[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 15:39:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อิเหนา : สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต แปลจากต้นฉบับภาษามะลายู  (อ่าน 1787 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 125.0.0.0 Chrome 125.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 05 มิถุนายน 2567 14:18:32 »



อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู


คำนำของผู้แปล

ในกระบวนหนังสือไทยเก่า จะหาเรื่องใดที่จับใจและขึ้นใจชาวเรายิ่งไปกว่าหรือแม้แต่ทัดเทียมเรื่องอิเหนานั้นมีน้อยนัก ก็และเรื่องอิเหนานั้นย่อมมีต่างๆ กันอยู่หลายฉบับ เช่นที่เรียกอิเหนาใหญ่ และอิเหนาเล็ก มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโบราณ เนื้อเรื่องต่างกันมาก ยังมีอิเหนาพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ และที่เจนใจกันมากที่สุด คืออิเหนาพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ ซึ่งมีเนื้อเรื่องแปลกออกไปอีก ด้วยทรงดัดแปลงร้อยกรองโดยเฉพาะให้เป็นท่วงทีงดงามดี เหมาะแก่การเล่นละคอน ในเชิงรำก็ให้ท่าทีจะรำได้แปลกๆ งามๆ ในเชิงจัดคุมหมู่ละคอนก็ให้ท่าทีจะจัดได้เป็นภาพงามโรง ในเชิงร้องก็ให้ทีที่จะจัดลู่ทางทำนองไพเราะเสนาะโสตร ในเชิงกลอนก็สละสลวยเพราะพริ้งไม่มีที่เปรียบ อาจเล่นละคอนให้สมบูรณ์ครบองค์ห้าของละคอนดีได้ คือ ๑. ตัวละคอนงาม ๒. รำงาม ๓. ร้องเพราะ ๔. พิณพาทย์เพราะ ๕. กลอนเพราะ ซึ่งสำเร็จเป็นทั้งทัศนานุตตริยะ และสวนานุตตริยะอย่างไพบูลย์

ก็และด้วยเหตุความขึ้นใจดั่งกล่าวมานั้นประการหนึ่ง กับด้วยความเข้าใจกันแพร่หลายว่าเป็นพงศาวดาร หรือตำนานประวัติการยุคหนึ่งของประเทศชวาอีกประการหนึ่ง ใครมาถึงเกาะชวาจึ่งเว้นไม่ได้ที่จะสืบสาวราวเรื่อง เทียบกับหนังสือนั้น อย่างน้อยเพียงถามหาถิ่นฐานบ้านเมืองที่กล่าวในหนังสือเรื่องอิเหนา และสอบสวนว่าถ้อยคำพากย์ชวามะลายูที่ใช้ในพระราชนิพนธ์นั้น ตรงกับที่มีใช้อยู่ในภาษาปัตยุบันนี้อย่างไร อย่างแรงขึ้นไปอีกก็ถึงสอบสวนว่า ผู้ที่มีชื่อในหนังสือนั้นเกี่ยวดองกับราชวงศ์เจ้าชวา ซึ่งสืบวงศ์ครองเมืองอยู่เวลานี้บ้างอย่างไร การสอบสวนก็ไม่สู้ได้ผล นอกจากในเชิงถ้อยคำค้นไปนานๆ ก็พบโดยมากว่าถูกต้อง จะมีผิดเพี้ยนบ้างก็ไม่มากนัก แต่ในส่วนถิ่นฐาน ย่อมได้ความแต่รัวๆ รางๆ เพราะความเป็นไปของบ้านเมืองย่อมผันแปรไปโดยกาล เช่นที่กล่าวว่าเป็นนครหลวงกลายเป็นบ้านเล็กเมืองน้อย หรือเพียงหมู่บ้านหรือถึงรกร้างสูญชื่อเสียงก็มี และที่สืบถึงความสัมพันธ์กับวงศ์สกุลเจ้าชวาปัตยุบันนี้นั้นเหลวเลยทีเดียว เพราะราชวงศ์ย่อมตั้งและล้มซับซ้อนกันมามาก แต่ข้อสำคัญนั้น เรื่องอิเหนามิใช่พงศาวดารหรือตำนานบ้านเมืองเสียเลยทีเดียว เป็นเพียงนิยายอันหนึ่งที่เล่าสืบกันมาเท่านั้น นิยายเชิงตำนานเช่นนี้ของไทยเราก็มีมากซึ่งมีผู้เข้าใจผิดๆ ไปว่าเป็นพงศาวดาร ปัญหาจึงมีว่าอะไรเป็นนิยาย หรือเรื่องต้นเค้าของหนังสือเรื่องอิเหนา

ในชั้นนี้ค้นได้เรื่องหนึ่ง คือเรื่อง “ปันหยี สะมิหรัง” ที่แปลนี้ ต้นฉบับเก่าเป็นหนังสือภาษาชวา เก็บไว้ที่ห้องสมุดของสมาคมศิลปวิทยาเมืองบะตาเวีย ส่วนฉบับที่ได้มาแปลนี้ เป็นภาษามะลายู แปลจากต้นฉบับชวานั้นอีกชั้นหนึ่ง คำ “สะมิหรัง” แปลว่า แปลงหรือปลอมตัว คือว่าปันหยีแปลง คำนี้มีอีกนัยหนึ่งว่า “มิสาหรัง” ซึ่งเตือนให้นึกถึงหนังสืออิเหนาของเราซึ่งออกชื่อปันหยีว่า “มิสาระปันหยีสุกาหรา” จะอย่างไรก็ตามเมื่ออ่านไปแล้วย่อมตระหนักว่า มีเค้าที่จะลงรอยกับเรื่องอิเหนาของเราแต่ในกระบวนชื่อเมือง ชื่อคนและวงศ์วารบ้างเท่านั้น ว่าโดยเนื้อเรื่องแล้วต่างกันมากอยู่ จะเทียบกับอิเหนาใหญ่หรืออิเหนาเล็กก็ไม่ตรงกันทั้งนั้น ส่วนที่แตกต่างกันมากน้อยเพียงไร ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวในที่นี้ปล่อยไว้ให้ผู้อ่านพิจารณาเอง

การที่เนื้อเรื่องแตกต่างกันมากดังนี้ ถ้าจะอนุมานว่าเป็นเหตุเพราะคนที่นำเรื่องเข้าไปเล่าในกรุงสยามนั้นฟั่นเฟือนจำเรื่องไม่ได้ จึงไปเล่าผิดเพี้ยนไปจากเค้าเรื่องเดิมก็เห็นจะไม่เป็นการถูกต้อง ด้วยดูผิดแผกกันเกินที่จะหลง จึ่งน่าคิดเป็นอย่างอื่น คืออย่างหนึ่งผู้รับฟังเรื่องในกรุงสยามครั้งโน้น เมื่อเรียบเรียงลงเป็นหนังสือ เห็นว่าเรื่องราวของเดิมไม่สนุกพอ จึงดัดแปลงเสียตามชอบใจ หรือมิฉนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเรื่องราวอันตั้งเค้าโครงเป็นอย่างเดียวกันนี้มีอยู่เป็นหลายเรื่องด้วยกันมาแต่เดิม เช่นเป็นรูปอิเหนาใหญ่เรื่องหนึ่ง เป็นรูปอิเหนาเล็กเรื่องหนึ่ง เป็นรูปเรื่องปันหยีสะมิหรังนี้อีกเรื่องหนึ่ง และคงจะยังมีรูปอื่นยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก น่าเชื่อมากว่าเป็นเช่นที่กล่าวอย่างหลังนี้ จึ่งยังจะต้องสืบค้นต่อไป อาจพบฉบับที่มีเค้าเรื่องตรงกับอิเหนาใหญ่หรืออิเหนาเล็ก

อนึ่ง ข้าพเจ้าอนุมานว่าผู้ที่นำเรื่องอิเหนาเข้าไปเล่าในกรุงสยามครั้งกรุงเก่านั้น คงจะเป็นคนชวาหรือมะลายู แต่คงจะมีล่ามแปล ล่ามนั้นน่าจะเป็นชาวมะลายูทางปักษใต้ซึ่งพูดไทยได้เป็นเสียงชาวนอก หรือเป็นคนไทยชาวนอกที่พูดมะลายูได้ เหตุฉนั้นสำเนียงชื่อเสียง และคำมะลายูทั้งปวงที่ใช้ในเรื่องอิเหนาจึ่งมีเสียงผันเป็นเสียงชาวนอก ด้วยภาษามะลายูก็ดีชวาก็ดี ไม่มีเสียงผัน ถ้าไม่มีเสียงชาวนอกมาแซกแล้ว ชื่อเสียงในหนังสืออิเหนาก็ไม่น่าจะใช้เสียงผันดังนั้น ตัวอย่างเช่น ตาฮา เปนดาหา สิงคัสซารี เป็นสิงหัศส้าหรี บายัน เป็นบาหยัน วายัง เป็นว่าหยัง เป็นต้น แต่นี้เป็นการเดาโดยแท้ ไม่มีหลักฐานอะไรประกอบ อย่างไรก็ดี สำเนียงที่ใช้ในชื่อเสียงถ้อยคำเหล่านี้ ตามระเบียบในหนังสืออิเหนาของไทย เป็นที่ขึ้นใจแก่ไทยเราเสียเต็มประดาแล้ว จะแปลงเสียงไปอย่างอื่นก็รู้สึกเคอะ เพราะฉนั้น เมื่อเรียบเรียงคำแปลเรื่องปันหยีสะมิหรังนี้ ข้าพเจ้าจึงใช้สำเนียงคล้อยตามไปอย่างอิเหนาฉบับภาษาไทยนั้น เพื่อให้เป็นที่ซึมทราบ แต่ที่ผิดแผกกันก็กระแหนะไว้บ้างพอให้เห็นต่างกัน อนึ่งสำเนียงสระอี กับสระเอ สระอุ กับสระโอ สองคู่นี้ในภาษามะลายูใช้สับปลับกันเนืองๆ แล้วแต่ถิ่นที่อยู่ของผู้พูด เช่น บุหรง จะว่าบุหรุง หรือมะดีหวี จะว่ามะเดหวี ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่างไม่ผิด

อนึ่ง จะขอกล่าวสำทับไว้ว่าหนังสือเรื่องปันหยีสะมิหรังนี้ไม่ใช่พงดาวดารตำนานเมืองชวา เป็นเพียงนิทาน ถ้าจะเรียกว่าเป็นเรื่องพงดาวดาร ก็ได้แต่โดยพยัญชนะของคำนั้น กล่าวคือ เรื่องวงศเทวดาอวตาร

ในการแปลหนังสือนี้ ข้าพเจ้ามิได้ใช้วิธีแปลด้น ได้พยายามพี่สุดที่จะแปลให้ตรงคำตรงความตลอดไป เพื่อผู้อ่านจะได้เห็นสำนวนหนังสือของกวีชวา ซึ่งอ่านโดยพจารณาจะเห็นได้ว่าสำนวนที่เขาใช้นั้นก็มีท่วงทีนักเลงในเชิงกวีอยู่ไม่น้อย

                                                                                                 บันดุง ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๑

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 125.0.0.0 Chrome 125.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2567 14:24:45 »



อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

ผู้เจ้าของเรื่องนี้กล่าวว่า นิทานนี้เป็นเรื่องในกะยาหงัน โลกสวรรค์ชั้นฟ้า ใคร่จะทำเป็นบทละคอน เพื่อให้กลายเป็นตำนานนิยายด้วย เหตุว่าในกาลนั้นในโลกเรานี้ ยังไม่ครึกครื้นแน่นหนาฝาคั่งและมนุษย์ก็ยังไม่มีมากนัก จึงชาวกะยาหงันปรึกษาพร้อมใจกันจะลงสู่ยังโลกพิภพ เพื่อจะได้เกิดเป็นเรื่องละคอนและตำนานยืดเยื้อสืบไปช้านาน

ครั้นพร้อมใจกันดังนั้นแล้ว ต่างก็จุติลงยังมนุษย์โลก ในจำนวนนี้เข้าสู่รูปมนุษย์เป็นระตู สี่องค์ คือ ระตูกุรีปัน ระตูดาหา และระตูกากะหลัง กับพระนางบุตรี นีกู คันฑะส้าหรี ณเขากูหนุงวิลิส๑๐ ซึ่งประตาปา๑๑ผนวชอยู่ ณ ที่นั้น

ก็และระตูทั้งสี่นี้เป็นพี่น้องกันสิ้น และต่อมาภายหลังก็กลายเป็นเรื่องนิทานที่สนุก อันพวกดาหลัง๑๒ นำมาใช้เป็นเนื้อเรื่องใหม่สำหรับเล่นละคอน

เรื่องเทพาวตารจากโลกสวรรค์ลงสู่โลกพิภพ ที่เล่าแถลงนี้ก็มิได้มีความมุ่งมาทอย่างอื่นใดนอกจากจะให้เป็นอุบายและแบบอย่างที่จะให้เกิดเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งไพเราะสนุกสนานเท่านั้น

อันระตูที่มีชนมายุยิ่งกว่าองค์อื่นๆ นั้นประทับครองบัลลังก์ราชย์ ณ นครกุรีปั่น มีเกียรติเลื่องชื่อฦๅชาขจรไปทุกประเทศเขตต์นิคมชนบท และทั่วทุกซอกตรอกทาง ร้านตลาด ด้วยอาณาเขตต์ของพระองค์กว้างใหญ่มาก และเป็นที่นิยมรักใคร่ของบรรดาพ่อค้าวานิช เหตุด้วยมีพระราชอัธยาศรัยบริบูรณ์ด้วยขันตีธรรมสุจริตเลิศโดยพระชาติวุฒิ และวิจักขณญาณ๑๓ และเข้มแข็งในเชิงยุทธ เป็นที่รักใคร่ยิ่งนักของประชาชน และเหล่าตำมะหงง๑๔ มนตรีมุข ด้วยพระจรรยาเที่ยงธรรม ไม่โปรดฟังถ้อยคำอันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเรื่องใด ย่อมทรงใคร่ครวญชั่งน้ำหนักผิดชอบก่อนทั้งสิ้น พระราชจรรยาของพระเจ้ากรุงกุรีปั่นมีปกติเป็นประการฉนี้แล

ระตูองค์ที่สองรองลงมานั้นครองราชบัลลังก์นครดาหา.

ก็และระตูดาหานั้นมีอัครชายาเป็นประไหมสุหรีหนึ่ง มีชายารอง๑๕ สองประไหมสุหรีนั้นมีนามว่าพระนางบุตรีบุษบา หนึ่งหรัด๑๖ ส่วนชายารองนั้น นางหนึ่งมีนามว่ามหาเดหวี๑๗ และอีกนางหนึ่งซึ่งสาวกว่าเพื่อน และโปรดมากนั้น มีนามว่าท่านลิกู๑๘ และพระราชอัธยาศรัยของระตูดาหานั้นมักปล่อยพระองค์น้อมไปตามตัณหากามารมย์ หมกมุ่นลุ่มหลงด้วยสตรีเพศ พระชายาสนมนางห้ามคนใดเป็นที่ทรงถวิลจินดา๑๙ สิเนหาตองพระหทัยแล้ว จะมีใจปรารถนาสิ่งอันใดก็ทรงอนุวัตตามเป็นนิตย์ อนึ่ง พระอุปนิสัยมีขันตีธรรมแรงกล้า พระชายาสนมกำนัลในจะเจรจาว่ากล่าวประการใดก็ไม่ทรงถือโทษเอาผิดเสียเลย พระราชจรรยาของเจ้ากรุงดาหามีปกติเป็นประการฉนี้แล.

ฝ่ายว่าองค์ที่สามรองลงมานั้นก็เป็นชาย และได้เป็นราชาครองเมืองกากะหลัง ก็และนครของพระองค์นั้นสงบราบคาบดีด้วยสันติภาพ มีพ่อค้าพานิชน้อยใหญ่ตั้งห้างร้านซื้อขายเป็นอันมาก ทั้งคนที่สมบูรณ์มั่งคั่งก็มีอยู่มากในนครนั้น พระราชวังก็ใหญ่โตสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม ทั้งบรรดาเครื่องตั้งเครื่องแต่งก็ล้วนแต่งามประณีตรุ่งโรจน์ สระน้ำ และกำแพงบรรดามีอยู่ขวาซ้าย ถนนหนทางใหญ่น้อย ก็ล้วนแต่ทำด้วยศิลา ถนนหลวงสายใหญ่ก็ร่มรื่นตลอดไปด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างงามๆ กับต้นไม้ผลอันโอชารส

อนึ่งเล่าพระราชอัธยาศรัยของพระองค์นั้น มักทรงคล้อยตามคำพูดและความประสงค์ของคนทั้งหลาย ไม่โปรดที่จะทรงถือโทษเอาผิดผู้หนึ่งผู้ใดเลย ไม่แต่คำของบัณฑิต ซึ่งสโมสรพร้อมใจกันเพื่อจะทำกิจการอันดีอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้น แม้แต่คำของพระชายา มนตรี เสนา นักรบ และดะหมัง๒๐ ตำมะหงุงทั้งปวงก็ทรงเชื่อฟังด้วยสิ้น เหตุฉะนั้นนครกากะหลังนั้นจึงแน่นหนาฝาคั่งไปด้วย บัณฑิตและชีพ่อพราหมณ และอาจารย์นักพรตซึ่งลงมาจากภูเขาแล้วเลยตั้งอาศรัยอยู่ในนครนั้น เพื่อจะสั่งสอนกุลบุตรซึ่งเปนชาวนาครกากะหลัง เรื่องดังมีมาเป็นประการฉนี้แล.

ฝ่ายว่าองค์ที่สี่ในจำนวนระตูนั้นเป็นองค์หญิง มีโฉมพระพักตรงามยิ่งนัก ทรงนามว่า บีกู คันฑะส้าหรี มีที่ประทับอยู่บนเขากุหนุงวิสิส เพราะพระอัธยาศรัยของบีกูคันฑส้าหรี นั้น โปรดบำเพ็ญประตาปา และในเวลากลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี โปรดแต่ไปประทับอยู่ในป่าชัฎบนเขานั้นเท่านั้น พระองค์ทรงศักดิ์สิทธิ๒๑ยิ่งนัก และมีฤทธิสามารถเล็งเห็นเหตุการณใกล้ไกลทั้งปวง ไม่แต่ว่าในบรรดาคนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองกากะหลัง และดาหาเท่านั้น แม้แต่เรื่องราวและความประพฤติของคนที่อยู่ในเมืองห่างไกลยิ่งกว่านั้นก็สามารถเล็งเห็นทราบตระหนักได้

เพราะฉะนั้น บีกูคันฑะส้าหรี จึงประทับอยู่แต่บนกุหนุง ไม่โปรดที่จะประทับอยู่ในบ้านในเมือง และตามข่าวที่คนเล่าแถลงกันนั้น นัยว่าเป็นด้วยเธอเป็นสตรีซึ่งไม่มีความประสงค์จะมีสวามี พระราชามหากษัตริย์ได้มีมาสู่ขอหลายองค์แล้ว เพื่อที่จะหาไปเป็นประไหมสุหรี เธอก็มิได้ทรงรับ กลับรู้สึกเบื่อหน่ายพระหฤทัย เหตุฉะนั้น จึ่งเสด็จออกประตาปา ประทับอยู่แต่ที่อาศรมสถาน ถเ กุหนุงวิลิสนั้นแล.

เมื่อออกบำเพ็ญประตาปาแล้วมิช้านาน ระตูเธอก็ปรีชาสามารถในวิทยาคมต่าง ๆ รอบรู้ในสรรพสิ่งอันน่าพิศวงอัศจรรย์ และกลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์มาก ครั้นแล้วก็ทรงสั่งสอนนักพรต พราหมณาจารย์และบัณฑิตเป็นอันมาก จึงมีนามกรฦๅชาปรากฏไปโดยรอบบรรพตนั้น เป็นที่เคารพนับถือของบรรดานักพรตนักบวชซึ่งอยู่ในปกครองของเธอ ด้วยว่าจะตรัสคำใดก็ดี จะประสงค์จำนงหมายสิ่งใดก็ดี ย่อมได้รับเทวานุมัติขององค์ สัง หยัง ชคตนาถ๒๒ ทั้งสิ้น จะขอร้องอันใดมหาเทวาธิราชเจ้าก็โปรดให้สำเร็จตามประสงค์ ทั้งเป็นที่รักของบรรดาเทวาและบะตาระ๒๓ ทั่วไป ไม่แต่พราหมณาจารย์และบัณฑิตเท่านั้น แม้แต่สัตว์ และภูตปิศาจอันดุร้าย บรรดาอยู่ป่าชัฎนั้น ก็ย่อมยำเยงเกรงกลัวก้มศีรษะนบนอบต่อบีกู คันฑะส้าหรีนั้นสิ้น แม้กระทั่งยมบาล ผีคนอง หลอนหลอก และเสือสมิง๒๔ ก็เคารพยำเกรงบีกู คันฑส้าหรีนั้นหมด ก็และที่เธอเสด็จไปประทับอยู่บนกุหนุงวิลิสนั้นได้นำไปด้วยซึ่งพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลใน อันพลอยเป็นนักพรตประตาปาไปด้วย และวิมุติแล้วสิ้นจากตัณหา และความใคร่ ในอันหาสุขหาทรัพย์แห่งโลกนี้ เพราะเหตุเขาทั้งหลายประพฤติเจริญรอยตามพระนางบุตรีนั้น ในจำนวนนางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในนั้น มีคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า อุบุน อุบุน อินหนัง๒๕ เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระนางบุตรีอย่างยิ่ง ไม่ว่าเวลากลางวันกลางคืนเช้าหรือค่ำ และนอบน้อมบูชาสรรเสริญคุณสังหยัง เทวดา ปะตาระชคัต มหาเทวราชอยู่เป็นนิตย์ เรื่องราวความเป็นไปของบีกู คันฑะส้าหรีมีประการดังกล่าวนี้แล

บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงองค์ระตูกุรีปั่น เมื่อได้ครองบัลลังกราชย์นั้นมาแล้วมิช้านาน วันหนึ่งก็ถึงกษณฤกษงามยามดี ก็ได้พระราชโอรสองค์หนึ่ง ซึ่งมีโฉมพระพักตรงามศิริวิลาศ พระฉวีวรรณนวลละอองผ่องใสไพโรจน์ลักษณ๒๖ บะตาระ อินทร๒๗ ในกะยาหงันชั้นฟ้าฉนั้น แล้วจึงได้พระนามว่า ระเด่น อินู กรตะปาตี๒๘ ฝ่ายทวยประชาชาวนาครถวายพระนามเรียกว่า ระเด่น อัสมาหรา หนึ่งหรัด๒๙ พระกุมารนี้มีพระพักตรงามยิ่งนัก และเป็นที่สิเนหาของทวยเทพบะตาระและเทวาทั้งหลาย ทั้งมีพระจริยานุวัตรน้อมไปในทางทำบุญให้ทาน ตรัสแต่ปิยวาจาไพเราะเสนาะโสตรอ่อนหวานลมุนลม่อม ประพฤติพระองค์งดงามน่ารักใคร่ อย่าว่าแต่สตรีเพศเลย แม้แต่ผู้ที่เป็นชายยังมีใจพิศวาสดิ์รักใคร่อย่างไม่สมฤดีในองค์ระเด่น อินู กรตะปาตี นั้น ฝ่ายพระราชา สัง ระตู กุรีปั่น ก็ทรงพระสิเนหาอาลัย๓๐เป็นอันมาก ตรัสสั่งกำชับให้พี่เลี้ยงนางนมข้าไทยคอยเฝ้าบริหาร ระแวดระวังเป็นอย่างดี ครั้นพระราชกุมารมีพระชนมายุสมควรจะศึกษา จึงจัดให้เล่าเรียนวิทยาคมบางประการ อันเป็นคุณประโยชน์แก่บุรุษชาติ และได้มีผู้เป็นสหายผู้ตามเสด็จของระเด่น อินู กรตะปาตี นั้นขึ้นสี่คน แต่ล้วนเป็นบุตรขุนนางตำมะหงุงสิ้น คนที่หนึ่งมีนามว่า ยะรุเดะ คนที่สองมีนามว่า ปูนตา คนที่สามมีนามว่า การะตาหลา และคนที่สี่มีนามว่า ประสันตา๓๑ ทั้งสี่คนนี้ได้เป็นผู้บรรเลงตลกคนองและเป็นผู้ตามเสด็จองค์ระเด่น อินู กรตะปาตี จะเสด็จไปไหนก็ตามไปด้วย มิได้พรากจากกันแต่สักวันเดียว อนึ่งเล่าทั้งสี่คนนี้เข้าใจในการที่จะปลอบโยนพระหทัยเจ้านายของตน และฉลาดในอันพูดจาเอาพระหทัยและรับใช้เจ้านาย ด้วยว่าทั้งสี่นายนี้คล่องแคล่วนักในการเล่นหัวฟ้อนรำและทำตลกคนอง จนกระทั่งใครๆ ก็ได้เห็นกิริยาอาการของผู้ตามเสด็จทั้งสี่คนนี้แล้วจะต้องหัวเราะก๊าก ๆ๓๒และถ้าเห็นเขากำลังเล่นตลกคนองแล้ว อย่าว่าแต่คนที่กำลังมีใจเศร้าโศกเลย แม้แต่คนกำลังร้องไห้อยู่ น้ำตาก็เหือดหายไป แล้วก็หัวเราะก๊ากๆ ฝ่ายระเด่น อินู กรตะปาตี ก็โปรดปรานคนตามเสด็จทั้งสี่นี้ยิ่งนัก และฝ่ายข้างทั้งสี่คนนั้นก็มีความจงรักภักดีในเจ้านายของตนเป็นอันมาก ไม่มีเลยแต่สักวันเดียวที่จะห่างจากพระองค์ไปพฤติการณ์เป็นอยู่ดังนี้แล

บัดนี้ จะกล่าวถึง สัง ระตู กากะหลัง เมื่อได้ประทับเหนือบัลลังก์ครองราชย์ ณ นครกากะหลังมาแล้ว มิช้านาน ก็ได้โอรสองค์หนึ่งได้นามว่า ระเด่นสิงหะมนตรี๓๓ สังระตูนั้นจึงตรัสให้มีพี่เลี้ยงนางนมบำรุงเลี้ยงพระกุมารนั้นสืบไป ท้าวเธอทรงสิเนหาอาลัยยิ่งนักในพระราชบุตรนั้น ด้วยว่าพระองค์มีพระราชโอรสแต่องค์เดียวนี้ หามีสองสามรองไปอีกไม่ ครั้นระเด่นสิงหะมนตรีนั้นทรงเจริญเติบใหญ่ขึ้นมีพระอุปนิสัยเลื่อนลอยไม่ดีเลย โปรดแต่คำเยินยอ บางเวลามีพระอัธยาศรัยประดุจวิกลจริต ฝ่ายพระราชาก็ทรงไร้อุบาย และพระหฤทัยไม่แข็งพอในอันจะห้ามปรามป้องกันความประพฤติและการกระทำผิดของพระราชโอรสได้แต่จะคล้อยตามความประสงค์ของเธอ จะขอประทานสิ่งใดก็มีแต่ทรงอนุญาติสิ้น ด้วยทรงสิเนหาอาลัยในพระราชบุตรนี้มากนัก เพราะมีอยู่แต่องค์เดียวเท่านั้น ถึงเวลาพลบค่ำทุกๆ วัน สิงหะมนตรีนั้นก็แต่งภูษาภรณ์อันมีราคาแพงๆ ไม่ยอมแพเจ้านายลูกหลวงอื่นใด ด้วยว่าพระชนกเป็นกษัตริย์มหาศาลครองเมืองใหญ่ ก็และเครื่องภูษิตาภรณ์ที่ทรงนั้นใช้อยู่มินาน พลันก็ผลัดเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวก็ทรงทองกรรูปนาคประดับพลอยมรกฏและทรงคาดผ้าไหมพันสามรอบขึ้นไปจนจรดพาหา จะทรงทำการสิ่งใดก็ชอบแต่โอ้อวดออกหน้าอยากให้คนสรรเสริญเยินยอ บรรดาชาวนาครใครไม่ชมโฉมหรือไม่ยอมรับว่าเธอเป็นเจ้านายรูปงามแล้วก็ต้องถูกลงพระอาชญาตบเตะ หากใครเยินยอ ดังอุปมา๓๔ ว่า ระเด่น สิงหะมนตรี งามเฉิดฉายว่องไวนักฉนี้ไซร้ ก็ได้ประทานพระอนุเคราะห์๓๕ ด้วยส้าโบะ๓๖ ผ้าคาด และธำมรงค์ซึ่งกำลังทรงอยู่นั้น เพราะเป็นที่พอพระหฤทัยในอันกล่าวชมพระรูปพระโฉมว่าดีงามนั้น อนึ่งเล่า จะตรัสอันใดก็มีแต่พระวาจาก้าวร้าวและหยาบคาย ไม่มีเสียเลยที่จะใช้ถ้อยคำอันสุภาพและโสภณ๓๗หรือเรียบร้อย พระประพฤติของเธอเป็นดังกล่าวนี้แล

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูดาหา ท้าวเธอมีราชธิดาสององค์ ๆ หัวปีมีนามว่า พระบุตรี ก้าหลุ จันตะหนา กิระหนา๓๘ เป็นธิดาขององค์ประไหมสุหรี นางมีศิริรูปฉวีวรรณนวลลอองผ่องใสงามสุดที่จะหาคำพรรณาได้ นาสิกประดุจกลีบกระเทียม นัยเนตรดุจดวงดาราทิศบุรพา ขนเนตรงอนพริ้ง นิ้วหัตถ์เรียวประดุจขนเหม้น เพลาน่องดังท้อง (อุ้ง) เมล็ดข้าวเปลือก ส้นบาทดังฟองไข่นก ปรางดังมะม่วงป่าห้อยอยู่ ขนงโค้งดังงากุญชร ริมโอษฐ์ดังโค้งมะนาวตัด เป็นอันยากที่จะเล่าแถลงให้พิศดารยิ่งกว่านี้ ด้วยจะหาที่ตำหนิตรงไหนแต่สักนิดหนึ่งก็หามีไม่เลย เป็นที่สนิธสิเนหาอย่างยิ่งแห่งประไหมสุหรี และพี่เลี้ยงนางนมทั่วไป อนึ่ง มีสาวสรรกำนัลในอยู่สองนางที่เป็นคนโปรดยิ่งนัก นางหนึ่งชื่อว่า เกน บาหยัน และอีกนางหนึ่งชื่อ เกน ส้าหงิด๓๙ นางกำนัลทั้งสองนี้มีความซื่อสัตย์ภักดี๔๐ ต่อองค์ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น มีลักษณะประดุจว่าเป็นชีวิตอันเดียวกัน อันพระบุตรีและนางกำนัลทั้งสองต่างมีความสิเนหาอาลัยซึ่งกันและกันดังนี้ ก็ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจเทวประสงค์ของเทพเจ้าทั้งหลายนั้นแล

ฝ่ายราชธิดาท้าวดาหาองค์เยาวนั้นเป็นของชายารองผู้มีนามว่าท่านลิกู ส่วนมหาเดหวีไม่มีบุตร ก็แต่กิระดังสดับมานั้นว่าเธอก็มีธิดาองค์หนึ่งนามกรว่า ประบาตะส้าหรี แต่ในหนังสือเรื่องนี้หากล่าวถึงไม่ กล่าวแต่ท่านลิกูเท่านั้นว่า ได้บุตรีมีนามว่า ก้าหลุ อาหยัง๔๑ เป็นธิดาชายารองของระตูดาหา ก็แลอัธยาศรัยของ ก้าหลุอาหยัง นั้น ไม่ซื่อตรงต่อ ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา แม้มีเรื่องอะไรแต่เล็กน้อยก็คอยแต่เก็บทูลฟ้องท้าวดาหา เพราะจะมีเหตุอะไรแต่สักนิดหนึ่ง เธอก็มักจะกรรแสงกลิ้งไปกลิ้งมาที่พื้นต่อหน้าท่านลิกูนั้น และไม่เคยยอมแพ้ใคร ชอบแต่จะให้คนพะนอ ส่วน ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น มีความประพฤติอ่อนโยน มีนิสัยอดทนและสุจริต คอยแต่ยอมแพ้เสียเสมอ และไม่เคยเอาความไปทูลร้องฟ้องแก่ประไหมสุหรีหรือสังระตูเลย ถึงยังเยาว์และยังไม่เดียงสา ก็รู้รักษาองค์ได้ดีแล้ว แม้กระนั้นก็ดี สังระตูก็ยังสิเนหาอาลัยยิ่งในก้าหลุ อาหยัง นั้น ด้วยก้าหลุ อาหยัง เป็นบุตรีท่านลิกู คือชายารองของสังระตู เหตุว่าท่านลิกูนั้นเป็นชายาสาว สังระตูทรงสิเนหาอาลัยมาก ไม่ว่าจะมีข้อพิพาทประการใดเป็นเอาชนะได้หมด หากว่ามีเรื่องอะไรแม้แต่เล็กน้อย ท่านลิกูนั้นก็มักจะเจรจาประชดกระทบกระแทก เช่นว่า

“เลิกกันเท่านั้นที, จริงสิ ข้าเจ้าเป็นเพียงหญิงชาวตลาด ไม่มีเชื้อวงศ์เทือกเถาเหล่ากอ ไม่มีใครรู้ว่าสืบพันธุ์มาแต่ไหน”

เหตุฉะนั้น สังระตู จึ่งลอายพระหฤทัย และทรงรู้สึกว่าไป ๆ ก็ถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม แต่นั้นมาท่านลิกูจะพูดจาว่ากระไรก็ทรงคล้อยตามและตามใจทุกสิ่งทุกอย่าง ตามการณ์ที่เป็นดังนี้ไม่ช้าก็เป็นเรื่องเลื่องฦๅแพร่หลายไปจนกระทั่งถึงกรุงกุรีปั่นและกากะหลัง ซ้ำเมื่อท่านลิกูรู้สึกตนว่า สังระตู ทรงสิเนหาอาลัยในตนมาก ก็เกิดมีใจโหดร้ายขึ้นต่อองค์ประไหมสุหรี ผู้ชนนีของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ด้วยความเกลียดชังอย่างสาหัส ใคร่จะหาอุบายให้สังระตูทรงสละละทิ้งประไหมสุหรีเสียทีเดียว

มาวันหนึ่งประไหมสุหรีทรงแต่งองค์พระบุตรี ก้าหลุ จันตะหรานั้นด้วยเครื่องแต่งบางอย่าง ซึ่งทวีความงามของเธอขึ้นเป็นอันมาก ฝ่ายก้ากลุ อาหยัง ก็มีจิตรฤษยา จึงกลับไปขอให้พระมารดาของเธอคือท่านลิกูนั้นแต่งให้บ้าง ด้วยเธอจะไปประพาศตาหมัน๔๒บันยาส้าหรี กับจันตะหรา กิระหนา ฝ่ายจันตะหรา กิระหนา ใช้ผ้าคลุมเศียรสีชมภู ก้าหลุ อาหยังใช้ผ้าคลุมเศียรสีน้ำเงิน ครั้นก้าหลุ อาหยัง เห็นเครื่องแต่งองค์ของพระพี่นางไม่เหมือนกับของเธอ ซ้ำเห็นผ้าคลุมเศียรงามดียิ่งกว่าด้วย ก้าหลุ อาหยังก็เลยไม่อยากไป ด้วยเกิดทุกข์๔๓ขึ้นในหทัยของนาง ระแวงว่าสังระตูจะโปรดก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ยิ่งกว่าตน และสงกา๔๔ ว่า ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้นจะงามดียิ่งไปกว่าตน ด้วยที่มีทุกข์ระแวงกลัวว่าพระพี่นางจะยิ่งไปกว่าดังนี้ เธอจึงกรรแสงและตรัสว่า

“จริงสิ ข้าเจ้านี้เป็นลูกทิ้งขว้างและเป็นลูกเมียน้อย ไม่ใช่อาหนะ๔๕ ประไหมสุหรีจึงได้เป็นดังนี้ เสื้อผ้าของข้าเจ้านี้สังระตูประทานให้ผิดกัน ไม่ให้เหมือนกันกับองค์พระพี่นาง ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา”

สังระตูได้ทรงฟังถ้อยคำและทอดพระเนตร์เห็นอาการของ ก้าหลุ อาหยัง ดังนั้น ก็ทรงทุกขะจิตต์๔๖ โทมนัศและเจ็บพระหทัยยิ่งนัก แล้วจึงตรัสปลอบด้วยพระวาจาอันลมุนลม่อมว่า

“อุวะ๔๗ ลูกผู้ดวงใจของพ่อ เลิกที อย่าร้องไห้ไปเลย ใช่ว่าพ่อจะแต่งเธอให้ผิดแผกไปจากพี่สาว หรือจะยกย่องให้ต่างกันเมื่อไรมี เดี๋ยวเถอะ พ่อจะสั่งให้เปลี่ยนผ้าคลุมเศียรให้เธอเป็นอย่างอื่นให้งามยิ่งกว่านี้”

จึงก้าหลุอาหยัง สอื้นทูลว่า

“หม่อมฉันไม่รับประทาน จะขอแต่ให้ผ้าคลุมของหม่อมฉันนี้เหมือนกับของพระพี่นางก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น เท่านั้น”

กาลนั้น สังระตู ก็ตรัสสั่งให้เปลี่ยนผ้าคลุมเศียรเสียใหม่ให้เหมือนกันกับของ จันตะหรา กิระหนา ก็และอันที่จริงนั้นผ้าคลุมทั้งสองผืนนั้นก็มีราคาเท่ากัน หากแต่ต่างรูปต่างสีเท่านั้น อนึ่งเล่าเมื่อจะประทานผ้าทรงเครื่องแต่งแก่สององค์นี้ครั้งใด ก็โปรดให้ก้าหลุ อาหยังได้เลือกก่อนเสมอ แลวจึงประทานเศษ๔๘เหลือจากเลือกนั้นแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เพราะ สังระตู ทรงสิเนหาอาลัยโปรดก้าหลุ อาหยังมากกว่า และทรงเห็นแก่ท่านลิกู พระมารดาของเธอนั้นด้วยซึ่งโปรดยิ่งกว่าประไหมสุหรีชนนีของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น อีกประการหนึ่งด้วยเหตุที่สังระตูโปรด ท่านลิกูก็ทูลยุยงส่อเสียดอยู่ทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งประไหมสุหา และธิดานั้นหาชีวิตอันสงบสุขมิได้เลย ท่านลิกูผู้มีใจทุจริตเอาชนะได้อย่างนี้ จึงนับวันยิ่งกำเริบถือตัวยิ่งขึ้นโดยอันดับ

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง เล่า ก็ร้องฟ้องต่อมารดาอยู่แทบทุกวันเช่นว่า “ในพวกพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในข้าหลวงบริวาร๔๙นั้น แต่พอหม่อมฉันไปเล่นกับพระพี่นางจันตะหรา กิระหนาแล้ว เขาสมาคมชวนเล่นชวนคุยแต่กับพระพี่นางเท่านั้น ส่วนหม่อนฉันจะหาคนคบค้าสักคนเดียวก็ไม่มี อย่าว่าแต่จะชวนเล่นเลย แม้แต่จะพูดจาปราสัยเท่านั้นก็ไม่มี

ครั้นท่านลิกูได้ฟังดังนั้น ก็คาดว่าเป็นความจริง จึงลงอาชญาทุบตีตำหนิติโทษแก่บรรดาพี่เลี้ยงนางนมข้าหลวงสาวใช้ทั่วทั้งหมดด้วยกัน ซ้ำด่าว่าตั้งแต่สูงลงไปหาต่ำ ตั้งแต่ปู่ย่าตายายลงไปหาหลาน และติเตียนปรามาทตลอดเจ็ดชั้นชั่วคน นับแต่ปู่ย่าตาทวดลงไปเทียว

มาวันหนึ่ง ต่างองค์ต่างอยากจะไปประพาศเล่น ที่ในสวนบันยารันส้าหรีและเด็ดเก็บดอกไม้ ต่างองค์ก็ทรงเครื่องถึงขนาด และก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ดี ก้าหลุ อาหยัง ก็ดี สาวสรรกำนัลในก็แต่งองค์ถวายเป็นอย่างดี งามพักตรงามรูปราวกับกินรในอินทรโล ๕๐ลงมาสู่พื้นพิภพ ครั้งแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วจึงจรลีเข้ายังตาหมันบันยารันส้าหรีนั้น มีเกน บาหยัน และเกนส้าหงิดตามเสด็จกับท่านมหาเดหวี ประไหมสุหรี และท่านลิกู ก็ตามเสด็จ สังระตูไปด้วย กำลังบทจรจะเข้าตาหมัน บันยารันส้าหรีนั้น ครั้นเข้าถึงในสวน จึงมหาเดหวีตรัสประพาศว่า “เออแนะ ลูกแม่ จงไปเล่นเก็บดอกไม้กับพี่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาสิ ฝ่ายแม่นี้จะเล่นกับลิกู มารดาของลูกและกับประไหมสุหรี”


-----------------------------------
ต้นฉะบับว่า “บาหาลิยัน ปรตามะ”
ต้นฉบับว่า “กายังงัน” แปลว่าสวรรค์ ในพระราชนิพนธ์อิเหนาใช้คำกะยาหงัน
คำมะลายู “ลาคอน” หรือ “ละลาคอน” แปลว่าเรื่องที่เล่นละคอน ไม่ใช่ตัวละคอน
ในพระราชนิพนธ์อิเหนา ระตูเป็นเจ้าครองเมืองชั้นต่ำๆ เท่านั้น แต่ในฉบับนี้ เรียกสี่กษัตริย์วงศ์อสัญแดหวาว่าระตู
พ.ร.น. อิเหนา กูเรปั่น
พ.ร.น. อิเหนา กาหลัง  
ต้นฉบับใช้คำ “ปุตรี”
คำ “บีกู” นี้มาจากคำภิกขุ หรือ ภิกษุ ใน พ.ร.น. อิเหนาใช้นำชื่อพราหมณ์ เช่น “บีกูปะระมาหนา” (คำปะระมาหนา มาจากมะลายู “บราหมานะ” คือ พราหมณ)
พ.ร.น. อเหนา สิงหัศส้าหรี
๑๐ พ.ร.น. อิเหนา เรียกเทวิลิสมาหรา
๑๑ พ.ร.น. อิเหนา ใช้คำปะตาปา, คำมะลายู “บูรตาปา” หรือ “ปรตาปา” ผูกมาจากคำสันสกฤต ตะปะ คือ บำเพ็ญตะบะ
๑๒ คำ “ดาลัง” แปลว่าผู้พากย์ละคอน. โขน. กับทั้งพากย์ทั้งเชิด หุ่น. หนัง พ.ร.น. อิเหนา “ดาหลัง”
๑๓ ต้นฉบับใช้คำ “มิจักซานะ” – พิจักษณ
๑๔ ต้นฉบับ “ตะมังงุง” แปลว่าขุนนางชั้นหนึ่ง พ.ร.น. อิเหนาใช้ว่า ตำมะหง และใช้ฉะเพาะเสนาผู้ใหญ่
๑๕ ต้นฉบับใช้คำ “คุนดิ๊ก” ซึ่งแปลโดยนัยสามัญว่าอนุภรรยา ใน พ.ร.น. อิเหนามีระเบียบมเหษี ๕ คือประไหมสุหรี, มะดีหวี, มะโต, ลิกู และเหมาล่าหงี, คำคุนดิ๊กไม่มีใช้ใน พ.ร.น. อิเหนา.
๑๖ ต้นฉบับว่า “ตอน ปุตรี ปุสปะ นิงรัต”
๑๗ ต้นฉบับว่า “มาหาเดวี” คือมหาทวี ใน พ.ร.น. อิเหนากลายไปเป็นมดีหวี, ในคำแปลนี้เขียนมหาเดหวีเพื่อจะรักษาสำเนียง พ.ร.น. อิเหนาไว้บ้าง
๑๗ ต้นฉบับว่า “ปาดุกะ ลิกู” คำปาดุกะ เป็นคำยกย่องใช้ได้แต่เจ้าแผ่นดินลงไปจนถึงขุนนาง ตรงกับพระบาท, ฝ่าบาท, ใต้ท้าว ฯลฯ ในคำแปลน่าใช้ “ท้าว” แต่เกรงจะกลายเป็นเฒ่าแก่ท้าวนางไป จึงใช้ “ท่าน” ซึ่งเป็นคำกลาง ๆ
๑๘ ต้นฉบับว่า “ปาดุกะ ลิกู” คำปาดุกะ เป็นคำยกย่องใช้ได้แต่เจ้าแผ่นดินลงไปจนถึงขุนนาง ตรงกับพระบาท, ฝ่าบาท, ใต้ท้าว ฯลฯ ในคำแปลน่าใช้ “ท้าว” แต่เกรงจะกลายเป็นเฒ่าแก่ท้าวนางไป จึงใช้ “ท่าน” ซึ่งเป็นคำกลาง ๆ
๑๙ ต้นฉบับใช้คำ “จินตะ”
๒๐ กะหมังเป็นขุนนางหรือเสนาชั้นรองตรงกับใน พ.ร.น. อิเหนา
๒๑ ต้นฉบับใช้คำ “สักติ”
๒๒ “สัง” ใช้เป็นคำนำหน้าชื่อเทวดา หรือคำยกย่องอย่างสูง “หิยัง” หรืออ่านรวบเป็น “หยัง” เป็นคำเรียกทำนอง “โอม” ของเรา. คำนี้มีใน พ.ร.น. อิเหนา เช่น ชื่อเต็มของอิเหนาขึ้นต้นว่า “หยังๆ” ฯลฯ คำชคตนาถนั้นในภาษามะลายูว่า “ชะคัตนาตะ” คงมาแต่ภาษาสันสกฤตในปทานุกรม มอเนียร วิลเลียมส์ ค้นพบ “ชคตปติ” แปลว่าเจ้าโลก
๒๓ “บะตะระ” หรือบางที “ปะตาระ” แปลว่าเทวดา, พ.ร.น. อิเหนา “ปะตาระกาหรา” สันนิษฐานว่าจะมาแต่คำสันสกฤต ภัตตารกะ ซึ่งแปลว่าผู้ซึ่งพึงเคารพนับถือ ใช้แก่เทวดาก็ได้ มนุษย์ก็ได้ (ดูมอเนียร วิลเลียมส์)
๒๔ ต้นฉบับ ใช้คำมลายูว่า “ปชะชารัน” แปลโดยอรรถาธิบายว่า คนกลายเป็นเสือ แต่เสือสมิงของไทยเราดูเหมือนว่า เสือซึ่งกลายเป็นคนได้และกลับเป็นเสืออีกก็ได้
๒๕ นางยุบล ในพ.ร.น. อิเหนาอาจมาจากชื่อนี้ แต่ในต้นฉบับนี้ไม่ปรากฎว่าเป็นนางค่อม คำ “อินหนัง” นั้นที่ถูกอินดัง แต่ออกเสียง น.ด. กล้ำเสียง ด หายไป ตามความเข้าใจในปัจจุบันนี้แปลว่าหญิงขอทาน หรือหญิงต่ำ คำ “แอหนัง” ที่ใช้ใน พ.ร.น. อิเหนา หมายความว่าชีนั้นคงมาจากคำนี้ ซึ่งตามความเข้าใจในหนังสือนี้ก็เข้าเค้าเป็นชี
๒๖ ต้นฉบับใช้คำ “ลักซานะ”
๒๗ ต้นฉบับใช้คำ “บะตาระ อินดระ” คำอินดระในภาษามลายูแปลว่า พระอินทร์ก็ได้ แปลว่าเทวดาเท่านั้นก็ได้ เหมือนกับคำ “เดวะ” “เดวาตะ”
๒๘ “อินู” ตรงกับ อิเหนา “กรตปาตี” ไพล่ไปตรงกับ กะรัตปาตี แต่ในสร้อยอิเหนา ใน พ.ร.น. ก็มีทั้งคำ กรตะทั้งปาตี – คำกรตะ แปลว่า ความสงบก็ได้ แปลว่าเมืองก็ได้ ส่วนปาตีนั้นก็คือ บดี
๒๙ “ระเด่น อัสมารา นิงรัต”
๓๐ ต้นฉบับใช้คำ “กาซิห์ ดัน ซายัง” กาซิห์แปลว่ารัก ซายัง แปลว่าเสียดาย
๓๑ พี่เลี้ยงสี่ ตรงกับ พ.ร.น. อิเหนา จะเพี้ยนก็แต่ด้วยสำเนียงเล็กน้อยเท่านั้น
๓๒ ต้นฉบับว่า “คะลัก คะลัก” จึงแปลว่า ก๊ากๆ
๓๓ ต้นฉบับว่า “สิงคะมันตรี” ใน พ.ร.น. อิเหนา เรียกอิเหนาว่าระเด่นมนตรี
๓๔ ต้นฉบับใช้คำ “อุปามะ”
๓๕ ต้นฉะบับใช้คำ “อนฺคราหะ”
๓๖ “ซาบุก” แปลว่าผ้าคาดเอว, รัตปคต ฯลฯ ใน พ.ร.น. อิเหนา “ส้าโบะ สะใบ”
๓๗ ต้นฉบับ ใช้คำ “โสปัน”
๓๘ ก้าลุห์” ในหนังสือนี้ดูเป็นคำนำนามพระบุตรี ใน พ.ร.น. อิเหนาไม่มีใช้ แต่ในอิเหนาใหญ่มี “บุษบา ก้าโหละ” จึงได้ใช้ตามไปว่า ก้าหลุ-“จันดระ” คือจันทร ในหนังสือเรื่องอื่นพบบ่อยๆ มีชื่อนาง “จันดระวาดี” คือ จันทรวดี สันนิษฐานว่าตรงกับ “จินตะหราวาตี” ใน พ.ร.น. อิเหนา แต่ในเรื่องนี้ไปได้แก่ตัวนางบุษบา, ส่วนบุษบากลายเป็นชื่อชนนีไป
๓๙ ชื่อพี่เลี้ยงพอลงรอยกับ พ.ร.น. อิเหนา แต่หากมีเพียงสองนาง คำ “เกน” ชรอยเป็นคำนำเรียกชื่อนางชั้นต่ำ ใน พ.ร.น. อิเหนามีที่เทียบ “คือ เกนหลงกับชื่อนางพี่เลี้ยงแปลงมี “เกน ปะจินดา” “เกนปะระหงัน” เป็นต้น ชื่อส้าเหง็ด ในหนังสือนี้เป็น “ซังงิด” จึงแปลงลงไว้เป็นส้าหงิด
๔๐ ต้นฉบับใช้คำ “สัตยะ” ในภาษามะลายูชอบใช้ในที่หมายความว่าจงรักภักดี เช่นไทยเราก็ชอบใช้ แต่คำ “บั๊กติภักดี”เขาก็ใช้เหมือนกัน
๔๑ ที่ถูกแท้ตามต้นฉบับ “อาเช็อง” อักษร ช อ่านเป็นเสียง j อังกฤษจึงแปลงเสียงไปให้เข้าทำนองหนังสืออิเหนาของเราทุกวันนี้ บุตรีของระเด่นถ้ายังไม่สมรสก็ใช้ยศระเด่น อาเช็อง ทุกคน ตลอดจนเจ้านาย
๔๒ “ตาหมัน” แปลว่าสวน ใน พ.ร.น. อิเหนา ใช้คำสะตาหมัน ซึ่งแปลว่า สวนหนึ่ง
๔๓ ต้นฉบับใช้คำ “ดุกะ”
๔๔ ต้นฉบับใช้คำ “สังกา”
๔๕ “อานัก” แปลว่าลูก ใน พ.ร.น. อิเหนาใช้ อาหนะ
๔๖ ต้นฉบับใช้คำ “ดุกะจีตะ”
๔๗ ต้นฉบับว่า “วะห์”
๔๘ ต้นฉบับใช้คำ “ซีซา”
๔๙ ต้นฉบับใช้คำ “บีติ บีดิ ปรวระ” แปลว่าสาวบริวาร
๕๐ ต้นฉบับใช้คำ “กะอินดราอัน” แปลว่าที่อยู่ของเทวดา คือสวรรค์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มิถุนายน 2567 16:20:23 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 125.0.0.0 Chrome 125.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2567 17:36:54 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

กาลนั้นจึงพากันเที่ยวเล่นในดาหมัน บันยารันส้าหรีนั้น พลางเก็บบุหงา๕๑ ที่มีกลิ่นหอมๆ และรูปงามๆ ผูกร้อยเป็นพุ่มพวงเรียบร้อย ฝ่ายข้าหลวงพี่เลี้ยงนางนมสาวสรรกำนัลในบริวาร และสาวพรหมจารีก็เอะอะสนุกสนาน เด็ดดอกไม้อันออกแนมแกมก้านปลายกิ่ง แล้วก็ห่อบุหงานั้นด้วยผ้าแพรสีเหลืองบ้าง ผ้าเช็ดหน้าสีชมภู๕๒บ้าง ผ้าไหมสีเขียวบ้าง และที่ห่อด้วยผ้าถักตราชุนไหมทองนานาพรรณก็มี นางในทั้งหลายนั้นสุขะจิตต์รื่นเริงบันเทิงใจ เกน บาหยันและเกน ล้าหงิด ตามเสด็จพระบุตรีจันตะหรา กิระหนา ห่อบุหงาต่างๆ นั้นด้วยความเพลิดเพลินสำราญ อันนานาบุบผาชาติที่เก็บได้ในวันนั้นก็มากหลาย.

ครั้นตวันขึ้นสูงมากแล้ว ร้อนจัด บางนางก็หยุดยั้งเพื่อจะพักหายเหนื่อย แต่บางนางยังเพลิดเพลินลืมตนเที่ยวเล่นอยู่ต่อไปในตาหมันนั้น เหงื่อก็ไหลเปียกทั่วสรรพางค์กายดุจอาบน้ำ แล้วก็คลุมศีรษะด้วยผ้าสีบางชะนิด๕๓ ย่อมเพิ่มความสวยงามขึ้นอีก และที่หาดอกไม้อยู่นั้น แม้เป็นคนผิวหนังดำก็กลายเป็นสวยงาม เพราะใช้ผ้าห่มและผ้าคลุมสีงามๆ นั้น ความสวยงามของเขาทั้งหลายย่อมทวีขึ้นทั่วกัน ด้วยล้วนแต่ยังสาวรุ่นดรุณวัยส่วนพวกที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า๕๔นั้น หยุดพักแล้วก็ก่อไฟเพื่อต้มน้ำ.

ขณะนั้นอาทิตย์เที่ยงวัน แสงแดดก็ร้อนแรงกล้ายิ่งขึ้น จึงต่างคนต่างหนีแดดเข้าอาศัยในร่มเงาต้นนุ่นต้นไทร และไต้พุ่มนาคะส้าหรี๕๕ ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และก้าหลุ อาหยัง กับทั้งเกน ส้าหงิด และเกน บาหยัน ข้าหลวงนางในจึงหยุดพักที่ใต้ต้นนุ่นอันหนึ่งซึ่งขึ้นเบียดเกือบจะเป็นต้นเดียวกับต้นลั่นทม พระบุตรีทั้งสองนั้นประทับอยู่ข้างหลัง พวกนางสาวสรรกำนัลในนั่งเป็นแถวๆ บังอยู่ข้างหน้าในเวลาที่ประพับและนั่งบังร่มเงาอยู่นี้มีนกขมิ้น๕๖ตัวหนึ่งบินมาสู่เฉพาะพักตรก้าหลุ อาหยัง และยิ่งร่อนไปก็ยิ่งร่อนต่ำลง โผผินบินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่เฉพาะพักตรพระบุตรีทั้งสองนั้น ครั้นก้าหลุ อาหยังเห็นอาการของนกดังนั้นว่าไม่บินไปไกล และมิพักจะบอกกล่าวแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาว่ากระไร นางก็ลุกขึ้นองค์เดียวด้วยประสงค์จะจับนกนั้น แล้วก็ไล่ตามนกไปทางโน้นทางนี้ แต่ก็จับหาได้ไม่ ฝ่ายบุหรงนั้นเล่าก็มิได้บินไปไหนไกล ซ้ำสำแดงอากับปกิริยาดังว่าเป็นนกเชื่อง.

ก้าหลุ อาหยัง จินตนาในใจว่า “ถ้าก้าหลุ จันตะหรา กิระหราทราบก็คงจะแย่งจับเอาเสียได้ อย่าเลยเราจะสั่งสาวใช้ของเราให้ช่วยกันจับนกขมิ้นตัวงามอันนี้ไห้ได้”

ก้าหลุ อาหยังติดตามนกนั้นไปอีกทางโน้นทางนี้ก็หาจับได้ไม่ จึงตะโกนไปยังพวกสาวสรรกำนัลในว่า “เฮ้ย๕๗ พวกเจ้าทั้งหมดมาช่วยเราจับบุหรงนี้หน่อย”

เหล่าข้าหลวงสาวใช้ทั้งปวงก็ลุกขึ้นและวิ่งข้ามทางไปทางโน้นทางนี้ เพื่อจะช่วยจับนกนั้น แต่ก็หาจับได้ไม่ ครั้นก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เห็นดังนั้นจึงตรัสสั่งให้ข้าหลวงของเธอจับนกนั้น ก็พลันจับได้ดังประสงค์ น่ามาถวายแด่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็ทรงกรรแสงทูลขอนกนั้น ตรัสว่า “พระพี่นางประทานบุหรงนั้นแก่หม่อมฉันเถิด เพราะหม่อมฉันเห็นก่อน”

นางกรรแสงร่ำไห้จนอ่อนระทวยองค์ ครั้นมหาเดหวีเห็นดังนั้นจึ่งตรัสว่า “เอ ลูกแม่ จงให้บุหรงนั้นแก่น้องเถิด”

ก้าหลุ จันตะหรา กระหนา ทูลว่า “หม่อมฉันจะให้ไปเสียอย่างไรได้ นกมีแต่ตัวเดียวเท่านี้ และหม่อมฉันก็ยังอยากจะเล่นกับนกนั้นอยู่ น้องก้าหลุอาหยังเป็นเด็ก หม่อมฉันก็ยังเป็นเด็กเหมือนกัน ทำไมข้าหลวงของเธอจึงไม่สามารถจับได้ ชรอยนกขมิ้นนี้จะไม่ชอบพอใจในน้องก้าหลุ อาหยัง หม่อมฉันคิดว่าบุหรงคงไม่อยากยอมตนให้จับไม่ใช่ว่าเพราะข้าหลวงไม่สามารถจับนกนี้ เอาเป็นแล้วกันเท่านั้นที หม่อมฉันเป็นผู้มีโชค”

เหล่าสาวสรรกำนัลในได้ฟังคำก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาดังนั้นก็หัวเราะขึ้นทั่วหน้ากัน ครั้นวันรอนจะพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ใกล้อัสฎงค์จึงพร้อมกันจะกลับไปลงสรงสนานในสระ มหาเดหวีกับท่านลิกูสรงด้วยกับสังระตู ครั้นสรงแล้วมหาเดหวีก็แต่งองค์ทรงเครื่องท่านลิกูก็แต่งดุจกัน มหาเดหวีเห็นดังนั้นก็ตรัสเป็นคำภาษิตกระทบกระเทียบบางประการ ด้วยความฤษยา แต่ท่านลิกูก็เฉยเสียไม่เอาธุระในคำตรัสของมหาเดหวีนั้น ยังคงแต่งกายประดับประดาอยู่อีก.

