนั้นมีเทพบุตรอยู่ ๑ องค์ แวดล้อมอยู่ด้วยเหล่าเทพอัปสรที่สวยสดงดงาม หาผู้เปรียบปานมิได้
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนี้แล้ว ก็มีพระทัยยินดีปรีดา จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรนั้น  
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “เทพบุตรนี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์เขาเป็นคหบดีอยู่ในเมืองมิถิลานคร ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาเป็นยอดคนผู้ให้ทาน ได้สร้างวัดวาอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ด้วยความเอาใจใส่ ได้ถวายปัจจัยสี่เป็นประจำสม่ำเสมอด้วยจิตใจที่เลื่อมใสยิ่ง เขารักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา และรักษาศีล ๘ ในวันพระ เขารักษาศีลให้ทานมาตลอดชีวิต จึงได้มาเสวยสุขอยู่ในวิมานนี้”
ละจากวิมานแก้วผลึก มาตลีเทพบุตรก็ขับรถพาไปพบวิมานแก้วผลึกอีกแห่งหนึ่ง
วิมานแก้วผลึกหลังนี้มีแสงส่องสว่างไสวยิ่ง ประดับด้วยยอดมากมาย มากกว่าวิมานแก้วผลึกหลังก่อน แต่ละยอดมีต้นไม้รุ่นประดับมากกว่าวิมานหลังก่อน ปกคลุมไปด้วยไม้ดอกไม้ผลนานาชนิด มากกว่าวิมานหลังก่อน บริเวณวิมานจะมีสระน้ำใสเย็นอยู่รอบๆ และมีไม้ดอกนานาชนิดล้อมรอบอยู่ ถัดออกมาก็จะมีไม้ผลที่ให้ผลทุกฤดูกาล เช่น ต้นเกด ต้นมะขวิด ต้นมะม่วง ต้นสาละ ต้นชมพู่ ต้นมะพลับ ต้นมะหาด
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานแล้ว ก็ทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัย ได้ตรัสถามเทพบุตรมาตลีว่า เทพบุตรนี้ได้ทำความดีอะไรไว้ จึงได้เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้?”
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “เทพบุตรนี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เขาเป็นคหบดีอยู่ในกรุงมิถิลานคร ฝักใฝ่ในการบริจาคทาน เขาได้สร้างวัดวาอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้เอาใจใส่บำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วยปัจจัย ๔ มิได้ขาด รักษาศีล ๕ ในวันธรรมดา รักษาศีล ๘ ในวันพระ เขาให้ทานรักษาศีลเป็นประจำอย่างนี้ จึงได้มาเสวยสุขบันเทิงใจอยู่ในวิมานนี้”
          ถัดจากวิมานนั้นมา มาตลีก็นำเที่ยววิมานแก้วไพฑูรย์ต่อไป
          วิมานแก้วไพฑูรย์ตั้งอยู่บนบริเวณที่รื่นรมย์มีแสงส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณ มีเสียงขับร้องฟ้อนรำประโคมดนตรีอยู่ตลอดเวลา สร้างความรื่นรมย์ใจยิ่งนัก ชนิดที่ใครๆ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนทีเดียว
          พระเจ้าเนมิราชทรงพอพระทัยในวิมานนี้ ได้ตรัสถามถึงกุศลกรรมที่เทพบุตรในวิมานนี้ได้ทำไว้
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “เทพบุตรนี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เขาเป็นคหบดีอยู่ในกรุงพาราณสี มีน้ำใจชอบบริจาคทาน เขาได้สร้างวัดวาอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้บำรุงดูแลพระอรหันต์ทั้งหลายด้วยปัจจัย ๔ มิได้ขาด รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เขาให้ทานรักษาศีลอยู่เสมอ จึงได้มาเสวยสุขอยู่บนสวรรค์”
          ต่อจากวิมานแก้วไพฑูรย์ มาตลีเทพบุตรก็นำพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมวิมานทองอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมีรัศมีแผ่ออกมาเหมือนดวงอาทิตย์อ่อนๆ
          พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นแล้วชอบพระทัย ได้ตรัสถามถึงกุศลกรรมที่เทพบุตรแห่งวิมานทองได้กระทำไว้ จึงส่งผลให้มาเสพสุขบนวิมานนี้  
