[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 05:46:08 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก  (อ่าน 846 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:33:19 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก
พระมโหสถ

          ในสมัยโบราณ ณ ที่ชมพูทวีป ยังมีเมืองเมืองหนึ่ง ชื่อว่าเมืองวิเทหะ หรือวิเทหรัฐ อยู่เขตของชมพูทวีป ซึ่งเป็นทวีปที่มีชื่อเสียงมากในสมัยโบราณ
          ชมพูทวีปเป็นแผ่นดินที่มีลักษณะเป็นการอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาพระสุเมรุ ปัจจุบันหมายถึงดินแดนที่เป็นประเทศอินเดียเดี๋ยวนี้ รวมทั้งประเทศใกล้เคียง 
          กล่าวเฉพาะประเทศอินเดียนั้น เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ถัดไปจากประเทศพม่า มีเมืองหลวงชื่อ นิวเดลี ห่างจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร ในสมัยนั้น วิเทหรัฐเป็นรัฐที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก พรั่งพร้อมไปด้วยคนดีมีปัญญามากด้วยความสามารถ บ้านเมืองมีคนดีคนเก่งอยู่ทั่วไป คนมีคุณภาพเหล่านั้นได้ช่วยกันสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ มากมายหลายแขนงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง
ความอุดมสมบูรณ์และก้าวหน้าทางด้านเกษตรกรรม พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนภายในรัฐอยู่ดีมีสุข สังคมสงบร่มเย็น ก่อเกิดงานสร้างสรรค์ตามความถนัดของประชาชนอย่างมากมายทีเดียว ทั้งนี้เป็นเพราะวิเทหรัฐได้พระราชาดี มีธรรมในการดำเนินชีวิต ใช้ทศพิธราชธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน
          แคว้นวิเทหะมีเมืองหลวงชื่อ มิถิลานคร ปกครองโดยพระเจ้าวิเทหราช ไม่ทราบพระนามเดิม แตจ่มีพระนามตามที่ทรงขึ้นครองราชย์ว่า พระเจ้าวิเทหราช
          พระเจ้าวิเทหราช มีบัณฑิต ๔ คนอยู่ข้างพระวรกาย
          ๑. นายเสนก (เสนกะ)
          ๒. นายปุกกุส (ปุกกุสะ)
          ๓. นายกามินทร์ (กามินทะ)
          ๔. นายเทวินท์ (เทวินทะ)
          ทั้ง ๔ นี้เป็นบัณฑิตผู้รอบรู้ ที่ได้เข้ามารับใช้พระเจ้าแผ่นดินในหน้าที่ที่ปรึกษา เรียกเป็นศัพท์วิชาการว่า ปุโรหิต ทั้งปุโรตาจารย์บ้าง อนุศาสนอรรถธรรมาจารย์บ้าง
          ปุโรหิต ๔ ท่านนี้ มีความรอบรู้เชี่ยวชาญด้านประเพณีเป็นพิเศษ ตลอดจนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเมือง กฎหมาย ระเบียบแบบแผนที่มีมาแต่โบราณกาล
          บัณฑิตทั้ง ๔ คอยเฝ้าให้คำแนะนำปรึกษาแก่พระราชาในข้อราชการงานเมืองต่างๆ มาตามลำดับ ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่มีบัณฑิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าอุบัติขึ้น
          พระเจ้าวิเทหราชทรงชมชอบการคบหาบัณฑิต นักปราชญ์ผู้มีปัญญายิ่งนัก แม้จะทรงมี ๔ ปุโรหิตคอยให้คำปรึกษาอยู่อย่างใกล้ชิด ก็ยังไม่พอพระทัย ยังมีพระราชประสงค์จะหาปราชญ์มาช่วยกิจการงานบ้านเมืองอีกอยู่ตลอดเวลา คืนหนึ่งตอนใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตฝันไปว่า เกิดกองเพลิงลุกโพลงขึ้น ๔ กองที่มุมพระลานหลวงทั้ง ๔
          กองเพลิงทั้ง ๔ ลุกโชติช่วงสูงเท่ากำแพงใหญ่ ในท่ามกลางกองเพลิงใหญ่ทั้ง ๔ นั้น ได้มีกองเพลิงขนาดเล็กกองเพลิงหนึ่งเกิดขึ้นมาใหม่ มีประมาณเก่ากับหิ่งห้อยได้
          กองเพลิงเล็ก แม้จะมีลำแสงเล็กน้อยกระจ้อยร่อย แต่ก็เฉพาะในตอนแรกเท่านั้น ในตอนหลังมันได้ลุกโพลงขึ้นจนมีรัศมีส่องแสงยิ่งใหญ่กว่ากองเพลิงทั้ง ๔ อย่างไม่อาจจะเทียบเทียมกันได้เลย ใช่แต่เท่านั้น  กองเพลิงเล็กยังส่องแสงทะลุไปถึงเทวโลกเมืองสวรรค์ทีเดียว ทะลุไปถึงพรหมโลกชั้นอกนิฏฐ์ แสงสว่างสามารถมองเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่ตกบนพื้นได้อย่างชัดเจน
          พวกเทวดาเทพธิดา เหล่าเทพและพรหม พากันชื่นชมโสมนัส ชวนกันออกมาบูชาสักการะกองเพลิงนั้นด้วยผงหอม น้ำหอม และดอกไม้ เป็นต้น
          ผู้คนในโลกมนุษย์ชวนกันมาดูมาเล่นที่กองเพลิงดังกล่าวอย่างสนุกสนาน น่าแปลกว่าผู้ที่กระโดดโลดเต้นอยู่ในกองเพลิงนั้นมิได้รู้สึกร้อนแม้แต่น้อยเลย ทุกคนไม่ได้รับอันตรายจากกองไฟนั้นแม้สักเท่าก้อย
          ครั้นทรงฝันเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงตื่นจากบรรทม ทรงหวาดสะดุ้งกลัว เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง ทรงนั่งใคร่ครวญอยู่จนถึงเช้าว่าจะมีเหตุอะไรหนอเกิดขึ้นแก่เรา
          เมื่อปุโรหิตทั้ง ๔ มาเข้าเฝ้าในตอนเช้าแล้วทูลถวายถึงพระสุขไสยาว่า “เมื่อคืน พระองค์ทรงบรรทมสบายดีไหม พระเจ้าข้า”
          พระเจ้าวิเทหราชทรงเล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนนี้ให้ฟัง แล้วตรัสถามว่า “จะเกิดเหตุอะไรขึ้นแก่พระองค์บ้างหรือเปล่า”
          บัณฑิตเสนกะฟังแล้วก็ทูลว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์อย่าได้ตกพระทัย พระสุบินนั้นเป็นมงคลพระเจ้าข้า ความเจริญรุ่งเรืองจักบังเกิดขึ้นแก่พระองค์พระเจ้าข้า”
          “จริงหรือท่านอาจารย์?” พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามด้วยความตื่นพระทัย
          “จริงแท้แน่นอน พระเจ้าข้า”
          “ท่านอาจารย์ว่าเป็นมงคล มันเป็นมงคลอย่างไรหรือ?”
          “ตามพระสุบินนิมิต สามารถทำนายได้ว่า บิณฑิตคนที่ ๕ จะเกิดขึ้น บัณฑิตคนที่ ๕ นี้จะเกิดในวันนี้พระเจ้าข้า”
          “บัณฑิตคนที่ ๕ จะเป็นผู้มีสติปัญญาสูงส่งยิ่ง มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าพวกข้าพระองค์ทั้ง ๔ คนอย่างเปรียบกันไม่ได้ เหมือนกองเพลิงกองน้อยที่ลุกโพลงโชติช่วงสว่างในท่ามกลางกองเพลิงทั้ง ๔ เขาจะเป็นผู้ปรีชามีปัญญามาก ยากจะหาผู้ใดเทียบเท่า เป็นบัณฑิตผู้ไร้เทียมทานทั้งในโลกมนุษย์และโลกเทวดา พระเจ้าข้า”
          “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ดีน่ะซิท่านอาจารย์ แล้วบัณฑิตน้อยที่ว่านั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?”
          “วันนี้ บัณฑิตน้อยจักปฏิสนธิหรือจักคลอดจากครรภ์มารดา พระเจ้าข้า”
          จำเดิมแต่นั้นมา พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงระลึกถึงคำพยากรณ์ของเสนกะบัณฑิตอยู่ตลอดเวลา ทรงระลึกถึงอยู่เสมอว่า เมื่อไรจะได้เห็นยอดบัณฑิตผู้นั้น
          ในวันนั้นเอง ในวันที่พระราชาทรงสุบินนิมิตในวันที่เสนกะบัณฑิตพยากรณ์  พระโพธิสัตว์ก็ได้จุติจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิเกิดในครรภ์แห่งนางสุมนาเทวี ภริยาของเศรษฐีสิริวัฑฒกะ ชาวหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม แปลว่า หมู่บ้านกลางข้าวเหนียวตะวันออก เรียกกันง่ายๆ บ้านข้าวเหนียวตะวันออก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประตูเมืองมิถิลา 
          หมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม หรือบ้านข้าวเหนียวตะวันออก อยู่ติดกับหมู่บ้านอื่นๆ อีก ๓ หมู่บ้าน คือ
          ๑. หมู่บ้านทักษิณยวมัชฌคาม (บ้านกลางข้าวเหนียวใต้ หรือบ้านข้าวเหนียวใต้)
          ๒. หมู่บ้านปัจฉิมยวมัชฌคาม (บ้านกลางข้าวเหนียวตะวันตก หรือบ้านข้าวเหนียวตะวันตก)
          ๓. หมู่บ้านอุตตรยวมัชฌคาม (บ้านกลางข้าวเหนียวเหนือ หรือบ้านข้าวเหนียวเหนือ)
          หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีเศรษฐีประจำอยู่ทั้งสิ้น รวม ๔ หมู่บ้าน ยกเว้นบ้านของเศรษฐีวัฒกะ มีถึง ๑,๐๐๐ ครอบครัว ในวันที่พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา เทพบุตรอีก ๑,๐๐๐ ก็จุติลงมาจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิในตระกูลเศรษฐีทั้งหลายใน ๔ หมู่บ้านนั้นเอง
          เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป ๑๐ เดือน นางสุมนาเทวีก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย และคลอดง่ายมาก ง่ายเหมือนกับเทน้ำออกจากกระบอกนั่นเชียว
          ภริยาของเศรษฐีอีก ๑,๐๐๐ คน ก็คลอดลูกออกมาเป็นชายเช่นกัน ขณะนั้นท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ได้ทอดพระเนตรดูมนุษยโลก ก็ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์ได้คลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว ควรที่เราจะประกาศให้ชาวโลกรับทราบไว้ จึงเสด็จหายตัวลงมาวางแท่งโอสถไว้ที่หัตถ์ของพระโพธิสัตว์ที่เพิ่งจะเกิด แล้วเสด็จหายวับไปในที่พิมานของตนในทันที
          ฝ่ายนางสุมนาเทวีเห็นแท่งยาอยู่ในมือของลูก เกิดความสงสัยจึงถามว่า “อะไรหรือลูก ลูกได้อะไรมาหรือ?”
          มโหสถพูดขึ้น “ยาจ๊ะแม่” แล้ววางทิพยโอสถลงในมือมารดา  นางสุมนาเทวีได้ยินเสียงลูกพูดก็ตกใจ คิดในใจว่าลูกเราจะต้องเป็นอัจฉริยบุคคลแน่ๆ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เด็กเพิ่งแรกคเกิด พูดได้อย่างไร
          ขณะที่นางดีใจอยู่กับความอัจฉริยะของมโหสถอยู่นั้น มโหสถก็กล่าวขึ้นว่า “แม่จงแจกยานี้แก่คนเจ็บ คนไข้ ผู้รับยานี้ไปจะหายโรคหายภัยไปเป็นปลิดทิ้ง”
          นางสุมนาเทวียังเห็นมโหสถพูดได้ ก็มีความร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบบอกข้าเฝ้ากระจายข่าวให้รับรู้กันทั่วทั้งภายในภายนอก นางสุมนาเทวีรับแท่งยาจากมือมโหสถมาถือไว้แล้วส่งมอบให้แก่สามี
          เศรษฐีสิริวัฒกะป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมานานถึง ๗ ปี ถือแท่งยามาดู ก็เกิดโสมนัสยินดีปรีดาคิดว่าลูกของเราถือแท่งยามาด้วยในตอนเกิด ทั้งยังพูดได้อีกด้วย คงจะเป็นคนมีบุญมาเกิดเป็นแน่ ยานี้ก็คงจะมีอานุภาพมากเป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วก็ถือแท่งยาไปฝนกับหิน โดยหยดน้ำลงไปหน่อย เมื่อได้มากพอสมควรแล้วก็เอามาทาหน้าผาก สักพักเดียวโรคปวดหัวที่เป็นมานานก็หายเป็นปลิดทิ้ง ดุจน้ำหายไปจากใบบัวฉะนั้น
          เศรษฐีสิริวัฑฒกะรักษาโรคปวดหัวมานาน ใช้ยาไม่รู้จักกี่ขนานๆ ผ่านมือหมอไม่รู้จักกี่หมอๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เก่งๆ ทั้งสิ้น แต่อาการก็ไม่เคยบรรเทาเบาบางลงเลย แต่ครั้นได้ยาของลูกน้อยมาทาที่ภายนอกเท่านั้น โรคปวดหัวก็หายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ท่านเศรษฐีดีใจมากที่ยาของลูกน้อยมีอานุภาพถึงเพียงนี้

นับแต่นั้นมา ชื่อเสียงของเด็กน้อยลูกของสิริวัฑฒกะเศรษฐีกับนางสุมนาเทวีก็เลื่องลือไปทั่วเมือง ผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต่างพากันมาขอยาอย่างไม่ขาดสายไม่เว้นแต่ละวัน วันทั้งวัน ท่านเศรษฐีคอยทำหน้าที่ฝนยาแล้วทาตามร่างกายของคนป่วย ใครเจ็บป่วยที่ไหนก็ทาที่ตรงนั้น ทีเดียวหาย คนเหล่านั้นต่างพากันชื่นชมนิยมยกย่องกันทั่วไปว่ายาของสิริวัฑฒกะเป็นยาวิเศษจริงๆ
          ในวันตั้งชื่อ ท่านมหาเศรษฐีคิดว่าจะไม่เอาชื่อบรรพบุรุษมาตั้งให้ลูกน้อย ลูกของเรามียาอยู่ในมือด้วยตอนเกิด แล้วก็นำความคิดนั้นไปปรึกษากับภริยา เมื่อทั้งสองเห็นพ้องต้องกันดีแล้ว จึงตั้งชื่อลูกว่า โอสถ เพราะมียาติดมือมาตอนเกิด แต่เนื่องจากยาดีมีอานุภาพมากผู้คนใช้แล้วได้ผลจริง เป็นที่กล่าวขานกันทั่วไป จึงสมควรตั้งชื่อให้ว่า มโหสถ แปลว่ายาที่ยิ่งใหญ่ ยาที่มีคุณภาพ
          ครั้นผ่านวันตั้งชื่อมาแล้ว ท่านเศรษฐีมีความคิดว่าลูกของเรามีบุญมากถึงขนาดนี้ คงจะไม่เกิดมาคนเดียว คงจะมีเด็กอื่นๆ เกิดมาพร้อมกับลูกของเราเป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วก็ส่งเลขานุการไปตรวจตราดู ก็ได้ข่าวว่ามีทารกเกิดวันเดียวกันกับมโหสถถึง ๑,๐๐๐ คน จึงให้นำเครื่องประดับเครื่องใช้ พร้อมด้วยแม่นมแก่เด็กแต่ละคน ให้ทำพิธีมงคลแก่เด็กเหล่านั้นพร้อมกับพระมโหสถ ด้วยหวังว่าเด็กเหล่านั้นจะได้มาเป็นบริวารเป็นมิตรสหายของมโหสถในกาลข้างหน้าต่อไป
          มโหสถเจริญวัยขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมีอายุได้ ๗ ขวบ เป็นเด็กที่รูปงาม หน้าตาเกลี้ยงเกลา มีแววเฉลียวฉลาดกว่าเด็กคนอื่นๆ พวกเด็กๆ ด้วยกันจึงยกให้เป็นหัวหน้า  มโหสถมักเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ที่สนามเด็กเล่นเป็นประจำ บางทีขณะที่เล่นๆ กันอยู่ ก็มีสัตว์เข้ามาเหยียบย่ำในสนาม ทำให้สนามเด็กเล่นได้รับความเสียหาย หรืออาจมาทำให้ตกใจ ทำให้ต้องหยุดชะงักการเล่นไป บางทีมีฝนตกลงมาเป็นห่าใหญ่ บางทีมีลมพายุพัดจัด มีแดดจัดจ้า ทำให้ต้องหาที่หลบกันจ้าละหวั่น
          วันหนึ่งฝนตกหนักจนเล่นสนุกกันไม่ได้ ทุกคนต้องพากันหลบฝนอย่างรวดเร็ว มโหสถวิ่งเร็วมาก เข้าไปหลบฝนได้ก่อนใครเพื่อน เด็กๆ วิ่งตามกันมา เหยียบเท้ากันและกัน พลาดล้มลงไปถึงเข่าแตกบ้าง ขาถลอกบ้าง หัวโนบ้าง เท้าแพลงบ้าง
          จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มโหสถคิดจะสร้างศาลาที่พักสักหลังหนึ่ง เพื่อจะใช้เป็นที่พักผ่อนในเวลาหยุดเล่น หรือในกรณีเล่นในสนามไม่ได้ ก็อาศัยศาลาเล่นไปพลางก่อนได้ คิดดังนั้นแล้ว มโหสถก็บอกกับเพื่อนๆ มิตรสหายบริจาคถึงความจำเป็นในการที่จะสร้างศาลา และขอให้ทุกคนช่วยกันสละออกทรัพย์คนละ ๑ กหาปณะ (ประมาณ ๔ บาท)
          พอได้เงินมาจากเพื่อนๆ ๑,๐๐๐ กหาปณะ (ประมาณ ๔,๐๐๐ บาท) รวมทั้งส่วนตัวที่ตนออกสมทบด้วยแล้ว มโหสถก็เดินทางไปหานายช่างใหญ่ว่าจ้างมาทำศาลาที่พักให้ ตกลงกันที่ราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ หรือประมาณ ๔,๐๐๐ บาท โดยรวมทั้งค่าแรงและค่าของเสร็จสรรพ นายช่างใหญ่รับค่าจ้างมาแล้วก็รีบดำเนินการทันที เริ่มแต่ปรับพื้นที่ให้เสมอกัน ขุดหลักถอนตอออกให้หมด แล้วขึงเชือกกะที่ มโหสถเห็นนายช่างขึงเชือกหย่อนไปและไม่ค่อยตรง จึงบอกกับเขาว่า “ท่านนายช่าง น่าจะขึงเชือกให้ดีหน่อยนะครับ”
          นายช่างใหญ่ฟังแล้วไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “นี่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าจะไปรู้อะไร ตัวแค่เนี้ยทำสั่งสอนผู้ใหญ่ นี่มันเป็นงานของข้า ข้าศึกษามา ข้าย่อมรู้ดี”
          “ท่านทำเป็นรู้ดี แต่เพียงเท่านี้ท่านยังทำไม่ถูก แล้วจะให้รับผิดชอบการสร้างศาลาได้อย่างไร”
          นายช่างใหญ่ฟังเช่นนั้นถึงกับหน้าเสีย นั่งทำตาปริบๆ พูดไม่ออก
          มโหสถมองดูหน้าเขา แล้วก็ร้องบอกว่า “ส่งเชือกมาให้หนูซิ หนูจะช่วยขึงให้”
          นายช่างใหญ่ส่งเชือกให้มโหสถด้วยอาการเกร็งๆ แต่ก็ลดอหังการลงไปมาก มโหสถรับเชือกมาแล้วทำการขึงจนตึง และกะวัดตรงเป๋ง ประหนึ่งว่าเป็นการขึงโดยพระวิสสุกรมเทพบุตร เสร็จแล้วก็กล่าวกับนายช่างใหญ่ว่า “ท่านนายช่างใหญ่ ขึงเชือกอย่างนี้ได้ไหม?”