ในเวลาที่ท่านลิกูกำลังตกแต่งประดับประดาอยู่นั้น ยังได้มีคำกล่าวกระทบกระเทียบจากมหาเดหวี และสาวใช้กำนัลในของมหาเดหวีอีกต่าง ๆ นานา ๆ หลายประการ แต่ท่านลิกูก็หาเอาธุระแก่ถ้อยคำนั้นๆ ไม่ กลับตกแต่งประดับกายเรื่อยไปกล่าวคือปักปิ่นสรวมกำไลสรวมสร้อยคอฝังแก้วประพาฬ๕๘ และพลอยมีมรกฎด้วย ถึง ๗ เม็ดและสวมแหวนเพ็ชร์ ด้วยเธอประสงค์จะให้งามแข่งประไหมสุหรีกับมหาเดหวี ไม่ยอมตนต่อประไหมสุหรีเสียเลย ด้วยเธอมาคาดหมายว่าองค์สังระตูคงจะเพิ่มสิเนหาอาลัยในตัวเธอเป็นแน่ เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าสวยงามกว่าประไหมสุหรีนั้น

พระธิดาของสังระตูองค์ที่มีนามว่าก้าหลุ อาหยัง ก็มีความคาดหมายเช่นว่านี้เหมือนกัน ด้วยได้ประทานภูษาและอาภรณ์สุวรรณอัญญมณีตกแต่ง ทั้งคิดอยู่เสมอดังนี้ว่า “ตัวเราก็เป็นธิดาของสังนาตะ๕๙แท้ๆ อันรูปร่างของเราจะไม่ดีไปกว่าก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น เป็นไปไม่ได้”

ครั้นแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้ว ก้าหลุ อาหยัง ก็สยายเกษาออก ฝ่ายก้าหลุจันตะหรา กิระหนานั้นข้าหลวงก็แต่งองค์ถวายนวลละอองผ่องใสงามน่ารักน่าสพึงชมพิศดูไม่รู้เบื่อ ครั้นต่างองค์ต่างทรงเครื่องเสร็จแล้ว พระบุตรีสังนาตะทั้งสององค์นั้น ก็จรจัลไป มีสาวสรรกำนัลในตามเสด็จ เพื่อจะสู่ยังที่ชนนีประสบพักตรแต่ละองค์ กษณนั้นองค์ประไหมสุหรี ทอดพระเนตรเห็นพระบุตรีทั้งสอง ก็ทรงต้อนรับด้วยสุขะจิตต์ปราโมทย์ แล้วก็เสด็จลงจากแท่นชลา บรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในก็ตามเสด็จไปสมทบกับองค์สังนาตะ ซึ่งบทจรดำเนิรไปข้างหน้า ถัดนั้นมาก็มีพระนางมหาเดหวี กับท่านลิกูตามเสด็จ

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กับก้าหลุ อาหยัง นั้น ดำเนินไปข้างหลังมีข้าหลวงตามเสด็จ ครั้นก้าหลุ อาหยังเห็นประไหมสุหรีและท่านลิกูจรลีอยู่ข้างหน้าดังนั้น กาหลุอาหยังก็สาวบาทขึ้นไปหน้าก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา อากับปกิริยาของก้าหลุอาหยังเป็นดังนี้ ก็และความมุ่งมาทของนางในอันดำเนิรขึ้นหน้าไปนั้นมิใช่อื่นไกล คืออยากจะได้รับความชมเชย และจะได้เป็นที่เจ็บใจแก่คนทั้งหลายที่เห็นนั้นด้วย โดยเฉพาะด้วยเวลานั้นกำลังเด็ดเก็บบุหงากันอยู่ที่สวนอ่างแก้ว๖๐

แต่พอก้าหลุ อาหยัง เห็นอ่างแก้วนั้น ก็รีบเข้าใกล้ เพื่อจะเก็บเอาดอกไม้นั้นๆ ดูประหนึ่งใคร่ที่จะเก็บเอาบุหงาทั้งหลายนั้นเสียให้หมด ทั้งนี้เพื่อจะรีบชิงเอาไปเสียโดยเร็ว อย่าให้จันตะหรา กิระหนาได้ไปมาก เมื่อก้าหลุจันตะหรา กิระหนาจะย้ายไปเก็บบุหงานาคะส้าหรี ก้าหลุอาหยังก็ชิงเข้าไปใกล้ต้นกะถินนั้นเสียก่อนแล้วแย่งที่ยืนเก็บดอกกะถินนั้น ใครๆ ที่เห็นความประพฤติก้าหลุ อาหยัง ดังนั้นก็พิศวงปลาดใจ ด้วยเห็นอัธยาศรัยเป็นคนโลภอย่างสาหัส ไม่ยอมแพ้ใคร เสมือนดังว่าเป็นหญิงชาวตลาด

บรรดาพี่เลี้ยงนางกำนัล สาวสรรบริวาร และพรหมจารีดรุณีเพศ ซึ่งอยู่ในที่นั้น ต่างคนก็ต่างกล่าวคำสรรเสริญมหาเดหวี กับประไหมสุหรี กับทั้งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ซุบซิบแก่กันและกันว่า เจ้านายทรงพระคุณธรรมสุจริตพระหทัยเยือกเย็นดี เหมือนพระรามมีแต่สมบูรณ๖๑ยิ่งกว่านั้นเสียอีก สมควรแล้วที่ก้าหลุจันตะหรา กิระหนา จะเป็นราชบุตรีผู้สูงศักดิ์การุญภาพ พระรูปพระโฉมก็ดี พระอัธยาศรัยก็ดีส่อว่าเป็นสุขุมาลชาติสืบเนื่องลงมาแต่อัจฉริยบุรุษ๖๒ ช่างผิดแผกกันเสียจริงๆ กับความประพฤติของก้าหลุ อาหยัง กับท่านลิกูนั้น ราวกับเป็นหญิงชาวตลาด กิริยาอัชฌาศรัยก็หยาบคาย ความประพฤติก็น่าเกลียดชัง จะเอาเป็นบทเรียนหรือแบบอย่างไม่ได้เสียเลย มิใช่เป็นเชื้อวงศ์ชาติวุฒิบุคคลหรืออัจฉริยบุรุษถูกแท้เทียว คำที่ผู้ใหญ่ผู้เฒ่ากล่าวว่า น้ำผึ้งถังหนึ่งแม้จะหยาดลงทีจะหยด แต่ละหยดนั้นก็คงเป็นน้ำผึ้งอยู่นั้นเอง ไม่ผิดแปลกไปได้ หากเป็นน้ำยาพิษไหลหยาด แต่ละหยดนั้นก็เป็นยาพิษนั่นเอง จะใช้เป็นยาบำบัดโรคแม้แต่สักน้อยนิดหนึ่งก็ไม่ได้

มหาเดหวี และจันตหรากิระหนานั้น สาวสรรกำนัลในทั้งหลายย่อมสรรเสรอญอยู่เสมอ แต่ก้าหลุ อาหยัง กับพระมารดาของเธอ ท่านลิกูนั้น มีแต่คนนินทาทางโน้นทางนี้ และเป็นเรื่องพูดของคนในวัง เมื่อข้าหลวงสาวใช้นั่งชุมนุมเป็นกลุ่มที่ไหนก็ไม่มีอื่นนอกจากจะซุบซิบพูดกันถึงเรื่องเจ้านายของตนเท่านั้น ครั้นตวันรอนใกล้จะพลบค่ำต่างองค์ก็ขึ้นยานพาหนะเสด็จกลับ จันตะหรา กิระหนา ก็ขึ้นยานพาหนะของเธอ ก้าหลุ อาหยัง ก็ขอขึ้นด้วย ต่างองค์ต่างขึ้นยานพาหนะแล้วก็ยุรยาตรกลับวัง ไม่ช้าก็ถึงวังแล้วก็ลงจากยานพาหนะเข้าไปเฝ้าสังนาตะ ประไหมสุหรีทอดพระเนตรดอกไม้ซึ่งจันตะหรา กิระหนาได้มา ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็กราบทูลว่าเธอได้มากกว่าจันตะหรา กิระหนา ครั้นประไหมสุหรีทอดพระเนตรเห็นก็ทรงสุขะจิตต์โสมนัศ และทรงพระสรวล สังนาตะทอดพระเนตรไปทางราชธิดาจันตะหรา กิระหนาเธอก็ทูลว่าเธอได้นกขมิ้นตัวหนึ่ง ซึ่งเกนบาหยัน กับ เกนส้าหงิดเป็นผู้จับได้ สังระตูได้ทรงฟังและทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงแย้มสรวล ทันใดนั้น ก้าหลุ อาหยังก็ขมวดขนงทูลว่า “บุหรง นั้นมิใช่นกของกะกันดา๖๓ ด้วยหม่อมฉันเป็นผู้เห็นก่อนไม่ใช่กะกันดา จันตะหรา กิระหนา”

พระราชาสังระตู ก็ทรงสุขะจิตต์โสมนัศแล้วทรงแยัมสรวลพลางมีสุรศัพท์๖๔สำเนียงตรัสว่า

“เท่านั้นที ก้าหลุอาหยังได้ดอกไม้มาก แต่ไม่ได้นก และจันตะหรากิระหนา ไม่ได้ดอกไม้มาก แต่ได้นกขมิ้นแทน เป็นอันได้เสมอภาคทั้งสองด้วยกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่ากัน”

นางสาวสรรกำนัลก็ชอบใจ หัวเราะขึ้นพร้อมกัน มหาเดหวีก็เช่นกัน และใครอื่นก็พากันสรวลเสด้วยหน้าหวาน แต่ท่านลิกู กับก้าหลุ อาหยังนั้นเจ็บจิตต์ยิ่งนัก พักตรเปรี้ยวราวกับส้มมะขามค้างปี ครั้นแล้ว ต่างองค์ต่างก็กลับยังตำหนักที่อาศรัย สังนาตะ เสด็จบทจรตามก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และก้าหลุอาหยังไป

ฝ่ายระตูกุเรปัน ณ กาลวันหนึ่ง เสด็จออกประทับ ณ ท้องพระโรงใหญ่ ข้าไทยผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเฝ้าอยู่หน้าที่นั่งและพระมเหษีชายาก็ประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย มีพานพระขันหมากตั้งอยู่หน้าที่นั่ง

พระราชาสังระตู กุรีปั่น ประทับอยู่ข้างหน้าเหลือบทอดพระเนตรเห็นพระชายามีอาการประหนึ่งคนมีใจเศร้า จึงสั่งนาตะ ตรัสว่า “เออ อะดินดา๖๕ อะไรเล่าเราจะพูดกันขณะนี้ อันที่จริงเรานี้ก็ได้ครองราชสมบัติมานานแล้วด้วยสวัสดี และราชอาณาเขตต์ของเรานั้นหรือก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่มีขออยู่อันหนึ่งเกี่ยวอยู่ที่ขอบดวงใจของกะกันดา๖๖

พระมเหษีได้ทรงฟังสังนาตะตรัสดังนั้น จึ่งประไหมสุหรีนั้นทูลว่า “อะไรเล่า กะกันดาที่เป็นขอเกี่ยวดังนั้น มาปรึกษากับหม่อมฉันเถิด และจงตรัสออกมาให้สิ้น เพื่อหม่อมฉันจะได้ทราบเรื่องของกะกันดานั้น ถ้ากะกันดาไม่ตรัสความนั้นให้ทราบแด่หม่อมฉันแล้ว แน่แท้เทียวจะกลายเป็นขอเกี่ยวแก่หม่อมฉันด้วยเหมือนกัน”

จึ่ง สังระตู ตรัสว่า “อ้า น้องนาง อันพี่นี้ได้ยินข่าวว่าอะตินตาที่นครดาหานั้น มีธิดาโฉมงามล้ำเลิศ ตามจินตนาการของกะกันดานี้ ใคร่จะไปสู่ขอที่กรุงดาหา แล้วจะได้จัดการอภิเศกสมรสกับอนันดา๖๗ ระเด่นอินู อันที่จริงนั้นลูกเจ้าลูกหลวงอื่นๆ ที่โฉมงามก็มีถมไป แต่หาเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องของเราเองไม่ ด้วยถ้าจะยิ่งนิดหย่อนหน่อย๖๘ ก็พออภัยกันได้”

ครั้นประไหมสุหรี ได้ฟังสังระตูตรัสดังนั้นก็ทรงสุขะจิตต์ยินดีเป็นอันมาก ทูลสนองว่า “ที่ตรัสนั้นชอบยิ่งแล้ว จะหาผิดมิได้เลย”

ประไหมสุหรีทูลต่อไปว่า “กะกันดาทรงพระดำริดังนั้นก็ยินดีด้วยเพราะเป็นพี่น้องกัน ดีกว่าคนอื่น อย่างไรเสียก็ชื่อว่าเป็นเลือดเนื้อของเราเอง”

ครั้นตรัสปรึกษากันดังนั้นแล้ว จึงสังนาตะ ทรงสุขะจิตต์โสมนัศยิ่งนักดำรัสสั่งให้เรียกประชุมไพร่พล และมนตรีทั้งหลาย พอเสนาและมนตรีมาพร้อมกันจึงสังระตู ตรัสสั่งให้แต่งพระราชสาสน์และสั่งให้จัดบรรณาการของฝากเพื่อจะส่งไปด้วย เสร็จแล้วก็มอบแก่มนตรี ประดิษฐานเหนือพานทอง กางกลดหลายกลด๖๙ พร้อมทั้งธงทิวอันประดับด้วยมุกด์ ทั้งมวลนี้เพื่อจะเชิญราชสาสน์สู่ขอจันตะหรา กิระหนา สมรสกันกับระเด่นอินู กรตะปาตี มนตรีและไพร่พลทั้งเสนาทหารเอก และตำมะหงุงนั้นๆ ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันไพจิตร ตลอดกะทั่งช้างม้าก็ดกแต่งประดับประดาดุจกัน ครั้นน้อมเกล้าถวายบังคมสังระตูแล้ว จึงออกเดินบ่ายหน้าสู่นครดาหานั้น และพลันก็กระทั่งเสียงดุริยดนตรี มีฆ้อง – ตับ๗๐ ฆ้องโข่ง๗๑ ฆ้องหนุ่ย๗๒ และระนาดทอง๗๓ เสียงสนั่นกึกก้องอยู่นอกเมือง ตั้งขบวนบ่ายหน้าสู่กรุงดาหานั้นด้วยสุขะจิตต์ปราโมทย์ พระราชสาสน์และบรรณาการนั้นเทอดไว้เหนือเกล้า เขาทั้งหลายเดินทางไปนั้น บ้างก็ใช้พาหนะ บ้างก็เดินเท้าเรียงตามกันเยี่ยงมดเดินฉะนั้น ด้วยอาการกิริยารีบร้อนในอัญเชิญพระราชสาสน์สู่ขอนั้น

บัดนี้จะกล่าวถึงสังนาตะดาหา มาในกาลครั้งหนึ่งองค์สังนาตะนั้น ตรัสประพาศแก่เหล่ามนตรีเสนา และตำมะหงุงซึ่งเฝ้าอยู่หน้าที่นั่งนั้นว่า “เวลานี้มีข่าวกะกันดากรุงเรปั่นอย่างไรบ้าง ด้วยนานแล้วมิได้มีทูตมาแต่กุเรปั่นหรือกากะหลังเลย”

ในเวลาที่กำลังตรัสและข้าเฝ้าทูลสนองอยู่นั้น ราชทูตผู้เชิญพระราชสาสน์จากนครกุรีปันก็ไปถึง คนเฝ้าประตูเมืองก็รับรองและเชิญให้เข้าเมือง ในบรรดาพวกที่ไปนั้น บางคนก็หยุดอยู่นอกเมืองและปลูกพลับพลาอาศัยเป็นที่พัก ขณะนั้นนายประตูก็รีบเร่งเข้าไปยังหน้าที่นั่งสังนาตะ น้อมเกล้าถวายบังคมแล้วทูลว่ามีราชทูตมาจากกรุงกุรีปั่น จึ่งพระราชาสังนาตะทันใดนั้น ดำรัสสั่งให้รับเข้าไปซึ่งบรรดามนตรีเสนา ดะหมัง และตำมะหงุงกุรีปั่นนั้นๆ เขาทั้งหลายนั้นก็เข้าไปก้มศีระเกล้าถวาย อัญชลีเฉพาะธุลีลอองบาท๗๔สังนาตะนั้น พลางทูลถวายซาลามตะอะลิม๗๕ของพระราชากะกันดานั้น สังนาตะดาหาทรงสุขะจิตต์ปลื้มเปรมยิ่งนักและทันใดนั้นจึ่งตรัสสั่งให้อ่านสาสน์นั้น แล้วมนตรีก็อ่านต่อหน้าบรรดาผู้ที่ชุมนุมอยู่ในพระที่นั่ง เขาทั้งหลายนั้นแต่ละคน ได้ฟังความในราชสาสน์จากกุรีปั่นนั้นถี่ถ้วนตั้งแต่ต้นจนอวสาน เป็นที่ตระหนักแจ่มแจ้งว่าองค์ท้าวกุรีปั่นทรงขอก้าหลุ จันตะหรากิระหนาเพื่อแก่ระเด่น อินู กรตะปาตี ฝ่ายองค์ท้าวดาหาก็ทรงรับด้วยสุขะจิตต์ แล้วจึ่งดำรัสสั่งให้ประโคมกระทั่งเสียงดุริยดนตรี ฆ้องตับ ฆ้องโข่งและฆ้องหมุ่ย ระนาดทองและเภรี๗๖ และให้ยิงปืนใหญ่เป็นนิมิตรว่าราชสาสนระตูกุรีปั่นนั้นได้รับ และอนุมัติตามวัตถุที่ประสงค์นั้นแล้ว ด้วยโสมนัศยินดีสุดที่จะประมาณ ส่วนทูตนั้นก็โปรดให้เลี้ยง และพระราชทานอนุเคราะห์๗๗ ด้วยเสื้อผ้าและนานาภัณฑ์๗๘ ครั้นแล้วก็ให้ประพรมด้วยของหอม และแก้วน้ำหอมนั้น มีผู้ถือโปรยไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้างเวลานั้นวันก็ค่ำคืนลง ทูตทั้งปวงก็ค้างแรมอยู่ในกรุงดาหานั้น ครั้นอยู่มาในนครดาหานั้นได้สองวัน จึ่งสังระตูศัพทสิงหนาทดำรัสแก่ทูตนั้นว่า

“เฮ้ย๗๙ ทูต จงนำซาลามและถวายบังคมของเรานี้ไปถวายแทบธุลีบาทพระราชกะกันดา ส่วนอาหนะของเรานั้น เราถวายด้วยใจสุจริตบริสุทธิ์ จะทรงอย่างไรก็แล้วแต่พระเชฏฐาจะโปรดทุกอย่างทุกประการ ด้วยตัวเราและท้าวกากะหลัง กับทั้ง ศรี บะคินดะ๘๐ ราชากุรีปั่นนั้นเป็นพี่น้องกัน อย่าว่าแต่ลูกเลย แม้แต่แผ่นดินกรุงกากะหลังและเมืองดาหานี้ ก็ถวายไว้ในพระราชอำนาจกรุงกุรีปันเหมือนกัน”

ทันใดนั้นสังนาตะดาหาก็ทรงรจนาราชสาสน์ตอบ ราชสาสน์ของท้าวกุรีปั่นนั้น เพื่อส่งไปถวายพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการของฝาก ความในสาสน์นั้นว่าสิ่งอันเป็นพระประสงค์ทั้งมวญของศรีบะคินดะนั้นเป็นอันประนอมยอมถวายแล้ว ครั้นสำเร็จแล้วจึ่งประทานมอบแก่ทูตนั้น ฝ่ายทูตก็รับด้วยเทอดสิบนิ้วประนมก้มเกล้าถวายบังคมฝ่าธุลีเจ็ดครั้ง แล้วก็ออกเดินทางกลับ เร่งม้าออกจากเมืองดาหา บ่ายหน้าสู่นครกุรีปั่นโดยรีบด่วน มิได้หยุดหย่อนทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อแสดงความซื่อสัตย์๘๑กตัญญู ในอันเชิญพระโองการสังระตูนั้น เขาทั้งหลายนั้นเดินทางไปแต่ที่พักอันหนึ่งถึงที่พักอีกแห่งหนึ่ง แต่ทุ่งหนึ่งไปยังอีกทุ่งหนึ่ง แล้วเข้าป่าอันรกชัฎ ครั้นกาลล่วงไปหน่อยหนึ่ง ก็ถึงซึ่งนครกุรีปั่นนั้น

ฝ่ายระตูดาหาก็เสด็จขึ้นพระราชมณเฑียร ครั้นทูตนั้นกลับกุรีปั่นแล้ว จึงเสด็จเข้าสู่ที่พระมเหษีพลันตรัสว่า

“เออ อะดินดา ซึ่งทูตกรุงกุรีปั่นมานี่นั้น เพื่อจะสู่ขอก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กะกันดาได้รับราชสาสน์สู่ขอและได้ตอบตกลงตามประสงค์นั้นแล้ว”

ต่อนี้ไปจึงตรัสเล่าแถลงประพฤติเหตุตั้งแต่ต้นจนอวสาน องค์ประไหมสุหรี กับทั้งสังนาตะนั้นก็ทรงสุขะจิตต์สโมสร และยิ่งทวีพระสิเนหาอาลัยในก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ด้วย ณ บัดนี้ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาได้เป็นคู่ตุนาหงัน๘๒ แห่งระเด่น อินู กรตะปาตีนั้นแล้ว.

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ล่วงมาอีกสองสามวันก็ทราบข่าวเรื่องที่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาได้ตุนาหงันกับระเด่น อินู แล้วนั้น และก้าหลุ อาหยัง นั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ็บจิตต์ขัดเคือง ในองค์ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ยังมิหนำซ้ำสังระตูก็โปรดปราน จันตะหรา กิระหนายิ่งขึ้นด้วย.

ในกาลนั้นก้าหลุ อาหยังก็กรรแสงโศกาดูลย์จนนัยเนตรช้ำบวม ด้วยมาคิดว่า

“เหตุใดเล่าจึ่งไปขอกะกังจันตะหรา กิระหนา ทีตัวเรานี้ไม่ขอ หรือว่าเราไม่ใช่ธิดาสังระตูเหมือนกันเล่า”

ก้าหลุ อาหยัง จินตนาดังนี้ไม่หยุดหย่อน ทั้งกรรแสงร่ำไห้แสนสาหัสทุกเช้าค่ำ

ท่านลิกูเห็นธิดาก้าหลุ อาหยัง นั้นเนตรช้ำบวมเป็นรอยกรรแสงก็เจ็บจิตต์ยิ่งนัก แล้วก็ขึ้นไปเฝ้าธุลีสังนาตะ ท่านลิกูนั่งชิดมหาเดหวี ถัดที่ประทับ สังระตูมาข้างหน้า เวลานั้นก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ประทับอยู่ห่างด้วยความเคารพชนนี พระราชาสังระตูทอดพระเนตร เห็นกิริยาของราชธิดามีความเคารพสงบเสงี่ยมเช่นนั้น ก็ยิ่งทวีสงสารสิเน่หาในพระหฤทัย ด้วยมาทรงตระหนักว่าพระบุตรีนั้น รู้รักษาองค์และเสงี่ยมเจียมองค์ จะทำอะไรก็อ่อนโยนลมุลลม่อม พระราชาสังนาตะตรัสเรียกให้จันตะหรา กิระหนาเสวยด้วย เธอก็มาด้วยความเคารพนบนอบ ถวายบังคมแล้วจึ่งเสวยด้วยกับสังนาตะ และมหาเดหวี ขณะนั้นท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง ก็ยิ่งเจ็บจิตต์คิดร้ายในหทัยเป็นนักหนา ด้วยมาเห็นจันตะหรา กิระหนา เสวยร่วมดังนั้น แท้จริงต่างองค์ก็เสวยด้วยกันทั้งนั้น และใจของท่านลิกู และก้าหลุ อาหยัง นั้น ไม่หยุดพ้นจากความมุ่งร้ายได้ ครั้นเสวยเสร็จแล้วต่างองค์ต่างก็กลับพร้อมด้วยสาวบริวารชนตามเสด็จ ครั้นต่างองค์กลับถึงตำหนักแล้ว ท่านลิกูยังไม่หายเจ็บใจ มิรู้ที่จะทำประการใดดี ขณะนั้นเธอจึงคิดทำข้าวหมัก๘๒ ประกอบด้วยยาพิษแล้วก็บรรจุลงในชามทองคำ ครั้นเสร็จแล้วจึ่งสั่งให้สาวใช้นำไปถวายประไหมสุหรี นางสาวบริวารนำของถวาย ซึ่งบรรจุชามอันงามวิจิตรนั้นไป โดยมิได้สงกาว่าระคนด้วยยาพิษ แล้วก็พากันเดิรไปยังตำหนักประไหมสุหรี ครั้นไปถึงจึ่งถวายของนั้นด้วยหน้าหวานพลางทูลว่า

“นี้เป็นของถวายอันเล็กน้อยของท่านลิกู ลังมาให้กราบถวายบังคม และถวายของนี้แก่ธุลีตวนกู” ๘๔

จึ่งประไหมสุหรีทรงรับพลางทอดพระเนตร หน้าอันอ่อนหวานของข้าหลวงนั้นแก้วก็ตรัสสั่งให้ถ่ายชาม และข้าหลวงถ่ายเปลี่ยนชามนั้น ครั้นแล้ว นางสาวใช้นั้นก็กลับและรายงานตามประพฤติเหตุนั้น ท่านลิกูก็มีความยินดีปลาบปลื้ม นึกในใจว่า

“ภายในวันนี้และประไหมสุหรีจะต้องม้วยมรณ์แล้วตัวเรานี้แหละจะได้เลื่อนขึ้นเป็นประไหมสุหรีแทนที่ ถ้าจันตะหรา กิระหนาเสวยด้วยก็จะม้วยสิ้นไปอีกองค์หนึ่งแน่ๆ แล้วเราจะจัดการให้ก้าหลุ อาหยังลูกเราได้เป็นคู่ตุนาหงันของอินูกรตะปาตีให้จงได้” เพื่อเมืองดาหากับกุรีปั่นจะได้เป็นปถพีอันเดียวกัน ด้วยสมควรแล้วที่จะได้เป็นแทนที่”

คิดดังนั้นแล้ว เธอจึงสั่งให้สาวใช้ปิดประตู ครั้นแล้วพวกสาวใช้นั้นก็หลบไปซ่อนตัว คงเหลือแต่ก้าหลุ อาหยัง กับท่านลิกูเท่านั้นในตำหนักนั้น ซึ่งดูเหมือนมิได้มีความคิดอย่างอื่นเลย นอกจากว่า “ถ้าประไหมสุหรีเสวยข้าวหมักนั้นแล้ว อันจะไม่สิ้นชีพในวันนี้เองนั้นไม่ได้”

ขณนั้นจึ่งท่านลิกู เรียกน้องชายซึ่งมีชื่อว่า มนตรี และมนตรีนั้นก็มายังหน้าพี่สาว แล้วท่านลิกูจึ่งพูดว่า๘๕
“แน่ะน้องมนตรี ช่วยเที่ยวหาหมอเวทมนต์ร ซึ่งสามารถทำเสน่หยาแฝด๘๖ และที่รู้จักทำให้คนใจอ่อน เพื่อพี่นี้จะได้ไม่ถูกสังระตูพิโรธโกรธกริ้ว และเพื่อให้สังระตูคล้อยตามทุกสั่งทุกอย่าง สุดแต่พี่นี้จะว่ากระไรและให้สิเนหาอาลัยในตัวพี่นี้ยิ่งกว่าใครๆ อื่น กับเพื่อให้สังระตูทรงเชื่อฟังโปรดปรานถวิลยจินดาในตัวพี่นี้ยิ่งขึ้นไปอีก”

ครั้นแล้วมนตรีก็ได้รับเงินดีนาร์จำนวนหนึ่ง และสิ่งของนานาภัณฑ์ รับแล้วก็รีบออกเดินทางไปทันที เพื่อเที่ยวหาหมอเวทมนตร์นั้น แล้วก็เดินทางเข้าป่าออกป่าเข้าดงออกดง ทั้งผ่านเขาผ่านทุ่งหลายแห่ง ที่ไหนมีอาจารย์ หรือหมอเวทมนตร์ก็ไปจนถึง ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืนเดิรทางไปคนเดียวไม่หยุดหย่อนจะหาเพื่อนไป ด้วยก็ไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจะขยายระหัส๘๗ ความลับ ด้วยความที่อยากจะช่วยและรักพี่สาวนั้น มนตรีลืมความกลัว สู้เดิรทางไปแต่ลำพังตนคนเดียวหลับนอนในป่าดงพงไพรใต้ต้นไม้อย่างใหญ่ ๆ ประกอบด้วยสงสารทุกข์๘๘อย่างสาหัสครั้นเวลารุ่งเช้าตวันขึ้นก็ตื่นนอนแล้วเดิรต่อไปอีก พฤติการณ์ของมนตรีเป็นดังว่ามานี้ ถ้ายังไม่พบอยู่ตราบใดก็ยังไม่อยากหยุดยั้ง

ครั้นเดินทางไปไต้นานแล้วก็เห็นกุหนุงลูกหนึ่ง ด้วยสุขะจิตต์ปราโมทย์อย่างแรงกล้า มนตรีปีนเขานั้นขึ้นไปจนถึงยอด คเณว่าณที่นั้น บางทีจะได้ประสพเทวดาผู้ทรงมหิทธิศักดานุภาพ๘๙ตามความมุ่งหมาย ครั้นแล้วก็เห็นนักพรตประตาปาตนหนึ่ง ซึ่งดูท่าทางจะขลังดี อาจารย์ผู้นี้ได้มาบำเพ็ญตะบะอยู่บนเขานี้นานพอใช้แล้ว โดยไม่กินไม่ดื่มสิ่งใดๆ เลย ทั้งตาก็มัวแลไม่เห็นอะไรอีกแล้ว และเป็นที่เคารพของพวกนักบวชและพราหมณ์ ครั้นมนตรีเห็นนักพรตประตาปานั้น ก็สุขะจิตต์ยินดียิ่งนัก จึงก้มศรีษะลงเคารพนบไหว้ถึงเจ็ดครั้ง แล้วก็แจ้งความประสงค์ให้ทราบ กล่าวว่า “ข้าเจ้านี้ได้รับคำสั่งของพี่สาวให้มาขอความช่วยเหลือของผู้เป็นเจ้าสักอย่างหนึ่ง”

นักพรตนั้นก็ลืมตาขึ้นและพูดว่า “แน่ะมนตรีดีแล้ว เราจะช่วยเจ้า เพื่อให้บรรดามนตรีและเสนากับระตูทั้งหลาย รักพี่สาวของเจ้า และบัดนี้ก็บรรลุผลตามประสงค์แล้ว ด้วยเทวะดาผู้ทรงมหิทธานุภาพโปรดประทานแล้วตามที่เธอขอ”

ครั้นแล้วนักพรตนั้นก็คายชานหมากทิ้งลง และสั่งให้มนตรีเก็บเอาชานหมากนั้นขึ้น พลางกล่าวว่า

“ชานหมากนี้เจ้าจงห่อด้วยผ้าขาว หรือผ้าเช็ดหน้า๙๐ หรือด้วยอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด”

มนตรีจึงเก็บชานหมากนั้นขึ้นแล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ครั้นแล้วก็น้อมศรีษะนบไหว้นักพรตนั้น แล้วก็ออกเดินทางกลับสู่ยังตำหนักท่านลิกูโดยรีบด่วนไม่หยุดยั้ง ด้วยมีความยินดีมาก มิช้านานก็ไปถึงแล้วก็ย่องเข้าไปหาท่านลิกูโดยเงียบๆ ครั้นพบแล้วก็ส่งชานหมากให้และแถลงความตามที่นักพรตสั่งมานั้น ฝ่ายท่านลิกูก็สุขะจิตตอิ่มเอิบใจยิ่งนัก รับเอาห่อชานหมากนั้น พลางพูดจาแต่ด้วยเสียงเบาๆ ด้วยเรื่องนี้เป็นระหัสความลับอย่างสำคัญ กลัวว่าจะอึกทึกแพร่งพรายไป ครั้นพูดจากระซิบกระซาบกันดังกล่าวนั้นเสร็จแล้ว ฝ่ายมนตรีก็กลับไปบ้านเรือนแล้ว ในเวลานั้นเองท่านลิกูก็สอดชานหมากเข้าไว้ใต้หมอนหนุนนอน และทำใจอธิษฐาน โดยไม่มีใครรู้เห็นแต่สักคนเดียว

-----------------------------------


๕๑ ดอกไม้ มีใช้ใน พ.ร.น. อิเหนา
๕๒ ต้นฉะบับว่า “เมระห์ชัมบู” โดยพยัญชนะแปลว่าแดงชมภู่ กล่าวคือสีชมภู
๕๓ คำมลายูที่ใช้ว่า “ชะนิส”
๕๔๕๔. ต้นฉะบับใช้คำว่า “ละล้าห์”
๕๕๕๕. กะถิน
๕๖ ต้นฉะบับว่า “บุรุง กะปุดัง – บุรุงแปลว่านกตรงกับคำบุหรง ที่ใช้ใน พ.ร.น. อิเหนา
๕๗ ต้นฉบับว่า “ไฮ้”
๕๘ ต้นฉบับใช้คำว่า “มะระชาน” ตามปทานุกรมว่าเปนมณีสีแดง แท่งยาวๆ จึงสันนิษฐานว่า คอรัล แต่ชื่อคอรัลนี้ไม่มีคำไทย ระลึกได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เคยทรงเหยียดใช้แทนแก้วประพาฬ จึงได้ใช้คำนั้น
๕๙ “นาตะ” คือ นาถะ
๖๐ “ตาหมัน ชัมบังงัน รัตนะ”
๖๑ ต้นฉบับใช้คำ “สัมปูรณะ”
๖๒ ต้นฉบับใช้คำ “โอรัง ปิลิฮัน” แปลตามพยัญชนะว่าบุคคลอันเปนที่เลือกแล้ว
๖๓๖๓. ที่ใน พ.ร.น. อิเหนาใช้กะกัง เปนคำสามัญ ส่วนกะกันดา เปนคำสูง เช่นว่าเจ้าพี่ หรือพระเชฏฐาเปนต้น
๖๔ ต้นฉบับใช้คำ “สับดะ”
๖๕ มาแต่สามัญ อาดิ๊ก แปลว่าน้อง เมื่อแปลงเปน อะดินดา กลายเปนคำสูง คือเจ้าน้อง อนุชา หรือกนิฏฐา ใน พ.ร.น. อิเหนา ใช้ยาหยี ซึ่งเป็นคำแปลว่าน้องอีกคำหนึ่ง
๖๖ สำนวนมะลายูตามต้นฉบับดังนี้ หมายความว่า มีห่วงในใจอยู่อย่างหนึ่ง
๖๗ อะนันดา เปนคำสูงแปลว่าราชบุตร ผู้จากคำอานัล ซึ่งแปลว่า ลูกหรือเด็ก ใน พ.ร.น. อิเหนา ใช้ “อะหนะ”
๖๘ ตรงกับสำนวนไทยว่า “หนักนิดเบาหน่อย”
๖๙ ฉัตรไม่มีใช้ แต่มีธรรมเนียมกางกลดหลายคันดังนี้ ทำนองแห่นาคทางหัวเมืองภาคพายัพ
๗๐ ลักษณคล้ายฆ้องวงของเรา แต่ของเขาผูกเปนตับ ไม่ผูกเปนวง ฆ้องอย่างนี้เรียก “กะมง”
๗๑ ลูกฆ้องรูปร่างคล้ายฆ้องวง แต่ทรงสูงและขนาดใหญ่เท่าบาตรขึ้นไป ใช้ลำพังใบเดียว ๆ หรืออย่างมากผูกเปนตับเพียง ๒ ใบ ฆ้องอย่างนี้เรียก “กัมปุล”
๗๒ ฆ้องใหญ่แขวนตรงกับฆ้องหมุ่ยของเรา ฆ้องอย่างนี้เรียก “คุง” หรือ “คอง”
๗๓ ระนาดทอง เรียก “ซารุน”
๗๔ ต้นฉบับใช้คำ “ดุลี”
๗๕ สั่งคำนับ
๗๖ “กันดัง” รูปเหมือนกลองแขกหรือกลองมะลายู
๗๗ ต้นฉบับใช้คำว่า “อนุคราหะ”
๗๘ ต้นฉบับใช้คำ “นันดะ”
๗๙ ต้นฉบับว่า “ไฮ้”
๘๐ แปลว่าเจ้าแผ่นดิน
๘๑๘๑. ต้นฉบับใช้คำ “สะติยะ”
๘๒ หมั้น ใน พ.ร.น. อิเหนาก็ใช้คำเดียวกัน
๘๓ ต้นฉบับว่า “ตาแป๊ะ” ตรงกับเข้าหมากของเรา ซึ่งที่ถูกเห็นว่าควรจะเรียกข้าวหมัก
๘๔ “ตวนกู” แปลโดยพยัญชนะว่า เจ้ากู
๘๕ คนนี้ชื่อ “มันตรี” คือมนตรีขึ้นมาเฉยๆ ไม่ใช่ระเด่น มนตรี
๘๖ ภาษามะลายูใช้คำ “คุนะตุนะ” ตรงกับคำว่าคุณ แปลว่าทำเสน่ห์เศกเป่าอะไรได้ทั้งนั้น ตลอดจนทำร้าย เช่นนี้เราเรียกว่า “ถูกกระทำถูกคุณ” นั้นก็ได้ แต่ในที่นี้หมายถึงทำเสน่ห์
๘๗ ต้นฉบับใช้คำ “ระหะสิยะ” แปลว่าความลับ
๘๘ ต้นฉบับใช้คำ “สังขาระ”
๘๙ ต้นฉบับว่า “เดวาตะ ยัง มหามูลิยะ”
๙๐ ต้นฉบับว่า “ซาปุ ตังงัน” แปลโดยพยัญชนะว่าผ้าเช็ดมือ แต่ตามที่ใช้นั้นตรงกับที่เราใช้เรียกผ้าเช็ดหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2567 16:03:33 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 126.0.0.0 Chrome 126.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 20 มิถุนายน 2567 16:27:46 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

ในกาลอันกล่าวนี้ ฝ่ายประไหมสุหรีกำลังประทับเอาลม๙๑อยู่ นางกำนัลเข้ามาสู่ที่เฝ้าก็ทรงระลึกขึ้นได้ ถึงของถวายท่านลิกูคือข้าวหมักของเสวยนั้น แท้จริงข้าวหมักนั้น ก็ได้มีผู้นำไปทิ้งไว้ใกล้ที่ประทับตากอากาศนั้นแล้ว เหตุที่เห็นนางกำนัลนั้นเป็นเครื่องเตือนพระหทัย จึ่งประไหมสุหรีเกิดความคิด อยากจะเสวยเครื่องของถวายนั้น แล้วก็ทรงเคลื่อนเอาชามข้าวหมักนั้นมาเสวยแต่ลำพังพระองค์ ๆ เดียว พอเสวยเข้าไปได้นิดหนึ่ง ข้าวหมักนั้นไม่ทันหมด ก็ทรงรู้สึกเวียนและปวดพระเศียรสุดที่จะทนทาน ซ้ำยังทรงอาเจียรอีก และรู้สึกพระกายเป็นไข้หนาวๆ ร้อนๆ เสโทออกจนไหลจากพระศีรเกล้า นัยเนตรลายพรายพราวเป็นแสงหิ่งห้อย พระบาทอ่อนเปลี้ยไม่สามารถเสด็จลุกขึ้นยืนอีกได้ จึ่งเกิดกาหลอลหม่านขึ้นในพระราชวังนั้น และมหาเดหวีกับทั้งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็เสด็จมาเพื่อจะช่วยองค์ประไหมสุหรีนั้น ก้าหลุเห็นพระชนนีทรงอาเจียรและอาเจียรนัก ก็ทรงทุกขะจิตต์อย่างยิ่งพระหทัยเต้น มิหนำซ้ำเห็นพระรูปโฉมของพระมารดาเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว พระฉวีซีดเผือด พระเนตรก็เบ่งโพลงราวกับว่าโลกนี้มืดมนอนธการไปสิ้นแล้ว เวลานั้น ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาก็กรรแสงสอื้นไห้อย่างใหญ่ พลางร่ำพิไรรำพรรณถึงพระชนนีมิรู้หยุด บรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในทั้งหลายต่างก็ตกใจอกสั่นขวัญหาย มิได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเป็นอย่างไรกัน องค์ประไหมสุหรีจึ่งประชวรดังนั้น ต่างงงงวยมิรู้ที่จะทำประการใด ได้แต่วิ่งไขว่ไปมาไม่เป็นสมฤดี บ้างก็ร้องไห้บริเทวะรำพรรณ บ้างก็กลัวอกใจสั่นหวั่นไหว ด้วยเกรงว่าสังระตูจะทรงพระพิโรธเอาโทษกรณ์แก่บรรดาข้าไท นางสาวสรรกำนัลในนั้นๆ วุ่นวายกันเป็นโกลาหล บางคนก็วิ่งหาโอสถ บางคนก็บดยา แต่ละคนเป็นดังกล่าวนี้ อีกสักครู่หนึ่งสังนาตะก็เสด็จมาทอดพระเนตรเห็นเหตุดังนั้น ทันใดนั้นจึงทรงช้อนองค์ประไหมสุหรีขึ้นใส่ตัก ตรัสสั่งให้ชโลมด้วยน้ำกุหลาบดอกไม้เทศและของหอม พวกข้าหลวงบางคนก็ได้รับรับสั่งให้ไปเรียกหาแพทย์หมอ ขณะนั้นก็มีแพทย์มีหมอมาถวายยาแก้ไขเหมือนกัน แต่ก็หาหายคลายประชวรไม่ แพทย์ผลัดเปลี่ยนกันถวายพระโอสถรักษาองค์ประไหมสุหรีอยู่นั้นก็มากมายหลายคนด้วยกัน ด้วยเทวประสงค์แห่งองค์มหาเทวาธิราชประไหมสุหรีก็เสด็จสู่สวรรค์ เพื่อเหตุในอันเสวยข้าวหมักเจือยาพิษนั้นแล

ครั้นประไหมสุหรีสิ้นชีพ๙๒ลง สังนาตะก็ประชวรพระวาโยถึงสิ้นสมฤดีวิสัญญีภาพ มหาเดหวีก็ดุจกัน ครั้นฟื้นจากวิสัญญีภาพก็ทรงครวญคร่ำร่ำพิไรอยู่ที่พระศพนั้น ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น แต่พอเห็นชนนีวายชนม์ก็ล้มลงกับพื้นสิ้นสมฤดี ทันใดนั้นมหาเดหวีก็รับประคองไว้ และประพรมชะโลมด้วยน้ำกุหลาบ มหาเดหวีร่ำพิไรพลางกอดศอก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จุมพิตและรำพรรณว่า “อุวะ ลูกแม่ ระวังให้ดีนะ แต่วันนี้ไปเธอเป็นกำพร้าแล้ว จงอุส่าห์รักษาตนด้วยความเฉลียวฉลาด รู้ประพฤติสุจริตดีงาม วาจาให้อ่อนหวานลมุนลม่อม อย่ายกตนให้ใหญ่เกินงาม ลูกเอ๋ย ยามเดือดร้อนใครที่ไหนเล่าจะเป็นที่ปรับทุกข์”

ฝ่ายบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในก็พิไรบ่นพร่ำรำพรรณไปต่างๆ กัน ก็แต่ในส่วนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้น สุดที่จะเล่าแถลงต่อไป บัดเดี๋ยวก็สลบไสลสิ้นสมฤดี บัดเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นกรรแสงและจุมพิตพระศพชนนี พลางรำพรรณเช่นว่า

“อุวะ พระมารดาของลูกนี้ ช่างมีพระหทัยทิ้งลูกไปเสียได้ ที่ไหนเล่าจะเป็นที่อยู่ของลูก ใครเล่าจะเฝ้าตักเตือนพร่ำสอนแก่หม่อมฉัน ด้วยหม่อมฉันนี้ยังเล็กนักยังไม่รู้ภาษา๙๓ โอ้พระมารดา ใครเล่าจะดูแลอนันดานี้ ในวันนี้พระมารดามาพรากจากลูกไป ความร่มเย็นย่อมสูญสิ้นไปเสียแล้ว”

อีกสักครู่หนึ่งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็สิ้นสมฤดีวิสัญญีอีกจนตลอดวันมิได้ฟื้นคืนองค์

ฝ่ายสังระตู เมื่อฟื้นขึ้นจากวิสัญญีภาพ จึงทรงปกคลุมพระศพประไหมสุหรี ด้วยผ้าแพรเดวังคะ๙๔ และก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ไม่ยอมปล่อยจากบาทชนนี เฝ้าแต่จูบฝ่าบาทอยู่ร่ำไป ใครเห็นก็รู้สึกใจแทบจะขาด ครั้นล่วงไปอีกครู่หนึ่ง พระราชาจึงดำรัสซักถามนางกำนัลข้าหลวง ฝ่ายนางกำนัลนั้นก็บังคมทูลด้วยความกลัวตัวสั่นขวัญหนีว่า “โอ้ ตวนกู ข้าพระองค์ขอพระราชทานอภัยนับพันๆ อภัย๙๕ ภายใต้ธุลีตวนกู อันข้าพระองค์นี้มิได้ทราบเลยว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดเป็นดังนี้ ข้าพระองค์ผู้หินชาติ๙๖นี้มิได้เห็นอะไร นอกจากเห็นองค์ประไหมสุหรีเสวยข้าวหมักเท่านั้น”

ขณะนั้นพระราชาก็ทรงพระพิโรธอย่างสาหัศ ดำรัสสั่งให้เรียกบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในมาพร้อมกัน ข้าหลวงกำนัลทั้งหลายก็มาด้วยความกลัว แล้วก็ถวายบังคมก้มเกล้าลงแทบบาทบงกชศรีษะจรดถึงพื้นดิน จึงพระราชาทรงถือไว้ซึ่งเศษข้าวหมักเหลือประไหมสุหรีเสวยนั้น พลางตรัสด้วยพิโรธว่า “เฮ้ย นางกำนัลนี้หรือเป็นต้นเหตุให้เกิดร้ายแก่ประไหมสุหรีดังนั้น ก็ของเสวยนี้เธอได้มาแต่ไหน”

นางกำนัลทั้งหลายนั้นจึงบังคมทูลด้วยสั่นระรัวไปทั่วอินทรีย์ว่า

“โอ ตวนกู ชาห์ อาลัม๙๗ แท้จริงข้าพระองค์ทั้งมวลนี้เห็นแต่เสวยข้าวหมักเท่านั้น เป็นของถวายมาแต่ท่านลิกู ด้วยเมื่อกี้นั้นมีข้าหลวงท่านลิกูสามคนนำชามฝาทองคำบรรจุข้าวหมักมาถวายองค์ประไหมสุหรี ไม่มีอะไรอื่น ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็นแต่เพียงเท่านี้”

ครั้นแล้ว สังระตู จึงทรงทิ้งชามข้าวหมักนั้นลงยังพื้นดิน ตรงหน้าสัตว์ต่างๆ มีสุนัข และไก่เป็นต้น สุนัขและไก่ที่กินข้าวหมักนั้นก็ตายลง ณ ที่นั้น แม้แต่แมลงวันและแมลงหวี่ที่กินข้าวหมักก็ไม่มีรอดชีวิตต์เลย ขณะนั้นสังระตูก็พิโรธแรงกล้า ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ซึ่งกำลังสลบไลลด้วยกรรแสงร่ำไห้ถึงพระชนนีนั้น พลันก็เข้ากอดพลันก็ปล่อยลงบรรธมเกลือกกลิ้งกับพื้นภูมิพสุธา๙๘ ด้วยความกริ้วโกรธสุดที่จะทนทาน ฝ่ายสังระตูก็ทรงสงสารยิ่งนัก แต่พอจันตะหรา กิระหนาปล่อยพระหัตถหลุดพ้นมา ทันใดนั้นก็ทรงชักพระแสงดาพจากฝัก แล้วก็ดำเนิรไปสู่ที่ท่านลิกู บรรดาคนทั้งหลายเห็นสังระตูชักพระแสงด้วยพิโรธแรงกล้าดังนั้นก็พากันตกใจกลัวอย่างที่สุด ด้วยพระพักตร์นั้นแดงดับวับวาบดังเปลวไฟ พระอากัปกริยาเหมือนดังงูขด พลางตรัสว่า “วันนี้แหละ กูจะเอาชีวิตนางลิกูเสียให้ได้ไม่ให้รอดอยู่ต่อไปอีก กูจะตัดหัวตัดตัวสามท่อนให้หนำใจกูเทียว”

สังระตูบทจรสู่ที่ท่านลิกูนั้น ดูพระกิริยาประดุจพยัคฆชาติอันกำลังจะโจนตะครุบพ่นลมหายใจเป็นกรดพิษฉนั้น

บัดนี้จะกล่าวถึงท่านลิกู เมื่อได้ชานสลาอันศักดิสิทธิและขลังชมัดนั้นจากบัณฑิต๙๙นั้นแล้ว จึงเอาสอดไว้ใต้เขนยที่นางนอน ครั้นแล้วท่านลิกูก็รู้สึกสบายใจ จึงนั่งลงที่หน้าประตูตำหนัก ดูไปทางโนันทางนี้ด้วยบรรดาข้าไทสาวใช้ทั้งหลายก็ไล่ไปเสียก่อนหมดแล้ว โดยสั่งให้ไปเสียจากที่นั้น เหตุฉนั้นในตำหนักท่านลิกูนั้นจึงเงียบสงัด ก็และในรวางที่นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่ที่หน้าประตูนั้น นางเธอเหลือบเห็นสังระตูเสด็จมาด้วยอาการรุกรันฉุนเฉียวทั้งชักพระแสงมาด้วย ทันใดนั้นท่านลิกูก็เข้าตำหนักขึ้นนั่งบนเตียงนอน ซึ่งเก็บชานหมากไว้ใต้เขนยนั้น แล้วเธอก็กอดเขนยไว้ พลางเผยออกอุระประเทศอันประดับด้วยคู่หนึ่งซึ่งวาปีกษิรากร ตลอดไปถึงมธุวารีชลาลัย๑๐๐ ฝ่ายพระราชาสังระตูก็เสด็จดำเนิรตามท่านลิกูเข้าไป ครั้นไปถึงเตียงภาพแห่งท่านลีกูนั้นก็ประจักษแก่พระราชา แต่พอสังระตูทอดพระเนตรเห็นดังนั้น พระแสงดาบซึ่งชักออกจากฝักแล้วก็หล่นจากพระหัตถ์ลงยังพื้น พระกมลที่พิโรธนั้นก็เสื่อมคลายอ่อนลง กลับเพิ่มพูลพระสิเนหาอาลัยยิ่งขึ้น กำหนัดเสียวกระศัลย์ก็เกิดขึ้นในพระหทัย พระโทษะจริตก็เปลี่ยนไปเป็นสุขุมลมุนลม่อม พระอารมณ์ที่ฉุนเฉียวก็กลายเป็นอ่อนน่วม พระสุรเสียงที่กระด้างก็กลายเป็นอ่อนหวาน ประดุจเสียงแมลงภู่ตอมบุบผชาติฉนั้น ที่ขุ่นเคืองทั้งปวงก็เหือดหายไปสิ้น ด้วยเหตุที่สังระตูไม่สามารถฝ่าฝืนพิสวาสดิ์ในท่านลิกูได้ จึ่งทรงประโลมสรวมกอดนางและจุมพิตณปรางเบื้องซ้ายเบื้องขวา แลลูบไล้ผมนางพลางตรัสด้วยสุรสำเนียงอันอ่อนหวานลมุนลม่อมว่า “เออ อะดินดาดวงยิหวาของพี่๑๐๑ เวลานี้อะนันดาก้าหลุ อาหยังอยู่ที่ไหนเล่า ตลอดวันนี้ยังมิได้เห็นหน้าเลย๑๐๒ กะกันดานี้คิดถึงเธอนัก แม้ไม่ได้พบเพียงวันเดียวก็รู้สึกเหมือนนานนับเดือน”

ท่านลิกูได้พังพระวาจาลมุนลม่อมอ่อนโยนฉนั้นก็สุขะจิตรบันเทิงใจยิ่งนัก ความที่หนักใจก็โล่งโปร่งไป จึงทูลว่า “อ้า พระราชา กะกันดา ก้าหลุ อาหยังนั้น ชรอยจะกำลังเล่นอยู่กับข้าหลวง”

ณ กาลนั้น สังระตูไม่ทรงรำลึกถึงประไหมสุหรีซึ่งวายชนม์นั้นต่อไปอีกแล้ว ด้วยมาทรงคิดว่าอันบุถุชนมลายชีพแล้วก็ย่อมคงเป็นคนตายอยู่เท่านั้นเอง เหตุเป็นกรรมอันมหาเทวราชเจ้าทรงบันดาล แล้วสังนาตะก็เลยประทับเสวยสุขารมย์๑๐๓ เริงรื่นด้วยท่านลิกูเหนือแท่นที่ไสยานั้น กอร์ปด้วยพระวาจาตรัสคำหวานสัพยอกหยอกเย้าเล้าโลม ดูเหมือนว่าจะไม่ทรงระลึกถึงการที่จะกลับคืนสู่พระราชมณเฑียรอีกต่อไป ส่วนพระศพประไหมสุหรีนั้นก็ยังทอดอยู่บนแท่น คนทั้งหลายยังเฝ้าร่ำพิไรรำพรรณอยู่ และก้าหลุจันตะหรา กิระหนาก็ยังกอดจูบพระศพนั้นอยู่เรื่อยไป.

ฝ่ายสังนาตะ ครั้นเล้าโลมเสวยรมย์อยู่ด้วยกับท่านลิกู อิ่มหนำสำราญแล้วจึ่งเพิ่งจะทรงระลึกขึ้นได้ในอันจะเสด็จกลับคืนสู่พระราชมณเฑียร แล้วจึงให้ชุมนุมรี้พลลกลไกร และให้นำเอาอาวุธออกด้วยจะแห่เชิญพระศพประไหมสุหรีนั้นไปฝัง ชั้นต้นให้ปั้นพระรูปจำลองไว้ ครั้นเสร็จแล้วก็แห่เชิญพระศพไปฝัง ณ สุสาน แห่นำตามแวดล้อมไปด้วยข้าไทยรี้พลพหลโยธา ซึ่งทุกขะจิตตเศร้ากำสรดโศกาดูลย์ กาลนั้นแสงตวันก็มัวมนประหนึ่งบุถุชนในยามทุกข์ ครั้นไปถึงยังสุสาน จึงลดพระศพลงบรรจุหลุม ทั้งพระรูปที่ปั้นงามวิจิตรนั้นก็ให้ฝังไว้ด้วยกันกับพระศพประไหมสุหรี ทวยพศกนิกรชาวนาครทั้งมวญก็ทุกข์เศร้าสลดใจด้วยสิ้น นกยูงร้องเป็นเสียงยาวยืดเย็นเยือกยังใจคนทั้งหลายที่ได้ยินให้กำศรดโศกาดูลย์ ประหนึ่งดังบุถุชนเฝ้ากำชับแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาว่า “จะรู้รักษาระมัดระวังองค์ให้ดี” ฝนก็ตกปรอยๆ ประหนึ่งบุถุชนสงสารสมเพชกำพร้าซึ่งมารดาละทิ้งไว้ในยามตุนาหงัน พระพายพัดรำเพยเฉื่อยๆ ลักษณดุจบุถุชนพร่ำให้พรแก่กำพร้าเพื่อให้ทรงชีพอยู่โดยสวัสดี สถาพร ฟ้าร้องฟ้าคนองซับซ้อนสนั่นยังใจผู้ที่ได้ยินให้ประหวั่นรันทด ประดุจจะบุถุชนปริเทวะดิ้นพลิกไปพลิกมาบ่นรำพรรณว่า “กระไรเลย ช่างมาทิ้งธิดาไว้องค์เดียว ให้เป็นกำพร้าในยามกำลังตุนาหงัน”

ฝ่ายจันตะหรา กิระหนานั้นเล่า ทุกวันคืน เช้าค่ำเฝ้าแต่พร่ำออกนามชนนีไม่รู้หยุด ใครได้ยินได้ฟังแล้วใจแทบจะขาด ด้วยพระมารดามาสละละทิ้งไปแต่ยังเยาว์และในยามตุนาหงัน มีทุกข์ร้อนเคราะห์กรรมอย่างไร จะได้ใครที่ไหนเล่าเป็นที่ปรึกษาปรับทุกข์ เมื่อเธอคิดถึงเคราะห์ของเธอขึ้นมาทีไรก็มีอาการเหมือนดังบุถุชนที่ไม่อยากจะมีชีวิตรอยู่ต่อไป หรือมิฉนั้นกิเกิดความคิดใคร่จะไปเสียยังบ้านอื่นเมืองอื่น และเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งแม้ถึงว่าเป็นที่ซึ่งยังไม่เคยพบเคยเห็นเลย.

ครั้นเสร็จการฝังพระศพประไหมสุหรีนั้นแล้ว บรรดาผู้ที่ทำการบรรจุพระศพและแห่แหนนั้น ต่างก็กลับคืนสู่พระราชฐานหรือกลับคืนยังบ้านเรือนแห่งตนๆ ฝ่ายสังระตูก็ทรงประกอบพระราชกิจจานุกิจต่างๆ ตามชอบควรแก่เวลา

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ทุก ๆ วันไปประทับกรรแสงอยู่ ณ ที่ฝังพระศพพระชนนีจนกระทั่งพระกายพระรูปซูบซีดเนตรบวมช้ำ และเกษาซึ่งข้าหลวงเคยหวีถวายทุกวันนั้นก็กลายเป็นยุ่งเหยิงหมดสิ้น เหตุเพราะหทัยทุกข์ร้อน และเจ็บแค้นในการอันทำของท่านลิกูนั้น ครั้งมหาเตหวีทอดพระเนตรเห็นอาการของอะนะกันดา จันตะหรา กิระหนาเป็นดังนั้น ก็มีพระหทัยสมเพชเวทนายิ่งนัก พระนางเธอนี้และเป็นผู้ปลอบโยนอยู่ทุกๆ วัน และคอยชวนเล่นชวนคุย เพื่อให้จันตะหรา กิระหนาคลายทุกขระทมหทัย

ขณะนั้น จึ่งมหาเดหวี ทรงรับเอาเป็นประหนึ่งธิดาขององค์เอง ดังว่าได้ประสูติและได้อุ้มครรภ์มาถ้วนนพมาส มิได้ผิดแผกไปจากนั้นเลย และทรงสิเนหาอาลัยเป็นอันมาก ฝ่ายจันตะหรา กิระหนาเล่าก็เช่นกัน เธอรับนับถือเอาเป็นพระมารดาของเธอเองโดยแท้ แทนที่ชนนีซึ่งล่วงลับไปแล้วนั้น พฤติการณ์เป็นดังพรรณามาฉนี้แล.