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “เทพบุตรนี้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ เขาเป็นคหบดีอยู่ในกรุงพาราณสี ชอบทำบุญให้ทานเป็นประจำ เขาได้สร้างวัดวาอาราม บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้อุปถัมภ์บำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วยปัจจัย ๓ อย่าง เอาใจใส่รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ในวันพระ เขาหมั่นให้ทานรักษาศีลเป็นประจำ จึงได้มาเกิดในสวรรค์อย่างนี้”
          ระหว่างที่มาตลีเทพบุตรนำพาพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมสวรรค์วิมานอยู่นั้น ท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ทรงคิดว่า ทำไมมาตลียังมาไม่ถึงสักที มัวชักช้าอะไรอยู่หนอ จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไวให้รีบไปตามมา เทพบุตรผู้ว่องไวเดินทางเพียงอึดใจเดียวก็มาถึงทันที แล้วรีบแจ้งแก่มาตลีเทพบุตรให้ทราบว่าพระอินทร์มีรับสั่งให้รีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย
          มาตลีได้ยินดังนั้นก็รู้ว่ามัวชักช้าไม่ได้อีกแล้ว จึงแสดงวิมานทั้งหลายที่เหลือให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นพร้อมกันทั้งหมดทีเดียว พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูวิมานเหล่านั้นแล้ว ได้ตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น
          มาตลีเทพบุตรทูลบอกในทำนองเดียวกันว่า “เทพบุตรเหล่านั้น เมื่อตอนเป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ จึงได้มาเสวยสุขบนวิมานเหล่านี้”
          เมื่อพระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรชมวิมานจนหมดสิ้นแล้ว มาตลีทูลเชิญว่า “นรกพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นมาเยอะแล้ว สวรรค์ก็ทรงเห็นมาอย่างมากมาย ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นไปเฝ้าท้าวสักกเทวราชในบัดนี้เถิด”
          ทูลดังนั้นแล้วก็ขับเวชยันต์แล่นต่อไป ผ่านภูเขาใหญ่ ๗ ลูก ซึ่งตั้งล้อมรอบภูเขาสิเนรุ ในระหว่างแม่น้ำสีทันดร พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นภูเขาเหล่านั้นก็ตรัสถามถึงชื่อภูเขาเหล่านั้นกับมาตลี
          มาตลีเทพบุตรทูลว่า “นั่นคือภูเขาใหญ่ ๗ ลูก มีลำดับต่ำสูงขึ้นไป
          ภูเขาลูกนั้นชื่อภูเขาสุทัสน์ อยู่นอกภูเขาเหล่านั้นทั้งหมด
          ถัดไปคือภูเขากรวีกะ ภูเขาลูกนี้สูงกว่าภูเขาสุทัศน์
          ถัดไปคือภูเขาอิสินธร ภูเขาลูกนี้สูงกว่าภูเขากรวีกะ
          ถัดจากภูเขาอิสินธร คือภูเขายุคันธร ภูเขาลูกนี้อยู่สูงกว่าภูเขาอิสินธร
          ถัดจากคือภูเขายุคันธร คือภูเขาเนมินธร ภูเขาลูกนี้อยู่สูงกว่าภูเขายุคันธร
          ถัดจากคือภูเขาเนมินธร คือภูเขาวินตกะ ภูเขาลูกนี้อยู่สูงกว่าภูเขาเนมินธร
          ถัดจากคือภูเขาวินตกะ คือภูเขาอัสสกัณณ์ ภูเขาลูกนี้อยู่สูงกว่าภูเขาวินตกะ สูงกว่าภูเขาทั้งหมด
          ภูเขาเหล่านี้อยู่ในทะเลสีทันดร สูงขึ้นไปตามลำดับเหมือนขั้นบันได
          ภูเขาเหล่านี้เป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช (เทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศทั้ง ๔ บางทีเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ได้แ ก่ ท้าวธตรฐ ประจำทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศตะวันตก ท้าวกุเวร ประจำทิศเหนือ)  
          มาตลีขับรถต่อไปจนกระทั่งถึงประตูจิตตกูฏ ซึ่งมีรูปพระอินทร์ติดอยู่ เป็นที่เสด็จเข้าออกของพระอินทร์ ประตูนี้เป็นประตูของเมืองสวรรค์ อยู่บนยอดเขาสิเนรุ จากนั้นก็ผ่านเข้าสู่ประตูเมืองสวรรค์ จนกระทั่งถึงสุธรรมาเทวสภา พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสภาของเทวดา ซึ่งตกแต่งอย่างงดงามวิจิตรพิสดาร ส่องแสงสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา ทรงรู้สึกสุขใจปลื้มใจนั้น จึงตรัสถามมาตลีว่า “วิมานนี้ เขาเรียกชื่อว่าอะไร?”
          มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “วิมานนี้เป็นเทวสภา ชื่อว่า สุธรรมา ประดับด้วยแก้วไพฑูรย์งามวิจิตร มีเสา ๘ ต้น ล้วนแล้วทำมาจากแก้วไพฑูรย์ทั้งสิ้น สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประชุมเพื่อคิดทำประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แก่บรรดาเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์ โดยมีพระอินทร์เป็นประมุข
          ฝ่ายเทวดาทั้งหลายที่นั่งคอยพระเจ้าเนมิราชเสด็จมา เมื่อทราบว่าพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาแล้ว ต่างก็ถือเครื่องหอม น้ำอบ ดอกไม้ทิพย์ ไปยืนคอยรับเสด็จอยู่ตรงทางที่จะเสด็จมาตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาถึงแล้วก็พากันดีอกดีใจ ส่งเสียงต้อนรับว่า มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว แล้วได้ทูลเชิญเสด็จลงจากพระราชรถเวชยันต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 กุมภาพันธ์ 2567 18:02:50 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 121.0.0.0 Chrome 121.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2567 18:01:28 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๕๕ เนมิราชชาดก  (จบ)
พระเนมิราช

         จากนั้น พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสภา ก็ทูลเชิญให้พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับนั่งบนทิพอาสน์ ซึ่งอยู่เคียงข้างกับองค์อินทร์ พร้อมกับตรัสชวนว่า “มหาราช! หม่อมฉันขอเชิญพระองค์อยู่เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้เถิด”
           พระเจ้าเนมิราชตรัสตอบว่า “สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้เป็นเหมือนของที่ยืมเขามา หม่อมฉันไม่ปราถนาสิ่งที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ บุญที่หม่อมฉันทำเองจะเป็นทรัพย์ติดตัวหม่อมฉันตลอดไป หม่อมฉันจะกลับไปยังโลกมนุษย์ กลับไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุดด้วยการให้ทาน รักษาศีล ประพฤติเรียบร้อยดีงาม บุญที่หม่อมฉันกระทำด้วยตนเอง ก็จะเป็นสิทธิของหม่อมฉันโดยแท้”
          เหล่าเทวดาได้ฟังวาทะของพระเจ้าเนมิราชแล้วก็รู้สึกพออกพอใจ ได้ชักชวนให้พระองค์อยู่บนสวรรค์ต่อไป พระเจ้าเนมิราชทดลองอยู่บนสวรรค์ต่อไปอีก ระหว่างนั้นก็ได้แสดงธรรมของเหล่าเทวดาฟังไปด้วย
          ตอนหนึ่งพระองค์ได้ตรัสชมชนมาตลีที่ช่วยให้พระองค์ได้เห็นนรกและสวรรค์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพระองค์กลับไปสู่โลกมนุษย์เป็นอย่างมาก
          พระเจ้าเนมิราชอยู่บนสวรรค์ได้ ๗ วัน คิดตามเวลาในโลกมนุษย์ ถ้าคิดตามเวลาในโลกสวรรค์คงจะแปล๊บเดียว แล้วก็ทูลลาพระอินทร์กลับมาสู่โลกมนุษย์
          พระอินทร์มีรับสั่งมายังมาตลีให้ขับรถไปส่งพระเจ้าเนมิราชถึงกรุงมิถิลานคร
          มาตลีเทพสารถีรับเทวบัญชาแล้ว ก็รีบจัดเทียมรถอย่างรวดเร็ว
          พระเจ้าเนมิราชทูลลาพระอินทร์อีกครั้งหนึ่ง และกล่าวคำอำลาเหล่าเทวดาทั้งหลายแล้วก็เสด็จไปทรงรถที่มาตลีเตรียมรอไว้แล้ว  มาตลีเทพบุตรขับราชรถเวชยันต์ไปถึงกรุงมิถิลานคร ภายในเวลาอันรวดเร็ว มหาชนเห็นรถสวรรค์ล่องลอยมา ก็พากันดีใจว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราเสด็จกลับมาแล้ว มาตลีขับรถวนเวียนรอบกรุงมิถิลานคร แล้วก็ทูลเชิญพระเจ้าเนมิราชลงจากรถทิพย์ จากนั้นก็ทูลลากลับไปยังวิมานของตนบนสวรรค์ในทันที
ฝ่ายมหาชนเมื่อเห็นพระเจ้าอยู่หัวแล้วก็พากันเข้าเฝ้าแวดล้อมทูลถามถึงสิ่งที่พระองค์ไปเห็นมา ซึ่งพระเจ้าเนมิราชก็ตรัสเล่าเรื่องเมืองนรกและเมืองสวรรค์ที่ไปเห็นมาให้ได้ฟังกัน พร้อมกับตรัสชวนให้ทุกคนเลิกทำบาปอกุศล ให้กระทำแต่บุญกุศล จะได้ไม่ต้องตกนรก และจะได้เสพสุขอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลนาน
          มหาชนได้ฟังเรื่องราวของของนรกและสวรรค์แล้วก็พากันละชั่วแล้วทำดียิ่งขึ้นกว่าเก่า ส่งผลให้แต่ละคนอยู่ดีมีสุข สังคม บ้านเมือง สงบร่มเย็น เอื้ออำนวยให้เกิดความสร้างสรรค์โดยทั่วไป
          พระเจ้าเนมิราชครองราชสมบัติโดยธรรมสร้างความผาสุกตลอดมา บ้านเมืองไม่มีปัญหาอะไร แต่อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อนายภูษามาลาเอาแหนบทองคำถอนพระเกศาหงอกให้พระองค์ทอดพระเนตรเท่านั้น ก็ทรงเกิดความสังเวชรู้สึกสลดพระทัยเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ก็ทรงคิดว่าถึงคราวที่จะต้องออกบวชแล้ว จึงพระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา มอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส เมื่อพระราชโอรสทูลถามถึงสาเหตุของการออกผนวช ก็ตรัสว่า “ความแก่เป็นเทวทูตปรากฏแก่พ่อ ตอนนี้ผมบนหัวของพ่อหงอกแล้ว ความหนุ่มของพ่อสิ้นไป มีความแก่เข้ามาแทน จึงถึงเวลาที่พ่อควรจะออกบวชได้แล้ว”
          ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงออกผนวชเหมือนพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ ครั้นบวชแล้วก็อาศัยอยู่ในอุทยานอัมพวัน มุ่งมั่นเจริญพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่นานก็สำเร็จอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ครั้นละจากโลกนี้แล้ว ก็ไปบังเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระโอรสของพระเจ้าเนมิราชที่ได้ขึ้นครองราชสมบัตินั้น มีพระนามว่า กาลารัชชกะ พระเจ้ากาลารัชชกะเมื่อเส้นผมหงอกแล้ว ไม่ได้ทรงออกผนวชเหมือนอย่างกษัตริย์องค์ก่อนๆ ทำให้ประเพณี “ผมหงอกแล้วออกบวช” และราชประเพณีที่กษัตริย์ต้องออกบวช มาสิ้นสุดลงในสมัยนี้
   

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“เมื่อถึงเวลาอันควร คนเราควรออกบวชบ้างเพื่อหาความสงบสุขให้ชีวิต”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ยสฺส รตฺยา วิวสาเน อายุ อปฺปตรํ สิยา
วันคืนเคลื่อนคล้อย อายุเหลือน้อยเข้าทุกที (๒๘/๔๓๗)

ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดย ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 กุมภาพันธ์ 2567 18:03:28 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๑ กัสสปมันติยชาดก : บิดาชรากับบุตรน้อย
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 642 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 19:58:21
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๒ ติตติรชาดก : ฤๅษีปากจัด
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 558 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 20:02:37
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๓ โสมทัตตชาดก : โสมทัตคนประหม่า
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 585 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 20:05:57
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๔ ธัมมัทรชาดก : ธรรมธัชบัณฑิต
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 510 กระทู้ล่าสุด 11 มีนาคม 2564 18:33:29
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๕ อัฏฐิเสนชาดก : ฤๅษีอัฏฐิเสน
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 483 กระทู้ล่าสุด 12 มีนาคม 2564 19:29:23
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.866 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 08 เมษายน 2567 08:24:52