          นายช่างใหญ่ตอบว่า “ข้าคงทำไม่ได้หรอก เจ้านี่ตัวแค่นี้ทำไมจึงเก่งนักหนา”
          “ถ้าอย่างนั้น ท่านนายช่างใหญ่จะสามารถทำตามความเห็นของเราไหม?” มโหสถร้องถาม
          “ได้ซิ! บอกมาเลยจะให้ทำอย่างไร”
          เมื่อนายช่างใหญ่รับคำเช่นนั้น มโหสถก็ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง แล้วจึงวางแบบแปลนศาลาออกเป็นห้องๆ คือ
          ๑. ห้องพักหญิงอนาถาคลอดบุตร
          ๒. ห้องสมณพราหมณ์ที่เดินทางสัญจรไปมา
          ๓. ห้องชาวบ้านทั่วๆ ไปที่เดินทางสัญจรไปมา
          ๔. ห้องเก็บสินค้าและข้าวของพวกพ่อค้าที่เดินทางสัญจรไปมา
          ห้องเหล่านี้ให้ทำประตูหน้ามุข เพื่อผู้พักอาศัยจะได้ใช้เป็นที่เดินเล่นทุกห้อง มโหสถได้ให้จิตรกรฝีมือดีวาดภาพอันประณีตวิจิตรบรรจง ดูแล้วราวกับเทวสภาที่ชื่อสุธรรมาทีเดียว สำหรับบริเวณรอบๆศาลา มโหสถจัดให้เป็นดังนี้
          ๑. สนามเด็กเล่น มีที่พักผ่อนที่เล่น ที่ออกกำลังกายอย่างพอเพียง ผู้มาใช้บริการสามารถเลือกทำกิจกรรมตามถนัดได้
          ๒. โรงศาลสำหรับชำระคดีความที่งดงามวิจิตรศิลป์ ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เมี่อมาสู่โรงศาลนี้แล้วก็จะได้รับความเป็นธรรมกลับไป งานส่วนนี้มโหสถจะทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีด้วยตนเอง
          ๓. สระบัวขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะคดเคี้ยวเลี้ยวลดถึง ๑,๐๐๐ แห่ง มีท่าขึ้นลง ๑๐๐ ท่า ดารดาษด้วยปทุมชาติ ๕ ชนิด คือ บัวหลวง บัวสาย บัวขาบ (บัวผัน) บัวสัตบรรณ (บัวเผื่อน) บัวสัตบุษย์ (บัวขาว)  สร้างสวนไม้ดอกสวนไม้ผลอยู่ตามริมสระ ประดุจอุทยานนันทน์วันบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า
          ๔. ตั้งโรงทานขึ้นเพื่อเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม และคนเดินทางที่สัญจรไปมา ผู้ใดหิวมาก็ขอให้อิ่มไปทุกคน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:45:39 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

         เมื่อสร้างศาและสิ่งของรอบๆ บริเวณเสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานที่นั้นปรากฏว่างดงามดุจดังเทวสภา (สภาสวรรค์, ที่ประชุมของเหล่าเทวดา)
          แรกคิด มโหสถเพียงแต่คิดจะสร้างที่พักผ่อนเพื่อเพื่อนๆ เด็กๆ ด้วยกันจะไม่ลำบากในการเล่นสนุกเท่านั้น แต่พอทำเข้าจริงๆ มโหสถกลับทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนทุกเพศทุกวัยไปทีเดียว ประชาชนที่เดินผ่านไปมาเห็นอาคารอเนกประสงค์หลังนั้นแล้ว ต่างพากันมองเป็นตาเดียว เมื่อเห็นภายนอกแล้วก็อดที่จะเข้าไปชมภายในไม่ได้ ครั้นได้เห็นภายในเข้าเท่านั้น ต่างก็พากันตะลึงงันในความสวยงาม พยายามเดินชมไปเรื่อยๆ ทุกหนทุกแห่ง จนไม่อยากจะจากสถานที่แห่งนั้นไปไหนอีก นับแต่นั้นมา ก็มีผู้คนพากันมาดูมาชมกันไม่ขาดสาย
          จากผู้ชมก็กลายมาเป็นผู้ใช้ ผู้คนเหล่านั้นได้ชวนกันมาใช้บริการสถานที่แห่งนั้นเป็นประจำทุกๆ วัน จากจำนวนน้อยๆ ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ ตามลำดับ
          - ห้องพักหญิงอนาถาคลอดบุตร มีหญิงยากจนมาขอพักอาศัยเพื่อการคลอดบุตรบ่อยครั้ง แต่ไม่ถึงกับทุกวัน
          - ห้องพักสำหรับพราหมณ์ มีสมณะพราหมณ์ผู้สงบผ่านมาพักอยู่บ่อยๆ
          - ห้องเก็บข้าวของและสินค้าของพวกพ่อค้า มีการเปิดใช้บริการอยู่เป็นประจำ เพราะบรรดาพ่อค้านิยมนำสินค้ามาขาย แล้วแวะไปที่ศาลาอเนกประสงค์นี้เป็นประจำทุกวัน
          - ที่สวนสาธารณะ ประชาชนทั้งหลายพาครอบครัวมาพักผ่อนหย่อนใจกันทุกวัน
          - ที่โรงศาล มีคนมาร้องให้ตัดสินคดีความ ซึ่งมโหสถก็ตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรม เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย
          - ที่สระบัวใหญ่ มีประชาชนมาลงเล่นน้ำกันแน่นขนัดทุกวัน
          - ที่โรงทาน มีการเลี้ยงอาหารสมานพราหมณ์และคนเดินทางทั่วไปเป็นประจำทุกวัน
          นับว่าศาลาอเนกประสงค์ที่มโหสถเป็นผู้อำนวยการสร้าง ได้ใช้ประโยชน์เพื่อสังคมอย่างคุ้มค่าจริงๆ ความสามารถในการเป็นผู้อำนวยการสร้าง ตลอดจนความสามารถในการบริหารจัดการกิจการงานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทำให้มโหสถได้รับการขนานนามว่า “บัณฑิตน้อย” มาตั้งแต่นั้น ผู้คนก็จะเรียกกันว่า บัณฑิตน้อยบ้าง บัณฑิตน้อยมโหสถบ้าง มโหสถบัณฑิตน้อยบ้าง
          ผ่านไปได้ ๗ ปี มโหสถมีอายุได้ ๗ ขวบ แม้อายุยังน้อย แต่ปัญญาและชื่อเสียงไม้น้อยเลย แม้นจะไม่เป็นที่รู้จักในราชสำนัก แต่ก็เลื่องลือไปทั่วในหมู่ประชาชนชาวบ้าน
          วันหนึ่ง พระราชาทรงระลึกถึงคำพยากรณ์ของเสนกะบัณฑิต ว่าในอนาคตพระองค์จะได้บัณฑิตน้อยมาทำงานในราชสำนัก จึงมีรับสั่งให้อำมาตย์ ๔ คน ไปช่วยกันสืบเสาะหาเด็กที่มีแววฉลาดเกินเด็กทั่วไป แล้วให้มารายงานให้ทราบโดยละเอียด
          อำมาตย์คนหนึ่งไปสืบเสาะหาทางทิศเหนือไม่พบเด็กฉลาดเกินคน
          อำมาตย์คนหนึ่งไปสืบเสาะหาทางทิศใต้ ไม่พบเด็กฉลาดพอที่จะเชื่อได้ว่าฉลาดจริง
          อำมาตย์คนหนึ่งไปสืบเสาะหาทางทิศตะวันตก ก็ไม่พบเด็กที่ฉลาดเกินเด็ก
          แต่อำมาตย์อีกคนหนึ่งได้ไปสืบเสาะหาทางทิศตะวันออก แรกๆ ก็ยังไม่พบใคร แต่ระหว่างทางเขาได้แวะนั่งพักที่ศาลาอเนกประสงค์ของมโหสถ ระหว่างที่นั่งพักผ่อนกายหย่อนใจอยู่นั้น เขาได้สังเกตเห็นว่าศาลามีความสวยงามวิจิตรบรรจงยิ่งนัก ก็คิดว่าผู้ที่จะทำการสร้างได้ถึงขนาดนี้จะต้องเป็นคนมีสติปัญญาเฉียบแหลมเป็นแน่แท้ คนทั่วๆ ไปไหนเลยจะทำได้
          คิดดังนั้นแล้วเขาก็อยากจะรู้ว่าใครหนอมาสร้างศาลาอันวิจิตรตระการตานี้ได้ จึงทำการสืบเสาะจนได้รู้จากปากของชาวบ้านว่า “นี่เป็นศาลาที่สร้างขึ้นโดยมโหสถบัณฑิตน้อย ลูกชายของเศรษฐีวัฑฒกะ ชาวปานีนยวมัชฌคามเป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง”
          อำมาตย์ซักถามต่อไปถึงอายุของบัณฑิตน้อยได้ความว่า บัณฑิตน้อยมโหสถเป็นเด็กมีอายุแค่ ๗ ขวบเท่านั้น แต่เก่งเกินตัว เกินเด็กทั้งหลาย เกินผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป เมื่อลองทบทวนนับวันที่พระเจ้าวิเทหราชทรงสุบินนิมิตมาจนถึงวันนี้ก็ได้เวลา ๗ ปีพอดี ก็เกิดความมั่นใจว่าบัณฑิตน้อยตามคำพยากรณ์ของเสนกะบัณฑิตก็คือเด็กมโหสถคนนี้นั่นเอง จึงส่งลูกน้องไปทูลพระราชาให้ทรงทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ของมโหสถบัณฑิต พร้อมทั้งกราบทูลถามด้วยว่า ควรจะนำบัณฑิตน้อยมาเข้าเฝ้าได้แล้วหรือยัง
          พระเจ้าวิเทหราชทรงดีพระทัยมาก รับสั่งให้เสนกะบัณฑิตเข้าเฝ้า แล้วตรัสบอกการค้นพบบัณฑิตน้อยมโหสถให้ฟัง พร้อมกับตรัสถามว่า “อาจารย์เห็นอย่างไร ถ้าจะรับบัณฑิตน้อยเข้ามาทำงานอยู่ในวัง เพราะได้ทราบข่าวมาว่าเด็กคนนี้มีสติปัญญาสูงส่งมาก ถึงขนาดสามารถดำเนินการสร้างศาลาได้อย่างสวยสดงดงามมาก เด็ก ๗ ชวบทำได้ถึงขนาดนี้ ควรจะนับว่าเขาเป็นปราชญ์ได้หรือยังท่านอาจารย์”
          ปุโรหิตเสนกะได้ฟังพระราชดำรัสตรัสถามแล้วไม่ทูลตอบทันที แต่คิดในใจว่า ถ้ารับเอาบัณฑิตน้อยเข้ามาอยู่ในราชสำนักละก็ พวกตนทั้ง ๔ จะกลายเป็นหมาหัวเน่าทันที จำเราจะต้องทูลคัดค้านไว้ก่อน แล้วก็ทูลว่า “ขอเดชะ! คนเรายังไม่อาจจะเรียกว่าเป็นบัณฑิตได้ เพียงด้วยเหตุมีผลงานสร้างศาลาเป็นที่ประสบผลสำเร็จ หาไม่แล้ว ทั่วทั้งเมืองก็จะมีบัณฑิตเต็มไปหมด จึงยังไม่สมควรรับเขาเข้ามาอยู่ในราชสำนักพระเจ้าข้า”
          พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของเสนกะแล้วก็ทรงเห็นตามด้วย แล้วตรัสกับผู้ส่งข่าวให้ไปบอกอำมาตย์ให้รออยู่ที่นั่นก่อน ยังไม่ต้องนำบัณฑิตน้อยมาเข้าเฝ้า ขอให้สังเกตดูพฤติกรรมของบัณฑิตน้อยต่อไป
          อำมาตย์ได้ฟังพระราชดำรัสนั้นแล้วก็ยับยั้งรั้งรออยู่ที่นั่นต่อไป เขาได้เฝ้าดูพฤติกรรมของบัณฑิตน้อยที่ฟังว่ามีสติปัญญาถึงขั้นเป็นบัณฑิตหรือไม่ โดยอาศัยข้อพิสูจน์จากการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้
           ๑. ชิ้นเนื้อ
          วันหนึ่ง ขณะที่มโหสถเล่นอยู่กับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบเอาชิ้นเนื้อจากเขียงฆ่าสัตว์บินมาทางอากาศ พวกเด็กๆ ทั้งหลายเห็นเหยี่ยวคาบเนื้อบินมา ก็ติดตามไปด้วย คิดจะให้เหยี่ยวทิ้งชิ้นเนื้อนั้น พวกเด็กๆ วิ่งตามเหยี่ยวไป ไม่ดูตาม้าตาเรือก็ไปชนกันบ้าง สะดุดก้อนหิน ก้อนดิน ตอไม้ ล้มลงไปบ้าง แม้จะฟกช้ำดำเขียว แต่ก็ได้รับความสนุกสนานบันเทิงใจกันพอสมควร  ขณะนั้น มโหสถบอกกับเพื่อนๆ ว่า “คอยดูนะพวกเรา ฉันจะทำให้เหยี่ยวทิ้งเนื้อลงมาให้ได้”
          เพื่อนๆ กล่าวรับพร้อมกันว่า “เอาเลยมโหสถ แสดงฝีมือให้พวกเราดูหน่อย”
          มโหสถออกแรงวิ่งตามเหยี่ยวไปโดยเร็ว วิ่งไปก็สังเกตเงาเหยี่ยวไป แต่ไม่แหงนมองขึ้นไปข้างบน พอวิ่งพ้นเงาเหยี่ยวและเหยียบเอาเงาของมันได้ ก็ตบมือพร้อมกับส่งเสียงดังลั่น เหยี่ยวตกใจ ปล่อยชิ้นเนื้อลงมา มโหสถมองเห็นชิ้นเนื้อร่วงลงมาแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปรับไว้ก่อนที่ชิ้นเนื้อจะตกถึงพื้น วันนั้นมีผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างส่งเสียงโห่ร้องตบมือแสดงความชื่นชมกันทั่วทั้งสนาม อำมาตย์เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้วยอย่างใกล้ชิด ก็รู้สึกอัศจรรย์ในปัญญาของมโหสถว่าไฉนจึงฉลาดถึงเพียงนี้
           ๒. ตัดสินคดีลักวัว  
          ชายชาวนาปาจีนยวมัชฌคามได้ซื้อวัวมาตัวหนึ่งตั้งใจจะเอาไว้ไถนา แต่ถูกโจรลักไประหว่างกินหญ้าอยู่ในทุ่ง เขาวิ่งตามไปข้างโน้นทีข้างนี้ที จนกระทั่งพบวัวกำลังถูกโจรจูงไป จึงเข้าไปทวงวัวของตนคืนมา แต่โจรไม่ยินยอมคืนให้ แต่กลับตู่ว่านี่เป็นวัวของข้า ไม่ใช่ของแก ก็เกิดการโต้เถียงกันขึ้น ชาวบ้านเกรงเหตุการณ์จะรุนแรง จึงพาเขาทั้งสองไปสู่โรงวินิจฉัย ให้มโหสถพิจารณาพิพากษา
          มโหสถถามโจรว่า “ท่านเอาอะไรเลี้ยงวัว”
          โจรตอบว่า “ข้าเลี้ยงวัวด้วยข้าวยาคู แป้งคลุกงา และขนมสด”
          จากนั้นมโหสถก็ถามชายเจ้าของวัวบ้าง
          เจ้าของวัวตอบว่า “ข้าให้วัวกินแต่หญ้าเท่านั้น”
          เมื่อฟังความทั้งสองข้างแล้ว มโหสถจึงให้เจ้าหน้าที่ของตนตำใบประยงค์ผสมน้ำ ขยำให้วัวดื่มกิน ปรากฏว่า วัวสำรอกของที่กินเข้าไปออกมาเป็นหญ้าทั้งสิ้น
          มโหสถจึงประกาศแก่ประชาชนที่มามุงดูว่าวัวสำรอกออกมาเป็นหญ้า แล้วตัดสินให้ชายที่วัวกินหญ้าเป็นเจ้าของวัวที่แท้จริง
           ๓. ตัดสินคดีเครื่องประดับ
          หญิงยากจนเข็ญใจถอดเครื่องประดับไว้ข้างสระก่อนลงไปอาบน้ำ แล้วมีหญิงคนหนึ่งหยิบเอาไปซึ่งๆ หน้า นางจึงรีบไปตามเอาคืน แต่หญิงหัวขโมยไม่ยอมให้ เรื่องจึงไปถึงโรงศาล
          มโหสถถามหญิงขโมยว่า “ท่านใช้อะไรอบเครื่องประดับของท่าน?”
          หญิงหัวขโมยตอบว่าใช้เครื่องหอมหลายอย่างอบ
          ถัดจากนั้นมโหสถได้ถามหญิงเจ้าของบ้าง หญิงเจ้าของเครื่องประดับตอบว่า อบด้วยกลิ่นดอกประยงค์อย่างเดียว
          มโหสถจึงให้พิสูจน์ด้วยการนำเครื่องประดับไปใส่ในขันน้ำเพื่อให้กลิ่นออกแล้วจะได้ดมว่าเป็นกลิ่นอะไร ปรากฏว่าเป็นกลิ่นดอกประยงค์ มโหสถจึงตัดสินให้เครื่องประดับตกเป็นของหญิงผู้เป็นเจ้าของ
           ๔. ตัดสินคดีด้ายกลุ่ม
          หญิงเฝ้าไร่วางด้ายกลุ่มไว้ข้างสระแล้วลงอาบน้ำ แต่ถูกหญิงคนหนึ่งหยิบฉวยเอาไป เธอวิ่งไปเอามาคืนก็ไม่ยอมให้ หญิงขโมยกลับตู่ว่าเป็นของตนเอง จึงต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล
          มโหสถถามหญิงขี้ขโมยว่า “เวลาท่านทำด้ายให้เป็นกลุ่ม ท่านเอาอะไรใส่ไว้ข้างใน?”
หญิงขี้ขโมยไม่ตอบ
          มโหสถหันไปถามหญิงเจ้าของ
          หญิงเจ้าของตอบว่า “ดิฉันเอาเมล็ดมะพลับใส่เข้าไป”
          มโหสถสั่งให้พนักงานคลี่ด้ายออกมาดู ปรากฏว่าข้างในเป็นเมล็ดพลับ จึงตัดสินให้หญิงเจ้าของรับด้ายกลุ่มไป
           ๔. ตัดสินคดีแย่งลูก
          หญิงคนหนึ่งจูงลูกไปอาบน้ำที่สระ พออาบเสร็จแล้วก็อุ้มลูกขึ้นไปนั่งบนผ้า แล้วตนเองก็มาล้างหน้าที่สระ ขณะนั้นได้มีนางยักษ์ตนหนึ่งซึ่งแปลงร่างเป็นหญิงมนุษย์มาอุ้มเด็กนั้นเพื่อจะเอาไปกิน หญิงผู้เป็นแม่จึงเข้าไปยื้อแย่ง แต่นางยักษ์ไม่ให้ ในที่สุดต้องไปหามโหสถให้ตัดสิน
          มโหสถให้เจ้าหน้าที่ขีดรอยบนพื้นดิน วางเด็กลงบนรอยที่ขีดนั้น แล้วให้นางยักษ์จับมือเด็ก ให้หญิงผู้เป็นแม่จับขาเด็ก จากนั้นก็ให้หญิงทั้งสองยื้อแย่งกัน หญิงทั้งสองยื้อแย่งกันไปมาจนเด็กทนเจ็บไม่ไหว ร้องไห้เสียงดังลั่น หญิงผู้เป็นแม่ที่จับเท้าพอได้ยินเสียงลูกร้องก็รีบปล่อยมือ เพราะกลัวลูกจะตาย ฝ่ายนางยักษ์ที่จับมือนั้นไม่ยอมปล่อย เพราะตั้งใจจะเอาเด็กไปกิน มโหสถเห็นเช่นนั้น จึงตัดสินว่าหญิงที่ปล่อยเด็กเป็นแม่ของเด็กอย่างแท้จริง
          ในการนี้ มโหสถได้ร้องถามประชาชนว่า “พวกท่านว่าคนเป็นแม่กับคนที่มิใช่แม่ ใครมีจิตใจอ่อนโยนต่อลูกมากกว่ากัน?”
          ประชาชนตอบพร้อมกันว่า “จิตใจของแม่อ่อนโยนต่อลูกเสมอ”
          แล้วมโหสถก็บอกกับประชาชนว่า หญิงที่ครอบครองเด็กไว้ไม่ใช่แม่ของเด็ก แต่เป็นนางยักษ์ที่ปลอมตัวมาหวังขโมยเด็กไปกิน ที่รู้ว่าเป็นนางยักษ์ก็เพราะนัยน์ตาแดงก่ำ ไม่กระพริบ ตัวไม่มีเงา มีอาการโหดร้าย ไม่กลัวเด็กได้รับอันตราย ซึ่งมิใช่วิสัยของผู้เป็นแม่
           ๖. ตัดสินคดีนายดำเตี้ย
          นายดำเตี้ยกับภรรยาชื่อนางทีฆตาลา เดินทางไปเยี่ยมบิดามารดายังเมืองไกล โดยนำเสบียงอาหารไว้กินกลางทางมาพร้อมสรรพ ทั้งเอาขนมไปฝากบิดามารดาด้วย
          เมื่อเดินทางมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องฝ่าข้ามไป สองผัวเมียเป็นคนขี้ขลาดไม่กล้าข้ามไป ได้แต่ยืนปรึกษากันอยู่ริมฝั่ง
          นายหลังยาวสังเกตเห็นก็รู้ว่าสองผัวเมียนี้ขี้ขลาดตาขาว จึงเดินตรงเข้าไปหาเพื่อแสวงหาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ฝ่ายสองผัวเมียเห็นนายหลังยาวเดินเข้ามาจึงถามว่า “แม่น้ำนี้ลึกไหม?”
          นายหลังยาวแกล้งตอบว่า “ลึกมากเชียวแหละ สัตว์ร้ายก็ชุกชุมไม่ใช่เล่น”
          สองผัวเมียไต่ถามความว่า นายหลังยาวจะข้ามไปฝั่งโน้นเหมือนกัน จึงขอร้องให้นายหลังยาวพาพวกตนข้ามไปด้วย นายหลังยาวยินดีจะพาข้ามไปตามคำร้อง แต่เขาพาไปได้ทีละคนเท่านั้น
ฝ่ายสามีเสียสละให้ภริยาไปก่อน โดยนายหลังยาวยอมให้ขี่คอไป
          นายหลังยาวแกล้งเดินย่อตัวในน้ำ จนมองดูว่าน้ำลึกถึงระดับคอ ทำให้ชายผู้เป็นสามีเชื่อว่าน้ำลึกจริงๆ จนถึงกับรำพึงออกมาว่า โอ้โฮ! น้ำนี่ลึกจริงๆ ขนาดคนสูงๆ อย่างชายคนนี้ยังถึงระดับคอ ถ้าเป็นเราก็คงจะมิดหัวแน่
          สำหรับนายหลังยาว เดินไปพลางก็จีบหญิงที่ขี่คอตนไปพลาง ด้ายคารมคมคายที่เหลือชั้น จนฝ่ายหญิงตกหลุมรักเข้าอย่างจริงจัง ถึงกับตัดสินใจจะขอตามไปอยู่ด้วย พอทั้งสองขึ้นถึงฝั่งแล้ว ก็พูดชมเชยกันและกัน แล้วเอาเสบียงมากินกันอย่างมีความสุข
          นายดำเตี้ยยืนอยู่ฝั่งโน้น ได้แต่ชะเง้อมองและร้องตะโกนให้นายหลังยาวมาพาเขาข้ามฝั่งไปด้วย แต่นายหลังยาวกับพาภริยาของนายดำตี้ยเดินจากไปหน้าตาเฉย นายดำเตี้ยเห็นเขาพาเมียหนีไป จึงตัดสินใจก้าวลงน้ำ เดินลุยไปได้หน่อยหนึ่งก็เกิดกลัวขึ้น จึงกลับขึ้นมาแล้วเดินลงไปใหม่ คราวนี้ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะโกรธขึ้นอย่างรุนแรง
          เมื่อเดินไปๆ เขารู้ว่าน้ำตื้นไม่ลึกสักหน่อย ก็รู้ว่าโดนเขาหลอกเข้าให้แล้ว จึงรีบเดินลุยไปถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว พอขึ้นฝั่งได้ก็วิ่งไปจนทันคนทั้งสอง คว้าข้อมือนายหลังยาวถามว่า “อ้ายคนอันธพาล มึงจะพาเมียกูไปไหน?”
          นายหลังยาวตอบว่า “อ้ายถ่อย! นี่มันเมียมึงที่ไหนเล่า เมียกูต่างหาก”
          นายดำเตี้ยหันไปคว้าข้อมือภริยา แล้วกล่าวว่า “นี่เอ็งจะไปไหน กว่าข้าจะได้เอ็งมาเป็นเมียต้องทำงานถึง ๗ ปีเต็มๆ”
          แล้วทั้งสามก็โต้เถียงและยื้อแย่งกันอุตลุต จนชาวบ้านพาพวกเขาไปให้มโหสถตัดสิน
          มโหสถเริ่มไต่สวนโดยถามนายหลังยาวก่อน นายหลังยาวก็ตอบว่าตนชื่อหลังยาว แต่พอถูกถามถึงภริยา เขากลับอึกๆ อักๆ ตอบผิดๆ ถูกๆ พอถูกถามถึงพ่อตาแม่ยาย ก็ตอบไม่ถูก แต่เมื่อมโหสถถามถึงฝ่ายนายดำเตี้ยบ้าง ปรากฏว่านายดำเตี้ยตอบถูกทุกอย่าง และเมื่อมโหสถถามนางทีฆตาลาถึงชื่อผัวคือนายหลังยาว และพ่อแม่ของนายหลังยาว แต่นางตอบไม่ถูก
          มโหสถจึงตัดสินให้นางทีฆตาลาเป็นภริยาของนายดำเตี้ยไปตามเดิม
          ๗. ตัดสินคดีลักรถ
          ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ คิดอยากจะทดสอบปัญญาของมโหสถ จึงขโมยรถของชายคนหนึ่งที่จอดไว้ข้างทางระหว่างไปธุระ เจ้าของรถวิ่งตามไปทันแล้วเข้ายื้อแย่ง แต่พระอินทร์ไม่ยอมให้ กลับตู่ว่าเป็นรถของตน จนเป็นคดีขึ้นโรงขึ้นศาล
          เมื่อฝ่ายโจทก์และจำเลยถึงโรงศาลแล้ว มโหสถได้ทำการทดสอบด้วยการให้เจ้าหน้าที่ขับรถไปแล้ว ให้โจทก์กับจำเลยวิ่งตามรถไป ใครตามทันคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าของรถ
          ปรากฏว่าคนที่เป็นเจ้าของรถวิ่งไปได้หน่อยก็เหนื่อยหอบแฮ่กๆ จึงยืนพักเหนื่อยเสียไม่วิ่งตามไป แต่ฝ่ายเจ้าหนุ่มคนนั้นกลับวิ่งตามรถได้ทั้งขาไปขากลับโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
          มโหสถเห็นดังนี้ก็ตัดสินว่า “คนที่หยุดพักเหนื่อยนั่นแหละเป็นเจ้าของรถ ส่วนคนที่วิ่งตามไปได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้นเป็นหัวขโมย เป็นหัวขโมยทึ่เป็นเทวดา เหตุที่รู้ว่าเป็นเทวดาเพราะเจ้าหนุ่มคนนั้นมีอาการแปลกๆ ๓ อย่าง คือ
          ๑. ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย
          ๒. ไม่มีเหงื่อ
          ๓. ไม่กระพริบตา
          เมื่อรู้ว่ามโหสถรู้ตัวแล้ว พระอินทร์ก็ยอมรับสารภาพว่า ที่ทำไปเพราะต้องการทดสอบภูมิปัญญาของมโหสถ และก็ได้รู้แล้วว่าเป็นผู้มีปัญญาแท้จริง จากนั้นก็ขอโทษแล้วลากลับไปยังเทวโลก
          ความสามารถในการตัดสินคดีเหล่านี้ อำมาตย์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบเสมอ พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงปรารถนาจะนำตัวมโหสถเข้าวังเหลือเกิน แต่ถูกปุโรหิตเสนกะคัดค้านทุกทีไป
           ๘. วินิจฉัยท่อนไม้
          พระเจ้าวิเทหราชมีพระราชประสงค์จะทดสอบสติปัญญาของมโหสถด้วยวิธีการของพระองค์เอง จึงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตัดไม้ตะเคียนมาแล้วให้ตัดเหลือเพียง ๑ คืบ ส่งให้ช่างกลึงกลึงเสียให้ดีจนมีขนาดเท่ากันทั้งสองด้าน แล้วส่งไปยังหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคามให้ชาวบ้านลองทายกันว่า ส่วนไหนเป็นข้างต้น ส่วนไหนเป็นข้างปลาย ถ้าทายไม่ถูกจะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ (ประมาณ ๔,๐๐๐ บาท)
          ชาวบ้านประชุมกัน แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าต้นปลายอยู่ด้านไหน จึงให้ท่านสิริวัฒกะเศรษฐีไปบอกลูกชายให้มาช่วยหน่อย มโหสถกำลังเล่นอยู่ที่สนามกับเพื่อนๆ เมื่อมาถึงที่ประชุมรับทราบเรื่องราวแล้วก็จับไม้ตะเคียนมาชั่งด้วยมือเท่านั้น ก็รู้ทันทีว่าข้างนี้ปลาย ข้างโน้นโคน แต่เพื่อให้ประจักษ์แก่สายตาของประชาชน จึงจำต้องทำการพิสูจน์ให้รู้ทั่วถึงกัน
          วิธีการของมโหสถก็คือ เอาเชือกผูกตรงกลางท่อนไม้ ถือปลายเชือกไว้ แล้วหย่อนลงไปในถังน้ำ พอวางลงเท่านั้น โคนหรือข้างต้นก็จมลงเพราะหนัก ปลายก็โผล่พ้นน้ำเพราะเบา มโหสถได้ถามที่ประชุม “ปกติแล้ว ต้นไม้โคนหนักหรือปลายหนัก?”