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง กับท่านลิกูนั้นเล่า ครั้นสิ้นประไหมสุหริไปแล้ว สองก็สำราญใจ ตำแหน่งฐานะก็ยิ่งสูงขึ้น ไว้ท่าทางก้าวร้าวเห่อเหิมวางตนยิ่งขึ้นไปกว่าประไหมสุหรีเสียอีก ฝ่ายภคินทะ๑๐๔สังระตูก็ทรงสิเนหาอาลัย ในนางนี้ยิ่งกว่ามหาเดหวี ถ้าสังระตูเสด็จไปประทับที่ตำหนักท่านลิกูไซร้ จนคนลืมแล้วนั่นและ จึงจะเสด็จกลับมายังตำหนักมหาเดหวี แต่ถ้าประทับที่ตำหนักมหาเดหวีเพียงสองสามวันเท่านั้น ก็เสด็จคืนไปยังท่านลิกูอีก ดูประหนี่งดังว่าอยู่ที่ตำหนักมหาเดหวีนั้นหาความสุขสำราญมิได้ เหตุฉนั้นท่านลิกูจึงกำเริบยกตนใหญ่ยิ่งขึ้นทุกวัน และก้าหลุ อาหยัง ก็ตระหนักว่าตนเป็นผู้ที่ภคินทะทรงถวิลจินดาสิเนหายิ่งกว่าก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เดี๋ยวๆ นางก็กรรแสงกลิ้งไปกลิ้งมา ครั้นแล้วข้าไทยทั้งหลายก็ถูกท่านลิกูกริ้วกราดบ้าง ก็ถูกตี ถูกด่า เพราะเหตุ ก้าหลุ อาหยังนั้น ความประพฤติของก้าหลุ อาหยังเป็นดังกล่าวนี้ ถ้าเธอกรรแสงแล้ว หากสังระตูยังไม่ประคับประคองกอดจูบปลอบโยนตราบใด เธอก็ไม่นิ่ง ส่วนพระราชาก็ยิ่งเพิ่มพูลสิเนหาอาลัยในท่านลิกูขึ้นอีก จะปรารถนาสิ่งใดก็ทรงตามใจทุกอย่าง มิได้เคยมีเลยที่จะฝ่าฝืนขัดขืนต่อความประสงค์ของนางนั้น ที่ตำหนักลิกูนั้นผู้คนก็แน่นหนาฝาคั่ง เพราะใครไม่แสดงความเคารพยำเกรงก็ต้องถูกกริ้วกราด จนบรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในมีความหวาดกลัวก้าหลุ อาหยังกับท่านลิกูนั้นเป็นกันมาก ฝ่ายจันตะหรา กิระหนา กับมหาเดหวีนั้น นานนักจะได้เฝ้าสังนาตะสักครั้งหนึ่ง มีแต่เมื่อจันตะหรา กิระหนา อยากจะเล่นก็ไปยังตำหนักก้าหลุอาหยังนั่นและ จะได้เฝ้าประสบพักตร์กับพระราชบิดาสักครั้งหนึ่ง การณ์เป็นดังนี้ ด้วยเดชเทวานุภาพบันดาลนั้นแล๑๐๕

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูกุรีปั่น เมื่อได้ทรงฟังทราบข่าวกรุงดาหาว่าประไหมสุหรีวายชนม์ไปแล้ว จึ่งประทับรำพึงกับพระชายา ตรัสว่า

“เออ อะดินดา พี่ได้ข่าวมาว่า ระตูดาหาย้ายไปอยู่กับนางลิกู เมียสาวของเธอแล้ว จะเอาอะไรก็ตามใจทุกอย่างๆ จนกระทั่งประไหมสุหรีต้องเสียชีวิตร เพราะเสพย์ยาพิษ อันที่จริงเมื่อเป็นถึงเพียงนี้ ก็สุดที่จะคิดออกว่าเป็นได้ เพราะเหตุผลกลใด”

ขณะที่ตรัสนั้นท้าวเธอก็ถ่มเขฬะ เยี่ยงบุคคลที่มีความเกลียดชังท้าวดาหา นั้นพลางตรัสว่า

“ถ้าในนครของกะกันดานี้ มีหญิงเช่นอย่างนางลิกูนั้นสักคนหนึ่งแล้ว พี่จะฆ่ามันเสียให้จงได้เทียว สงสารก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาเสียจริงๆ เหลืออยู่แต่ลำพังตนคนเดียวไร้มารดา ฝ่ายบิดาหรือก็ไปยอมตนอยู่ใต้อำนาจนางลิกูเสียแล้ว”

ในกาลนั้นองค์สังระตู กุรีปั่น ก็ได้ทรงยินซึ่งข่าวเลื่องฦๅนานาเรื่องความประพฤติของนางลิกูนั้นแล้ว

เมื่อท้าวเธอระลึกถึงปกติพฤติการณ์๑๐๖นั้นขึ้นมาครั้งใดก็พิโรธขุ่นเคือง พระ ฉวีวรรณ๑๐๗แห่งดวงพระพักตร์พลันแดงพลันดับสลับกัน๑๐๘ ด้วยทรงสมเพชเวทนา ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เป็นอันมาก ซึ่งต้องมาตกเป็นกำพร้า อาจไม่มีใครเอาธุระดูแลพิทักษรักษา ในยามที่ทรงคำนึงดังนั้น จึงเกิดพระดำริขึ้นในพระหทัยองค์ท้าวกุรีปั่นนั้น ว่า

“ถ้าเป็นดังนั้น ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จะต้องทุกข์ยากลำบากใจยิ่งนัก ไม่มีใครแต่สักคนเดียวที่จะเป็นผู้เฝ้าปลอบโยนรักษาใจเธอ อย่าเลย เราจะส่งของปลอบใจไปให้เธอ จะให้เขาทำของเล่นสักอย่างหนึ่ง คือตุ๊กตาทองคำ๑๐๙ เพื่อเป็นเครื่องปลอบใจเธอ แล้วจึงดำรัสสั่งให้ทำตุ๊กตาทองประดับด้วยเพชรพลอย ให้เป็นของเล่นของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เพื่อใครพบเห็นตุ๊กตานั้นเข้าจะต้องยิ้มสรวลด้วยความยินดี ครั้นถึงเพลาหนึ่ง ระเด่น อินู กะระตะปาตีมาขึ้นเฝ้าสังนาตะ น้อมเศียรถวายบังคมภคินทะ จึ่งท้าวสังระตูประทานตุ๊กตาของเล่นนั้นแก่อินูพลางตรัสว่า “แน่ะ ลูก อันอายะฮันดา๑๑๐นี้ใคร่จะส่งของฝากนี้ไปยังกรุงดาหา และจะสั่งมอบให้มนตรี และข้าราชการนำไป”

ฝ่ายระเด่นอินู ได้ฟังสังนาตะตรัสดังนั้น ก็ขวยเขินสะเทิ้นอายก้มพักตรนิ่งสงบอยู่ ครั้นพระราชาตรัสประพาศดังนั้นแล้ว พนักงานก็เชิญเครื่องมาตั้งแล้วก็เสวยด้วยกัน เสวยแล้วก็ทรงเครื่องหอม แล้วระเด่นอินูก็ถวายบังคมลาฝ่าธุลีสังนาตะกลับคืนสู่วัง อันตั้งอยู่ ณ ตำบลบ้านการังงัน ด้วยใคร่จะประสพพบตรัสกับยะรุเดะและปูนตา ฝ่ายข้าทั้งสองนั้นก็เข้ามาน้อมเกล้าบังคมแทบบาทเจ้านายแห่งตน จึ่งระเด่นอินูตรัสว่า “แน่ะ ยุระเดะ กับปูนตา จงไปเองในทันใดนี้ เพื่อเรียกน้าปาติ๊ห์๑๑๑ และแจ้งให้ทราบว่ามีรับสั่งสังระตูให้เข้าไปเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท” ยะรุเดะก็รีบเร่งไปยังบ้านน้าปาติ๊ห์นั้น แล้วปาติ๊ห์ก็เข้าเฝ้าธุลีลอองบาทสังระตูด้วยความเคารพ ฝ่ายผู้ที่ทำตุ๊กตาทองคำนั้นก็คือ ระเด่น อินู นั้นเอง๑๑๒ ด้วยใค๑๑๑๑๔ ปักไหมทองและผูกรัดด้วยแพรสีชมภู๑๑๕ ส่วนห่อตุ๊กตาทองคำนั้นรัดด้วยแถบผ้าดำ องค์สังนาตะก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก ครั้นแล้วในกาลวันนั้นเอง จึ่งสังระตูตรัสสั่งให้เสนาจำนวนหนึ่ง มีปาติ้ห์ บูปาติ๑๑๖ มนตรี, นายทหาร และตำมะหงง พร้อมทั้งไพร่พล เชิญของประทานกับทั้งตุ๊กตานั้นไปถวายเจ้ากรุงดาหา เพื่อประทานแก่พระราชธิดาก้าหลุทั้งสองนั้น แล้วคนนั้นก็เชิญแห่ไปด้วยดุริยดนตรี ฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง และระนาดทอง เดิรทางไปสู่ทิศนครดาหา เพื่อนำสารสวัสดี๑๑๗ ของกรุงกุรีปั่นไปให้ถึง เขาทั้งหลายนั้นเดิรไปมิได้หยุดยั้ง และมิช้านานก็ไปถึงนอกนครดาหา ชาวบ้านร้านถิ่นทั้งหลายทั้งปงงก็ออกมาดูฟังดุริยดนตรีนั้น บ้างก็วิ่งหนีระส่ำระสายด้วยสงกา สำคัญว่ามีสัตรูมารบพุ่งชิงชัย ฝ่ายผู้ที่ทราบว่าเป็นทูตมาแต่กรุงกุรีปั่นก็เข้าใกล้และเข้าปฏิสันฐารรับรองอย่างเอิกเริก ที่ดูและสดับดนตรีฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย เพลิดเพลินเจริญใจไปก็มี จนกลายเป็นชุมนุมชนแน่นหนาอึกทึกครึกโครม อีกไม่นาน เขาทั้งหลายนั้นก็เข้าไปถึงในเมือง ยับยั้งอยู่นอกพระราชฐาน ทันใดนั้นนายประตูก็รับรองและพาเข้าไปเฝ้าองค์สังระตูดาหา ฝ่ายองค์ท้าวดาหาเล่า ก็ตรัสสั่งให้ต้อนรับด้วยดุริยดนตรีฆ้องกลองประโคมตอบแทน มิได้หยุดหย่อนไพร่พลและข้าราชการกุรีปั่นทั้งปวง ก็น้อมเกล้าถวายบังคมธุลีละอองบาทสังระตูดาหานั้น ก็และในเวลานั้นสังระตูประทับอยู่ ณ ตำหนักท่านลิกู และท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง กำลังเฝ้าอยู่หน้าที่นั่ง ท่านลิกูและธิดาก็สุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก มนตรี ข้าราชการ ดะหมัง ตำมะหงงทั้งหลายนั้นก็ทูลสารสวัสดีของพระเจ้ากรุงกุรีปั่น และถวายตุ๊กตาสองตัวนั้นแด่ธุลีสังระตู ฝ่ายสังระตูก็ทรงรับด้วยสุขจิตต์โสมนัศและทราบตระหนักแล้ว ว่าห่อของนั้นบรรจุตุ๊กตา ขณะนั้นจึงสังระตูตรัสแก่ก้าหลุ อาหยังว่า “แนะ ลูกพ่อเลือกเอาตัวหนึ่งสิในจำนวนตุ๊กตาทั้งสองที่ส่งมาจากกรุงกุรีปั่นนั้น เปนเครื่องหมายที่ระลึกถึงระเด่นอินู กะระตะปาตี”

นางลิกูก็ยินดี ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็เลือกตุ๊กตาและเลือกเอาตัวที่ห่อดีคือห่อด้วยแพรเทวังคะนั้นแล้วก็หยิบเอา ส่วนตัวที่ห่อผ้าเก่าและเป็นเศษ๑๑๘เดนเลือกอยู่นั้น ก้าหลุ อาหยังยกให้แก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และให้คนนำไปยังตำหนักก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ฝ่ายจันตะหรา กิระหนา ครั้นเห็นของเศษเดนเลือกที่ส่งมานั้นก็ก้มพักตร ไม่ตรัสประการใด พลางชลนัยคลอเนตร ด้วยมาระลึกถึงเคราะห์กรรมของเธอเอง “ของนี้เป็นเศษเหลือเดนเลือกแล้ว เขาจึงส่งมานี่ ผ้าห่อหรือก็เก่าคร่ำคร่า สายผูกก็สีดำ” มหาเดหวีก็ทรงสมเพชเวทนาในอันเห็นธิดาจันตะหรากิระหนาดังนั้นแล้วตรัสว่า “เธอจงรับเอาของนั้นเถิด แม้บกพร่อง อย่าผลักไสไปเสียเลย”

แล้วมหาเดหวีก็ตรัสปลอบโยนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาด้วยปิยะวาจาอันอ่อนหวานนุ่มนวล

วาจาของมหาเดหวีนั้นเป็นประดุจกับคำชองชนนีของเธอเอง และด้วยเหตุที่เธอมีความยำเกรงกลัวผู้ใหญ่ยิ่งนัก และได้ฟังคำมหาเดหวีเช่นนั้น เธอก็ปฏิบัติตามโดยดุษณีภาพ ด้วยเข้าแทนที่เสมอด้วยชนนีของเธอเองแล้ว จึงแก้ห่อของนั้นเปิดออก พลันเห็นในห่ออย่างเลวทรามและคร่ำคร่านั้น ซึ่งของสิ่งหนึ่ง อันเป็นของสูงคือตุ๊กตาทองคำตาฝังเพชร์มีรูปร่างงามยิ่งนัก แต่พอมหาเดหวีทอดพระเนตรเห็นตุ๊กตานั้น ก็ทรงยิ้มแล้วทรงสรวล เพราะว่าตุ๊กตานั้นรูปร่างเหมือนมนุษย์ จึงจินตนาตรัสในหทัยว่า “ผู้ที่ทำตุ๊กตานี้มีความฉลาดสามารถจริงๆ”

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็แก้ห่อของที่ส่งมาแต่กรุงกุรีปั่นนั้น นางเธอปลื้มเปรมยินดีตบหัตถ์โลดเต้นไปมาด้วยความร่าเริง เพราะเห็นของนั้นห่อด้วยผ้าอย่างดีทอด้วยไหมเทวังคะ แล้วก็เปิดห่อ เห็นตุ๊กตาทำด้วยเงินหนึ่งตัว ตาฝังแก้ว หาทราบไม่ว่าก้าหลุ จันตะหรา ซึ่งได้จับเศษเดนเลือกนั้น ได้ตุ๊กตาทำด้วยทองคำอย่างสุกใสแวววาว ถ้าแม้เธอได้ทราบความนี้ แน่เทียว ก็คงไม่โสมนัศร่าเริงบันเทิงใจเห็นปานนั้น

ในกาลดังกล่าวนี้ ฝ่ายท้าวดาหาก็ทรงรับรองทูตกุรีปั่น โปรดให้เลี้ยงอาหารของดื่มสนุกสนาน ครั้นทูตบริโภคอาหารและผลไม้ต่างๆ และใช้เครื่องหอมลูบทาเสร็จแล้ว พลางประโคมดุริยดนตรีอึกทึกกึกก้อง องค์สังระตูก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเป็นอันมาก ต่อนั้นไป ทูตกุรีปั่นอยู่ในกรุงดาหาด้วยความสนุกสนานไม่ขาดสาย ตกมาวันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็ทูลลากลับ ขณะนั้นก้าหลุ อาหยัง ก็ประทานของกินแก่ทูตเพื่อบริโภคกลางทาง และพระราชาก็พระราชทานพระราชานุเคราะห์ด้วยเสื้อผ้าอย่างงาม ๆ

ก้าหลุ อาหยังมีของฝากไปถวายแด่กะกันดา อินู กะระตะปาตี ท่านลิกูก็เช่นกัน และนอกจากของฝาก ยังสั่งเสียต่างๆไปกับทูตนั้นด้วย ครั้นสำเร็จสิ้นแล้ว จึงบรรดามนตรี เสนาข้าราชการ ดะหมัง และตำมะหงง นั้นๆ น้อมเกล้าอัญชุลีธุลีลอองบาทองค์สังระตู ออกจากพระราชฐานเดิรออกนอกเมืองมุ่งไปยังนครกุรีปั่น พนักงานดุริยดนตรีก็กระทั่งเสียงประโคมไปตลอดทางมิได้หยุดยั้ง

เดิรทางมาอย่างเร็วเช่นนั้น พลันก็ถึงนครกุรีปั่นโดยไม่เนิ่นช้า เข้าเฝ้าธุลีองค์สังระตูกุรีปั่นด้วยความเคารพ ถวายบังคมทูลแถลงซึ่งสารสวัสดี และบังคมของท้าวดาหา ดังเช่นได้กล่าวมาแล้วนั้น ภคินทะสังระตูก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก ในอันได้ทรงสดับข่าวดีทั้งสิ้นนั้น ทั้งนี้ด้วยเดชเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

-----------------------------------

๙๑ หมายความว่าตากอากาศ
๙๒ ต้นฉบับใช้คำ “ชีวะ” คำนี้เป็น “ยิหวา” ใน พ.ร.น. อิเหนา เช่น ดวงยิหวา เหตุที่กลายไปเพราะ ช นั้นออกเสียงเหมือน J อังกฤษ ซึ่งไม่มีในภาษาไทย
๙๓ ต้นฉบับใช้คำ “บะฮาซา” ในที่นี้หมายความว่ายังไม่รู้ผิดรู้ชอบ
๙๔ ว่าเป็นแพรทอด้วยไหมเทศชนิดหนึ่ง
๙๕ รงกับสำนวนไทยว่า “ขอประทานโทษร้อยโปรดพันโปรด”
๙๖ ต้นฉะบับใช้คำ “หิมะ” เป็นสำนวนเคารพยิ่ง
๙๗ “ชาห์ อาลัม” ภาษาอาหรับแปลว่าผู้ผ่านพิภพ หรือเจ้าโลก
๙๘ ต้นฉบับใช้คำ “บูมิ”
๙๙ ต้นฉบับใช้คำ “ปันเดตา”
๑๐๐ ๑๐๐. ตอนนี้ผู้แต่งประสงค์กล่าวความหยาบโลนตลกคนอง แต่ปกคลุมเสียด้วยถ้อยคำอันไพเราะเข้าทำนองบทอัศจรรย์ของไทยเรา
๑๐๑ ต้นฉบับว่า “ชีวะ กะกันดา”
๑๐๒ ต้นฉบับว่า “รูปะ”จะแปลว่ารูปก็ขัดสำนวนไทย
๑๐๓ ต้นฉบับใช้คำ “บรสุกา-สุกาอัน”
๑๐๔ คำมะลายูว่า บะคินดะ แปลว่าเจ้าแผ่นดิน มาแต่สันสกฤต ภคว่า MAJESTY ส่วนอินทะว่า CHIEF แต่คำอินดะข้างท้ายอาจเป็นสำนวนยกย่องต่อท้ายคำตามระเบียบภาษามะลายูเท่านั้นก็ได้ เช่น อะดินดา = อาดิ. อินดา แปลว่าพระน้อง กากันดา = กากะ + อันดา = พระพี่ อายันดา = อายะห์ + อันดา = พระบิดา อานะกันดา = อานัก + อันดา = พระโอรส เป็นต้น
๑๐๕ ความตอนนี้ ต้นฉบับใช้สำนวนและคำภาษาอาหรับว่า “วะอัลลาฮูอาลัม บิสซาวับ” แปลโดยอรรถว่าการณเป็นดังนี้ เทพเจ้าเท่านั้น หากทรงทราบได้ ไม่เป็นสำนวนไทย จึงได้แปลแปลงไปเสียบ้าง
๑๐๖ ต้นฉบับใช้คำ “บูติ ปกรตี” คือ ปกติพุฒิ
๑๐๗ ต้นฉบับใช้คำ “วระนะ” คือ วรรณ
๑๐๘ สำนวนมะลายูในที่นี้แปลตามพยัญชนะว่า “แดงดับ” หมายความว่าเปลี่ยนสีวับวาบประดุจแสงเพลิงบัดเดี๋ยวก็โพลงขึ้น บัดเดี๋ญวก็อ่อนลง
๑๐๙ ต้นฉบับใช้คำ “กันจานะ” คือ กาญจน
๑๑๐ อายะห์ ว่าบิดา อายะฮันตา หรือ อายันดา ว่า พระบิดา
๑๑๑ ตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ คำนี้มาจาก ปติ. บดี. ใน พ.ร.น. อิเพนาว่าปาเต้ะ ที่ระเด่นอินูเรียกน้านั้นเป็นการยกย่อง
๑๑๒ ต้นฉบับตอนนี้กับตอนก่อนออกจะขัดกัน ชักฉงน ตอนก่อน ตุ๊กตาทำเสร็จแล้วท้าวกุรีปั่นยื่นประทานแก่อินู ตอนนี้ว่าอินูเปนผู้ทำตุ๊กตานั้นเอง อาจหมายความว่า อินูเข้าแย่งช่างทำโดยท้าวกุรีปั่นมิทรงทราบ หรือมิฉะนั้นอินูรับตุ๊กตาจากท้าวกุรีปั่นมาแล้ว ไม่ส่งตัวนั้น กลับมาทำขึ้นใหม่ ความไม่ชัดว่าอย่างไรแน่
๑๑๓ ต้นฉบับใช้คำ “มานุสิยะ”
๑๑๔ แพรเทวังคะ นั้นว่าทอด้วยไหมเทศมาแต่อินเดีย
๑๑๕ ต้นฉบับว่า “เมระห์ ชัมบู” แปลโดยพยัญชนะว่า แดงชมภู่ คำไทย สีชมภู ที่ถูกบางทีจะควรเปนสีชมภู่
๑๑๖ บูปาติ คือ ภูบดี สมัยปัตยุบันนี้เป็นตำแหน่งเจ้าเมือง
๑๑๗ ต้นฉบับใช้คำ “ชาลาม ตาลิม” ภาษาอาหรับ แปลว่า คำนับอวยพร
๑๑๘ ต้นฉบับใช้คำ “ซีสะ” คือ คำเศษนั้นเอง
๑๑๙ ชาวชวาอุ้มเด็กใช้ผ้าสใบห่อใหเด็กนั่ง แล้วสพายเฉียงไหล่ข้างหนึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มิถุนายน 2567 19:03:27 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 26 มิถุนายน 2567 19:02:48 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เมื่อได้รับตุ๊กตาทองจากคู่ตุนาหงันนั้นแล้ว ก็ค่อยคลายทุกข์ในทหัยของนางในเหตุที่ตกเป็นกำพร้านั้นทุกๆ วัน เธอเล่นสพาย ตุ๊กตาทองคำนั้นอุ้มชู โดยใช้สใบของพระมารตา บัดเดี๋ยวก็ร่อนกล่อมตุ๊กตานั้นด้วยร้องขับ๑๑๙ เป็นเพลงว่า
      “ลูกแม่คือแสงนัยนา๑๒๐   นานแล้วแม่นี้โศกจาบัลย์    
      เช้าค่ำเมามัวถวิลจินดา   เฉกเมฆปกคลุมดวงบุหลัน    
      นาสิกกลบิดานั้น   พ่อดีลูกนี้รูปงามครัน    
      เยี่ยงแม่ใจบุญสุนทร์ธรรม์   รู้ประพฤติหลักแหลมเลอสรร    
      เยี่ยงชนกผู้เลิศเผ่าพันธุ์   ไข้เจ็บอย่าได้มาโรมรัน    
      แม่กำพร้าได้มิตรติดพัน   ได้บุตรนี้มีคุณอนันต์    
      เหมือนโอสถตวงถ้วยนับพัน   บ่มีอื่นใดสู้สำคัญ    
      แม้ย่อมรูปเยี่ยมเทียมทัน   ยังใจแม่หายประหวั่น”    

บรรดาสาวสรรกำนัลในพี่เลี้ยงนางนมใครได้ยินได้ฟังดังนั้นก็อดสงสารไม่ได้ บางคนก็หัวเราะเพราะเห็นอากัปกิริยาของจันตะหรา กิระหนาเป็นดังบุคคลซึ่งได้ลูกจริงๆ เทียว ขณะนั้นจันตะหรา กิระหนา สั่งให้นางกำนัลผู้มีนาม เกนบาหยัน และเกนส้าหงิดทำเปลขึ้นเปลหนึ่ง เกนส้าหงิดก็ทำด้วยผ้าสใบแพร แล้วจันตะหราก็เล่นไกวเปลและร่อนรับตุ๊กตาทองคำนั้น บัดเดี๋ยวก็อุ้มวางตัก บัดเดี๋ยวก็จูบกอดพลางตรัสพลอด เช่นอย่างว่า

      “ฉวีวรรณเหมือนอย่างมารดา   นัยเนตรเหมือนเนตรบิดา    
      ริมโอษฐแม้นโอษฐมารดา       นิ้วหัตถ์เยี่ยงหัตถบิดา  
      ดวงเนตรวาววามงามประดัง      คู่ฉวีพรรณผิวงามปลั่ง  
      มีอาว์อยู่เมืองกากะหลัง       โชคชัยอย่าพร่องแม่หวัง  

ดังนี้ใครพบเห็นก็จับใจ และถ้าเป็นคนใจดีมีเมตตากรุณาด้วยแล้ว เมื่อเห็นอากัปกิริยาของจันตะหรา กิระหนา ดังกล่าวนั้นก็ต้องสงสารใจแทบจะขาด อีกครู่หนึ่งเธอก็กอดและอุ้มสพายตุ๊กตานั้นด้วยสะใบของพระมารดา

ก้าหลุ อาหยังได้เห็นประพฤติของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา นั้นทั้งหมดทางช่องประตู แล้วก็มาร่อนไกวตุ๊กตานั้นของนางบ้าง ตามอย่างเช่นที่จันตะหรา กิระหนา กระทำ แล้วก็เอาผ้าสะใบมาคล้องไหล่อุ้มสพายตุ๊กตา ตามอย่างจันตะหรา กิระหนา นั้นบ้าง แต่สะใบนั้นดียิ่งขึ้นไปกว่า ด้วยเป็นผ้าปักไหมทองประดับด้วยแก้วเลื่อม ขณะนั้นก้าหลุ อาหยังก็เห็นตระหนักขึ้นว่าตุ๊กตาของตน เป็นตุ๊กตาเงินดวงตาประดับหินแก้ว ส่วนตุ๊กตาของก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาเป็นทองคำตาประดับเพ็ชร์ส่งแสงวาวเป็นประกายดังฟ้าแลบ ก้าหลุ อาหยัง จึงขอเอาตุ๊กตานั้น ด้วยถ้อยคำว่า

“ตุ๊กตาของเจ้าพี่นั้นประทานเสียแก่หม่อมฉันเถิด ด้วยหม่อมฉันเป็นเด็กอ่อน แล้วเจ้าพี่เอาตุ๊กตาเงินตัวนี้ไปทรง เพราะทรงเจริญแล้ว”

จันตะหรา กิระหนาตอบว่า “อ้าวน้อง แต่ก่อนนี้ทำไมน้องจึ่งไม่เอาตัวนั้นเสียเล่า น้องเลือกก่อนมิใช่หรือ แล้วพี่จึงได้รับเดนเลือกของน้อง เพราะน้องได้เลือกเหลือแล้วจึงได้ส่งมาให้พี่”

ก้าหลุ อาหยังจึงว่า “อันที่จริงนั้น หม่อมฉันมิใช่เป็นผู้เลือก สังระตูต่างหากทรงเลือก แล้วจึงประทานตัวนั้นแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันหรือจะบังอาจไปเลือกก่อนได้ที่ไหน ถ้าสังระตูไม่ประทานแล้วน้องก็ไม่กล้าด้วยน้องกลัวเจ้าพี่”

จันตะหรา กิระหนาว่า “พี่ไม่อยากให้ตัวนี้แก่น้อง เพราะที่ถูกนั้น พี่นี้ได้รับของเศษเหลือ เลือกเสร็จแล้วจึงส่งมาให้พี่”

ก้าหลุ อาหยัง ร่ำขออยู่อีกสองสามครั้ง จันตะหรา กิระหนา ก็หายอมให้ไม่จึงก้าหลุ อาหยัง ดำเนิรกลับแล้วก็กรรแสงต่อหน้าพระมารดาทั้งดิ้น เกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น ท่านลิกูก็ตกใจยิ่งนัก และถามว่า “นี่อะไรกันเล่า ลูก จำไม่ได้หรือแม่บอกว่าให้ระวังตัวให้ดี และรู้เสงี่ยมเจียมตัว เธอรู้อยู่แล้วว่าตัวเธอนั้น มิใช่พระบุตรีประไหมสุหรี ไม่มีใครเขาเคารพนับถือ แม่บอกแล้วไม่ให้ไปเล่นไกล ๆ เป็นไปไม่ได้ ที่องค์สังระตูจะโปรดลูกแม่ ยิ่งไปกว่าพระธิดาของท่าน ก้าหลุ จันตะหรากิระหนา ซึ่งระตูกุรีปั่นก็โปรดปรานมาก เอาเป็นแล้วกันทีหยุดร้องไห้เถิด”

จึงก้าหลุอาหยัง ตรัสพลางน้ำเนตรไหลพลางว่า

“ตุ๊กตาตัวนี้เป็นเงินลูกไม่เอา เพราะตุ๊กตาของพี่จันตะหรา กิระหนาเป็นทอง”

ท่านลิกูได้ฟังดังนั้นจึงว่า “ไปขอประทานเธอดี ๆ อย่างอ่อนหวานสิ”

ก้าหลุ อาหยัง ตอบว่า “ขอไม่รู้กี่หนกี่ครั้งแล้ว ก็ไม่ให้ ซ้ำพูดประชดว่าเศษเดนเลือกอีก”

ลิกูว่า “เลิกกันทีเธอ นิ่งเถิด อย่ากรรแสงอีกเลย ด้วยลูกแม่เป็นลูกคนชาวตลาด แม่ก็เป็นลูกชาวป่าชาวดง ไหนเลยองค์สังระตู จะทรงยกย่อง ให้เสมอกับพระบุตรีองค์ประไหมสุหรีคู่พระนครได้ ถึงจะทรงซ่อนเท่าไรไม่ให้คนรู้สึก ก็ย่อมรู้เช่นเห็นแจ้งว่าโปรดมากกว่ากัน ย่อมจะต่างกันดังนี้แหละ”

ฝ่ายก้าหลุ อาหยัง ก็ยิ่งกรรแสงเกลือกกลิ้งที่พื้นหนักขึ้น ไม่มีใครปลอบโยนได้อีก นางสาวสรรกำนัลในเข้าไปปลอบกันกี่มากน้อยก็ไม่ฟัง และคำปลอบโยนอันอ่อนหวานทั้งมวลนั้น ไม่เป็นเครื่องแก้ไขเยียวยาได้เลย กิริยาวาจาของเธอก็เป็นเยี่ยงหญิงชาวตลาด ราวกับว่าเป็นเด็กที่ได้รับอบรมมาอย่างนั้นจริงๆ อีกครู่หนึ่งองค์สังระตูก็เสด็จมา ตรัสว่า “อไรกันนี่เธอ ดวงตาของอายันดา”

แล้วก็ทรงโอบอุ้มสร้วมสอดปลอบโยน ด้วยพระวาจาอันอ่อนหวาน ก้าหลุ อาหยังก็ทูลให้ทรงทราบซึ่งความประสงค์ใคร่จะขอตุ๊กตาทองคำของจันตะหรา กิระหนานั้น จึงสังระตูตรัสสั่งให้นางกำนัลไปขอมา นางกำนัลก็ไปตามรับสั่ง นางกำนัลนั้นๆ ยังมิได้ทันทูลขอตุ๊กตาทองต่อจันตะหรา กิระหนา ๆ ก็ชิงตรัสขึ้นว่า

“ฉันไม่ให้ ถึงภคินทะจะทรงสังหารผลาญชีวิตรเสีย ก็ตามทีเถิด ชอบไปเสียอีก ตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระมารดาในสุสาน ชีวิตรอันมีตัวคนเดียวอยู่เสียเปล่าในโลกนี้ สุดที่จะทนทานได้ต่อไปแล้ว สิ้นพระมารดาแล้ว เดือดร้อนอะไรก็มิรู้ที่จะไปปรับทุกขกับใครอีก ถูกฆ่าตายเสียดีกว่า”

นางกำนัลนั้นๆ ก็นำความกลับมา กราบทูลต่อองค์สังระตู ๆ ได้ทรงฟังคำนางกำนัลนั้นๆ ก็ทรงพระพิโรธแสนสาหัศ และยิ่งซ้ำร้ายขึ้นไปอีก เมื่อได้ทรงฟังสำเนียงอันออกจากปากท่านลิกู ด้วยกำลังพระพิโรธแรงกล้า จึ่งสังระตูทรงฉวยได้กรรไกรแล้วเสด็จดำเนิรไปยังที่จันตะหรากิระหนานั้น ครั้นถึงจึงเปล่งสุรศัพท์๑๒๑ ว่า “แน่ จันตะหรา กิระหนา ทำไมเจ้าจึงไม่ให้ตุ๊กตาทองแก่น้อง ถ้าขืนไม่ให้จะเอากรรไกรตัดผมเสียเดี๋ยวนี้เทียว”

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เห็นองค์พระบิดาทรงพิโรธสาหัศและทรงถือกรรไกรมาดังนั้น จึงก้มลงแทบพื้นน้อมเศียรกราบถวายบังคมพระบาท พลางทูลว่า “ดีแล้ว อายะฮันดาจงทรงสังหารหม่อมฉันเสียทีเดียวเถิด ควรแล้วที่หม่อมฉันจะตายไปเสียกับพระมารดา เพราะเหลือที่จะทนความเจ็บใจต่อไปอีกได้ หม่อมฉันไม่ยอมให้ตุ๊กตาทองของหม่อมฉัน แก่น้องก้าหลุ อาหยัง เพราะที่หม่อมฉันได้มานั้นก็เป็นเดนเลือกแล้ว ถ้าหม่อมฉันให้ไปจะต้องทุกข์ร้อนเจ็บใจไปช้านาน เพราะตุ๊กตานี้หม่อมฉันรักเสียแล้ว บัดนี้ขอพระบิดา จงทรงสังหารหม่อมฉันเสียทีเดียว”

สังระตูได้ทรงฟังดังนั้น ก็ยิ่งพิโรธหนักขึ้น จึงตรัสว่า “ดีละถ้าไม่ให้จะตัดผมเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”

จันตะหรากิระหนาทูลว่า “พระบิดาไม่เวทนาลูกบ้างเลยหรือ ประไหมสุหรีสิ้นไปแล้วหม่อมฉันก็ตกเป็นกำพร้า จะให้ดีแล้วทรงสังหารชีวิตรเสียทีเดียว จะชอบใจหม่อมฉันยิ่งเสียกว่า มีชีวิตอยู่ก็จะต้องตกอยู่ไนสังสารทุกข์๑๒๒ ไปอีกช้านาน มีคุณ๑๒๓ประโยชน์อะไรเล่า”

แล้วก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้นก็กรรแสง ก้มเศียรลงกับพื้นพลางกอดพระชานุสังระตู และชลนัยก็ไหลนองประดุจน้ำมุกด์ไหลจากเรือนหอยฉนั้น ด้วยเหตุเธอหทัยแข็ง จึงยังไม่ยอมให้ตุ๊กตาอยู่อย่างนั้น ใครได้ยินเสียงพิไรรำพรรณของกำพร้านี้แล้วใจหายแตกละเอียดด้วยความสงสาร ที่ต้องเจ็บใจจนถึงอยากตายตามมารดาไป ทั้งกอดและจูบพระบาท สังนาตะ แต่สังนาตะนั้นก็เพิกเฉยหาทรงเอาธุระฟังคำร่ำพิไรนั้นไม่ สังระตูทรงถือกรรไกร และทรงจับเกษาของก้าหลุ ซึ่งซบอยู่กับพื้นกอดพระชานุระตูอยู่นั้น แล้วก็ทรงตัดเกษาจันตะหรา กิระหนา แต่พอก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาเห็นเกษาหล่นลงยังพื้น กระจัดกระจายไปทางโน้นทางนี้ เธอก็ถึงซึ่งวิสัญญีภาพสิ้นสมฤดี ใครเล่าผู้เป็นบิดา จะมีแก่ใจตัดผมทำแก่บุตรีผู้ไร้มารดาแล้วได้อย่างนี้ ใครเห็นก็ต้องสงสารสลดใจสิ้น บรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในซึ่งอยู่ ณที่นั้น ก็กรรแสงโศการำพรรณกันไปต่างๆ สิ้นด้วยกัน ในเหตุที่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ประสบเคราะห์ต้องระงมทมทุกข์แสนสาหัศอยู่แล้ว ยังซ้ำมาถูกองค์สังระตูเพิ่มความเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นอีก ขณะที่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ซบลงยังพื้นสิ้นสมฤดีด้วยวิสัญญีภาพนั้น พื้นพสุธาก็หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ประดุจว่าพิโรธโกรธเคืองแก่สังระตู ไก่ทั้งหลายก็ขันกะก้อกก้อก๑๒๔เรื่อยไป ลักษณะ๑๒๕ดังจะตักเตือนองค์สังระตูมิให้ทรงประพฤติดังนั้นอีก ฝูงสัตว์ป่าจตุบาททวิบาทวิหกนกเหยี่ยวมีต้นว่ามยุรา กระสา กระจง กับทั้งพยัคฆมฤคี ก็พากันตกตลึงจังงัง๑๒๖ไปสิ้น ประหนึ่งพิศวงว่าเหตุไฉนใยเล่าสังระตูจึงไม่สมเพชเวทนาแม้แต่สักน้อยหนึ่งเลย ซึ่งพระบุตรีผู้ไร้มารดานั้น ฝ่ายว่าเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด เมื่อเห็นเจ้านายของตนดังนั้น ก็ร้องไห้เข้าช้อนองค์ขึ้นใส่ตักโศกาพิไรรำพรรณ เกนส้าหงิดเก็บเกษาที่ตกกระจายอยู่นั้นขึ้น และเกนบาหยันประพรมพักตร์ด้วยน้ำกุหลาบ พลางอุ้มประคองไว้บนตัก ฝ่ายองค์มหาเดหวีก็รับเอาเกษาซึ่งถูกตัดหล่นลงนั้นมาเทอดไว้ประดุจมณี๑๒๗ มีค่าหลุดหล่นจากเรือนอาภรณฉนั้น พลางชลนัยก็ไหลหลั่ง แล้วก็พาก้าหลุนั้นเข้าสู่ยังที่บรรธม ภูษาฉลององค์ของก้าหลุนั้นหรือ ก็เปียกชุ่มไปด้วยชลเนตร สะใบของชนนีก็เต็มไปด้วยฝุ่นลออง เกนบาหยันและเกนส้าหงิดเชิญภูษาทรงมาให้ผลัด ยังมีนางอื่นเชิญน้ำสรงพักตรมาซึ่งเจือจรุงด้วยน้ำบุหงายังหอมรื่น ความเป็นไปของก้าหลุจันตะหรากิระหนาเป็นอยู่ดังนี้ จนกระทั่งเนตรบวมฟกช้ำ เหตุด้วยเฝ้าแต่กรรแสงอยู่ทุกวี่วัน และน้ำเนตรไหลฉ่ำมิรู้หยุด บัดเดี๋ยวก็เจ็บแสบหฤทัย เมื่อระลึกถึงความโหดร้ายของท่านลิกู และบุตรี บัดเดี๋ยวก็ระลึกถึงชนนีซึ่งต้องสิ้นชีพไปเพราะการกระทำของท่านลิกู แล้วก็เกิดความคิดต่าง ๆ ขึ้นในหทัยนาง พลางร้ายพลางดีไม่แน่นอน กลับไปกลับมา ด้วยความเจ็บแสบคั่งแค้นแสนสาหัศ ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาหวนคิดไปมาอยู่ดังกล่าวนี้ทุกทิวาวารตั้งแต่รุ่งเช้าตลอดอาทิตย์ลบ ยิ่งเป็นเวลาพลบวัน ใกล้จะเปลี่ยนเป็นคืนด้วยแล้ว เพลานั้นและเป็นเจ็บแสบหทัยพี่สุด จึงบังเกิดความคิดจะออกมะงัมบาหรา๑๒๘ ไปยังเมืองใดเมืองหนึ่ง ด้วยใคร่จะไปเสียให้พ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องระลึกถึงการกระทำของท่านลิกูและสังระตูนั้นอีก และเธอรู้สึกเบื่อหน่ายในอันจะอยู่ในนครดาหาสืบไป คิดในหทัยนางว่าไปเสียพ้นนครนั้นจะเป็นการดีกว่าอย่างอื่น จึงตรัสให้หานางกำนัลข้าหลวง พลางชลนัยไหลหลั่งรับสั่งด้วยสำเนียงช้าๆ ว่า “แนะพี่บาหยัน จงรีบไปเรียกลุงมนตรีมาหาข้า ณ บัดนี้”

นางกำนัลทั้งหลายก็ไปเรียกท่านลุงมนตรีนั้นโดยพลัน อีกครู่หนึ่งนางกำนัลก็มาพร้อมด้วยมนตรี ๔ คนด้วยกัน เวลานั้นมหาเดหวีประทับอยู่ข้างก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ทางเบื้องขวา ฟูมฟายชลเนตรกรรแสงร่ำไห้อยู่ด้วยกัน

จึงมนตรีทูลว่า “มีเหตุข่าวคราวอันใด ที่เธอตรัสให้หาลุงมานี้ ทำไมเนตรของเธอจึงฟกช้ำ ดูเชิงว่าทุกข์ร้อนมาก”

จึงจันตะหรา กิระหนา กับมหาเดหวี ตรัสแก่ลุงมนตรีนั้นว่า “เออลุง ข้านี้สุดที่จะทนความเจ็บใจต่อไปได้ กลางวันกลางคืนไม่มีที่สิ้นสุด บัดนี้ข้าคิดจะหย่อนใจ ด้วยปล่อยตนมะงุมบาหราไปไหน ๆ ตามยถากรรม สุดแล้วแต่องค์พระอัลหล่าห์ผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพจะทรงบันดาล และใคร่จะไปแต่ในค่ำคืนวันนี้เทียว แต่อย่าให้ใคร ๆ ผู้อยู่ในนครนี้รู้เห็น ข้าขอต่อลุงมนตรีและพระมารดาโปรคช่วยรักษาระหัส๑๒๙ ความลับนี้ไว้อย่าให้ทราบถึงองค์อายะฮันดา สังระตู และลิกู เพื่อสังระตูและท่านลิกูจะได้เสวยรมย์ชมชื่นอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งก้าหลุ อาหยัง ซึ่งเป็นที่ทรงสิเน่หาอย่างยอดยิ่งนั้น”

ใคร ๆ ซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นได้ฟังก็รู้สึกว่า ซึ่งจันตะหรา กิระหนาตรัสดังนั้นถูกต้องแท้ ไม่มีผิดเลย ด้วยบรรดาชนที่อยู่ในพระนครล้วนแต่เกลียดชังท่านลิกูทั้งนั้น มหาเดหวี เกนบาหยัน และ เกนส้าหงิด ว่า “ถ้าจะออกมะงุมบาหราแล้ว ขอจงพาเอาข้าเจ้านี้ไปด้วย จะไปไหนก็เต็มใจจะตามไป ถึงจะไปล้มไปตายก็ไม่ว่า ขอแต่ให้ได้ตามไปด้วย ถ้าเธอไม่เอาไปด้วยแล้วจะต้องตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัศ ตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตรอยู่ต่อไป ด้วยจะเป็นชีวิตรที่เจ็บปวดลักษณคนไข้หนักปางตาย เหตุฉนั้น จึงหวังว่าเธอจะเอาไปด้วย เพราะไม่อยากจะตกไปเป็นข้ารับรับสั่งรับใช้ของก้าหลุ อาหยัง จะไปยอมตนเป็นบ่าวเจ๊กจีนก็ยังจะดีเสียกว่า”

แล้วก็รวมกันปรึกษาหารือ ครั้นตกล่องปล่องชิ้นก็พอดีวันดับค่ำมืดลง ตกเพลาเที่ยงคืนเดือนขึ้น บุหลันฉายส่องแสงสง่าราวกับกลางวัน พระพายก็พลันพัดรำเพยเรื่อยเฉื่อยฉ่ำ ปวงบุหงาผกามาศก็ส่งกลิ่นหอมหวานขจายจรรวยระรื่น กลบุรุษย์ทอดทัศนาเห็นวงพักตร์อันหวานชื่นแห่งคู่พิศวาสดิ์ ครั้นแล้วต่างก็จัดเตรียมเดิรทาง พวกพี่เลี้ยงและนางกำนัลจัดเครื่องอุปโภคบริโภค ฝ่ายมหาเดหวี เกนบาหยัน และเกนส้าหงิด ก็จัดแต่งเตรียมของเช่นอย่างจะไปเดิรทางเรือ ครั้นพร้อมแล้วก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ดำเนิรออกจากตำหนักไป มนตรีทั้งหลายนั้นก็ตามเสด็จ ในจำนวนชาวเมืองดาหาจะมีใครแต่สักคนหนึ่งก็หาไม่ ที่ทราบเรื่องจินตะหรา กิระหนาหนีหายไปจากนครนั้น ท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยังรวมทั้งองค์สังนาตะก็หาได้ทรงทราบไม่ ว่าพระบุตรีออกไปมะงุมบาหราเสียแล้ว ก็และก้าหลุจันตะหรา กิระหนาออกจากนครไป พร้อมด้วยมนตรีและสาวสรรกำนัลในนั้น ไปขึ้นรถ พวกพี่เลี้ยงเดิรตามเสด็จ จรจรัลไปโดยไม่มีที่มุ่งหมายแน่นอน เพราะย่อมเป็นไปตามหทัยอันกำลังเลื่อนลอย และทุกขจิตตโทมนัศอันมีการกระทำของท่านลิกูนั้นเป็นมูลเหตุต้นเดิม


      เดิรทางเข้าป่าพนาวัน   เจ็บจิตรผิดคาดหวาดประหวั่น    
      เหตุลิกูร้ายการอาธรรม์   ก็ค่อยลืมเสื่อมคลายหายพลัน    
      หนีไปมะงุมบาหรา   อยู่กรุงทนทุกข์สังสารา    
      ไม่อยากกลับคืนสักครา   แล้วแต่บันดาลบะตาหรา๑๓๐    

-----------------------------------

๑๒๐ บาทกลอนมะลายูตามต้นฉบับเป็นดังนี้ คือ ไม่มีบังคับครุละหุ ไม่มีบังคับจำนวนพยางค์ มีแต่สัมผัสท้ายวรรคเป็นชุดสี่เว้นแต่บทต้นทิ้งสัมผัสเปนคู่สลับ ในการแปลได้รจนาตามไปดังบทกลอนในต้นฉบับนั้น โดยรักษาความให้ตรงกัน และสัมผัสทิ้งก็ตรงกัน ตัวอย่างเช่นบทแรก ว่า “ยะ อานักกู จะฮายะมาตา ลามาละห์ บุนดา มะนังคุง ราวัน เลียง มาลัม มาบุก บรจินตา สะบาเดะ บุลัน ติซาปุด อาวัน”
๑๒๑ ต้นฉบับใช้คำ “มวสัปดะ” มาจากคำศัพท์ แปลว่าตรัส
๑๒๒ ต้นฉบับใช้คำ “สังสาระ” แปลว่าทุกข์
๑๒๓ ต้นฉบับใช้คำ “คุณะ” แปลว่าคุณ ว่าประโยชน์
๑๒๔ ต้นฉบับใช้คำ “ตรก้อกก้อก—ก้อกก้อก”
๑๒๕ ต้นฉบับใช้คำ “ลักซะ” นะ  
๑๒๖ ต้นฉบับใช้คำ “ตรจังงัง – จังงัง”
๑๒๗ ต้นฉบับใช้คำ “มานิก – มานิก”
๑๒๘ มะงุมบาราก็ใช้ ใน พ.ร.น. อิเหนา มะงุมมะงาหรา
๑๒๙ ต้นฉบับใช้ว่า “ระฮาสิยะ”
๑๓๐ เทวดา ใน พ.ร.น. อิเหนา ปะตาระกาหรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มิถุนายน 2567 19:08:57 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 กันยายน 2567 16:52:04 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

ที่หนีไปนั้นออกทางหลังเมือง ตามทางเข้าสู่ป่าดงพงชัฎ มิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และมิได้สำนึกตนอีกต่อไป เดิรไปโดยไม่หยุดหย่อนเช่นนั้น มิช้านานก็รุ่งสว่าง ดวงพระสุริยฉานส่องแสงต้องยอดบรรพต และบุรุษย์เหลือบเห็นวงพักตรอันใสสว่างแห่งคู่รักยอดสวาทฉนั้น

ไก่ป่าขันเจี้อย กะก้อกก้อก - ก้อกก้อก ดังจะแจ้งให้ทราบว่ารุ่งรางสว่างแล้ว น้ำค้างย้อยหยาดเยือกเย็น ดังจะให้คำเตือนเขาลึกถึงกระดูก ครั้นสว่างแล้ว จันตะหรา กิระหนา จึงตระหนักว่าที่เดิรทางมานั้นตกอยู่รวางครึ่งทางไปกรุงกุรีปั่น จึงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก พลางตรัสว่า “แนะ ลุงมนตรี ณ บัดนี้เรามาหยุดที่นั้เถิด ด้วยตรงนี้ใกล้ทางเดิรไปยังนครกุรีปั่น”

ลุงมนตรีนั้นทูลว่า “ที่ตรัสนั้นถูกแล้ว เจ้ากู๑๓๑ ลุงนี้ก็ทราบอยู่เหมือนกันว่าเป็นทางไปสู่สถานขององค์อุอันดา๑๓๒สังระตู”

จึงหยุดลง ณ ที่นั้นพร้อมกัน แล้วก็จัดสร้างเรือนหรือพลับพลาปะสังคราหัน๑๓๓ขึ้นพอสมควรตามรับสั่งของกาหลุ จันตะหรา กิระหนา

ครั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จึ่งก้าหลุจันตะหรา กิระหนาตรัสว่า

“ลุงมนตรี ถ้าลุงสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นี้สักเมืองหนึ่งจะดี ด้วยข้านี้ใคร่จะเป็นราชาครองเมืองอยู่ที่นี่”

มนตรีนั้นก็สุขจิตต์ยินดี แต่เต็มไปด้วยความพิศวงสงสัยในอันฟังตรัสดังนั้น แล้วก็ช่วยกันจัดการสร้างเมืองขึ้นณที่นั่น ในจำนวนคนเหล่านั้นบ้างก็ตัดฟันโค่นต้นไม้ บ้างก็กลับปลูกต้นไม้ขึ้นใหม่ให้ได้ระเบียบงามดี และล่วงไปมิช้านาน เมืองก็ตั้งขึ้นอย่างสง่างดงาม รูปทรงแห่งนครนั้นดีนัก เป็นเมืองใหญ่อันไพจิตรและเต็มไปด้วยเครื่องแต่งเครื่องประดับนานา

ครั้นสำเร็จเสร็จสรรพแล้ว ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ทอดพระเนตรเห็นของวิจิตรงดงามนั้น ๆ ก็ทรงสุขจิตต์ชื่นชมโสมนัศและเริงหทัยสุดประมาณ พลางยิ้มและสรวลตริในหฤทัยนางว่า “บัดนี้เมืองก็ได้ตั้งขึ้นอย่างสมควรและกว้างขวางพอแก่การแล้ว มา เราจะเป็นราชาครองเมืองนี้เพื่อจะปล้นตีชิงไพร่ฟ้าประชาชนชาวกุรีปั่น ถ้าจะต้องตายณที่นี้ก็ยิ่งชอบใจ๑๓๔

คิดดังนั้นแล้วเสวยโภชนาหารและเครื่องดื่มด้วยความสนุกสนาน มิช้านานตวันก็ดับลับลง นางก็เข้าที่ไสยาศน์ด้วยหทัยเริงรมย์ระคนกับประหวั่นหวาด ครั้นรุ่งเช้าตีดวงรวีไขแสงจรัสหล้า เหล่าชาวนครนั้น ก็พากันตื่นนอนด้วยสุดจะทนฟังเสียงเสือเนื้อกวาง และวิหคในอารัญประเทศ ซึ่งส่งเสียงอึกทึกครึกโครมกำปนาท ด้วยนครนั้นทั้งเบื้องซ้ายเบื้องขวาจรดป่าอันทึบใหญ่ ฝ่ายจันตะหรา กิระหนาก็บรรธมตื่นขึ้นด้วยทุกขจิตต์ แล้วก็ไปสรงน้ำในสวน ซึ่งมีนามว่าตาหมันบุษบะราวัน อันนางได้จัดทำขึ้นเองอย่างสง่างาม มีเกนบาหยันและเกนส้าหงิดตามเสด็จ ครั้นสรงเสร็จแล้วก็เสด็จกลับ นางสาวสรรกำนัลในทั้งหลายก็ช่วยกันก่อไฟต้มน้ำหุงอาหาร ครั้นเสร็จก็เสวย ๆ แล้วนางจินตะหรากิระหนา ก็เสด็จเข้าสู่ตำหนัก แล้วก็แต่งองค์ทรงเครื่องแปลงเป็นชาย รูปทรงวงพักตรงามดุจเทวาลงมาจากโลกสวรรค์ แล้วเหน็บกริสก็ยิ่งเพิ่มความงามรูปโฉมหาที่บกพร่องมิได้ ครั้นทรงเครื่องอย่างชายแล้วก็เสด็จออกบทจรไปยังที่สาวสรรกำนัลในนั้น ๆ ตรัสด้วยกับมหาเดหวี สรวลเสเฮฮา ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาดำเนินช้า ๆ แล้วก็ไปประทับยืนอยู่ท่ามกลางนางกำนัลนั้น ๆ มหาเดหวีก็ดี นางกำนัลทั้งปวงก็ดี หารู้จักจำได้ไม่ สงกาคาดว่าเป็นองค์ปะตาระชคัตนาถลงมาจากกะยาหงัน บางคนเห็นเข้าแล้วก็ใจเต้นใคร่จะถวายบังคมองค์ปะตาระชคัต ขอประทานพรให้อยู่เย็นเป็นสุข๑๓๕ บางคนก็อยากจะขอเครื่องรางกันภัย บางคนก็ใคร่จะขอให้กลับเป็นสาว หรือขอให้สังหยังปะตาระชคัต โปรดช่วยตนโดยประการต่าง ๆ ต่อเข้ามาใกล้นางสาวสรรกำนัลในนั้น ๆ เห็นทรงเครื่องอย่างชายยืนท้าวบั้นพระองค์ และหัตถ์กุมกริสอยู่จึงดูออกว่านี้คือ จันตะหรา กิระหนา นางกำนัลทั้งหลายนั้นก็ชื่นชมยินดีเปล่งอุทานว่า “ข้าทั้งปวงพากันคิดว่าองค์ปะตาระชคัตเสด็จลงมา มิได้ทราบเลยว่าเจ้านายทูลหัวของข้านี้เอง”

มหาเดหวีได้เห็นความเป็นไปของพระบุตรีดังนั้นก็สุขจิตตปราโมทย์ ตรัสว่า “ลูกแม่ช่างฉลาดแปลงกายจริงเทียว แม่คิดว่าองค์สังหยัง บะตาระ”

ก้าหลุก็แย้มสรวล และพยักพักตรตรัสว่า พระมารดากับพี่เลี้ยงทั้งหลายกับทั้งลุงมนตรี บรรดาที่อยู่ ณ ที่นี้ ข้านี้ได้แปลงตัวแล้ว ด้วยแต่วันนี้ไปจะเปลี่ยนชื่อมิให้ใครรู้ว่าข้านี้เป็นหญิง ขอให้ลุงมนตรีกับทั้งพระมารดาและทั้งหมดด้วยกันรักษาความลับของข้านี้ไว้ให้มั่นคงบริสุทธิ๑๓๖ ด้วยใคร่ใช้ชื่อผู้ชาย แต่นี้ไปให้เรียกนามข้าเจ้านี้ว่าปันหยีสะมิหรัง อัสบารัน ตะกะ”

ครั้นปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะใช้นามดังนั้นแล้ว นางกำนัลพี่เลี้ยงและมหาเดหวีก็ยินดีปรีเปรมทั่วกัน ส่วนชายทั้ง ๔ มนตรีและเสนานั้นตรัสสั่งให้กลับ ทั้งสี่นั้นก็กลับคืนยังนคร และรักษาระหัสความลับของปันหยี สะมิหรังนั้น มิได้แพร่งพรายให้ล่วงรู้ถึงใครแม้แต่สักคนหนึ่งเลย ด้วยมีความสงสารนัก ครั้นไปถึงกรุงดาหาแล้ว แม้แต่องค์สังระตูก็มิได้ทูลให้ทรงทราบ การณ์เป็นดังเช่นกล่าวนี้แล

ฝ่ายว่านางกำนัลของปันหยี สะมิหรัง อัสมารัน ตะกะ สองคน ผู้มีนามว่าเกนบาหยัน และ เกนส้าหงิดนั้น เมื่อเจ้านายได้ทรงเครื่องอย่างชายแล้วด้วยความโปรดปรานยิ่งนัก จึงได้ประทานเครื่องแต่งตัวอย่างชายด้วย ครั้นแต่งตัวเป็นชายแล้วรูปร่างก็สวยงามดีไม่มีที่บกพร่อง แล้วทั้งสองนั้นก็แปลงนาม ผู้ที่ชื่อเกนบาหยัน ได้นามว่า กุดาประวีระ ผู้ที่ชื่อเกนส้าหงิดนั้น ก็ได้นามว่ากุดา๑๓๗ปะรันจา นามทั้งนี้ได้ลักษณะสมกับตัวคนนั้น ๆ ครั้นแล้วปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะจึงกล่าวว่า “แนะ กุดาประวีระ และกุดาปะรันจา อันตัวท่านทั้งสองนั้น ต้องเป็นทหารเอกของเรา ท่านจงอยู่เฝ้าประตูเมืองเรา และใครเดิรผ่านมาก็จงปล้นตีชิงเสียทุกคนไป ถ้าคนชาวกุรีปั่นจะเดิรผ่านไปดาหา ท่านจงตีชิงทรัพย์สินลูกเมียและของมื้อซื้อกินเสียสิ้น เสื้อผ้าก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาพาเอาลูกเมียมาด้วยไม่แต่ที่หน้าตาดีเท่านั้น ก็งหน้าตาจะน่าเกลียดก็ชิงเอามาให้เรา ยิ่งเป็นสาวพรหมจารียิ่งดี แต่ถ้าเป็นคนชาวกากะหลัง ท่านจงอย่าปล้นจงไต่สวนสอบถามแต่ชื่อเสียง และนามเมืองของเขาเท่านั้น”

กุดาประวีระ และกุดาปะรันจา รับ ๆ สั่งเจ้านายของตนดังนั้นแล้ว ก็เดิรไปยังประตูเมือง ถืออาวุธครบมือ รูปร่างองอาจงามดี ครั้นถึงจึงหยุดนั่งลงที่ธรณีประตู ใครเดิรผ่านมาก็เข้าปล้นตีชิงสิ้น ไม่มีอไรเหลือ แม้แต่ของกินก็ชิงเอามา ในจำนวนคนนั้นๆ สั่งเอาตัวมาให้แก่ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ แล้วก็สั่งเอาตัวลงเป็นไพร่บ้านพลเมือง ใครยินยอมโดยดีก็อนุเคราะห์ด้วยเสื้อผ้าและให้กินให้ดื่ม ใครขัดขืนไม่ยอมก็ฆ่าเสียหรือจำคุก ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น จนมีคนเปนไพร่บ้านพลเมืองมากมาย ซึ่งพอใจอยู่ในบังคับของกะละหนา๑๓๘ ปันหยี สะมิหรังนั้น กุดาประวีระและกุดาปะรันจานั้นเก่งกาจ กล้าหาญมาก ถ้าจะต่อสู้สัตรูแล้วกิริยาเหมือนเสือจ้องจะตะครุบ คนชาวเมืองกุรีปั่นที่ตกเป็นไพร่พลเมืองของกะละหนาปันหยี สะมิหรังนั้นก็มากมายแล้ว จนเมืองนั้นแน่นหนาเอิกเริก เพราะย่อมเพิ่มจำนวนผู้คนพลเมืองมากขึ้นทุกที ด้วยกุดาประวีระ และกุดาปะรันจานั้น จะเป็นใครไม่ว่า เปนพ่อค้าลูกค้ามาถึงที่นั้นก็ตาม เป็นกุลี๑๓๙คนงานจากกุรีปั่นก็ตาม เป็นชาวชนบทที่จะ ไปซื้อไปขายของที่ตลาดนครกุรีปั่นก็ตาม ย่อมปล้นตีชิงเสียสิ้น ทั้งสิ้นค้าและผู้คนเอาเข้าเมืองและเอาลงเป็นไพร่บ้านพลเมืองนั้นสิ้น บรรดานักฟ้อนรำนักขับร้อง เช่นโขน๑๔๐ ลคอนวายัง๑๔๑ จากกรุงกุรีปั่นซึ่งจะไปเที่ยวเร่เล่นในกรุงดาหา เดิรมาถึงที่นั้น ด้วยไม่มีทางอื่นจะเดิรนอกจากทางที่ผ่านตรงนี้เท่านั้น เพราะทางนั้นเป็นทางข้ามทางเดียวจากดาหาไปกุรีปั่น และเป็นทางตรงดังปล้องไม้ซาง เมื่อประสพกับทหารเอกผู้เก่งกาจกล้าหาญทั้งสองนั้นเข้า ก็ถูกยึดแขนและถามว่า “เฮ้ย ช่างขับ ช่างฟ้อน จงหยุดก่อน กูนี้ใคร่จะถามว่าพวกเจ้านี้จะไปไหนและมาแต่ไหนกัน”

ช่างขับ ช่างฟ้อน และนักดนตรีนั้น ๆ ก็ตอบว่า พวกเขาทั้งหลายนั้นมาแต่กุรีปั่นจะไปยังกรุงดาหา

กุดาประวีระจึงว่า “เฮ้ย นักดนตรี ช่างฟ้อนช่างขับของมึงนั้นยอมยกให้แก่เราเสียดีๆ เถิด กูจะเอาตัวไปเป็นทหารของนายกู เครื่องแต่งตัวฆ้องกลองระนาดของมึงก็เอามาให้หมด ต่อเมื่อเอาเข้าไปส่งถึงในวังเสร็จหมดแล้ว มึงจึงจะเดินทางต่อไปยังดาหาได้ ถ้ามึงไม่ให้สิ่งของฆ้องกลอง มึงจะไม่ไปถึงดาหาได้ กูจะฆ่ามึงเสียแน่ ๆ เทียว”

พวกนักดนตรีช่างขับช่างฟ้อนได้ฟังคำกุดาประวีระและกุดาปะรันจาดังนั้น บ้างก็ตกใจกลัวตัวสั่น บ้างก็กล้าคิดจะต่อสู้กับทหารเอกทั้งสองนั้น จึงเกิดการกาหลอลหม่านอึกทึกครึกโครมสุดประมาณ ที่กล้าหาญก็เข้าต่อสู้กับกุดาประวีระ ที่ขลาดกลัวก็ทิ้งฆ้องกลองและเครื่องเล่นวิ่งหนีไป ทั้งนี้เสียงเอะอะโกลาหลกึกก้อง คนครึ่งจำนวนถูกกุดาปะรันจาจับได้แล้วคุมตัวเข้าไปส่งในวัง มิช้านานบรรดานักดนตรีช่างขับช่างฟ้อนเหล่านั้นก็ยอมแพ้หมด เพราะไม่สามารถทนต่อสู้กับกุดาประวีระ กุดาปะรันจานั้นได้ แล้วก็พาเอาตัวบรรดานักดนตรีนักร้องโขนลคอนเหล่านั้นเข้าไปถวายเจ้านายแห่งตน คือปันหยีสะมิหรัง ผ่ายปันหยี สะมิหรัง ก็ชื่นชมสุขจิตตนัก สั่งให้ปล่อยคนทั้งหมดนั้นหลุดพ้นจากผูกมัด พลางตรัสว่า “เฮ้ย เหล่าช่างขับช่างฟ้อน จงมาอยู่ในนครของกูนี้เถิด เป็นไพร่บ้านพลเมืองในบังคับเรา ๆ จะให้ของกินของดื่มและเสื้อผ้าแก่พวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าไม่เอาอย่างว่านี้ กูจะให้ทำโทษหรือมิฉนั้นก็ฆ่าเสียสิ้น”

คนเหล่านั้นกลัวด้วยความกลัวอย่างแสนสาหัศ ก็ก้มศีรษะรับแต่เต็มด้วยความพิศวงอัศจรรย์ใจในอันเห็นราชานั้นรูปร่างเหมือนสังหยัง มะตาระ จึงเกิดความรักขึ้นในใจ และอ่อนน้อมยอมตนเป็นข้าในปกครองของปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะนั้น แต่เวลานั้นมาเมืองใหม่นั้นก็เอิกเริกมโหฬารไม่เงียบเหงาอีกต่อไปไม่ว่ากลางวันกลางคืน ทุก ๆ คืนปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ สั่งให้โขนลคอนและระบำตลก บรรดาที่ได้อ่อนน้อมสวามิภักดิแล้วนั้น เล่นให้เป็นที่รื่นเริงสนุกสนาน คนเหล่านั้นได้รับ ๆ สั่งแล้วก็เล่นอย่างเอิกเริก ทั้งนี้ด้วยเทวานุภาพหากบันดาลนั้นแล

มากาลครั้งหนึ่ง ชาวเมืองมันตาหวันใคร่จะไปค้าขายณเมืองกากะหลัง ชนเหล่านั้นจึงเดิรมาถึงยังที่นั้น พอมาถึงที่ตรงครึ่งทางก็เห็นประตูเมืองอันหนึ่งจึงอัศจรรย์ใจมิใช่เล่น เต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย ด้วยแลไปทางโน้นทางนี้ก็ไม่เห็นมีทาง

คน ๆ หนึ่งในพวกนั้น จึงกล่าวว่า “นี่จะว่าอย่างไรกันไม่เห็นมีทางต่อไป มา เราพากันเข้าไปในเมืองเถิด เพื่อขออาศัยทางเดิร”