          ประชาชนตอบว่า “โคนซิหนัก”
          มโหสถกล่าวต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ส่วนที่จมน้ำนี่เป็นโคน จงทำเครื่องหมายไว้ แล้วส่งไปราบทูลพระราชาว่าข้างนี้เป็นต้น ข้างนั้นเป็นปลาย” ชาวบ้านไปจัดการตามนั้นด้วยความดีใจ
           ๙. วินิจฉัยหัวกระโหลกคน
          พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งให้นำกะโหลกชายและหญิงมาอย่างละ ๑ กะโหลก แล้วส่งไปให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามทำนายว่า อันไหนเป็นกะโหลกชาย อันไหนเป็นกะโหลกหญิง ถ้าไม่รู้หรือทายผิดจะถูกปรับเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านนำกะโหลกคนไปให้มโหสถดู มโหสถดูแล้วก็ทำนายได้ทันที รู้ได้อย่างไร คือ นึ่แสดงกะโหลกหัวของชายจะตรง ส่วนกะโหลกหัวของหญิงจะคด แล้วให้ทำเครื่องหมายไว้ว่า นี่เป็นกะโหลกชาย นี่เป็นกะโหลกหญิง ชาวบ้านให้คนที่นำมาไปกราบทูลตามที่มโหสถบอก พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบว่านี่คงเป็นปัญญาของมโหสถอีก จึงชอบพระทัยมารก แต่ก็ทรงให้มีการทดลองต่อไปอีก
           ๑๐. วินิจฉัยงู
          พระราชามีรับสั่งให้นำงูตัวเมียและตัวผู้มาอย่างละตัว แล้วส่งงูไปให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามทำนายว่าตัวไหนเป็นตัวผู้ ตัวไหนเป็นตัวเมีย ถ้าทำนายผิดจะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านไม่รู้จะทำนายอย่างไร จึงนำไปให้มโหสถดู มโหสถพิจารณาดูก็รู้ว่าตัวไหนเป็นงูตัวผู้ ตัวไหนเป็นงูตัวเมีย แล้วก็บอกเคล็ดลับแก่ชาวบ้านว่า “หางและหัวของงูตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมีย และมีลวดลายติดต่อไปกันไป ส่วนงูตัวเมียหางเรียวหัวก็เรียวยาว และลวดลายขาด” ชาวบ้านรู้แล้วก็ดีใจ รีบนำไปมอบให้ผู้ที่นำงูมาให้ทำนาย แล้วบอกให้รู้ว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย แล้วให้นำไปกราบทูลพระราชา
           ๑๑. วินิจฉัยไก่
          พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามส่งวัวตัวผู้สีขาวทั้งตัว ที่มีเขาที่เท้า มีโหนกหัว ส่งเสียงร้องวันละ ๓ เวลาไปให้พระองค์ มิฉะนั้นแล้วจะถูกปรับเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร จึงร้องเรียกมโหสถให้มาช่วยแก้ปริศนา
          มโหสถแนะว่า “ที่จริงวัวที่ว่านี้ก็คือไก่ขาวนั่นเอง เพราะว่าไก่มีเขาที่เท้า อันได้แก่เดือยนั่นเอง มีโหนกที่หัว ก็คือมีหงอนที่หัว ร้องวันละ ๓ เวลา เหล่านี้เป็นคุณสมบัติของไก่ทั้งนั้น”           ชาวบ้านจึงส่งไก่ไปถวายพระราชา พระราชาทรงยินดียิ่ง และทรงเชื่อว่านี้ก็คงเป็นผลงานทางสติปัญญาของมโหสถเป็นแน่
           ๑๒. วินิจฉัยลูกแก้ว
          พระเจ้าวิเทหราชมีลูกแก้วดวงหนึ่งซึ่งมีส่วนที่คดโค้งอยู่ ๘ แห่ง ด้ายเก่าที่ร้อยลูกแก้วขาดไป แล้วไม่มีใครที่จะสามารถนำเอาด้ายเก่าที่ขาดออกมาได้ และไม่อาจร้อยด้ายใหม่เข้าไปได้ จึงมีรับสั่งให้ชาวบ้านทำให้สำเร็จ หาไม่แล้วจะถูกปรับไหม มโหสถออกโรงอีก เขากล่าวกับชาวบ้านว่า “อย่าวิตกกังวลไปเลย เดี๋ยวจะจัดการให้เรียบร้อย”
          ว่าแล้วมโหสถก็ให้นำน้ำผึ้งมาทารูของลูกแก้วทั้งสองข้าง ให้ฟั่นขนสัตว์เป็นเกลียวเพื่อทำเป็นด้าย เอาน้ำผึ้งทาปลายด้ายที่ทำขึ้นนี้แล้วร้อยเข้าไปในช่องหน่อยหนึ่ง นำไปวางไว้ที่ใกล้รูมดแดง เมื่อมดแดงออกมาก็พากันมากินน้ำผึ้งที่ด้ายเก่าในลูกแก้ว แล้วไปคาบปลายด้านขนสัตว์ใหม่คร่าออกมาทางข้างหนึ่ง มโหสถรู้ว่าด้ายเข้าไปแล้ว ก็ดึงเชือกใหม่เข้าแทนที่ให้เรียบร้อย แล้วให้ชาวบ้านนำถวายแด่พระราชา พระราชาทรงสดับอุบายวิธีที่ทำให้ด้ายนั้นเข้าไปในลูกแก้วได้ ก็ทรงมีพระทัยยินดี และรู้สึกชื่นชมสติปัญญาของมโหสถเป็นอย่างมาก
           ๑๓. วินิจฉัยวัวตัวผู้ตกลูก
          พระเจ้าวิเทหราชรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำวัวตัวผู้มาขุนอาหาร หญ้าอย่างดีจนพุงกาง ให้เอาน้ำมันทาเขา เอาขมิ้นทาตัว แล้วส่งไปให้ชาวบ้านด้วยพระดำรัสว่า “จงทำให้โคตัวผู้นี้คลอดลูกออกมาให้ได้ แล้วส่งกลับเข้าไปให้เรา ถ้าทำไม่ได้ถูกปรับไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ”
          ปัญหานี้มโหสถแก้ดังนี้ “ให้ชาวบ้านหาคนกล้าหาญมาคนหนึ่ง ให้คนกล้าหาญนั้นเข้าไปในวัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญ ขอให้พระราชาช่วยให้บิดาของข้าพระองค์คลอดทีเถอะ เพราะปวดท้องมา ๗ วันแล้ว ถ้าพระองค์ตรัสว่า แกนี่จะบ้าหรือยังไง มีหรือที่ผู้ชายคลอดลูกได้ จงกราบทูลว่า ถ้าผู้ชายคลอดลูกไม่ได้ ชาวบ้านก็ไม่อาจทำให้วัวตัวผู้คลอดลูกได้ พระเจ้าข้า”  ชาวบ้านส่งคนกล้าไปกราบทูลอย่างนั้น พระราชาทรงสดับแล้วถึงกับสรวลสนเท่ห์ให้ความเฉลียวฉลาดของมโหสถยิ่งนัก
           ๑๔. วินิจฉัยข้าว
          พระเจ้าวิเทหราชมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ให้ส่งข่าวยังชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามว่า ได้ข่าวว่าชาวบ้านมีคนเฉลียวฉลาด จึงขอให้ชาวบ้านหุงข้าวที่มีองค์ประกอบ ๘ ประการ คือ
          ๑. ไม่ให้หุงด้วยข้าวสาร
          ๒. ไม่ให้หุงด้วยน้ำ
          ๓. ไม่ให้หุงด้วยหม้อข้าว
          ๔. ไม่ให้หุงด้วยเตาหุงข้าว
          ๕. ไม่ให้หุงด้วยไฟ
          ๖. ไม่ให้หุงด้วยฟืน
          ๗. ไม่ให้หญิงหรือชายยกมาให้เมื่อหุงเสร็จแล้ว
          ๘. ไม่ให้นำมาให้ตามหนทาง
          หาไม่แล้วจะปรับไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ
          มโหสถเห็นปัญหาแล้ว ก็หาทางแก้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้
          - ไม่ให้หุงด้วยข้าวสาร เราก็หุงด้วยข้าวปลาย
          - ไม่ให้หุงด้วยน้ำ เราก็หุงด้วยน้ำค้าง ซึ่งไม่ใช่น้ำตามปกติ
          - ไม่ให้หุงด้วยหม้อข้าว เราก็หุงด้วยภาชนะดิน
          - ไม่ให้หุงด้วยเตา เราก็หุงด้วยวิธีตอกไม้หุงตั้งภาชนะ
          - ไม่ให้หุงด้วยไฟ เราก็หุงด้วยวิธีเอาไม้มาสีกันให้เกิดไฟ
          - ไม่ให้หุงด้วยฟืน เราก็หุงด้วยใบไม้ ซึ่งไม่เรียกว่าฟืนตามปกติ
          - ไม่ให้หญิงหรือชายยกมาให้ เมื่อหุงเสร็จแล้ว เราก็ให้กระเทยยกไปถวาย
          - ไม่ให้นำไปตามหนทาง เราก็ให้เดินลัดป่าไป
          ชาวบ้านได้ทำตามนั้นแล้วนำมากราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงพอพระทัยยิ่งในความเฉลียวฉลาดของมโหสถ
           ๑๕. วินิจฉัยชิงช้าห้อยด้วยเชือกทราย
          พระเจ้าวิเทหราชทรงปรารถนาจะเล่นชิงช้าด้วยเชือกทราย (เอาเมล็ดทรายมาฟั่นเป็นเชือก) ขอให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามฟันเชือก ๑ เส้น แล้วส่งเข้าไปถวายในวัง เพื่อพระเจ้าอยู่หัวจะได้ใช้ผูกชิงช้า เรื่องนี้ก็ต้องอาศัยปัญญาของมโหสถตามเคย มโหสถคัดเลือกคนเฉลียวฉลาดมา ๒-๓ คน แล้วก็สั่งให้ไปกราบทูลพระราชาว่า “พวกเจ้าจงไปกราบทูลพระราชาว่าขอเชือกทรายเก่าเพื่อเอามาดูเป็นตัวอย่างในการฟั่นเชือกเส้นใหม่ ถ้าพระราชาตรัสบอกว่าไม่มี ก็จงกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นชาวบ้านก็จะฟั่นเชือกเส้นใหม่ได้อย่างไร”
          พวกคนฉลาดไปกราบทูลตอนนั้นแล้ว พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ก็ทรงปลื้มพระทัยที่มโหสถแก้ปัญหาได้ฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน
           ๑๖. วินิจฉัยสระน้ำ
          พระเจ้าวิเทหราชมีพระราชประสงค์จะทรงเล่นน้ำในสระ จึงรับสั่งให้ชาวบ้านสร้างสระบัว ๕ ชนิด แล้วส่งเข้าไปถวาย ถ้าทำไม่สำเร็จจะถูกปรับไหม ๑,๐๐๐ กหาปณะ ชาวบ้านไปบอกให้มโหสถมาช่วยแก้ปัญหา มโหสถให้แก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการให้คนที่ฉลาดในการพูด ๒-๓ คน มา แล้วกล่าวแนะนำว่า “พวกท่านจงลงเล่นน้ำให้ตาแดง ทั้งผมเผ้าเนื้อตัวเปียกไปทั่ว ถือเชือก ก้อนดิน และท่อนไม้ เข้าไปกราบทูลพระราชาว่า พวกข้าพระองค์ได้ขุดสระตามพระราชประสงค์ นำมาถึงพระนครแล้วแต่สระบัวพอเห็นพระนครซึ่งมีกำแพง คู ประตู หอรบ ก็เกิดความกลัว ตัดเชือกหนีเข้าป่าไปเพราะเคยอยู่ป่า พวกข้าพระองค์ทุบด้วยก้อนดินตีด้วยท่อนไม้สระบัวก็ไม่ยอมกลับ ขอให้พระองค์โปรดส่งสระบัวในพระนครออกไปล่อมันกลับมาเถิด พระเจ้าข้า”
          เมื่อคนเหล่านั้นไปทำตามคำสั่งแล้ว พระราชาทราบว่าเป็นความคิดของมโหสถก็ทรงโสมนัสยิ่งทวีคูณ
           ๑๗. วินิจฉัยอุทยาน
          พระเจ้าวิเทหราชมีพระราชประสงค์จะเสด็จเที่ยวชมอุทยาน แต่อุทยานหลวงทรุดโทรมมาก เพราะต้นไม้เก่าๆ และหักโค่นเป็นส่วนมาก จึงมีรับสั่งให้ชาวบ้านปาจีนยวมัชฌคามจัดส่งอุทยานใหม่อันดารดาษไปด้วยไม้อ่อนออกดอกงามไป เมื่อไม่ส่ง ปรับสินไหมหนึ่งพัน คนเหล่านั้นไม่ทราบก็ไต่ถามพ่อบัณฑิต กุมารบัณฑิตคิดในใจว่า แม้ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาเปรียบเทียบเหมือนกัน จึงปลอบใจเขาทั้งหลายแล้วให้เรียกผู้คนมาจัดส่งไปโดยนัยก่อน ชนเหล่านั้นก็กระทำตามสั่งแล้ว
          พระราชาทรงได้ยินเรื่องนั้นแล้วตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “เราจะนำพ่อบัณฑิตมากันหรือ โดยการหวงลาภ” เขาจึงกราบทูลว่าเขายังไม่เชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โปรดทรงรอก่อนเถิดพระเจ้าข้า ทรงสดับคำของเขาแล้ว พระราชาทรงรำพึงว่ามโหสถบัณฑิตถูกใจเรา ทั้งให้สัคคทารกปัญหา แม้ในการทดลองปัญหาลี้ลับและในปัญหาเปรียบเทียบเห็นปานนี้ เธอก็พยากรณ์ราวกับพระพุทธเจ้า อาจารย์เสนกะยังไม่ให้นำบัณฑิตเช่นนี้มา ณ ที่นี้ จะเกี่ยวข้องอะไรด้วยเสนกะกับเรา เราจะพาเธอมาละ พระองค์จึงเสด็จไปยังบ้านนั้นพร้อมด้วยบริวารใหญ่ เมื่อพระองค์ทรงม้ามงคลเสด็จดำเนินไป เท้าม้าถลำเข้าระหว่างระแหงหักไปแล้ว พระราชาก็เสด็จกลับจากที่นั้นเอง แล้วเสด็จเข้าพระนคร
          ครั้งนั้นเสนกะบัณฑิตเข้าไปเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข่าวว่าพระองค์เสด็จไปสู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม เพื่อจะทรงพากุมารบัณฑิตมาหรือพระเจ้าข้า”  “ถูกละ” พระราชาทรงรับสั่ง เสนกะบัณฑิตกราบทูลว่า “ข้าแต่จอมกษัตริย์ พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์เป็นคนมุ่งร้ายไปเสียแล้ว แม้ข้าพระองค์กราบทูลว่า จงทรงรอก่อนเถิดพระเจ้าข้า ก็ยังด่วนเสด็จออกเท้าม้ามงคลจึงหักไปเพราะเพียงเสด็จไปครั้งแรกนั่นเทียว” พระองค์ทรงสดับคำของเขาแล้ว ก็ทรงพอพระทัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 กรกฎาคม 2567 14:51:26 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:49:27 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก


         ๑๙. วินิจฉัยลูกแก้วในรังกา  
          ลูกแก้วดวงหนึ่งอยู่ในรังกา ซึ่งอยู่บนต้นตาลต้นหนึ่งที่ริมสระบัว ไม่ไกลจากประตูด้านใต้ของพระนคร เงาของลูกแก้วนั้นปรากฏแวววาวอยู่ในสระ จนใครต่อใครพากันเข้าใจว่าในสระมีลูกแก้ว วันหนึ่งมีผู้ไปกราบทูลพระราชาว่า “มีลูกแก้วอยู่ในสระ พระเจ้าข้า”
          พระราชาโปรดให้เสนกะบัณฑิตไปตรวจดู เสนกะบัณฑิตประชุมพนักงาน สั่งให้วิดน้ำในสระออก โกยโคลนตมออกจากสระก็ไม่พบลูกแก้วแล้วก็เลิกราไป พอมีน้ำเต็มสระ ก็ทำอย่างนี้อีกหลายครั้งแต่ไร้ผล
          พระราชาเรียกมโหสถมาตรัสว่า “มีลูกแก้วดวงหนึ่งอยู่ในสระ อาจารย์เสนกะให้พนักงานมาวิดน้ำออก ตักโคลนออก ขุดจนถึงพื้นก็ไม่เห็นลูกแก้ว แต่พอน้ำเต็มสระก็เห็นเงาลูกแก้วอีก เจ้าจะสามารถนำลูกแก้วนั้นมาให้ข้าได้หรือไม่?”  
          มโหสถไปตรวจดูสภาพการณ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ ลองไปยืนที่ริมสระ ก็มั่นใจว่าลูกแก้วไม่ได้อยู่ในสระอย่างแน่นอน จึงกราบทูลพระราชาว่า “ในสระไม่มีลูกแก้ว พระเจ้าข้า เดี๋ยวข้าพระองค์จะทดลองให้ดู”
          จากนั้นก็ทำการทดลองโดยให้พนักงานนำกะละมังใส่น้ำมาเต็ม แล้วตั้งให้ตรงกับรังกา ปรากฏว่าในกะละมังก็มีลูกแก้วเหมือนกัน
          พระราชาตรัสถามว่า “แล้วลูกแก้วมันอยู่ที่ไหนกันน่ะ?”
          มโหสถทูลว่า “อยู่ในรังกาบนต้นตาล พระเจ้าข้า”
          มโหสถสั่งให้พนักงานขึ้นไปดู ก็พบจริงๆ แล้วนำมาถวายพระราชา พระราชาทรงชื่นชมในสติปัญญาของมโหสถยิ่งนัก เสนกะบัณฑิตถูกติฉินนินทาว่าโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักพิจารณาใคร่ครวญเสียบ้าง สู้มโหสถก็ไม่ได้ ในงานนี้มโหสถได้รับพระราชทานสร้อยมุกดา บริวารของมโหสถก็ได้รางวัลกันถ้วนหน้า
          ๒๐. วินิจฉัยกิ้งก่า
          พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยานกับมโหสถ ทอดพระเนตรเห็นกิ้งก่าตัวหนึ่งอยู่บนซุ้มประตู พอเสด็จใกล้เข้าไป กิ้งก่าลงจากซุ้มประตูหมอบที่แผ่นดิน จึงรับสั่งกับมโหสถว่า  “เจ้าบัณฑิต กิ้งก่ามันทำอะไร”
          มโหสถกราบทูลว่า “กิ้งก่าถวายความเคารพ พระเจ้าข้า”
          พระราชารับสั่งว่า “เออ แม้สัตว์เดียรัจฉานก็ยังรู้จักเคารพ ควรสงสารมัน กิ้งก่าชอบกินอะไรหรือ?”
          “กิ้งก่าชอบกินเนื้อ พระเจ้าข้า”
          “ควรจะให้มันสักเท่าไร จึงจะพออิ่ม?”
          “เพียงราคา ๑ กากณีก ๑ (ไพ) ก็พอพระเจ้าข้า”
          “รางวัลของหลวงเพียงกากณีกเดียวไม่สมควร ควรให้สักครึ่งมาสกให้มันกินทุกวัน” แล้วรับสั่งให้ราชบุรุษจัดตามนั้นทุกวัน ต่อมาเป็นวันอุโบสถ ชาวบ้านไม่ฆ่าสัตว์กัน ราชบุรุษก็หาซื้อเนื้อไม่ได้ เมื่อไม่ได้เนื้อจึงเจาะกึ่งมาสกเอาด้ายร้อย แล้วนำไปผูกที่คอกิ้งก่าเป็นเครื่องประดับแทนของกิน ตั้งแต่นั้นมา กิ้งก่าก็เกิดจองหองถือตัวขึ้นมาเพราะกึ่งมาสกที่ผูกคอ
          ต่อมา พระราชาเสด็จประพาสพระราชอุทยานอีก กิ้งก่าเห็นพระราชาเสด็จมา แทนที่จะรีบวิ่งลงมาหมอบอยู่ที่พื้นเช่นวันก่อน กลับชะเง้อคอเชิดหัวด้วยความหยิ่ง นึกเปรียบตนเสมอกับพระเจ้าวิเทหราชเหมือนจะเข้าใจว่าพระเจ้าวิเทหราชหรือจะมีทรัพย์มากแต่ผู้เดียว แม้ตัวเองก็มีมากเหมือนกัน ตั้งครึ่งมาสก
          พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นอาการของกิ้งก่าดังนั้น จึงตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า “แน่ะบัณฑิต ไฉนวันนี้กิ้งก่าจึงไม่ลงจากซุ้มประตูเหมือนวันก่อน”
          มโหสถกราบทูลว่า “กิ้งก่าได้กึ่งมาสกผูกคอ มันเข้าใจว่ามันมีทรัพย์เหลือหลาย จึงทำอาการเสมอพระองค์”
          พระราชาเรียกราชบุรุษที่ทำหน้าที่ซื้อมาตรัสถามว่า “ทำไมจึงเอากึ่งมาสกไปผูกคอกิ้งก่า”
          ราชบุรุษกราบทูลว่า “วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ เนื้อไม่มีขาย ข้าพระพุทธเจ้าจึงเจาะกึ่งมาสกร้อยเชือกเอาไปผูกคอ”  
          พระราชาทรงทราบความถือตัวของกิ้งก่า ดังที่มโหสถกราบทูล ก็พอพระทัยในความฉลาดรอบรู้ของมโหสถ รู้จนกระทั่งอาการของสัตว์ ทรงโปรดปรานมโหสถมาก พระราชทานส่วนที่ประตูทั้ง ๔ เป็นรางวัลแก่มโหสถ แต่ทรงกริ้วกิ้งก่าเป็นอันมาก ทรงปรารภจะให้ฆ่าเสีย แต่มโหสถทูลห้ามพระราชาไว้ว่า “ธรรมดากิ้งก่าเดียรัจฉานหามีปัญญามิได้ ขอได้ทรงโปรดอภัยให้เถิด”

สิริมงคลและกาลกิณี
         ยังมีชายคนหนึ่ง ชื่อว่า ปิงคุตตระ สำเร็จการศึกษาจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักสิลา เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาแล้วไปกราบลาอาจารย์กลับบ้าน
          อาจารย์มีลูกสาวรูปงามคนหนึ่ง และมีธรรมเนียมในสมัยนั้นว่า ถ้าลูกสาวในสกุลเจริญวัยแล้วอาจารย์จะต้องยกให้แก่ศิษย์ผู้ใหญ่  ฉะนั้น เมื่อนายปิงคุตตระเข้ามากราบลา อาจารย์จึงบอกยกลูกสาวให้ แล้วให้พาไปอยู่ด้วย
          นายปิงคุตตระเป็นคนกาลกิณี คือ เป็นคนอัปมงคล มีเสนียดจัญไร หาความเจริญมิได้ ส่วนลูกสาวของอาจารย์เป็นคนมีสิริมงคล คือ เป็นคนมีศรีมีมิ่งขวัญ มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในตัวเอง คนสองประเภทนี้มักอยู่รวมกันไม่ได้ ถ้าให้มาอยู่รวมกัน ประเดี๋ยวก็ต้องจากกันไป
          นายปิงคุตตระเห็นลูกสาวของอาจารย์แล้วก็มิได้รู้สึกรัก แต่ก็ยอมรับมาเป็นภริยาเพราะเกรงใจอาจารย์ เขาได้ยอมอยู่ร่วมห้องกับนางที่บ้านอาจารย์นาน ๑ สัปดาห์
          ตลอด ๑ สัปดาห์นั้น นายปิงคุตตระมิได้มีความสุขเลยสักวันเดียว เมื่อเขาขึ้นนอนบนเตียงก็รู้สึกเป็นสุข แต่พอภริยาขึ้นไปนอนบ้างเท่านั้น เขาก็รู้สึกอึดอัดจนต้องลงมานอนบนพื้น เมื่อภริยาลงมานอนร่วมด้วยเขาก็ไม่พอใจ จึงขึ้นไปนอนบนเตียง พอภริยาขึ้นไปนอนบนเตียงด้วย เขาก็ไม่พอใจ เหตุการณ์เป็นอย่างนี้เรี่อยมา
          เช้าวันรุ่งขึ้นนายปิงคุตตระก็พานางไปกราบลาอาจารย์ ออกเดินทางไปจนถึงเมืองมิถิลา เมื่อใกล้เข้าเมืองหลวง พวกเขาก็พักใต้ต้นมะเดื่อ แล้วปีนต้นมะเดื่อ ปลิดผลมะเดื่อกินแต่ผู้เดียว ภรรยาสาวร้องขอให้ปลิดผลมะเดื่อให้บ้าง เขาก็ไม่สนใจใยดี และยังด่าว่านางอีก นางทนต่อความหิวไม่ได้ จึงปีนขึ้นต้นมะเดื่อ พอเขาเห็นนางขึ้นมา ก็รีบลงจากต้นมะเดื่อแล้วเอาหนามมาล้อมโคนต้นมะเดื่อไว้แล้วหนีไป ปล่อยให้ภรรยาสาวค้างเติ่งอยู่บนต้นมะเดื่อนั้น
          ในวันนั้นพระเจ้าวิเทหราช เสด็จประพาสอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จประทับบนคอช้างก็ทอดพระเนตรเห็นสาวสวยนั่งอยู่บนต้นมะเดื่อคนเดียว จึงเสด็จเข้าไปใกล้ พอเห็นใบหน้าก็มีจิตปฏิสัมพัทธ์ขึ้นทันที ทรงให้เจ้าหน้าที่ไปไต่ถามได้ความถูกผัวทิ้งหนีไป จะลงจากต้นมะเดื่อก็ไม่ได้ เพราะผัวเอาหนามมาล้อมไว้เต็มต้น จึงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปเอาหนามออก แล้วทรงช้างไปรับนางใต้ต้นมะเดื่อ แล้วนำไปอยู่ในพระราชวัง อภิเษกเป็นเอกอัครมเหสี พระราชทานว่า อุทุมพรเทวี  อุทุมพรแปลว่าต้นมะเดื่อ
          อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้จัดให้มีการแผ้วถางทางไปสวนหลวงให้เตียนราบเรียบ โดยว่าจ้างชาวบ้านให้มาช่วยกันทำ นายปิงคุตตระก็ไปรับจ้างถางทางกับเขาด้วย
          พระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกจากพระราชวังโดยรถพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระนางอุทุมพรเทวี พระนางอุทุมพรเทวีทรงเห็นนายปิงคุตตระสามีเก่ากำลังก้มหน้าก้มตาเกลี่ยดินอยู่ ก็ทรงดำริว่าชายกาลกิณีคนนี้ไม่มีวาสนาจะได้ครองสิริมงคล ต้องมาลำบากลำบนอย่างนี้ แล้วก็ทรงหัวเราะขึ้น พระเจ้าวิเทหราชไม่พอพระทัยที่พระนางหัวเราะเช่นนั้น ทรงคิดว่าคงจะมีเลศนัยอะไรเป็นแน่ แม้พระนางจะกราบทูลความจริงอย่างไรก็ไม่ทรงเชื่อ ชักดาบออกมาจะฟันเสียให้ได้ พระนางทูลขอให้ทรงถามความเห็นของบัณฑิตก่อนจะประหารชีวิต
          พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามอาจารย์เสนกะ อาจารย์เสนกะทูลเป็นผลร้ายต่อพระนาง โดยไม่เชื่อว่าพระนางจะพูดความจริง เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงสวยงามหยาดฟ้า มีความประพฤติเรียบร้อยอย่างพระนางจะถูกผู้ชายทิ้งได้ลงคอ พระราชาตรัสถามมโหสถดูบ้างว่าเห็นอย่างไร
          มโหสถทูลเป็นผลดีต่อพระนาง โดยให้เหตุผลว่าเป็นไปได้ที่ผู้หญิงสวยจะถูกผู้ชายทอดทิ้งได้ เมื่อชายคนนั้นเป็นกาลกิณี ไม่มีสิริมงคล แต่ผู้หญิงมีสิริมงคล  สิริมงคลกับกาลกิณีอยู่ร่วมกันไม่ได้เพราะต่างกันราวฟ้ากับดิน พระราชาทรงสดับถ้อยคำของมโหสถแล้วก็ทรงเชื่อว่ามโหสถพูดเป็นเหตุผล จึงหันไปปลอบพระนางอุทุมพรเทวี และตรัสว่าทรงเชื่อคำทูลของพระน้องนางแล้ว
          เมื่อเสด็จเข้าไปในท้องพระโรง ก็ตรัสชมเชยมโหสถที่ทำให้พระองค์ไม่ต้องสูญเสียหญิงที่รักดังดวงใจไป แล้วพระราชทานเงินแก่มโหสถจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ เป็นรางวัลในความดีความชอบ แม้พระนางอุทุมพรเทวีก็ทรงสำนึกในบุญคุณของมโหสถ จึงทูลขอพระราชสวามีว่า หม่อมฉันได้ชีวิตมาเพราะมโหสถ เพื่อตอบแทนบุญคุณเขา ขอให้พระองค์จงแต่งตั้งให้เขาเป็นน้องชายของพระนาง ซึ่งพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงพระกรุณาให้ตามคำขอ รวมทั้งเมื่อเวลาพระนางได้ของอร่อยอะไรมา จะต้องให้น้องชายได้ร่วมบริโภคด้วย และขอให้ได้เปิดประตูส่งของอร่อยของมีค่าไปให้น้องชายได้ตลอดเวลา พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงอนุญาตให้ตามคำขอทุกอย่าง
          อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นแพะคาบเนื้อและปลาจากโรงครัวมาให้สุนัข และสุนัขก็คาบหญ้าจากโรงช้างมาให้แพะ โดยที่วันก่อนๆ แพะเข้าไปกินหญ้าในโรงช้าง แล้วก็ถูกควาญช้างตีเอาจนเจ็บปวด ฝ่ายสุนัขก็เคยไปลักเนื้อและปลาในโรงครัวมากิน จนถูกพ่อครัวไล่ตีหลังแอ่นออกมา จากนั้นสัตว์ทั้งสองจึงเอาอาหารมาแลกเปลี่ยนกันเพื่อลวงพ่อครัวและควาญช้าง  วิธีการลวงก็คือให้แพะไปลักเนื้อและปลา เพราะพ่อครัวคงไม่สงสัยเนื้อจากแพะ แพะไม่กินเนื้อกินปลา และให้สุนัขไปลักขโมยหญ้า เพราะควาญช้างย่อมไม่สงสัย เนื่องจากสุนัขไม่กินหญ้า
          พระราชานำปัญญานี้มาผูกให้บัณฑิตทั้ง ๕ คน คิดพิจารณาให้เวลา ๓ วัน โดยทรงตั้งเป็นปัญหาถามว่า “แพะและสุนัข ปกติเป็นศัตรูกัน แต่ตอนนี้ไฉนจึงเป็นมิตรสนิทช่วยเหลือกันเล่า?”