เพื่อนเขาคนหนึ่งจึงว่า “ที่แกว่านั้นถูกต้องแล้ว”

จึงพากันเดิรไป พอถึงประตูนั้นใกล้ต้นไทรสองต้น ก็มีชายคนหนึ่งถืออาวุธครบมือสั่งให้หยุด พูดว่า “พวกมึงหยุดก่อน เปิดเสื้อผ้าของมึงออก วางของเดินทางลง เอาของกินมาให้กูให้หมด ถ้าไม่ให้กูจะฆ่ามึงเสียให้หมดเดี๋ยวนี้ กูจะปล้นตีชิงมึงแจ้งๆ ดังนี้”

ชาวมันตาหวันจึงว่า “เฮ้ย อ้ายคนร้ายนักปล้น พวกกูนี้มาแต่มันตาหวัน จะไปค้าขายที่เมืองกากะหลัง ถ้าให้ทรัพย์สินค้าแก่มึงเสียหมดแล้ว พวกกูจะไปทำอะไรได้”

กุดาประวีระตอบว่า “ถ้าให้เสื้อผ้าและของกินของมื้อที่กูปรารถนานั้นแก่กูก่อนแล้ว พวกมึงก็ไปได้”

ชาวมันตาหวันก็โต้ว่า “เฮ้ย อ้ายปล้น เรามาสู้กันก่อนสิ ถ้ามึงชนะ มึงก็เอาของ ๆ กูได้”

กุดาประวีระ และกุดาปะรันจาก็โกรธอย่างสาหัศ พลันชักอาวุธออกฟันทางโน้นทางนี้ ขณะนั้นก็เกิดการโกลาหลอึกทึก ด้วยทหารเอกทั้งสองนั้นดุร้ายเข้มแข็งน้ก ฟันซ้ายเหวี่ยงขวา ใครเห็นก็ต้องหวาดเสียวสดุ้งกลัวและเข็ดขาม ในจำนวนคนทั้งหลายนั้นมีบางคนเพียงแต่เห็นรูปร่างทหารเอกเท่านั้นก็กลัวเสียแล้ว พวกชาวมันตาหวันนั้นทนทหารเอกทั้งสองไม่ไหวก็พ่ายหนีระส่ำระสายไป กุดาประวีระ และกุดาปะรันจาก็เอาของสินค้าและของกินได้หมด บางคนในจำนวนพลเมืองมันตาหวันนั้นรีบวิ่งหนีไปทูลข่าวแก่ราชาของตน บางคนก็ถูกจับแล้วเอาตัวเข้าไปในวังกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง สั่งเอาลงเป็นพลเมือง จนสิ้นจำนวนชาวมันตาหวันนั้น ๆ เรื่องราวมีมาเป็นประการดังนี้แล

บัดนี้จะกล่าวถึงพวกชาวมันตาหวัน ซึ่งหนีกระจัดกระจายระส่ำระสายไป เพราะถูกทหารเอกผู้กล้าหาญปล้นตีและไม่สามารถจะทนต่อสู้ต้านทานอยู่ได้อีกนั้น หนีมาแล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในเมืองเพื่อจะร้องทุกข์ต่อราชาแห่งตน กิริยาราวกับถูกเสือดุร้ายไล่และทิ้งเพื่อนไว้ให้ถูกจับแล้วตนเองหนีเอาตัวรอด แล้วก็เข้าไปเฝ้าราชาแห่งตนในวังด้วยหายใจหอบซวน ก้มศีรษะถวายบังคมแล้วทูลแถลงข้อความเรื่องที่ถูกคนร้ายสองคนผู้ดุร้ายเข้มแข็งปล้นนั้น ชิงเอาทรัพย์สินไปเสียจนสิ้นเชิง และบางคนก็ถูกจับเอาตัวไว้แล้ว ครั้นท้าวมันตาหวันได้ทรงฟังข่าวดังนั้นก็ทรงพิโรธโกรธกริ้วแรงกล้า จึงตรัสสั่งให้เรียกชุมนุมรี้พลมนตรีเสนาดะหมังตำมะหงงณกาลนั้น เพื่อจะไปรบกับกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ครั้นพรักพร้อม และจ่ายปืนปิสตอล๑๔๒ และอาวุธต่าง ๆ ครบครันแล้ว ก็ยกพหลพลโยธีมันตาหวันอันเป็นจำนวนมากนั้นไปด้วยอาการอันเอิกเริกพรรฤกครึกโครม ด้วยว่าดุริยดนตรีต่าง ๆ คือฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย กลอง และฆ้องโข่งนั้นก็ตีประโคมเรื่อยไม่หยุดหย่อน ทั้งเสียงคนเรียกร้องตะโกนกันเซงแซ่ไม่ขาดสายตลอดทางที่เดิรไปเมืองปล้นนั้น มิช้านานก็ไปถึงที่หนึ่งใกล้ประตูเมืองนั้น แล้วก็ตะโกนไปว่า “เฮ้ย กุดาประวีระ และกุดาปะรันจา อยู่ไหนเล่า เจ้านายของมึงที่ชื่อ กะละหนา ปันหยี สะมิหรัง และเลื่องชื่อฦๅชานั้น ไปเรียกออกมารบกันกับพวกกู กูจะจับมันมัดเสียอย่างง่ายดายเทียว”

ครั้นแล้วกุดาประวีระและกุดาปะรันจาก็เหลือบเห็นไพร่พลมันตาหวันมามากมายไม่มีประมาณ จึงกุดาปะรันจา โกรธยิ่งนักจนสีหน้าแดง

กุดาประวีระก็ตอบด้วยความโกรธว่า

“เฮ้ย รี้พลมันตาหวัน เจ้านายของมึงอยู่ไหน กูนี้และคือคู่ต่อสู้ของมึงทั้งหมดด้วยกัน มาสู้รบกับกูก่อน ต่อเมื่อกูแพ้ เจ้านายของกูจึงจะออกมารบกับพวกมึง”

ทั้งสองฝ่ายต่างก็เกรี้ยวกราดโกรธกริ้ว เดิรเข้าผจญกัน เสียงตวาดตะโกนข่มขู่ซึ่งกันและกันสนั่นหวั่นไหว ระคนกันไปกับเสียงฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง และระนาดทอง ซึ่งตีประโคมอึกทึกกึกก้องไม่หยุดหย่อน แล้วก็ต่อสู้กันด้วยแทงพุ่ง แทงทิ่ม และตีกันแต่ในการสู้รบนั้น กุดาประวีระและกุดาปะรันจาสองคนนั้น มีท่วงทีท่าทางเป็นกิริยาสตรี คือว่ามือไม่ปล่อยจากยึดหน้าอกเสื้อเสียเลย ดูประหนึ่งเกรงว่าเสื้อจะเปิดแล้วคนจะเห็นว่าเป็นหญิง ถ้าเห็นดังนั้น แน่เทียว ความลับก็จะเปิดเผยขึ้น แล้วก็จะต้องได้อาย จึงพยายามจนสุดสามารถที่จะปิดไว้ซึ่งระหัส ความลับสองผลณอุระประเทศ เพื่อมิให้ใครเห็นแจ้งในขณะนั้น กุดาประวีระเข้ากระทบกันกับดะหมัง ฝ่ายกุดาปะรันจากระทบกับตำมะหงง แล้วก็พุ่งหอกพุ่งดาบทิ่มแทงซึ่งกันและกัน เมื่อดะหมังมันตาหวันชักกริสจากฝักเพื่อจะแทงอก กุดาประวีระก็รับไว้ด้วยปลายกริส แล้วก็แทงตอบไป แต่ผิด ฝ่ายกุดาปะรันจาก็เช่นกัน เมื่อตำมะหงงเอาไม้ตีที่หน้าอก ก็รับไว้แล้วโดดถอยไปข้างหลัง ถ้าตีข้างขวาก็โดดไปเบื้องซ้าย เมื่อจะจับและตีทางเบื้องซ้ายก็โดดหลบไปข้างขวา ทหารเอกทั้งสองสู้รบอยู่อย่างนี้ด้วยอาการอันฉับไวและน่าสพึงกลัวเสียงสนั่นพรรฤกสุดประมาณ รี้พลมันตาหวันก็พินาศ๑๔๓ไปมากหลาย เพราะถูกกุดาปะรันจาฟันและเพราะแผลถูกปลายกริสปลายมีดดาบเครื่องรบนั้น ที่แขนขาดนิ้วด้วนก็มาก บ้างก็ขาหักเข่าเคลื่อนเดิรไม่ได้ เพราะถูกตีถูกตัดจากพวกของตนเอง และที่พินาศไปด้วยเหตุประการอื่นๆ ก็มาก

กุดาปะรันจา และกุดาประวีระนั้นก็สู้รับแทงกันดะไปกับดะหมังและตำมะหงง ถ้อยทีโดดหนีไล่ตีฟัน ไม่นานดะหมังนั้นก็ทนสู้กุดาประวีระไม่ไหวเช่นเดียวกัน ตำมะหงงก็ทนสู้กุดาประรันจาอยู่ไม่ได้ แท้จริงทหารเอกทั้งสองนั้นก็เป็นเพียงสตรีเพศ แต่หากเก่งกาจกล้าหาญยิ่งไปเสียกว่าชาย ขณะนั้นกุดาประวีระแทงพุ่งถูกอกดะหมังโลหิตตกกระจายราวกับรินเท ฝ่ายตำมะหงงรบกับกุดาปะรันจา เวลานั้นกระโดดพลาดจึ่งถูกคู่ต่อสู้เตะม้วนกลิ้งล้มลงยังพื้นพสุธา กุดาปะรันจาก็รุกเข้าแทงถูกท้อง ตำมะหงงปัดป้องไม่ทันก็ถูกแทงที่ท้องตาย โลหิตไหลกระจัดกระจายไส้ทะลักออกนอกท้อง จึงดะหมังและตำมะหงงมันตาหวันม้วยมรณด้วยถูกทหารเอกทั้งสองนั้นฆ่า ครั้นรี้พลมันตาหวันเห็นดะหมังและตำมะหงงถูกทหารเอกทั้งสองนั้นฆ่าเสียชีพไปแล้วดังนั้น ก็ออกวิ่งหนีตลีตลานระส่ำระสายไปทางโน้นทางนี้ การสู้รบนั้นก็เป็นอันยุติลงเพียงนั้น

กุดาประวีระกับกุดาปะรันจาก็ปรีเปรมเกษมสันต์และทันใดนั้นก็ไล่ต้อนพลมันตาหวันไป ที่จับได้มัดไว้ก็มี บ้างก็วิ่งหนีเข้าป่าไป บ้างก็ยังซื่อสัตย์ภักดีต่อดะหมังและตำมะหงง เต้นโลดไปมาอย่างคลั่งไคล้ไร้ประโยชน์เสียเปล่า แล้วในที่สุดก็ถูกจับหรือใครไม่ยอมให้จับก็ถูกฆ่าสิ้น

แต่ก็ยังมีที่มีความคิดยาวไกล ใคร่ไว้ชีวิตรเอาตัวรอด ก็วางอาวุธยอมแพ้เสียโดยดี ที่ยอมแพ้แล้วแต่ขอให้ฆ่าตนเสียก็มี เพื่อมิให้ต้องอยู่ทนบาดแผลและความเจ็บปวดที่ขาแขน หรือที่ศีรษะหรือที่อื่น ๆ ซึ่งได้รับในเวลาสู้รบกันนั้น ผู้รจนาเรื่องนี้กล่าวว่าในเวลานั้นบรรดารี้พลมันตาหวันตกเป็นเชลยและถูกจับมัดไว้สิ้น กุดาประวีระ กุดาปะรันจาก็ชื่นชมโสมนัศยิ่งนัก จึงพาตัวเชลยพลมันตาหวันทั้งนั้นเข้าไปเฝ้าถวายแด่กะละหนา ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะนั้น บ้างก็มัดเท้ามัดมือ บ้างก็ปล่อยไว้มิได้มัด รี้พลมันตาหวันที่พาเข้าไปเฝ้ากะละหนา ปันหยี สะมิหรังนั้นเป็นจำนวนมากมายสุดประมาณ ครั้นไปถึงวัง ปันหยี สะมิหรังนั้นกำลังประทับอยู่เหนือสุวรรณสิงหาศน์๑๔๔งามราวกับอินทราธิราช๑๔๕ แต่พอพลมันตาหวันเห็นพระราชาซึ่งยังทรงเยาววัย งามปลั่งกระจ่างดังแสงตวันฉนั้น ก็น้อมศิโรตน์ถวายบังคมพร้อมทั่วหน้ากันถึงเจ็ดคาบ แทบธุลีบาทบงกชกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง นั้น ปันหยี สะมิหรัง ก็สุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก พลันเสด็จลงจากสิงหาศน์ หัตถุ์กุมฝักกริสพยักพักตร์ยิ้มลไมในทีอย่างอ่อนหวาน แม้กระทั่งผู้ซึ่งเป็นบุรุษเพศได้ทอดทัศนาก็เว้นไม่ได้ที่จะกำหนัดกระศัลย์พรั่นใจ.

ปันหยี สะมิหรังตรัสแก่กุดาปะรันจาว่า “แนะ กุดาปะรันจา บัดนี้ท่านจงปล่อยรี้พลเหล่านี้ให้หลุดพ้นจากผูกมัดพันธนาการเถิด ด้วยเขาได้ยอมตนสวามิภักดิ์แก่เราแล้ว เราจะให้เป็นพลเมืองในปกครองของเรา แล้วเราให้เครื่องอุปโภคบริโภคให้พอเพียง”

พวกรี้พลมันตาหวันได้ฟังตรัสดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัศทั่วหน้ากัน จึงทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งปวงนี้ยินดีได้เจ้านายเป็นพระราชาที่งามเลิศกล้าหาญมีอิทธิฤทธิฦๅชา๑๔๖ เป็นกระษัตริยชาตินักรบทรงพระคุณวุฒิ๑๔๗ เห็นปานนี้ พระเจ้าข้า”

ครั้นกุดาประวีระ กุดาปะรันจา ได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงแก้เชือกที่ผูกมัดรัดรึงปล่อยพลมันตาหวันนั้น ๆ สิ้น ครั้นปล่อยแดัวพลมันตาหวันทั้งนั้นก็น้อมเกล้าบังคมบาทกะละหนาผู้เยาว์นั้น ครั้นถวายบังคมแล้ว กะละหนา ปันหยี สะมิหรังนั้นก็ประทานอาหาร และของมีกลิ่นหอมจรุงจรวย และตรัสให้ประกอบการรื่นเริงบันเทิงใจทั่งทิวาราตรีกาลไม่หยุดยั้ง และให้บรรเลงดุริยดนตรีเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งโขนลคอนก็เล่นไม่หยุดหย่อน เพื่อให้เป็นที่ร่าเริงบันเทิงใจแก่พวกรี้พลนั้น ๆ ฝ่ายพลมันตาหวันทั้งปวงก็คล้อยตามสนุกสนานเริงใจระคนไปกับพวกพลเมืองของกะละหนาผู้เยาว์นั้น ยินดีปรีดาเป็นข้าของกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ด้วยได้รับความเบิกบานบันเทิงใจ และได้รับแจกเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอย่างงาม ๆ

เพราะเหตุไพร่บ้านพลเมืองของกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง นั้นมีจำนวนมากขึ้นแล้ว จึงจัดตั้งปาติ๊ห์๑๔๘ บูปาติ๊๑๔๙ ขึ้น และที่ทรงอนุเคราะห์๑๕๐ขึ้นไว้ในตำแหน่ง ยศชั้นดะหมังก็มี ที่ตั้งไว้ในยศตำมะหงงก็มี ทั้งหมดนี้เป็นพลเมืองมันตาหวัน เมืองดาหาและกุรีปั่นซึ่งสวามิภักดิ์เป็นข้าแล้ว ส่วนเครื่องดุริยางค์ดนตรีก็มีอยู่พร้อมเพรียง ด้วยที่ตีชิงมาได้ก็มาก นักขับนักฟ้อนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนอกจากที่ได้จับไว้แล้ว ยังมีที่มาขอเป็นไพร่บ้านพลเมืองนี้ด้วยยินดีสมัครเอง ครั้นได้วางระเบียบตามแบบอย่างราชประเพณีพร้อมมูลแล้ว ปันหยี สะมิหรัง จึ่งตรัสแก่กุดาประวีระและกุดาปะรันจาว่า “แนะ ทหารเอกทั้งสองของเรา บัดนี้จะว่ากระไรต่อไป เราใคร่จะให้ราชามันตาหวันอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่เรา มาเถอะ เราจงไปจับราชานั้น ทั้งไปรบและปล้นเมืองนั้นเสียด้วย เพื่อเราจะได้ขึ้นบังลังก์ครองเมืองมันตาหวันนั้น ถ้าไม่ยอมยกเมืองให้แก่เรา ๆ ก็จะฆ่าเสีย ถ้ายอมแก่เราโดยดี และต้อนรับเราด้วยความเคารพ ก็ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”

กุดาประวีระฟังตรัสปันหยี สะมิหรัง ดังนั้น ก็ยินดี จึงทูลว่า “ดีแล้ว เจ้ากู ข้าพระองค์จะได้ประชุมรี้พลสกลไกรในวันเช้าพรุ่งนี้ให้พร้อมเพรียงเพื่อการประยุทธ”

จึงกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ พยักพักตรพลางกุมกริสตรัสว่า “ดีแล้ว ในกาลวันนี้เจ้าจงไปบอกแจ้งแก่บรรดารี้พลพหลโยธา ดะหมัง ตำมะหงง ด้วยวันรุ่งพรุ่งนี้เช้าเราจะยกไป”

ครั้นแล้วกุดาปะรันจาและกุดาประวีระ ก็ก้มเกล้าบังคมกะละหนาผู้เยาว์นั้น ออกไปที่ชุมนุมมนตรี ดะหมัง ตำมะหงง แถลงข่าวให้ทราบทั่วกัน บรรดารี้พลมนตรี ดะหมัง ตำมะหงงนั้นๆ ก็ยินดีปรีเปรมทั่วกัน แล้วก็บริโภคอาหารเครื่องดื่มด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ


-----------------------------------

๑๓๑ ต้นฉบับใช้คำ “ตวนกู”
๑๓๒ แปลว่า ราชปิตุลา
๑๓๓ คำ “ปะสังคราหัน” นี้มาแต่คำสงเคราะห์ เติม “ปะ” ข้างหน้า “อัน” ข้างหลัง ตามไวยากรณ์มะลายู กลายเป็น “ที่” คือที่สงเคราะห์ หมายความว่าที่พักคนเดิรทาง ปัจจุบันนี้ในชวายังคงเรียกเช่นนั้น เว้นแต่ที่ตั้งเป็นโฮเต็ลแล้ว
๑๓๔ ตอนนี้ทำฉงนว่าไม่มีข้อเกลียดชังกุรีปั่นอย่างไร เหตุไฉนจึงคิดร้าย ทั้งนี้หมายความว่าจันตะหรา กิระหนา อยากจะตาย จึงอยากจะยั่วให้กุรีปั่นส่งรี้พลมาปราบปรามแล้วตนจะได้ตายในที่รบ บางอาจารย์อธิบายอีกนัยหนึ่งว่าเพื่อจะยั่วให้อินูตามมารบจะได้พบปะกัน
๑๓๕ ต้นฉบับใช้คำ “มูราห เรสะกี” แปลตามพยัญชนะว่า ให้ได้อาหารประจำวันโดยสดวกดาย
๑๓๖ ต้นฉบับใช้คำ “สูติ” คือ สุทธิ
๑๓๗ คำกุดา ภาษามลายู แปลว่าม้า การที่เอามาใช้เป็นคำนำหน้าชื่อคงเป็นคำยกย่อง เช่นในสำนวนของเราว่า “บุรุษชาติอาชานัย” ฉนั้นใน พ.ร.น. อิเหนา ในจำนวนชื่อแปลงก็มีกุดานำอยู่หลายชื่อ เช่นชื่อพวกพี่เลี้ยงเป็นต้น อนึ่งชื่อย่าหรันที่มีใน พ.ร.น. อิเหนาก็มาจากคำภาษาชวา “ชารัน” แปลว่าม้าเหมือนกัน
๑๓๘ “กะละนะ” แปลว่าคนไม่มีสำนักหลักแหล่งหรือคนจรจัด ใน พ.ร.น. อิเหนา กะละหนา เป็นคนต่ำหรือชั่วช้า
๑๓๙ ต้นฉบับใช้คำ “กุลี กุลี”
๑๔๐ ต้นฉบับใช้คำ “โตเป็ง” แปลว่าลคอนใส่หน้ากาก
๑๔๑ ใน พ.ร.น. อิเหนาว่า “ว่าหยัง” คำว่ายังนั้น เรียกได้ทั้งลคอน หุ่น หนัง เติมคำแยกไปแต่ละอย่างเพื่อให้รู้ชัดว่าอะไร เช่นวายังวอง = ลคอนคน วายังโกเล็ก = ลคอนหุ่น วายังกุลิต = ลคอนหนัง ส่วนคำมลายู “ลาคอน” หรือ “ละลาคอน” แปลว่าเรื่องที่เล่น ไม่ใช่แปลว่าการเล่นหรือตัวลคอน
๑๔๒ ต้นฉบับว่า “เปสตอล” คือคำฝรั่ง ปิสตอล
๑๔๓ ต้นฉบับใช้คำ “บินาสะ”
๑๔๔ ต้นฉบับใช้คำ “สิงคะซานะ กะอามาซัน”
๑๔๕ ต้นฉบับว่า “มะตาระ อินดระ”
๑๔๖ ต้นฉบับใช้คำ “ประกาซา”มาแต่คำประกาศ
๑๔๗ ต้นฉบับใช้คำ “บูติมัน” บูดิ คือ พุฑฒิ, วุฒิ
๑๔๘ พ.ร.น. อิเหนา ปาเต๊ะ เสนา
๑๔๙ คือภูบดี ปัจจะบันนี้เป็นตำแหน่งเจ้าเมือง
๑๕๐ ต้นฉบบใช้คำ “อานุคราหะ”
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 กันยายน 2567 17:37:40 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

กุดาประวีระ และกุดาปะรันจาก็กลับเข้าเฝ้า เพลานั้นพนักงานก็เชิญเครื่องสังเวยมาตั้ง แล้วก็โปรดเลี้ยงอาหารเครื่องดื่มแก่บรรดาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นทั่วกัน อีกสักครู่หนึ่งพนักงานก็แจกจ่ายผลไม้ต่าง ๆ น้ำผึ้ง๑๕๑กับน้ำนมและน้ำหวานส่งไปโดยรอบที่ประชุมซึ่งกำลังสนุกสนานปรีเปรมเริงใจนั้น ครั้นเสวยแล้ววันก็พลบค่ำลง แสงบุหลันสว่างกระจ่างหล้า แสงดาราส่องใสแวดล้อมดวงศศิธรประหนึ่งว่าจะแทนที่แสงรวีวร อันโคจรหลบลับไปแล้ว ถึงเวลานั้นคนทั้งหลายที่อยู่ในที่เฝ้าต่างก็ทูลลากลับ ผู้ที่อยู่ในบริเวณวังก็กลับยังสำนักสถาน ฝ่ายดะหมัง ตำมะหงงและมนตรี ก็กลับสู่กะดะหมังงันกะตำมะหงงงันและกะมนตรีงัน๑๕๒ ส่วนรี้พลกลับยังสำนักอาศรัย

ในค่ำคืนวันนั้นปันหยี สะมิหรัง เสด็จออกไปสรงน้ำ มีแต่นางมหาเดหวีเท่านั้นไปด้วย ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทรแขไขจรัสดวงแวดล้อมไปด้วยปวงดารากร ก็อาวรณ์คนึงในถึงยามประทับอยู่ ณ กรุงดาหา พร้อมด้วยข้าหลวงสาวสรรกำนัลในนั่งเป็นแถว ผ่องแผ้วเบิกบานเล่นแสงเดือน พลางน้ำเนตรก็เคลื่อนไหลหลั่ง หวนรำฤกถึงความร้ายของท่านลิกู และก้าหลุอาหยังนั้น แล้วก็เจ็บแสบหฤทัยทุกขระทมอารมณ์ก็มืดมัวมนดังเมฆบัง แล้วก็ทอดถอนหทัยตรัสว่า “อุวะ๑๕๓เคราะห์กรรมของตัวเราผู้กำพร้าเป็นดังนี้และ”

ครั้นแล้วปันหยี สะมิหรัง ก็บทจรไปยังที่สรง ซึ่งล้อมรั้วด้วยศิลาสูง แล้วยังบังมิดชิดอีกชั้นหนึ่งด้วยต้นไม้ดอกเพื่อมิให้ใครเลยล่วงรู้ระหัสในข้อที่เธอเป็นสตรีเพศ ครั้นสำเร็จสูจิกรรม๑๕๔แล้ว ก็เสด็จกลับคืนเข้าสู่พระบุรี๑๕๕ เปลี่ยนภูษาภรณ์เป็นเครื่องทรงเพศหญิง สยายเกษาทาน้ำมันหวี และทรงแป้งอยู่ในห้องที่บรรธมนั้น อันประดับด้วยนานาบุบผาชาติ และองค์มหาเดหวีได้ทรงอบรมแล้วด้วยควันไม้หอมรื่นชื่นนาสา กลิ่นตระหลบไปทั่วห้องนั้น

ถึงยามดึกล่วงคืน ในวังนั้นก็เงียบสงัด จะได้ยินเสียงมนุษย์แต่สักน้อยหนึ่งเลยก็หาไม่ ยินแต่เสียงไก่ขันกะก้อกก้อก ก้อกก้อกอยู่ในไพร

กษณนั้นปันหยี สะมิหรัง ก็ทุกข์ระทมตรมตรอมชลเนตรไหลหลั่งลงกระทั่งปราง แลนางก็หยิบเอาตุ๊กตาทองคำของขวัญของคู่ตุนาหงัน ระเด่นอินู กะระตะปาตีนั้นขึ้นอุ้มชู ตุ๊กตานี้แลเป็นเครื่องปลอบหฤทัยนาง พลางก็เอาขึ้นแกว่งไกวร่อนโยน จนคลายหายทุกข์พลางก็กล่าวกล่อมเป็นคำกลอน ดังนี้.-

            มระปาตี๑๕๖เผือกคู่บินร่อน
            นกหนึ่งติดดักที่ครัว
            โชคดีลูกเราเยาว์อ่อน
            ใจสบายค่อยคลายมึนมัว
            นกหนึ่งติดดักใกล้ครัว
            บริหารเลี้ยงไว้จงดี
            ลูกแม่เพื่อนพลอดเพื่อนหวัว
            พ่อเจ้าอยู่ไกลธานี
            มระปาตีนกถูกดักนั้น
            ถูกดักที่ใกล้ต้นนุ่น
            กรตะปาตีพงศ์กุรีปั่น
            ลูกนี้แก้เศร้าซบซุน
            มระปาตีร่อนไปในอุธยาน
            จิกจับทับทิมรสดี
            กรตะปาตีคนพุฑฒิมาน๑๕๗
            ส่งมาแล้วซึ่งลูกหัวปี
            มระปาตีเสพย์ผลดะสีมะ๑๕๘
            หล่นลงยังเศละปถพี
            ส่งมาแล้วซึ่งบุตรปฐมะ๑๕๙
            ลูกอ่อนคนแรกของแม่นี้

ครั้นแล้วก็แกว่งไกว และกอดจูบตุ๊กตานั้นอยู่จนเพลาจวนปัจจุสมัยรุ่งสว่าง

แล้วนางก็เข้าบรรธม และในยามบรรธมนั้นมิได้ปล่อยตุ๊กตานั้นจากหัตถ์เลย ก่อนนั้นเอาวิสูตรมุ้งและม่านลงกั้นเจ็ดชั้น จนไม่มีใครมองเข้าไปเห็นที่บรรธมได้ ความเป็นไปของกะละหนา ปันหยีสะมิหรังในคืนนั้นมีประการดังกล่าวนี้แล

ครั้นรุ่งเช้ารี้พลสกลไกรทั้งปวงก็ตื่น และตระเตรียมเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อการที่จะไปทำศึกสงคราม และกุดาประวีระ กุดาปะรันจาก็แต่งกายอย่างชายเตรียมอยู่พร้อมแล้ว

ไม่ช้า ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ ก็บรรธมตื่นผลัดผ้าทรงเครื่องอย่างชายพร้อมสรรพ พิศดูรูปโฉมเหมือนกับบุรุษเพศแท้จริงเทียว ประทับยืนกุมด้ามกริสอยู่ครู่หนึ่ง ยามทรงแย้มสรวลก็ก้มพยักพักตรนิดหนึ่ง แล้วหุบโอษฐพอเห็นไรทนต์วาววับดังสายฟ้าแลบ

เมื่อทรงเครื่องอย่างชายเสร็จแล้ว ก็ไว้ท่าองอาจสง่าผ่าเผยลิลาศออกยังข้างนอก พร้อมด้วยกุดาประวีระกับกุดาปะรันจาตามเสด็จ

บรรดารี้พลสกลไกรดะหมัง ตำมะหงง ซึ่งชุมพลคอยเสด็จอยู่นั้น เมื่อเห็นพระราชาแห่งตนเสด็จมา ก็ก้มเกล้าบังคมคัล พลันกระทั่งเสียงดุริยดนตรีด้วยร่าเริงเบิกบานกมล

แล้วก็ยกพยุหโยธาเดิรออกจากนครมุ่งไปสู่กรุงมันตาหวัน ด้วยความประสงค์จะทำศึกสู้รบและปล้นเมืองนั้น และในรวางเดิรไปนั้นชาวประโคมก็ตีฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง และระนาดทองมิได้หยุดหย่อน ใครเห็นรูปโฉมปันหยี สะมิหรัง ก็ตกตลึงจังงัง บรรดาชาวบ้านร้านถิ่นก็กู่ร้องเรียกกันด้วยสำคัญว่าองค์ สังหยัง บะตาหรา เสด็จอวตารลงมาสู่โลกพิภพ

เดิรทางไปไม่ช้าก็ไปถึงยังซึ่งขอบนครมันตาหวัน

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูผู้ผ่านมันตาหวัน กษณนั้นกำลังประทับเหนือบัลลังกราชย์ด้วยความเศร้าสลดหทัย มีมนตรี ดะหมัง และตำมะหงง พร้อมทั้งเสนาข้าราชการจำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าที่นั่ง

ในเวลาอันกล่าวนี้ท้าวมันตาหวันตรัสว่า “แนะ มนตรี ดะหมัง และตำมะหงง บัดนี้จะว่าอย่างไรกัน ด้วยบรรดารี้พลมนตรี ดะหมัง และตำมะหงงอันไปทำศึกสู้รบสัตรูนั้นยังหากลับมาไม่ และมิได้ส่งข่าวคราวราวเรื่องเหตุการณ์ณที่นั้นมาเลย เรานี้เกรงเกลือกว่าจะไปพินาศแตกยับย่อยเสียแล้ว ด้วยตามกิติศัพท์นั้นว่า ราชาที่ผจญนั้น เป็นคนกะละหนา ซึ่งยังหนุ่มมาก มีนามว่าปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะเป็นคนเก่งกาจฦๅชา เป็นนักรบอันมีฤทธิเดช และฉลาดเข้มแข็งนักในเชิงยุทธ เราคิดว่าแน่เสียแล้ว จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือรี้พลมนตรีดะหมัง ตำมะหงงที่เราส่งไปทำสงครามกับสัตรูนั้น คงพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึก ถูกจับเป็นเชลยสิ้น เหตุฉนั้น จึงไม่มีใครกลับมาเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น เรานี้จะต้องไปสู้รบกับเขาเอง แต่ทว่าไปสู้รบเขาอีกเช่นนั้น แน่เทียวจะต้องเสียรี้พลดะหมังตำมะหงง พินาศยับย่อยไปอีก จะมีคุณประโยชน์อันใดเล่า”

เมื่อทรงดำริตริตรึกดังนั้นแล้ว จึงท้าวมันตาหวันตรัสต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว อย่าเลย หากกะละหนา ปันหยี สะมิหรังนั้นมาทำศึกประชิดเมืองเราเมื่อใด เราจะยอมตัวแก่เขาเสียโดยดี เพื่อไพร่บ้านพลเมืองจะได้คงอยู่ในสันติภาพ๑๖๐ เกษมสุขทั่วกัน”

ตำมะหงงนายหนึ่งทูลว่า “เจ้ากู เป็นความจริงถูกต้องแล้วตามข่าวนั้น ซึ่งว่ากะละหนานั้นมีนาม ปันหยี สะมิหรัง ยังเยาววัยอยู่มาก มีทหารเอกสองคน คนหนึ่งชื่อว่ากุดาประวีระ อีกคนหนึ่งชื่อกุดาปะรันจา ทหารเอกสองคนนี้กล้าหาญและมีฤทธิมากไปมีใครเลยที่จะต้านทานความเก่งกาจกล้าหาญของเขาได้”

กำลังปรีกษากันอยู่ดังว่ามานี้ และการปรึกษายังไม่ทันสำเร็จ บัดดลก็มีทนายของนายประตูวิ่งเข้ามาแถลงว่า มีกะละหนาคนหนึ่งมีนามว่าปันหยี สะมิหรังกำลังเดิรมาด้วยพร้อมรี้พล ใกล้จะถึงชานพระนครแล้ว มุ่งหมายจะเข้าจับองค์ระตูผู้ครองมันตาหวัน ท้าวมันตาหวันได้ทรงฟังทนายของนายประตูว่าปันหยี สะมิหรัง จะเข้าตีเมืองและจับพระองค์ดังนั้น ก็ตกพระหทัยสั่นระรัว ดำริว่า “ในกาลวันนี้และเราจะต้องพ่ายแพ้แก่กะละหนานั้น และถูกจับเป็นเชลย เพราะฉนั้นเราจะยอมยกบ้านเมืองให้แก่เขาเสียดีกว่า เพื่อไพร่ฟ้าประชาชนของเราจะได้อยู่โดยสันติภาพสวัสดีทั่วกัน”

ครั้นแล้วท้าวมันตาหวันจึงให้เขียนราชสาสนฉบับหนึ่ง ให้ดะหมังคนหนึ่งถือไป แถลงความที่ใคร่จะยอมยกเมืองเป็นเมืองออกใต้ปกครองของปันหยี สะมิหรังนั้น จึงดะหมังนั้นก็เชิญราชสาสนไป

มิช้านานก็ไปถึงและถวายราชสาสนนั้นแก่ปันหยี สะมิหรัง ๆ ก็เปิดผนึกออกอ่าน

ในลักษณแห่งสาสนนั้น แจ้งชัดว่าท้าวมันตาหวันปรารถนาแต่จะเอาชีวิตรรอดและยอมเสียสละแล้วทั้งบ้านเมืองและบุตรภรรยา

ปันหยี สะมิหรังก็โสมนัศยินดี พยักพักตรพลางแย้มสรวลยังให้วงพักตรนั้น อ่อนหวาน ใครยลก็ยวนใจ

ก็และอันท้าวมันตาหวันนั้น มิธิดาสององค์งามยิ่งนัก องค์พี่มีนามว่า บุษบา ชูวิต องค์น้องมีนามว่าบุษบา ส้าหรี๑๖๑

พระบุตรีทั้งสองนั้นทรงทุกขจิตตโศกศัลย์ประหวั่นหฤทัยดุจว่าเป็นยามถึงที่ตาย๑๖๒ ยิ่งประไหมสุหรีชายาของท้าวมันตาหวันนั้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก นางทรงกรรแสงพิไรรำพรรณไม่หยุดหย่อน ด้วยบ้านเมืองจะมาถูกโจมตีและปล้นสดมแก่มือกะละหนา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นเชื้อชาติวงศทางไหน บางทีจะสืบสายโลหิตจากคนโหดร้ายนักปล้นสดมหรือนักฆาฏกรรม ก็แต่ท้าวมันตาหวันนั้นเมื่อได้ยอมยกบ้านเมืองในปกครองแห่งตนให้เป็นเมืองออกแก่ปันหยี สะมิหรังสิ้นเชิงแล้ว บัดนี้ก็ใคร่จะสละประไหมสุหรีและบุตรีทั้งสองให้เป็นข้าของกะละหนาผู้เยาว์นั้นด้วย ข้อนี้แหละซึ่งเป็นเหตุโทมนัศทุกขโศกแก่พระบุตรีทั้งสองและประไหมสุหรีนั้น ด้วยมาสำคัญว่าในกาลวันนั้นและจะต้องจำพรากจากพระบิดา และประไหมสุหรีพรากจากสวามี๑๖๓ ขณะนั้นท้าวมันตาหวันตรัสสั่งให้ปาติ๊ห์พาพระบุตรีทั้งสองไปพร้อมทั้งพระมารดาของเธอนั้น จึงพร้อมกันขึ้นรถคันหนึ่งไป แล้วก็ให้เข้าไปทูลปันหยี สะมิหรัง ในกลางทางนั้นพระบุตรีบุษบาชูวิต และบุษบาส้าหรี กับทั้งพระมารดา ทรงกรรแสงมิได้หยุด จนกระทั่งนัยเนตรของพระบุตรีทั้งสองนั้นฟางและช้ำบวม เดิรไปไม่ช้าปาติ๊ห์นั้นก็ไปถึงหน้าที่นั่งปันหยี สะมิหรัง น้อมประนตบังคมคัลทูลถวายตามสั่งของท้าวมันตาหวัน คือถวายประไหมสุหรีกับธิดา พระบุตรีทั้งสององค์นั้น ตลอดเวลาที่สนทนากับปันหยี สะมิหรังนั้น สายตาของปาติ๊ห์มิได้หลุดไปจากเพ่งพินิจกะละหนาผู้เยาวนั้น ซึ่งสำคัญว่าเป็นมะตาหรา ชะคัต ลงมาสู่โลกพิภพ ประไหมสุหรีและพระบุตรีทั้งสองนั้นก็เช่นกัน ขณะนั้นปันหยี สะมิหรังก็แย้มสรวลพยักพักตร เนตรอันคมนั้นพลันเหลือบซ้ายแลขวา พิศรูปโฉมพระบุตรีทั้งสองพลันตรัสว่า “แนะ ลุงปาติ๊ห์ เราขอขอบพระหทัยพระราชาของท่านเปนอันมาก เราใคร่จะสนองพระคุณให้ถึงใจเรา และเทอดสิบนิ้วขึ้นอัญชุลี แต่ว่าในทันใดวันนี้เทียว ท่านจงเชิญพระนางมารดานี้กลับคืนไป ด้วยตัวเราก็ใคร่จะเข้าเฝ้าพระราชาของท่าน”

ปาติ๊ห์นั้นก็กลับด้วยความยินดี ด้วยใคร่จะเข้าเฝ้าพระราชาแห่งตนพร้อมด้วยปันหยี สะมิหรัง

นางบุตรีบุษบา ชูวิต กับบุษบา ส้าหรีนั้น เมื่อได้เห็นรูปโฉมปันหยี สะมิหรังแล้ว ก็เปนประหนึ่งว่ามิอยากจะพรากไปจากรูปโฉมนั้นอีก แต่ก่อนนั้นได้กรรแสงจริง เพราะสำคัญว่า คนที่เราเรียกกันว่ากะละหนานั้นจะต้องมีกายกำยำหยาบคายฉันใด กะละหนาปันหยี สะมิหรังก็คงเปนเช่นนั้น จะเปนอย่างอื่นไม่ได้ คงต้องเป็นคนหยาบคาย รูปร่างน่ากลัว ดาแดงหนวดดก กิริยาชั่วช้าร้ายแรง หาได้ทราบไม่ว่าปันหยี สะมิหรังนั้น มีกิริยาอาการอ่อนโยน มือนุ่ม นิ้วดังเหลา เสียงไพเราะ รูปงาม ดูก็หวานพิศก็งาม ใครได้ทอดทัศนาก็เพลินไม่รู้อิ่ม แม้ทหารเอกทั้งสองนั้นก็เช่นกัน คือกุดาประวีระ กับกุดาปะรันจา ซึ่งรูปร่างสวยงามน่ารักนัก ถ้าแม้ได้ทราบว่าปันหยี สะมิหรังมีรูปโฉมงามวิลาศดังนี้ แน่เทียว พระบุตรีบุษบา ชูวิต และบุษบา ส้าหรีนั้นคงจะยอมตนโดยดี มิพักต้องบังคับข่มขืนใจเลย พระบุตรีทั้งสองนั้นเสด็จไปด้วยนึกเสียพระหทัยไม่ขาดสาย ทั้งกรรแสงชลเนตรพร่างพรู มาบัดนี้กลับเกิดพิศวาสดิ์สิเนหาในปันหยี สะมิหรังนั้น มิช้านานก็พากันไปถึงนครมันตาหวัน แล้วก็เข้าเฝ้าพระราชา ขณะนั้นท้าวมันตาหวันก็ทรงสุขจิตตโสมนัศเป็นอันมาก พลันเสด็จลงจากสิงหาศน์ เพื่อจะเชื้อเชิญรับรองปันหยี สะมิหรังนั้น แล้วก็เชิญขึ้นประทับเหนือสิงหาศน์และเลี้ยงอาหารของดื่ม

บรรดารี้พลข้าราชการดะหมังตำมะหงง ก็เข้าเฝ้าพร้อมๆ กัน แล้วก็ให้กินเลี้ยงอาหารเครื่องดื่มสนุกสนานด้วยกันกับรี้พลของปันหยี สะมิหรัง ประกอบด้วยดุริยดนตรีบรรเลงไม่หยุดยั้งกลางวันกลางคืนไม่สิ้นสุด และรัชช์มันตาหวันนั้นก็เป็นอันยอมออกแก่ปันหยี สะมิหรังโดยราบคาบ ปันหยี สะมิหรังก็รับเอาด้วยเทอดสิบนิ้วบังคม พลางตรัสว่า “ข้าเจ้านี้ขอบพระคุณยิ่งแล้ว แต่ที่แท้นั้นหวังจะให้องค์พระบิดาคงประทับครองบัลลังก์ราชย์แห่งกรุงมันตาหวันสืบต่อไปอีกช้านาน”

ท้าวมันตาหวันนั้นก็สุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก พลันตกตลึงจังงังมิรู้ที่จะกล่าวว่าประการใด พลางก็พิศดูกะละหนา ผู้หนุ่มนั้น เห็นรูปโฉมราวกับเทวัญแห่งอินทรโลก แล้วก็ตริตรึกนึกในหทัยว่า “กะละหนาหนุ่มผู้นี้ชรอยจะเป็นบะตาระชคัต นาถะ องค์หนึ่ง เสด็จอวตารลงมาสู่พิภพนี้เสียแล้ว”

ท้าวมันตาหวันนั้นก็เกิดความรักสิเนหาอาลัยในกะละหนาผู้เยาวนั้นเป็นอันมาก

ครั้นปันหยี สะมิหรังได้ประทับอยู่นครมันตาหวันนานแล้ว ถึงกาลวันหนึ่งก็เตรียมการที่จะกลับคืนสู่บ้านเมืองแห่งตน กาลนั้นพระบุตรีบุษบาชูวิต กับบุษบาส้าหรีก็กรรแสง ไม่อยากจะอยู่ในธานีมันตาหวันอีกต่อไป และวิงวอนขอตามปันหยี สะมิหรังไปด้วย ไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลไหน จึงปันหยีสะมิหรังตรัสว่า “เออ น้องนางทั้งสอง พี่นี้เป็นคนไม่มีพงศเผ่าเทือกเถาเหล่ากอ เกรงว่าไปภายหน้าน้องจะต้องเสียใจเปล่าๆ”

พระบุตรีทั้งสองนั้นก็ทูลว่า “พระพี่ยาอย่าตรัสดังนั้นเลย หม่อมฉันทั้งสองนี้ใคร่จะตามเสด็จกะกันดา ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน แม้ถึงว่าจะต้องเข้าลุยทะเลเพลิง อะดินดานีก็จะตามเสด็จ”

ท้าวมันตาหวันได้ทรงฟังคำพระบุตรี ทั้งสองนั้นก็ทรงโสมนัศตรัสดังนั้นแล้วพระบุตรี สององค์นั้นก้มลงกราบบาทพระชนกชนนี ปันหยี สะมิหรังก็ออกจากนครมันตาหวันเดิรทางสู่ทิศบ้านเมืองแห่งตน พร้อมด้วยพระบุตรีทั้งสองนั้น มีดะหมังตำมะหงงกับรี้พลมันตาหวันแห่นำตามเสด็จ รี้พลนี้ยิ่งเดิรทางไปก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น แล้วก็บ่ายหน้าสู่นครของปันหยี สะมิหรัง นั้นแล

มิช้านานนัก ปันหยี สะมิหรังก็กลับถึงเมือง เข้าประทับเสวยรมย์ในราชฐาน พร้อมด้วยพระบุตรีทั้งสองเป็นผาสุกทุกทิพาราตรีนิรันดร

พระบุตรีทั้งสองนั้นอยู่ในวังของปันหยี สะมิหรัง เวลาล่วงมาก็ผาสุก มิได้มีข้อขาดตกบกพร่องแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ก็และปันหยี สะมิหรังนั้น ทุกวันคืนมิได้หยุดหย่อนที่จะกอดจูบสัพยอกหยอกเย้าผลักใสหยิกข่วนกับนางทั้งสองนั้น แต่นางก็ปลาดใจ เกิดความพิศวงขึ้นในหฤทัย ในอันเห็นกิริยาความประพฤติของปันหยี สะมิหรังนั้นแปลกประหลาตผิดปกดิ ครั้นเพลิดเพลินเจริญใจเป็นเวลาล่วงมานานแล้ว ก็ยกนางทั้งสองนั้นให้เสียแก่ทหารเอก นางบุษบาส้าหรียกให้แก่กุดาประวีระ นางบุษบาชูวิตยกให้แก่กุดาปะรันจา แม้ ณ ที่นั้นก็เพียงแต่สัพยอกหยอกเย้ากอดจูบเท่านั้นเหมือนกัน พระบุตรีทั้งสองก็ยิ่งเพิ่มความฉงนสนเท่ห์มากขึ้น

ฝ่ายปันหยีสะมิหรังประทับอยู่ในวังนั้น แท้จริงนางมหาเดหวีก็แปลกพระหทัยเหมือนกันในอันทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปดังนั้น แต่ก็ยิ่งเพิ่มสิเนหาอาลัยในราชธิดานั้นมากขึ้น ด้วยเห็นว่าเธอฉลาดปล้นตีเมือง จนได้มาซึ่งนางบุตรีสององค์ซึ่งมีรูปโฉมงามพิลาศ ทั้งเธอฉลาดในอันหลอกลวงปลอมแปลงองค์ด้วย

มากาลวันหนึ่ง ปันหยี สะมิหรังนั้นประทับอยู่ในตำหนัก วันล่วงสายัณหสมัยใกล้ยามดึกแห่งรัตติกาลในราชฐานธานีนั้นก็เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงมนุษย์อีกแล้ว เธออยู่แตต่ลำพังองค์เดียว จึงหยิบเอาตุ๊กตาทองคำออกจากห้อง วางลงให้นอนเหนือตักแล้วก็กอดจูบหยอกเย้า กล่าวว่า “เออลูก ดวงยิหวาของแม่๑๖๔ มา จงปลอบใจแม่ นานแล้วแม่มิได้เล่นด้วย จนแม่นี้คิดถึงเสียจริงๆ มาเถอะ คืนนี้มาเล่นกัน” แล้วเธอก็กอดและพลอดต่อไปว่า “นี่และลูกส่งมาจากกุรีปั่น ตาเหมือนเนตรบิดาแก้มเหมือนปรางระเด่นอินู กะระตะปาตี คิ้วอุปมาดังขนงชนก คอระหงดุจศอระเด่นอินู” ครั้นแล้วจันตะหรา กิระหนา หรือปันหยี สะมิหรังนั้น ก็กอดตุ๊กตานั้น พลันหัตถ์ก็แกว่งไกวเปล ขับกล่อมเป็นกลอนว่า

            มรปาตีร่อนเคียงคู่ไป
            สู่สวนบุษบะ บรันตา
            ลูกนี้พ่อเธอส่งมาให้
            ปลอบใจแม่ถวิลย์จินดา
            สู่สวนบุษบะบรันตา
            เฉียวเฉียดบุหงากระถางใหญ่
            ปลอบใจแม่นั่งจินตนา
            ทูนหัวของแม่ชื่นใจ

ปันหยี สะมิหรังประพฤติอยู่เช่นนี้ทุกๆ คืน ฝ่ายนางมหาเดหวีนั้นก็ทำความสอาดและจัดแต่งวิสูตรมุ้งม่านที่บรรธมของจันตะหรากิระหนาเรื่อยไป ครั้นร่อนแกว่งไกวและกล่อมตุ๊กตานั้นเป็นบทกลอนเช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาใกล้รุ่งสว่าง ปันหยี สะมิหรังจึงเข้าบรรธม พอเช้าก็ตื่นขึ้นสรงพักตร และกระทำกิจจานุกิจต่าง ๆ อย่างเคย

ฝ่ายข้างระตูกุรีปั่น ณ กาลนั้นมีพระประสงค์จะส่งของไปยังกรุงดาหา และในวันนั้นใคร่จะส่งเงินสินสอดและทองหมั้นไป

จึงตรัสสั่งให้หาเสนาผู้จะแต่งให้เป็นทูตพร้อมทั้งผู้นำตามทูตานุทูต เช่นที่มีนามว่า ยะรุเดะ และปูนตา และการะตาหลาและประสันตา ฝ่ายระเด่นอินูกะระตะปาตีก็ ข้าเฝ้าอยู่หน้าที่นั่งด้วย แด่ละคนเพ่งคอยฟังพระกระแสสั่งระตูในเรื่องจะส่งของเงินทอง ไปยังกรุงดาหานั้น

เขาทั้งหลายนั้นก็น้อมเศียรเกล้าอัญชลีฝ่าธุลีลอองบาทภคินทะนั้นทั่วกัน แล้วก็นั่งลงเป็นแถวหน้าพระที่นั่งด้วยความเคารพ จึงสังนาตะตรัสแก่พระชายาว่า “แนะ อะดินดา ในกาลวันนี้กะกันดาใคร่จะส่งทูตไปยังกรุงดาหา เพื่อให้นำสิ่งของทองหมั้นสินสอดไปถวายองค์อนุชา มหาราชาดาหานั้น”

สังนาตะทรงแต่งราชสาสน ครั้นเสร็จแล้วก็ประทานแก่ปาติ๊ห์และตำมะหงงรับไปเทอดไว้เหนือเกล้าพร้อมทั้งสิ่งของมีค่านานามหัครภัณฑ์ ตรัสสั่งให้เชิญไปยังกรุงดาหา ครั้นแล้วทูตานุทูตทั้งหลายนั้นก็บังคมคัลฝ่าธุลีสังระตูเดิรออกมา มีกระบวนแห่หน้าตามหลัง กระทั่งเสียงดุริยดนตรีประโคมเรื่อยไปไม่รู้หยุด ฝ่ายองค์สังระตูกับประไหมสุหรีทอดพระเนตรกระบวนแห่และทรงสดับเสียงดุริยะดนตรีนั้นก็ทรงชื่นชมโสมนัศ ก็และกระบวนนั้นมียะรุเดะ การะตาหลา ปูนตาและประสันตากับรี้พลเดิรเปนเทือกแถว พร้อมด้วยคหบดีผู้ใหญ่บางนายหมายมุ่งไปสู่นครดาหา

ปืนใหญ่ปืนเล็ก ม้ารถฉัตรธงทิวอันประดับ ล้วนแล้วด้วยเลื่อมแก้วมณีคำ๑๖๕ งามระยับวับวาวพราวพราย ด้วยต้องแสงสุริยฉายส่องสว่างกลางเวหน กระบวนไพร่พลทั้งหลายนั้นก็เดิรไปด้วยเสียงเอิกเริกพรรฤก แต่ยามเช้ากระทั่งเที่ยงวันเพลานั้นไปถึงกึ่งทางรวางกรุงกุรีปั่นกับดาหา เห็นเมืองใหม่เข้าเมืองหนึ่งก็พากันพิศวงปลาดใจ แล้วก็พร้อมกันยับยั้งอยู่ณที่นั้น ในจำนวนรี้พลนั้นบ้างก็กล้าบ้างก็หวาดกลัว บ้างก็มีใจเปนกลาง ๆ คือว่าไม่กล้าไม่กลัว ฝ่ายพวกที่กล้านั้นก็เดิรวางท่าอย่างองอาจว่องไวเข้าไปในเมืองใหม่นั้น ฝ่ายที่กลัวก็สงกาว่าจะเป็นเมืองผีภูตปิศาจ จึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ถืออาวุธกุมคุมเชิงอยู่อย่างเคร่งเครียด ทั้งเตรียมม้าพร้อมที่จะโดดหนีไปให้รอดตัวได้โดยสะดวก ฝ่ายรี้พลที่มีใจเป็นกลางๆ นั้นก็ยืนหรือนั่งตลึงจังงังอยู่เต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย คิดหน้าคิดหลังอนุโลมปฏิโลมไนเรื่องเมืองที่เกิดขึ้นใหม่นั้น เมื่อไปถึงที่นั้น จึงยะรุเดะและการะตาหลาเดิรไปก่อน ด้วยสองนายนี้เป็นทหารเอกอย่างกล้าหาญเก่งกาจ ส่วนรี้พลกุรีปั่นนั้นเดิรตามไปข้างหลัง

จะกล่าวถึง กุดาประวีระ กับกุดาปะรันจา ซึ่งรับ ๆ สั่งเจ้านายแห่งตน คือปันหยี สะมิหรังให้เฝ้าอยู่นอกเมืองถืออาวุธครบมือนั้นทุก ๆ คนไม่ว่าใครจะเดิรผ่านมาถึงที่นั้นเป็นต้องถูกปล้นตีชิงสิ้น

เมื่อได้ยินว่าจะมีทูตกรุงกุรีปั่นไปส่งบรรณาการยังกรุงดาหา และทูตนั้นเป็นผู้เลื่องชื่อฦๅชาว่ากล้าหาญ มีรี้พลมนตรีทหารเอกมาด้วยเป็นอันมาก ทั้งมีเครื่องดุริยดนตรีฆ้องตับฆ้องหมุ่ยมาด้วย บัดดลนั้นกุดาประวีระ และกุดาปะรันจาก็เข้าขวางทางเดิรของยะรุเดะและการะตาหลานั้น

พอกระทบกันทั้งสองนั้นก็ถามว่า “นี่เป็นคนมาแต่ไหน และจะไปไหนกัน”

ยะรุเดะและการะตาหลาตอบว่า “พวกเรานี้เป็นชาวเมืองกุรีปั่นจะเข้าไปยังกรุงดาหา นำของบรรณาการไปถวายพร้อมราชสาสนนัดการเศกสมรสระเด่นอินู กะระตะปาตี”

กุดาประวีระว่า “ใคร ชื่อเรียงเสียงไรที่จะสมรสนั้น”

ยะรุเดะตอบว่า “เจ้านายของฉัน ทรงพระนามว่าระเด่นอินู กะระตะปาตีกับพระบุตรีดาหา ซึ่งทรงนามว่า ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา”

กุดาปะรันจาถามว่า “ของที่เอามานั้นอไร เสื้อผ้าหรือของกิน”

ปุนตาตอบว่า “นี้เป็นของมหัครภํณฑ์ซึ่งเราจะนำไปถวายแด่ธุลีพระราชาดาหา”

กุดาปะรันจาว่า “พระราชาดาหานั้นยากจนข้นแค้นขัดสนด้วยของมื้อซื้อกินในบ้านเมืองของเธอกระนั้นหรือ”

ปุนตาตอบว่า “ท้าวดาหานั้นหายากจนข้นแค้นต่ำช้าดังนั้นไม่ดอก เป็นมหาราชาทรงสมบูรณพูลสุขยิ่งกว่าราชาไหน ๆ ด้วยพระองค์สืบพระวงศ์ลงมาแต่เผ่าพงศ์สุขุมาลชาติ๑๖๖ และเรานี้จะนำมหัครภัณฑ์เหล่านี้ไปถวายโดยรับสั่งของพระเจ้ากรุงกุรีปั่น”

กุดาปะรันจาว่า “ถ้าเจ้านายของมึงเปนกษัตริยมหาศาล และราชาที่จะส่งของไปถวายนั้นก็เปนมหากษัตริยด้วยก็ดีแล้ว มาเถอะ เอาของนั้น ๆ มาให้เสียแก่กู”

ปุนตาตอบว่า “ข้าไม่ยอมให้ของนั้นๆ แก่มึง ด้วยมหัครภัณฑ์นี้เป็นเครื่องหมั้นและสินสอดของพระราชาเรา”

จึงกุดาประวีระว่าแก่ยะรุเดะว่า “บัดนี้มึงต้องหยุดยั้งอยู่แต่เพียงนี้ ถ้าไม่ยอมยกของให้แก่เราจะไปต่อไปอิกไม่ได้ ถ้ามึงไม่ยอมให้จริงๆ ก็จะไม่ปล่อยตัวให้ไปจากที่นี้ ถ้าแม้นยอมให้ของแก่เราแล้วก็กลับไปได้โดยความสงบ และไปเข้าเฝ้าพระราชาของมึงได้ ถ้ามึงจะต่อสู้กับกู จงรู้ว่าคอจะต้องขาดจากตัวมึง แล้วจะต้องเสียชีวิตร”

ยะรุเดะและปุนตาได้ฟังคำคนทั้งสองนั้นก็โกรธอย่างสาหัศ แต่พอปุนตาขยับปากจะพูด กุดาประวีระก็ชิงพูด พลางเอามือข้ายจับแขนปุนตา มือขวากุมอาวุธซึ่งชักออกจากฝักแล้ว พูดว่า “ข้าจะไม่ยอมให้มึงไปจากนี้จนกว่าจะได้ยอมยกสิ่งของราชสาสนและฉัตรธงสำหรับแผ่นดินนั้นๆ ให้แก่เรา ถ้าให้แก่เราแล้วพร้อมทั้งเสื้อผ้าและสิ่งของอื่นของมึง นั่นแหละจึงจะปล่อยตัวให้มึงไปจากนี่ ถ้าไม่ยอมชีวิตรมึงและรี้พลของมึงทั้งหมดจะต้องวายปราณ”

ปาติ๊ห์ ตำมะหงง และประธานมนตรีได้ฟังคำกุดาประวีระดังนั้นก็ดาลเดือดโทษะทั่วกันสุดที่จะทนทานอีกได้ ไม่พูดอะไรอีกพลันชักดาพจากฝักออกฟันฟาดซ้ายขวาทางโน้นทางนี้

กุดาประวีระก็ปัดป้องด้วยถ้อยทีฟันโต้ตอบด้วยดาพ กุดาปะรันจาก็กระโดดโลดไปทางโน้นทางนี้ท่วงทีราวกับพยัคฆชาติจะโดดตะครุบ แล้วก็เข้าใกล้ถึงตัวรี้พลของทูตานุทูตกุรีปั่นนั้น พวกของทูตานุทูตก็ถูกฆ่าตายเสียเป็นอันมาก ที่เพียงแต่ถูกแทงปางตายก็มี ที่ถูกกริสของกุดาปะรันจาตรงอุระประเทศก็มี ที่ถูกแทงด้วยคมแหลมปลายกริสของกุดาประวีระก็มี ที่ถูกฟันด้วยดาพมือขาดแขนหักก็มี

กุดาประวีระเข้าตลุมบอนชุลมุนอยู่กับข้าศึกฝ่ายข้างซ้าย กุดาปะรันจาตลุมบอนฝ่ายข้างขวา เสียงอาวุธทั้งสองฝ่ายกระทบกันราวกับเสียงสายฟ้าฟาดยามพายุจัด ฝ่ายทูตานุทูตกุรีปั่นพลันก็ค่อยๆ ถอยหลังลงด้วยไม่สามารถจะต้านทานตลุมบอนของทหารเอกนั้นได้ ฝ่ายทหารเอกทั้งสองเห็นข้าศึกถอยยิ่งไกลออกไปก็ยิ่งไล่กระหน่ำไปอีก

เสียงอึกทึกกึกก้องไปด้วยสำเนียงมนุษย์โห่ร้องตะโกนประดุจเสียงฝูงวิหคในป่ายามร่อนหารัง

-----------------------------------
๑๕๑ ต้นฉบับใช้คำ “มาดู” คือมธุ
๑๕๒ วิธีเติมหน้าเติมหลังเช่นนี้ ทำคำให้กลายเป็นที่อยู่ เช่น กะดะหมังงัน ก็แปลว่าจวนดะหมัง ฯลฯ
๑๕๓ ต้นฉบับว่า “วะห์”
๑๕๔ ต้นฉบับใช้คำ “สูจิ”
๑๕๕ .ต้นฉบับใช้คำ “ปูริ” แปลว่าวัง-ในเกาะบาหลี ปัจจุบันนี้เรียกวังว่า “ปูริ” เรียกเทวสถานว่า “ปูระ”
๑๕๖ มระปาตี – นกเขา
๑๕๗ “บูติมัน” แปลว่าคนใจบุญ ซื่อสัตย์สุจริต
๑๕๘ มาจากคำ ตะลีมะ แปลว่าผลทับทิม
๑๕๙ ต้นฉบับใช้คำ “ประตามะ” คือคำปฐม คำ ตะลีมะ แลประตามะ ใช้รับสัมผัสอย่างนี้ในต้นฉบับ
๑๖๐ ต้นฉบับใช้คำ “สันโตสะ” สันโดษ ในภาษามะลายูแปลว่าสงบสุข
๑๖๑ ตามต้นฉบับ “ปุสปะ ชูวิตะ” กับ “ปุสปะ ซารี” ชื่อหลังนี้มีในหนังสืออิเหนาใหญ่
๑๖๒ ตรงนี้ต้นฉบับใช้คำ “กิอามัต” แปลว่า อันพระเจ้าตัดสินว่าผู้นั้นๆ จะพึงไปสู่โลกสวรรค์ หรืออบายภูมิ สำนวนไทยไม่มีจึงได้แปลงความไปเสีย เอาแต่พอเข้าใจว่าทุกขร้อนถึงเพียงไหน
๑๖๓ ต้นฉบับใช้คำ “สุวามี”
๑๖๔ ต้นฉบับใช้คำ “ชาวากู” ยาวาหรือบีวา แปลว่าชีวิตร ใช้ได้ทั้งสองคำ ยีวา มาแต่ ชีวะ แต่ยาวานั้นเลือนไป ใน พ.ร.น. อิเหนา ใช้ ยิหวา
๑๖๕ ต้นฉบับใช้คำ “รัตนะมูตุ มะนีกัม”
๑๖๖ ต้นฉบับใช้คำ “กุสุมา” คำนี้นัยหนึ่งแปลว่าโกสุมตรงสำเนียง แต่อีกนัยหนึ่งแปลว่าสุขุม คือเลือนมาแต่คำสันสกฤต สุกษุมะ ในนามเจ้านายต่างกรม และนามบรรดาศักดิ์ขุนนางปัตยุบันนี้ มีใช้เกลื่อน เช่น ชาติกุสุมา ไชยะกุสุมา วีระนาตะกุสุมาเปนต้น ซึ่งต้องแปลว่าสุขุม ถ้าแปลเปนโกสมก็ไม่ได้ความอไร

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กันยายน 2567 17:39:12 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 กันยายน 2567 17:41:53 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

การสงครามสู้รบนั้นเป็นโกลาหลสุดประมาณ กุดาประวีระสู้รบกับดะหมังและตำมะหงง ซึ่งช่วยกันรุมทำ เช่นเดียวกันกุดาปะรันจาถูกเสนาตั้งสี่คนรุมกันสู้ คือประธานมนตรี และบูปาตีอีกสามคน ต่างก็ฟันแทงสู้รับปัดป้องกันเป็นอลหม่าน เสนาทั้งสี่รู้สึกว่าจะทนทานอยู่ไม่ได้ต่อไป ด้วยป้องปัดรับสู้ไม่ทันท่วงทีเสียแล้ว เพราะทหารเอกทั้งสองนั้นตลุมบอนอย่างมืดหน้าบ้าเลือด กำลังที่ประธานมนตรีกับปาติ๊ห์ และบูปาตีสู้รบฟันแทงป้องปัดอยู่กับกุดาปะรันจานั้น กุดาประวีระก็โดดเข้าผลักไสไล่ต้อนข้าศึก ถลำเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น เหตุที่ไล่กระแทกเข้ามาด้วยแรงโกรธ จึงประธานมนตรีกระทบโดนเข้ากับปาติ๊ห์ ฝ่ายปาติ๊ห์โลดไปเหยียบเอาคนๆ หนึ่งจึ่งล้มอยู่ที่พื้นดินเกือบถึงตาย กลิ้งเกลือกอยู่กับพสุธาทั้งสามคนด้วยกัน กุดาประวีระและกุดาปะรันจาก็เลยจับตัวได้สั่งให้มัดไว้ บัดดลมีนักรบอีกหกคนรุกเข้ามาข้างหลังจะจับตัวกุดาประวีระกับกุดาปะรันจานั้น แล้วก็เข้าตลุมบอน ฝ่ายกุดาประวีระและกุดาปะรันจาก็โต้ตอบต่อสู้ด้วยความเก่งกาจกล้าหาญ ครั้นยะรุเดะกับการะตาหลา กับดะหมังและตำมะหงงอื่น ๆ เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ร้อนใจ ด้วยมาเห็นว่าในจำนวนรี้พลเป็นเทือกแถวนั้น พ่ายแพ้และยอมตกเป็นเชลยเสียแล้วเป็นอันมาก ยังเหลือสู้รบอยู่อีกก็แต่น้อย ขณะนั้นสิ้นหวังรู้สึกว่าสิ้นอุบายที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป กาลนั้นยะรุเดะ และการะตาหลา จึ่งมาคิดว่า เมื่อเป็นดังนี้ ผลที่สุดจะเป็นประการใดเล่า ถ้าเราจะสู้รบเรื่อยไปเราก็คงไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะทหารเอกทั้งสองนั้นเก่งกาจกล้าหาญยิ่งนัก ถ้าเราถูกจับเป็นเชลยก็จะไม่มีใครสักคนเดียวที่จะกลับไปทูลข่าวแก่องค์ท้าวสังระตูกุรีปั่น และระเด่นอินู กะระตะปาตีให้ทรงทราบเหตุการณ์ที่ถูกปล้นนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ดีแล้ว ควรเราจะหนีไปเสีย เพื่อจะได้นำข่าวไปทูลแถลงแก่องค์สังระตู”

การะตาหลา ยะรุเดะ กับทั้งตำมะหงงอื่นๆ รู้สึกว่าไม่สามารถจะต่อสู้ต้านทานกุดาประวีระและกุดาปะรันจาได้ ดังนั้นจึงหนีเอาตัวรอดวิ่งกลับคืนไปยังกรุงกุรีปั่น ครั้นไปถึงพวกหนึ่งก็เข้าไปเฝ้าทูลข่าวแก่ท้าวสังนาตะ อีกพวกหนึ่งก็รีบเข้าไปเฝ้าทูลแถลงแจ้งเหตุแก่ระเด่นอินูด้วยอาการกระหืดกระหอบ ประดุจแพะถูกเสือร้ายไล่มา

ครั้นคนทั้งหกซึ่งกำลังประจันบานอยู่กับกุดาประวีระนั้น เห็นยะรุเดะกับการะตาหลาหนีเอาตัวรอดไปแล้ว เหลียวแลไปทางโน้นทางนี้ก็ไม่เห็นเพื่อนแต่สักคนเสียว จึงเกิดความกลัวอย่างสาหัศ ทันใดนั้นก็ทิ้งอาวุธออกวิ่งหนีบ้าง แต่ก็ถูกกุดาประวีระจับตัวมาได้สองคน รี้พลกุรีปั่นก็เป็นอันหมดสิ้นไม่มีเหลือแต่สักคนเดียว ส่วนที่ถูกจับนั้นก็มัดและนำตัวไปพร้อมทั้งทรัพย์สินและเครื่องเดิรทางที่กุดาประวีระและกุดาปะรันจาปล้นชิงได้นั้น ถวายแด่ปันหยี สะมิหรัง บรรดารี้พลที่ถูกจับและนำตัวมานั้นก็สวามิภักดิอยู่ใต้ปกครองของปันหยี สะมิหรังสิ้น ปันหยี สะมิหรังก็สุขจิตต์ชื่นชมโสมนัศเป็นที่ยิ่ง ด้วยประการฉนี้แล

บัดนี้จะกล่าวถึงระเด่นอินูนั้น ครั้นได้ฟังข่าวว่าทูตานุทูตถูกจับไปสิ้นแล้ว รวมทั้งทรัพย์สินก็ถูกคนกะละหนาผู้หนึ่งที่เก่งกาจกล้าหาญชิงเอาเสียสิ้น มีแต่ยะรุเดะกับการะตาหลาเท่านั้นหลุดพ้นมาแถลงข่าวได้ด้วยอาการกระหืดกระหอบ จึงพิโรธโกรธกริ้วอย่างแรงกล้าแทบจะทนความพิโรธอยู่ไม่ได้ ด้วยมาคิดว่ากะละหนานั้นชั่วร้ายอหังการยิ่งนักจึ่งบังอาจปล้นทรัพย์สินของชาวกุรีปั่น

จึงระเด่นอินูนั้นตระเตรียมการพร้อมสรรพแล้วก็น้อมเศียรด้วยความเคารพ บังคมลาพระชนกชนนีเพื่อจะไปรอนราญจับตัวกะละหนาหนุ่มผู้กล้าหาญเก่งกาจนั้น

องค์สังระตูก็ตรัสด้วยแย้มสรวลว่า “ดีแล้ว เธอจงไปด้วยความสดวกสวัสดีเถิด ขอองค์สังหยังเทพยดาเจ้าจงทรงคุ้มครองลูกพ่อให้มีชัยชำนะ พ่อหวังว่าลูกยาจะได้เลยไปตลอดถึงกรุงดาหาด้วย”

ฝ่ายโฉมยงองค์ประไหมสุหรีก็จุมพิตพระศีรประเทศของราชบุตรองค์เดียวนั้นซึ่งเปนดังดวงทิพากรส่องโลก พลางตรัสอวยพรเพื่อสวัสดี

ครั้นได้รับพระราชานุญาตดังนั้นแล้ว ระเด่นอินูก็เสด็จจรลีสู่ทิศที่ตั้งเมืองของกะละหนานั้น พร้อมพรั่งด้วยปาติ๊ห์ผู้น้า และเสนาข้าราชการตามเสด็จเท่าที่เหลือจากถูกปันหยี สะมิหรังจับเอาเป็นเชลย

ฝ่ายปันหยี สะมิหรัง ณ กาลนั้นกำลังทอดทัศนาตรวจรี้พลทูตานุทูตกุรีปั่น ตรัสถามพี่เลี้ยงของระเด่นอินูนั้นว่า “เฮ้ย ทูตกุรีปั่น ซึ่งนำเอาทรัพย์สินฉัตรธงทิวสำหรับแผ่นดินประดับประดาด้วยเลื่อมพลอยมานี้ มึงจะไปไหนกัน”

ทูตทูลว่า “อ้า เจ้ากู ผู้ผ่านพิภพ ทรัพย์สินมหัครภัณฑ์ทั้งมวญนี้ข้าพระองค์จะนำไปยังกรุงดาหา ด้วยว่าระเด่นอินู เจ้านายของข้าพระองค์จะทำการตุนาหงันหมั้นพระบุตรีกรุงดาหา ซึ่งทรงพระนามว่า ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และนี้คือสินสอดทองหมั้นที่จะถวายแด่ระตูผู้ผ่านดาหา”

แล้วก็เล่าแถลงแจ้งเหตุที่เดิรทางมาแต่ต้นจนอวสาน ปันหยี สะมิหรังก็ยิ้มอยู่ในที หวานดังทะเลน้ำผึ้ง ตรัสว่า “เฮ้ย ทูต มึงจงไปทูลระเด่นอินูเจ้านายของมึงว่า ถ้าอยากจะได้ของนี้คืน จงเสด็จมาเอาเอง ถึงนี่แล้วกูจะคืนให้เป็นแน่แท้”

ทูลทั้งหลายนั้นก็ยินดีปรีเปรมในอันเห็นท่วงทีกิริยาของปันหยี สะมิหรังนั้นงดงามยิ่งไปเสียกว่าเจ้านายของตนเอง วาจาภาษา๑๖๗ที่พูดก็สุจริตอ่อนหวาน ทั้งรูปโฉมก็งามตระการสมควรจะเป็นอนุชาของเจ้านายแห่งตนได้ ปันหยี สะมิหรังก้มเศียรชักผ้าออกซับพักตรแล้วตรัสว่า “เฮ้ย ทูต บัดนี้เจ้าจงรีบกลับไปยังนครกุรีปั่นทูลความแก่ระเด่นอินูว่าเราขอเชิญเสด็จมาที่นี้ ด้วยเราใคร่จะคืนทรัพย์สินมหัคฆภัณฑ์เหล่านี้ ถวาย แล้วจงทูลด้วยว่าเรานี้หวังใคร่จะได้ประสพพบกับเธอ อยากจะได้เห็นรูปโฉมโนมพรรณ ด้วยยังหาทราบไม่ว่าเป็นอย่างไร”

ทูตทั้งหลายนั้นก็ยินดียิ่งนัก จึงก้มเกล้าบังคมบาทปันหยี สะมิหรัง แล้วก็เดิรทางกลับสู่นครกุรีปั่น และรีบจะเข้าสู่วังเจ้านายแห่งตน เห็นเจ้านายของตนนั้นเพิ่งเสด็จเคลื่อนออกยังมิทันไปได้ไกลจากวัง จึงเขาเหล่านั้นบังคมบาทพลางทูลแถลงข่าวสารสิ้นทั้งมวญ และทูลข้อที่กะละหนาเชิญเสด็จไปด้วยพระองค์เองนั้น ระเด่นอินูได้ทรงฟังคำทูตซึ่งเพิ่งกลับมานั้นแล้วก็แย้มสรวล และทันใดนั้นจึงตรัสให้ยะรุเดะจูงม้าที่นั่งมา อันมีนามว่า “รังคะ รังคิต” ๑๖๘พลันยะรุเดะก็นำม้านั้นมาถวาย ระเด่นอินูก็เสด็จขึ้นหลังอาชาอันมีนามว่า “รังคะ รังคิต” นั้น แล้วก็ออกวิ่งรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ด้วยกำลังม้าเร็วไม่ช้าก็ไปถึงเมืองใหม่นั้นพร้อมด้วยรี้พล มนตรี ระเด่นอินูมีรูปเหี่ยวแห้งดังบุหงาต้องแสงแดด แต่ฉวีวรรณที่วงพักตรยังงาม กุมฝักกริสแล้วตรัสว่า “แนะ น้าปาติ๊ห์และตำมะหงงมา เราอย่าปล่อยตนให้เหน็ดเหนี่อยเมื่อยล้าเลย จงสร้างปะสังคราหันขึ้นสักหลังหนึ่ง แล้วรอคอยให้ปันหยีสะมิหรังยกพลออกมาตีเราก่อนก็แล้วกัน”

จึงพนักงานจัดตั้งปะสังคราหันขึ้นหลังหนึ่งด้วยประโจมผ้า ครั้นสำเร็จแล้วระเด่นอินูก็เข้าประทับอยู่คอยท่าสัตรู ณ ที่นั้น แต่ว่าปันหยี สะมิหรังก็ไม่อยากจะสู้รบทำสงครามด้วย ระเด่นอินูทนความกระหายที่อยากจะประสพกระทบกับข้าศึกสัตรูไม่ได้ จึงขึ้นทรงม้าเข้าไปในเมืองใหม่ หัตถ์กุมกริสไว้ไม่ปล่อย ในขณะนั้นเองปันหยีสะมิหรังก็ใคร่จะออกไปยังสนามรบนอกเมือง ไปได้มิทันไกลก็แลเห็นในระยะห่างไกลซึ่งชายคนหนึ่งรูปสวยหน้างาม จึงจินตนาในหทัยว่า “นี้หรือกะกันดา ระเด่นอินู รูปทรงช่างสวยงามและโฉมพักตร์ช่างฉลาดเฉลียวเส็ยนี้กระไร”

ฝ่ายระเด่นอินู ครั้นเห็นปันหยี สะมิหรังทรงม้ามาดังนั้นหทัยก็อ่อน กริสที่กุมไว้ก็ตกลง เพราะเห็นรูปโฉมปันหยีสะมิหรัง งามเปล่งปลั่งผ่องใส กระทั้งสีพระพักตรของระเด่นอนูเวลานั้นเป็นเสมีอนดอกไม้ยามตากต้องแสงตะวัน

ฝ่ายปันหยีสะมิหรังก็เช่นเดียวกัน ลูกศรที่กุมอยู่รู้สึกประหนึ่งว่าจะตกลงยังภูมิพสุธา เพราะหทัยเสียวซ่านในอันทัศนาเห็นระเด่นอินูนั้น พลันนำผ้าซับพักตรขึ้นปิดพักตรยิ้มลไมอยู่ในที ตรัสว่า “นี้กระมังกะกันดา อินู ท่วงทีกิริยาสมกันกับรูปโฉมที่หวานงาม ควรแล้วจะเป็นทหารเอกของกรุงกุรีปั่น”

ครั้นระเด่นอินูเห็นปันหยีสะมิหรัง ปกคลุมพักตรด้วยทรงสพักตรขาวและแย้มสรวลจนเห็นไรทนต์วาววามดังนั้น ก็ตกตลึงจังงังแล้วก็เกิดความพิศวาสดิ์สิเนหาขึ้นในหทัย พลันทวีถวิลย์จินดาขึ้นอิก คิดอยู่ในหฤทัยว่า “เปนลูกกษัตริย์ไหนหนอ กะละหนานี้ผู้มีโฉมหน้างามนัก ทั้งท่วงทีเฉลียวฉลาดและสุจริต ชรอยจะเป็นเทวาลงมาจากอินทรโลก สมควรยิ่งนักที่จะมาเป็นพี่น้องกับเรา ด้วยมิใช่คนสืบสันดานมาแต่สามัญชน รูปร่างน่าจะสืบพงศ์มาแต่กษัตริย์มหาศาลผู้สูงศักดิ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นข้าศึกศัตรูก็จะทำอย่างไรได้ ควรจะมาเป็นสหายกับเราจึงจะชอบ เพราะไว้ท่วงทีกิริยาดีงามและสุจริตนักหนา และวางท่าประหนึ่งดังเป็นมิตรรู้จักสนิธกันมานานแล้ว”

อีกครู่หนึ่งก็เข้าถึงเผชิญหน้ากัน ขณะนั้นอังศาพยพทั้งปวงก็น่วมไปทั่ววรกาย ใจสบายเยือกเย็น ทั้งความคิดความเห็นก็พิศวงงงงวย แต่ยิ่งพิศกันนานเข้าก็ยิ่งตระหนักในความรู้สึกสิเนหาอาลัยซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย ในเวลาที่ต่างทรงม้าเผชิญหน้ากันอยู่นั้น ไม่มีใครพูดจาว่ากระไรเลย มีแต่ตกตลึงพิศวงงงงวยจังงังไปตามกัน ฝ่ายปันหยีสะมิหรังณกาลนั้นนึกลอายที่จะต้องสู้รบกับคู่ตุนาหงัน จึงกระระตะม้าทรง แต่ม้านั้นก็หาไปไม่ ฝ่ายม้ารังคะรังคิดเล่าก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว ยืนตัวสั่น ประดุจบุถุชนใคร่จะซักถามว่านี่เรื่องอะไรกัน

ระเด่นอินูก็เห็นเป็นอัศจรรย์มิใช่น้อย ด้วยม้านั้นมีอากัปกิริยาผิดปกติจึงตรัสแก่ม้าว่า “เฮ้ย รังคะรังคิต ตั้งแต่โน่นมาแล้วข้าอยากจะไปข้างหน้า เหตุใดเล่าพอมาถึงที่ตรงนี้เจ้าจึงมาหยุดอยู่ เรานี้มาจากกุรีปั่นจนถึงนี่ก็เพื่อทดลองความสามารถ”

ปันหยีสะมิหรังได้ฟังคำระเด่นอินูทั้งมวญนั้น จึงก้มและเช็ดพักตรพลางตรัสว่า

            ดูกรท่านผู้ยิ่งด้วยพงศพันธุ์
            ขอท่านอย่าตรัสดังนั้น
            จงทรงสงสารหม่อมฉัน
            ผู้หินชาติหวาดประหวั่น
            ข้าถูกทิ้งพรากจากบุรี
            ทุกขยากลำบากเต็มที
            ทุกวาระตราบถึงวันนี้
            เคราะห์เข้าครอบงำโชคไม่มี
            เช้าค่ำร่ำโศกสงสาร
            เลี้ยงชีพในพงไพรกันดาร
            ทุกขจิตตแสนสุดประมาณ

            อยู่ธานีไร้ประโยชน์ไร้งาน
            ข้าจึงออกมะงุมบาหรา
            เยี่ยงคนจรจัดอนาถา
            ไข้ใจทนทุกข์เวทนา
            ไมมีใครปลอบโยนนำพา

ระเด่นอินูได้ฟังคำปันหยีสะมิหรังดังนั้นแล้ว ข้อลำอัษฐิก็อ่อนล้าไปหมด จึงสรวมดาพเข้าฝัก ผลักกริสไปไว้ข้างขนอง พลางตรัสว่า “ข้านี้คือระเด่นอินู กะระตะปาตี โอรสเจ้ากรุงกุรีปั่น กะกันดานี้มิได้จำนงจะมาสู้รบกับเธอ เป็นแต่มุ่งจะไปยังกรุงดาหาตามพระบัญชาขององค์สังระตู”

ปันหยีสะมิหรังยิ้มแล้วตอบว่า “กะกันดาระเด่นอินูเราทั้งสองนี้จะไม่เผชิญหน้ากันเพื่อสงครามอีกต่อไป มาเถอะ ถ้ากะกันดาเต็มพระหทัยจงพากันเข้าไปในบุรีอันเป็นที่อยู่ของหม่อมฉัน”

ระเด่นอินูตอบเป็นเชิงสัพยอกว่า “ทำไมเล่ากะกันดานี้จะไม่เต็มใจ แต่ม้าของพี่ยังไม่ยอมสู้รบแล้ว พี่นี้ไม่เต็มใจอย่างไรได้ สิ่งใดเป็นที่พอใจแก่อะดินดา ย่อมเปนที่พอใจแก่กะกันดาตั้งพันเท่าเทียว”

แล้วสององค์นั้นจึงสัมผัสหัตถ์กันและพากันเข้าไปยังวัง ในรวางที่ม้าเดิรไปนั้น ต่างก็ทรงจินตนามิหยุดหย่อนถึงพฤติการณที่เป็นมานั้น และตลอดทางผู้คนเป็นอันมากทัศนาก็เห็นเป็นประหนึ่งดวงดาราคู่๑๖๙หนึ่ง ซึ่งส่องแสงสว่างอย่างสุกใส ระเด่นอินูเหลือบไปเห็นยะรุเดะจึงตรัสว่า “แนะ ยะรุเดะ จงสั่งรี้พลทั้งหลายบอกเลิกสงคราม แล้วนำเข้าไปสู่พระบุรี”

รี้พลทั้งสองฝ่ายก็เข้าเมืองโดยความสงบ ด้วยเจ้านายได้ปรองดองเปนไมตรีกันแล้ว ก็ดีตามกันไป เปนหางก็ย่อมตามหลังหัวเป็นธรรมดา ครั้นระเด่นอินูไปถึง ปันหยีสะมิหรังก็ลงจากหลังม้าแล้วประนมบังคมทูลเชิญเสด็จระเด่นอินูประทับเหนือสิงหาศน์ ทั้งสององค์นี้สมควรยิ่งแล้วที่จะเปนมิตรภาพภราดรต่อกัน ด้วยว่าดีงามเสมอเหมือนกัน ฝ่ายอินูก็เกิดความปฏิพัทธรักใคร่ในปันหยีสะมิหรังด้วยรูปโฉมเป็นที่ต้องหฤทัย แต่ก็หาทราบไม่ว่าปันหยีสะมิหรังนั้นเป็นผู้หญิง สำคัญว่าเป็นชายด้วยกัน ประทับอยู่ดังนั้นมิช้าระเด่นอินูก็ตรัสว่า “แนะ อะดินดา มาเถอะ เรามากินเข้าด้วยกัน”

ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “โอ กะกันดา เสวยแต่ลำพังองค์เดียวก่อนเถิด แล้วหม่อมฉันจึงจะรับประทาน”

อินูก็ว่า “ทำไมเล่า อะดินดา มิได้พาพี่มานี่ด้วยความพอใจดอกหรือ เธอไม่เต็มใจให้พี่มานี่หรือ”

ปันหยีสะมิหรัง ยิ้มแล้วทูลว่า “ที่น้องจะไม่เต็มใจนั้นหามิได้ แต่กลัวต่ำสูงเปนตุหลา ตุอะห์ ๑๗๐เสนียดจัญไร ด้วยผู้มีเผ่าพันธุ์หินชาติต่ำช้า หาควรไม่ที่จะร่วมกับผู้สูงศักดิ์ ชอบแต่จะรับประทานเหลือเครื่อง”

ระเด่นอินูจึงเสวยองค์เดียว เสร็จแล้วปันหยีสะมิหรังจึงเสวยพร้อมด้วยกุดาประวีระ และกุดาปะรันจา ชื่นชมปรีดาทั่วหน้ากัน ครั้นเสวยแล้วเครื่องที่เหลือนั้นก็ยกไปตั้งให้แก่ยะรุเดะกับการะตาหลา แล้วเลื่อนต่อลงไปจนถึงไพร่พล ครั้นแล้วพนักงานก็แจกจ่ายของหอมและมีคนนั่งดูปันหยีสะมิหรังกับระเด่นอินูนั้นอยู่แน่นหนาล้นหลาม ครั้นวันล่วงไปไกลถึงรัตติกาล ระเด่นอินูก็ชวนบรรธม ตรัสว่า “เออ อะดินดา พี่นี้ง่วง หนังตาเบื้องบนเกือบจะผนึกติดกับหนังตาเบื้องล่างอยู่แล้ว”

ปันหยีสะมิหรังยิ้มพลางตรัสตอบว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจความที่ตรัสนั้น ถ้าพระพี่ยาหาวบรรธม ก็เชิญบรรธมก่อนเถิด ด้วยตาหม่อมฉันยังไม่ง่วง ที่ถูกหม่อมฉันควรจะนอนกับกุดาประวีาะ และกุดาปะรันจา”

อินูก็พิศวงสงสัยยิ่งนัก จึงจินตนาในหฤทัยว่า “อะอินดานี้ชรอยจะเป็นหญิงเสียกระมัง จึงไม่อยากจะนอนด้วยกับเรา”

ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “ใช่ว่าอะดินดาจะไม่อยากนอนร่วมกับกะกันดาเมื่อไรมี แต่ไม่วางใจ ด้วยน้องนี้มีไข้อย่างหนึ่ง กลัวว่าจะติดต่อไปถึงกะกันดา”

ระเด่นอินูก็บรรธมแต่ลำพังองค์เดียว ปันหยีสะมิหรังทูลลากลับตำหนักเพื่อไปพบกับมหาเดหวี เห็นองค์มหาเดหวีกำลังเล่นอยู่กับนางบุษบาชูวิต และบุษบาส้าหรี ปันหยีสะมิหรังจึงว่า “อไร ยังเล่นกันอยู่จนดึกดื่น”

มหาเดหวีก็แย้มสรวลพยักพักตร ณกาลนั้นก็เป็นเวลาล่วงคืน ใครๆ ก็เข้านอนแล้วตามที่แห่งตนๆ ปันหยีสะมิหรังก็เข้าสู่ที่บรรธมแล้วก็ร่อนไกวตุ๊กตาทองคำ ขับร้องกล่อมด้วยถ้อยคำบางประการ จนเพลาใกล้จะรุ่งปัจจุสมัยจึงไสยาพร้อมด้วยตุ๊กตานั้น ก็และบรรธมนั้นเพียงสักพริบตาเดียวก็ตื่นขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง ฝ่ายพี่เลี้ยงผู้มีนามว่าเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด ก็ล้างหน้าแต่งกายเยี่ยงเพศชายพร้อมสรรพ

ครั้นแล้วก็จรลีไปยังที่ระเด่นอินูกะระตะปาตี และระเด่นอินูนั้นตื่นบรรธมอยู่ก่อนแล้ว ประทับให้เสนาข้าราชการเฝ้า คือยะรุเดะ และปูนตาเปนต้น ระเด่นอินูเห็นปันหยีสะมิหรังมากับทหารเอกทั้งสองผู้มีรูปร่างลออองค์ดังบุหงาส่องสว่างด้วยแสงตวันนั้น ก็แย้มสรวล พลางจินตนานิ่งนึกถึงการณ์ที่เป็นมาด้วยความพิศวงจังงัง แล้วจึงตรัสแก่ปันหยีสะมิหรังว่า “เออ อะดินดา พี่นี้ขุ่นเคืองน้องด้วยช่างมีแก่ใจทิ้งให้กะกันดานี้นอนอยู่แต่เดียวดาย”

ปันหยีสะมิหรังยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบประการใด ระเด่นอินูจึงตรัสต่อไปว่า “กะกันดานอนคนเดียวคืนหนึ่งนี้ รู้สึกดังว่าต้องพรากจากน้องไปตั้งเดือน พี่ฝันไปว่านอนร่วมกับเธอในที่นอนอันเดียวกัน”

ปันหยีสะมิหรังก็ยิ้ม ฝ่ายระเด่นอินูนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มพูลประฏิพัทธพิศวาสดิ์ ปันหยีสะมิหรังก็นั่งเฝ้าระเด่นอินู พนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมา ระเด่นอินูจึงตรัสว่า “มาเถอะน้องมาเสวยกับกะกันดา”

ปันหยีสะมิหรังตอบว่า. “เชิญพระพี่ยาเสวยก่อนเถิด หม่อมฉันจะรับประทานทีหลัง เพราะกลัวต่ำสูงตุหลาตุอะห์เสนียดจัญไร”

ระเด่นอินูก็เสวย พลางใคร่ครวญในหฤทัยว่า “ปันหยีสะมิหรังนี่ชรอยเป็นหญิงเสียแน่แล้ว ถ้าเช่นนั้นเราจะเอาเป็นเมียแล้วจะไม่มีเมียอื่นอีกเลย นอกจากปันหยีสะมิหรังนี้”

ครั้นเพลาใกล้รัตติกาล ระเด่นอินูก็ตรัสว่า “มาเถอะ อะดินดาเรามานอนด้วยกัน ถ้าเธอไม่ปลงใจด้วยจะต้องเห็นเปนแน่เทียวว่าเธอไม่พอใจให้พี่ค้างแรมอยู่ที่นี่”

ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “ที่หม่อมฉันจะไม่เต็มใจนั้นเปนไปไม่ได้ กะกันดาอย่าตรัสดังนั้นอีก หม่อนฉันหวังว่า ถ้ากะกันดาเสด็จไปดาหาเป็นคู่สมรสอภิเศกแล้ว เมื่อจะเสด็จกลับคืนกรุงกุรีปั่น คงจะพอพระหทัยแวะที่นี่อีก ถึงเวลานั้นและ น้องจึงจะร่วมบรรณฐรณ์ด้วยกับกะกันดา”

ระเด่นอินูแยมสรวลตรัสว่า “แน่เทียวอะดินดา ถ้ากะกันดาอยู่ดาหาไม่สบายเป็นไข้ใจด้วยพิศวาสดิ์สิเนหานี้แล้ว อยู่ที่นั่นไม่ได้ ก็จะรีบกลับมานี่”

แท้จริงเวลานั้นราตรีก็ล่วงเข้ายามดึกแล้ว บุหลันทรงกลดส่องสว่างดังกลางวัน พวกเสนารี้พลกุรีปั่นทั้งหลายก็ยังใคร่จะเล่นหวัวอึกทึกอยู่ในแสงเดือน จึงเข้ากลุ่มชุมนุมคุยกันเล่นกันระคนไปกับไพร่บ้านพลเมืองของปันหยีสะมิหรังนั้น

ณ กาลนั้นการะตาหลา ปูนตา และยะรุเดะ กับทั้งเสนาข้าราชการทั้งปวงก็ขับลำทำเพลงตบมือและรำเต้นอยู่ไม่หยุดหย่อน และพากันสรวลเสเฮฮาเมื่อเหนปูนตากับการะตาหลารำเต้นและร้องว่า

            รู้สึกแล้วหากเพิ่งจินดา
            สุดคิดสุดคาดสุดคณนา
            เสียงจังหรีดสำคัญว่าแมลงดานา๑๗๑
            อยู่ที่ใจมิใช่ที่ปากเพ้อหา

บรรดาพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในซึ่งเข้าสู่ที่ไสยาแล้ว ครั้นได้ยินเสียงผู้คนสรวลเสเฮฮาอึกทึกก็ตื่นขึ้น และไปดูช่างฟ้อนรำจากกุรีปั่นนั้น ปันหยีสะมิหรังกับกุดาประวีระและกุดาปะรันจา ได้ยินคนชาวกุรีปั่นขับลำเป็นปฤษณาดังนั้น ถึงแม้ว่าจะยิ้มจะสรวล ก็แต่ภายในนั้นใจประหวั่นเต้นรัว ก็และความสนุกสนานของคนทั้งหลายในคืนนั้นเปนที่เอิกเริกครึกครื้นมาก ปันหยีสะมิหรังจึงทูลลาเพื่อจะไปบรรธม

ระเด่นอินูตอบว่า “เธอจงไปบรรธมก่อนเถิด”

การเล่นทั้งหลายนั้นก็ให้ระงบเลิก ด้วยเป็นเวลาใกล้จะรุ่งเช้าอยู่แล้ว และพากันไปนอนสิ้น ครั้นถึงเพลารุ่งสว่างดวงตวันขึ้นสูงแล้ว จึงปันหยีสะมิหรังตื่นบรรธมก่อนใครหมด สรงพักตรทรงเครื่องและใช้ของหอมแล้วก็ลีลาไปยังตำหนักระเด่นอินู ครั้นไปถึงก็เห็นระเด่นอินูยังกำลังบรรธมหลับสนิธ ปันหยีสะมิหรังค่อยประทับลง ณ ขอบแท่นบรรธมมิให้รู้สึกองค์ พิศพักตรระเด่นอินู ซึ่งกำลังหลับสนิธดูเหมือนเหนื่อยล้า ระบายลมอัสสาสะปัสสาสะสั้นยาวอยู่นั้น พลันจินตนาในหทัยว่า

            ยามตื่นใจไม่สบายครัน
            ยามหลับกลับรู้เท่าทัน
            ดวงจิตต์พิศวาสดิ์เจือประหวั่น
            เช่นนี้ระเด่นผู้เลอพงศพันธ์

ครั้นแล้วปันหยีสะมิหรัง ก็กล่าวคำด้วยสำเนียงแต่เบาๆ ว่า

            ตื่นเถิดพระองค์ ตื่นเถิดราชา
            ส่องแสงสูงแล้วดวงรวี
            หลับดังจงใจเจตนา
            จะสิ้นสำนึกสมฤดี
            ตื่นเถิดพระองค์ หนุ่มน้อยเอวบาง
            สูงแล้วเด่นสุรียส่องแสงสว่าง
            สมรสผิดคู่จักไร้สวัสดี
            จะซูบจะซีดรูปโฉมวรรณฉวี


-----------------------------------
 ๑๖๗ ต้นฉบับใช้คำ “บะฮาซา”
๑๖๘ สงสัยโดยสำเนียงว่าจะเลือนมาแต่ “รังครณชิต”
๑๖๙ ต้นฉบับว่า “บินตัง โชฮาร์” แปลว่าดาวพระพุธ
๑๗๐ ต้นฉบับใช้คำ “ตุละห์ ตัน ตุอะห์ ตวน” แปลโดยพยัญชนะว่าเดชแช่งสาบของพระองค์ สำนวนไทยไม่มีจึงแปลว่าเสนียดจัญไร ซึ่งได้ความตรงกันโดยอรรถ ใน พ.ร.น. อิเหนามีใช้คำ “ตุหลาปาปา” ปาปา ก็คือคำสาปนั้นเอง แต่ในหนังสือนหามีใช้ไม่
๑๗๑ ในต้นฉบับ สองวรรคนี้ก็ใช้สัมผัสซ้ำดังน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กันยายน 2567 17:43:25 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 กันยายน 2567 17:45:49 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาคปฐม

บัดดลนั้นระเด่นอินูก็สดุ้งตื่นฟื้นจากนิทรารมณ์ เห็นปันหยีสะมิหรังนั่งอยู่ณขอบที่บรรธม และเห็นริมโอษฐอันแดงนั้นแล้วจึงตรัสว่า “เออนี่แน่ะ เธอ ถึงวันมะรืนนี้ กะกันดานี้จะอภิเศกเป็นคู่สมรส พี่นอนจนตวันสูงยังไม่ตื่นก็เพราะเกรงว่าหน้าของกะกันดาจะเหี่ยวซีด” ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นประทับพลางสัมผัสลูบไล้หัตถ์ของปันหยีสะมิหรัง รู้สึกว่าหัตถ์ปันหยีสะมิหรังนั้นอ่อนนุ่มนวลดังมือสตรี ฝ่ายปันหยีสะมิหรังรู้สึกสัมผัสลูบคลำที่หัตถดังนั้น ก็ให้เสียวสั่นหฤทัยระรัวไปถึงข้อลำอัษฐิ พลางตรึกตริว่า “ณกาลวันนี้และ ระหัสความลับของเราจะเปิดเผยเสียแน่แล้ว ในข้อที่เราเป็นหญิง”

หฤทัยไหวหวั่นเต้นระริก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า จะไม่ถึงแก่ต้องเปิดเผยให้ล่วงรู้ความลับ ล่วงไปอีกครู่หนึ่งระเด่นอินูก็ปล่อยจากหัตถ ขณะนั้นรู้สึกโล่งโปร่งหทัยราวกับได้เพชร์พลอยกองเท่าภูเขา ครั้นแล้วระเด่นอินูและปันหยีสะมิหรังก็เคลื่อนลงจากที่ไสยาศน์

ระเด่นอินูจึงสรงพักตร ครั้นแล้วเหลือบเห็นยะรุเดะ ปูนตาและการะตาหลา จึงตรัสว่า “จงไปชุมนุมจัดเตรียมรี้พลมนตรี ด้วยณกาลวันนี้นี่และ เราจะเข้าไปยังนครดาหา”

ครั้นแล้วจึงตรัสแก่ปันหยีสะมิหรังว่า “แนะ อะดินดา มา ไปด้วยกันกับกะกันดาเถิด เพื่อจะได้เข้าเฝ้ามะมันดา๑๗๒องค์ภคินทราชาดาหา”

ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “เชิญกะกันดาเสด็จเข้ากรุงดาหาก่อนเถิด ด้วยโรคของหม่อมฉันนั้นยังไม่หาย”

ระเด่นอินูได้ฟังคำปันหยีสะมิหรังดังนั้นก็เสียดายอาลัย รู้สึกหนักไปทั่วสรรพางค์กาย แทบจะไม่สามารถคลาดคลา ปันหยีสะมิหรังจึงว่า “กะกันดาอินูเสด็จไปก่อนก็ดีแล้ว จะได้เข้าเฝ้าท้าวดาหา และทำพิธีอภิเศกสมรสได้โดยเร็ว แล้วภายหลังน้องจะตามเข้าไปดูกะกันดา ซึ่งจะตามเสด็จไปด้วยกันแต่ในวันนี้นั้นหาได้ไม่”

ก็และปันหยีสะมิหรังนั้น แท้จริงเมื่อระเด่นอินูจะจากไป หทัยก็ไม่เสบย แต่ก็หาไปด้วยไม่ กาลนั้นปันหยีสะมิหรังได้เวรคืนบรรดาทรัพย์สินมหัครภัณฑ์อันได้ปล้นชิงไว้นั้นให้แก่ระเด่นอินูแล้ว และเมื่อจะจากไปยังถวายผ้ารัดองค์ที่ใช้แล้วอีกผืนหนึ่งไปเป็นที่ระลึก แล้วก็อวยสวัสดีสัมผัสหัตถ์และระเด่นอินูก็ยาตราไป มีผู้โดยเสด็จคือยะรุเดะกับการะตาหลา กับเสนามนตรีทหารเอกจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยพาหนะทรง คือม้าและช้าง ระเด่นอินูนั้นพิศโฉมราวกับดารายามใกล้อรุณ พักตรซีดเผือดเพราะมิได้บรรธมราตรีหนึ่ง เพลียไปทั้งวรกาย ทรงอาชานัยม้าต้นกุมกริส รูปทรงงามระหงเป็นที่เริงใจแก่คนทั้งหลายที่ได้เห็น ท่าทางดังบะตาระเทพจุติลงมายังโลกพิภพ ในรวางเดิรทางไปกรุงดาหานั้น ตลอดทางมิได้หยุดหย่อนในอันคำนึงถึงปันหยีสะมิหรัง พลางตรัสในหทัยว่า “เหตุใดเล่าบรรดาสิ่งของมหัครภัณฑ์ที่ได้ปล้นชิงไว้นั้นจึงมาคืนให้แก่เรา ถ้าเขาไม่ให้ไม่คืนแก่เรา ๆ ก็จะไม่ได้สมรสกับพระบุตรีดาหาเป็นแน่แท้”

นี้เป็นข้อข้องอยู่๑๗๓ในดวงหทัย ตริตรึกคนึงในอยู่เป็นนิตย์ ทำไฉนจะแทนคุณความดีของปันหยีสะมิหรังได้ให้ถึงขนาด

เดิรทางมิช้านานก็ไปถึงซึ่งประตูเมืองดาหานั้น ระเด่นอินูจึงสั่งให้ยะรุเดะกับการะตาหลาเข้าไปเฝ้าฝ่าธุลีองค์ท้าวดาหา เพื่อถวายของที่ระลึกและของฝากของท้าวกุรีปั่นนั้น การะตาหลากับยะรุเดะก็เข้าไปแล้ว เข้าเฝ้าอัญชลีบังคมลอองบาทพระราชาด้วยความเคารพยิ่ง ระตูดาหาก็ทรงรับรองเขาทั้งสองนั้นด้วยยินดีปรีดา ตรัสสั่งให้หาระเด่นอินูไปเข้าเฝ้าด้วย ระเด่นอินูก็มาเข้าเฝ้าถวายบังคมโดยเคารพ ท่านลิกูก็มารับรองด้วยเหมือนกัน ชื่นชมเกษมสันตเพราะเห็นผู้อันจะเป็นเขยนั้นงามดีนักประดุจดวงบุหลันวันบุรณมี๑๗๔ขณนั้นฝ่ายก้าหลุอาหยังก็วิ่งไขว่ไปมาหทัยเต้นแอบมองตามช่องรั้ว แต่พอเห็นรูปโฉมของระเด่นอินูก็เกิดกระศัลยพิศวาสดิ์แทบจะลืมองค์ ครั้นแล้วก็ออกมาเฝ้าระเด่นอินูด้วยเคารพ กาลนั้นจึงท่านลิกูบังคมทูลสังระตูว่า “องค์กะกันดา จะให้ดีแล้วควรแต่งก้าหลุ อาหยัง ลูกเราเสียกับระเด่นอินูเพื่อจะให้แทนที่ก้าหลุ จันตหรา กิระหนา เพราะสูญหายไปนานแล้วไม่มีใครรู้ว่าไปไหน”

สังระตูได้ทรงฟังคำลิกูดังนั้น ก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก แต่ระเด่นอินูนั้นดูมีความขวยเขินลอาย

ครั้นแล้วจึงสังนาตะมีสุรศัพท๑๗๕ ตรัสว่า “ดีแล้ว ในวันพรุ่งนี้ เราจะประชุมรี้พลสกลไกรเสนามาตย์ เพื่อจะได้พบเห็นและแห่คู่สมรสทั้งสองนั้น”

แล้วก็มีการประชุมดังว่านั้น และให้รับไว้ซึ่งของฝากของบรรณาการมหัครภัณฑ์ของหมั้นสินสอด

ส่วนปันหยีสะมิหรังนั้นก็กลับคืนสู่วัง เดิรทางไปไม่ช้าก็ถึงและเข้าในตำหนัก ครั้นมหาเดหวีเห็นดังนั้นจึงมีกระทู้ถามว่า “นี่เธอไปไหนมา ค่ำคืนดึกดื่นถึงเพียงนี้ยังขี่ม้าอีก”

ปันหยีสะมิหรังทูลว่า “หม่อมฉันไปเมืองดาหามา ดูคนแต่งงาน เอิกเริกสนุกสนานเหลือเกิน ท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง กำลังหัวเราะต่อกระซิกเบิกบานสบายใจ”

มหาเดหวีได้ฟังคำพระบุตรีดังนั้น ก็ตบทรวงผาง ๆ พลางตรัสว่า “เธอนี้ช่างกล้าจริง เข้าไปในเมืองดาหาแต่ลำพังคนเดียวได้”

ปันหยีสะมิหรังยิ้มลไม ไม่ว่ากระไรอีก ก็และเพลานั้นก็ดึกมากนักแล้วจึงเข้าที่บรรธม แล้วก็เล่นด้วยตุ๊กตาทองคำ นำวางบนกรแกว่งไกวต่างเปล แล้วก็อุ้มร่อนและวางตักไปจนตวันใกล้จะปัจจุสมัยรุ่งสว่าง ครั้นถึงเวลาเช้าก็บรรธมตื่น ด้วยอาการเศร้าหมองทุกขระทมตรมตรอม

จะย้อนกล่าวถึงเหตุเอิกเริกในกรุงดาหานั้น บางคนก็สงกาว่ามีคนบ้าเลือด แต่ก็หาทราบไม่ว่าใคร เห็นแต่จานถ้วยกระทะแตกสลายไปสิ้น บางคนก็สงกาว่าจะเป็นโจรหรือผู้ร้าย แต่เที่ยวค้นหาติดตามก็ไม่พบตัวโจรหรือผู้ร้ายนั้น และดูไปก็ไม่เห็นมีของอไรหายแต่สักสิ่งเดียว เป็นแต่สิ่งของเครื่องใช้แตกสลายพินาศไปเป็นอันมาก คนที่คิดสงกาเป็นอย่างอื่นก็มีเหมือนกัน คือว่าเหตุการณ์อันนั้นอาจเป็นการกระทำของบุคคลผู้ที่มีข้อเจ็บจิตตแค้นใจชรอยว่าก้าหลุอาหยังจะแต่งกับผู้ซึ่งเป็นที่รักของเขา ด้วยต้องเปนการกระทำของคนใกล้ชิด แต่ก็มิรู้ว่าจะเป็นใคร ไม่รู้ว่าคนร้ายนั้นไปทางไหน หาแต่เช้าจนค่ำก็ไม่ได้ตัว

ส่วนพระบุตรก้าหลุอาหยังนั้น พนักงานก็จัดทรงเครื่องประดับประดา คือฉลององค์แพรสรวมสอดเศียร สังวาลย์คล้องคอและวไลทองกร เพิ่มความสวยงามแห่งรูปโฉมขึ้นอีกเป็นอันมาก ฝ่ายอินูนั้น ตำมะหงงก็ใคร่จะแต่งองค์ทรงเครื่องถวาย แต่ตรัสว่า “ช้าก่อนน้า ข้านี้ไม่อยากจะตกแต่งประดับประดาอันใด ถ้าจะเป็นที่ขุ่นเคืองแก่พระราชาและเสนาข้าราชการทั้งหลายก็ขออภัยโทษได้โปรดแก่ตัวข้า”

ครั้นแล้ว ระเด่นอินูก็ขึ้นม้าเผือกแห่ไปรอบพระนคร มีเครื่องดุริยดนตรีมหรศพในกระบวน คือโขน ละคอน พิณพาทย์ต่าง ๆ ส่งเสียงสนั่นอึงมี่มโหฬาร เหตุฉนั้นขบวนแห่นั้นจึงเอิกเริกครึกครื้น เด็กผู้ใหญ่ชายหญิงเฒ่าหนุ่มก็ออกจากบ้านเรือนหมู่บ้านร้านแขวง เพื่อที่จะดูเจ้าบ่าวคู่สมรสนั้น จนแออัดยัดเยียดเบียดเสียดแน่นหนาไปทั่วทุกซอกตรอกทางและถนนหลวง ซึ่งขบวนนั้นผ่านไป ครั้นแห่ไปทางโน้นทางนี้เสร็จแล้วก็เชิญเจ้าบ่าวคู่สมรสนั้นขึ้นประทับเหนืออุสงหงัน๑๗๖ สุวรรณบัลลังก์อันประดับไปด้วยเลื่อมพลอยแก้วมณี

อันระเด่นอินูนั้นแท้จริงก็กำลังอยู่ในพิธีสมรส แต่จิตต์ใจไม่ปล่อยวางจากความคิดถึงคนึงหาปันหยีสะมิหรังเสียเลย เฝ้าแต่ทอดถอนหฤทัยสั้นยาว ถึงแม้ว่าในวงพักตรจะแลเห็นเสมือนว่าชื่นชมปรีดีและวรรณฉวีเปล่งปลั่งผ่องใสก็ตาม แต่ในหฤทัยนั้นยุ่งเหยิงเลื่อนลอย แม้จะประทับนั่งอยู่ดังนั้นก็รู้สึกราวกับว่าลอยคว้างอยู่ในเมฆ


จบ ภาคปฐม

-----------------------------------
๑๗๒ พระเจ้าอาว์
๑๗๓ ต้นฉบับใช้คำ “สังกุตัน” แปลโดยพยัญชนะว่าเปนขอเกี่ยวอยู่
๑๗๔ ต้นฉบับใช้คำ “บุหลัน ปุรนามะ”
๑๗๕ ต้นฉบับใช้คำ “บระสับดะ”
๑๗๖ “อุซงงัน” หรือ “อุซุงงัน” เปนที่นั่งหลังคาและมีคานหาม แต่ในที่นี้เปนบัลลังก์ตั้ง คงมีดาดหลังคาเหมือนกัน ใน พ.ร.น. อิเหนาใช้อุสงหงัน เปนเครื่องหามคือเสลี่ยงหรือวอ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:28:30 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

กิระดังสดับมาแต่ท่านดะตุ๊ผู้รจนาเล่าแถลงเรื่องระเด่นอินู กะระตะปาตี ถึงกาลเมื่อนั่งพิธีอภิเษกสมรสกับก้าหลุอาหยัง เหนือเบญจาปัญจปราสาทมีผู้เฝ้าอยู่หน้าที่นั่งคือ นางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในราชบริวาร สาวพรหมจารีย และดรุณกุมารีใหญ่น้อย กับทั้งผู้ที่รับเชิญมาประชุมดูงาน ณ ที่นั้น ในจำนวนคนเหล่านี้กว่ากึ่งย่อมตกตะลึงพิศวงในอันเห็นรูปงามของระเด่นอินูนั้น

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า อันระเด่น อินู นั้นถึงแม้ว่าประทับอยู่ในท่ามกลางพิธีสยุมพรก็จริงแล แด่ทว่าหาความเสบยบมิได้ ประดุจว่านั่งอยู่บนกองหนาม เฝ้าแต่ทอดถอนหทัยใหญ่น้อยสั้นยาว เพราะจิตต์ใจเลื่อนลอย มิได้หลุดพ้นไปได้จากความคิดถึงคนึงหาปันหยี สะมิหรัง แต่สักขณะเดียว จนคนทั้งหลายแลเห็นเป็นปลาดอัศจรรย์

ครั้นเวลาล่วงรัตติกาลไปมากแล้ว จึงคู่สมรสนั้นลงยังพื้นล่าง เพื่อเข้าที่บรรธม ขณะนั้นท่านลิกูก็รับกรธิดา ก้าหลุอาหยังนั้น แล้วพาไปยังที่บรรธม รูปโฉมก้าหลุอาหยังเวลานั้นนุ่มนวล ศอระหง ราวกับด้ำกระบวยยังไม่ได้ติด แล้วท่านลิกูก็จัดการเปลื้องเครื่องจุมพิตที่เศียรพลางพูดว่า “ลูกแม่ โชคดีเหลือเกิน ด้วยได้เป็นประไหมสุหรีแล้ว”

ครั้นแล้วก็พาเข้าห้อง

ขณะนั้นนางเกน วารคะอยู่ ณ ที่นั้นด้วย เป็นคนช่างยุช่างยอ

จึงเกน วารคะว่า “พระบุตรีโชคดีจริงที่มาได้สวามีรูปดีโฉมงามเห็นปานนี้ แต่เธอจะต้องเอาพระหทัยพระสามีให้มากๆ เพื่อจะได้รักใคร่สิเนหา เวลาประทับรื่นรมย์อยู่ด้วยกับกะกันดาอินู ก็ควรพระบุตรีจะบรรธมเอนลงไปบนตักเธอ”

ท่านลิกูเสริมว่า “ถูกแล้ว ควรอย่างนั้น เออ แน่ะลูกแม่ เมื่อเข้าที่บรรธมแล้ว เธออย่ายอมตนง่ายๆ นะ ต้องแสร้งทำเป็นกลัวและตระหนกตกใจ”

จึงก้าหลุอาหยังตอบว่า “คะ แม่ เวลาอยู่เฉพาะหน้ากับกะกันดาอินู จะควรประพฤติอย่างไร กะกันดาอินูจึงจะถวิลจินดาสิเนหาอาลัยมาก ๆ”

ท่านลิกูตอบว่า “อ้อลูกแม่ เวลาอยู่ในที่บรรธม จะให้ดีแล้วลูกจะแสร้งทำกลัวและตกใจก่อน ถ้ากะกันดาอินูยึดมือถือหัตถ์ จงป้องปัดชักหัตถ์หนี เพื่อกะกัน ดาอินูจะได้เข้าโอบอุ้ม แล้วลูกแม่ควรแสร้งทำกรรแสงเพื่อเธอจะได้เช็ดน้ำเนตรให้ และปลอบโยนด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน ถ้ากะกันดาอินูนั้นไม่จับต้องและไม่ปลอบ เธอควรจะนอนลงบนตัก และกอดบั้นพระองค์ไว้ ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว แน่เทียวเธอคงจะช้อนองค์ขึ้นแล้วปลอบโยนกอดจูบ เมื่อเธอเลวยพลู (หมาก) ควรจะป้อนชานใส่เข้าไปในโอษฐกะกันดาอินู ด้วยโอษฐ์ของเธอเอง เช่นอย่างแม่นกป้อนอาหารให้ลูกนกฉนั้น ถ้ากะกันดากัดที่ริมโอษฐก็เป็นที่หมายว่ามีความสิเนหาอาลัยในตัวเธอแล้ว”

ครั้นรัตติกาลล่วงถึงยามดึก และท่านลิกูเสร็จสั่งสอนพระบุตรีแล้ว คู่สมรสฝ่ายชายจึงเข้ายังที่บรรธมนั้น เข้าที่แล้วระเด่นอินูก็จะบรรธม พนักงานจึงชักม่านปิด ก็และในระวางที่บรรธมเรียงเคียงเขนยกันอยู่นั้น ระเด่นอินูก็พลิกไปพลิกมา ด้วยคิดถึงคนึงหาปันหยีสะมิหรัง และไม่สมประสงค์ในความปรารถนาที่จะสมรสกับก้าหลุจันตหรากิระหนานั้น

จึงคนึงในว่า “เหตุใดหนอก้าหลุจันตหรากิระหนาจึงไม่อยู่ในเมืองนี้ ชรอยว่าปันหยีสะมิหรังนั้นจะเป็นก้าหลุจันตะหรากิระหนาเสียละกระมัง”

ระเด่นอินูไม่สามารถบรรธมหลับได้แต่สักขณจิตต์เดียว เป็นแต่บรรธมกอด ทรวงหลับเนตรนิ่งอยู่ แต่หาหลับไม่

ก้าหลุ อาหอัง เห็นอัธยาศรัยระเด่นอินูดังนั้น กล่าวคือว่าบรรธมนิ่งอยู่ เมื่อ บรรธมหงายก็หงายอยู่อย่างนั้น เมื่อบรรธมตะแคงข้างขวาก็ไม่กลับตะแคงซ้าย จึงก้าหลุอาหยังเอาบาทวางกับบาทระเด่นอินู ๆ ก็ไม่ว่ากระไรสักคำเดียว กลับนิ่งอยู่ประดุจว่าไม่รู้ที่จะปฏิบัติอย่างไรดี

จึงก้าหลุ อาหยังว่า “กะกันดาอินู ปลอบหม่อมฉันบ้างสิ ตั้งแต่เสด็จมาถึงที่นี้อังไม่เคยได้ตรัสปลอบโยนอะไรเลย”

ระเด่นอินูตอบด้วยสำเนียงอ่อนหวานว่า “พี่จะปลอบเธอได้อย่างไรเล่า เพราะไม่เห็นเธอกรรแสง”

กาลนั้น ก้าหลุ อาหยัง ก็ทรงกรรแสง ครั้นระเด่นอินูเห็นความประพฤติของนางดังนั้นก็เบื่อหน่ายหฤทัย ผินพักตรหนีพลางตรัสว่า “เสียงกรรแสงของเธอดังราวกับเสียงเสือซึ่งกระชากใจพี่ ก็และการปลอบโยนนั้นพี่นี้ยังทำไม่เป็น”

ก้าหลุ อาหยัง ก็กรรแสงเรื่อยจนรุ่งสว่างและเนตรช้ำบวม แต่ก็หามีใครปลอบไม่

ถึงเวลาเช้าบรรดานางพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลใน ก็ตื่นนอนทั่วกันเพื่อที่จะโดย เสด็จก้าหลุ อาหยัง ไปลงสรงในตาหมัน จึงก้าหลุ อาหยังปลุกบรรธมระเด่นอินู เพื่อจะชวนให้ไปสรงสนานด้วยกัน ด้วยความปรารถนาจะได้ดำเนิรจูงนิ้วหัตถ์กันไป แต่ระเด่นอินูนั้นก็ไม่อยากจะตื่นกลับตรัสว่า “เธอไปก่อนเถิด กะกันดานี้ไม่อยากอาบน้ำ”

ก้าหลุ อาหยังก็ว่า “ถึงกะกันดาจะไม่อยากสรงน้ำก็ตามทีเถิด มาพากันเดิรไปด้วยกันกับหม่อมฉัน คนทั้งหลายเห็น จะได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดู”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่นี้ยังไม่เคยพาผู้หญิงคนใดไปไหน แม้ตัวพี่เองก็จะต้องขอให้ยะรุเดะ การะตาหลา และปูนตาเปนผู้พา ถ้าเธออยากจะให้มีคนพาไปก็จงไปขอให้เขาเหล่านั้นพาเถิด”

ครั้นแล้วก้าหลุ อาหยังก็เสด็จไป มีพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลในตามเสด็จ เชิญผ้าทรงผลัดเพื่อสรงน้ำในตาหมันที่สรงนั้น ก็และก้าหลุ อาหยัง นั้นเกษายุ่งเหยิง เนตรบวม เหตุกรรแสงเพื่อขอปลอบเพิ่งหยุดลง น้ำตาดังตาน้ำไหลไม่มีอะไรปิดขัดขวางจนเหือดแห้งหยุดไปเอง

ครั้นสรงแล้วจึงเสด็จกลับคืนสู่กะกันดา คือระเด่นอินูนั้น

ฝ่ายระเด่นอินูเล่า ก็เสด็จออกจากตำหนัก มีการะตาหลา และยะรุเดะตามเสด็จ เพื่อไปสระสรงชำระกาย การณ์เปนไปดังนี้ทุกๆวัน ไม่เหมือนดังคู่สามีภริยาธรรมดา ซึ่งไปไหนก็ย่อมจะไปด้วยกัน

ท่านเล่าแถลงว่า กาลล่วงมาสี่ห้าวัน ทั้งสององค์นั้นก็ยังประพฤติอยู่อย่างนั้น จึงก้าหลุ อาหยังขอให้คลึงเคล้าเล้าโลมด้วยตรัสว่า “โอ้กะกันดา นานแล้ว พระพี่ยาได้สมรสหม่อมฉันนี้เปนชายา ยังหาได้เคยคลึงเคล้าเล้าโลมหม่อมฉันไม่เลย”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่จะเคล้าคลึงอะดินดาได้ฉันใด เพราะพี่นี้เองยังไม่รู้ว่าจะพึงทำอย่างไร ตั้งแต่เกิดมาตลอดชีวิตพี่นี้ยังไม่เคยคลึงเคล้าเล้าโลมสตรีเลย ไม่รู้แบบอย่างว่าเขาคลึงเคล้าสตรีอย่างไรกัน”

ก้าหลุ อาหยังก็ตรัสว่า “ถ้ากะกันดาของน้องยังไม่รอบรู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว มาเถอะ ไปเข้าที่บรรธม น้องนี้เองจะเคล้าคลึงกะกันดา”

จึงระเด่นอินูตอบว่า “พี่ไม่ปรารถนาให้หญิงใดมาเคล้าคลึงพี่ มิหน้าซ้ำพี่นี้กำลังเปนหวัดตัวร้อนเหงื่อไคไหลฉ่ำไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องการเคล้าคลึง”

ก้าหลุ อาหยังก็ว่า “ถ้ากะกันดาไม่คลึงเคล้าเล้าโลมอะดินดาจริงๆ แล้ว อะดินดาจะต้องกราบทูลให้ทราบฝ่าธุลีสังระตู ไม่ทูลไม่ได้”

บัดนั้นระเด่นอินูก็นิ่ง และก้มพักตรจินตนาว่า “ไฉนหนอก้าหลุ อาหยังนี้ จึงมีกิริยาอัชฌาศรัยดังหญิงชาวตลาด”

ขณนั้นจึงหวลระลึกถึงความสุจริตและเฉลียวฉลาดของปันหยี สะมิหรัง ซึ่งติดฝังแน่นอยู่ไม่รู้ลืม

บัดนี้ จะกล่าวถึงปันหยีสะมิหรัง ซึ่ง ณ กาลนั้นประทับอยู่ ณ ตำหนัก ด้วยหฤทัยสิเนหาพิศวาสดิ์ไม่อาจลบล้างผลักใสให้หลุดพันจากกมลของนางได้ ด้วยคิดถึงคนึงหาระเด่นอินู กะระตะปาตีอยู่มิรู้วาย

จึงดำริว่า “ถ้าเช่นนั้น เราอยู่ที่นี่จะมีคุณประโยชน์อันใดเล่า ควรเราจะไปเฝ้าบิบินดา ซึ่งประทับอยู่กุหนุงวิลิสนั้นเสียดีกว่า ด้วยกะกันดาอินูก็อภิเษกสมสู่อยู่กับชายา ณ กรุงดาหาแล้ว ถ้าเราขืนอยู่นี่ต่อไป แน่เทียว ผู้คนพลเมืองจะต้องล่วงรู้ความลับว่าเราเปนหญิง อีกประการหนึ่งใจเรานี้ก็จะสิเนหาพิสวาสดิ์ไม่รู้เหือดหาย ถ้าไม่ไปให้พ้นเสียจากที่นี้”