          มโหสถรับทราบปัญหาแล้ว ไปตรวจดูพฤติกรรมของสัตว์ทั้งสอง ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ส่วนบัณฑิตผู้ใหญ่อีก ๔ ท่าน ไม่มีปัญญาที่จะรอบรู้เข้าใจปัญหานี้ จึงปรึกษาหารือแล้วพากันไปหามโหสถ  มโหสถบอกข้อความแต่ละคนอย่างตรงไปตรงมา แต่บอกคนละอย่าง ไม่เหมือนกัน โดยบอกแก่เสนกะว่า “เนื้อแพะเป็นที่ชอบใจของบุตรอำมาตย์และพระราชโอรส แต่เนื้อสุนัขไม่เป็นที่ชอบใจของบุตรอำมาตย์และพระราชโอรส ตอนนี้สัตว์ทั้งสองนั้นเป็นมิตรกันแล้ว”
          มโหสถบอกแก่บัณฑิตปุกกุสะว่า “แพะมีเขาโค้งโง้ง แต่สุนัขไม่มีเขา แพะกินหญ้า สุนัขกินเนื้อ ตอนนี้สัตวฺทั้งสองเป็นมิตรกินแล้ว”
          เมื่อบัณฑิตเทวินท์เข้ามาถาม มโหสถก็บอกว่า “แพะกินหญ้ากินใบไม้เป็นอาหาร แต่สุนัขไม่กินหญ้าไม่กินใบไม้ สุนัขจับกระต่ายหรือแมวกินเป็นอาหาร ฉะนั้นสัตว์ทั้งสองจึงเป็นมิตรกัน”
          บัณฑิตทั้ง ๔ เมื่อได้คำตอบของปัญหาแล้วก็กลับไป
          พระราชาตรัสถามปัญหาทั้ง ๔ คน ก็สามารถตอบได้อย่างฉาดฉานคล่องแคล่ว พระราชาก็ทรงคิดว่า บัณฑิตทั้ง ๔ ตอบปัญหาด้วยสติปัญญาของตนเอง จึงทรงชื่นชม
          มโหสถไปตอบปัญญานี้เป็นคนสุดท้าย คำตอบมีว่า “แพะมี ๔ เท้า มีกีบ ๘ กีบ มันไปลักเนื้อและปลามาให้สุนัขกิน ฝ่ายสุนัขก็ไปคาบหญ้ามาให้แพะกิน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นมิตรเกื้อกูลกัน พระองค์อยู่บนปราสาทได้ทอดพระเนตร เห็นมันมีไมตรีต่อกันด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าข้า”
          พระราชาฟังคำตอบของมโหสถก็ยิ่งชื่นชมมากขึ้นไปอีกว่า บุตรบุญธรรมของเราฉลาดล้ำลึกจริงๆ จากนั้นได้พระราชทานรางวัลให้แก่บัณฑิตทั้ง ๕ คน เป็นรถเทียมม้าอัสดรคนละคัน และบ้านส่วยอีกคนละหลัง พระนางอุทุมพรเทวีทรงสนิทสนมกับมโหสถ รู้ว่าบัณฑิตผู้ใหญ่ ๔ คนตอบปัญหาได้ มิได้อาศัยปัญญาของตัว หากแต่อาศัยปัญญาของมโหสถ จึงไปกราบทูลพระราชาว่าไม่ควรพระราชทานรางวัลเหมือนกัน เพราะบัณฑิตผู้ใหญ่ ๔ คนนั้น อาศัยปัญญาของมโหสถจึงตอบได้ ควรจะให้ลดหลั่นกันไปจึงจะถูก
          พระราชาเพิ่งรู้ว่ามโหสถมีน้ำใจกว้างขวาง จึงทรงโสมนัสยิ่งนัก แล้วตรัสให้มเหสีวางใจในเรื่องนี้ ยังมีคราวหน้าอีก คราวหน้าพระองค์จะพระราชทานรางวัลแก่มโหสถให้ยิ่งขึ้นไปอีก
          วันหนึ่ง บัณฑิตทั้ง ๕ คนมาเฝ้าพระราชาอย่างสบายอารมณ์ พระราชาทรงคิดจะลองภูมิปัญญาแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งถ้าใครมีไหวพริบปฏิภาณ ก็ย่อมจะตอบได้
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “อาจารย์เสนกะ เราอยากจะถามท่านว่า คนมีเพียงสติปัญญาอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สมบัติเลย กับคนที่มีแต่ทรัพย์สมบัติเท่านั้น ไม่มีสติปัญญาเอาเสียเลย คนสองพวกนี้นักปราชญ์ท่านยกย่องว่าใครประเสริฐกว่ากัน?”
          เสนกะกราบทูลว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนมีศิลปวิทยาหรือไม่ก็ตาม ถ้าไร้ทรัพย์อับจนเสียแล้วก็ต้องเป็นทาสของคนมีทรัพย์ ส่วนคนมั่งมีทรัพย์ ถึงจะเป็นคนโง่ มีตระกูลต่ำ ก็สามารถเป็นนายของคนมีปัญญาแต่ไร้ทรัพย์ได้ ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลว่า คนมีทรัพย์ประเสริฐกว่าคนมีปัญญา พระเจ้าข้า”
          พระราชาไม่ตรัสถามบัณฑิตอีก ๓ ท่าน แต่เลยไปถามมโหสถบัณฑิตว่า “มโหสถเล่า เจ้าว่าคนมีปัญญากับคนมีทรัพย์ คนประเภทไหนประเสริฐกว่ากัน?”
          มโหสถกราบทูลว่า “คนมีแต่ทรัพย์ อับปัญญา ย่อมจะทำแต่สิ่งที่เป็นโทษทั้งโลกนี้และโลกหน้า ส่วนคนมีปัญญาย่อมจะมีปัญญามองเห็นสิ่งที่เป็นคุณเป็นโทษ แล้วเลือกกระทำแต่สิ่งที่เป็นคุณทั้งโลกนี้และโลกหน้า  ฉะนั้น คนแม้มีปัญญาเพียงอย่างเดียว ยังประเสริฐกว่าคนมีทรัพย์อย่างเดียว พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามว่า “อาจารย์เสนกะ เห็นอย่างไร?”
          เสนกะบัณฑิตทูลแย้งความเห็นของมโหสถว่า “มโหสถยังเด็กนัก จะรู้อะไร แม้จนวันนี้ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมิใช่หรือ ขอพระองค์จงโปรดฟังคำของข้าพระองค์เถิด”
          ประชาชนนิยมชมชอบโควินทกเศรษฐีเพราะเหตุไร ก็เพราะว่าเขาร่ำรวยมหาศาลเป็นเศรษฐี ขนาดแกมีน้ำลายไหลย้อยจากคางทั้งสองข้าง ยังมีคนรองรับน้ำลายของแกเอาไปทิ้ง แม้แต่คนใช้ของแกก็ยังมีคนเกรงบารมี นี่เพราะอะไร ถ้ามิใช่เพราะแกมีทรัพย์ ฉะนั้น ทรัพย์ย่อมดีกว่าปัญญาพระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามมโหสถว่า “มโหสถ เจ้าจะกล่าวแก้อย่างไร?
          มโหสถกราบทูลว่า “คนอับปัญญา ไม่เข้าใจชีวิต ไม่รู้จักโลก เมื่อได้ทรัพย์เมื่อมีความสุขแล้ว ก็ตกอยู่ในความประมาท หมกมุ่นมัวเมาในสิ่งไร้สาระ ยามประสบทุกข์ก็เดือดร้อนวุ่นวายหวั่นไหว เหมือนปลาดิ้นรนไปในที่ร้อนรนแทนที่จะไปหาที่เย็น คือไม่รู้จักหาทางแก้ไขให้ถูกจุดตรงประเด็น สู้คนมีปัญญาไม่ได้ คนมีปัญญาเขารู้จริงเข้าใจในชีวิตและโลก เมื่อได้ทรัพย์ มั่งมีศรีสุข ก็ไม่ประมาท ไม่หมกมุ่นมัวเมา ไม่ลุ่มหลงในกามคุณ ไม่ทำสิ่งไร้สาระ ยามประสบทุกข์ก็รู้อุบายไปพ้นจากทุกข์ได้ ไม่ยากด้วยปัญญา  ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงว่า ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “อาจารย์เสนกะท่านว่าอย่างไร?”
เสนกะบัณฑิตกราบทูลว่า “มโหสถจะรู้อะไร นกย่อมเกาะต้นไม้ที่ผลดก ต้นไม้มีผลดกเป็นที่อาศัยของพวกนกฉันใด คนมั่งมีทรัพย์ย่อมเป็นที่อาศัยของคนไม่มีทรัพย์ ฉะนั้น คนมีปัญญาแต่หาทรัพย์มิได้ ก็เหมือนต้นไม้ไร้ผล  ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงว่าทรัพย์ประเสริญกว่าปัญญา”
          พระราชาตรัสถามมโหสถว่า “เอ้า เจ้าบัณฑิตน้อย ถึงตาเจ้ากล่าวแก้แล้ว”
          มโหสถกราบทูลว่า “คนมีทรัพย์แต่อับปัญญา เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีผลเป็นพิษ สัตว์น้อยใหญ่กินเข้าไปก็ได้รับอันตรายถึงตายได้ เพราะเขาได้ทรัพย์มาด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น มีทรัพย์แล้วก็ใช้ทรัพย์เบียดเบียนผู้อื่น หรือใช้ทรัพย์ในทางที่เสียหายแก่ผู้อื่น คนชนิดนี้ล้วนเข้าสู่นรก แต่คนมีปัญญาไม่แสวงหาด้วยความไม่ชอบธรรม แต่แสวงหาด้วยความชอบธรรมและใช้อย่างเป็นธรรม ไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความพินาศ แต่จะแนะนำให้ผู้คนละชั่ว ทำดี  ฉะนั้น ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์ พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “อาจารย์เสนกะท่านว่าอย่างไร?”
              เสนกะบัณฑิตทูลว่า “แม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าสายไหนๆ ก็ไหลไปรวมที่แม่น้ำคงคา แม่น้ำเหล่านั้นเมี่อไหลลงสู่แม่น้ำคงคาแล้ว ชื่อเดิมย่อมสลายไป ส่วนแม่น้ำคงคาก็ไหลลงมหาสมุทร เมื่อไหลลงมหาสมุทร ชื่อคงคาย่อมหายไป ในที่สุดชื่อแม่น้ำต่างๆ ก็หายไปหมด แม้สีและรสก็อันตรธานไปด้วย ฉันใด คนมีปัญญาเท่านั้น เมื่อเข้าไปหาคนมีทรัพย์ย่อมอับเฉาไหลลงมหาสมุทร  ชื่อคงคาย่อมหายไปในที่สุด ชื่อแม่น้ำต่างๆ ก็หายไปหมด แม้สีและรสก็อันตรธานไปด้วย  ฉันใด คนมีแต่ปัญญาเท่านั้น เมื่อเข้าไปหาคนมีทรัพย์ย่อมอับเฉาเศร้าหมอง ไม่ว่าจะมีชาติตระกูลเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมีปัญญาขนาดไหน เมื่อเข้าไปหาผู้มั่งมีย่อมไม่ปรากฏ ผู้มั่งมีเท่านั้นที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร  ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงว่าทรัพย์ประเสริฐกว่าปัญญา พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามมโหสถว่า “มโหสถ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
          มโหสถกราบทูลว่า “แม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายย่อมหลั่งไหลไปมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรถึงจะมีมากมายขนาดไหน แม้จะมีคลื่นใหญ่มากระทบฝั่ง ก็ไม่อาจล้นฝั่งมหาสมุทรไปได้ ไม่อาจพังฝั่งได้ จะซัดมาสักกี่คลื่น ฝั่งสกัดอยู่หมด ฉันใด คนรวยทรัพย์ถึงจะมั่งมีสักเท่าใด กิจการที่คนมีทรัพย์ประสงค์ ก็ไม่อาจล่วงพ้นคนมีปัญญาไปได้ หมายความว่า เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแล้ว ทรัพย์ไม่อาจช่วยอะไรได้ ต้องมาอาศัยคนมีปัญญาให้แก้ปัญญา  ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงว่า ปัญญานั่นแหละประเสริฐกว่าทรัพย์ พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามอาจารย์เสนกะว่า “ว่าไง อาจารย์?”
          เสนกะบัณฑิตกราบทูลว่า “คนมั่งมีทรัพย์ แม้จะตัดสินคดีความไม่ยุติธรรม ถึงแม้จะเอาสินบน ถึงจะพูดไม่ค่อยถูก แต่ก็ไม่มีใครคัดค้าน คนมีปัญญาถึงจะทำอะไรดีมีความถูกต้อง แต่ก็ไม่มีใครทำตามถ้อยคำ ไร้คนเชื่อถือ เพราะเขาเห็นว่าเป็นคนไม่มีทรัพย์  ฉะนั้น ทรัพย์ประเสริฐกว่าปัญญา พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามมโหสถว่า “ที่อาจารย์เสนะกะพูดก็มีเหตุผลดีเหมือนกันนะมโหสถ”
          มโหสถกราบทูลว่า “อาจารย์เสนกะเห็นแต่แค่โลกนี้ มองอะไรสั้นๆ ไม่มีสายตาที่ยาวไกล ขาดวิสัยทัศน์ คนมีทรัพย์อับปัญญาพูดโกหก ย่อมถูกคนมีปัญญาคัดค้าน ถูกตำหนิติเตียนในที่ประชุม คงไม่มีใครปล่อยให้ทำให้พูดอะไรผิดๆ ได้หรอก ถ้าคนมีทรัพย์ทำอะไรพูดอะไรที่ไม่ถูกต้อง จะถูกคนมีปัญญาติเตียน ถูกประชาชนนินทาว่าร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฝ่ายคนมีปัญญาจะตัดสินความก็ยุติธรรม จะทำจะพูดอะไรย่อมถูกต้องเสมอ ผู้คนสรรเสริญทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งตอนมีชีวิตอยู่และจากโลกไปแล้ว  ฉะนั้น ปัญญาย่อมดีกว่าทรัพย์พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “ท่านอาจารย์จะแก้อย่างไร?”
          เสนกะบัณฑิตทูลว่า “คนมีปัญญายิ่งใหญ่ดุจแผ่นดิน แต่ไม่มีที่อยู่อาศัย ไร้ทรัพย์ เป็นคนเข็ญใจ จะพูดจาอะไรย่อมไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ญาติ ในท่ามกลางชุมชน ไม่องอาจสง่างามท่ามกลางผู้คน แต่คนมีทรัพย์นั้นตรงกันข้าม เขามีความสง่าผ่าเผย องอาจออกหน้าออกตา  ฉะนั้น ทรัพย์ย่อมดีกว่าปัญญา พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามมโหสถบัณฑิตว่า “ว่าไง มโหสถ?”
          มโหสถกราบทูลว่า “คนมีปัญญายิ่งใหญ่ดุจแผ่นดิน ไม่กล่าวคำเหลาะแหละโลเล เพื่อเหตุของตนหรือคนอื่น เขาได้รับการบูชาจากมหาชนในท่ามกลางที่ประชุม เขาอยู่ในที่ใด ย่อมสง่าผ่าเผยกว่าคนมีทรัพย์นับร้อยเท่า ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์  ฉะนั้น คนมีปัญญาย่อมประเสริฐกว่าคนมีทรัพย์ พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัญฑิตว่า “เอา ท่านอาจารย์แก้ให้ตกนะ”
          เสนกะบัณฑิตทูลว่า “คนมีทรัพย์ย่อมสมบูรณ์ด้วยช้าง โค ม้า ต่างหู แก้วมณี นารี ของกินของใช้ ทาสบริวารมากมาย แต่คนมีปัญญาหาสิ่งเหล่านี้มิได้เลย  ฉะนั้น คนมีทรัพย์จึงจะประเสริฐกว่าคนมีปัญญา”
          พระราชาตรัสถามมโหสถว่า “มโหสถเจ้าแก้ให้ตก”
          มโหสถกราบทูลว่า “ทรัพย์ย่อมไม่อยู่กับคนโง่ผู้ไม่รู้จักจัดการงาน ทรัพย์จะหนีคนชั่วไปเหมือนงูทิ้งคราบมันฉะนั้น ส่วนคนมีปัญญาย่อมรักษาทรัพย์ไว้ได้ เขาสามารถในการจัดการงาน รู้วิธีหาทรัพย์ ใช้ทรัพย์เป็นอย่างถูกต้อง คนมีปัญญาจึงดีกว่าคนมีทรัพย์”
          พระราชาตรัสถามเสนกะบัณฑิตว่า “อาจารย์ เชิญกล่าวแก้”
          เสนกะบัณฑิตทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ล้วนเป็นคนมีปัญญา แต่ก็ให้ความเคารพนับถือพระองค์ เข้ามารับใช้พระองค์ก็เพราะพระองค์มีทรัพย์ ถ้ามโหสถเห็นว่าคนมีปัญญาประเสริฐกว่าคนมีทรัพย์ ก็แล้วไฉนมาเป็นข้ารับใช้พระองค์เล่าพระเจ้าข้า ฉะนั้น จึงว่าคนมีทรัพย์ดีกว่าคนมีปัญญา”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 กรกฎาคม 2567 14:52:00 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:53:11 »



พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

         พระราชาฟังอาจารย์เสนกะบัณฑิตแล้ว ก็ทรงรู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักเอาการที่มโหสถจะแก้ให้ตกได้ แล้วตรัสถามว่า “มโหสถว่ายังไง มันหนักอยู่เหมือนกันนะ”
          มโหสถกราบทูลว่า “คนมีทรัพย์อับปัญญา ย่อมเป็นทาสของคนฉลาดทั้งนั้น คนฉลาดย่อมจัดการกิจการที่ละเอียดลออได้อย่างเหมาะสม คนมีทรัพย์อับปัญญาย่อมงงงวยในกิจทั้งหลาย คนมีปัญญาเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็สามารถจัดการได้โดยง่าย ปัญญาของเขาจะช่วยหาทรัพย์มาได้ สิ่งทั้งมวลในโลกนี้เกิดจากปัญญาทั้งนั้น ฉะนั้น ปัญญาย่อมดีกว่าทรัพย์”
          กล่าวมาถึงตรงนี้ เสนกะบัณฑิตนิ่งอึ้งไม่อาจโต้แย้งได้อีก ถึงแม้พระราชาจะตรัสบอกให้กล่าวแก้แต่ก็ไม่ยอมพูดจาอะไร เพราะหมดภูมิปัญญาแล้ว
          มโหสถจึงกล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัญญาเป็นที่สรรเสริฐแห่งสัตบุรุษทั้งหลาย สัตบุรุษทั้งหลายต่างสรรเสริญปัญญาว่าเป็นสิ่งประเสริฐแท้จริง ทรัพย์สินเป็นที่ลุ่มหลงของคนโง่เขลา พวกคนโง่เขลาลุ่มหลงมัวเมาแต่ในทรัพย์สมบัติ ยินดีปรีดาแต่ในโภคทรัพย์ ทำให้ชีวิตติดอยู่แต่ในกามคุณอันเป็นของต่ำทรามในโลก แต่คนมีปัญญานั้นเขาเป็นผู้มีคุณค่า หาอะไรมาเปรียบเทียบมิได้ ปัญญาของเขาจะช่วยให้เขาหาทรัพย์ได้ คนมีปัญญาจะหาทรัพย์สักเท่าใดก็ได้ถ้าเขาต้องการ แต่คนมีปัญญามีความต้องการในทรัพย์ไม่มากมายนัก ขอเพียงแค่พออยู่ได้เท่านั้น คนมีปัญญามุ่งที่จะใช้ปัญญาเพื่อการแก้ไขปัญหาของชีวิตให้กับตนเองและผู้อื่นมากกว่า คนมีปัญญาปรารถนาที่จะใช้ปัญญาของตนในการแก้ทุกข์ แสวงสุขที่เป็นอมตะมากกว่าที่จะมุ่งเสพสุขในทรัพย์สิน  ฉะนั้น ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์”
          พระราชาตรัสชมเชยมโหสถว่ามีสติปัญญาล้ำเลิศจริงๆ จึงได้พระราชทานวัวมงคลตัวหนึ่ง วัวธรรมดาอีก ๑,๐๐๐ ตัว  ช้าง ๑ เชือก  รถเทียมม้าอาชาไนย ๑๐ คัน และบ้านส่วยอีก ๑๖ ตำบล  นับแต่นั้นมามโหสถก็มียศยิ่งใหญ่ ทั้งอิสริยยศ เกียรติยศ และบริวารยศ
          เมื่อมโหสถมีอายุได้ ๑๖ ปี พระนางอุทุมพรเทวีทรงดำริมโหสถน้องชายของเราโตพอแล้ว ทั้งมียศเจริญรุ่งเรืองสมควรที่จะมีคู่ครองเสียที จึงนำความไปกราบทูลกับพระสวามีว่าจะขอคู่ครองให้มโหสถ ซึ่งพระสวามีก็ทรงเห็นด้วย แต่เมื่อพระนางได้ตรัสบอกให้มโหสถรู้ตัว มโหสถกลับทูลขอเลือกหญิงด้วยตนเอง เพื่อจะได้คู่ครองที่เหมาะสมกัน ครั้นพระนางทรงอนุญาตตามประสงค์แล้ว จึงถวายบังคมลากลับไปบ้านเตรียมการหาคู่  มโหสถบอกเรื่องราวให้มิตรสหายทราบแล้วก็ปลอมตัวเป็นช่างเย็บผ้า มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือตรงไปยังหมู่บ้านอุตตรยวมัชฌคาม ในเวลาเช้ามืด
          พอเดินไปถึงที่แห่งหนึ่ง มโหสถก็เดินสวนทางกับอมราเทวี ลูกสาวเศรษฐีตระกูลเก่า ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นางมีรูปร่างงามบริบูรณ์ด้วยลักษณะดีเด่นทุกประการ บุคลิกบ่งบอกว่าเป็นคนมีบุญ เป็นสิริมงคลอยู่กับตัว  วันนั้น อมราเทวีกำลังนำข้าวต้มไปให้บิดาที่กำลังไถนาอยู่ในนา แล้วเกิดเดินสวนทางกับมโหสถ  มโหสถเห็นรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทางของเธอแล้วก็พออกพอใจอยากจะได้มาเป็นคู่ครอง ส่วนอมราเทวีเมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทางของมโหสถแล้ว ก็พออกพอใจอยากจะได้มาเป็นคู่ครองเช่นกัน เพียงเห็นแค่ภายนอก เธอก็มั่นใจว่าคนเช่นนึ้คงจะนำพาครอบครัววงศ์ตระกูลให้มีความมั่นคงและสมบูรณ์พูนสุขอย่างแน่นอน ต่างฝ่ายต่างหยุดและมองกันและกุน
          มโหสถคิดในใจว่า ไม่รู้ว่าเธอจะมีสามีแล้วหรือยัง จึงใช้ภาษาใบ้ถาม โดยกำมือยืนนิ่งอยู่ หวังว่านางคงจะฉลาดพอที่จะตอบปัญหาของเราได้  อมราเทวีรู้ว่าชายหนุ่มใช้ภาษาใบ้ถามเราว่ามีสามีหรือยัง จึงตอบว่าไม่มีด้วยการยืนนิ่งแล้วแบมือออก  มโหสถดีใจที่นางยังไม่มีสามี จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามชื่อของเธอ
          อมราเทวีตอบว่า “ชื่อของเราคือสิ่งที่ไม่มีในอดีต ไม่มีในอนาคต หรือไม่มีในปัจจุบัน”
          มโสถตอบว่า “สิ่งที่ไม่ตายไม่มีในโลก  ฉะนั้น เธอชื่ออมรา”
          “แล้วนี่เธอถือข้าวต้มจะไปให้ใครล่ะ?”
          “นำไปให้บุพพเทวดาของฉัน”
          “บิดามารดาชื่อว่า บุพพเทวดา นี่เธอคงนำข้าวต้มไปให้พ่อน่ะซิ”
          “ถูกแล้ว”
          “พ่อของเธอทำงานอะไรหรือ?”
          “ทำรอยเดียวให้เป็นสอง”
           “การไถนาชื่อว่าทำรอยเดียวให้เป็นสอง เพราะเวลาไถนาแผ่นดินจะแยกออกเป็น ๒ ส่วน”
          “พ่อของเธอไถนาอยู่ทึ่ไหนล่ะ?”
          “ที่คนไปครั้งเดียวแล้วไม่กลับมา”
          “ที่ป่าช้าน่ะซิ พ่อของเธอคงไถนาอยู่ข้างๆ ป่าช้า”
          “แล้ววันนี้เธอจะกลับบ้านหรือไม่กลับ?”
          “ถ้าสิ่งหนึ่งมา ดิฉันจะไม่กลับ ถ้าสิ่งหนึ่งไม่มา ดิฉันจะกลับ”
          “แสดงว่าพ่อของเธอไถนาอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ ถ้าน้ำมา เธอก็กลับบ้านไม่ได้ ถ้าน้ำไม่ไหลเข้ามา เธอก็กลับบ้านได้”
          ทั้งสองเจรจาโต้ตอบกันเท่านี้ก็เริ่มรู้สึกอยากรู้จักกันมากยิ่งขึ้น แล้วอมราเทวีก็เชิญมโหสถรับประทานข้าวต้ม มโหสถปฏิเสธไมตรีของเธอและคิดว่า ถ้านางจักให้ข้าวต้มโดยมิได้ล้างภาชนะโดยมิได้ให้น้ำล้างมือ เราจักทิ้งที่นี่ไปเสีย แต่นางก็ล้างภาชนะ ใช้ภาชนะตักน้ำมาให้น้ำล้างมือแก่มโหสถ แต่มิได้ส่งภาชนะเปล่าให้ วางภาชนะไว้เหนือพื้น แล้วคนหม้อให้ข้าวต้มขึ้นมา ตักข้าวต้มใส่ชามที่ล้างสะอาดแล้วจนเต็ม ในชามนั้นมีเนื้อข้าวต้มน้อย แต่มีน้ำมาก มโหสถรับประทานข้าวต้มแล้วก็บ้วนปาก จากนั้นก็ถามทางไปบ้านของเธอ อมราเทวีบอกทางบ้านแก่มโหสถดังนี้
           “ท่านเข้าไปภายในบ้านแล้ว จะเห็นร้านขายข้าวต้มสะตูร้านหนึ่ง ต่อจากนั้นจะเห็นต้นทองหลางมีใบสองชั้นออกดอกงาม เพราะฉะนั้น ท่านจงไปทางที่มีร้านขายข้าวสะตู มีร้านขายน้ำส้มและมีต้นทองหลางออกดอก แล้วจึงหยุดที่โคนต้นทองหลาง เลือกเอาทางขวา อย่าไปทางซ้ายนะจ๊ะ”
          มโหสถเดินทางไปตามเส้นทางที่อมรมเทวีบอกทุกประการ จนกระทั่งไปถึงเรือน แล้วขึ้นไปบนเรือน มารดาของอมราเทวีเห็นคนแปลกหน้ามา ก็เชื้อเชิญให้นั่ง ขณะนั้นยังเช้าอยู่ จึงเชิญให้กินข้าวต้ม แต่มโหสถบอกว่า อมราเทวีลูกสาวของแม่ได้ให้ฉันกินมาหน่อยหนึ่งแล้ว มารดาของอมราได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ว่าชายคนนี้มาจีบลูกสาวของเราเป็นแน่ จึงนั่งนิ่งอยู่ไม่พูดอะไร
          มโหสถมองดูสภาพบ้านก็รู้ว่าบ้านนี้คงเคยมีฐานะดีมาก่อน แต่ปัจจุบันนี้ยากจนมาก จึงถามว่า “มีเสื้อผ้าขาดๆ ให้ผมช่วยเย็บไหมครับ?”