ครั้นประทับตริตรึกดังกล่าวนี้อยู่นานแล้ว จึงตรัสให้หากุดาประวีระกับกุดาปะรันจา

ทั้งสองนั้นก็มาน้อมประนตเฝ้าเจ้านายแห่งตน

บัดดลนั้นปันหยีสะมิหรังจึงตรัสสังกุดาประวีระและกุดาปะรันจาให้ตระเตรียมรี้พลมนตรีเสนา พลางตรัสว่า “ในวันนี้นี่และ เราใคร่จะยกไปจากที่นี่ ด้วยใคร่จะไปมะงุมบาหรารอบแว่นแคว้น”

แล้วจึงจัดเอารี้พลของท้าวมันตาหวันพวกหนึ่ง สั่งให้กลับคืนไปยังบ้านเมืองแห่งตน ฝ่ายรี้พลกุรีปั่นอีกพวกหนึ่งก็เช่นกัน และพระชนนีมหาเดหวีนั้นไม่ให้ไปด้วย ให้ประทับอยู่เงียบๆ แต่องค์เดียวในนครนั้น ส่วนพระบุตรีมันตาหวัน ซึ่งมีนามว่าบุษบาชูวิตกับบุษบาส้าหรีกับทั้งกุดาประวีระ และกุดาปะรันจานั้นให้ไปด้วยสิ้น

ครั้นได้เพลาจวนอรุณรุ่งฟ้า จึงระเด่นปันหยีสะมิหรังเสด็จยาตราแปรทิศสู่กุหนุงวิลิส ลุยป่าดงพงไพรผ่านทุ่งผ่านเขา แต่หทัยนั้นประหวั่นห่วงถึงชนนีมหาเดหวีซึ่งทิ้งไว้เบื้องหลังนั้น ในเพลากลางวันเดิรทางไปไม่หยุดหย่อน พลบค่ำลงที่ไหนก็หยุดพักแรมคืน ณ ที่นั้น เธอดื่มน้ำค้างตามมีตามได้จากที่ตกอยู่ตามใบเผือกมัน ส่วนของเสวยนั้นก็มีแต่ผลไม้ป่า พฤติการณ์เปนดังพรรณนามานี้แล

จะกล่าวถึงนางมหาเดหวี ครั้นเห็นปันหยีสะมิหรังหายไป โดยมิได้บอกกล่าวเล่าแถลงว่าจะไปไหนและไปเสียแต่หัวเช้ามืด นางจึงค้นหาทางโน้นทางนี้ แต่ก็หาพบไม่ นางก็กรรแสงกำศรวลโศกาดูรอย่างใหญ่หลวง พิไรรำพันต่างๆ นาๆ และตะโกนเรียกหา ออกนามปันหยีสะมิหรังมิรู้หยุดว่า “โอ้ ลูกของแม่ ปันหยีสะมิหรัง แม่จะตามไปหาที่ไหนถูกเล่า แม่สู้ตามมาจนถึงนี่ เออสิแล้วมาทิ้งแม่ไว้แต่เดียวดาย พระมารดาของเธอก็ได้ทิ้งเธอกลับไปสู่สวรรค์แล้ว บัดนี้เธอยังมาทิ้งแม่ไปเสียด้วย ที่ไหนเล่าแม่จะได้ประสบพบรูปโฉมอันวิลาศของเธออีก มาจากแม่ไปเสียแล้ว ทุกข์ร้อนเธอจะได้ปรับทุกข์กับใครเล่า พระมารดาของเธอเองก็ละโลกไปเสียแล้วด้วยถูกคนวางยาพิษ โอ้ลูกเอ๋ย ช่างมีแก่ใจทิ้งแม่ไว้ให้อ้างว้างอยู่คนเดียว เออ ลูกเอ๋ย ป่าไหนหนอเธอจะเข้า เขาไหนหนอเธอจะปีน ดงไหนหนอเธอจะลุย ทุ่งไหนหนอเธอจะเดิรข้าม แม่แก่ถึงเพียงนี้แล้วจะมีอุบายทำอะไรได้เล่า”

แล้วมหาเดหวีก็รำพันประการอื่นอีกเล่า มีความเปนไปดังกล่าวนี้แล

จะกล่าวถึงระเด่นอินูกะระตะปาตี ซึ่งอยู่ในเมืองดาหานั้น ณกาลนั้นก็มีแต่กำสรดเศร้าหมอง และพระบุตรีก้าหลุ อาหยังนั้นเล่า ก็ประพฤติดังคนวิกลจริตเมาลำโพงด้วยความรักพิศวาสดิ์ในองค์ระเด่นอินู แต่ระเด่นอินูก็ไม่ใยดีเอาเสียเลย แม้นางขอให้ปลอบก็ไม่ปลอบ นางขอให้โลมเล้าเคล้าคลึง ก็ทำไม่ได้ยิน

ก็และเวลานั้นระเด่นอินูก็ไม่วายที่จะคิดถึงคะนึงหาปันหยี สะมิหรังผู้สหายเลยแม้แต่สักขณจิตต์เดียว จนกลายเปนโรคอันหนึ่งซึ่งสุดที่จะทนทานได้ และจะรอคอยต่อไปอีกไม่ได้ อนึ่งแม้ว่าเธออยู่ในนครดาหาก็ดี ยังมิได้เคยขึ้นเฝ้าธุลีสังระตูเสียเลย จนเปนที่ประหลาดใจแก่บรรดาข้าไทยบริวารชนทั้งปวง

มาวันหนึ่งจึงระเด่นอินู กะระตะปาตีดำริว่า “ก้าหลุ อาหยังนี้มิได้มีอัชฌาศรัยตามเยี่ยงอย่างพระบุตรีเสียเลย มีกิริยาวาจาดังหญิงชาวตลาด และลูกไพร่ บัดนี้สุดที่เราจะทนได้ต่อไปแล้ว”

จึงดำรัสให้หายะรุเดะ และการะตาหลา ๆ ก็เข้ามาเฝ้า

ระเด่นอินูตรัสว่า “เออแนะ พี่ยะรุเดะ จะให้ดีแล้วพี่จงเตรียมรี้พลมนตรีแต่ในเช้าวันนี้เทียว ข้าจะไปมะงุมบาหรา เพราะอยู่ในกรุงดาหานี้ ไม่มีความสบายใจ”

ยะรุเดะ และการะตาหลาก็ไปเตรียมพหลสกลไกร ครั้นมาพร้อมกันแล้ว ระเด่นอินูก็เสด็จยาตราจากกรุงดาหาแปรทิศสู่เมืองของปันหยี สะมิหรัง โดยได้เข้าเฝ้ากราบทูลขอพระราชานุญาตของสังระตูก่อนแล้ว ระเด่นอินูเสด็จไปนั้น แวดล้อมด้วยไพร่พลกุรีปั่นกับทั้งยะรุเดะ ปูนตา และการะตาหลา เดิรทางไปมิได้หยุดยั้ง ไม่ช้าก็พากันไปถึงเมืองของปันหยี สะมิหรังนั้น เพลานั้นวันก็รุ่งสว่าง ดวงทิพากรขึ้นส่องแสงจับยอดเขา สรรพสัตว์จตุบาททวิบาทคือ ฝูงวิหคและมฤคสัตว์ก็ออกหาอาหาร ไก่ป่าในอารัญก็ขันจะเจื้อย กะก้อกก้อก ด้วยเริงใจในอันเห็นแสงอาทิตย์นั้น

ครั้นถึงธานีของปันหยี สะมิหรัง ระเด่นอินูก็จะเข้าวัง เห็นประตูวังนั้นปิดอยู่และในวังนั้นก็เงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงอันใด นอกจากเสียงหญิงคนหนึ่งร้องไห้พิไรรำพันออกชื่อใครอยู่

หทัยระเด่นอินูก็เต้นสั่นระรัว และทันใดนั้นก็รีบเข้าใกล้เสียงนั้น จึงประจักษ์ว่าเสียงซึ่งได้ยินนั้นเปนสำเนียงร่ำพิไรของมหาเดหวีเฝ้าแต่ออกนามปันหยีสะมิหรังและนามประไหมสุหรีว่า “โอ้ลูกแม่เคราะห์กรรมอันใดเล่า เธอจึงมาตามเคราะห์ของชนนีของเธอซึ่งมอดม้วยด้วยถูกท่านลิกูวางยาพิษ แล้วเธอก็มาสละตนหายไป แม่จะตามไปเที่ยวหาที่ไหนเล่า

ระเด่นอินูได้ยินเสียงพิไรรำพันของมหาเดหวี เปนข้อความต่างๆ นาๆ และออกนามประไหมสุหรีกับทั้งก้าหลุจินตะหรากิระหนาดังนั้น จึงจินตนาว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้วก็ย่อมกระจ่างแจ้งว่า ผู้ที่ชื่อปันหยี สะมิหรัง นั้น คือ ก้าหลุ จินตะหรา กิระหนานั้นเอง”

คิดดังนั้นแล้วก็เปล่งอุทานแก่ตนเองว่า “เทวดาอารักษโปรดด้วยเถิด” พลางอสุชลก็หลั่งไหล แล้วตรัสว่า “โอ้เธอ ผู้ยอดสายตาของพี่ เธอช่างมีแก่ใจทำได้ ไม่แสดงตนให้ประจักษ์แจ้งแก่พี่”

ครั้นแล้วบาทและหัตถของระเด่นอินูก็อ่อนเพลีย เพราะหฤทัยไหวประหวั่นสุดที่จะทนได้ พลันพระวาโยใส่วิสัญญีล้มกลิ้งลงยังภูมิดล แต่คนอื่นยังหาทันได้ทราบไม่ ครู่หนึ่งก็ฟื้นพระสติ แล้วก็เช็ดน้ำเนตรด้วยผ้าคาดองค์แพรดอก อันเปนรอยปันหยีสะมิหรังได้ใช้แล้ว และถวายไว้เปนที่ระลึกนั้น


-----------------------------------

ดะตุ๊ หรือดาโต๊ะ เป็นคำยกย่อง ในที่นี้ก็คือว่าท่านอาจารย์หรือท่านกวี ศาลหลวงในมณฑลปัตตานี เคยมีตำแหน่ง ดะโต๊ะยุตติธรรม สำหรับช่วยพิจารณาคดีที่เกี่ยวด้วยศาสนาอิสลาม
ต้นฉบับว่า “ปูอาเต ปันชี ปันจะ ปรชาดะ” แปลว่าเบญจามีหลังคาเป็นปราสาท ๕ ยอด
ต้นฉบับใช้คำ “ปรวาระ”
การกินหมาก ภาษามะลายู เรียกว่ากินพลู
บิบินดา พระเจ้าอาว์ (ผู้หญิง)
ความในต้นฉบับว่า “ครั้นเห็นปันหยี สะมิหรัง ไม่มีอีกแล้ว”
ต้นฉบับใช้คำ “มารคะสัตวะ” ที่ถูกควรจะเปนมริคะสัตวะ
ต้นฉบับใช้คำภาษาอาหรับว่า “อัสตักฟิรุลลาห์” แปลว่า พระเจ้าจงคุ้มกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มกราคม 2568 18:32:15 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:34:22 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

บัดนั้นมหาเดหวีก็ทอดถอนหฤทัยพลางเปล่งอุทานว่า “โอ้ลูกแม่ ไปไหนเสียเล่า ช่างมีแก่ใจทิ้งแม่นี้ไป ตั้งแต่เล็กมาแม่ได้ตามถนอมทำนุกมิเคยจะได้พรากจากกันเลยแต่สักขณเดียว มาวันนี้สิอยู่ๆ ก็มาทิ้งแม่หายไป ถึงแม้จะยังไม่นาน แม่นี้ก็รู้สึกเหมือนนานสักสี่สิบปีแล้ว”

ขณนั้นระเด่นอินูก็เข้าไป ครั้นเห็นแจ้งว่า ผู้ซึ่งพิไรรำพันนั้นคือนางมหาเดหวี จึงเข้าปลอบด้วยวาจาอันอ่อนหวานว่า “เท่านั้นทีเถอะ พระมารดา อย่าทรงกรรแสงไปอีกเลย”

อันที่แท้จริงนั้นถึงตรัสดังนี้ ส่วนในหฤทัยนั้นพลอยกรรแสงตามไปด้วย พลางตรัสว่า “อุวะ ปันหยี สะมิหรัง พี่มิได้รู้เลยว่าเธอเปนจันตะหรา กิระหนา”

แล้วก็กรรแสงไปด้วยกันทั้งสององค์

ครั้นแล้วระเด่นอินูจึงทูลว่า

“โอพระมารดา การณ์ทั้งนี้เปนไปโดยเทวานุภาพขององค์สังหยัง เดวาตะ ทรงบันดาล มาเถอะ บัดนี้หม่อมฉันจะเชิญเสด็จพระมารดากลับคืนกรุงดาหา ด้วยปันหยี สะมิหรังนั้นไม่แน่เลยว่าจะผ่านมายังที่นี้อีกหรือไม่”

แล้วก็ปลอบโยนอีกด้วยคำหวานนานัปการ มหาเดหวีจึงนิ่งเพราะอันได้ฟังสำเนียงอันไพเราะเสนาะโสตรของระเด่นอินูนั้น

ทันใดนั้นระเด่นอินูจึงตรัสให้หายะรุเดะกับการะตาหลา ทั้งสองนายนั้นก็เข้ามาเฝ้าเจ้านายแห่งตน

จึงระเด่นอินูตรัสว่า “ในวันนี้นี่เทียว พี่ทั้งสองจงกลับไปกรุงดาหา พร้อมด้วยพระมารดามหาเดหวี”

แล้วมหาเดหวีก็เสด็จออกเดิรทางกลับกรุงดาหากับยะรุเดะ และการะตาหลา ระเด่นอินูก็ตามไปด้วยสู่กรุงดาหา

มิช้านานก็พากันไปถึงกรุงดาหา ระเด่นอินูมีความรังเกียจที่จะเข้าพระราชวังจึงคอยอยู่ข้างนอก ดำรัสสั่งให้ยะรุเดะกับการะตาหลาเข้าไปพร้อมด้วยมหาเดหวี เพื่อเข้าเฝ้าธุลีสังระตู ดาหานั้น

ฝ่ายองค์สังระตู เมื่อทอดพระเนตรเห็นนางมหาเดหวีเนตรช้ำมา ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่นางไปเสียนั้นจะมิได้ทรงคิดถึงคนึงหาเลยก็ดี แต่บัดนี้เมื่อพบกันก็มีความสงสารสมเพชในพระหฤทัย ทั้งหวลระลึกถึงพระชายาซึ่งถูกวางยาพิษละโลกไปแล้วนั้น ก็รู้สึกองค์ขึ้นและสำนึกในความโหดร้ายของท่านลิกู ด้วยขณนั้นอาคมและยาต่างๆ ของท่านลิกูเสื่อมคลายความศักดิ์สิทธิแล้ว

เหตุฉนั้นสังระตูทอดพระเนตรเห็นนางมหาเดหวีจึงทรงเวทนายิ่งนัก แล้วก็ทรงยกขึ้นเปนประไหมสุหรีแทนที่องค์ประไหมสุหรีซึ่งละโลกไปแล้วนั้น

ฝ่ายว่ายะรุเดะกับการะตาหลา ครั้นเสร็จกิจนั้นแล้วจึงน้อมเศียรถวายบังคมธุลีสังระตูทูลลาออกจากพระราชวัง เพื่อไปเฝ้าเจ้านายแห่งตน ซึ่งประสงค์จะรีบกลับไปยังเมืองของปันหยี สะมิหรังนั้น ไม่ช้าก็พากันไปถึงโดยสวัสดิภาพ ระเด่นอินูก็เข้าไปยังที่บรรธมของปันหยี สะมิหรัง พลันกรรแสงสะอื้นไห้อย่างใหญ่หลวงจนชลเนตรจะเหือดแห้ง มีอากัปกิริยาประดุจดังคนวิกลจริต ไม่รู้สำนึกตน แล้วก็พร่ำพิไรรำพันไปแต่ลำพังองค์เดียวว่า

“ดูหรือ เธอช่างมีแก่ใจทิ้งพี่ไปเสียได้ ถ้าพี่นี้ยังไม่พบเธออยู่ตราบใด จะไม่กลับคืนกรุงกุรีปั่นเลย”

ครั้นแล้วก็เอาเขนยกลิ้งของปันหยี สะมิหรังมากอด และจูบ และรำพันด้วยถ้อยคำประการต่างๆ ทั้งกรรแสงกระทั่งเนตรบวมช้ำ เพราะปล่อยองค์ไปตามหฤทัยยามคลั่งใคล้ใหลหลง ด้วยความพิศวาสดิสิเนหา แทบจะทนทานอยู่ต่อไปอีกไม่ได้

มาวันหนึ่งจึงระเด่นอินูตรัสแก่ยะรุเดะว่า “แน่ะ กะกัง๑๐ ยะรุเดะ บัดนี้พี่จะว่าอย่างไร ด้วยข้านี้ใคร่จะเที่ยวตามหา อะดินดา ปันหยี สะมิหรังนั้น แม้ว่ายังตามไม่พบอยู่ตราบใด ข้าจะไม่กลับคืนกรุงกุรีปั่น ถึงแม้จะต้องเที่ยวมะงุมบาหราไปทั่วทุกแห่งหนก็ไม่ว่าจะติดตามหาปันหยีสะมิหรังนั้นไม่หยุดหย่อน บัดนี้จงไปเรียกน้ามนตรีมา”

จึงยะรุเดะไปเรียกน้ามนตรีนั้น และในขณนั้นเอง น้ามนตรีก็มาเข้าเฝ้า

ระเด่นอินูตรัสว่า “แน่ะน้ามนตรี บัดนี้น้าจงกลับไปกรุงกุรีปั่น กราบบังคมทูลองค์สังระตูให้ทราบฝ่าธุลีว่า ข้านี้ถ้ายังไม่พบกับก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา อยู่ตราบใด จะยังไม่กลับ เพราะก้าหลุ จินตะหรานั้นสูญหายไปจากกรุงดาหา”

แล้วตรัสสั่งให้แบ่งรี้พลกลับไปกรุงกุรีปั่นเสียกึ่งจำนวน ส่วนอีกกึ่งหนึ่งนั้นเท่านั้นเอาตามเสด็จไปมะงุมบาหราด้วย

ฝ่ายมนตรีก็กลับพร้อมด้วยรี้พลซึ่งไม่โปรดให้ตามเสด็จมะงุมบาหรานั้น บ่ายหน้าสู่นครกุรีปั่น

มนตรีเดิรทางไปมินานนักก็ไปถึง แล้วก็เข้าเฝ้าธุลีสังระตู ก้มศิระเกล้าลงยังธุลีบาทบงกชพลางกราบทูลว่า “ขอพระราชทานอภัยตวนกูนับพันๆอภัย ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่า องค์ปุตะรันดา๑๑ ยังไม่เสด็จกลับเพราะยังกำลังออกมะงุมบาหราเที่ยวตามหาก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาอยู่ ด้วยเธอนั้นสูญหายไปจากกรุงดาหา”

องค์สังระตู และประไหมสุหรีได้ทรงฟังคำมนตรีทูลดังนั้น จึงประไหมสุหรีทนอยู่ไม่ได้ พลันกรรแสงพิไรรำพันถึงพระราชโอรส

สังระตูตรัสว่า “เหตุใดเล่าจึงมิได้ข่าวคราวอะไรมาถึงเราเลยในเรื่องนี้ แต่ว่ามูลกรณีนั้นประจักษแจ้งอยู่ จะเปนด้วยเหตุอื่นใดไม่ได้นอกจากความยุแหย่และรันทำของนางลิกู ซึ่งพอใจเล่นกับคาถาอาคมเสน่ห์ยาแฝด จนสังระตูดาหาคล้อยตามไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง”

แล้วสังระตูกุรีปั่นก็พิโรธโกรธกริ้วสุดประมาณ ฝ่ายองค์ประไหมสุหรีก็โศกาดูลย์พูนเทวศอย่างสาหัสทุกทิพาราตรีด้วยเหตุพระราชบุตรซึ่งมีอยู่แต่องค์เดียวแล้วมาจากไปเสียนั้น และราชธานีกุรีปั่นนั้นก็กลายเปนเงียบเหงาสงัด ด้วยว่าองค์สังระตู และประไหมสุหรีกำลังทรงทุกขจิตต์กำศรดอย่างแรงกล้า อันไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและมนตรีทั้งปวงก็ย่อมเปนไปเช่นเดียวกันดังนั้นแล

ฝ่ายว่าระเด่นอินู กะระตะปาตี ครั้นมนตรีนั้นเดิรทางกลับไปกุรีปั่นแล้ว จึงตรัสแก่รี้พลสกลไกรว่า “เฮ้ย รี้พลพหลโยธาของเรา พวกเจ้าจะว่าประการใดในเรื่องนี้”

คนทั้งหลายนั้นก็สนองว่า “เจ้ากูมีพระประสงค์อย่างไร ข้าพระองค์ก็จะปฏิบัติตามทุกสถาน และพระองค์ประทับอยู่ ณ ที่ใด ข้าพระองค์ทั้งหลายก็จักอยู่ ณ ที่นั้นด้วยกับตวนกู”

แล้วระเด่นอินูก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ถ้าพวกเจ้าทั้งปวงจะตามเราไป มาเราจงเปลี่ยนชื่อและแปลงกายเสียให้ทั่วกัน บัดนี้นามกรของตัวเราจะเปลี่ยนเปน ปะเงรัน๑๒ ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา อันยะรุเดะให้เปลี่ยนชื่อเปนวิรุน ปูนตาให้ชื่อ อันดาคา การะตาหลาให้ชื่อ กาลัง ประสันตาชื่อ กิอาย ลูระ สะมาร์๑๓

ครั้นแล้วเขาทั้งหลายนั้นต่างคนต่างก็แปลงนามทั่วกัน แล้วระเด่นปันหยียาเหย็ง กะสุมาก็ยาตราออกจากธานีนั้นด้วยหฤทัยประหวั่นด้นดั้นมรรคาเข้าป่าออกไพร ขึ้นเขาลงเขา ผ่านทุ่งข้ามน้ำอย่างกว้างใหญ่ ทางครรไลยิ่งลำบาก ก็ยิ่งเหนื่อยยากวรกาย แล้วก็ยิ่งมั่นหมายคิดถึงคะนึงหาปันหยี สะมิหรังแต่ก็มิให้พบเห็นโดยอาการอื่นใด นอกจากลอยอยู่ในภาพซึ่งหากนึกเห็นเปนองค์ระเด่นปันหยี สะมิหรังไปเท่านั้น คิดถึงปันหยี สะมิหรังขึ้นมาเมื่อใด เธอก็เอาสะไบรัดเอวซึ่งให้ไว้นั้นมาจูบ ความเปนไปของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา มีประการดังนี้ จนกระทั่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั่ววรกาย ด้วยความรักพิศวาสดิ์มาดหมายหาที่สุดมิได้

ฝ่ายวิรุนก็เปนอย่างนั้น คิดถึง มะ ระมีซะ๑๔ ขึ้นมาเมื่อไรก็ตบอก แล้วโก่งก้นสู่ฟ้า

กาลัง เห็นวิรุนโก่งก้นขึ้นสู่ฟ้า ศีรษะอยู่เบื้องต่ำ กางเกงถลกดังนั้น ก็ชังน้ำหน้ามันไส้ จึงผลักวิรุนล้มกลิ้งฝุ่นลอองเต็มตัว ใครเห็นก็หัวเราะก๊ากๆ ไปทั่วกัน

ต่อนี้ไปท่านกวีผู้รจนาเล่าแถลงว่า ปันหยียาเหย็ง กะสุมานั้นจรจรัลลุยป่าพนาลัย ค่ำลงที่ไหนก็พักแรมณที่นั้นตามแต่ใจปรารถนา ไสยาภายใต้ร่มไม้ เสวยตามแต่จะหาได้ คือเผือกมัน แต่พอได้ประโยชน์บรรเทาความหิวกระหาย คิดพลางก็ฟูมฟายชลเนตรหลั่งไหลไม่รู้หยุด ประดุจตาน้ำ ซึ่งไหลออกจากซอกศิลา พลางก็เช็ดด้วยผ้าคาดองค์ ดูรูปทรงราวกับว่าโสรดสรงด้วยน้ำอสุชลฉนั้น ยิ่งเปนเวลาค่ำคืนด้วยแล้ว หยุดพักแรมอยู่เชิงบรรพต หฤทัยก็ยิ่งเหี่ยวหดพินาศสลายด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าคนอง โต้ตอบไปมามิรู้วาย และถึงเพลาเช้าตรู่พระสุริยฉายเริ่มจะส่องกระจ่าง ก็มีแต่น้ำค้างพร่ำหยาดเยือกเย็น

ณกาลเช่นนั้นเธอก็ตรัสแต่ลำพังองค์เดียวว่า “อุวะ ปันหยีสะมิหรังน้องรักของพี่ ๆ ออกมะงุมบาหราแบกทุกข์โศกาดูลย์อยู่ดังนี้ อะดินดาไม่เห็นกะกันดาเลยหรือ อุวะน้องเอ๋ย ช่างมีแก่ใจทำแก่พี่ได้ดังนี้”

แล้วปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ทอดถอนหฤทัยใหญ่อย่างดัง ชลเนตรพลันก็ไหลหลั่งประดุจสายน้ำตกจากเชิงภูผาฉนั้น

อัดอั้นตันจิตต์ผิดหวัง

เหมือนอยู่ในหลุมปิดขัง

ใครเล่าอาจรู้อาจหยั่ง

จิตต์ประหวั่นพรั่นทุกข์ประดัง

พอถึงเพลาทิวาวาร เริ่มจะรุ่งสว่าง สรรพวิหคในอารัญยังมิทันจะออกบิน นกกระสาก็ยังจับเจ่าเหงาอยู่เพราะยังเยือกเย็น และมฤคสัตว์ทั้งปวงก็ยังมิทันจะออกหาอาหาร ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็ตื่นบรรธมเสด็จลงโสรดสรงชำระกายในลำธาร ครั้นแล้วก็จรจรัลไปใหม่ด้วยอาการเมื่อยล้าอ่อนเพลีย

เดิรทางไปมินานก็ไปถึงซึ่งนครอันหนึ่งมีนามว่าสะดายุ

แล้วปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็เสด็จเข้าเมืองและทันใดนั้นตรัสสั่งกาลัง และวิรุนให้จัดสร้างพลับพลาประสังคราหัน ไม่ช้าก็สร้างสำเร็จ จึงตรัสสั่งให้ยับยั้งรี้พลพักอยู่ ณ ที่นั่น และให้เล่นหัวสนุกสนานเริงพลทั่วไป

บัดนี้จะกล่าวถึงท้าวครองเมืองสะดายุนั้น เธอมีธิดาองค์หนึ่งซึ่งมีวงพักตรโฉมงาม ทรงนามว่า นางบุตรี ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา

ก็และ ศรีภคินทราช สะดายุ นั้น ทรงสิเนหาอาลัยในพระราชบุตรีนั้นยิ่งนัก มักทรงชักชวนให้ประทับใกล้ชิดองค์ในที่เฝ้าสาวสรรกำนัลใน

ณ กาลนั้น จึงนายประตูเมืองวิ่งละล้าละลังกระหืดกระหอบเข้ามา ท่าทางประดุจคนถูกเสือไล่ น้อมเศียรเกล้าเฝ้าสังระตูแล้วทูลว่า “ขอพระราชทานอภัยตวนกู นับพันอภัย ด้วยที่นอกวังธุลีตวนกูนั้น มีชายชาติกษัตริยะ๑๕หนุ่มคนหนึ่ง เขาพาเอารี้พลมาด้วยและได้ตั้งประสังคราหันขึ้นแล้ว เค้าเงื่อนชะรอยจะมาตีเอานครของธุลีตวนกูนี้”

บัดดลก็จัดเตรียมรี้พลพหลโยธาพร้อมสรรพทั้งเสนาและทหารเอก ถืออาวุธครบมือแล้วก็พากันออกไปยังสนามสมรภูมิชัย เข้ารุกไล่ข้าศึกสัตรู เสียงอึกทึกพรรฤกโกลาหล ทั้งเสียงประโคมดุริยดนตรี มีฆ้องหมุ่ย ฆ้องตับ ระนาดทอง และกลองยุทธเภรี ก็ตีกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เสียงดังสนั่นกัมปนาท เสียงพาทย์กับเสียงพลระคนกันกึกก้อง ต่างโห่ร้องส่งเสียงซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย

แต่พอสองฝ่ายเผชิญหน้ากระทบกัน ก็สู้รบกันอย่างเด็ดเดี่ยวสามารถ ทั้งแทงพุ่ง แทงทิ่ม บ้างก็คว้ากันที่เอวผลักไสลากดึง

ฝ่ายสะมาร์ กับวิรุน กาลังกับอันดาคา ก็ยินดีนัก ถลาพุ่งเข้าไปกลางหมู่ข้าศึก ตลุมบอนทางโน้นทางนี้ไม่ต้องพักกล่าวว่า สะมาร์นั้น ได้ฟันฆ่ารี้พลสะดายุตายในที่รบนั้นเสียมากมายทีเดียว

จึงรี้พลสะดายุทั้งหมด ปรากฏว่าไม่สามารถทนต่อสู้ข้าศึกอยู่อีกได้ เพราะถูกพี่เลี้ยงหรือเสนาทั้งสี่นั้นโจมตีอย่างเข้มแข็ง

ยิ่งสู้รบนานไปก็ยิ่งล้าลง แล้วก็ถอยหลัง พวกหนึ่งวิ่งหนีระส่ำระสายทิ้งอาวุธเพราะยังหวังรักชีวิต อีกพวกหนึ่งก็ถอยไป เหลือแต่มนตรี ตำมะหงง และทหารเอก

ครั้นดะหมัง ตำมะหงง ทหารเอก และมนตรีเห็นไพร่พลหนีกระจัดกระจายไปเปนอลหม่านดังนั้น ตนเองก็แทบจะขาดลมปราณทนอยู่ไม่ได้ จึงแข็งใจเข้ากระทบพุ่งเข้ารบกับข้าศึกทั้งมวญ

ขณนั้นจึงประสบกับ กาลัง วิรุน และสะมาร์ ก็เข้าสู้รบกันอย่างสามารถ ต่างยึดมือถือแขนลากดึงซึ่งกันและกัน และฟันตี

มิช้านาน ดะหมัง ตำมะหงง และประธานมนตรีทั้งมวญนั้นก็ถูกกาลัง วิรุนและสะมาร์ จับได้และให้มัดไว้

ส่วนรี้พลสะดายุที่ยังเหลือสู้รบกันอยู่นั้น ครั้นเห็นดะหมังและตำมะหงงถูกจับเปนเชลยสิ้นแล้ว ก็ทิ้งอาวุธ แล้วก็เลยแตกสลายพ่ายแพ้สิ้น และตกเปนเชลยของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น

แล้วท้าวสะดายุก็มายอมตนเปนเมืองออก และบุตรี นาหวัง จันตะหรานั้นก็ถวายแด่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา

อันพระบุตรีนั้นก็กรรแสงสอื้นไห้นักหนา แต่ทว่าเมื่อได้เห็นรูปโฉมของปะเงรัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมางามวิไลดังนั้นแล้ว นางก็หยุดกรรแสง และรู้สึกผิดในอันประพฤติดังนั้น เพราะชั้นต้นสงกาว่าปะเงรัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นคงจะเปนคนผิวดำ รูปกายกำยำสูงใหญ่ นับแต่วันนั้นไปพระบุตรีเธอก็เกิดกำหนัดพิศวาสดิ์ประดุจคนมึนเมา ด้วยความสิเนหาอันแรงกล้าในองค์ระเด่นปันหยีนั้น

ครั้นแล้วท้าวสะดายุก็จัดการต้อนรับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา และทำพิธีวิวาห์สยุมพรกับนางบุตรี ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรานั้น แล้วก็อยู่ด้วยกันด้วยความรื่นรมย์โสมนัศสุดประมาณ

ครั้นถึงเพลารัตติกาล ดวงบุหลันส่องสว่างกระจ่างหล้า สนั่นเสียงคนทั้งหลายสรวลเสเฮฮาด้วยวิรุน สะมาร์ และกาลัง โลดเล่นเต้นรำบิดตัวไปมาอย่างตลกคนอง และตบมือทำนองประดุจดังนักชนไก่ ยามไก่ของตนชนะ ฝ่ายสององค์คู่วิวาห์ใหม่นั้น ก็เข้าที่บรรธม

ครั้นรุ่งเช้าจึงตรัสกับสหายหรือพี่เลี้ยงว่า “แน่ะ วิรุน และกาลัง บัดนี้พี่จะว่ากระไรด้วยข้านี้มีความประสงค์จะออกไปจากที่นี้แต่วันนี้เทียว เพราะยังไม่อิ่มหนำช่ำใจ ด้วยมิได้ประสบหรือหาพบตัวน้องปันหยี สะมิหรังนั้น เพราะฉนั้นจงรีบไปตระเตรียมรี้พลณบัดนี้”

จึงวิรุนออกไปเรียกชุมนุมเตรียมรี้พล ก็พร้อมสรรพโดยพลันทันใดนั้น

ระเด่นปันหยีตรัสแก่พระนางบุตรีนั้นว่า “เออ อะดินดา บัดนี้น้องจะว่าประการใด ด้วยพี่นี้จะออกมะงุมบาหราต่อไปอีก”

นางก็ทูลสนองว่า “กะกันดาจะเสด็จหนไหนก็ตาม หม่อมฉันจะขอตามเสด็จกะกันดาไปด้วย”

จึงระเด่นปันหยี ตรัสว่า “ดีแล้ว”

ครั้นแล้วจึงดำรัสให้ผูกวออุสุงหงัน๑๖ขึ้นหลังหนึ่ง และแต่งรถไว้ด้วย แล้วพระนางบุตรีนั้นก็เสด็จขึ้นทรงวอ



-----------------------------------

สำนวนมลายูเรียกหมอนข้างว่าหมอนกลิ้ง
๑๐ พี่
๑๑ ปุตระ แปลว่า บุตร ปุตะรันดา = พระราชบุตร
๑๒ ในชวาทุกวันนี้ “ปะเงรัน” เปนยศทำนองเจ้าต่างกรมฝ่ายชาย คือเมื่อยังเยาว์ใช้ยศอุสตี พออายุถึง ๑๐ ปี เข้าพิธีสุหนัด แล้วก็รับยศปะเงรันพร้อมกันไป และเปลี่ยนนามเหมือนระเบียบนามกรมของไทยเรา อนึ่งพระยาเมืองที่รับราชการนานมีความชอบมาก ยกขึ้นเปนปะเงรันก็มี 
๑๓ บรรดาชื่อแปลงเหล่านี้ไม่ตรงกับ พระราชนิพนธ์อิเหนาเลย
๑๔ มะ ระมีซะ นี้ ว่าเปนพี่เลี้ยงคนหนึ่งของปันหยี สะมิหรัง และเปนที่รักของยะรุเดะซึ่งแปลงชื่อเปนวิรุน แต่ในหนังสือนี้มีออกชื่อแต่ตรงนี้แห่งเดียว
๑๕ ต้นฉบับใช้คำ “สะตริยะ” ได้แก่กษัตริยะ, ขัติยะ คือนักรบ
๑๖ ใน พ.ร.น. อิเหนาว่า อุสงหงัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มกราคม 2568 18:36:50 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:40:34 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

ณ กาลนั้น จึงตรัสสั่งให้มนตรีนายหนึ่งเข้าไปเฝ้าธุลีสังนาตะสะดายุ ทูลว่า ระเด่นปันหยีจะเสด็จไปแต่ในวันนั้น ไม่ทันที่จะเข้าเฝ้าทูลลาสังระตู ต่อเมื่อกลับมาใหม่จึงจะเข้าเฝ้า

มนตรีก็ไปทูลให้ทราบฝ่าธุลีสังนาตะตามเรื่อง

องค์สังนาตะได้ทรงฟังข่าวดังนั้น ก็ทรงกำสรดทุกข์จิตต์ไม่มีที่สุด ด้วยยังมิทันจะได้ทอดพระเนตรเห็นราชบุตรเขยเลย ซึ่งตามข่าวลือระบือว่า ระเด่นปันหยีนั้นโฉมงามยิ่งนัก

ฝ่ายว่าระเด่นปันหยี ณ กาลนั้นก็ออกจรจรัลไปจากนครสะดายุ พร้อมด้วยบุตรี นาหวัง จันตะหรา และรี้พลสกลโยธาโดยเสด็จ ชาวประโคมก็กระทั่งเสียงฆ้องหมุ่ย ฆ้องตับไม่ยับยั้ง และในจำนวนรี้พลนั้นบางพวกส่งเสด็จแล้วก็กลับ บางพวกก็ตามเสด็จไปด้วย

ระเด่นปันหยีนั้นก็จรดลด้นดั้นไปทั้งกลางวันกลางคืน พบบ้านเมืองเข้าที่ไหนก็ให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้น ณ ที่นั่น แล้วก็เข้าโจมตีชิงเอาเมืองทางเบื้องซ้ายเบื้องขวาจนกระทั่งตีเอาได้ อ่อนน้อมเปนเมืองขึ้นแล้วหลายเมือง

การที่ประพฤติดังนี้มิใช่เพราะมีความมุ่งมาทประการอื่นใด นอกจากที่ให้บรรลุผลตามประสงค์จำนงหมาย กล่าวคือจะค้นให้พบปันหยี สะมิหรัง

ตามเรื่องที่เปนดังนี้ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งได้จำนวนรี้พลเพิ่มพูนมากขึ้น พฤติการณ์มีอันเปนดังกล่าวมาด้วยประการฉะนี้แล

บัดนี้จะกล่าวถึงก้าหลุ อาหยัง ซึ่งได้เสกสมรสใหม่ๆ นั้น ถึงแม้ว่าเธอจะได้เปนชายาหลับตื่นมาแล้วหนึ่งวันกับหนึ่งคืนก็ดี แต่ก็ยังหาได้เคยสูดซาบกลิ่นเสโทของสวามีไม่ ครั้นล่วงคืนที่สอง พอรุ่งเช้าเธอบรรธมตื่นเห็นระเด่นอินูหลับสนิทแล้ว เธอจึงเลี่ยงไปในเวลากำลังหลับ เพราะก้าหลุ อาหยังใคร่จะสรงน้ำในเพลาตื่นบรรธม ครั้นกลับมาไม่เห็นมีพระสามีในที่ไสยาศน์เสียแล้ว นางก็กรรแสงด้วยความพิศวาสคลั่งไคล้ในพระสามี คือระเด่นอินูนั้น แล้วก็เที่ยววิ่งหาทางโน้นทางนี้ บัดเดี๋ยวก็ไปดูรอบขอบตำหนัก บัดเดี๋ยวก็ไปเที่ยวหาในโรงม้า บัดเดี๋ยวก็ค้นดูในที่บัณฐรณ และเที่ยวซอกซอนค้นหาหลังหีบหลังเตียงกระทั่งเสื้อผ้าภูษาทรงสลัดตรวจ ด้วยสงกาว่าระเด่นอินูจะล้อเล่นและแกล้งซ่อนเร้นองค์ แต่แม้ถึงว่าไม่ลืมตรวจกระทั่งหลังบานประตูก็หาประสบพบประระเด่นอินูไม่

นางก็ลงกลิ้งเกลือกกรรแสงไห้ พลิกไปพลิกมาอยู่ที่พื้น

ก็และในบรรดาสาวสรรกำนัลในข้าไททั้งหลาย หามีใครอยากเอาธุระแก่การที่นางกรรแสงร่ำไห้นั้นไม่ แม้ถึงว่านางจะออกนามระเด่นอินูมิรู้หยุด โดยอุทานเช่นว่า “อุวะ กะกันดาอินูผู้องค์ดีพักตรงาม อุวะ กะกันดา ซึ่งหวานน่ารัก โปรดทอดพระเนตรอะดินดานี้สักหน่อยเปนไรมี ปลอบหม่อมฉันบ้างซี ใครเล่าจะเปนผู้สมควรปลอบหม่อมฉันยิ่งไปกว่ากะกันดา อุวะ กะกันดาเสด็จมาหาต้อนรับหม่อมฉันเถิด ด้วยกะกันดาองค์เดียวเปนผู้สมควรจะรับรองหม่อมฉัน ใครอื่นจะมารับรองหม่อมฉันไม่เอา กะกันดาเท่านั้นเปนผู้ได้ผูกพันธ์แล้ว และเปนเจ้าของในตัวของหม่อมฉัน กะกันดาเปรียบดังเปนเมล็ดพลอย หม่อมฉันเปนเรือนฝังรองรับ ใครดูก็เห็นคู่ควร กะกันดาเสด็จไปองค์เดียวควรที่หม่อมฉันจะเปนผู้โดยเสด็จและดำเนินไปด้วยกัน กะกันดาประดุจบุหลันหม่อมฉันประดุจดวงระวี ถ้ากะกันดาเปนกุหนุงคิรี หม่อมฉันก็เปนยอดบรรพต โอ้องค์คิรี จะทรงหาใครได้ที่ไหนเล่า ที่จะเทียบได้เหมือนหม่อมฉันนี้”

แล้วก้าหลุ อาหยังนั้นก็รำพันประการอื่นๆ ต่อไปแทบจะสิ้นสมฤดี ด้วยความคลั่งไคล้ใหลหลงในองค์ระเด่นอินูนั้น

ฝ่ายนางสาวสรรกำนัลในก็หามีใครปราสัยไต่ถามแต่สักคนหนึ่งไม่ และสังระตูก็ละอายพระหฤทัย ทั้งทรงรำลึกถึงพระมเหษีซึ่งถูกวางยาพิษสิ้นชีพไปแล้วนั้น ก็บังเกิดความเกลียดชังในท่านลิกู เหตุด้วยเสน่ห์ยาแฝดนั้นเสื่อมคลายสิ้นฤทธิแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น แม้องค์สังระตูก็ไม่ทรงปรารถนาจะเอาธุระกับก้าหลุ อาหยัง

บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งกำลังเดิรทางอยู่รอบประเทศ และได้เจ้าผู้ผ่านนครต่างๆ มาอ่อนน้อมเปนเมืองขึ้นเมืองออกแล้วเปนอันมากนั้น

เดิรต่อไปไม่ช้าก็ไปถึงแว่นแคว้นอันหนึ่ง แล้วก็เข้าไปสู่นครหลวง สั่งให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้น

ก็และแว่นแคว้นนั้นมีนามว่า จกรกา๑๗ และพระราชาผู้ครองนครนั้นมีราชบุตรสององค์ๆ หนึ่งเปนชาย มีนามว่า ระเด่น วิรันตะกะ อีกองค์หนึ่งเปนหญิงมีนามว่า พระบุตรี นิลวาตี๑๘ แต่พระบุตรีนี้เปนธิดาของชายารอง

ครั้นระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้นแล้ว จึงนายประตูเมืองนั้นวิ่งเข้าไปในวังแล้วทูลความให้ทราบแก่ท้าวจกรกา

ท้าวเธอได้ฟังข่าวทราบว่ามีชายชาติกษัตริย์หนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในเมืองและสั่งให้ตั้งพลับพลาประสังคราหันขึ้นแล้วดังนั้น ก็พิโรธโกรธกริ้วเปนอันมาก แล้วตรัสว่า “ควรเราจะไปจับมันเสียบัดนี้เทียว ถ้ามันเปนคนที่ชื่อว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งนัยว่าเปนคนอ่อนหวานโฉมงามนักนั้นแล้ว กิริยาอาการของมันก็เปนประหนึ่งโจรไปเข้าเมืองใครก็ไม่จำนงหมายอันใดอื่น นอกจากจะปล้นตีชิงเอาทรัพย์สินของคนทั้งหลายเท่านั้น ท้าวสะดายุก็ถูกมันทำเล่นตามใจแล้วก็ถูกจับเอาตัวได้อย่างง่ายดาย และไปยอมอ่อนน่อมแก่มันเพราะเปนคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ แต่ตัวเรานี้จะไม่ให้มันสมประสงค์อย่างนั้น เราจะไปจับตัวมันเอาเข้าขังคุกเสียทั้งเปนๆ เทียว”

ณ กาลนั้นจึงราชโอรส ซึ่งทรงนามระเด่นวิรันตะกะนั้นทูลสนองว่า “พระบิดาตรัสนั้นถูกต้องชอบแล้วทุกประการ ก็และการจะจับตัวมันนั้นขอรับพระราชทานให้เปนพนักงานหม่อมฉันนี้เถิด”

ทันใดนั้นองค์ท้าวจกรกา จึงตรัสสั่งให้เตรียมรี้พลสกลไกร ล่วงไปอีกครู่หนึ่งก็มีเสียงโห่ร้องเปนเอิกเกริกมโหฬาร ออกเดิรไปสู่สนามสมรภูมิชัย

ระเด่น ยาเหย็ง กะสุมา เห็นข้าศึกมาดังนั้นก็แย้มสรวล พลางเช็ดพักตรด้วยผ้ารัดองค์และตรัสว่า “เฮ้ย วิรุน และพี่สะมาร์ ระวังตัวจงดีเถิด พี่ทั้งสองคน ด้วยบัดนี้เราจะต้องสู้รบอย่างจริงจัง เพราะข้าศึกที่มานี้จะเข้าโจมตีเรา และดูท่าทางองอาจกล้าหาญมาก”

สะมาร์กับวิรุนก็ถลกแขนเสื้อและถลกขากางเกง ฝ่ายกาลังก็เช็ดจมูกด้วยน้ำมูกไหลไม่หยุดหย่อน จนเต็มไปด้วยน้ำมูกแห้งเกรอะติดตังดังแป้งเหนียวพลางกล่าวว่า “ยาก ยากแท้ คอยประเดี๋ยวก่อน แล้วหม่อมฉันจะเข้าเผชิญหน้าข้าศึกให้สู้รบกัน จนมันแตกยับพินาศไปสิ้น”

แล้ววิรุนก็ตะโกนท้า จนบรรดารี้พลของท้าวจกรกาโกรธจะเร่งเข้าจับตัว

วิรุนก็ต่อสู้ด้วยองอาจกล้าหาญ แล้วก็เกิดสงครามกันเปนสามารถ ฝุ่นธุลีก็ปลิวขึ้นสู่อากาศจนมืดมน

ทันใดนั้นท้าวจกรกาก็เร่งม้าเข้ารุกไล่ข้าศึก และไม่ช้าก็เข้าใกล้กับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ด้วยความประสงค์จะจับ แต่ยังไม่ถึงตัว

ต่อนี้ไป ท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้เล่าแถลงว่า สงครามนั้นเปนการใหญ่หลวงโกลาหล ได้ทำอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนมิได้หยุดยั้ง

ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็เข้ากระทบกับท้าวจกรกา แทงทิ่มแทงพุ่งซึ่งกันและกันทั้งถ้อยทีรุกไล่ไปมา อาชาแต่ละฝ่ายก็เข้ากัดกัน บางขณก็ฟันกันด้วยดาบ เมื่อระเด่นปันหยีรุกเข้าตะลุมบอน ท้าวจกรกาก็หลบไปเบื้องขวา เมื่อรุกต้อนเข้าไปข้างซ้ายก็โลดหลบไปข้างขวา แล้วกริชทรงของระเด่นปันหยี ซึ่งมีนามว่ากาละมิตานีก็กระทบถูกท้าวจกรกาที่อุระประเทศ ท้าวจกรกาไม่สามารถปัดป้องได้เพราะระเด่นปันหยีโถมแทงอย่างแรงมาก และด้วยเหตุที่ท้าวจกรกาเผลอตัวไม่ระมัดระวังเพราะเหนื่อยล้า ไม่สามารถเต้นโลดโดดหลบได้อีกแล้ว จึงถูกแทงที่ทรวงซวดเซ โลหิตก็หลั่งไหลดังเทน้ำ ขณนั้นท้าวจกรกาก็ล้มม้วนกลิ้งลงบรรลัยยังพสุธา

จึงกาลนั้นราชบุตร ผู้ทรงนามระเด่นวิรันตะกะนั้น เห็นราชบิดาเสียทีม้วยมรณ์ลง หัตถ์ก็ปลงปล่อยอาวุธเข้ากอดศพชนกซึ่งเหยียดอยู่ ณ พื้นดินนั้น อันไพร่พลก็ล้มตายด้วยเปนอันมาก

ครั้นพวกพหลโยธีจกรกาเห็นราชาของตนเสียชีพไปแล้วดังนั้น แต่ละคนก็พากันทิ้งอาวุธยุทธภัณฑ์ ทั้งเหล่ามนตรีเสนาและนายทหารทั้งนั้นก็ยอมตนแพ้ ด้วยหวังรักชีวิต

ทันใดนั้นระเด่นวิรันตะกะก็ต้อนรับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาพาเข้าในพระราชวัง เชิญให้ขึ้นประทับเหนือสิงหาศน์ ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาเห็นระเด่นวิรันตะกะก็เกิดความสมเพชเวทนาในเพราะเหตุที่ต้องมาเสียราชบิดาบรรลัยไปแล้วนั้น จึงตรัสว่า “เอาเปนแล้วกันทีเถิด อะดินดาวิรันตะกะ ด้วยเปนเคราะห์กรรมอันแน่แท้ที่ต้องมาเปนเช่นนี้ด้วยเดชมหาเทวาธิราชเจ้าทรงบันดาล”

ระเด่นวิรันตะกะก็ก้มเศียรรับ มิได้ว่าขานโต้ตอบประการใด

ครั้นระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาได้ประทับอยู่ในนครจกรกามานานพอควรแล้ว นางบุตรีนิลวาตีผู้กนิษฐภคินีของระเด่นวิรันตะกะก็ยอมตนถวายแต่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้วก็สถิตครองกันโดยผาสุกเกษมสำราญ

ต่อมาวันหนึ่งจึงโปรดให้นางนาหวัง จันตะหรา ทรงวอเข้ามาเพื่อจะได้พบรู้จักกันกับนางนิลวาตีนั้น นางนิลวาตีก็ละอายด้วยมิได้คาดหมายว่าระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นมีคู่ครองอยู่แล้ว ครั้นนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหราตระหนักว่า นิลวาตีอับอายดังนั้น จึงตรัสว่า “ช่างเถิด อะดินดานิลวาตี อย่าอับอายไปเลย ด้วยน้องของพี่เปนกำพร้า และกะกันดาของเธอก็เปนกำพร้าดุจกัน บัดนี้โชคชะตาได้นำเราเข้ามาหากัน แล้วสุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ควรที่น้องจะฝากตัวแก่พี่ และพี่นี้ก็จะฝากตัวแก่น้องเหมือนกัน”

แล้วสององค์นั้นก็ชื่นชมโสมนัศอยู่ด้วยกันโดยสงบสันติภาพและสิเนหารักกันเช่นอย่างพี่น้อง

ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ตรัสว่า “พี่นี้ตกเปนคนจาริกท่องเที่ยว ต่อไปน้องก็จะต้องเปนดังนั้นเหมือนกัน”

ต่อมามินาน วันหนึ่ง จึ่งระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาตรัสแก่เสนาข้าราชการว่า “แน่ะ สะมาร์ และกาลัง ในวันพรุ่งนี้เราควรจะเดิรทางต่อไปอีกแล้ว”

เขาเหล่านั้นก็ทูลสนองว่า “ชอบแล้ว ตวนกู”

ฝ่ายนิลวาตีกับระเด่นวิรันตะกะ จึงทูลว่า “อ้า ตวนกู ขอพระองค์ได้โปรด ด้วยหม่อมฉันทั้งสองนี้จะขอตามเสด็จไปด้วยไม่ว่าจะเสด็จไปแห่งหนตำบลไหน หม่อมฉันไม่อยากอยู่ต่อไปในนครนี้ด้วยว่าองค์สังระตูก็เสด็จสวรรคาลัยแล้ว”

ถึงเพลาอรุณรุ่งสางสว่างฟ้า พระสุริยายังมิทันขึ้นไขดวงปวงวิหคในอรัญยังมิทันจะตื่นนอน แสงดารากรยังมิทันดับ คนทั้งหลายทั้งปวงต่างก็ระวังระไวอยู่ในที่นอน จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา เรียกเตรียมรี้พล แล้วก็ออกเดิรทางพร้อมทั้งนางนิลวาตีและระเด่นวิรันตะกะ เพราะสององค์นี้จะขอตามเสด็จไปด้วยไม่ว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาจะเสด็จไหน จึงมีผู้สำเร็จราชการปกครองกรุงจกรกานั้น แทนที่ราชาจนกว่าจะเสด็จกลับ คือว่ามนตรีนายหนึ่ง ซึ่งเปนคนอยู่ในวัยชราภาพพฤติการณ์เปนดังนี้ด้วยเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

ความเรื่องมะงุมบาหรารอบแว่นแคว้นแดนดินนี้ จะงดไว้ก่อน บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงปันหยี สะมิหรัง ซึ่งเดิรทางไปรวมทั้งคนตามเสด็จด้วยเปนเจ็ดคนนั้น ผ่านบรรพตเขาเขินเนินทุ่ง ทั้งตำบลหมู่บ้านมากหลาย มีผู้โดยเสด็จคือ นางบุตรี บุษบาชูวิต กับบุษบาส้าหรี ซึ่งเปนธิดาท้าวมันตาหวัน อีกทั้งเกนบาหยัน เกนส้าหงิด เกนปะมอหนัง และเกนปะสิเหรียน๑๙

แล้วตรัสสั่งให้รี้พลมันตาหวันและรี้พลดาหาบางส่วนนั้นกลับคืนสู่บ้านเมืองแห่งตนๆ ส่วนที่โปรดให้ตามเสด็จด้วยมีแต่พระบุตรีทั้งสองนางนั้นพร้อมด้วยพี่เลี้ยงและสาวบริวาร แล้วก็พากันเดิรเข้าป่าออกไพร เมื่อใดมีจันทร์แจ่มจรัส บรรดาสาวรุ่นดรุณีซึ่งเดิรทางนั้นก็มีกมลประดิพัทธคนึงใน มีอาการเฉกจินตกวีประลัยด้วยคิดประพันธ์จนลืมตัว เฉกคนอ่านๆ อร่อยเมามัวถึงม้วยมรณ เฉกคนฟังคิดอาวรณ์จนชีพมลาย เฉกคนดูชีพสลาย เพราะเพ่งพินิจตกตลึง

ต่อไปนี้ท่านเล่าแถลงว่า อันนางบุตรีบุษบา ชูวิต และบุษบา ส้าหรีกับทั้งเกน ปะมอหนัง เกน ปะสีเหรียน ซึ่งเปนนางเชลยติดตามปันหยีสะมิหรังไปนั้น มาบัดนี้ก็ทราบแล้วว่าปันหยี สะมิหรังนั้น คือก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กล่าวคือว่าเปนพระบุตรีกรุงดาหา ซึ่งแต่ก่อนสำคัญว่าเปนชาย มาถึงกาลนี้ปันหยี สะมิหรัง ทรงเครื่องภูษาภรณ์เยี่ยงสตรีเพศ จึงได้ทราบเข้าว่าเปนสตรี แล้วนางทั้งหลายนั้นก็น้อมเกล้าบังคมคัล พลันทูลว่า “แล้วแต่การณเถิด พระพี่นางเสด็จไหน ก็จะขอตามเสด็จไปด้วย”

ฝ่ายเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด ซึ่งเปนพี่เลี้ยงปันหยี สะมิหรังนั้นก็เช่นกัน เมื่อผลัดเครื่องแต่งกายเปนเยี่ยงสตรีเพศแล้ว ก็ประจักษ์ว่ามีรูปโฉมดีงามยิ่ง

เดิรทางต่อไปไม่ช้า ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ก็ไปถึงตีนเขาอันหนึ่ง หยุดพักหายเหนื่อยที่นั้น แล้วก็สรงน้ำที่รางน้ำอันหนึ่งซึ่งมีน้ำไหลใสเย็นเปนนิตย์



-----------------------------------

๑๗ ต้นฉบับว่า “ชะคะ ระคะ” (อักษร ช ออกเสียงเหมือนตัว j และอักษร ค ออกเสียงเหมือนตัว g ในภาษาอังกฤษ จะเขียนว่า จะกะระกะ ก็พอได้) ชื่อนี้ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าตรงกับจรกาในพระราชนิพนธ์อิเหนา (เปนแต่เรื่องราวแผกกันไป) จึงเขียนลงในหนังสือนี้ จกรกา ผู้อ่านจะออกเสียงว่าจอกอระกา หรือจะกะระกา ก็ตามแต่ใจชอบ
๑๘ ต้นฉบับ นิละวาดี คือนิลวดี แต่ในหนังสือนี้เขียน วาตี คล้อยตามทำนองที่มีในพระราชนิพนธ์
๑๙ สองคนหลังนี้เพิ่งมามีออกชื่อตอนนี้ เมื่อเทียบกับ พ.ร.น. อิเหนา ปะมอหนัง น่าจะตรงกับ ปะราหงัน และปะสีเหรียนน่าจะตรงกับ ประเสหรัน ซึ่งในที่นั้นอยู่ในจำนวนสี่พี่เลี้ยงของบุษบา เมื่อมาออกชื่อในหนังสือนี้ต่อกับ บาหยัน และส้าหงิด ก็ดูเข้าชุดเปนสี่พี่เลี้ยง แต่ความต่อไปทำให้เข้าใจชัดขึ้นว่า เปนพี่เลี้ยงของนางบุษบา ชูวิต และบุษบา ส้าหรี


บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:45:41 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

จะกล่าวถึง พระนางบุตรี บีกู คันฑะส้าหรี ซึ่งประทับประตาปาอยู่ ณ อาศรมสถานอันหนึ่ง บนยอดบรรพตอันมีนามว่า กุหนุงวิลิสนั้น พระนางเธอเปนผู้มีจักษุสว่างและจะตรัสพยากรณสิ่งใดไม่มีผิดพลาด ทั้งการณใดๆ ที่เปนสิ่งมหัศจรรย์ก็ย่อมทรงทราบได้ทุกเมื่อ พระปรีชาและความศักดิสิทธิ์ของพระนางเธอมีประการดังกล่าวมานี้

มาวันหนึ่งเธอตรัสแก่บริวาร กล่าวคือนักพรตผู้หนึ่ง ซึ่งได้เปนอาจารย์เปนพราหมณแล้วณที่นั้น ในปกครองของเธอ ผู้มีนามว่า อุบุน อุบุน อิหนัง๒๐ นั้นว่า “แน่ะ อุบุน อุบุน อีหนัง พวกเจ้าทั้งหมดจงลงไปตีนเขานี้ และรับรองราชบุตรีดาหาซึ่งมาอยู่ณที่นั้นแล้ว”

เหล่านางอิหนังนั้นๆ ก็ลงไป และก็เห็นสมจริงว่า ที่เบื้องล่างแห่งกุหนุงนั้นมีคนเจ็ดคน จึงพร้อมกันก้มเศียรลงประนตน้อมและอัญเชิญให้ขึ้นไปบนเขานั้น จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาขึ้นเขาไปพร้อมด้วยบรรดาผู้ที่ตามเสด็จมานั้น บัดดลก็เฝ้าบังคมพระนางบีกู คันฑะส้าหรีพร้อมกันทั้งหมด ฝ่ายบีกู คันฑะส้าหรีก็ต้อนรับด้วยดี ทรงจุมพิตพระหลานเธอที่พระศิรเกล้า พลางตรัสว่า “หลานเอ๋ย จงสรรเสริญคุณเทพเจ้าเถิด ด้วยองค์มหาเทวาธิราชโปรดแล้วจึงได้มาถึงยังที่ประตาปาของอานี้”

แล้วก็เสวยด้วยกัน พนักงานก็ตั้งเครื่องมันเผือก กล้วย แห้ว และ น้ำชงใบไม้ มันยำ เผือกขูด และกล้วยเชื่อม

ครั้นเสวยแล้วก็พลบค่ำ จึงแรมอยู่ในอาศรมของพวกนักบวชนั้นๆ ซึ่งมุงด้วยใบไม้กั้นฝาผนังด้วยใบมะพร้าว และใช้รากหรือกิ่งไม้ทำเสา

ก็และจำนวนหนึ่งแห่งผู้ที่ประตาปาอยู่นั้น ยังไม่สำเร็จได้ตะบะเดชะเพียงพอ พวกนี้มีที่อยู่ตอนข้างขวา นั่งบนเศวตรศิลา ไขว้แขนขาสมาธิอยู่เปนนิตย์ ฝนตกก็ทนฝน ลมพัดก็ทนลม บางคนก็นั่งอยู่บนหินราบ ที่บำเพ็ญตะบะมีต่างๆ กันดังนี้

ฝ่ายก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ครั้นรัตติกาลล่วงถึงยามดึก มิได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงสัตว์เท่านั้น ในกาลเช่นนั้นนางก็คำนึงถึงเคราะห์กรรมแห่งตนและนึกถึงความโหดร้ายของท่านลิกูกับก้าหลุ อาหยัง นางก็รู้สึกเศร้าสลดท้อหฤทัยและยิ่งจินตนาในระลึกถึงระเด่นอินู ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้วก็ดี นางยังหาได้บรรธมไม่แต่สักน้อยหนึ่งเลย ไม่สามารถบรรธมหลับได้ เพราะเดี๋ยวๆ ก็นึกเห็นภาพระเด่นอินูกำลังสุขเสวยรมย์อยู่กับก้าหลุ อาหยัง ณ กรุงดาหา นางก็เสียวประหวั่นในหทัยนาง