มารดาของอมราเทวีตอบว่า “ก็มีอยู่ดอก แต่ไม่มีค่าจ้างให้หรอกนะ”
            “ฉันจะเย็บให้ฟรีๆ ไม่เอาค่าจ้างหรอกแม่”
          เจ้าของบ้านนำผ้าเก่าๆ ขาดๆ ออกมาให้มโหสถช่วยเย็บปะชุนให้ ๒-๓ ตัว แต่มโหสถเย็บได้ดีและราวเร็วมาก จนเจ้าของบ้านต้องออกปากชมไปหลายคำ ทำให้มโหสถมีกำลังใจ ขอให้นางนำผ้าขาดๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านมาเย็บให้หมดเลย ในไม่ช้ามโหสถก็เย็บจนเสร็จเรียบร้อย
          เมื่อเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองแล้ว มโหสถจึงบอกให้แม่ของอมราเชิญชวนให้ชาวบ้านนำผ้าขาดๆ ออกมาจ้างให้เขาเย็บ เขาจะเย็บให้อย่างเรียบร้อยทีเดียว ปรากฏว่าชาวบ้านพากันนำเสื้อผ้าขาดๆ มาให้เย็บเป็นจำนวนมาก จนได้ค่าจ้างถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ หรือ ๔,๐๐๐ บาทภายในวันเดียว แม่ของอมราเห็นมโหสถทำงานได้รวดเร็วดี ก็กล่าวคำชื่นชมว่ามีฝีมือดีมาก ตกเย็นนางจึงหุงข้าวเลี้ยงเขาด้วย แต่ก่อนจะตวงข้าวใส่หม้อ นางได้ถามเขาว่า “เราควรจะหุงข้าวมื้อเย็นสักเท่าไรจึงจะพอ?”
          มโหสถตอบว่า “มีคนกินกี่คน ก็หุงเท่านั้นแหละครับ”
          เย็นวันนั้น แม่ของอมราได้หุงข้าวมากเป็นพิเศษ และทำต้มยำตำแกงอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่เอร็ดอร่อยทั้งสิ้น ฝ่ายนางอมรมเทวีเวลาเย็นเอาฟืนมัดทูนศีรษะและกระเดียดใบไม้มาแต่ป่า บรรจุฟืนที่ประตูด้านตะวันออก แล้วเข้าสู่เรือนทางประตูด้านตะวันตก ส่วนบิดาของนางอมรากลับเย็นกว่าธิดากลับ มโหสถบริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ  นางอมราให้บิดามารดาของตนบริโภค แล้วตนจึงบริโภคภายหลัง แล้วล้างเท้าบิดามารดา และเท้ามโหสถ
          มโหสถยังขออาศัยอยู่ที่บ้านนั้นต่อไปอีก เพื่อสังเกตพฤติกรรมของอมราต่อไปอีก ๒-๓ วัน เท่าที่ผ่านมา เห็นว่าเธอปฏิบัติดีต่อบิดามารดาจนหาที่ติมิได้แม้แต่น้อย แต่อยากจะรู้นักว่าน้ำใจของเธอหนักแน่นเพียงใด วันหนึ่งมโหสถจึงเรียกอมรามาแล้วสั่งให้ตักข้าวสารมาครึ่งทะนาน ส่วนหนึ่งให้ต้มเป็นข้าวต้ม ส่วนหนึ่งให้หุงเป็นข้าวสวย อีกส่วนหนึ่งให้ทำขนม ทั้งหมดนี้สำหรับมโหสถรับประทานเพียงคนเดียว
          อมราเทวีนำข้าวสารมาครึ่งทะนาน แล้วแบ่งเป็น ๓ ส่วน ข้าวสารเป็นตัวใช้หุงข้าวต้ม ข้าวสารหักใช้หุงข้าวสวย ข้าวปลายใช้ทำขนม และทำกับข้าว สำหรับกินกับข้าวต้มและข้าวสวยอย่างเพียงพอ  อมราตักข้าวต้มพร้อมกับข้าวอย่างดีเป็นอย่างแรกให้แก่มโหสถ ข้าวต้มนั้นแต่พอแตะเข้าปากเท่านั้น ก็ได้แผ่ซ่านไปยังประสาทรับรสเจ็ดพันเส้น  
          มโหสถหวังจะลองใจนางต่อไปอีก จึงกล่าวว่า “แม่คนดี เธอไม่รู้จักต้มหุงเสียเลย เหตุไรจึงทำข้าวให้เสียหมด ว่าแล้วก็ถ่มข้าวต้มทิ้งพร้อมทั้งน้ำลายให้กระจัดกระจายลงที่พื้น อมราไม่โกรธ แต่กลับกล่าวด้วยอารมณ์ “ไม่เป็นไรจ้ะ ข้าวต้มไม่อร่อย ลองชิมขนมดูก็ได้” กล่าวดังนั้นแล้วก็ส่งขนมให้มโหสถกิน
          มโหสถกินขนมแล้วก็รู้สึกว่าช่างอร่อยเหลือเกิน แต่ก็แกล้งคายทิ้งเหมือนก่อน อมราไม่แสดงอาการไม่ได้พอใจออกมาแม้แต่น้อย เธอกล่าวราบเรียบว่า “เมื่อขนมไม่ถูกปาก เปลี่ยนมาเป็นข้าวสวยดูซิ ว่าจะเป็นยังไงไ กล่าวดังนั้นแล้ว ก็ตักข้าวสวยพร้อมกับข้าวรสอื่นไว้ตรงหน้ามโหสถ
          มโหสถกินแล้วก็แกล้งคายทิ้ง เอาข้าวทั้ง ๓ อย่างนั้นเทใส่รวมกัน เอามือขยำๆ ทาตัวของอมราตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วส่งเสียงไล่เธอให้ไปยืนอยู่ที่ปากประตูบ้าน อมราแม้จะถูกกระทำอย่างนั้นก็หาได้แสดงอาการไม่พอใจออกมาไม่ หากแต่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายพร้อมกับกล่าวว่า “ได้เลยจ้ะ”
          เมื่อเห็นว่าอมราเป็นคนไม่มีมานะถือเนื้อถือตัว แต่เป็นคนว่านอนสอนง่าย ไม่เย่อหยิ่งจองหอง หากแต่อ่อนน้อมถ่อมตน มโหสถพอใจมาก คิดในใจว่าคนอย่างนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเมียเรา จึงเรียกอมราให้มานั่งใกล้ๆ คว้ากระเป๋าตะพายมาถือ แล้วหยิบผ้าอย่างดีมา ๑ ผืน พร้อมกับเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ (๔,๐๐๐ บาท) ผืนผ้าผืนนั้นให้อมรา บอกให้ไปอาบน้ำแล้วให้นุ่งผ้าผืนนี้มาให้ดูหน่อย
          อมรารีบไปทำตามคำสั่ง คือไปอาบน้ำ ประหน้าทาแป้ง แต่งตัว แล้วนุ่งผ้าผืนนั้นมาให้ดู เหมือนอย่างเด็กๆ ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ยังไงยังงั้น มโหสถมองดูแล้วก็รู้สึกพออกพอใจ แล้วหยิบเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ หรือประมาณ ๔,๐๐๐ บาท มอบให้เป็นค่าสินสอดทองหมั้นแก่พ่อแม่ของอมรา
          สำหรับพ่อของอมรานั้น เมื่อมาเห็นไอ้หนุ่มมานั่งคุยอยู่บนบ้านก็แปลกใจ แต่ครั้นได้ฟังภริยาเล่าถึงคุณสมบัติของชายหนุ่มและจุดประสงค์ของเขาแล้ว ก็รู้สึกดีใจอยากจะได้ชายหนุ่มมาเป็นลูกเขยเหมือนกัน ทั้งพ่อและแม่ของอมราดีใจที่ลูกสาวรับรักชายหนุ่มผู้มีปัญญาไม่เหมือนใคร เมื่อพ่อตาแม่ยายชื่นชมยินดีกับลูกสาวและลูกเขย และมีความสุขเกษมเปรมปรีดิ์กันทุกคนแล้ว ทดสอบนิสัยใจคอมาตลอดทางจนถึงบ้าน มโหสถก็กราบลาพ่อตาแม่ยาย พานางอมราเทวีไปยังมิถิลานคร
          ก่อนจะออกเดินทางมโหสถได้มอบรองเท้าให้อมราสวมใส่เดิน และมอบร่มสำหรับกั้นลมแดด นางรับของสองอย่างนั้นแล้ว ลดร่มเสียเดินไปในที่แจ้งมีแสงแดด ในที่ดอนก็ถอดรองเท้าออกจากเท้าถือไป แต่ในเวลาถึงที่มีน้ำกลับสวมรองเท้าเดินไป
          มโหสถเห็นเช่นนั้น ถึงถามว่า “อย่างไรกัน ในที่ดอนถอดรองเท้าออกเดิน แต่พอเจอน้ำกลับสวมเดินไป ทำไมหรือ?”
          นางอมราตอบว่า “ก็ในที่ดอน ฉันมองเห็นเครื่องกีดขวาง แต่ในน้ำฉันมองไม่เห็นอะไร อาจจะไปเหยียบเสี้ยนหนาม หรือปลา เต่า อาจจะมาทิ่มตำเท้าได้ จึงต้องใส่รองเท้าเดินน้ำ แต่ถ้าจะใส่ไปตลอดทางก็เกรงว่ารองเท้าจะขาดเสียก่อน”
          พอเดินไปได้สักพักหนึ่งก็ถึงป่า อมราเดินกางร่มเข้าไป มโหสถแปลกใจมาก จึงถามว่า “คนทั่วไปเขากางร่มในที่แจ้ง แต่เธอกลับกางร่มในป่า ทำไมเธอจึงทำไม่เหมือนชาวบ้านอย่างนี้”
          “ใช่ ปกติเขาทำกันอย่างนั้น แต่ที่ฉันต้องกางร่มในป่าที่มีร่มเงาอย่างนี้ก็เพราะฉันกลัวแมลงและกิ่งไม้แห้งตกลงมาโดนหัวฉัน”
          เดินไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ ก็ไปพบพุทราต้นใหญ่ต้นหนึ่ง มีผลดกมาก ทั้งสองทั้งหิวและกระหาย จึงแวะเข้าไปใต้ต้น แล้วอมราก็บอกมโหสถให้ขึ้นเก็บพุทรามากินกัน
          มโหสถแกล้งบอกว่า “พี่เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เห็นท่าจะขึ้นไม่ไหว ถ้าเธอมีแรงก็ขึ้นไปซิ พี่ก็หิวเหมือนกัน”
          อมราดูท่าทีแล้วว่ามโหสถคงไม่ขึ้นไปแน่ๆ จึงลุกขึ้นยืน แล้วปีนขึ้นไปทันที นางปลิดผลกินอย่างเอร็ดอร่อย มโหสถบอกให้นางโยนลงมาให้กินบ้าง
          “พี่ต้องการพุทราร้อนหรือพุทราเย็นล่ะ?” นางอมราร้องถาม
          มโหสถฟังดูก็รู้ว่า คำว่าพุทราร้อน คือ พุทราที่ต้องเอาฝุ่นผงออก ส่วนพุทราเย็น คือ พุทราที่ไม่ต้องเป่า เพราะไม่เปรอะเปื้อน
          “พุทราร้อนก็ได้”
          อมราฟังเช่นนั้นก็โยนผลพุทราลงมาบนพื้นดินพร้อมกับกล่าวว่า “นั่นพุทราร้อน พี่จงเก็บกินเถิด”
          มโหสถเก็บพุทราเป่าเอาฝุ่นออก แล้วก็เคี้ยวกินด้วยความหิว จากนั้นร้องบอกว่า “ลองโยนพุทราเย็นมาให้กินบ้างซิ”
          อมราฟังแล้วก็โยนพุทราลงบนพื้นหญ้าพร้อมกับกล่าวว่า “พุทราเย็น ลงไปแล้วจ้า”
          มโหสถเก็บพุทรามากิน โดยไม่ต้องเป่าเอาฝุ่นออกเสียก่อน เพราะมิได้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอะไร แล้วมโหสถก็ร้องขอพุทราเย็นมาเป็นระยะๆ  มโหสถคิดชื่นชมนางอยู่ในใจว่า นางช่างฉลาดเกินคนจริงๆ เมื่อกินพุทราจนอิ่มกันแล้ว อมราก็ลงมาจากต้นแล้วคว้าหม้อไปตักน้ำมาดื่มกิน และล้างหน้ากันก่อนที่มโหสถจะเป็นฝ่ายไปตักมาเอง พอดื่มน้ำบ้วนปากล้างหน้าล้างตาและลูบตัวลูบแขนลูบขาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป จนกระทั่งถึงประตูพระนคร
          มโหสถจัดให้นางพักอยู่ที่เรือนยามเฝ้าประตู บอกภริยาของเจ้าของบ้านว่าตนกำลังจะทดสอบความหนักแน่นของภริยา แล้วก็ไปบอกเพื่อนๆ ผู้ชายที่บ้านหลายคนให้ไปเกี้ยวพาราสีนางอมรา โดยให้เอาเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะเข้าไปล่อดูซิว่านางจะติดกับไหม แล้วมโหสถก็นำเงินมาใส่มือเพื่อนๆ ให้ไปทำการทดลอง
          ชายหนุ่มคนที่ ๑ ไปหาทางแล้วทำกรุ้มกริ่ม พูดจาเกี้ยวพาราสี ชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม แต่นางอมรมก็ไม่รู้สึกชอบเลยสักนิด เมื่อเปรียบเทียบกับมโหสถแล้ว นางเห็นว่าชายคนนี้จะเทียบเท่าละอองเท้าของสามีเราก็ไม่ได้
          มโหสถส่งชายหนุ่มเปลี่ยนหน้าไปอีก ๓ คน ๓ ครั้ง แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวังกลับมา เพราะนางมิได้รู้สึกชอบใคร
          ชายคนที่ ๔ ไปฉุดนางมาหามโหสถ นางเห็นมโหสถเหมือนกัน แต่จำไม่ได้ เพราะมโหสถปลอมเป็นช่างเย็บผ้า ยิ่งได้เห็นบ้านใหญ่โตหรูหราแล้วทรัพย์สมบัติมั่งคั่งสมบูรณ์ของผู้ที่นางได้พบ ก็ไม่เฉลียวใจเลย นางมองดูเขาแล้วก็หัวเราะสลับกับร้องไห้
          “ดิฉันเห็นทรัพย์สมบัติของท่านแล้วก็นึกชื่นชมที่ท่านสามารถไขว่คว้าหามาได้ด้วยบุญของตน นึกดังนั้นจึงหัวเราะ แต่แล้วฉันก็นึกสงสารตัวเองที่ถูกท่านทำอย่างนี้ ดิฉันเป็นหญิงที่มีเจ้าของแล้ว ท่านจะฉุดคว้ามาทำไม ท่านจะก่อกรรมทำเข็ญให้ได้ผลบาป มันคุ้มกันแล้วหรือ” คิดดังนั้นจึงร้องไห้
          มโหสถฟังนางพูดแล้วก็เกิดความรักความเอ็นดูนางมากขึ้น บอกชายฉุดให้พานางไปส่งที่เดิม แล้วมโหสถก็สวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิม ชุดที่ไปบ้านนาง เดินทางไปหานาง พักอยู่กับนางคืนหนึ่ง รุ่งเช้ามโหสถก็เดินทางเข้าวัง กราบทูลเรื่องราวที่ตนหาหญิงคู่ครองได้แล้วให้พระนางอุทุมพรเทวีทรงทราบ  พระนางอุทุมพรเทวีทรงทราบดังนั้นก็ดีพระทัย รีบนำความเข้ากราบทูลพระราชา พระราชามีรับสั่งให้นางกำนัลนำเครื่องประดับไปให้นางอมราสวมใส่ ให้นางขึ้นวงใหญ่ นำมายังบ้านมโหสถ จัดพิธีมงคลสมรสให้อย่างสมเกียรติ เป็นงานมงคลอย่างทึ่เรียกว่า อาวาหมงคลคืองานแต่งงานแบบที่ฝ่ายชายนำหญิงที่ตนแต่งงานด้วยมาอยู่ที่บ้านของตน
          ในวันนั้นเจ้าบ่าวสาวได้รับของขวัญมากมาย พระราชาส่งทรัพย์มาให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พระนางอุทุมพรเทวีส่งของขวัญมีมูลค่ามากมาให้ พระบรมวงศานุวงศ์ส่งของขวัญมีมูลค่าไปให้ ญาติมิตร ชาวบ้าน แม้แต่ยามเฝ้าประตู ได้นำของขวัญไปรวมแล้วให้เป็นจำนวนมากมายทีเดียว อมราได้แบ่งทรัพย์ที่ได้มาจากงานมงคลสมรสออกเป็นดังนี้
          ๑. ทรัพย์ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าวิเทหราช แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้พระคลังหลวง ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้ในครอบครัว ส่วนของขวัญทั้งหมดได้ส่งไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากจนที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในพระนคร
          อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์ปุกกุสสะ อาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินนะ ได้พร้อมใจกันมาหาอาจารย์เสนกะ เพื่อปรึกษาหารือกันถึงเรื่องราวของมโหสถ
          “พอไอ้หนุ่มคนนี้เข้ามาอยู่ในวัง พวกเราก็อับเฉาลงทันที”
          “ใช่ ไอ้หมอนี่มันมีสติปัญญาปราดเปรื่องกว่าพวกเราหลายเท่านัก”
          “ตอนนี้มันได้หญิงที่เฉลียวฉลาดมาเป็นภริยาเท่ากับฉลาดยกกำลังสอง เห็นทีพวกเราจะแย่แน่ ควรรีบหาทางกำจัดมันเสียเถิด”
          อาจารย์ทั้ง ๓ ถามขึ้นว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
          เสนกะพูดว่า “อย่าได้วิตกกังวลไปเลย เราหาอุบายไว้แล้ว แต่อุบายนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากพวกท่านทั้ง ๓ คนด้วย จึงจะประสบผลสำเร็จ”
          จากนั้นอาจารย์เสนกะก็เล่าถึงอุบายให้ฟังว่า “พวกเราจะขโมยราชาภรณ์ของพระเจ้าอยู่หัวโดยตัวเราเอง จะลักจุฬามณี (ปิ่น) ให้ท่านปุกกุสะลักสุวรรณมาลา (ดอกไม้ทอง) ให้ท่านมินทะลักผ้าขนสัตว์คลุมพระบรรทม และให้ท่านเทวินทะลักฉลองพระบาททองคำ (รองเท้า) ถ้าแผนการของเราสำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวจะต้องลงโทษมโหสถสถานหนัก ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับแผนการที่เราคิดหรือไม่
          สามอาจารย์รับว่า “แผนการนี้ดีจริง ไม่ทราบว่าจะลงมือเมื่อไรกันดี”
          อาจารย์เสนกะกำหนดวันทำแผนชั่วแล้วอาจารย์ทั้งสามก็แยกย้ายกันกลับไป
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:55:23 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

         เมื่อถึงวันนัดหมาย สี่อาจารย์ก็พากันไปลักราชาภรณ์ในพระราชวัง อาศัยที่พวกตนเป็นคนคุ้นเคย เข้านอกออกในได้สะดวก พอได้ของมาแล้ว อาจารย์เสนกะก็นำพระจุฬามณีหรือปิ่นทองไปใส่ไว้ในหม้อนมส้ม แล้วสั่งให้สาวใช้นำนมส้มนั้นไปขายที่บ้านมโหสถ สาวใช้เดินไปถึงบ้านของมโหสถ ก็ส่งเสียงร้องขายนมส้ม เดินไปมาอยู่หน้าประตูบ้าน  ขณะนั้น นางอมรากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูด้านใน เห็นผิดสังเกตว่าทำไมหญิงคนนี้จึงไม่ไปขายที่อื่น จึงเดินออกมาถามว่า “ขายอะไรหรือ?”
           “นมส้มจ้ะ” แม่ค้าตอบ
           “ฉันจะซื้อก็แล้วกัน ไหนดูซิน่ากินไหม เดี๋ยวฉันจะลองชิมรสชาติดูสักหน่อยซิ ถ้ารสชาติดีจะซื้อไว้ทั้งหมด  เออ! ฉันลืมเอาสตางค์มาน่ะ วานแม่ค้าช่วยเรียกคนในบ้านของฉันให้นำเงินมาชำระค่านมส้มด้วย”
          เมื่อแม่ค้าเดินเข้าไปเรียกคนในบ้าน นางอมราคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเลสนัย จึงเอามือล้วงไปในหม้อ พบพระปิ่นทอง ก็ใส่หม้อไว้ตามเดิม พอแม่ค้าไปเรียกคนในบ้านกลับมาแล้วก็ถามว่า “เธอเป็นใคร มาจากไหนหรือจ๊ะ?”
          สาวใช้ตอบว่า “ดิฉันเป็นสาวใช้ของอาจารย์เสนกะค่ะ”
          “เธอชื่ออะไรหรืเอ  เป็นลูกสาวของใคร และเป็นชาวบ้านไหน?”
          สาวใช้บอกชื่อของตนเอง ชื่อพ่อแม่ และชื่อหมู่บ้านอย่างละเอียดละออ
          “นมส้มนี้จะขายสักเท่าไรคะ?” นางอมราถามต่อ
          “เท่ากับข้าวสาร ๔ ทะนานค่ะ”
          “ฉันเหมาหมดก็แล้วกัน”
          “ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อไว้ทั้งหมด คือ ทั้งนมส้มและหม้อด้วย แล้วจะให้ฟรีๆ ไม่คิดราคา”
          นางอมราให้คนใช้ของตนถือหม้อไปไว้ในครัว ส่วนตัวเองก็ไปเขียนบันทึกไว้  วันที่...เดือน...ปี...สาวใช้ของอาจารย์เสนกะ ชื่อนี้เป็นลูกสาวขอนายนั่นนางนี้ ชาวบ้านโน้น นำจุฬามณีของพระเจ้าอยู่หัวมาขายให้ โดยซ่อนไว้ในหม้อส้ม
          คนที่สอง คืออาจารย์ปุกกุสะได้วางสุวรรณมาลา คือดอกไม้ทองไว้ในผอบซึ่งบรรจุดอกมะลิไว้ โปรยดอกมะลิทับลงบนสุวรรณมาลาแล้วให้สาวใช้ปลอมตัวเป็นแม่ค้าดอกไม้ถือผอบ มีดอกไม้สวยๆ งามๆ วางอยู่ข้างบน ไปยืนร้องขายอยู่ที่หน้าบ้านมโหสถ  นางอมราออกมาซื้อไว้ แต่แม่ค้าดอกไม้ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายสักสตางค์เดียว  
          พอแม่ค้าดอกไม้ไปแล้ว นางอมราก็นำสุวรรณมาลาเข้าไปในบ้าน บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์ว่า เมื่อวันที่เดือนนี้ มีสาวใช้ของอาจารย์ปุกกุสะ ชื่อนี้ เป็นลูกสาวของนายนั่น นางนี่ ชาวบ้านโน้น ได้นำสุวรรณมาลาของพระเจ้าแผ่นดินมาขายโดยซ่อนไว้ในผอบ ปกปิดด้วยดอกมะลิ
          คนที่สาม คืออาจารย์กามินทะ ได้วางผ้าขนสัตว์คลุมพระบรรทมไว้ในกระเช้าผัก แล้วนำผักมาใส่ปิดทับไว้อีกทีหนึ่ง แล้วสั่งคนใช้ปลอมตัวเป็นแม่ค้าผัก ทำทีว่านำผักไปขายที่หน้าบ้านมโหสถ นางอมราออกมารับซื้อไว้ แล้วบันทึกการซื้อขายไว้เหมือนเดิม
          คนที่สี่ คืออาจารย์เทวินทะได้นำฉลองพระบาทมาวางไว้ในกระบุง แล้วใส่ข้าวโพดทับลงไปจนเต็ม จากนั้นก็ให้สาวใช้ปลอมตัวเป็นแม่ค้าขายข้าวโพดไปร้องขายที่หน้าบ้านมโหสถ นางอมรามารับซื้อไว้เหมือนเดิม แล้วบันทึกชื่อของผู้ขายไว้โดยละเอียดเช่นเดิม
          ข้าวของทุกอย่างที่นางรับซื้อไว้นี้ นางอมราได้แจ้งให้มโหสถรับทราบทุกอย่าง
          มโหสถรู้ว่าตนกำลังจะถูกกลั่นแกล้งจาก ๔ อาจารย์ จึงส่งคนไปคอยสังเกตเฝ้าดูพฤติกรรมของอาจารย์เหล่านั้นอย่างไม่คลาดสายตาเลยทีเดียว
          อยู่มาวันหนึ่ง ๔ อาจารย์ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช เห็นพระองค์ไม่ได้ประดับเครื่องจุฬามณีราชาภรณ์ จึงทูลถามว่าไม่ประดับเครื่องราชาภรณ์
          พระราชาทรงหลงลืมไป จึงรับสั่งให้อาจารย์เสนกะไปนำมา
          อาจารย์ทั้งสี่พาไปที่ห้องแต่งพระองค์ แล้วไม่เห็นจุฬามณี ทั้งพระสุวรรณมาลา ผ้าขนสัตว์คลุมพระบรรทม และฉลองพระบาททองคำก็หายไปด้วย จึงรีบกราบทูลพระราชา พอพระราชาตรัสถามว่าสงสัยใครบ้าง พวกเขาก็ตอบว่า ได้ข่าวว่ามโหสถนำของเหล่านี้ไปประดับตัวดูเหมือนว่าเขากำลังคิดกบฏ ใส่ร้ายป้ายสีอย่างเต็มที่ คนของมโหสถส่งข่าวให้มโหสถทราบเรื่องราวโดยด่วน
          มโหสถรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลให้ทรงทราบความจริง แต่พระราชาเกรงว่ามโหสถจะเข้ามาทำร้าย จึงรับสั่งไม่ให้มโหสถเข้าเฝ้า มโหสถต้องเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง สักครู่เดียวก็มีคนมาส่งข่าวว่าพระราชามีรับสั่งให้จับ มโหสถจึงสั่งนางอมราให้ดูแลทางบ้านให้ดี ส่วนพี่จะหลบไปก่อน เขาปลอมตัวเป็นช่างปั้นหม้อ หาเลี้ยงชีพอยู่ทักษิณยวมัชฌคาม
          พวกพ่อค้า ประชาชน คนสุจริตทั้งหลายเมื่อทราบว่ามโหสถไม่ได้อยู่ในพระนครแล้ว เพราะถูกข้อหาว่าขโมยของของพระราชาไปประดับโดยมีเจตนาจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ คนเหล่านั้นไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เพราะมโหสถเป็นคนดีมีศีลธรรมสูงมาก และมีความกตัญญู มีน้ำใจจงรักภักดีอย่างที่สุด การทำงานที่ผ่านๆ มา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ คนดีอย่างนี้จะคิดคดทรยศต่อพระราชาได้อย่างไร เมื่อพวกเขาไม่ได้พบไม่ได้เห็นมโหสถ จึงพากันเสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ใบหน้าเศร้า
          ๔ บัณฑิตจึงเข้าไปพูดปลอบใจว่า “พี่น้องประชาชน! พวกท่านอย่าได้เศร้าโศกไปเลย จะไปเสียใจให้คนร้ายลักเครื่องประดับของพระราชาทำไม  พวกเรา ๔ คนนี้ก็เป็นบัณฑิตเหมือนกัน พวกท่านมีปัญหาอะไรจะให้ช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เลย จงสงบจิตสงบใจกันเสียเถิด”
          ประชาชนเหล่านั้นได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่พอใจ จึงส่งเสียงโห่ร้องตะโกนไล่ให้หนีไปเสีย
          ๔ อาจารย์ผละไปจากที่นั้นแล้ว ต่างก็คิดจะไปเกี้ยวพาราสีนางอมราภริยาของมโหสถหวังจะเอามาเป็นเมียของตน จากนั้น ๔ อาจารย์ต่างก็พากันไปบ้านนางอมรา เทียวไล้เทียวขื่ออย่างนั้นหลายวัน ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างปกปิดเป็นความลับไม่ให้กันและกันรู้ แต่ก็ไม่เคยสภาพที่เรียกว่ารถไฟชนกันแม้สักครั้งเดียว ซึ่งก็นับว่าโชคดีไป เพราะถ้าต่างฝ่ายต่างรู้ว่าทุกคนก็พากันมารุมจีบนางอมราเหมือนกัน ก็อาจจะผิดใจกันถึงขั้นกินแหนงแคลงใจกันได้
          แต่แล้ววันหนึ่ง นางอมราก็ออกอุบายให้ ๔ อาจารย์มาพบกันจนได้ โดยจะให้พบกันในสภาพที่น่าอับอายในชีวิต  อุบายของนางอมราก็คือ ให้สาวใช้ช่วยกันขุดหลุมขึ้นหลุมหนึ่ง ทำรั้วล้อมอย่างดี นำปัสสาวะและอุจจาระเทลงในหลุม ปิดปากหลุมด้วยแผ่นกระดานกลที่มีลิ่มสลัก ๒ ข้าง ปกปิดแผ่นกระดานกลนั้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว  อมราก็นั่งรออาจารย์เสนกะที่นัดไว้ในตอนหัวค่ำ พอได้เวลาเสนกะก็มาตามนัดจริงๆ วันนั้นเขาแต่งตัวสวยงามหรูหรามาก
          เมื่อมาถึงบ้านสาวแล้ว เสนกะก็พูดจาเกี้ยวพาราสีตามนิสัยผู้ชายเจ้าชู้ แต่ก็ไม่มากเกินไปจนเป็นที่น่ารังเกียจ นับเป็นบุญเหลือเกินที่อมราไม่รังเกียจที่ชีวิตนี้พี่จะรักเธอมากกว่าใครทั้งปวง
          อมรายืนยิ้มรับ “อย่างไรเสีย ดิฉันก็จะตกเป็นของอาจารย์อยู่แล้ว ในวันนี้อาจารย์ควรนอนที่นี่ ก่อนนอนจึงควรอาบน้ำและพรมน้ำหอมเสียก่อน จะได้นอนสบาย” นางชี้ทางให้เสนกะ แล้วนางก็เดินตามหลังไป
          เสนกะดีใจไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่คิดระแวงสงสัยอะไร จึงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ปล่อยเท้าเหยียบไปบนแผ่นกระดานกล อมราเข้าไปทำทีท่าว่าจะตักน้ำอาบให้ แต่ยังไม่ตัก ทันใดนั้นนางได้ลอบเหยียบถอดสลักออก ทำให้กระดานกลพลิก ส่งผลให้เสนกะตกลงไปหลุมอุจจาระ แล้วนางก็มานั่งรอปุกกุสะ
          ปุกกุสะมาตรงเวลาพอดี อรมราใช้กลอุบายเดิมที่ใช้กับอาจารย์เสนกะนั่นแหละ ก็ทำให้ปุกกุสะตกลงไปในหลุมอุจจาระได้ นางดีใจที่ทำสำเร็จไป ๒ รายแล้ว
          อาจารย์ปุกกุสะตกลงไปก็ไปกระแทกอาจารย์เสนกะเข้าอย่างจัง จนอาจารย์เสนกะร้องโอย ปุกกุสะตกใจร้องถามว่าเป็นคนใช่ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นอาจารย์เสนกะ แล้วท่านเป็นใคร “ผมก็คือปุกกุสะนั่นเอง”
          คนที่สามคือกามินทะ และคนที่สี่ก็คือเทวินทะ ได้ตกลงไปในหลุมอุจจาระด้วยอุบายอย่างเดียวกัน
          ๔ อาจารย์พยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นมาก็ทำไม่ได้ เพราะหลุมอุจจาระลึกถึงเอวและแน่นหนามาก ขยับเขยื้อนยากเหลือเกิน เมื่อปีนป่ายขึ้นมาไม่ได้ก็ต้องอยู่กับอุจจาระตลอดทั้งคืน
          รุ่งเช้า อมราสั่งให้คนเอาเชือกหย่อนลงไปให้อาจารย์เจ้าชู้ทั้ง ๔ คน เกาะขึ้นมาทีละคน พอขึ้นมาแล้ว อมราก็ให้อาบน้ำ โกนผม โกนหนวด เอาอิฐมาถูตามตัวคน เลือดออกซิบๆ ตำข้าวสาร ๑ ทะนาน ใส่น้ำลงผสมทำข้าวเปียก จากนั้นก็เอาข้าวเปียกมาทาตัวของ ๔ อาจารย์เข้าด้วยกัน แล้วให้ผู้ชายร่างกายแข็งแรงนำใส่แคร่แบกไปถวายพระราชา ส่วนอมราเองก็นำราชาภรณ์ไปถวายด้วย เมื่อได้รับการเปิดตัวให้เข้าเฝ้าแล้ว นางได้ทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้านำเครื่องบรรณาการมาถวายพระองค์ แล้วบอกบริวารให้เอาเสื่อวางไว้แทบพระบาท พระราชามีรับสั่งให้เปิดเสื่อลำแพนนั้นออก ทันทีที่เสื่อลำแพนถูกเปิดออก พระราชาก็ทอดพระเนตรเห็น ๔ อาจารย์นอนอยู่มีสภาพอย่างกับลิงเผือก ก็มิได้ตรัสอะไรออกมา”
          ประชาชนเห็น ๔ อาจารย์อยู่ในสภาพนั้น ก็พูดกันว่า “โอ! ลิงเผือก งามจริงๆ พวกเราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย เพิ่งมาเห็นก็คราวนี้แหละ” จึงส่งเสียงหัวเราะเฮฮากันยกใหญ่
          ๔ อาจารย์ได้รับความอับอายขายหน้ามาก ยืนก้มหน้านิ่งแทบจะไม่กระดุกกระดิกเลยทีเดียว ลำดับนั้น นางอมราก็นำราชาภรณ์ ๔ อย่าง คือ พระจุฬามณี พระสุวรณมาลา ผ้าขนสัตว์คลุมพระบรรทม และฉลองพระบาททองคำถวายพระราชา พร้อมกับทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ มโหสถบัณฑิตไม่ได้เป็นโจร แต่อาจารย์ทั้ง ๔ คนเป็นโจร คือเสนกะลักพระจุฬามณีของพระองค์  ปุกกุสะลักสุวรรณมาลา  กามินทะลักผ้าขนสัตว์คลุมพระบรรทม  เทวินทะลักฉลองพระบาททองคำ  ราชาภรณ์ ๔ อย่างนี้ อาจารย์ทั้ง ๔ ให้ทาสีชื่อนี้ เป็นลูกสาวของทาสีชื่อนี้ ส่งไปขายให้ข้าพระบาทในวันนั้น เดือนนั้น ขอพระองค์ทอดพระเนตรหนังสือบันทึกสำคัญนี้ แล้วทรงรับไว้เป็นของหลวง และจงทรงรับโจรและราชาภรณ์เหล่านี้ไว้
          ครั้นกราบทูลให้ ๔ อาจารย์ได้รับความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงแล้วก็ถวายบังคมลากลับบ้าน
          พระเจ้าวิเทหราชมิได้ตรัสอะไรออกมาเลย ทั้งนี้เพราะทรงไม่พอใจมโหสถที่หนีไป สักครู่ก็ตรัสให้ ๔ อาจารย์อาบน้ำชำระร่างกายแล้วกลับไปบ้านเสีย
          นับแต่ที่มโหสถหลบหนีไป ราชสำนักก็ตกอยู่ในภาวะเงียบเหงาเศร้าสร้อย พระราชาทรงรู้สึกเบื่อหน่ายในราชกิจ ข้าราชการทั้งหลายมีอาการคล้ายกับอิดโรย ทำงานอย่างซังกะตาย ไม่กระฉับกระเฉง ผิดกับตอนมโหสถยังอยู่ เป็นที่รู้กันว่าตอนที่มโหสถยังอยู่ ราชสำนักมีแต่ความครึกครื้นสนุกสนาน ทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ อาคาร ดูมีชีวิตชีวาไปหมด เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช ไม่ได้ฟังธรรมคำสอนของมโหสถ ก็รำพึงทูลว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น ครั้นทราบเหตุนั้นแล้ว ก็คิดว่าเราจะทำให้มโหสถกลับมาให้ได้ พอตกกลางคืนเทวดาก็ออกมาจากเศวตฉัตร ปรากฏให้พระเจ้าวิเทหราชเห็น และถามปัญหาพระองค์ ๔ ข้อ
          ๑. อะไรเอ่ย ยิ่งเตะ ต่อย ชก ตี ก็ยิ่งเป็นที่รัก
          ๒. อะไรเอ่ย ยิ่งด่า แช่ง ก็ยิ่งเกิดความรักใคร่เอ็นดู
          ๓. อะไรเอ่ย ยิ่งใส่ร้ายป้ายสี ก็ยิ่งเป็นที่รัก ของกันและกัน
          ๔. อะไรเอ่ย ยิ่งขนสิ่งของเอาไป ก็ยิ่งเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ
          พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับปัญหาแล้วก็ทรงตอบไม่ได้ รุ่งขึ้นจึงส่งสาส์นไปยัง ๔ อาจารย์ให้มาเข้าเฝ้า  ๔ อาจารย์ส่งหนังสือกราบทูลมาว่า “พวกข้าพระพุทธเจ้าถูกนางอมราโกนหัวจนโล้นเลี่ยน ถ้าเดินตามถนนก็จะได้รับความอับอาย ถ้ากระไรของพระองค์ทรงรับหมวกทรงกะลาครอบมาให้สวม พวกข้าพระองค์ก็รับมาเข้าเฝ้าโดยด่วน”
          พระราชาโปรดให้ทำตามนี้แล้ว เมื่อ ๔ อาจารย์มานั่งในที่เฉพาะพระพักตร์แล้ว พระราชาก็ตรัสถึงปัญหาที่เทวดาตั้งมาถามทีละข้อๆ แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนตอบได้สักคนเดียว
          เมื่อเทวดามาทวงถามถึงคำตอบ พระราชาก็ไม่มีคำตอบอะไรให้ เทวดาจึงบอกว่าปัญหานี้ใครๆ ก็ตอบไม่ได้หรอก บัณฑิตทั้ง ๔ คนก็ตอบไม่ได้ มีแต่มโหสถคนเดียวเท่านั้นจึงจะตอบได้ แล้วขู่ว่าถ้าพระองค์ยังทำนิ่งเฉยไม่ตามมโหสถให้กลับคืนมา ก็จะใช้ค้อนเหล็กติดไฟแดงโพลงตีศีรษะท่านเสียให้แหลกเหลว
          ครั้นขู่ขวัญพระราชาแล้วจึงกล่าวว่า “ดูก่อนจอมกษัตริย์ คนเราเมื่อต้องการไฟก็ไม่ควรจะเป่าตัวหิ่งห้อย หรือเมื่อต้องการน้ำนมก็ไม่ควรรีดเขาวัว” แล้วจึงกล่าวสอนว่า “ทำไมหนอคนเราเมื่อไฟมีจึงเที่ยวแสวงหาไฟ ได้พบหิ่งห้อยในราตรีเข้าแล้วก็สำคัญว่าเป็นไฟ แม้เขาจะใส่จุณแห่งโคมัยและหญ้าลงไปบนหิ่งห้อยนั้น ก็ไม่อาจเพี่อให้คิด เพราะสัญญาวิปริต แม้คนโง่บ้าใบ้ก็ยังนั้นแล ย่อมไม่ได้ประโยชน์ด้วยอุบายอันไม่ชอบ เหมือนบุคคลรีดนมจากเขาโคที่ไม่มีน้ำนมฉะนั้น คนเราย่อมได้ประโยชน์โดยอุบายต่างๆ กัน พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายทรงปกครองแผ่นดินอันล้วนแล้วไปด้วยแก้ว ก็ด้วยทรงข่มเหล่าศัตรูเสียอย่างหนึ่ง ด้วยทรงยกย่องมิตรอย่างหนึ่ง ด้วยทรงได้บริวารมีเสนีเป็นประมุขอย่างหนึ่ง ด้วยเหล่าอำมาตย์ที่สนิทถวายการแนะนำอย่างหนึ่ง”
          เทวดากล่าวต่อไปว่า “ไม่มีใครเหมือนดังท่าน เมื่อไฟมีแท้ๆ แต่มาทรงเป่าหิ่งห้อยด้วยพระโอษฐ์เลย จอมกษัตริย์ก็ท่านมาถามพวกอำมาตย์มีเสนกะเป็นต้น เหมือนกับเมื่อไฟมีแต่มาเป่าหิ่งห้อยด้วยปาก เหมือนกับทิ้งตราชั่งเสียแล้วเอามือชั่ง เหมือนกับเมื่อต้องการน้ำนมแต่มารีดเอาจากเขาโค  บัณฑิตเหล่านี้จะรู้อะไร เพราะว่าคนเหล่านี้เท่ากับหิ่งห้อย มโหสถเปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยปัญญา ท่านจงให้เรียกเธอมาเถิด เมื่อท่านไม่ทราบปัญหานี้ชีวิตท่านจะไม่มี” ครั้นขู่พระราชาดังนี้แล้วก็หายไป
          พระเจ้าวิเทหราชเมื่อถูกคุกคามถึงชีวิตอย่างนั้นก็ทรงหวาดกลัว จึงมีรับสั่งให้ ๔ อำมาตย์พากันออกไปตามมโหสถคนละทิศ  ๓ อำมาตย์ที่ไปตามหายังทิศอื่นๆ ไม่พานพบมโหสถ แต่อำมาตย์ที่ออกไปทางใต้ได้พบมโหสถ ซึ่งขณะนั้นกำลังปั้นหม้อดิน เนื้อตัวมอมแมมเประเปื้อน เหตุที่มโหสถต้องประกอบอาชีพเป็นช่างปั้นหม้อ ก็เพื่อมิให้พระราชาทรงระแวงว่าตนจะช่วงชิงราชสมบัติ
          มโหสถเห็นอำมาตย์ก็รู้ว่าจะมาหาตน จึงกล่าวว่า “วันนี้ยศของเราจักกลับคืนมาเป็นปกติอีก เราจักบริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ ที่นางอมราเทวีจัดไว้” คิดฉะนี้จึงทิ้งก้อนข้าวที่ถือไว้ ลุกขึ้นบ้วนปาก อำมาตย์นั้นเข้าไปหามโหสถในขณะนั้น แต่อำมาตย์คนนั้นเป็นฝักฝ่ายเสนกะ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า “ได้ยินว่าคำที่อาจารย์เสนกะกล่าวนั้นเป็นของจริง แม้ท่านจะมีปัญญาดุจแผ่นดิน มีสิริ มีความเพียร และมีความคิดเช่นนั้น ยังไม่ช่วยอะไรท่านได้ ท่านจึงต้องกินอาหารแย่ๆ อย่างนี้”
          มโหสถตอบเขาว่า “แน่ะท่านคนโง่งมงาย เราต้องการทำยศนั้นให้คืนเป็นปรกติด้วยกำลังปัญญาของตนดอก จึงกระทำอย่างนี้” แล้วกล่าวต่อว่า “เราใช้ทุกข์บ่มหาสุข เมื่อพิเคราะห์เห็นกาลควรและไม่ควร จึงพอใจซ่อนตนเสีย เปิดช่องของประโยชน์ไว้รอท่า ฉะนั้นเราจึงพอใจด้วยข้าวแดง และครั้นเรารู้กาลอันควรเพื่อกระชับความเพียรให้ยิ่งขึ้นแล้ว จึงอบรมประโยชน์ขึ้นด้วยความรู้ แล้วจึงมีกิริยานวยนวดเหมือนดังราชสีห์ ท่านกำลังเห็นเรากลับคืนมาด้วยความสำเร็จนั้น”
          เมื่ออำมาตย์แจ้งว่า พระราชามีพระบรมราชโองการเชิญให้ท่านกลับไปเพื่อช่วยตอบปัญหาที่เทวดาถาม มโหสถก็รู้สึกดีใจที่จะได้กลับบ้านเสียที จึงเข้าไปลานายช่างหม้อเจ้าของบ้านแล้วขึ้นนั่งบนรถที่อำมาตย์นำมารับ ทั้งๆ ที่ตัวยังเปื้อนดิน  
          ฝ่ายอำมาตย์ทูลเรื่องราวของมโหสถบัณฑิตแก่พระราชาแล้ว ครั้นตรัสถามว่า “แน่ะพ่อ ท่านพบมโหสถบัณฑิตที่ไหน” จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท มโหสถนั้นกระทำเป็นช่างหม้อเลี้ยงชีพอยู่ที่หมู่บ้านทักษิณยวมัชฌกะ ครั้นได้ข่าวว่าพระองค์ทรงรับสั่งหา ก็มิได้อาบน้ำรีบมาเฝ้าทั้งมีตัวเปื้อนดินเทียวพระเจ้าข้า”  พระราชาทรงคิดใคร่ครวญในพระทัยว่า ถ้ามโหสถเป็นข้าศึกต่อเราก็คงเที่ยวไปด้วยลักษณะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นี้มิใช่ข้าศึกต่อเรา” แล้วจึงตรัสว่า “ท่านจงแจ้งแก่มโหสถว่าให้เขากลับไปยังเรือนของตน แล้วอาบน้ำแต่งกายตามยศศักดิ์ของตนที่เราให้เถิด เสร็จแล้วจึงมาหาเรา”
          มโหสถบัณฑิตสดับพระโองการนั้นแล้ว ก็กระทำตามรับสั่งแล้วเดินมา เมื่อพระราชาตรัสว่าให้เข้ามาได้ จึงได้เข้าเฝ้าถวายบังคมพระราชาแล้วนั่ง ณ ที่อันสมควร ครั้นพระราชาทรงทำปฏิสันถารกับเขาแล้ว เมื่อจะทรงลองใจมโหสถบัณฑิต จึงตรัส “แท้จริง คนพวกหนึ่งมีความสุขจึงไม่ทำบาป อีกพวกหนึ่งไม่กระทำ ก็เพราะเกรงจะเกลือกกลั้วด้วยโทษ พ่อก็เป็นคนสามารถมีความคิด รู้เหตุการณ์สมบูรณ์ เหตุไฉนจึงไม่กระทำความลำบากให้แก่เรา”
          มโหสถกราบทูลว่า “บัณฑิตทั้งหลายไม่ประพฤติกรรมอันชั่วช้า เพราะเหตุสุขของตน อัปบุรุษทั้งหลายแม้พลาดไป ได้รับทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม เพราะฉันทะและโทสะ”
          พระราชาหวังจะทรงทดลองใจเขาต่อไป จึงตรัสว่า “คนเราพึงช่วยตัวซึ่งตกอับด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือด้วยความอ่อนโยนด้วยการทารุณ ภายหลังจึงประพฤติธรรม” ลำดับนั้นได้ทูลอุปมาว่า “บุคคลพึงนั่งหรือนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใด ก็ไม่ควรหักราญกิ่งของต้นนั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร ชื่อว่าเลวทราม”
          เพื่อจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนแล้ว มโหสถจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ แม้หากว่าบุคคลหักราญกิ่งของต้นไม้ที่ตนอาศัยใช้สอยยังชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงผู้ฆ่ามนุษย์นี้ บิดาของข้าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงสถาปนาไว้ในอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ และข้าพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงอนุเคราะห์ด้วยการทรงอนุเคราะห์เป็นอันมาก เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาประพฤติผิดในพระองค์ จะไม่พึงเชื่อว่าประทุษร้ายมิตรอย่างไร เมื่อจะทูลแถลงว่าตนเองมิใช่เป็นคนประทุษร้ายมิตรด้วยประการทั้งปวง และจะอ้างถึงความผิดโทษของพระราชา จึงกล่าวว่า “คนเรารู้แจ้งธรรมจากสำนักผู้ใด และสัปปุรุษทั้งหลายใดบรรเทาความสงสัยของเขาได้ การกระทำนั้นแหละเป็นเหมือนดังเกราะ และเป็นทางดำเนินชีวิตของเขา ผู้มีปัญญาไม่พึงให้เสียไมตรีกับผู้นั้น”

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 14:57:31 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

         มโหสถทูลถวายโอวาทต่อไปว่า “คฤหัสถ์ผู้เกียจคร้านบริโภคกามไม่สำเร็จประโยชน์  บรรพชิตไม่สำรวมไม่สำเร็จประโยชน์ ราชาไม่ทรงพิเคราะห์แล้วบัญชางานไม่สำเร็จประโยชน์ บัณฑิตขี้โกรธนั่นก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ข้าแต่พระจอมทิศเป็นกษัตริย์ทรงใคร่ครวญแล้วจึงบัญชางาน ยังมิได้ทรงใคร่ครวญแล้วไม่ควรบัญชางาน พระราชาผู้ทรงใคร่ครวญแล้วบัญชางาน ยศและพระเกียรติย่อมทรงเจริญ”
          เมื่อมโหสถกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงพอพระทัยมาก เมื่อจะให้มโหสถแก้ปัญหาที่เทวดาถาม จึงโปรดให้มโหสถนั่งเหนือราชบัลลังก์อันยกเศวตฉัตร ส่วนพระองค์เองทรงประทับนั่งเหนือราชอาสน์ต่ำ แล้วตรัสว่า “แน่ะพ่อบัณฑิต เทวดาซึ่งสิงสถิตที่เศวตฉัตรถามปัญหาเราสี่ข้อ เราก็ไม่ทราบปัญหานั้น แม้บัณฑิตทั้งสี่ก็ไม่ทราบ ดูก่อนพ่อบัณฑิต เพราะฉะนั้นพ่อจงแถลงปัญหาแก่เรา”
          มโหสถจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่จอมกษัตริย์ เทวดาผู้สิงสถิตที่เศวตฉัตร หรือเทพทั้งหลายมีเทพประจำชั้นจาตุมหาราชิกเป็นต้น ก็ตามเถิด ข้าพระพุทธเจ้าสามารถแก้ปัญหาที่ผู้ใดผู้หนึ่งถามแล้ว จึงโปรดเล่าปัญหาที่เทวดาทูลถามพระเจ้าข้า  จากนั้น พระราชาก็ตรัสบอกปัญหา ๔ ข้อของเทวดาแก่มโหสถ  มโหสถได้เฉลยปัญหา ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้
          ๑. ยิ่งเตะต่อยชกตี ก็ยิ่งเป็นที่รัก ได้แก่ เด็กทารกที่นอนอยู่บนตักของมารดา ชื่นชมอยู่กับมารดา บางครั้งก็เตะต่อยชกตีมารดา แต่มารดาก็ยังรักและรักมากขึ้นด้วย
          ๒. ยิ่งด่าแช่งก็ยิ่งเกิดความรักใคร่เอ็นดู ได้แก่ มารดาผู้ด่าแช่งบุตรของตนด้วยถ้อยคำเสียๆ หายๆ แต่ก็กลับเกิดความรักความเมตตากรุณามากขึ้น
          ๓. ยิ่งใส่ร้ายป้ายโทษ ก็ยิ่งเป็นที่รักของกันและกัน ได้แก่ สามีภริยาที่มักจะว่ากล่าวกันต่างหากันว่าเธอไม่รักฉัน แล้วก็ตั้งแง่ตั้งงอนกัน แต่แล้วก็รักกันมาก
          ๔. ยิ่งขนสิ่งของเอาไป ก็ยิ่งเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ ได้แก่ สมณพราหมณ์ผู้ศีล ที่นำปัจจัยไทยธรรมของชาวบ้านไป ชาวบ้านก็ยิ่งชอบใจพอใจสุขใจ
          บัณฑิตต่างเมืองฟังคำตอบแล้วพอใจมาก กล่าวชื่นชมมโหสถว่าเป็นผู้มีสติปัญญามากที่สุดในยุคนั้น ไม่มีผู้ใดเทียมเท่าอีกแล้ว สมควรที่พระราชาจะได้เลี้ยงดูบำรุงให้เป็นสุข เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้
          พระราชาทรงขอบใจมโหสถที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้ได้ทุกครั้ง และทรงคิดว่าต่อไปนี้จะไม่ทรงเชื่อถือคำยุยงของใครอีกแล้ว
          ๔ อาจารย์เห็นมโหสถมีผลงานได้ความดีความชอบมากไปกว่าพวกตน ก็มารวมหัวปรึกษากันว่า “ตอนนี้มโหสถได้ดีเกินหน้าพวกเราแล้ว เราจะจัดการกับมันอย่างไรดี?”
          อาจารย์เสนกะแนะนำว่า “เดี๋ยวพวกเราจะไปหามโหสถ เราจะถามมันว่า ควรบอกความลับแก่ใคร ถ้ามันตอบว่าไม่ควรบอกแก่ใครๆ เราก็จะทูลยุยงพระราชาว่ามโหสถกำลังคิดทรยศต่อพระองค์ ว่าแล้วทั้ง ๔ ก็พากันไปหามโหสถถึงที่บ้าน เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เสนกะบัณฑิตถามมโหสถว่า “คนเป็นบัณฑิต ควรมีธรรมข้อไหนจึงจะเป็นการดี?”
          มโหสถตอบว่า “ควรมีความสัตย์”
          “เมื่อตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว ควรทำอย่างไรต่อไป?” เสนกะถามต่อ
          “ควรแสวงหาทรัพย์สมบัติให้มากขึ้น” มโหสถถามตอบ
          “ควรทำอย่างไรต่อไป?”
          “ควรคบมิตรสหาย”
          “ควรทำอย่างไรต่อไป?”
          “ควรศึกษาความคิดอ่านจากมิตร”
          “ควรทำอย่างไรต่อไป?”
         “ความคิดอ่านที่ได้จากมิตรนั้น ถ้าเป็นความลับ ไม่ควรบอกความลับของตนแก่ใคร”
          บัณฑิตทั้ง ๔ แกล้งชื่นชมคำตอบของมโหสถว่าดีเหลือเกิน ให้ความกระจ่างแจ้งต่อข้อสงสัยของพวกตนดีแท้ แต่ที่จริงแล้วพวกเขาจะใช้คำพูดของมโหสถเล่นงานมโหสถเอง  วันรุ่งขึ้น บัณฑิตทั้ง ๔ ไปเข้าเฝ้าพระราชา ทูลใส่ความมโหสถว่า “มโหสถคิดกบฏต่อพระองค์อีกแล้ว พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสว่า “เราไม่เชื่อพวกท่านอีกแล้ว มโหสถจักไม่เป็นกบฏ”
          บัณฑิตทั้ง ๔ ทูลต่อว่า “คราวนิ้จริง พระเจ้าข้า ขอให้ทรงเชื่อ ถ้าไม่เชื่อขอพระองค์จงตรัสถามเขาดูว่าควรบอกความลับแก่ใครหรือไม่ ถ้ามโหสถไม่คิดกบฏ ก็จะทูลว่าไม่มีความลับใดๆ จะปกปิด พร้อมที่จะเปิดเผยแก่คนผู้นั้นผู้นี้เสมอ แต่ถ้าเป็นกบฏเขาจะทูลว่า ความลับของเขาจะไม่บอกแก่ใครๆ พระเจ้าข้า”
          พระราชาหลงกลบัณฑิตทั้ง ๔ เข้าจนได้ เพราะทรงเบาปัญญา พระทัยไม่หนักแน่นจริง
          วันหนึ่งเมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ และมโหสถมาพร้อมกันในที่ประชุม พระราชาตรัสถามปัญหาขึ้นว่า “ท่านบัณฑิตทั้ง ๕ ความลับทั้งหลาย ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เราควรบอกแก่ใคร?”