จึงรำพิไรเปนบทประพันธ์ว่า

“อกใจแตกสลายพินาศ

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นหวาด

ชีพนี้แท้โทษเหมือนทาษ

อวยวะไร้กำลังไร้อำนาจ

ทุกข์เรานี้หนอถึงขนาด

อกใจจึงประลัยพินาศ

สิ้นสุขสิ้นสงบวิปลาศ

เพื่อเดชบันดาลเทวราช” ๒๑
นางจินตนาอยู่ดังนี้จนรุ่งสว่าง

ถึงเวลาดังกล่าวนั้นก็ตื่นกันหมด แล้วก็ไปอาบน้ำชำระกายในน้ำซึ่งไหลลงมาจากภูเขาเบื้องบนนั้น หรือมิฉนั้นก็อาบที่รางน้ำท่อน้ำซึ่งมีน้ำไหลใสและเย็นออกจากปากศิลา ครั้นอาบน้ำชำระกายแล้ว แต่ละนางต่างก็แต่งกายตามนารีเพศ สรวมกำไลและสร้อยคอ แล้วก็พักอยู่ครู่หนึ่งในเรือนกุฎีซึ่งสร้างขึ้นด้วยศิลาก้อนใหญ่ๆ ครั้นแล้วก็ขึ้นไปบนเขาสูงด้วยความสวยงามราวกับหุ่นเชิด

เมื่อบีกู คันฑะส้าหรีเห็นหลานเธอสรงน้ำมาเสร็จเช่นนั้น ก็ทรงต้อนรับและชวนให้นั่งเคียงข้าง ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา เช็ดน้ำเนตรซึ่งกบอยู่ที่หางเนตร แล้วจึงบีกู คันฑะส้าหรี ตรัสว่า

“หลานเอ๋ย เธอจงระงับจิต

สังสารทุกข์ย่อมคู่กับชีพิต

เหตุสังระตูพระองค์หลงผิด

จึงจำพรากบุกไพรไม้ชิด

“ในชั้นต้นหลานถูกให้ร้ายจากนางลิกู ซึ่งได้ประทุษร้ายประไหมสุหรีจนต้องม้วยมรณด้วยยาพิษ เรื่องนี้อาก็รู้อยู่สิ้น บัดนี้จะว่าไปใย ด้วยองค์สังหยัง เดวาตาได้โปรดแล้ว”

ต่อนั้นไปพระนางบีกู คันฑะส้าหรีก็ทรงเล่าแถลงเหตุการณ์แต่ต้นมาจนถึงเมื่อก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ได้รับของฝากจากนครกุรีปั่นคือว่า ตุ๊กตาทองคำตัวหนึ่งนี้แหละ เปนเหตุให้ต้องออกมะงุมบาหราไม่รู้ว่าจะไปไหน ต้องบุกป่าฝ่าไพรเปนเนื่องมา แล้วก็ทรงเล่าแถลงต่อไปอีกจนจบเรื่อง

จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และบรรดานางที่นั่งอยู่ใกล้เคียงนั้น กรรแสงและน้ำตาไหลในอันมาระลึกว่า กระไรเลย องค์สังระตู ช่างมีพระหทัยทำได้เห็นปานนั้น

บีกู คันฑะส้าหรีทอดเนตรเห็นพระหลานเธอทรงกรรแสงดังนั้น ก็สุดที่จะอดกลั้นชลเนตรได้ พลันกรรแสงตามไปด้วย ครั้นสิ้นกรรแสงแล้ว จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ทูลว่า “โอ้พระมารดา บัดนี้ลูกจะขอทูลลาออกมะงุมบาหราต่อไปอีก จะตกไปแห่งหนตำบลใดก็แล้วแต่พระประสงค์ขององค์มหาเทวาธิราช”

บีกู คันฑะส้าหรีตอบว่า “จะให้ดีแล้ว คอยสักหน่อยก่อนเถิดลูก แล้วภายหลังจะไปก็ตามใจ”

นางทั้งปวงนั้นก็ปฏิบัติตามรับสั่งของบีกู คันฑะส้าหรีนั้นแล

จะกล่าวถึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา นับแต่ออกจากจกรกาธานีก็จรดลเข้าป่าออกดงตามแต่จะไปถึงไหน พลบค่ำลงที่แห่งใด ก็หยุดแรม ณ แห่งนั้น พร้อมด้วยนวลนางนั้นๆ คือนางบุตรีนิลวาตี และนางบุตรีก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ย่อมชักชวนให้เล่นหัวสัพยอกหยอกเย้าสำเริงสำราญใจ เมื่อไรคะนึงถึงกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ก็หยิบเอาผ้าคาดออกมา แล้วก็กรรแสงครวญคร่ำรำพันว่า “โอ้ปันหยี สะมิหรัง ควรหรือเธอช่างมีแก่ใจทิ้งพี่ไป จนกะกันดาต้องมาเปนดังนี้”

ก็และสะมาร์ กับวิรุน และกาลังนั้น ไปๆ ก็ฟ้อนรำตบมือทั้งสัพยอกหยอกเย้ากับมนตรีและเสนีทั้งหลาย เพื่อจะปลอบหฤทัยเจ้านายให้คลายโศก แล้วก็สรวลเสเฮฮาทั่วกันในอันเห็นประพฤติของพี่เลี้ยงทั้งสามนั้น ไม่ผิดแผกอันใดกับการกระทำของจำอวด ถึงเวลาเช้า ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็บรรธมตื่นแล้วก็ไปสรงน้ำพร้อมด้วยนางทั้งสองนั้น ครั้นแล้วก็เดิรทางไปใหม่เช่นเคยอยู่ทุกๆ วัน

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า ไม่ช้านานนัก ก็ตีได้เมืองต่างๆ ในแว่นแคว้นแดนชวาและผ่านไปแล้วซึ่งบ้านเมืองนานา เปนอันมาก แต่จำนวนธานีที่ดีได้นั้นคณนาไม่ยิ่งหย่อนกว่าสี่สิบเก้าเมือง มาวันหนึ่งก็ไปถึงนครหนึ่งซึ่งรู้จักก่อนแล้วว่าเปนเมืองกากะหลัง จึงหยุดยับยั้งอยู่นอกเมือง สั่งให้ไพร่พลสร้างประสังคราหันขึ้น ครั้นสร้างเสร็จปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็เสด็จขึ้นประทับ มีนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา กับนางนิลวาตี และระเด่นวิรันตะกะเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น จึงตรัสว่า “บัดนี้น้องทั้งปวงจะว่าอย่างไร ด้วยพี่นี้ใคร่จะเข้าไปในเมือง เพราะตามความคาดหมายของพี่ เมืองนี้คือนครกากะหลังอันเปนที่ประทับของพระเจ้าอา”

ขณที่กำลังตรัสอยู่นั้น วิรุน กับสะมาร์ และกาลังก็เข้ามายังที่เฝ้า จูบพระบาทเจ้านายแห่งตนแล้วก็นั่งลงเคียงกันบนพรม จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาตรัสว่า “แน่ะ กาลัง วิรุน และสะมาร์ มาเถอะเราจะเข้าไปในเมืองเพื่อเฝ้าถวายบังคมธุลีองค์ศรีภคินทะ ระตู กากะหลัง ด้วยข้านี้ยังไม่เคยเฝ้าพระเจ้าอาองค์นี้เลย”

ครั้นเจรจากันดังนี้แล้ว ก็พร้อมกันจรจรัลไปสู่พระราชวัง

กาลนั้น ฝ่ายว่าระตูกากะหลังกำลังประทับอยู่กับราชโอรสองค์หนึ่งซึ่งมีนามว่าระเด่นสิริกัน แต่ซึ่งคนทั้งหลายเรียกว่าระเด่นสิงหมนตรี กับทั้งประไหมสุหรีประทับเคียงอยู่เบื้องขวาพร้อมด้วยข้าหลวงสาวสรรกำนัลใน

จึ่งสังระตูตรัสว่า “เออแน่ะอะดินดา อันกะกันดานี้ได้ยินข่าวอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนครดาหาเวลานี้กำลังปั่นป่วนยิ่งนัก สังระตูดาหาสิ้นอุบายที่จะแก้ไข ด้วยถูกชายาของตนซึ่งมีนามว่านางลิกูทำทุจริตเสียป่นปี้ ก็แต่เรื่องนี้ยังไม่เข้าใจ ยังเปนที่อัศจรรย์แก่ใจแก่กะกันดานัก”

ระเด่นสิงหมนตรีราชบุตรจึงทูลสนองว่า “อ้อ พระบิดา ก็ระตูดาหานั้นใคร เปนลุงหม่อมฉันมิใช่หรือ”

สังระตูตอบว่า “ถูกแล้วดังลูกว่านั้น”

เมื่อกำลังตรัสอยู่อีกนั้น นายประตูเมืองก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากิริยาดังปุถุชนถูกเสือไล่ แล้วเข้าเฝ้าสังระตูที่ในพระราชฐาน ครั้นถึงจึงก้มเกล้าถวายบังคมธุลีภคินทะ กราบทูลว่า “ตวนกูข้าพระองค์ขอพระราชทานอภัยนับพันอภัย ด้วยที่นอกราชธานีธุลีดวนกูนั้น มีกะละหนาคนหนึ่งซึ่งหน้างามมาก มาตั้งประสังคราหันขึ้นแล้ว และพาเอารี้พลมนตรีเสนามาด้วยเปนอันมาก มีอาวุธยุทธภัณฑ์ ช้างม้าพร้อมสรรพ ชะรอยจะมารอนราญกับนครนี้ ราวกับว่าข้าศึกนั้นลอยมาทางอากาศ”

จึงสังระตูพระหทัยสั่นระริกรัว แล้วตรัสว่า “กะละหนานั้นรูปร่างเปนอย่างไรหวา รี้พลของมันมากน้อยเท่าไร”

นายประตูทูลว่า “กะละหนานั้นรูปร่างงามอ้อนแอ้นราวกับองค์สังหยังเทวราชลงมาจากกะยาหงัน และงามยิ่งกว่าบะตาหรากะมะชายะ ท่วงทีกิริยาอ่อนโยนดังดอกกุหลาบยามโรยเค้าเงื่อนจะสมรสใหม่ๆ และรี้พลนั้นมากมายก่ายกอง”

จึงสังระตูกากะหลังตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนสามัญ”

ทันใดนั้นองค์สังระตูกากะหลังก็ดำรัสสั่งให้หามนตรีเสนีนายทหารมาชุมนุม บัดเดียวนั้นก็เข้ามาอัญชลีถวายบังคมพร้อมกัน.

สังระตูตรัสว่า “บัดนี้พวกเจ้าจะว่าอย่างไร ด้วยราชธานีของเรานี้จะถูกชายชาติกษัตริย์คนหนึ่งเข้าโจมตี จะให้ดีแล้ว ควรพวกเจ้าทั้งหมดจะออกไปต้อนรับกะละหนานั้นด้วยดี แล้วเชิญเข้ามานี่ ให้ทรัพย์สินมหัคฆภัณฑ์ของเราแก่เขา ด้วยว่ารี้พลของเราก็มีแต่น้อยนิดเดียว และตามกิติศัพท์นั้นว่า เปนคนกล้าหาญลือชาจึงได้เมืองมาเปนเมืองออกนับได้หลายราชธานีแล้ว เพราะฉนั้นจึงควรเราจะรับรองเขาด้วยอัธยาศรัยเคารพไมตรี”

สิงหมนตรีทูลว่า “ขออายะฮันดาอย่าได้ทรงครั่นคร้ามไปเลย หม่อมฉันเองจะออกไปปราบกษัตริย์นั้นให้พินาศอย่างง่ายดาย และจะหักขาหักแขนหักบั้นเอวมันเสียเทียว”

แต่ทว่าคำที่ราชบุตรทูลนั้น สังระตูทรงฟังไม่ เพราะย่อมทรงทราบอยู่แล้วว่า เธอมักจะมีความคิดความเห็นอะไรแปลกๆ ซึ่งมักเปนไปทางวิกลจริต ฝ่ายประธานมนตรี ตำมะหงง และเสนากับข้าราชการ พนักงานปกครองตำบลบ้านฐานถิ่นต่างๆ ก็พร้อมกันถวายบังคมลา ออกจากที่เฝ้าต่างคนต่างนำทรัพย์สินสิ่งของนานาภัณฑ์ ทั้งกลดและทิวธงสำหรับแผ่นดินก็มีผู้นำไป เพื่อรับรองปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นด้วยระบอบอันดีงามและเคารพ

ไม่ช้าก็ไปถึงกึ่งทาง ประสบปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา จึงมนตรีเมืองกากะหลังปฏิสันถารระเด่นปันหยีโดยเคารพ ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นก็หยุดอาชาไนย ซึ่งมีนามว่า รังคะรังคิตนั้น พลันจับเคลื่อนกริสซึ่งชื่อว่า กาละมิตานี ด้วยหัตถ์ซ้าย และเช็ดพักตร์ด้วยหัตถ์ขวา แย้มสรวล บรรดามนตรี และข้าราชการดะหมังตำมะหงงนั้นๆ ก็เข้าใกล้ น้อมคำนับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้วพลันก็ตกตลึงจังงังทั่วกัน ในอันเห็นรูปโฉมของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น กระทั่งเมื่อตากำลังเพ่งพินิจอยู่ กายหมดความรู้สึก ปากอ้าค้าง แม้แมลงวันเข้าปากก็ไม่รู้ตัว

แล้วก็อัญเชิญและตามระเด่นปันหยีเข้าไปยังพระราชวัง เพื่อเข้าเฝ้าสังระตู ผู้คนพลเมืองชาวนาครทั้งหลายต่างก็วิ่งมาดูกษัตริย์นั้นเพราะสำคัญว่าเทพยดาบะตาระชคัต อวตารเปนรูปมนุษย์ลงมาสู่พิภพ

พอไปถึง องค์สังระตูก็ทรงต้อนรับเปนอย่างดี ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ก้มเศียรลงถวายอัญชลีธุลีละอองบาทภคินทะนั้น ณ กาลนั้นระเด่นวิรันตะกะก็นั่งลงเคียงกับกาลัง สะมาร์ และวิรุน ล่วงไปไม่ช้าพนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมาตั้ง ฝ่ายสิงหมนตรีเวลานั้นรู้สึกเจ็บจิตต์ยิ่งนัก ด้วยบรรดาผู้คนพลเมืองกากะหลังพากันกล่าวสรรเสริญความงามของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาด้วยความพิศวงงงงวย เพราะสำคัญว่ารูปโฉมของกะละหนานั้นเปนดังบะตาระลงมาสู่โลกพิภพ ต่างปากอ้าตาจ้องไม่ปล่อยจากรูปกะละหนานั้นเลย

สิงหมนตรีจึงมาคิดว่า “ทำไมหนอรูปโฉมเธอจึงงามนักและสังระตูก็ทรงสิเนหาอาลัยในกะละหนานั้น เหตุใดจึงไม่โปรดปรานตัวเราเหมือนอย่างกะละหนานั้น ดีละ คืนนี้แหละ เราจะจับกะละหนานั้นทิ้งทะเลเสีย เพื่อองค์สังระตูจะได้โปรดเราบ้าง

ในเวลาที่เสวยอยู่นั้นกาลัง วิรุนและสะมาร์นั่งอยู่หลังสิงหมนตรีจึงพูดจาตลกคะนอง ล้อสิงหมนตรีว่า “เคราะห์ดีจริงหนอ นายเรานี้องค์สังระตูโปรดปรานเปนนักหนา ถ้าเราดูรูปโฉมนายของเราแล้ว คนทั้งเมืองกากะหลังนี้จะหาเปนคู่เปรียบไม่ได้สักคนเดียว”

สะมาร์ และวิรุน พูดเย้าอยู่อย่างนี้ ด้วยเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ

ขณนั้นสีโตคก๒๒ก็นั่งอยู่ไม่ว่ากระไร แล้วสิงหมนตรีก็หยิบเอากับข้าวซึ่งเขาตั้งเลี้ยงวิรุนและสะมาร์นั้นมาเสวยเสีย แม้แต่ส่วนที่วิรุนจะบริโภคนำเข้าปากไป

ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็แย่งชิงเอามาเสวย

วิรุน และสะมาร์ก็เปนอันรู้ว่าอัธยาศัยความประพฤติของสิงหมนตรีนั้น มีอาการวิกลวิกาลแปลกๆ จึงกล่าวคำสัพยอกหลอกล้อต่อไปว่า “นายของเรางามนัก ถ้าใครอยากได้รูปงามอย่างรูปนายของเราบ้าง ฉันมีอาคมจะบอกให้ได้”

สิงหมนตรีได้ยินคำสะมาร์พูดดังนั้น ก็ขอให้สะมาร์สอนอาคมให้เพื่อจะได้รูปงามเหมือนปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา

สะมาร์ก็ว่า “ได้ ประเดี๋ยวจะสอนให้ แต่เอาเข็มขัดที่ท่านคาดอยู่นั้นมาให้ฉันก่อน”

สิงหมนตรีก็ปลดสายรัดองค์ประทานแก่สะมาร์

แล้วสะมาร์ก็ว่า “ดูสิ บัดนี้รูปของท่านเริ่มจะงามขึ้นแล้ว”

สิงหมนตรีได้ฟังคำสะมาร์ดังนั้นก็ยินดี

ครั้นเสร็จเสวยแล้ว ท้าวกากะหลังจึงตรัสแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา “อ้อ ลูกพ่อ ถ้าเธอไม่ถือโทษ พ่อใคร่จะถามว่า เธอมีคู่ครองแล้วหรือยัง”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มและทูลสนองว่า “ตวนกูมีพระบุตรีอยู่กับหม่อมฉันสองนางๆ หนึ่งเปนพระบุตรีจกรกา อีกนางหนึ่งเปนพระบุตรีสะดายุ”

จึงสังระตูดำริในหทัยว่า “ถ้าอย่างนั้นชายนี้ก็มิใช่คนสามัญเสียแล้ว”

แล้วสังระตูจึ่งตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ควรที่เธอจะสั่งให้คนไปรับนางบุตรีทั้งสองที่ยังอยู่นอกเมืองนั้นเข้ามา”

จึงดำรัสสั่งให้ไปรับนางทั้งสองนั้นเข้ามา พนักงานก็ไปเชิญเสด็จนางบุตรีทั้งสองนั้นมา ตรัสสั่งให้พักแรมในตำหนักหลังหนึ่ง ซึ่งสร้างไว้ ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น อันพระราชทานพระราชานุเคราะห์ให้เปนที่พัก

สังระตูตรัสว่า “จะให้ดีแล้ว เธอจงอยู่เสียที่นครของอานี้ ด้วยอาไม่มีลูกเหมือนอย่างเธอ เธอมาจากเมืองไหน และได้เดิรทางผ่านมากี่เมืองแล้วภูมิลำเนาของเธออยู่ที่ไหน ใครเปนบิดามารดา”

ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาทูลว่า “อ้อ พระบิดาหม่อมฉันนี้เปนคนมะงุมบาหรา ความมุ่งมาดของหม่อมฉันมิใช่ว่าจะมาตีเมืองกากะหลังนี้ ใคร่แต่จะมาชมเครื่องประดับประดาความสวยงามของเมืองเท่านั้น ก็และภูมิลำเนาที่อยู่ของหม่อมฉันนั้นไม่เปนที่แน่นอน ด้วยหม่อมฉันนี้ประหนึ่งดังว่าคนหลงทาง ย่อมเดิรทางวนเวียนอยู่เปนนิตย์”



-----------------------------------

๒๐ โดยพยัญชนะสะกด “อินดัง” แต่อ่านควบกล้ำเปน อินัง คำนี้คงจะตรงกับคำ แอหนัง ใน พ.ร.น. อิเหนา
๒๑ กลอนในต้นฉบับส่งสัมผัส สะ ทุกบันทัด และบันทัดที่ ๑ กับบันทัดที่๒ ส่งสัมผัสท้ายซ้ำกันด้วยคำ บินาซะ จึงใช้คำนั้นซ้ำตามไป
๒๒ สีโตคก เปนชื่อจำอวด ในที่นี้เรียกสิงหมนตรี สีโตคก เพราะเปนตัวตลกสำหรับล้อกันเล่น 
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:50:16 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

ครั้นสนทนากันดังนี้แล้ว ต่างคนต่างกลับคืนยังที่อยู่แห่งตนๆ ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็กลับไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น มีกาลัง สะมาร์ และวิรุนตามเสด็จไปด้วย

สิงหมนตรีก็กลับดุจกัน แล้วแต่งองค์ด้วยภูษาภรณ์อันไพจิตรนอกจากสนับเพลา สายรัดองค์และฉลององค์อย่างสีงามๆ ยังทรงธำมรงค์ซ้อนทุกนิ้ว เพื่อจะให้ประชาชนพลเมืองชมว่างามกว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา แต่งองค์เสร็จแล้วก็ดำเนิรยาตร์กรายไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เพื่อจะพบกับสะมาร์ และวิรุน และจะได้เรียนอาคมทำหน้างามจากสองนายนั้น แล้วจะได้ใช้แก่ตนให้มีความสวยงามวิรุนและสะมาร์จะเดิรไปไหน เธอก็คอยเดิรตามไปไม่ให้คลาดได้สักขณเดียว สะมาร์และวิรุนก็สนุกใจนัก ด้วยได้ลาภทรัพย์สิ่งของต่างๆ จากสิงหมนตรีนั้น เพราะธำมรงค์และสายรัดองค์ที่ทรงอยู่ สิงหมนตรีก็ประทานแก่สะมาร์สิ้นแล้ว และผ้าคาดแพรสีเหลืองแดงกับสนับเพลาก็ยกประทานแก่วิรุน สะมาร์ก็หัวเราะและพูดว่า “บัดนี้ท่านงามยิ่งกว่านายหม่อมฉัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นแล้ว” แล้วสะมาร์ก็ได้ของประทานจากระเด่นสิงหมนตรีเพิ่มขึ้นอีก ประวัติการของสิงหมนตรีมีมาดังนี้ ด้วยเดชเทพเจ้าบรรดาลนั้นแล

ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น อยู่ในกรุงกากะหลัง ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น ก็เสวยสุขารมณ์ร่วมกับนางนิลวาตีและนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหราเปนนิตย์ตลอดมา ฝ่ายระเด่นวิรันตะกะเห็นความเปนไปของสิงหมนตรีก็พิศวงอัศจรรยใจ ด้วยวิรุนและสะมาร์ประสงค์อไรก็ดูตามใจยินยอมไปเสียทุกอย่าง

ก็และการที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามายังกรุงกากะหลังนั้น เป็นมงคลให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าขึ้น ด้วยยิ่งนานไปก็ยิ่งเพิ่มความแน่นหนาฝาคั่ง เพราะนายกำปั่นชอบมาแวะค้า และพ่อค้าวานิชคนสมบูรณด้วยโภคทรัพย์ กับช่างผีมือต่างๆ ก็พากันมาแต่ไหนๆ ทั่วทิศานุทิศเข้ามาอยู่ในกรุงกากะหลังนั้น การณเปนดังกล่าวนี้แล

บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และนางทั้งหลายเพื่อนร่วมเดิรทาง คือเกน บาหยัน เกน ส้าหงิด กับทั้งนางบุตรีบุษบาส้าหรี บุษบาชูวิต และพี่เลี้ยงของนางทั้งสองนั้น คือเกน ปะมอหนัง เกน ปะสิเหรียน๒๓ ต่างก็แต่งกายตามเยี่ยงสตรีเพศทั่วกัน

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาทรงเครื่องอย่างนารี แล้วก็ทวีความงามรูปงามโฉมขึ้นอีกเปนอันมาก นางอื่นๆ ผู้ตามเสด็จก็เช่นกันจนเปนประดุจดังดวงดาราประดับฟ้าเคียงกันอยู่เปนเทือก ก็แต่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ถึงแม้พักตร์จะงามสักเพียงใด ก็ดูลักษณะดุจดวงบุหลันอันเมฆปกคลุม เพราะมีอารมณ์ยุ่งเหยิงกระสับกระส่าย ด้วยแบกทุกข์โศกาดูรพูนเทวศคิดถึงคนึงหาระเด่นอินู กะระตะปาตีอยู่เปนนิตย์นิรันดร์

ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กับบริวารได้ประทับอยู่บนกุหนุงวิลิสนั้นนานหลายวันแล้ว ถึงเวลาวันหนึ่งจึงเข้าเฝ้าบีกู คันฑะส้าหรี พวกอีหนังก็เชิญเครื่องตั้งเลี้ยงไม่ขาดสาย คือว่า หน่อมัน เผือก กล้วย ถั่วลิสงเปนต้น

ณกาลนั้น บีกู คันฑะส้าหรีตรัสว่า “นี่แน่ะ อาหนะ ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ถ้าเธอมุ่งมาตรจะให้สมความปรารถนาในหทัยเธอนั้นแล้ว เธอจงออกเดิรไปจากนี้แต่ในวันนี้นี่เทียว และควรจะแปลงตัวเปนคนกำบู๒๔
ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จึงปรึกษากับบริวาร ก็ชื่นชมยินดีพร้อมใจกันปฏิบัติตามรับสั่งของบีกู คันฑะส้าหรีนั้นทุกประการ ครั้นปรึกษากันแล้ว บีกู คันฑะส้าหรีนั้นก็ตรัสว่า “ถ้าหลานจะให้เปนไปดังนั้นแล้ว ควรหลานจะใช้เสื้อผ้าอย่างชาย เพื่อจะได้ไม่มีภัยอันตรายในกลางทาง”

แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ทรงตัดเกศาบรรดานารีนั้นๆ ให้สั้นเพียงคอ และประทานเสื้อผ้าอย่างชาย จนงามราวกับบะตาระลงมาจากฟากฟ้ากะยาหงัน แล้วก็ให้แปลงนามทุกๆ คน จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาได้นามว่า กำบู วาระคะ อัสมาหรา และนางบุษบาชูวิต ชื่อกำบู มะลาหรี นางบุษบาส้าหรี ชื่อกำบู อันจิ อัสมาหรา เกนบาหยันชื่อ กำบู สะการ์ส้าหรี เกนส้าหงิด ชื่อกำบู มะลาหงี เกนปะมอหนัง ชื่อกำบู ผิงคะ ปังราสา และเกน ปะสีเหรียน ชื่อกำบู อัสมาหรา ดันตะ แต่ผู้ที่สวยงามเปนเยี่ยมในหมู่นั้น คือ กำบูวาระคะ อัสมาหรา

ครั้นแล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ตรัสว่า “แน่ะหลาน จะให้ดีแล้วจงลงเขาไปแต่ณบัดนี้ เดิรบ่ายหน้าสู่ทิศที่ตั้งกรุงกากะหลัง”

แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็จุมพิตที่เศียรเกล้าของนางนั้นๆ ทุกนางพลางร่ายมนต์บูชาเทพเจ้าสังหยัง ผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพ อวยพรให้เดิรทางโดยสวัสดี จบคาถาแล้วเป่าไปที่ขนองนางนั้นๆ

ทันใดนั้นกำบูทั้งเจ็ดก็ก้มลงบังคมคัลแล้วก็ลงกุหนุงวิลิสนั้นไปเดิรตามทางแคบเรียงตัวตามกัน ประดุจดอกบุษบันต้องแสงตวันอันเพิ่งจะไขดวง ฝ่ายนางอิหนังทั้งหลายก็ตามไปส่ง

พอไปถึงเชิงเขา พวกอิหนังนั้นๆ ก็กลับคืนขึ้นเขาไป กำบูทั้งเจ็ดก็ออกเดิรแปรพักตร์สู่นครกากะหลัง ผ่านลุยรั้วแขวงหมู่บ้านร้านถิ่นนาๆ พวกชาวบ้านก็ยินดีปรีดาพากันเดิรตามกำบูนั้นๆ ไม่ว่าจะไปไหน พวกเด็กรุ่นดรุณวัยมีใจติดพันพวกกำบู ก็ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไม่คิดถึงบิดามารดาอีกต่อไป แล้วก็เดิรตามพวกกำบูไป บ้างก็ทำความคุ้นเคยรู้จักกัน บ้างก็สิ้นกระดากกระเดื่องยอมเปนข้าเข้าหาบหามสิ่งของเสื้อผ้าเครื่องแต่งของพวกกำบูนั้น

ก็และกำบูนั้นๆ มีพฤติการณ์ดีมาก การเล่นก็เปนที่สนุกสนานเบิกบานบันเทิงใจแก่คนทั้งหลาย จนมีพ่อค้าและเศรษฐีคหบดีชอบเรียกหาไปเล่นที่เคหะสถานบ้านเรือนเนืองๆ คนที่มีใจรักติดพันกำบูนั้นก็มีมาก ถึงแก่ขอเข้าเปนคนตีเครื่องดนตรี ยิ่งเด็กๆ ด้วยแล้วอดใจไม่ได้ และคอยแต่ตามใจสนุกของตนเท่านั้น ก็มีเปนอันมากที่ลืมถิ่นฐานครอบครัว และหากลอุบายที่จะได้เข้าเปนผู้ช่วยตีฆ้องกลองดนตรีของกำบูนั้นๆ๒๕

และสินจ้างการเล่นของพวกกำบูนั้น ราคาสิบสองสุกู ค่าจ้างคนดนตรีแปดสุกู๒๖ ต่อเพลง๒๗ถ้าและเล่นเรื่องลคอน๒๘ อย่างที่เปนเรื่องราวดีๆ เช่นลคอนระเด่น เจเก็ลวาเน็ง ปาตี รักกับ เกน ลิละ บะรังตี เปนต้น บรรดาคนที่ฟังและดูลคอนนั้นก็มีใจกระศัลย์เพลิดเพลินลืมตัวดังคนมัวเมา

แล้วพวกกำบูก็เดิรต่อไป ปีนเขาลุยป่าฝ่าดง ผ่านตรอกซอกทางใหญ่น้อยหมู่บ้านร้านถิ่นตลอดทางที่เดิรไปสู่นครกากะหลังนั้น

ไม่ช้านานนักก็ไปถึงย่านตลาดอันหนึ่ง ขึ้นพักแรมบนร้านๆ หนึ่งแล้ววันก็ดับ ถึงเพลาราตรียามดึกสงัดเงียบเสียง ผู้คนเข้านอนหมดแล้ว กำบู วาระคะ อัสมาหราก็ตื่นขึ้นด้วยอาการคล้ายคนวิกลจริต แล้วก็หยิบตุ๊กตาทองคำนั้นมากอดจูบแกว่งไกวพลางว่า “นี่แน่ะเธอ แม่นี้เข้าตาจนแล้ว เพราะมีลูกนี้เท่านั้นแม่จึงยังอยู่ได้ดังนี้”

แล้วก็จูบแก้มตุ๊กตาและเจรจาประการอื่นอีก กำบู วาระคะ อัสมาหรา มีอันเปนดังกล่าวมานี้ ครั้นรุ่งเช้าก็ตื่นและเดิรทางต่อไปมุ่งมาตรสู่นครกากะหลังนั้น

ต่อไปท่านเล่าแถลงถึงสะมาร์ กับทั้งกาลัง วิรุน และอันดากาว่า ณกาลนั้น แต่งกายโอ่อ่าหลายสี เพราะได้รับประทานเนืองๆ จากราชบุตรีซึ่งมีนามว่าสิงหมนตรีนั้น กาลัง และอันดากา กับทั้งวิรุนและสะมาร์นั้น ย่อมเดิรเที่ยวเล่นไปมาโดยรอบนครกากะหลังนั้น มาวันหนึ่งไปถึงตลาดอันหนึ่งก็เห็นประจักษ ซึ่งกำบูทั้งเจ็ดคนนั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นแล้วก็ใจเต้น ด้วยรูปร่างกำบูทั้งหมดนั้นราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ แล้วก็พากันคิดว่า “กำบูสามคนนั้นรู้สึกว่าได้เคยพบแล้ว น่าเสียดายจริงหนอสามคนนั้นกลายเปนกำบูนักฟ้อนรำไปเสียแล้ว มิฉนั้นก็อาจเปนแม่ทัพได้ดังเช่นกะละหนาปันหยีสะมิหรัง”

วิรุน ว่า “แน่ะ พี่สะมาร์ พี่กาลัง มาเถอะเราไปทูลเจ้านายเรา เพื่อจะโปรดทอดพระเนตรและทรงฟังลคอนนี้บ้าง ฉันเองยังไม่เคยเห็นการเล่นอย่างนี้ จะให้ดีแล้วเราไปทูลขออนุญาตเจ้านายของเรา เรียกเอาไปเล่นถวาย ด้วยการเล่นอย่างใหม่นี้ในกรุงของเราก็ยังไม่มี เราเพิ่งจะเคยมาเห็นที่นี่และ”

กาลังตอบว่า “แกว่าถูกแล้ว”

สะมาร์ ตะโกนถามว่า “เฮ้ย ช่างฟ้อนช่างรำ การเล่นอย่างนี้เรียกว่าอะไร”

หัวหน้ากำบูก็ตอบว่า “การเล่นนี้เรียกว่า กำบู และเล่นฟ้อนรำทำเพลงกับแสดงเรื่องละคอน”

สะมาร์ว่า “ฉันอยากจะหาเล่น จะเอาสักเท่าไร”

กำบู วาระคะ อัสมาหราตอบว่า “ค่าจ้างคนดนตรี แปดสุกู ค่าจ้างกำบูสิบสองสุกู”

สะมาร์ว่า “เรียกแพงอย่างนั้นฉันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ได้ ฉันเปนแต่คนเล็กคนน้อยไม่มีทรัพย์มีสิน”

พวกนักดนตรีทั้งปวงก็ตอบว่า “การเล่นอย่างนี้จะลดราคาให้ไม่ได้ เพราะเปนการเล่นอย่างใหม่ ยังไม่เคยมีที่นี่ แต่ฉันอยากจะเล่นแต่ที่วังเจ้านาย กับที่ตามจวนมนตรี นายทหาร และประธานมนตรีกับตำมะหงงเท่านั้น”

แล้ววิรุนและกาลังก็ตบศีรษะสะมาร์ บรรดาคนที่อยู่ที่นั่นเห็นกิริยาอาการของสี่เกลอนั้นก็หัวเราะก๊ากๆ ขึ้นทั่วกัน วิรุนว่า “ดีแล้วเราไปทูลขอเจ้านายของเรา ให้รับสั่งให้หาไปเล่นก็แล้วกัน ปันหยียาเหย็งกะสุมา คือเจ้านายของเรานั้น คงจะโปรดทอดพระเนตรเหมือนกัน ครั้นแล้ววิรุนและกาลัง ทั้งสะมาร์และอันดากานั้นก็กลับเข้าวังที่ตำบลบ้านปะสันตะเหร็นอันเปนที่ประทับนั้น วิ่งแข่งแย่งขึ้นหน้ากันไป

จะกล่าวถึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ในกาลหนึ่งกำลังประทับอยู่กับก้าหลุ นาหวังจันตะหรากับนางนิลวาตี จึงนางทั้งสองนั้นอัศจรรย์ใจในอันเห็นอากัปกิริยาของกะกันดาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไปๆ ก็ไม่ทำอะไร นั่งแต่จูบผ้าแพรคาดองค์เท่านั้น

นางบุตรีนิลวาดีจึงทูลถามว่า “กะกันดาปันหยี ทำไมเล่าไปๆ จึงเฝ้าแต่จูบผ้าคาดองค์นั้น ผ้านั้นศักสิทธิ์มีฤทธิขลังอไรหรือ”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็ยิ้มลไมอยู่ในที พลางซับและถูพักตร์ถึงสองสาม

ครั้งด้วยผ้าคาดองค์นั้น แล้วก็ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนหวานไพเราะดุจเสียงขลุ่ยว่า “กะกันดานี้มิได้จูบผ้าคาดดอก จูบคุณความดีของคนๆ หนึ่ง เพื่อมิให้ลืมกลิ่นเขา ด้วยก่อนนี้กะกันดามีสหายคนหนึ่ง ซึ่งเปนคนกว้างขวางและคนดีมาก ชื่อว่ากะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ใจคอซื่อตรง และมีปกติพุฒิ๒๙ดีมาก อันพี่จะลืมเสียมิได้เลย พี่ยกย่องเขาไว้ในฐานเปนพี่น้องกัน เมื่อถึงเวลาเขาจะจากไปเขาให้ผ้าแพรคาดเอวผืนนี้ซึ่งเขากำลังใช้อยู่เองแก่พี่ เพื่อเปนที่ระลึก”

จึงนางบุตรีนิลวาตีโต้ว่า “เปนไปไม่ได้เลย สหายของกะกันดานั้นเปนผู้ชาย จะมารักใคร่ถึงแก่คลึงเคล้าผ้าคาดเอวอย่างนั้นได้อย่างไร ชะรอยกะกันดาจะมีสหายเปนหญิงด้วยเหมือนกันจึงทำดังนั้น ชายคบเพื่อนชายและทำบุญคุณต่อกันนั้นมีถมไป แต่คุณความดีก็ย่อมพึงตอบแทนกันด้วยคุณความดี ไม่ใช่อย่างกะกันดาทรงกระทำนั้น”

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มละไม พลางตรัสว่า “เออ อะดินดาคนที่ชื่อว่าปันหยีสะมิหรังนั้นเปนแม่ทัพนักรบอย่างเก่งกาจกล้าหาญมาก ตัวเขาสูงใหญ่ผิวหนังดำ และมีหนวดมีเคราแก้มเคราคาง ตาแดง แต่ก็จะว่าอย่างไรได้ กะกันดาเปนหนี้บุญคุณเขาอยู่ ถึงแม้กะกันดาจะไม่อยากพบตัวของบุคคลนั้นก็ควรที่จะระลึกถึงคุณความดีของเขา”

ในเวลาที่กำลังตรัสสนทนากันอยู่นี้ สะมาร์ วิรุน กับกาลัง ก็กระหืดกระหอบเข้ามา หายใจยาวสั้น ท้องแขม่ว ไหล่สูงทีตำที คิ้วยักขึ้นยักลง ทูลว่า “ขอประทานอภัยตวนกู นับพันอภัย เมื่อกี้นี้หม่อมฉันทั้งสามได้ไปเห็นกำบู ซึ่งหน้าตาสวยงามดีนัก เที่ยวเร่เล่นไปทั่วทุกแห่ง การเล่นของเขาก็ดี สนุก คิดค่าจ้างสิบสองสุกูสำหรับพวกกำบู กับแปดสุกูสำหรับพวกดนตรี กำบูนั้นมีอยู่เจ็ดคนแต่ล้วนหน้าตาสวยงามยากที่จะหาที่เปรียบได้ เขาเล่นและเล่าเรื่องลคอนต่างๆ กับฟ้อนรำเปนเพลงๆ ประณีตและไพเราะนัก มือและนิ้วเขาเคลื่อนไหวน่าดูสุดจะพรรณนา หม่อมฉันทั้งสามนี้ดูเสียเปนที่พิศวง และคลั่งไคล้ไปทีเดียวในวิธีการและท่าฟ้อนรำของเขา”

ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ได้ฟังคำพี่เลี้ยงสามนายนั้นก็แย้มสรวล

ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ตรัสว่า “ดีละไปเรียกมาเล่นที่นี่”

วิรุนกับสะมาร์ก็วิ่งรีบไปด้วยยินดีปรีเปรม

ก็และกำบูทั้งหลายนั้น ไปถึงจวนประธานมนตรีแล้วก็เล่นที่นั่น ใช้เรื่องลคอนเกนสะมิปุรี ซึ่งเปนคู่ตุนาหงันกับมะงุนส้าหรี แต่ไปรักเสียกับปันหยี ลิลา ผู้ที่เล่นเปนตัวสะมิปุรีนั้นคือ กำบูมะลาหรี ที่เปนตัวมะงุนส้าหรีนั้น อันจิ อัสมาหรา และที่เปนตัวปันหยีลิลา คือกำบู วาระคะ อัสมาหรา ซึ่งงามรูปงามโฉมอย่างยิ่งยวด แล้วก็ออกร้องรำทำเพลงและฟ้อนด้วยกันทั้งหมด แถลงเรื่องและทำท่าเล่นไปตามบทแห่งเรื่องลคอนนั้น จนถึงตอนปันหยีลิลา ได้เสวยรมย์ชมชื่นอยู่กับเกนสะมิปุรีในสวนดอกไม้อันหนึ่งเกนสะมิปุรีนอนอยู่บนตักปันหยีลิลา

ถึงเวลานี้ที่ทั้งสองนั้นกำลังเชยชมสมสุขกันอยู่นั้น มะงุนส้าหรีก็มา พากริสมาด้วยเข้าไปในสวนนั้น พอเห็นคู่ตูนาหงันของตนอยู่กับปันหยีลิลา ก็โกรธสุดที่จะอดทนได้ จึงชักกริสจากฝักแล้วก็แทงคู่ตุนาหงันนั้นตายในบัดดลนั้น

บรรดาคนทั้งหลายที่ดูอยู่นั้นก็พากันชอบและใจประหวั่นไปหมดด้วยกัน ในอันเห็นท่าทางและฟังเสียงของพวกกำบูนั้น

ฝ่ายวิรุนกับสะมาร์ บัดดลก็ไปถึงที่นั้นเห็นพวกกำบูกำลังเล่นอยู่ทั้งสองนั้นก็เลยดูและฟังเรื่องลคอนด้วยความต้องติดใจ

ครั้นกำบูนั้นเล่าจบลงก็ถูกเรียกหาไปเล่นที่บ้านตำมะหงงอีก ณที่นั้นพวกนางสาวบุตรีดรุณีสาวพรหมจารี บริวารทั้งหลายออกมาดูแล้วก็ตกตลึงจังงังไปทั่วกัน ประดุจบุถุชนสิ้นสมฤดี

เล่นที่นั่นเสร็จแล้ว วิรุน และสะมาร์ก็พาพวกกำบูไปบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เข้าในวังของนางนาหวัง จันตะหรา และนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้น ก็เกิดสิเนหาขึ้นในกำบูวาระคะ อัสมาหรา เพราะดูท่าทางและท่วงทีที่เล่นนั้นเปนที่ต้องใจ บัดนั้นวันก็ค่ำคืนลง จึงระเด่นปันหยี กะสุมาเข้าต้อนรับจับมือกำบู วาระคะ อัสมาหรา เพื่อจะจูงพาไปยังที่นอน กำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นก็ใจเต้นชักมือหลุดออกมาเสีย แล้วระเด่น ปันหยีก็ทำซื่อ ไต่ถามข่าวคราวถึงปันหยี สะมิหรังว่า “อ้อ กำบู วาระคะ อัสมาหรา ท่านเดิรเวียนวนจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่งมาช้านานแล้วท่าน ได้ไปถึงไหนบ้าง ได้ประสบพบปะกับปันหยี สะมิหรังบ้างหรือเปล่า”

พวกกำบูได้ฟังดังนั้นก็นั่งลงชิดกับนางทั้งหลาย ซึ่งประทับอยู่ตรงหน้าระเด่นปันหยี พลางพูดว่า “อ้า ตวนกู กระหม่อมฉันทั้งปวงนี้ได้ไปเล่นในที่ต่างๆ ผ่านบ้านเมืองมาแล้วประมาณ สี่สิบหัวเมืองในดินแดนชวานี้ แต่ชื่อและเรื่องของปันหยีสะมิหรังนั้นยังไม่เคยได้ยินเลย ถิ่นฐานที่อยู่ของเขาจะชื่อว่าเมืองอะไรก็ไม่ทราบ เพราะพวกหม่อมฉันนี้เปนคนหลงทางถูกทิ้งขว้างออกมะงุมบาหราไปมา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และไม่ทราบว่ามีเชื้อวงศ์เผ่าพันธุ์มาอย่างไร”

สะมาร์ วิรุน และอันดากา พิศดู วาระคะ อัสมาหราก็เกิดความพิศวงงงงวยด้วยไม่เห็นผิดแผกกับเจ้านายของตน คือว่ามีรูปร่างก็สูงพอทัดเทียมกัน จะเทียบท่วงทีกิริยาก็ไม่เห็นผิดกัน จะยิ้มแย้มก็เหมือนกัน แต่ทว่าผิวของพวกกำบูนั้นขาวเหลืองนวล ประดุจผิวลางสาด๓๐ หรือขมิ้นหัวเมื่อหัก แต่ฉวีวรรณของเจ้านายตนนั้นคล้ามดำประดุจเปลือกมังคุด เมื่อเพ่งพิศหนักเข้าแล้วดูประหนึ่งดังว่าทั้งสองนั้นได้เคยพบปะรู้จักกันแล้ว แม้วิรุนก็รู้สึกว่าได้พบมาแล้ว แต่จำได้เพียงเลือน ๆ



-----------------------------------

๒๓ ดูเทียบฟุ้ตโน๊ต ๑๓
๒๔ โดยพยัญชนะ คัมบุห์เขียนแปลงเปน กำบู ให้เรียกง่ายๆ เปนคำเรียกนักละคอนฟ้อนรำ ซึ่งเที่ยวร่อนเร่เล่นให้คนดูในที่ต่างๆ
๒๕ ตามที่พรรณนานี้เข้าทำนองความเปนไปของพวกโนรา ที่เที่ยวเร่เล่นตามหัวเมืองปักษ์ใต้ของเรา
๒๖ สุกู เปนเงินตราเก่า สุกูหนึ่งคิดราคาประมาณ ๓๕ เซนต์เงินชวา ปัจจุบันนี้
๒๗ คำ “เพลง” นี้คงหมายความว่าเล่นพักหนึ่งๆ มิฉนั้นแล้วดูค่าจ้างแพงมากนัก
๒๘ ต้นฉบับใช้คำ “ละลาคอน” แปลว่าเรื่องลคอน
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:53:22 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

แล้วระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็คลั่งใคล้ใหลหลงในกำบูอัศมาหรานั้น แต่ด้วยเหตุสำคัญว่าเปนชายจึงรับรองเอาเปนสหายคนหนึ่งเท่านั้น ตามความรู้สึกในหทัยไม่อยากจะจากพรากกันไปอีกเลย เวลาขึ้นเฝ้าสังระตูกากะหลัง ก็ชวนกำบูวาระคะอัสมาหรานั้นไปด้วย ทั้งกำบูคนอื่นๆ ก็ตามไป เมื่อสังระตูมีราชกระทู้ถามก็ทูลสนองด้วยเคารพว่า “นี่เปนสหายของข้าพระองค์” ฝ่ายสังระตูก็ทรงพิศวงยิ่งนักในอันเห็นรูปและท่วงทีกิริยาของกำบูนั้น ดูราวกับว่าเปนพี่น้องกับระเด่นปันหยี ก็และในที่เฝ้าสังระตูนั้นก็นั่งอยู่ใกล้เคียงกัน และวิรุนกับสะมาร์ และกาลัง คือพี่เลี้ยงทั้งสามนั้นนั่งเปนแถวอยู่ข้างหลัง

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูล่าสำ กับสังระตู ปูดัก สะตะคัล ทั้งสองนี้เปนพี่น้องกับระตูจกรกา๓๑
ครั้นทั้งสององค์ได้ทรงฟังข่าวพี่น้องเธอ คือระตูจกรกาถูกปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฆ่าเสียในที่รบแล้ว สององค์ก็พิโรธโกรธกริ้วกิริยาอาการดังพยัคฆชาติคำรามจะตะครุบ ทันใดนั้นจึงชุมนุมพลเสนาโยธาทัพทั้งสองกรุง แล้วออกยาตราเพื่อจะเสาะหาตัวปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะจับตัวฆ่าเสียให้อื่มหนำใจ เดิรทัพไปแซ่เสียงอึกทึกพรรฤกกำปนาท ผ่านบ้านเมืองหลายแห่งแต่ก็ยังหาพบไม่ จนกระทั่งวันหนึ่งไปถึงนครสะดายุ

ถึงที่นั้นก็ได้ทราบข่าวว่า ท้าวสะดายุได้ยอมออกและอยู่ใต้ปกครองของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาแล้ว

ท้าวสะดายุแจ้งว่า “เวลานี้คงจะไปถึงและอยู่ที่เมืองจกรกาแล้วกระมัง”

สองระตูนั้นก็เร่งทัพรีบไปยังที่นั้น

ก็และผู้ปกครองสะดายุเวลานั้น คือผู้สำเร็จราชการแทนราชาที่วายชนม์ กล่าวคือมนตรีผู้ชราภาพนั้น

จึงผู้แทนราชานั้นว่า “ถูกแล้ว ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาผู้ซึ่งฆ่าระตูจกรกานั้น ได้ปราบเอาเมืองนี้เปนเมืองขึ้นแล้วแต่บัดนี้ไป จากเมืองนี้แล้ว จะไปไหนไม่ทราบ อาจไปเมืองกากะหลัง เพื่อจะตีเอาเมืองนั้นก็ได้”

ทันใดนั้นระตูปูดัก สะตะคัล กับระตูล่าสำ ก็รีบยกไปยังเมืองกากะหลัง ไม่ช้าก็ไปถึงยับยั้งอยู่นอกนครกากะหลัง ตรัสสั่งให้ยกประสังคราหันขึ้นหลังหนึ่ง ครั้นเสร็จสร้างประสังคราหันแล้วราชาทั้งสองนั้นก็ชื่นชมสโมสร ให้เลี้ยงดูด้วยอาหารเครื่องดื่มสนุกสนานส่งเสียงสำเริงสำราญอึงมี่อยู่

ถึงวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันยังมิทันจะยอแสง และดาวเดือนมิทันดับ รี้พลพหลโยธาสองกรุงนั้นก็ถืออาวุธคุมเชิงอยู่พร้อมสรรพ กล่าวคือปืนใหญ่ปืนเล็ก ทั้งศรธนูและหอกกริสกับอาวุธอย่างอื่นๆ อีก พร้อมเพรียงกันดีแล้วก็ออกเดิรไปสู่สนามรบสมรภูมิชัย

แล้วระตูล่าสำกับระตูปูดัก สะตะคัลก็ส่งทูตสองนายซึ่งเปนผู้กล้าหาญ สั่งให้ถือหนังสือข่าวสารเข้าไปยังในพระราชวังกรุงกากะหลังนั้น ก็และทูตนั้น นายหนึ่งชื่อคังคะ สุหรา อีกนายหนึ่งชื่อคชเมตา สองนายนี้ก็รีบเดิรเข้าไปสู่วังกากะหลังนั้นส่งเสียงตะโกนว่า “อยู่ไหนเล่า ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กูใคร่จะประลองฤทธิกับมึง และจับเหนี่ยวเอามึงดึงไปดึงมาที่สนามรบ ด้วยกูนี้และคือศัตรูของมึง”

ไม่ช้าทูตทั้งสองนั้นก็ไปถึงวังและเข้าเฝ้าท้าวกากะหลัง ก็และท้าวกากะหลังขณนั้นกำลังประทับอยู่กับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กับบรรดากำบูทั้งหมดนั้น สังระตูทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกพระหทัย ฝ่ายระเด่นปันหยี ก็โกรธแสนสาหัสแล้วทูลสังระตูว่า “ดีแล้ว หม่อมฉันจะไปต่อสู้กับข้าศึกศัตรูนั้นและจับตัวมันให้ได้”

ฝ่ายอันดากากับวิรุนและกาลังก็โกรธทูตนั้นมากดุจกัน ทันใดนั้นก็เข้าตบและเตะและพูดว่า “เราแลจะเปนผู้ต่อสู้กับราชาของมึง”

ทูตทั้งสองนั้นก็เฉยไม่เอาธุระ แล้วก็กลับไปเฝ้าราชาของตนขณนั้นก็เกิดการโกลาหลในนครกากะหลัง ด้วยจะถูกระตูสองตนเข้าตีเมือง

ฝ่ายระเด่น ปันหยี ก็แต่งองค์ทรงเครื่องทัดดอกไม้สวมมาลัย๓๒ เหน็บกริสซึ่งมีนามว่ากาละมิตานีจับเลื่อนไปเลื่อนมา และขึ้นทรงอาชาอันมีชื่อว่ารังคะรังคิตนั้น แล้วก็ประทับเหนืออัศวพาหนะเสด็จออกงามดังสังหยัง บะตาระเทวราช วิรุน กาลัง และรี้พลสกลไกรทั้งมวลก็ตามเสด็จไปสู่สมรภูมิชัย ต่างโห่ร้องก้องกัมปนาทอึงมี่ไม่ขาดเสียงเพื่อจะต่อสู้กับข้าศึกนั้น วิรุนเข้ากระทบกับทูตผู้มีนามคังคะสุหรา และกาลังผจญกับคชเมตา แล้วก็ต่อสู้รบกันเปนสามารถต่างคว้าเอวกันและยกตัวขึ้นลงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เมื่อใดมีทหารเอก หรือตำมะหงงตายลง พวกไพร่พลก็โห่ร้องสนั่น ทั้งตีฆ้องหม่ง ฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ยและกลองยุทธเภรีไม่มีหยุดยั้ง

การเล่าแถลงถึงผู้ซึ่งกำลังทำสงครามอยู่นั้น บัดนี้จะหยุดยั้งไว้ก่อน จะย้อนกล่าวถึงพวกกำบู ซึ่งกำลังอยู่ในที่เฝ้าองค์สังระตูนั้น

นางนิลวาตีตรัสว่า “นี่แนะ กำบู วาระคะ อัสมาหรา บัดนี้เราพากันกลับไปตำหนักฉันเถิด ด้วยกะกันดาระเด่นปันหยีก็กำลังไปรบพุ่งอยู่กับข้าศึก”

กำบูทั้งปวงก็น้อมเกล้าถวายบังคมลาองค์สังระตู แล้วก็เดิรไปกับสองนางบุตรีนั้น พอไปถึงจึงพาพวกกำบูไปตำหนักก้าหลุนาหวัง จันตะหราก่อน ล่วงไปไม่ช้าก็พาไปตำหนักนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้นมีความรักใคร่สิเนหาในกำบูวาระคะ อัสมาหรา กาลนั้นจึงสั่งให้กำบูวาระคะ อัสมาหราเล่นเรื่องละคอนปันหยี สะมิหรัง แล้วนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีความสิเนหารักใคร่ขึ้นในหทัย จึงให้เสื้อผ้าและบุหงาต่างๆ แก่กำบูวาระคะ อัสมาหรานั้น

ก็และขณนั้นระเด่นปันหยี ยังไม่กลับจากสงคราม และยิ่งนานไปนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีมัวเมาความรักใคร่ในกำบูนั้นยิ่งขึ้น ถึงแก่พาเอาเข้าห้องที่ไสยา

กำบูวาระคะ อัสมาหราก็ทูลว่า “โอ้ ตวนกู หม่อมฉันขอประทานอภัยนับพันอภัย ด้วยหม่อมฉันนี้เปนเพียงคนหลงทางมา ที่มาถึงนี่ก็หวังจะถวายตัวเปนข้า ควรตวนกูจะอดพระหทัยไว้ก่อน เพราะการเรื่องนั้นเปนสิ่งไม่ดี และเปนที่หวงห้ามแม้ทางโลก วันอื่นบางทีจะได้สมประสงค์ของตวนกูได้”

แล้วพวกกำบูก็ค้างแรมอยู่ ณที่นั้น

จะกล่าวถึงระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งเวลานั้นกำลังรบอยู่กับระตูล่าสำ และระตูปูดัก สะตะคัลนั้น ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาต่อสู้กับระตูล่าสำ ทั้งสององค์ต่างก็ตีฟัน แทงพุ่ง แทงทิ่ม และแทงหอก ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลไม่อยากรบกับสะมาร์ ด้วยเหตุว่าจะหนีไปทางไหน สะมาร์ก็ไล่ติดตามไป ก็และการรบและท่วงทีของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นว่องไวรวดเร็วมาก จนข้าศึกต่อสู้ต้านทานไม่ไหว ไพร่พลล้มตายไปเปนอันมาก ฝ่ายวิรุนกับกาลังก็ไล่ต้อนข้าศึกกระหน่ำไปไม่หยุดหย่อน และเมื่อจับได้ตัวนายทหารเอกหรือมนตรีก็ขึ้นขี่หลังเอาทำม้า ฝ่ายปาติ๊ของระตูล่าสำนั้นเห็นรูปร่างปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ตกตะลึงจังงัง ด้วยเห็นราวกับองค์สังหยังบะตาราเพิ่งลงมาจากกะยาหงันชั้นฟ้า จนรู้สึกเสียใจและลอายใจ ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลยังวิ่งหนีสะมาร์ไล่อยู่ ไม่ช้าก็พบกันเข้ากับระตูล่าสำ ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้ววิรุนก็เข้าผจญกับคังคะสุหรา ซึ่งดูท่าทางจะทนสู้ไปอีกไม่ไหว เพราะวิรุนจับตัวโยนขึ้นไปเบื้องบนไปลอยอยู่แล้วก็ม้วนตกลงมา การสู้รบของกาลังกับคชเมตาก็เปนอย่างว่านี้ดุจกัน

ครั้นแล้วคังคะสุหรา กับคชเมตานั้นก็วิ่งหนีไปเฝ้าราชาแห่งตนซึ่งกำลังผจญอยู่กับกะละหนาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น พอไปถึงจึงคังคะสุหราตั้งท่าจะเข้าคว้าบั้นเอวกะละหนานั้นจากข้างหลัง แต่ทันใดนั้นกะละหนาก็ชักม้าซึ่งชื่อรังคะรังคิตนั้นกลับหลังและกระโดดไปข้างขวา และม้านั้นก็เตะและชนเอาคชเมตา ๆ ก็ล้มกลิ้งลงยังพื้นปถพี ส่วนคังคะสุหราก็ล้มคว่ำแต่ว่ากลับลุกขึ้นได้

กะละหนา ยาเหย็ง กะสุมานั้นก็ชักกริชซึ่งมีนามว่า กาละมิตานีนั้นออกจากฝักแล้วแทงเอาคังคะสุหรา ถูกที่ใต้อุระประเทศถึงทะลุโลหิตไหลใส้ทะลักออกมาข้างนอก คังคะสุหราก็ม้วยมรณ์ ฝ่ายพหลพลนิกรกากะหลังก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกัน

ฝ่ายคชเมตาเห็นคังคะสุหราเสียทีตายลงดังนั้น ก็โกรธ และโดดเข้าแทงสีข้างกะละหนา

ก็แต่ม้าของกะละหนานั้นโดดถอยหลังไปข้างขวาและร้อง ระเด่นปันหยีก็กะระตะอาชานั้น จึงม้ารังคะรังคิตเข้าชนทางโน้นทางนี้ จนรี้พลข้าศึกระส่ำระสาย ใครถูกเตะหรือเหยียบย่ำ ก็ล้มเหยียดลงแทบพื้นดิน หมดกำลังสิ้นสมฤดี ฝ่ายคชเมตานั้นก็โดดเข้ามาหมายจะคว้าคอม้ารังคะรังคิต จึงกะละหนาปันหยีแทงเข้าให้ถูกที่สีข้าง คชเมตาถูกแทงถนัดดังนั้นแล้วก็ร้อง และโลหิตไหลใส้ทะลัก แล้วก็ตายในกาลนั้นดุจกัน ฝ่ายระตูล่าสำเห็นทูตทั้งสองถูกฆ่าตาย ก็พิโรธโกรธกริ้วสาหัศ วิ่งเข้าประจัญบานจะจับตัวระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมานั้นแล้วก็สู้รบกันเปนสามารถ

ก็และท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้ ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อได้รบพุ่งชิงชัยกันอยู่นานแล้ว ในที่สุดระตูล่าสำกับระตูปูดักสะตะคัลนั้นก็ยอมแพ้ และการสงครามก็สุดสิ้นยุติลงเพียงนั้น องค์ท้าวกากะหลังก็ยิ่งเพิ่มพูนสิเนหาอาลัยในระเด่นปันหยีนั้นขึ้นอีกเปนอันมาก แล้วระเด่นปันหยีนั้น ก็มีนามกรเลื่องชื่อฤๅชาไปทั่วถิ่นทิศานุทิศโดยรอบกรุงกากะหลังนั้น.

จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งตามระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามาด้วยนั้น ขณนั้นก็ได้ประสบกับบิตุลา คือระตูล่าสำ กับระตูสะตะคัล จึงเข้าสวมกอดกันและกรรแสง ก็และระตูปูดักสะตะคัลนั้นมีราชบุตรีองค์หนึ่ง ซึ่งวงพักตรงามยิ่งนัก ทรงนามว่านางบุตรีกะสุมะวาตี ครั้นได้ยอมแพ้เปนเมืองออกแล้ว จึงถวายธิดานั้นแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฝ่ายระตูล่าสำ ก็มีราชบุตรีองค์หนึ่งเหมือนกัน ซึ่งโฉมงาม ทรงนามว่านางบุตรีสุมบะส้าหรี นางนี้ก็ถวายแด่ระเด่นปันหยีดุจกัน แล้วก็ชื่นชมสมสมรกษมสำราญเปนสุขทุกทิพาราตรีกาล ก็และนางซึ่งถวายและรับไว้แล้วนั้น ต่างองค์ก็ได้รับประทานที่อยู่จากระเด่นปันหยีต่างๆ แห่งกันไปในตำบลนั้น เรื่องมีมาด้วยเดชเทวานุภาพบรรดาล มีประการดังกล่าวมานี้แล

ในระวางเวลาที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาไปสมสู่อยู่กับนางนิลวาตีนั้น ฝ่ายก้าหลุ นาหวัง จันตะหราก็เรียกกำบูวาระคะอัสมาหราไปนอนค้าง และสั่งให้เอาเรื่องละคอนปันหยีสะมิหรังออกเล่น เพราะฉลาดสามารถเล่นเรื่องนี้ได้ดีมาก กำบูก็เล่นณที่นั้น การที่กำบูวาระคะอัสมาหราไปอยู่ที่ตำหนักก้าหลุ นาหวัง จันตะหรานี้ทราบถึงนางนิลวาตี นางก็เศร้าใจและขุ่นเคือง จึงคิดจะทูลฟ้องต่อระเด่นปันหยีว่าก้าหลุ นาหวัง จันตะหรารักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา

ครั้นปันหยีเสด็จกลับมายังตำหนักนางนิลวาตี นางก็ทูลฟ้องว่า “กะกันดา นางนาหวังจันตะหรานั้นกำลังรักใคร่ใหลหลงกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา”

ระเด่นปันหยีได้ฟังนางนิลวาตีทูลดังนั้นก็พิโรธแรงกล้า จึงเสด็จไปยังที่นางนาหวังจันตะหรา ด้วยจำนงว่าจะฆ่านางเสียเทียว พอไปถึงตำหนักนางนาหวัง จันตะหรา ก็ตั้งกระทู้ถามแก่นางนั้น

นางจึงทูลว่า “จะเปนไปได้อย่างไรที่หม่อมฉันจะไปรักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้น หม่อมฉันสั่งให้เขามาเล่นที่นี่ ก็เพราะอยากจะฟังเรื่องปันหยี สะมิหรัง ด้วยตามที่เขาว่ากันนั้นละคอนเรื่องนี้ดีและเปนเรื่องที่สนุกสนานไพเราะมาก”

หฤทัยปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็อ่อนลง แล้วก็เสด็จกลับคืนยังตำหนักนางนิลวาตี

นางนิลวาตีว่า “กะกันดานี้ชรอยจะหลงรักกำบู วาระคะ อัสมาหราเสียด้วยแล้ว ด้วยตามความคิดเห็นของหม่อมฉันนั้น กำบูนี้น่าจะเปนผู้หญิง และเปนตัวปันหยีสะมิหรังนั้นเองทีเดียวและ ควรกะกันดาจะทรงตรวจตราสอบสวนความประพฤติและความเปนไปของเขาทุกอย่างไป หม่อมฉันจะเรียกเขามานี่ แล้วจะขอให้เล่นที่นี่ เพราะเขาชอบนอนค้างที่ตำหนักหม่อมฉัน”

จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ยิ้มและตอบว่า “จะอย่างไรก็ตามใจอะดินดาเถิด”

กาลล่วงไปอีกสองวัน ก็ให้คนไปเรียกและพากำบูนั้นมายังตำหนักนางนิลวาตี และสั่งให้เล่นละคอนปันหยีสะมิหรัง กำบูนั้นก็เล่นแสดงเรื่องด้วยฟ้อนรำบิดตัวไปมา ขณนั้นตัวปันหยีสะมิหรัง กับกุดาปะรันจาและกุดาประวีระก็ออกโรง แสดงตอนท้าวกุรีปั่นสั่งให้นำเงินไปกรุงดาหา คือต่อเรื่องตอนที่เล่นค้างไว้วันก่อน ทูตกุรีปันจะไปดาหา ถูกกุดาปะรันจากับกุดาประวีระเข้าตีชิง แล้วก็สู้รบกันเปนสามารถไม่ช้าทูตก็แตกทัพหนีกลับไปทูลความแก่ระเด่นอินู บัดดลระเด่นอินูกะระตะปาตีนั้นก็มา (ผู้ที่เล่นเปนตัวระเด่นอินูนั้นคือ กำบู วาระคะ อัสมาหรา) แล้วก็เข้าไปในตำหนักพบกับปันหยีสะมิหรัง เลยนั่งสนทนากันอยู่จนเวลาค่ำคืน แล้วก็เลยบรรธมอยู่ที่ตำหนักนั้น

เล่นยังค้างอยู่ไม่ทันจบ แต่เพราะเหตุค่ำคืนลงแล้ว จึงหยุดยั้งไว้ก่อน แล้วพวกกำบูทั้งนั้นก็เลยนอนค้างอยู่ ณ ที่นั้น

ปันหยียาเหย็งกะสุมาก็คอยสอบสวนตรวจตราอยู่เสมอทุกอิริยาบถและกิริยาอาการของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ถึงเพลาราตรีจึงเห็นกำบูวาระคะอัสมาหรากำลังร่อนแกว่งไกวตุ๊กตาทองคำภายในม่านกั้นที่นอนนั้น เพลานั้นดึกสงัดเงียบเสียงผู้คนกำลังหลับสนิธ ก็พูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นด้วยเสียงเบาๆ กระเส่ากระซิบ ระเด่นปันหยียาเหย็งกะสุมาเห็นการณ์ทั้งนี้ด้วยแอบมองที่ช่องประตูห้องนอน หฤทัยเต้นสุดที่จะทนสิเนหาเสียวกระศัลย์ได้ต่อไป จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องที่ไสยาของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ฝ่ายกำบู วาระคะอัสมาหราก็ยังพูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นเรื่อยไปว่า “ลูกเอ๋ย ดวงยิหวาของแม่ บัดนี้พระบิดาของเธออยู่ในนครนี้แล้ว ลูกแม่คงจะได้ประสบพบกับเธอเปนแม่นมั่น”

แล้วก็กอดจูบตุ๊กตานั้น และพูดพร่ำต่อไปเปนคำกลอนว่า

โอ้อะนะกันดายอดดวงจิตต์

จงรู้เถิดเจ้าเปนกมลสิทธิ์๓๓
ของชนกระเด่นอินูทรงฤทธิ์

มารดาก้าหลุแน่ไม่ผิด

นามเธอจันตะหรากิระหนา

ก่นแต่ถูกปองร้ายนานา

ชีพนี้ไร้ประโยชน์ไร้พาศนา

ตกเปนกำบูให้คนทัศนา๓๔
ชีพสนุกสุขเกษมไม่เคย

มีแต่กำศรดโศกไร้เสบย

เห็นสิ้นมานะ๓๕แล้วลูกเอ๋ย

ดังฤทัยท่วมน้ำจมเลย

ถ้ายังยืดเยื้อไปอย่างนี้

มัจจุราชจงคร่าห์พาหนี

รักษาใจบริสุทธิ์ดุจมณี

พร้อมแล้วยอมม้วยด้วยดุษณี

ขณนั้นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็สิ้นสติลืมองค์ โดดเข้าเปิดม่านที่ไสยานั้นแล้วจับมือกำบูวาระคะอัสมาหรานั้นไว้ ฝ่ายกำบูอื่นๆ ก็วิ่งหนีไปซ่อนตัวสิ้น เพราะคาดว่าครั้งนี้ระหัสความลับของกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นจะต้องเปิดเผยขึ้น เพราะระเด่นปันหยีนั้นมาล่วงรู้แล้ว ต่างก็รู้สึกมีความอาย จึงพากันวิ่งไปซ่อนตัว แต่ก่อนนี้เมื่อระเด่นปันหยีนังเฝ้าสังระตูกากะหลังอยู่พร้อมด้วยชายา ก็ได้เคยรับเอากำบูทั้งเจ็ดเปนสหาย เพราะสำคัญว่าเปนชาย แต่บัดนี้ย่อมประจักษ์แจ้งแล้ว ว่าพวกกำบูนั้นเปนหญิงทั้งสิ้น

ระเด่นปันหยีจับมือกำบูวาระคะอัสมาหราไว้ แล้วก็จุมพิต

ฝ่ายกำบู วาระคะ อัสมาหรา เห็นระเด่นปันหยีจับหัตถ์ดังนั้น นางก็ขว้างตุ๊กตาทองคำนั้นไปเสีย แต่ระเด่นปันหยีก็เก็บตุ๊กตานั้นขึ้น พลางตรัสว่า “ทำไมเล่าจึงโยนทิ้งตุ๊กตานั้น มันไม่มีความผิด ผู้ที่ผิดนั้นคือบิดาของมันต่างหาก”

แล้วก็ปลอบโยนด้วยสุนทรพจน์นานาว่า “ถ้าเธอเปนปันหยี สะมิหรังแล้ว กระไรเลยช่างมีแก่ใจสละละทิ้งกะกันดาไปเสียได้ จนพี่นี้เที่ยวหาอะดินดาทั่วตลาดทั่วย่านบ้านเมือง บุกป่าฝ่าดงไปหลายประเทศเขตต์ขันธ์ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องแล้วพี่ก็จะมิได้มาถึงที่นี้เลยและจะมิได้ไปดาหา แล้วก็จะมิต้องถูกหลอกลวงให้สมรสกับก้าหลุ อาหยัง หากพี่นี้สมสู่อยู่ด้วยกับก้าหลุ อาหยัง นั้นแล้ว จักไม่เปนการชอบธรรมเลย”

ครั้นแล้วก็ช้อนเศียรก้าหลุ วางลงข้างเบื้องซ้ายองค์ พลางตรัสปิยะวาจาปลอบโยนเรื่อยไป

ฝ่ายกำบูวาระคะ อัสมาหรา กล่าวคือก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น คิดใคร่จะกลิ้งให้หลุดพ้น แต่ก็สิ้นกำลัง เพราะกรของระเด่นปันหยีสวมสอดกอดรัดอุระไว้แน่นดังเล็บเหยี่ยว และมิได้หยุดหย่อนในอันกล่าวคำวิงวอนปลอบโยนด้วยมธุรสวาจาอันไพเราะเสนาะโสตร์

ฝ่ายว่านิลวาตีกับก้าหลุนาหวังจันตะหรา ครั้นทราบข่าวว่าระหัสของกำบูวาระคะอัสมาหราได้เปิดเผยแล้ว และระเด่นปันหยีก็ทราบแจ้งแล้วฉนั้น สองนางก็มีความลอาย ด้วยมิได้สงสัยเลย นึกว่ากำบูเหล่านั้นเปนชาย ยิ่งนางนิลวาตีด้วยแล้วยิ่งอายมาก เพราะได้ไปประดิพัทธผูกรักใคร่ในกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น และได้เคยชวนให้นอนในที่ไสยาของนาง มิหนำซ้ำนางนิลวาตีนั้นได้เคยส่งของดอกไม้เครื่องกินไปให้กำบูนั้น เพราะสำคัญว่าเปนชาย ด้วยในเวลาเล่นละคอนปันหยีสะมิหรังกำบูวาระคะ อัสมาหรา ซึ่งเปนตัวปันหยีสะมิหรังนั้นก็แต่งเปนเยี่ยงบุรุษเพศ

ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น ทุกๆ นางที่มีใจกำหนัดรักใคร่กำบูนั้นจึงบังเกิดความลอายใจทั่วกัน

ฝ่ายระเด่นปันหยี ปลอบโยนเล้าโลมกำบูวาระคะอัสมาหราหรือก้าหลุจันตะหรากิระหนานั้นแล้ว ก็เสวยรมย์สมสมรทุกทิวาราตรีมิได้เว้นว่างสิเนหา จนลืมอะไรๆ หมดในโลก ทั้งลืมนางอื่นๆ หมดสิ้น พอระเด่นปันหยีกลับสู่ตำหนักที่ตำบลบ้านปะสันตะเหร็นนั้น นวลนางทั้งหลายก็วิ่งตรูมาเฝ้า พลางว่า “บัดนี้กะกันดากำลังสิเนหาอาลัยในกำบูนั้น จนลืมพวกหม่อมฉันเสียสิ้น”

จึงระเด่นปันหยีก็ปลอบโยนเล้าโลมนางนั้นๆ และณกาลนั้นก็ไม่มีกิจใดอื่นนอกจากเสด็จไปทางโน้นทางนี้ปลอบโยนเล้าโลมนางต่างๆ จนเหน็ดเหนื่อยบอบช้ำกาย และด้วยเหตุที่เธอมีปรีชาและวาจาอ่อนหวาน จึงสามารถปลอบนางทั้งหลายให้ใจอ่อนน้อมตามความประสงค์ของเธอสิ้น

ส่วนพวกกำบูทั้งหลายซึ่งไปซ่อนตัวอยู่นั้นถึงกาลนั้นก็เลยใช้เครื่องแต่งกายเปนสตรีดังเช่นเคยมาแต่ก่อน เพื่อจะได้มิต้องอายอีกสืบไป

มาวันหนึ่ง จึงระเด่นปันหยีตรัสแก่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาว่า “เออ แน่ะอะดินดา พี่นี้อยู่ในเมืองกากะหลังนี้ก็นานแล้ว เหตุเพราะเที่ยวค้นคว้าหาน้อง บัดนี้กะกันดาใคร่จะเข้าเฝ้าสังระตูเพื่อทูลลากลับคืนบ้านเมืองของกะกันดา”

ตรัสดังนั้นแล้ว ทันใดนั้นก็ออกบทจรไปข้างนอก ไปได้แต่เพียงสี่ห้าก้าวก็ย้อนกลับมาใหม่แล้วจุมพิตสูดกลิ่นและกัดเหน็บไรโอษฐนวลนางนั้น ประหนึ่งไม่สามารถจะนิราศคลาดคลาแม้แต่เพียงสักครู่เดียว ตรัสว่า “อะดินดาเปนคู่สวาทยอดชีวิตของกะกันดาแล้ว”

ครั้นแล้วก็แข็งหทัยดำเนินไปสู่วังองค์สังระตู มีระเด่นวิรันตะกะตามไปด้วย ครั้นถึงจึงก้มศิรเกล้าบังคมลาฝ่าธุลีภคินทะสองสวามีภริยานั้น พลางทูลถวายบังคมกลับคืนบ้านเมืองและจะขอพาเอาสหายคือกำบูทั้งเจ็ดคนนั้นไปด้วย ฝ่ายองค์สังระตูก็เสียพระหฤทัยอาลัยนัก ทรงจุมพิตระเด่นปันหยีที่ศิระประเทศ ด้วยรู้สึกสำนึกเสมือนดังว่าเปนราชโอรสเลือดเนื้อเดียวกัน ฝ่ายระเด่นสิงหมนตรีก็อาลัยสะมาร์กับวิรุน ขณนั้นสะมาร์และวิรุนก็ประนตน้อมทูลว่า “เชิญเสด็จอยู่สวัสดีเถิด” ระเด่นสิงหมนตรีนั้นก็ถอดธำมรงค์ และสายรัดองค์ประทานแก่สะมาร์และวิรุนด้วยความยินดี พลางตรัสว่า “เราจะต้องจากกันในวันนี้ แล้วจะไม่ได้กินข้าว ร่วมจานกันอีกต่อไป” บรรดาชาววังเวลานั้นก็มีใจประหวั่นอาลัยทั่วทุกคน

ครั้นแล้วระเด่นปันหยีก็เสด็จกลับคืนสู่ตำหนักณตำบลปะสันตะเหร็น พอไปถึงจึงเข้าหาก้าหลุจันตะหรา กิระหนา พลางตรัสว่า “อะดินดาของพี่มีความปรารถนาจะไปไหน จะไปดาหาหรือนครกุรีปั่น น้องอยากไปไหนพี่ก็จะตามใจและไปด้วยทุกแห่ง”

ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานบนิ้วทูลว่า “หม่อมฉันไปดาหาจะมีคุณประโยชน์อันใด พระมารดาก็หาไม่แล้ว ถ้าพระพี่ยาอยากจะเสด็จไปพบกับชายา ซึ่งมีนามว่าก้าหลุ อาหยังนั้นแล้ว ก็เชิญเสด็จไปแต่องค์เดียวเถิด”

ระเด่นปันหยีก็กอดศอและจุมพิตที่ปรางก้าหลุพลางตรัส “ที่พี่จะไปร่วมที่นอนกับนางนั้นไม่ชอบธรรมทีเดียว และพี่ก็ได้เขียนหนังสือบอกหย่าให้แล้ว”

จึงก้าหลุตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกุรีปั่นกันเถิด ด้วยที่ดาหานั้นหม่อมฉันมีแต่เรื่องเจ็บใจเท่านั้นเอง”

แล้วก้าหลุก็ก้มพักตร ชลเนตรไหลหลั่งด้วยคนึงถึงองค์พระบิดา ระเด่นปันหยีก็เช็ดน้ำเนตรด้วยชายฉลององค์ ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยชลนัยของพระองค์เองอยู่แล้ว พลางตรัสว่า “ดีแล้ว เธออยากไปกุรีปั่นก็เปนบุญของพี่นักหนา๓๖ จงมาไปด้วยกันกับพี่เถิด”

ครั้นแล้วระเด่นปันหยีก็ตรัสสั่งให้หาตัวสะมาร์กับกาลัง ทั้งสองนายนั้นก็มาเฝ้า ปันหยีตรัสว่า “จงไปเรียกชุมนุมรี้พลเสนาทะแกล้วทหาร ด้วยบัดนี้ข้าจะกลับคืนกรุงกุรีปั่น”

จึ่งสะมาร์ไปเรียกชุมพล และระเด่นวิรันตะกะก็แต่งกายอย่างโอ่อ่า ครั้นพรักพร้อมทั่วกันแล้วในเช้าวันนั้นก็ออกยาตราสู่ทิศกรุงกุรีปั่น ประชาชนพลเมืองกากะหลัง เห็นระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมายกไปดังนั้นก็สอื้นไห้ใจสั่นระริกรัวทั่วกัน ทั้งอาลัยในกำบูทั้งเจ็ดนั้นด้วย ฝ่ายสังระตูคู่สวามีชายาก็ไม่สามารถตรัสประพาศอไรอีก เพราะทั้งสององค์เปียกชุ่มไปด้วยชลเนตรราวกับสรงน้ำ



-----------------------------------

๒๙ ต้นฉบับใช้คำ “บูดิ ปกรติ” แปลว่าคุณวุฒิประจำตัว
๓๐ ต้นฉบับว่า “ลังชัด”
๓๑ ตาม พ.ร.น. อิเหนา ระตูล่าสำ เปนพี่จรกา แต่ในฉบับนี้ไม่ชัดว่าใครเปนพี่เปนน้อง และอีกชื่อหนึ่งนั้นไม่ปรากฏมีใน พ.ร.น. ทีเดียว อนึ่งบรรดาเมืองที่ออกชื่อใน พ.ร.น อิเหนาก็ดี ในหนังสือปันหยีสะมิหรังนี้ก็ดี เกือบจะมีแต่ล่าสำเมืองเดียว ที่ยังเปนบ้านเมืองอยู่จนปัจจุบันสมัยนี้ ตั้งอยู่ริมฝั่งเหนือของเกาะชวาภาคกลาง เมืองนอกนั้นสาบสูนย์เสียโดยมาก มีแต่โบราณวัตถุเหลืออยู่บ้าง กลายเปนเพียงชื่อตำบลหมู่บ้านเท่านั้นบ้าง ที่สูญชื่อเลยทีเดียวก็มี
๓๒ ต้นฉบับว่า “มาลาอิ” แปลว่า ดอกไม้หรือมาลีก็ได้ ว่าพวงมาลัยก็ได้
๓๓ ต้นฉบับใช้คำ “กะมะละ ลิตติ”
๓๔ ในต้นฉบับบทนี้ทิ้งสัมผัส “นี” ทั้ง ๔ บาท
๓๕ ต้นฉบับใช้คำ “มานะห์”
๓๖ สำนวนในต้นฉบับตรงนี้ว่า “ขอบคุณเทวดานับพันครั้ง” แปลดัดแปลงไปบ้างเพื่อสำนวนไทย
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 30 มกราคม 2568 18:56:32 »


อิเหนา : ภาพโดย ครูเหม เวชกร

อิเหนา
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามะลายู

ภาค ๒

แล้วระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมาก็เดิรทางไปพร้อมด้วยนวลนางทั้งปวง สะมาร์และวิรุนเดิรไปหน้าจูงม้าพระที่นั่งซึ่งมีนามว่ารังคะรังคิตนั้น รี้พลเสนาเดิรตามไปข้างหลังพร้อมด้วยฆ้องกลอง ฆ้องตับ ฆ้องโข่ง และดุริยดนตรีอย่างอื่น ตีประโคมไปตลอดทางไม่หยุดย่อน ส่วนระเด่นวิรันตะกะก็เดิรไปกับกนิษฐาคือ นางนิลวาตี กับทั้งระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ไม่อยากจะห่างไกลแต่สักขณเดียว และช่วยกล่าวคำปลอบนางก้าหลุจันตะหรากิระหนาเรื่อยไป แล้วก็พากันเดิรทางเข้าป่าออกป่า เข้าทุ่งออกทุ่ง ขึ้นเขาลงเขา เมื่อค่ำลงก็ค้างแรมที่พื้นปถพี รุ่งเช้าวันพรุ่งก็เดิรต่อไปบ่ายหน้าสู่กรุงกุรีปั่น

ไม่ช้านานก็ไปถึงยังที่มีรอยเมืองของปันหยีสะมิหรังนั้นก่อน จึ่งระเด่นปันหยีตรัสแก่ก้าหลุจันตะหรากิระหนาว่า “นี่แหละเมืองของอะดินดาปันหยีสะมิหรัง ซึ่งยับยั้งอยู่ที่นี่เมื่อรบกับระเด่นอินู”

ก้าหลุเห็นเมืองนั้น พลันชลเนตรก็ไหลหลั่ง ด้วยระลึกถึงเคราะห์กรรมอันวิบากวิบัติเปนนักหนานั้น จนต้องกลายเปนคนกลาหนา ได้รบพุ่งตีชิงผู้คนเปนอันมาก ทั้งคนึงถึงยามสนทนาสมาคมกับระเด่นอินูกะระตะปาตีนั้นด้วย ครั้นแล้วก็เหลือบเห็นต้นไทรซึ่งอยู่ใกล้ประตูเมืองนั้นอันเปนที่กุดาปะรันจาและกุดาประวีระตีชิงทูตกุรีปันเมื่อก่อนกี้นั้น พลันอสุชลก็กบเนตรแล้วเช็ดด้วยหัตถ์พลางตรัสว่า “หม่อมฉันคิดว่ากะกันดาตรัสสั่งให้ทำลายเมืองนี้เสียให้พินาศจะดี จะได้ลืมกันเสียที ไม่ต้องเห็นต่อไป”

จึงระเด่นปันหยีทันใดนั้นตรัสสั่งให้ระเด่นวิรันตะกะกับทั้งวิรุนและสะมาร์จัดการทำลายเมืองนั้น เมืองก็ถูกทำลาย และต้นไทรสองต้นนั้นก็ถูกตัดไปด้วย ไม่ช้าเลย เมืองก็หายกลายเปนทุ่งเช่นในกาลก่อน

ครั้นแล้วก็พากันเดิรทางต่อไปอีก ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ตรัสแก่วิรุน สะมาร์ และกาลังว่า “แน่ะเพื่อนเกลอทั้งหลาย สมควรแล้วที่เราเปลี่ยนชื่อกลับใช้ชื่อเดิมของเรา และแต่กาลบัดนี้ไปพวกเราอย่าออกชื่อเรียกกาลัง วิรุนและสะมาร์อีก จงเรียกชื่ออย่างในกาลก่อนว่า ยะรุเดะ และปูนตา การะตาหลา และประสันตา ส่วนตัวเราก็เรียกว่าระเด่นอินู กะระตะปาตีเหมือนกัน”

ครั้นไปใกล้ขอบนครกุรีปั่น จึงตรัสสั่งให้หยุดยับยั้งพักพหลพลนิกร ณ ที่นั้น และให้ยะรุเดะกับการะตาหลาเข้าไปในเมืองแพร่ข่าวการที่เสด็จมานั้นเพื่อมิให้ประชาชนพลเมืองตื่นเต้นตกใจ

ยะรุเดะกับการะตาหลาก็ขี่ม้าวิ่งอย่างเร็วเข้าไปในเมือง ตรงไปสู่พระราชวังทูลให้ทราบฝ่าธุลีภคินทะว่าระเด่นอินูเสด็จกลับจากสงครามปราบเมืองต่างๆ แล้ว จะเสด็จเข้าเมือง

ไพร่บ้านพลเมืองทั่วไปต่างก็ตระหนกตกใจเปนโกลาหลไต่ถามอึงมี่ ด้วยสำคัญว่ามีข้าศึกมาติดพระนคร

จึ่งยะรุเดะตอบว่า “มิใช่ข้าศึกดอก ผู้ที่มานี้คือพระราชโอรสสังระตูกุรีปั่น เพิ่งเสด็จมาถึง และจะเข้าเมือง”

บรรดาประชาชนพลเมืองที่ตกใจอลหม่านนั้นก็เปลี่ยนกิริยาเปนยินดีปรีดาร่าเริงทั่วกัน

และยะรุเดะกับเพื่อนก็จะไปเฝ้าสังระตู ไปไม่ไกลกี่มากน้อยก็พบกับท่านมนตรีผู้เฒ่า จำได้ว่าเปนยะรุเดะกับการะตาหลา จึงพานำเข้าเฝ้าธุลีองค์สังระตู ครั้นไปถึง สองนายนั้นก็ก้มลงถวายบังคมธุลีภคินทะ จึงพระราชามีราชกระทู้โดยสุรศัพท์ว่า “ระเด่นอินู ลูกเราอยู่ที่ไหนวะ”

ยะรุเดะทูลว่า “ตวนกู ประทับอยู่ที่นอกนครตวนกูนี้เอง พร้อมด้วยนางบุตรีหลายองค์และรี้พลจำนวนหนึ่ง”

ระตูตรัสว่า “คนทั้งหมดนั้นไปได้มาจากไหน”

ยะรุเดะทูลว่า ด้วยระเด่นอินูนั้นได้เสด็จไปตีเอาเมืองหลายเมืองเปนเมืองขึ้นเมืองออก จึงได้นางบุตรีหลายนางเปนเชลย และเปนชายานางห้าม ก็และพระบุตรีก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาก็อยู่ด้วยแล้วเหมือนกัน”

สังระตูได้ทรงฟังยะรุเดะทูลแถลงดังนั้นก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก จึงตรัสสั่งให้จัดรี้พลออกไปรับเสด็จ ให้นำม้ารถคชพาหนทั้งดุริยดนตรีทั้งหลายไปด้วย ในเวลากำลังตรัสอยู่นั้น บัดดลระเด่นอินูก็เข้าไปหน้าพระที่นั่ง น้อมเศียรบังคมธุลีบาทบงกชถึงเจ็ดคาบ องค์สังระตูก็ทรงกอดและจุมพิตพระราชโอรสพลางตรัสว่า “ใครนี่ที่มากับอะนะกันดานี้”

ระเด่นอินูทูลว่า “นี้คือบุตรระตูจกรกา มีนามว่าระเด่นวิรันตะกะบิดาของเธอกลับคืนไปสู่สวรรค์แล้ว”

แล้วก็นำนางทั้งหลายเข้าเฝ้าสังระตู ฝ่ายสังระตูกับประไหมสุหรีสององค์ด้วยกันนั้น ก็ทรงสุขจิตต์ปรีดิ์เปรมยิ่งนัก ในอันเห็นราชบุตรรอดกลับมาโดยสวัสดี จึงให้เลี้ยงสมโภชด้วยอาหารเครื่องดื่ม และเครื่องสนุกสนานนาๆ

ครั้นแล้วสังระตูก็ทรงการุณ๓๗เกื้อกูลรี้พลทะแกล้วทหารซึ่งยอมตนเปนข้าตามมาด้วยนั้นด้วยเสื้อผ้าเปนต้น และทุกๆคนให้ได้มีที่อยู่พักอาศรัย ส่วนนางทั้งหลายนั้นก็เช่นกัน บ้างก็ประทานตำหนักให้อยู่ในตาหมัน บันยาหรัน ส้าหรี บ้างก็ให้อยู่ที่ตำบลการังส้าหรี และที่ให้อยู่ที่ตำบลดูกาก็มี ส่วนก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้นโปรดให้ประทับในวังระเด่นอินู กะระตะปาตี

อยู่มาวันหนึ่งก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ตรัสแก่ระเด่นอินู กะระตะปาตีว่า “พระคุณของกะกันดานั้นใหญ่หลวงนัก ไม่อาจตอบแทนสนองพระคุณให้เพียงพอได้ ด้วยกะกันดาได้ประทานตุ๊กตาทองคำตาเพชรแก่หม่อมฉัน และด้วยเหตุว่ายังมิได้ตอบแทนพระคุณนั้น บัดนี้หม่อมฉันจะขอสนองพระคุณ คือหม่อมฉันมีราชบุตรีมันตาหวันมาด้วยสองคน ซึ่งยอมตนเปนข้าครั้งหม่อมฉันไปตีเมืองนั้น นั่นแหละหม่อมฉันขอถวายใช้หนี้พระคุณกะกันดา และนางบุตรีนั้น คนหนึ่งมีนามว่าบุษบาส้าหรี อีกนางหนึ่งบุษบาชูวิต ตั้งแต่นี้ไปกะกันดาแหละเปนเจ้าของนางทั้งสองนั้น”

ระเด่นอินูได้ฟังคำตรัสทั้งมวญนั้นก็ยิ้มและสรวล แล้วก็สวมสอดกอดจูบนางก้าหลุจันตะหรา กิระหนา พาสู่ที่บรรจถรณ์ ตระกองกรหยอกเย้าเล้าโลม ดังแมลงผึ้งยังมธุให้สุกใสชุ่มหวาน ทั้งนี้ด้วยเทวานุภาพบันดาลนั้นแล

จะกล่าวถึงองค์ระตูดาหา ณกาลนั้นท้าวเธอก็ทรงทราบข่าวราชธิดาก้าหลุจันตะหรา กิระหนานั้นว่าได้ไปถึงยังนครกุรีปั่นพร้อมด้วยระเด่นอินู กะระตะปาตีแล้ว

จึ่งตรัสสั่งให้เรียกชุมนุมตระเตรียมรี้พลสกลไกร ครั้นมาพร้อมสรรพทั่วกันแล้วท้าวเธอกับมหาเดหวีก็เสด็จยาตรา มีพหลโยธาแห่นำตามเสด็จแปรทิศสู่นครกุรีปั่น

มิช้านานศรีภคินทะก็เสด็จไปถึงยังที่นั้น มีการรับรองตามสมควร แล้วต่างฝ่ายก็กอดและจุมพิตซึ่งกันและกัน เชิญให้เสวยโภชนาหารเครื่องดื่มแล้วมหาเดหวีก็เข้าเฝ้าประไหมสุหรี จึงประไหมสุหรีตรัสว่า “ฉันได้ยินข่าวเลื่องฤๅโด่งดังว่า ระตูดาหานั้นมักทรงคล้อยตามความประสงค์ของชายาคนหนึ่ง ถ้าไม่มีมนตรีผู้ใหญ่แล้วแน่เทียวบ้านเมืองดาหาจะต้องพินาศ เพราะท้าวเธอสิเนหาอาลัยหลงใหลในท่านลิกูนัก ไม่ว่าอไรก็ทรงตามใจไปเสียสิ้น อันการอย่างนี้ถ้าเปนระตูกุรีปั่นแล้ว แน่เทียวปลายแหลมพระแสงกริสของระตูจะต้องเสียบหน้าอกท่านลิกูนั้น”

นางมหาเดหวีก็ทรงกรรแสง ด้วยมาระลึกถึงการที่ก้าหลุจันตะหรากิระหนาถูกตัดเกษาด้วยกรรไกรนั้น แล้วตรัสว่า “ถูกแล้ว ระตูดาหาแพ้อำนาจท่านลิกูจนกระทั่งก้าหลุต้องหนีไปจากนครเที่ยวสู้รบตีชิงทรัพย์สินผู้คน ทั้งแปลงตัวเปนชายเรียกชื่อว่าปันหยีสะมิหรัง แล้วต่อไปก็กลายเปนกำบูเที่ยวร่อนเร่ระเหระหนไปมา” แล้วมหาเดหวี ยังเล่าแถลงประการอื่นๆ อีกต่อไป

สังระตูกุรีปั่นรับสั่งให้หาระเด่นอินู ไม่ช้าระเด่นอินูนั้นก็เข้าสู่ที่เฝ้าพร้อมด้วยก้าหลุจันตะหรา กิระหนา น้อมเศียรถวายบังคมทั้งสององค์

สังระตูทรงจุมพิตพระราชบุตรที่ศิรประเทศแล้วตรัสสั่งให้ทูลแถลงเล่าเรื่องแต่ต้นจนปลายดังเช่นได้เคยทรงฟังจากพระราชโอรสก่อนแล้วนั้น แล้วระตูดาหาจึงตรัสว่า“บัดนี้ควรเราจะจัดการอภิเศกสยุมพรลูกเรา ระเด่นอินูกับก้าหลุจันตะหรากิระหนา”

ณกาลนั้นจึงทรงปรึกษาหารือกับประไหมสุหรื และมหาเดหวี ครั้นแล้วสังระตูกุรีปั่นก็ตรัสสั่งให้ยะรุเดะกับการะตาหลาไปเชิญเสด็จท้าวกากะหลัง

ยะรุเดะก็ขึ้นม้าควบไปอย่างเร็วที่สุด มิได้หยุดยั้งแม้สักครู่ยามเดียว ลืมกินลืมดื่ม ทั้งมิได้อาบน้ำชำระกาย

มิช้าก็ไปถึงกรุงกากะหลัง กราบทูลความตามที่ท้าวกุรีปั่นมีพระบัญชามา ครั้นแล้วก็ทูลลากลับนครกุรีปั่น

ฝ่ายระตูกากะหลังก็ทรงปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ตรัสสั่งให้เตรียมรี้พล ครั้นพร้อมสรรพก็เสด็จยุรยาตรพร้อมทั้งประไหมสุหรี ขึ้นทรงรถพระที่นั่ง ระเด่นสิงหมนตรีกับรี้พลก็ตามเสด็จไป บ่ายหน้าสู่นครกุรีปั่นไม่ช้านาน ศรีภคินทะนั้นก็เสด็จถึงกรุงกุรีปั่น ระตูกุรีปั่นก็ทรงต้อนรับตามสมควร ทรงสวมสอดกอดจูบซึ่งกันและกันแล้วเชิญให้เสด็จเข้าในพระราชฐาน

ระเด่นอินูกับก้าหลุ ก็ก้มเศียรถวายบังคมองค์ท้าวกากะหลังนั้น

ฝ่ายระตูกากะหลัง ก็พิศวงงงงวยมิใช่น้อย ในอันทอดพระเนตรเห็นปันหยียาเหย็งกะสุมา อยู่ที่กรุงกุรีปั่น ด้วยมิได้ทรงทราบว่าเปนราชโอรสกรุงกุรีปั่น ซึ่งแปลงเปนปันหยีเที่ยวตีเอาบ้านเมืองมากมายมาเปนเมืองขึ้นเมืองออก

ระเด่นอินูเห็นพระอิริยาบถของท้าวกากะหลังดังนั้นก็แย้มสรวล

แล้วระตูกากะหลังก็ตรัสถามว่า “พวกกำบูอีกหกคนหายไปไหนเห็นอยู่นี่แต่คนเดียว คือกำบูวาระคะ อัสมาหรา เท่านั้น”

ระเด่นอินูก็ยิ้มและก้าหลุจันตะหรา กิระหนาก็ยิ้มตามด้วย แล้วก็ก้มพักตร เอาผ้าเช็ดขนง

ครั้นแล้วพนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมาตั้ง เสร็จเสวยแล้ว ก็ตั้งพานพระศรี๓๘และถวายน้ำหอมต่างๆ

แล้วก็ประทับใกล้เคียงกัน ปรึกษาหารือด้วยเรื่องจะอภิเศกก้าหลุจันตะหรากิระหนา กับระเด่นอินู กะระตะปาตีนั้น

จึ่งระตูกุรีปั่นตรัสสั่งให้จัดตระเตรียมการที่นอกพระราชฐานและสั่งให้แต่งประตูเมืองด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆด้วย พระนครก็งดงามวาวแววแพรวพราย ผู้คนก็ไปมาแน่นหนามากขึ้น

แล้วนวลนางก้าหลุ กับระเด่นอินูนั้น ก็ทรงเครื่องเรืองอร่ามด้วยกาญจนาภรณ์นานา จนพระรูปโฉมงามพริ้งยากจะหาที่เปรียบได้ ครั้นเสร็จแล้วจึงองค์สังระตูตรัสสั่งให้กระทั่งเสียงดุริยดนตรี เรียกประชุมชาวนาครไพร่บ้านพลเมือง ด้วยจะเศกให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ในกุรีปั่นนั้น เพราะองค์ศรีภคินทะจะเสด็จออกผนวชเปนภควัน๓๙ โดยที่ทรงพระชรามากแล้ว จึงมีการเอิกเกริกมโหฬารดิเรก สุดจะคณนา ด้วยเสียงฆ้องตับฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง ระนาดทอง กลองและรำมะนา๔๐ตีกระหน่ำไม่หยุดหย่อน และคนที่มาดูงานก็มากมายถึงแก่เบียดเสียดเยียดยัดแน่นไปทั่วเมือง

แล้วองค์ศรีภคินทะกุรีปั่น ตรัสประกาศด้วยสุรศัพท์สิงหนาทอันดังว่า “บัดนี้เราจะให้ราชโอรสของเรา ระเด่นอินูกะระตะปาตี เปนราชาครองเมืองนี้ให้มีนามว่า สังระตู ประบู๔๑ อะโนม”

แต่พอระตูกุรีปั่นตรัสประกาศดังนั้นจบลงแล้ว ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองก็เปล่งเสียงเซ็งแซ่รับรอง

ครั้นแล้วก็เชิญคู่สมรสหรือคู่บ่าวสาวนั้น ขึ้นประทับเหนือสุวรรณยานมาศอันวิลาศพรรณรายเดิรแห่ไปรอบพระนคร ครั้นกลับถึงจึงประดิษฐานก้าหลุจันตะหรา กิระหนาไว้ในที่ประไหมสุหรี นางนิลวาตีตั้งเปนมหาเดหวี และก้าหลุนาหวัง จันตะหรา กับทั้งนางบุษบาชูวิต คือราชบุตรีมันตาหวันนั้นตั้งขึ้นไว้ในที่ลิกู ฝ่ายท้าวมันตาหวันซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วยก็ยินดีอนุโมทนา และพระราชฐานนั้นก็แน่นหนาไปด้วยราชา ๆ และระตู ๆ ซึ่งได้เชิญมายังที่นั้น เพื่อประกอบความรื่นเริงและเปนเกียรติเปนสง่าแก่วันอภิเศกสมรสระตู ประบู อะโนม นั้น

เสร็จการรื่นเริงนั้นแล้ว จึงท้าวกุรีปั่นกับท้าวกากะหลัง เชิญให้ระตูดาหาตรัสให้หาท่านลิกูกับบุตรี คือก้าหลุ อาหยัง นั้นมา ด้วยระตูกากะหลังทรงพระดำริว่าควรจะเศกให้กับราชบุตร คือระเด่นสิงหมนตรีนั้น

จึงดำรัสสั่งแต่งทูตไปดาหาเพื่อรับนางลิกูกับบุตรีนั้นมา

ท่านลิกูก็มา ดูท่าทางยินดีปรีดา ยิ่งก้าหลุอาหยังด้วยแล้วก็ปลื้มเปรมมาก ด้วยรู้สึกว่าใกล้องค์ระเด่นอินู นาสิกจะจรดปรางอยู่แล้ว

มิช้าก็พากันเข้าพระราชวัง มีดุริยดนตรีบรรเลงต้อนรับ ก็และก้าหลุอาหยังนั้นคาดว่าระเด่นอินูกะระตะปาตีจะมาต้อนรับ ซึ่งแท้จริงเวลานั้นกำลังประทับเสวยสุขารมณ์อยู่กับชายาก้าหลุจันตะหรา กิระหนา ในที่บรรจถรณ์

แล้วท่านลิกูก็เข้าไปข้างในเฝ้าประไหมสุหรี และสังระตู แล้วก็สรวมสอดกอดจูบกันตามประเพณี

กาลนั้นพนักงานก็จัดการแต่งองค์ก้าหลุ อาหยัง กับระเด่นสิงหมนตรี และระเด่นสิงหมนตรีนั้นก็ชื่นชมโสมนัศสรวลเสเฮฮาเบิกบานหฤทัย เพราะยะรุเดะกับประสันตาเฝ้าเยินยออยู่เรื่อย ฝ่ายท่านลิกูก็ยินดีปรีดาในอันเห็นบุตรีวิวาหะเปนครั้งที่คำรบสอง

ถึงเพลารัตติกาลล่วงไปมากแล้ว ระเด่นสิงหมนตรี กับก้าหลุ อาหยังก็รับๆสั่งให้เข้าบรรธมเรียงเขนยในที่บรรจถรณ์ซึ่งมีม่านกั้นบัง

ครั้นก้าหลุ อาหยังไปเข้าที่ไสยาด้วยกันแล้ว เห็นว่าเปนระเด่นสิงหมนตรี มิใช่ระเด่นอินู จึงว่า “ไม่เอาแล้ว ฉันไม่รักแก รูปร่างแกน่าเกลียดน่าชัง คอสั้นทั้งฟันก็เกยก่าย”

ระเด่นสิงหมนตรีก็กล่าวคำปลอบว่า “ฉันนี้ก็สวยงามและหวานเหมือนกันและ หากแต่คอของฉันเท่านั้นแปลกไป แต่รูปร่างก็เกือบจะเหมือนกับรูประเด่นอินูกะระตะปาตี”

ก้าหลุ อาหยังตอบว่า “ไม่ได้ ไม่เอาแล้ว เพราะสวามีของฉันนั้นคือระเด่นอินู ผู้พักตรงาม ฉันนี้มีแต่คิดถึงเธอเท่านั้น ควรแต่เธอเท่านั้นจะมาคลึงเคล้าเล้าโลมฉัน”

สิงหมนตรีก็ปลอบอีกด้วยวาจาอันไพเราะอ่อนหวานว่า “โอ้ ดวงยิหวา ดวงใจของพี่ มาเถอะ พี่จะจูบปรางของเธอ”

ก้าหลุ อาหยังก็เฝ้าแต่กรรแสงเรื่อยไป ทั้งบ่นพร่ำรำพันจนได้ยินถึงภายนอกฝาผนัง ออกแต่นามระเด่นอินูกะระตะปาตีไม่หยุดหย่อน และขอความช่วยเหลือให้ได้ระเด่นอินูมาเคล้าคลึง มีกิริยาราวกับว่าเปนคนวิกลจริต ฝ่ายระตูกากะหลังชรอยก็จะได้ทรงทราบเรื่องของพระสุนิสานั้น ถึงวันรุ่งเช้าจึงตรัสสั่งให้เตรียมรี้พลสกลไกร ด้วยทรงพระดำริว่า รีบพาเอาระเด่นสิงหมนตรีกับก้าหลุอาหยังไปเสียยังกรุงกากะหลังจะดีกว่า

ระตู ๆ ทั้งหลายก็เห็นพระหทัยระตูกากะหลังนั้น จึงสวมกอดและจุมพิตซึ่งกันและกัน

แล้วท่านลิกู ชนนีของก้าหลุอาหยังนั้นก็เข้าไปใกล้ธิดา บอกคาถาอาคมให้บางประการ ทั้งปลอบโยนและให้คำสั่งสอนในเรื่องการทำเสน่ห์ยาแฝดแล้วยังกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอน กล่าวคือว่าให้เลียนอย่างความประพฤติและท่วงทีกิริยาของนางเอง และต่อไปจะหาหมอเสน่ห์ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ เพื่อระเด่นสิงหมนตรีจะได้รักใคร่ใหลหลงถึงไม่อยากจะจากพรากกันเลย แล้วก็บอกสอนอุบายบางอย่างที่จะทำให้ระเด่นสิงหมนตรีนั้นกลัวเกรง จะประสงค์จำนงหมายสิ่งอันใดก็จะต้องตามใจทุกอย่าง และยังสั่งกำชับความอย่างอื่นอีกหลายประการ

ครั้นแล้วระตูกากะหลังกับสิงหมนตรีก็เสด็จออกยาตรา พาก้าหลุ อาหยังไปด้วย ไม่ช้าก็ไปถึงนครกากะหลังด้วยความชื่นชมโสมนัศ ฝ่ายก้าหลุ อาหยังก็ประพฤติตามคำสอนของชนนีเปนนิรันดร์ มิได้มีอันลืม

จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งมีรับสั่งโปรดให้กลับคืนไปยังเมืองจกรกา และให้ยะรุเดะกับการะตาหลาตามไปด้วยนั้น ได้ประทานนางหนึ่งคือบุตรีบุษบาส้าหรี ธิดาท้าวมันตาหวันนั้นเปนภริยา ครั้นไปถึงเมืองจกรกา จึงการะตาหลา กับยะรุเดะ ส่งเสียงตะโกนเข้าไปว่า “เรานี้คือทูตกรุงกุรีปั่น มาเพื่อประดิษฐานราชาผู้ครองเมืองนี้แทนที่พระชนกของเธอ ซึ่งสิ้นชีพแล้วนั้น”

จึงบรรดาไพร่บ้านพลเมืองก็รับเสด็จและเคารพราชาผู้จะเข้าแทนที่นั้นด้วยชื่นชมยินดีทั่วกัน ฝ่ายยะรุเดะกับการะตาหลาก็กลับคืนกรุงกุรีปั่น และระเด่นวิรันตะกะก็ได้เปนระตูครองเมืองจกรกาแทนที่พระบิดาของเธอโดยผาสุกศิริสวัสดิ์สถาพร ด้วยเดชองค์อมรเทวาธิราชหากบรรดาลดลนั้นแล

จะกล่าวถึงยะรุเดะ การะตาหลา กับประสันตาและปูนตากาลล่วงมาวันหนึ่งซึ่งเปนวันดีศรีพระยาวัน จึงโปรดตั้งยะรุเดะให้เปนดะหมังปกครองจังหวัดการังบันดากา และได้ประทานเกนบาหยันพี่เลี้ยงเปนภริยา การะตาหลาเปนปลัดจังหวัดหนึ่งและได้ประทานพี่เลี้ยงนางหนึ่งซึ่งมีนามว่าเกนส้าหงิดเปนภริยา ประสันตาให้เปนมนตรีได้ประทานเกนปะมอหนังเปนภริยา ปูนตาได้เปนตำมะหงง ได้ประทานเกนปะสีเหรียนเปนภริยา และนครกุรีปั่นนั้นก็ทวีความร่มเย็นเปนสุขสันติภาพ ยิ่งมั่งคั่งแน่นหนาขึ้นโดยอันดับ

ฝ่ายระตูดาหาและระตูกุรีปั่นนั้นก็ทรงเกษมสำราญ แต่ละองค์ใคร่จะออกทรงผนวชเปนภควัน

มาวันหนึ่งจึงระตูดาหาโปรดให้เตรียมรี้พลมนตรี เพื่อจะเสด็จกลับคืนสู่นคร

ครั้นพร้อมสรรพแล้วก็เสด็จยุรยาตรพร้อมพลพยุหบาทแห่นำตามเสด็จ ถึงกรุงดาหาแล้วก็ทรงประดิษฐานมหาเดหวีขึ้นเปนที่ประไหมสุหรี ซึ่งในภายหลังมีนามกรฦๅชา ด้วยคนทั้งหลายพากันสรรเสริญทั่วนครว่าเปนผู้มีจริยามั่นคงสุจริตไพบูลย์ด้วยขันตีธรรม

ฝ่ายท่านลิกูก็เรียกมนตรีน้องชายมา เพื่อจะสั่งให้ไปขอชานหมากจากอาจารย์อย่างครั้งก่อนอีก เพราะชานเก่านั้นหายขลังไปเสียแล้ว ทั้งแห้งและเกือบจะหมด ด้วยนางได้แบ่งเอาไปให้ธิดาเสียส่วนหนึ่งคือก้าหลุอาหยังนั้น เพื่อจะได้เลียนอย่างปฏิบัติตามนางมารดา

น้องชายที่ชื่อมนตรีนั้นก็มา นางจึ่งสั่งว่า “แน่ะมนตรี จงไปขอชานหมากมาให้พี่ใหม่ อย่างเช่นเคยขออาจารย์อะไรครั้งก่อนนั้น”

น้องชายนั้นก็ไปยังกุหนุงอันหนึ่งซึ่งเปนที่อยู่ของอาจารย์นั้น พอไปถึงเชิงเขาฝนก็ตกอย่างใหญ่ และอสนีบาตสายฟ้าฟาดถูกศีรษะมนตรีล้มถลาลงตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง

ครั้นท่านลิกูได้ทราบข่าวน้องชายถูกสายฟ้าฟาดตาย ก็หมดหวังจึงร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืนเช้าตรู่จนพลบค่ำ แต่ก็มีเวลาคลายทุกข์บ้างด้วยคาดว่าเพราะมาเสียน้องไปดังนี้ องค์สังระตูจะทรงสงสารและเพิ่มพูนสิเนหาอาลัยในตน หาทราบไม่ว่าศรีภคินทะนั้นทรงสิ้นความอาลัยเพราะชานหมากนั้นสิ้นฤทธิเสียแล้ว ท่านลิกูก็ทุกข์จิตต์เสียใจเปนอันมากยิ่งนานวันก็ยิ่งทวีทุกขาดูร ถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงน้องชาย ซึ่งมีอยู่แต่คนเดียวและไปถูกสายฟ้าตายเสียแล้วกลางทาง มิหนำซ้ำสังระตูก็ไม่ทรงเหลียวแลเอาธุระหรือยกย่องเสียอีก ไม่อยากจะทอดพระเนตรเห็นหน้าเห็นตาเสียทีเดียว

กาลล่วงไปอีกก็ยิ่งทุกขหนักขึ้น ถึงแก่เกิดมีโรคขึ้นอันหนึ่งซึ่งเปนโรคร้ายแรงไม่สามารถเยียวยาได้ ยิ่งนานไปก็ยิ่งซูบผอมเนื้อหมดไป หากไม่มีหนังหุ้มอยู่แล้วจะเห็นกระดูกทีเดียว

เพราะเหตุฉนั้นมาวันหนึ่งท่านลิกูก็กระทำกาลกิริยาวายชนม์ไป

ครั้นสังระตูได้ทรงทราบและตระหนักว่าท่านลิกูชายาสิ้นชีพแล้วโดยที่แม้เมื่อป่วยไข้ก็มิได้ทรงทราบ จึงดำรัสสั่งให้จัดการฝังศพ เจ้าพนักงานก็นำศพไปฝังตามสมควร

บัดนี้จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งขึ้นเปนราชาครองเมืองจกรกาแทนที่ชนกนั้น ก็เสวยสุขเกษมสันต์กันด้วยนางบุษบาส้าหรีเปนนิตย์มา จึงยกย่องประดิษฐานนางไว้ในที่ประไหมสุหรี ประชาชีพลเมืองนั้นก็เกษมสุขสโมสรทั่วกัน ส่วนมนตรีผู้เปนน้า ก็ทรงตั้งให้เปนมหามนตรีผู้เฒ่าผู้ใหญ่ในนครนั้น เรื่องระเด่นวิรันตะกะราชาแห่งกรุงจกรกามีอันเล่าแถลงมาเปนประการดังนี้แล

ก็และราชาๆ และระตูๆ ที่ยังประทับอยู่ ณ กรุงกุรีปั่นนั้น ก็รื่นเริงบันเทิงหทัยเรื่อยไปไม่มีที่สุด ครั้นเสร็จการรื่นเริงเฉลิมฉลองสิ้นแล้ว ต่างองค์ต่างก็กลับคืนสู่นครด้วยความยินดีปรีดา

ในจำนวนนั้นมีระตูมันตาหวัน ซึ่งปรีดิ์เปรมเปนอย่างยิ่ง เพราะได้เขยสององค์ซึ่งปรีชาสามารถและเจริญสวยรูปสมบัติเผ่าพงศและทรัพย์ศฤงฆาร กล่าวคือองค์หนึ่งณกรุงกุรีปั่น อีกองค์หนึ่งณกรุงจกรกา ทั้งสองกรุงนี้ก็จะปรองดองเปนไมตรีกันโดยสงบสันติภาพ ท่านผู้เจ้าของเรื่องท่านเล่าแถลงมีประการดังนี้แล

จะกล่าวถึงสังระตูกุรีปั่น ครั้นได้เห็นพระราชโอรสสังประบูอะโนมประทับเหนือราชบัลลังก์ครองราชย์มาเปนผาสุกสวัสดี เมตตาปราณีสิเนหารักใคร่ปรองดองกับก้าหลุจันตะหรา กิระหนา กับทั้งชายาอื่นๆ คือว่านางนิลวาตีกับก้าหลุนาหวัง จันตะหรานั้นแล้ว ภคินทะทั้งสองสวามีภริยาก็ทรงสุขจิตต์โสมนัศเปนล้นพ้น ทรงดำริว่า “ก็ตัวเรานี้จะอย่างไรต่อไป บัดนี้ก็ชรานักแล้ว ราชสมบัติก็ได้สละให้แก่ลูกเราแล้ว เพราะฉนั้นเราออกไปผนวชเปนภควันอยู่เสียบนกุหนุงจะดี”

มาวันหนึ่งจึงสังระตูนั้นทรงกำชับสั่งสอนและประทานราโชวาทนานัปปการแก่ราชโอรส จะควรประพฤติวางพระองค์เปนอย่างไร ควรว่ากล่าวปกครองบ้านเมืองอาณาประชาราษฎรอย่างไร ด้วยองค์ศรีภคินทะนั้นใคร่จะเสด็จออกไปยังวิลิสคิรี เสร็จกำชับสั่งเมืองดังกล่าวนั้นแล้ว ได้ฤกษงามยามดี จึงระตูกุรีปั่นพร้อมด้วยประไหมสุหรีเสด็จสู่กุหนุงวิลิส อันเปนที่สถิตของพวกนักพรตประตาปา มิช้าศรีภคินทะก็เสด็จไปถึงยังที่นั้น แล้วก็เสด็จขึ้นไปยอดบรรพต เพื่อประสบกับพระกนิฏฐา คือบีกูคันฑะส้าหรีนั้น ฝ่ายบีกูคันฑะส้าหรีกับพราหมณาจารย์ก็ต้อนรับเสด็จ และโดยเสด็จระตูกุรีปั่นขึ้นไปบนกุหนุงวิลิสนั้น ครั้นถึงซึ่งยอดบรรพต องค์นักพรตภควันกุรีปั่นนั้นก็ทรงเครื่องชำระพระศิรเกล้า จุดธูปเนื้อไม้หอมนมัสการแล้วทรงเครื่องเศวตพัตรเยี่ยงผู้ซึ่งจะนั่งบริกรรมสมาธิสละตนถวายแด่องค์สังหยัง มหาเทวราชฉนั้น

เขาวิลิสนั้นก็แน่นหนาฝาคั่งยิ่งขึ้น ด้วยมีพราหมณาจารย์นักพรตประตาปาและบัณฑิตเปนอันมากที่มาเฝ้าพระราชานั้น และระตูกุรีปันซึ่งผนวชเปนภควันแล้วนั้นก็ประทับประตาปาอยู่ในที่นั้นเปนการยืดเยื้อตลอดไป

ฝ่ายสังระตูกากะหลัง ณกาลนั้นใคร่จะประดิษฐานราชบุตรซึ่งมีนามว่าระเด่นสิงหมนตรีกับนางก้าหลุอาหยังนั้นให้เปนฝั่งฝาในกรุงนั้น และให้เปนผู้ปกครองรัชชมีชายาเปนคู่

ครั้นแล้วจึงอภิเศกสมโภชระเด่นสิงหมนตรีจึงขึ้นครองบัลลังก์ราชย์แห่งกรุงกากะหลังนั้น ระเด่นสิงหมนตรีเสวยสุขเกษมสำราญด้วยกันกับประไหมสุหรี แล้วก็ทรงบริจาคทานแก่บรรดายาจกวนิพกยากจนเข็ญใจ ทั้งท้าวไทยยังบำเพ็ญบารมีทานประการอื่น เช่นแจกทรัพย์สินมีค่าต่างๆ คือเพชรพลอยอัญญมณีให้บรรดาประชาชนพลเมืองรับเอาไปได้ตามชอบใจ

จึงนครกากะหลังนั้นก็ยิ่งสนุกสนานแน่นหนาฝาคั่งยิ่งขึ้นอีก มีวานิชและพ่อค้าทางเรือมาซื้อขาย ณ ที่นั้นเปนอันมาก เพราะราชอาณาเขตไพศาลใหญ่โต นอกจากนั้นยังมีบัณฑิตพราหมณาจารย์อีกมากหลายมาตั้งสอนศิลปวิทยาคมอยู่ในนครนั้น บ้านเมืองก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คน เสียงเจรจาซื้อขายกันอยู่อึงมี่

ท่านเล่าแถลงถึงสันติสุข และความสมบูรณ์มั่งคั่งของกรุงกากะหลัง มีประการดังกล่าวนี้แล

ครั้นสังระตูกากะหลังได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสระเด่นสิงหมนตรีนั้นประทับบัลลังก์ครองราชย์มาด้วยสันติสุขสวัสดิภาพดังนั้นแล้ว ก็ทรงปรีดิ์เปรมปราโมทย์ยิ่งนัก มากาลหนึ่งจึงทรงหารือกับมเหษีว่า “บัดนี้จะว่าอย่างไร ด้วยเราสองคนนี้ก็ชรานักแล้ว เกือบจะหมดกำลังอยู่แล้ว ควรที่เราจะออกประตาปาเปนภควันเสียบ้าง ด้วยพระเชฏฐาระตูกุรีปั่นก็เปนภควันไปประทับอยู่ที่กุหนุงวิลิสตามเยี่ยงปุถุชนผู้ประตาปาแล้ว”

เสร็จปรึกษากันแล้ว จึงสังระตูทรงกำชับสั่งสอนราชโอรสระเด่นสิงหมนตรีนั้นด้วยราโชวาทนานัปการ และชักนำชี้แจงในข้อควรประพฤติปฏิบัติ ครั้นแล้วระตูกากะหลังสององค์คู่สวามีภริยาก็แต่งองค์ชำระพระเศียรแล้ว ทรงจุดธูปและเนื้อไม้หอมบูชา แล้วก็ทรงเครื่องอย่างสูจิ๔๒และสอาดบริสุทธิ์ เสร็จแล้วสังระตูสองสวามีภริยาก็สวมสอดกอดจุมพิตกับราชโอรสและกับก้าหลุอาหยังนั้น แล้วทั้งสององค์เสด็จยุรยาตรไปยังบรรพตอันเปนที่อาศรัยประตาปานั้น เสด็จไปมิช้านานก็ถึงเชิงกุหนุง ก็และในที่นั้นมีประชุมอยู่แล้วซึ่งนักพรตประตาปาและพราหมณาจารย์มากหลาย ซึ่งลงมาจากเขาเอง เพื่อจะต้อนรับเสด็จกษัตริยมหาศาลสองสวามีชายานั้น แล้วองค์ภคินทะก็เสด็จจากที่นั้นขึ้นไปยังยอดเขา บรรดานักบวชประตาปา และพราหมณาจารย์นั้นๆ ก็เดิรตามเสด็จไป ถึงยอดเขาแล้วก็เลยประทับประตาปาเปนภควัน

ก็และพระราชกิจจานุวัตรประจำตัวของภคินทะนั้นก็มิได้มีอื่นใดนอกจากกระทำสักการะบูชาบำเพ็ญบุญ ทั้งสวดสังเวยองค์สังหยัง บะตาระ ชคัต มหาเทวาธิราช และสังหยังอุลุน มิเปนอันพักดื่มเสวย

ท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้ ท่านพรรณนาแถลงไว้เปนประการฉนี้แล

จำเดิมแต่กาลนั้นมา กรุงกากะหลัง และกรุงกุรีปั่น ก็ยิ่งแน่นหนาฝาคั่งขึ้นทุกวัน มีพ่อค้ามหาวานิชมายังที่นั้นเปนอันมาก

ก็และพระราชาทั้งสองนครนั้นก็เปนที่สรรเสริญเคารพนับถือของบรรดาประชาชนพลเมืองเปนนิตย์นิรันดร์ ทั้งเปนที่รักของปวงบะตาระเทวัญทั่วไป เหตุเพราะภควันสององค์นั้นทรงสักการะบูชาสวดสังเวยองค์สังหยังผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพอยู่โดยจำนง เพื่อโปรดให้ผู้สืบสันติวงศ์ได้เปนมหากษัตริย์ดำรงบัลลังก์รัชชราชสีมาอาณาจักรโดยสันติสุขสิริสวัสดิ์สถาพรเปนนิจกาล

ท่านผู้เจ้าของนิยายได้เล่าแถลงเรื่องปันหยีสะมิหรังอัสมารันตะกะมีข้อความดังกล่าวมาทั้งมวญ ยุติลงเพียงนี้แล.



จบเรื่องปันหยีสะมิหรัง

-----------------------------------

๓๗ ต้นฉบับใช้คำ “เม็งงารุเนียอิ” ซึ่งผูกมาจากต้นศัพท์ “กะรูนิยะ“ แปลว่าการุณหรือกรุณา
๓๘ ต้นฉบับว่า “ปูอัน สิริห์” แปลโดยพยัญชนะว่า เชี่ยนพลู ด้วยที่เราเรียกว่ากินหมาก เขาเรียกกินพลู สิริห์ว่าพลู ในที่นี้เรียกว่าพานพระศรีก็ได้สำเนียงคล้ายกันดี
๓๙ ต้นฉบับใช้คำ “มะคาวัน” แปลว่านักพรต ฤษีปัจจุบันนี้ ภิกษุในพุทธศาสนาก็เรียกมะคาวัน
๔๐ ต้นฉบับใช้คำ “ระบานา” คือรำมะนา
๔๑ “ประบู” เปนยศ คำนำหน้าชื่อ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีใช้ และในเรื่องละคอนใช้มาก เทียบได้กับคำ “ท้าว” ของเรา
๔๒ ต้นฉบับใช้คำ “สูจิ”
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.172 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 14 มิถุนายน 2568 07:29:51