          เสนกะบัณฑิตทูลว่า “ขอให้พระองค์ทรงโปรดเฉลยก่อน แล้วข้าพระองค์จะทูลภายหลัง พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสว่า “ควรบอกความลับแก่ภริยาผู้ซื่อสัตย์”
          เสนกะบัณฑิตทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นว่าควรบอกความลับแก่สหายที่รักกันจริงๆ”
          พระราชาตรัสถามปุกกุสะบัณฑิตว่า “ปุกกุสะ ท่านควรบอกความลับแก่ใคร?”
          ปุกกุสะทูลว่า “ควรบอกแก่พี่ชายหรือน้องชายที่มีศีลธรรม”
          พระราชาตรัสถามกามินท์บัณฑิตว่า “ว่าไง ท่านกามินท์ ท่านว่าเราควรบอกความลับแก่ใคร?”
          กามินทร์ทูลว่า “ควรบอกแก่ลูกชายผู้อยู่ในโอวาทเชื่อฟังคำสั่งสอน พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามเทวินท์บัณฑิตว่า “ว่าไง ท่านเทวินท์ ท่านว่าเราควรบอกความลับแก่ใคร?”
          เทวินท์ทูลว่า “ควรบอกแก่มารดา พระเจ้าข้า”
          พระราชาตรัสถามมโหสถบ้างว่า “เอ้า มโหสถ เจ้าว่าเราควรบอกความลับแก่ใคร?”
          มโหสถทูลไปตามซื่อว่า “เราไม่ควรบอกความลับแก่ใครๆ พระเจ้าข้า”
          พระราชาทรงสดับแล้ว ถึงกับตกพระทัย ตรัสถามย้ำว่า “เจ้าว่าไงนะ มโหสถ”
          มโหสถกราบทูลย้ำอีกหนว่า “เราไม่ควรบอกความลับแก่ใครๆ พระเจ้าข้า”
          เท่านั้นเอง พระราชาก็ทรงเชื่อมั่นเลยว่ามโหสถเป็นกบฏจริงๆ อย่างที่บัณฑิตทั้ง ๔ กล่าวหา
          ตอนนี้พระราชาทรงมองดูหน้าเสนกะ เสนกะก็มองมายังพระราชา เป็นเชิงว่าต้องจัดการกับมโหสถอย่างใดอย่างหนึ่งเสียแล้ว  มโหสถเห็นอากัปกิริยานั้นแล้ว ให้รู้สึกหนาวๆ ไปเหมือนกัน และก็รู้ทันทีว่าบัณฑิตทั้ง ๔ คงได้ยุยงพระราชาเข้าอีกแล้ว และพระราชาก็ทรงเชื่อสนิทอีกตามเคย ที่แท้พระราชาตรัสถามปัญหาเรื่องความลับก็เพื่อจะทดลองเรา เหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจเท่าไร เราควรรีบออกไปจากพระราชฐานดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็กราบถวายบังคมลา เมื่อมโหสถกลับไปแล้ว เสนกะบัณฑิตก็ทูลให้พระราชามีรับสั่งให้ประหารชีวิตมโหสถ  พระราชาทรงเห็นพ้องด้วย ได้พระราชทานพระขรรค์ให้แก่บัณฑิตทั้ง ๔ ลอบดักฆ่ามโหสถ

สืบหาความจริงพิชิตศัตรู

         ชีวิตคนดีมีปัญญาอย่างมโหสถ มีแต่เรื่องถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแก ถูกเขาให้ร้ายป้ายสีตลอดเวลา แต่ทุกครั้งก็สามารถเอาชนะได้ รอดพ้นมาได้ด้วยปัญญา คราวนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร ถูกเขาวางแผนฆ่า หาทางดักฆ่า จะรอดชีวิตมาได้หรือไม่ หลังจากออกท้องพระโรงมาแล้ว ยังไม่คิดกลับบ้าน แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนั้น เพื่อสืบหาความจริง  บัณฑิตทั้ง ๔ ซึ่งคอยแอบซุ่มหมายจะฆ่ามโหสถได้สนทนากันถึงความลับบางอย่างของตน โดยหารู้ไม่ว่ามโหสถแอบเข้าไปดักฟังอยู่ในถังข้าว ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ นั้น
          - เสนกะเปิดเผยความลับของตนเป็นคนแรกว่า “เพื่อนเอ๋ย เราได้พาหญิงหากินคนหนึ่งมาร่วมรักที่ศาลา จากนั้นเราก็ฆ่าหล่อนเสีย เอาเครื่องประดับไปไว้ที่บ้าน ตอนนี้ยังแขวนอยู่ที่ปลายเท้าในเรือนของเรา เราบอกความลับนี้แก่เพื่อนเราเพียงคนเดียวเท่านั้น”
          - ปุกกุสะเผยความลับของตนเป็นคนที่สองว่า ที่ขาของเราเป็นโรคเรื้อน น้องชายของเราช่วยล้างแผล ทายา และเอาผ้าพันให้ทุกๆ วัน เรานุ่งผ้าปิดไว้ทุกเช้า น้องชายของเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้ พระราชาชอบตรัสเรียกให้เรามานั่งใกล้ๆ แล้วก็ทรงเอาขาของเราหนุนประจำ นี่ถ้าพระองค์ทรงรู้หัวเราคงหลุดเป็นแน่”
          - กามินท์ขยายความลับของตนเป็นคนที่สามว่า เราก็มีความลับอยู่เหมือนกัน คือว่า ในวันข้างแรมทุกครั้ง เราจะถูกยักษ์เข้ามาสิง ทำให้เราร้องเป็นเสียงหมาบ้า เรื่องนี้ลูกชายของเรารู้คนเดียว คนอื่นไม่มีใครรู้ ทุกครั้งที่เราถูกเข้าสิง ลูกชายจะพาเราเข้านอนห้องข้างใน ปิดประตูสนิท แล้วเล่นดนตรีกลบเสียง ฉะนั้น จึงไม่มีใครรู้เลย  
          - เทวินท์เอาความลับของตนออกเผยบ้างเป็นคนสุดท้าย เขากล่าวว่าเราได้ขโมยลูกแก้วมงคลของพระอัยกาของพระเจ้าวิเทหราช ก่อนจะเข้าเฝ้าเราจะซ่อนลูกแก้วไว้ในตัว เพื่อเรียกสิริให้เกิดขึ้นที่ตัวเมื่อเข้าเฝ้า พระราชาจึงมักตรัสเรียกเรา พระราชทานทรัพย์ให้ปีละมากๆ เป็นประจำ พวกท่านไม่เคยสังเกตบ้างหรือ เรื่องนี้แม่ของเรารู้คนเดียว
          ในที่สุด ความลับอันอัปยศอดสูของบัณฑิตผู้เป็นพาลทั้ง ๔ ก็ตกอยู่ในกำมือของมโหสถทั้งหมด เมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ ซึ่งดักรอฆ่ามโหสถอยู่หลายชั่วโมงได้นัดแนะกันใหม่ว่าจะลอบฆ่ามโหสถตอนพรุ่งนี้เช้า เมื่อบัณฑิตทั้ง ๔ กลับไปแล้ว มโหสถจึงออกจากที่ซ่อน กลับไปบ้าน อาบน้ำ รับประทานอาหาร แปรงฟัน เสร็จแล้วก็คิดว่า พระนางอุทุมพรเทวีซึ่งคอยช่วยเราอยู่ในวังใหญ่ คงจะช่วยเราให้รอดพ้นจากอันตรายจนสุดความสามารถ พรุ่งนี้จะส่งข่าวให้นางรู้บ้างว่าเป็นอย่างไร
          คืนวันนั้น พระเจ้าวิเทหราชไม่อาจข่มพระทัยให้หลับได้โดยง่าย เพราะรู้สึกเสียดายและสงสารมโหสถที่จะต้องมาถูกบัณฑิตทั้ง ๔ ฆ่าตายในวันพรุ่งนี้เช้า  พระนางอุทุมพรเทวีทรงสังเกตพระอากัปกิริยาของพระราชาที่ไม่สู้จะสงบดังวันก่อนๆ จึงทูลถามได้ความแล้ว พระนางก็ส่งข่าวไปให้มโหสถว่าพรุ่งนี้อย่าได้มาเข้าเฝ้า หาไม่แล้วจะถูกปองร้ายจากบัณฑิตทั้ง ๔
          รุ่งเช้ามโหสถไม่ได้มาเข้าเฝ้าดังแต่ก่อน  บัณฑิตทั้ง ๔ รอแล้วรอเล่า รอด้วยความกระวนกระวาย ไม่เห็นมโหสถมาสักที เมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ก็พากันเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาไม่ตรัสว่ากระไร หากทรงคิดว่าไม่มาก็ดีแล้วจะได้ไม่ตาย
          มโหสถบอกให้พรรคพวกรวบรวมกำลังทหารทุกหน่วย รวบรวมกำลังประชาชนไว้ข้างตนให้หมด แล้วพากันขึ้นรถไปยังพระราชวัง เมื่อรถแล่นไปใกล้พระราชวัง แต่ละคนอันมีมโหสถเป็นหัวหน้าได้ทำการถวายบังคมพระราชา เป็นการรวมพลังและความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่
          พระราชาทอดพระเนตรดูอยู่ที่ช่องพระแกล (หน้าต่าง) ถึงกับตื้นตันพระทัยยิ่งนัก ทรงดำริว่า “เห็นท่านมโหสถคงจะไม่เป็นกบฏตามคำของพวกอาจารย์ทั้ง ๔ เป็นแน่ ถ้ามโหสถเป็นกบฏจริงจะมามัวถวายบังคมเราอยู่ทำไมให้เสียเวลา ทรงคิดดังนั้นแล้ว ก็ให้มหาดเล็กเรียกมโหสถขึ้นมาเฝ้า มโหสถเห็นว่าควรจะกราบทูลเรื่องความลับอันอัปยศอดสูของบัณฑิตทั้ง ๔ ให้พระราชาทรงฟัง จึงทูลเรื่องราวที่ได้ยินมากับหูตัวเองให้พระราชาสดับ พระราชาตรัสเรียกบัณฑิตทั้ง ๔ มาไต่สวน ทั้ง ๔ สารภาพแต่โดยดี จึงรับสั่งให้ทหารนำบัณฑิตทั้ง ๔ ไปขังคุกไว้ก่อน
          จากนั้นมโหสถได้แก้ความเข้าพระทัยผิดของพระราชาในเรื่องเกี่ยวกับความลับว่า “บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับแก่ใครทั้งสิ้น รอให้สิ่งที่ทำสำเร็จสมประสงค์เสียก่อนจึงค่อยเปิดเผย คนเราไม่ควรเปิดเผยความลับเลย ควรรักษาความลับนั้นไว้ ดุจเจ้าของทรัพย์รักษาขุมทรัพย์ของตน ไม่ควรบอกความลับแก่สตรี แก่คนไม่ใช่มิตร อย่าบอกความในใจแก่คนที่เห็นอามิสสินจ้างรางวัล และแก่คนไม่ใช่มิตร ถึงจะถูกด่าว่าบริภาษ ถูกทำร้ายประหัตประหาร ผู้กุมความลับ ควรอดทนอดกลั้นไว้อย่าได้เปิดเผยนั่นแหละดี ถ้าจะพูดความลับในเวลากลางวัน พึงหาโอกาที่สงบเงียบ ถ้าจะพูดความลับในเวลากลางคืน อย่าส่งเสียงดังให้เกินไป เพราะคนแอบฟังมีอยู่ เขาอาจจะได้ยินความลับที่ปรึกษากันนั้น ความลับเมื่อมีคนได้ยิน ย่อมไม่เป็นความลับอีกต่อไป”
          พระราชาทรงสดับคำของมโหสถก็เข้าพระทัยดี และทรงพระพิโรธบัณฑิตทั้ง ๔ ที่หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีมโหสถได้ไม่เว้นแต่ละวัน สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่รู้จักหยุดหย่อน จึงมีรับสั่งให้นำไปประหารชีวิต แต่มโหสถทูลยับยั้งไว้ การฆ่าถ้าไม่จำเป็นอย่าได้กระทำเลย และไม่ควรจะอ้างความจำเป็นอย่างพร่ำเพรื่อ
          พระราชาตรัสยกบัณฑิตทั้ง ๔ ให้เป็นทาสรับใช้มโหสถตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป หน้าที่ในทางราชการเป็นอันยกเลิก มโหสถร้องไว้อีก อย่าให้ตกระกำลำบากถึงกับต้องเป็นคนใช้เลย มันน่าเกลียด
          พระราชารับสั่งให้ขับไล่ออกจากพระราชอาณาจักร จะไปอยู่ที่ไหนก็เชิญ มโหสถทูลขอพระราชทานโทษเอาไว้อีกว่า “ขอพระองค์ทรงพระกรุณายกโทษให้แก่คนอันธพาลทั้ง ๔ ด้วยเถิด ขอให้ทรงยกย่องอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไปเถิด”
          พระราชาทรงอนุมัติตามความเห็นของมโหสถ พระองค์ทรงเลื่อมใสมโหสถอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า “แม้แต่ในศัตรู มโหสถก็ยังมีเมตตาปราณีถึงเพียงนี้ กับคนอื่นๆ เล่า  มโหสถจะมีเมตตาปรานีสักเพียงไหน คงไม่ต้องพูดถึง”
          ตั้งแต่นั้นมา ๔ อาจารย์ก็กลับตัวกลับใจเสียใหม่ เลิกละนิสัยเลวๆ หมดสิ้น เหมือนงูที่ถูกถอดเขี้ยว เหมือนเสือที่ถูกถอดเล็บ เชื่อฟังมโหสถเป็นที่สุด ตั้งตารับใช้พระราชาอย่างเต็มที่ ส่วนมโหสถก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงฐานะที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ได้รับพระราชทานทรัพย์มากมายใช้ไปได้หลายชาติทีเดียว
          มโหสถได้ปฏิบัติราชการจนมิถิลานครเจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุดในสมัยนั้น ทั้งนี้เพราะมโหสถใช้ธรรมดำเนินการ และแนะนำพระราชาให้ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เมืองที่มีธรรมผ่องอำไพจะรุ่งเรืองยิ่งใหญ่
          เมื่อเอาชนะศัตรูภายในได้ราบคาบแล้ว มโหสถก็มีเวลาคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เขาทำหน้าที่ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแก่พระเจ้าวิเทหราชเรื่อยมาอย่างดีเยี่ยม
          วันหนึ่งมโหสถได้มีดำริว่า เรามาดูแลเศวตฉัตรราชสมบัติของพระราชา ควรทึ่เราจะไม่ประมาท จึงวางแผนจัดการป้องกันพระนครให้เข้มแข็ง
          - สร้างกำแพงใหญ่ ชื่อมหาปราสาทภายในพระนคร
          - สร้างกำแพงน้อย
          - สร้างป้อมหรือหอรบไว้ริมประตู และในที่เป็นตอนๆ
          - ขุดคูขึ้น ๓ ชนิด คือ คูน้ำ คูเลน คูแห้ง
          - ซ่อมแซมบ้านเรือนเก่าๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดี
          - ขุดสระใหญ่ ใส่น้ำเต็ม และฝังท่อระบายน้ำในสระ นำบัวขาวบัวสายจากดาบสที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งคุ้ยเคยและรู้จักกันดีกับตระกูล มาปลูกไว้ในสระ
          - หาข้าวเปลือกมาใส่ยุ้งฉางให้เต็มทุกๆ แห่งในพระนคร
          - ล้างท่อน้ำให้น้ำไหลเข้าออกสะดวก
          - ซ่อมแซมปรับปรุงสถานที่เก่าๆ เช่น ศาลาเก่า ที่พักนอกพระนครให้อยู่ในสภาพที่ดีใช้การได้
นี่เป็นการเตรียมรับมือกับภยันตรายที่อาจจะมีมาในกาลข้างหน้า ซึ่งถ้าไม่มีก็ดีไป แต่ถ้ามีขึ้นมาก็จะสามารถรักษาตัวได้รอดปลอดภัย ประชาชนชาวเมืองต่างๆ ได้ยินกิตติศัพท์ของมโหสถก็พากันมาทำความรู้จัก จากนั้นก็เข้ามาติดต่อทำการค้าขายบ้าง เข้ามาลงทุน เข้ามาสร้างกิจการงานบ้าง
          จากการที่เป็นคนวางตัวดี ตั้งอยู่ในธรรม ไม่กินสินบาทคาดสินบน ถือหลักกฎหมาย หลักความถูกต้องเป็นธรรม มโหสถจึงเป็นที่รักใคร่แก่คนทุกคน ไม่เฉพาะแต่ชาวเมืองมิถิลานครเท่านั้น แม้ชาวเมืองอื่นต่างก็ให้ความรักนับถือเช่นกัน
          เพราะเหตุนี้เมื่อมโหสถอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองต่างๆ มโหสถจึงได้ความรู้ รู้ข้อเท็จจริงต่างๆ จากคนที่มาจากเมืองนั้นโดยตรง มโหสถรู้ถึงขนาดว่า พระราชาในเมืองต่างๆ ซึ่งมีถึง ๑๐๑ พระองค์นั้น ทรงชมชอบอะไรเป็นพิเศษ จากการไต่ถามพวกพ่อค้าบ้าง จากผู้รู้ประจำเมืองนั้นๆ บ้าง จากนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไปบ้าง พอเก็บข้อมูลต่างๆ มาประมวลสรุปเป็นข้อยุติแล้ว ก็จัดหาเครื่องราชบรรณาการที่เหมาะสมคู่ควรที่เป็นที่ต้องการของพระราชาเหล่านั้นไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ทำการคัดสรรหาคนที่ไว้ใจได้ โดยเลือกจากทหารที่ซื่อสัตย์ภักดี มีปฏิภาณไหวพริบ จำนวน ๑๐๑ คนมาอบรม เพื่อนำเครื่องราชบรรณาการไป และให้ไปอยู่ประจำในเมืองนั้นเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 กรกฎาคม 2567 14:59:37 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 15:02:39 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

          สำหรับเครื่องราชบรรณาการนั้น มโหสถได้ทูลขอพระราชาดังนี้
          ๑. กุณฑล หรือต่างหู
          ๒. ฉลองพระบาทหรือรองเท้า
          ๓. ดอกไม้แดง
          ๔. พระแสงขรรค์
          อย่างละ ๑๐๑ ตามจำนวนกษัตริย์ในชมพูทวีป
          พระราชาทรงอนุญาตให้ตามคำขอ
          ของเหล่านี้ มโหสถให้จารึกพระนามของพระเจ้าวิเทหราชไว้ครบทุกอัน แล้วมอบให้ ๑๐๑ นักรบเหล่านั้นนำไปถวายพระราชาเหล่านั้น เมื่อถวายเครื่องราชูปโภคเหล่านั้นแล้ว ก็ให้ถวายตัวเป็นข้ารับใช้อยู่ในเมืองนั้นๆ ระหว่างอยู่ที่เมืองนั้น ให้คอยเป็นหูเป็นตาแก่พระเจ้าวิเทหราช หากมีเมืองใดคิดร้ายไม่ดีให้ส่งข่าวมาให้รับทราบโดยด่วนก่อน จะได้ป้องกันตัวได้ทัน
          มโหสถบอกคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านไปแล้วไม่ต้องเป็นห่วงทางบ้าน เพราะทางการจะเลี้ยงดูครอบครัวของพวกท่านเป็นอย่างดีทีเดียว ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีให้สมกับที่ได้ไว้วางใจ”
          ยังมีรัฐแห่งหนึ่งชื่อ กัมพลรัฐ สมัยนั้นปกครองโดยพระเจ้าสังขพลกะ
          วันหนึ่ง ทูตทหารที่ส่งมาประจำอยู่เมืองกัมพลรัฐได้ส่งข่าวไปให้มโหสถทราบถึงความเคลื่อนไหวทางการทหารของรัฐนี้ว่าเป็นที่ผิดสังเกต เพราะมีการระดมพลและตระเตรียมอาวุธ ขอให้มโหสถส่งนกแก้วไปสืบดูก็จะรู้ความ  มโหสถทราบแล้วก็เรียกนกแก้วแสนรู้พูดภาษาคน ฟังภาษาคนได้รู้เรื่อง มาสั่งให้ไปดูความเป็นไปต่างๆ ให้กัมพลรัฐที่มีการระดมพลและเตรียมอาวุธนี้ เขาทำเพื่ออะไร และเตรียมการไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ให้ตระเวนดูไปทั่วทุกชมพูทวีปว่าเมืองต่างๆ มีการเคลื่อนไหวอะไรอย่างไรบ้าง
          สั่งดังนั้นแล้ว ก็เอาใจนกแก้วด้วยการเอาข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งมาให้กิน ให้ดื่มน้ำผึ้ง เอาน้ำมันที่หุงมาอย่างดีทาบนปีก แล้วปล่อยไปทางหน้าต่างให้มุ่งหน้าไปยังทิศปราจีน เมื่อไปถึงกัมพลรัฐ นกแก้วก็สืบรู้ความเคลื่อนไหวทางการทหารของเมืองนี้ว่าเป็นไปอย่างไร และเตรียมการไปถึงขั้นไหนแล้ว
          ครั้นได้ข้อมูลโดยละเอียดแล้ว นกแก้วแสนรู้ก็บ่ายหน้าไปยังเมืองอื่นๆ ได้สืบรู้มาว่า อุตรปัญจาลนคร แห่งกัปปิลรัฐ กำลังคิดรุกรานเมืองอื่นๆ เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว แลเพื่อช่วงชิงทรัพย์สมบัติในเมืองนั้นๆ เอาเป็นของตน
          อุตรปัญจาลนคร แห่งกัปปิลรัฐ ปกครองโดยพระเจ้าจุลนีพรหมทัต พระเจ้าจุลนีพรหมทัตมีปุโรหิตชื่อว่า เกวัฏฏ์ เป็นที่ปรึกษา   
          ปุโรหิตเกวัฏฏ์เป็นผู้เฉลียวฉลาด วันหนึ่งเขาคิดอยากจะให้พระเจ้าแผ่นดินของเขาได้เป็นอัครราชา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีป เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะได้เป็นอัครปุโรหิต ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง มีอัครฐานบริวารมากมาย พอคิดฝันหวานดังนั้นแล้วก็เข้าไปเข้าเฝ้าจะกราบทูลเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งควรจะเข้าไปในสวนหลวง จะได้ไม่มีใครรู้ใครได้ยิน ให้ได้ยินแค่ ๒ คน ๔ หูเท่านั้น
          เมื่อพระราชาเสด็จเข้าไปในสวนประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทูลยุยงพระราชาให้ไปตีเมืองอื่นๆ กัปปิลรัฐจะได้ยิ่งใหญ่ พระองค์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีอิสริยยศยิ่งใหญ่ รวบรวมเอาทรัพย์สินของพระราชาเหล่านั้นมาเป็นของพระองค์ พระองค์ก็จะร่ำรวยกว่ากษัตริย์ทุกพระองค์ในชมพูทวีป และถ้าจะให้ดีแล้วเราควรเอายาพิษให้กษัตริย์เหล่านั้นดื่ม เมื่อสิ้นพระชนม์กันหมดแล้วก็จะทรงเป็นกษัตริย์แห่งชมพูทวีปเพียงพระองค์เดียว พระราชาทรงเห็นด้วย และให้ปฏิบัติไปตามที่เห็นสมควร
          สถานที่ที่เกวัฏฏ์ทูลเรื่องการตีเมืองอื่นๆ นั่นเป็นพระราชอุทยานหรือสวนหลวง ขณะนั้นนกแก้วที่มโหสถส่งมาได้แอบฟังอยู่จนรู้เนื้อความทั้งหมด นกฟังข้อความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ขี้รดศีรษะของปุโรหิตเกวัฏฏ์ทันที เกวัฏฏ์ตกใจพร้อมโมโหแหงนหน้าขึ้นมองดูแล้วกล่าวว่า “นกอะไรมาขี้รดหัว?”
          ระหว่างที่เกวัฏฏ์พูดอยู่ นกแก้วก็ขี้รดซ้ำเข้าไปอีกหน คราวนี้เข้าปากพอดี ทำให้เกวัฏฏ์โมโหมาก เพราะทั้งศีรษะปากคอเลอะเทอะเประเปื้อนไปหมด ขี้นกบางส่วนที่เข้าไปในปากมันช่างน่าเกลียดเหลือเกิน ถ่มถุยยังไงก็เหมือนยังออกมาไม่หมด นกแก้วบินจับกิ่งไม้นั้นทีกิ่งไม้นี้ที ส่งเสียงร้องออกมาเป็นภาษาคนว่า “เจ้าเกวัฏฏ์เอ๋ย เจ้าคิดว่าความคิดของเจ้าจะมีผู้รู้เพียง ๔ หูเท่านั้นหรือ ที่จริงตอนนี้รู้กันถึงไหนแล้ว และจะรู้กันออกไปอีกถึง ๘ หู ๑๐ หู ๑๐๐ หู และยิ่งกว่า ๑๐๐ หู ขึ้นไปอีก”
          ร้องข่มขวัญแล้ว เจ้านกแก้วก็บินไปหามโหสถที่มิถิลานคร ไม่ทันที่เกวัฏฏ์และพระเจ้าจุลนีพรหมทัตจะทำอันตรายใดๆ ได้  นกแจ้งข่าวให้มโหสถทราบแล้วโดยละเอียด
          มโหสถหาทางป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการก่อสงครามของอุตรปัญจาลนคร ด้วยการ
          - อพยพประชาชนให้อยู่ในที่ปลอดภัย
          - เสริมกำลังทหารให้แข็งแรงและมีจำนวนมากขึ้น
          - สะสมอาหารไว้ใช้อย่างบริบูรณ์ และรณรงค์ให้ประชาชนทำการเกษตรเป็นการใหญ่ เพื่อสะสมอาหารไว้ให้บริบูรณ์ ทั้งในส่วนของราษฎรและพระคลังหลวง
          พระเจ้าจุลนีพรหมทัต มีรับสั่งให้ตระเตรียมกำลังพลเป็นกองทัพใหญ่ เมื่อการจัดกระบวนทัพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพไปล้อมตีเมืองอื่นๆ และตีได้สำเร็จทุกเมือง รวม ๑๐๐ เมือง ยังเหลืออีกเมืองเดียวที่จะต้องตี คือ มิถิลานคร
          ทูตทหารที่อยู่ประจำเมืองอุตรปัญจาลนครได้ส่งข่าวไปยังมโหสถให้ทราบว่า ให้หาทางรับมือการโจมตีของกองทัพอุตรปัญจาลนครให้ดี เพราะพระเจ้าจุลนีจะยกกองทัพไปยึดครองโดยแน่แท้  ฝ่ายพระราชาจุลนีพรหมทัตทรงรับคำพราหมณ์เกวัฏแล้ว ก็ทรงแวดล้อมไปด้วยกองทัพเสด็จไปล้อมพระนครแห่งหนึ่ง แม้พราหมณ์เกวัฏก็เข้าไปในพระนครนั้น ทำความตกลงกับพระราชานั้นแล้ว จัดเข้าด้วยกันไปล้อมพระนครอื่นต่อไป ได้ยึดพระนครทั้งปวงเหล่านั้นไว้ในอำนาจโดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้
          พระราชาจุลนีพรหมทัต ทรงสถิตอยู่ในโอวาทของพราหมณ์เกวัฏ ได้ทรงทำการตีเมืองในชมพูทวีปที่เหลือทั้งสิ้นให้เป็นของพระองค์ นอกจากพระราชาวิเทหะ โดยอาการอย่างนี้ เหล่าบุรุษสอดแนมของมโหสถก็ส่งข่าวไปเรื่อยๆ ว่า พระเจ้าจุลนีพรหมทัตทรงยึดพระนครได้เท่านี้แล้ว ท่านอย่าประมาทเลย แม้พวกท่านก็อย่าท้อใจ จงอยู่อย่างไม่ประมาทเถิด ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัต ครั้นทรงยึดราชสมบัติในชมพูดทวีปนอกนั้นทั้งสิ้นได้แล้ว นอกจากราชสมบัติแห่งพระราชาวิเทหะ  โดยเจ็ดปีเจ็ดเดือนและเจ็ดวัน แล้วจึงตรัสกะปุโรหิตเกวัฏฏฺว่าพระองค์จะยกทัพไปตีมิถิลานครต่อไป ซึ่งใครๆ ก็เห็นชอบด้วยกับพระราชดำริของพระองค์ทั้งสิ้น เว้นแต่ปุโรหิตเกวัฏฏ์ที่คัดค้านอย่างเต็มที่ เขากราบทูลว่า “ขอเดชะพระจอมกษัตริย์ เราจักไม่สามารถยึดราชสมบัติในพระนครที่อยู่ของมโหสถบัณฑิต เพราะว่าเขาถึงพร้อมแล้วด้วยปัญญาอย่างนี้ เป็นผู้ฉลาดในอุบาย”
          ครั้นเขาทูลห้ามพระราชาดังนี้แล้ว จึงกล่าวถึงคุณของมโหสถให้เห็น ดุจชี้ให้เห็นดวงจันทร์เพ็ญ ฉะนั้น แท้จริงพราหมณ์ผู้นี้แม้ตนเองก็ฉลาดในอุบายเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้น จึงทูลชี้แจงพระราชาให้ทรงตระหนักด้วยอุบายว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ขึ้นชื่อว่าราชสมบัติแห่งมิถิลานครมีประมาณน้อย ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้นก็เพียงพอแก่เราทั้งหลาย เราจะต้องการอะไรด้วยพระนครนี้”
          แม้พระราชานอกนั้นก็พากันกราบทูลว่า เราทั้งหลายจักยึดอำนาจในนครมิถิลาให้ได้ แล้วจักดื่มน้ำชัยบาน แต่เกวัฏฏ์ก็ทูลห้ามกษัตริย์เหล่านั้นเสีย แล้วทูลเตือนกษัตริย์เหล่านั้นโดยอุบายเช่นเดียวกันว่า เราทั้งหลายจักยึดเอาสมบัติของพระราชาวิเทหะไปทำอะไร พระราชาองค์นั้นก็ชื่อว่าเป็นสมบัติของเราอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายจงกลับเสียเถิด ครั้นพระราชาทั้งหลายทรงสดับคำของเขาแล้วต่างก็เสด็จกลับ
          เมื่อกลับพระนครแล้ว พระเจ้าจุลนีก็ตรัสถามปุโรหิตเกวัฏฏ์ จากนี้ไปพวกเราควรทำอะไรกันดี เกวัฏฏ์ทูลให้ทำพิธีดื่มชัยบานในพระราชวัง 
          ในงานมีการเลี้ยงสุรา ๑,๐๐๐ ไห พร้อมด้วยกับแกล้มอย่างดีอีกมากมายหลายอย่าง แต่ในสุรามียาพิษผสมอยู่ที่ทางปุโรหิตเกวัฏฏ์เตรียมไว้เพื่อฆ่าพระราชาต่างๆ ที่ถูกตีเมืองและเข้ามาร่วมทัพด้วย ทูตทหารส่งข่าวให้มโหสถทราบถึงพิธีดื่มชัยบาน มโหสถสั่งนกแก้วแสนรู้ไปตรวจสอบได้ความว่าสุรานั้นเจือยาพิษหวังปลิดพระชนม์พระราชาของเมืองต่างๆ
          มโหสถคิดช่วยเหลือพระราชาเหล่านั้นไม่ให้ต้องถูกปลงพระชนม์ จึงเรียกบริวารของตน ขอความช่วยเหลือจากมิตรสหาย ซึ่งรับราชการเป็นทหาร ซึ่งมีอยู่ ๑,๐๐๐ คน ให้ไปทำลายพิธีดื่มชัยบาน ทหารเหล่านั้นวางแผนกันว่าจะทำอย่างไร จัดกำลังเป็นชั้นๆ ลำดับการทำอะไรก่อนหลัง เสร็จสรรพก็พากันไปยังพระราชอุทยานของพระเจ้าจุลนี หาทางเล็ดลอดเข้าไปจนได้ แล้วเดินตรงไปที่ไหสุรากับข้าวของกับแกล้ม พอถูกเขาห้ามปราม ก็แกล้งทำเป็นงี่เง่า จนกระทั่งเกิดการทุ่มเถียงกัน แล้วพาลไปทุบไหสุราจนหมดสิ้น และเทกับข้าวทิ้งพื้นดินจนเลอะเทอะเประเปื้อนบริเวณ จากนั้นก็ประกาศว่าพวกข้าคือทหารของมโหสถ แห่งมิถิลานคร แล้วก็พากันกลับอย่างรวดเร็ว
          พระเจ้าจุลนีและเกวัฏฏ์เสียใจที่แผนการไม่สำเร็จ พระราชาเมืองอื่นๆ และเหล่าพวกทหารก็เสียดายที่ไม่ได้ดื่มสุรา ไม่ได้กินกับอร่อยๆ ต่างพากันส่งเสียงสาปแช่งทหารของมโหสถและตัวมโหสถจนดังขรมทั่วพระราชอุทยาน
          ด้วยความเชื่อมั่นในแสนยานุภาพของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ ทำให้พระเจ้าจุลนีตัดสินพระทัยยกทัพมาตึมิถิลานคร โดยไม่ฟังเสียงของเกวัฏฏ์อีกต่อไป
          กองทัพของพระเจ้าจุลนีมาถึงมิถิลานครเมื่อตอนจัดทัพช้างล้อมมิถิลานครไว้ชั้น ๑ ทัพม้าล้อมไว้ชั้นที่ ๒ ทัพรถล้อมไว้ชั้นที่ ๓ ทหารของฝ่ายพระเจ้าจุลนีได้พากันยืนหยัด บันลือเสียงปรบมือ โลดเต้น ขู่คำรามพระนครมิถิลาประมาณกว้างตลอดเจ็ดโยชน์ มีแสงสว่างทั่วถึงกัน ด้วยแสงประทีปและแสงเครื่องประดับ เวลานั้นคล้ายกับคราวแผ่นดินจะถล่มทะลาย เพราะเสียงช้างม้าเสียงรถและเสียงดนตรี เป็นต้น
          ปุโรหิตได้ยินเสียงครึกโครมแล้ว เมื่อไม่ทราบเหตุจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระราชาวิเทหะกราบทูลว่า “ข้าแต่จอมกษัตริย์ มีเสียงอลเวงใหญ่ แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ทราบว่านั่นเสียงอะไร ควรจะสอบสวนดู พระเจ้าข้า” พระราชาทรงสดับวาจานั้นแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่า คงเป็นพระราชาพรหมทัตเสด็จมา จึงทรงเผยสีหบัญชรทอดพระเนตร ก็ตกพระทัยสะดุ้ง แล้วทรงประทับนั่งปราศรัยกับบัณฑิตเหล่านั้นว่า “เราตายแล้ว ต่อไปพรุ่งนี้เขาก็จักล้างชีวิตของพวกเราหมดสิ้น”
          ฝ่ายมโหสถทราบความว่าพระเจ้าพรหมทัตนั้นเสด็จมา ก็หาหวาดหวั่นไม่คล้ายดังราชสีห์ ครั้นจัดแจงอารักขาทั่วทั้งพระนครแล้ว คิดว่าจักทูลปลอบขวัญพระราชา จึงขึ้นไปสู่วังหลวง ได้ถวายบังคมพระราชา เฝ้าอยู่ส่วนหนึ่ง ครั้นพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเธอแล้ว ก็ทรงได้ความเบาพระทัย ทรงคำนึงว่านอกจากมโหสถบุตรของเรา ย่อมไม่มีใครอื่นสามารถจะเปลื้องเราจากทุกข์นี้ จึงตรัสขึ้น  “มโหสถ พระเจ้าพรหมทัตราชาแห่งนครปัญจาละ เสด็จดำเนินมาพร้อมด้วยกองทัพครบขบวน กองทัพแห่งนครปัญจาละนี้นั้นจะประมาณมิได้ ฉลาดในสงครามทุกประการ มีกองเกียกกาย กองราบ กองโจร มีเสียงกึกก้อง ต้องสั่งการให้รู้ด้วยสำเนียงกลองและสังข์ ส่องแสงด้วยเครื่องโลหะ ด้วยเครื่องประดับ ยกธงเกลื่อนไปด้วยขบวนสัตว์รบ เป็นกองทัพตั้งขึ้นสมบูรณ์พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ ด้วยนักรบแกล้วกล้า เขาว่าในกองทัพนี้มีบัณฑิตสิบคน มีปัญญาเปรียบด้วยแผ่นดินเป็นที่ปรึกษาราชการลับ พระมารดาของพระราชาเป็นบัณฑิตคนที่สิบเอ็ดทรงบัญชาในกองทัพปัญจาละ
          มีกษัตริย์ร้อยเอ็ดพระนครโดยเสด็จพระเจ้าพรหมทัตผู้ทรงยศ กษัตริย์เหล่านั้นถูกยึดได้แว่นแคว้น จึงทรงเกรงบารมีอยู่ในอำนาจของชาวปัญจาละ ต้องกระทำตามรับสั่งของพระราชา ต้องตรัสแต่พระวาจาเป็นที่รักทั้งที่ไม่ทรงปรารถนา ทรงตกอยู่ในอำนาจทั้งที่มิได้ทรงปรารถนาตามเสด็จพระราชาแห่งนครปัญจาละ 
          พระนครมิถิลาถูกกองทัพนั้นล้อมไว้สามชั้น ราชธานีแห่งวิเทหะถูกขุดคูโดยรอบ ถูกล้อมไว้โดยรอบ เหมือนดาวล้อมอยู่เบื้องบน “แน่ะพ่อมโหสถ พ่อจงพิเคราะห์ดูว่าเราจักรอดได้อย่างไร”
          มโหสถกราบทูลว่า “ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทตามพระสำราญเถิด ขอเชิญเสวยและรื่นรมย์พระหฤทัยความสุขเถิด ข้าพระองค์จะทำให้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตทิ้งกองทัพชาวแคว้นปัญจาละเสด็จหนีไปให้ได้”  พระราชาทรงเบาพระทัยลงมา มีรับสั่งให้มโหสถทำให้สุดความสามารถ เพื่อป้องกันพระนครและประชาชนให้มีความผาสุกสำราญ
          ครั้นรับราชโองการแล้ว มโหสถก็กลับมาวางกลยุทธิ์ในศึกครั้งนี้
          มโหสถสั่งให้ประชาชนเล่นมหรสพกันอย่างเอิกเกริกเกรียวกราว ให้ทุกคนแสดงความสนุกสนานออกมาอย่างเต็มที่ ห้ามใครๆ แสดงความทุกข์ร้อนหม่นหมองเศร้าสร้อยเป็นอันขาด จากนั้นก็ทูลแนะนำให้พระราชาวิเทหราช ประทับเสวยน้ำจัณฑ์ร่วมกับอำมาตย์ราชบัณฑิตที่ท้องพระโรง
          เมื่อกองทัพของพระเจ้าจุลนีพรหมทัตเข้าไปในพระนคร ก็ถูกทหารของมิถิลานครที่มโหสถสั่งให้ซุ่มอยู่บนหอรบและเชิงเทินตีแตกกระเจิง โดยใช้ความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กองทัพฝ่ายอุตรปัญจาลนครต้องถอยทัพไปอย่างไม่เป็นท่า แต่อุตรปัญจาลนครไม่ยอมง่ายๆ   
          เกวัฏฏ์ปุโรหิตทูลแนะนำให้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตนำกำลังทหารล้อมเมืองไว้ เพื่อให้ฝ่ายมิถิลานครอดน้ำตาย เพราะแม่น้ำอยู่นอกเมือง จะได้เข้าตีได้โดยง่าย
          มโหสถคิดแก้ปัญหาด้วยการให้ทหารไปตัดไม้ไผ่ยาว ๖๐ ศอกมาหลายลำ ผ่าเลาะข้อข้างในออกแล้วเอาประกบกันใช้เชือกมัด อุดด้วยดินเหนียว กรอกน้ำให้เต็มทุกลำ เอาบัวใส่ลงไป อธิษฐานจิตขอให้บัวยาวขึ้นไปจนสุดไม้ไผ่ภายในคืนเดียว ด้วยอำนาจอธิษฐาน สายบัวยาวขึ้นสุดไม้ไผ่จริงๆ
          ตอนเช้ามโหสถให้ทหารโยนสายบัวเหล่านั้นไปให้ทหารฝ่ายอุตรปัญจาลนคร พระเจ้าจุลนีเข้าพระทัยว่าในเมืองมีสระบัวใหญ่อยู่ ก็แสดงว่ามีน้ำดื่มกัน จะไม่มีใครอดน้ำตายแน่ จึงทรงคิดวิธีใหม่ คราวนี้วางแผนล้อมเมืองเพื่อให้อดข้าวตาย
          มโหสถแก้ปัญาห้วยการสั่งให้ทหารปลูกข้าวที่บนเชิงเทิน ข้าวกล้าสูงพ้นกำแพง ด้วยอำนาจการอธิษฐานจิตของมโหสถ
          ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพรหมทัตเห็นว่าคงไม่ได้ผล เพราะฝ่ายมิถิลานครมีข้าวปลาเหลือเฟือ ขนาดแถบเชิงเทินเขายังทิ้งไว้เรี่ยราด พอฝนตกมันก็ขึ้นมาอย่างที่เห็นอยู่ แสดงว่าคงไม่อดตายเพราะขาดข้าวแน่
          ทีนี้เปลี่ยนกลยุทธิ์ใหม่ คราวนี้ล้อมไว้ให้ขาดฟืนก็ไม่ได้ผลอีก เพราะฝ่ายมโหสถได้นำแสดงให้เห็นว่ามีฟืนใส่ไฟมากมายเหลือเฟือ
          พระเจ้าจุลนีเริ่มท้อพระทัย ทรงคิดจะเลิกรายกทัพกลับดีกว่า แต่ถูกเกวัฏฏ์ทัดทานไว้เข้าไปอีกหน
          เกวัฏฏ์ปุโรหิตคิดหาวิธีเอาชนะด้วยการโต้ตอบธรรมะกับมโหสถ
          เกวัฏฏ์พราหมณ์จะเอาชนะภายในเวลาอันรวดเร็วด้วยวิธีการง่ายๆ คือว่าตัวเขานั้นแก่กว่ามโหสถ เมื่อเจอหน้ากัน มโหสถต้องเป็นฝ่ายไหว้ก่อน เมื่อมโหสถไหว้ก่อนก็ต้องถือว่าฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อถึงเวลาชิงชัย มโหสถนำลูกแก้วมณีมาด้วยลูกหนึ่ง ลงรถแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านเกวัฏฏ์พราหมณ์ ข้าพเจ้าได้นำลูกแก้วมณีมาดวงหนึ่ง ตั้งใจจะมอบให้ท่านอาจารย์”
          มโหสถชูขึ้น แล้วทำทีว่าจะส่งให้ พอเกวัฏฏ์พราหมณ์แบมือรับ ก็ทำเป็นหลุดมือหล่นพื้นไป เกวัฏฏ์พราหมณ์ก้มลงหยิบ มโหสถจึงรีบคว้าก้านคอของเกวัฏฏ์พราหมณ์ เอามือกดลงไปให้อยู่ระหว่างขาของมโหสถ แล้วประกาศก้องว่า “เกวัฏฏ์พราหมณ์ ท่านอย่าไหว้ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ายังเด็กนัก”
          พระเจ้าจุลนีและทหารเห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้น จึงตกใจกลัว มโหสถและทหารต่างช่วยกันประกาศว่า “พระเจ้าจุลนีแพ้แล้ว พระเจ้าจุลนีแพ้แล้ว พระเจ้าจุลนีแพ้แล้ว”
          ฝ่ายทหารพระเจ้าจุลนีตกใจตะลึงลานจึงควบม้าหนีไป ฝ่ายพระเจ้าจุลนีไม่อาจจะสู้หน้าได้ ก็ทรงควบม้าเผ่นหนีไปโดยเร็วเช่นกัน ทิ้งเกวัฏฏ์พราหมณ์เผชิญชะตากรรมแต่เพียงผู้เดียว มโหสถจับคอเกวัฏพราหมณ์ถูไปมากับพื้นจนหน้าตาถลอกปอกเปิก และเลือดไหลซึมทั่วใบหน้าก่อนจะไล่ไปได้พูดข่มขวัญไว้ว่า “เจ้าอันธพาลเอ๋ย แผนการร้ายของเจ้าข้ารู้หมดแหละ ข้าคือมโหสถ ปรากฏชื่อลือทั่วทั้งแผ่นดิน มีปัญญาแกล้วกล้าสามารถเหนือกว่าหลายขุม เจ้าจงกลับไป อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าอีก”
          จากนั้นมโหสถก็สั่งทหารกลับค่าย
          กองทัพของฝ่ายพระเจ้าจุลนีพากันหนีตายไม่เป็นกระบวน แม้เกวัฏฏ์เมื่อมโหสถปล่อยตัวแล้ว ก็รีบขับม้าควบตามหลังกองทัพไป เขาเช็ดเลือดที่หน้าผากแล้วก็พูดกับเหล่าทหารว่า “ข้าไม่ได้พ่ายแพ้แก่มโหสถ ที่ข้าก้มหัวลงก็เพื่อจะเก็บแก้วมณีไม่ได้กราบมโหสถ แต่ถูกมโหสถลวง จึงเสียทีเขาเท่านั้นเอง  ฉะนั้น ขอให้พวกท่านไปยึดมิถิลานครกันอีกครั้ง” ทหารทั้งหลายเชื่อเกวัฏฏ์ จึงยกกองทัพไปล้อมมิถิลาตามเดิม
          คราวนี้เกวัฏฏ์แนะนำให้ทหารไปปิดประตูเมืองไว้ทุกประตู เมื่อคนในเมืองออกมาไม่ได้ ก็จะได้รับความเดือดร้อน คนข้างนอก พวกทหาร ก็จะหมดกำลังใจ ถึงตอนนั้นก็จะเข้ายึดเมือง
          คนสอดแนมของมโหสถได้รายงานความเคลื่อนไหวของศัตรูให้มโหสถทราบอยู่ทุกระยะอยู่แล้ว เมื่อมโหสถรู้เช่นนั้น จึงเรียกชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเฉลียวฉลาด มีความซื่อสัตย์ มีน้ำใจและบุคลิกน่าเชื่อถือ ชื่อว่าอนุเกวัฏ มาปรึกษาหารือกันสองต่อสอง โดยความโดยสรุปก็คือจะส่งเขาไปเป็นไส้ศึก แต่เขาจะต้องยอมเจ้าตัวมากหน่อย และจะต้องทำอย่างแนบเนียน อย่าให้ศัตรูจับได้เป็นอันขาด โดยมโหสถจะมีรางวัลและดูแลครอบครัวให้อย่างดี
          อนุเกวัฏเป็นคนมีอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง ทั้งเลื่อมใสมโหสถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยอมรับทำให้โดยง่ายดาย อย่าว่าแต่จะเจ็บตัวเลย แม้ชีวิตก็เสียสละได้ จากนั้นเขาได้เข้าไปหาทหารกลุ่มหนึ่งมีจำนวน ๔-๕ คน ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของมโหสถ เพื่อนัดแนะกันว่าจะเป็นพวกที่เข้าไปทำร้ายและดุด่านายอนุเกวัฏ
          นัดแนะกันรู้เรื่องแล้ว นายอนุเกวัฏก็หาโอกาสตอนทหารรักษาการณ์ของมิถิลานครเผลอ หิ้วตะกร้าอาหารไปบนกำแพง แล้วร้องตะโกนให้ทหารของกองทัพปัญจาลนครมาทางนี้ มารับเอาของกิน มีขนม ปลา และเนื้อจำนวนมาก ชักชวนให้พวกมากินให้อิ่มหนำสำราญ แล้วจะได้เข้าไปตีมิถิลานคร ยึดเมืองได้แล้วก็จงจับพระราชากับมโหสถไปลงโทษเสียด้วย  ทหารของฝ่ายมิถิลานครไม่รู้อะไร จึงกรูกันไปหมายจะจับอนุเกวัฏ  อนุเกวัฏกระโดดลงไปทางทหารที่นัดแนะกันไว้ ทหารกลุ่มนี้จึงแกล้งทำร้ายทุบถองเตะถีบด่าแช่งเขาต่อหน้าพวกทหารฝ่ายปัญจาลนคร จนเนื้อตัวมีริ้วรอย เสื้อผ้าฉีกขาด แล้วนำไปทิ้งนอกเมือง ด่าว่ารุนแรงว่าเป็นคนเนรคุณพระมหากษัตริย์และบ้านเมือง ไม่ควรจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไป
          พวกทหารฝ่ายกองทัพปัญจาลนคร คิดว่าอนุเกวัฏถูกทำร้ายจริงๆ ก็เกิดความสงสาร เมื่อมีใจฝักฝ่ายตนจึงพาไปเข้าเฝ้าฝากตัวกับพระเจ้าจุลนี  อนุเกวัฏทูลเท็จว่าตนเป็นอำมาตย์ของราชสำนัก แต่ถูกมโหสถแย่งตำแหน่งไป แล้วยัดข้อหากบฏให้ จึงถูกถอดยศ เมื่อชีวิตไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงอยากจะเข้าข้างฝ่ายอุตรปัญจาลนคร จะช่วยให้ยึดเมืองได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
          พระเจ้าจุลนีเชื่อคำกราบทูลของเขาโดยง่าย จึงแต่ตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพ  อนุเกวัฏเรียกประชุมทัพแล้วพูดปลุกกำลังใจให้ทุกคนพร้อมใจกันบุกมิถิลานคร จนทหารเชื่อฟังพร้อมทำตาม เขาสั่งทหารลุยลงไปในคูใหญ่น้ำลึก แต่พอทหารลงไปก็ถูกจระเข้กัด ถูกทหารของมโหสถที่อยู่บนหอรบกระหน่ำยิงธนูลงมาจนทหารกองหน้าบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก กองหลังเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าบุกไป พากันถอยหลัง ถูกอนุเกวัฏทูลพระเจ้าจุลนีว่าทหารพวกนี้คิดกบฏ ไม่กล้าต่อสู้เพื่อพระองค์ จากนั้นอนุเกวัฏก็พิสูจน์ให้พระราชาดูว่าทหารทุกคนรับสินบนจากมโหสถกันทั้งนั้น แม้พระราชาเองพระองค์กับเกวัฏฏ์ปุโรหิตก็เช่นกัน ดูได้จากผ้าที่เขานุ่งทุกตัวจะมีชื่อมโหสถปักติดอยู่ เมื่อพระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรดูก็เป็นจริงตามนั้น เพราะมโหสถได้ปักชื่อไว้และอธิษฐานให้ชื่อปรากฏ เมื่อถึงเวลาต้องการ
          พระเจ้าจุลนีทรงตกพระทัย ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อขอคำแนะนำจากอนุเกวัฏ อนุเกวัฏก็แนะนำให้หลบหนีในคืนนี้จะปลอดภัยกว่า พอตกกลางคืน พระเจ้าจุลนีก็ขึ้นม้าควบหนีไป  อนุเกวัฏควบม้าตามหลังไป โดยเว้นระยะห่างไว้ แต่สักครู่หนึ่งก็ย้อนกลับมา ร้องตะโกนว่า “เจ้าจุลนีหนีไปแล้ว”
          คนของมโหสถที่จัดให้อยู่เป็นช่วงๆ ก็ร้องบอกต่อๆ กันไป ฝ่าย ๑๐๑ พระราชา เกวัฏฏ์ปุโรหิตและเหล่าทหาร เมื่อรู้ว่าพระราชาหนีไปแล้วก็แยกย้ายกันหนีไปไม่เป็นกระบวน ทิ้งทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ทรัพย์สินเหล่านั้น มโหสถให้จัดสรรปันส่วนดังนี้
          ๑. ของที่บรรดาพระราชาทั้งหลายทิ้งไว้ นำไปถวายพระเจ้าวิเทหราช
          ๒. ของที่เกวัฏฏ์ปุโรหิตทิ้งไว้ ตกเป็นของมโหสถ
          ๓. ของที่บรรดาทหารทิ้งไว้ ให้แบ่งให้แก่ทหารทั้งหลาย
          สำหรับนายอนุเกวัฏนั้น มโหสถได้จัดรางวัลอย่างดีมีค่ามากและปริมาณมากมอบให้แก่เขา จนเขาเป็นคนรวยภายในพริบตา จำเดิมแต่นั้นมา กรุงมิถิลานครก็อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมั่งมีเงินทอง มีแก้วแหวนเพชรนิลจินดา ของทรงค่ามากมาย
          ข้างฝ่ายพระเจ้าจุลนีและเกวัฏฏ์ปุโรหิตช้ำใจมากที่สุด ทำให้พ่ายแพ้อย่างน่าอับอายขายหน้า โดยเฉพาะเกวัฏฏ์พอมองเห็นแผลบนใบหน้าในกระจกแล้วให้แค้นใจยิ่งนัก จึงทูลแผนการหลอกล่อว่าจะยกพระธิดาปัญจาลจัณฑีให้พระเจ้าวิเทหราช พอทั้งสองเข้ามาก็จะจับฆ่าเสีย จากนั้นก็เริ่มแผนการทันที ให้นักประพันธ์แต่งเพลงสรรเสริญความงามของพระราชธิดา แล้วส่งนักร้องไปร้องในเมืองมิถิลา เป็นที่ฮือฮากันมากในหมู่ชาวบ้าน ใครๆ ก็อยากชมพระสิริโฉมของพระธิดาว่าจะงดงามเพียงไหน พระเจ้าวิเทหราชได้ฟังเพลงแล้วก็ถึงกับอยากได้พระธิดาขึ้นมาทันทียิ่งได้ฟังเนื้อเพลงบางตอนที่บอกว่า ทางพระเจ้าจุลนีจะยกพระธิดาให้พระเจ้าวิเทหราชด้วยแล้ว ก็กระตุ้นให้พระเจ้าวิเทหราชทรงอยากได้ยิ่งขึ้น แล้วทางฝ่ายพระเจ้าจุลนีก็แต่งตั้งเกวัฏฏ์ปุโรหิตเป็นทูตเชิญพระราชสาส์น มีความ พระเจ้าจุลนีมีพระราชประสงค์จะพระราชทานพระธิดาแต่พระเจ้าวิเทหราชผู้ยิ่งใหญ่
          ฝ่ายสอดแนมของมโหสถไปสืบข่าวทางนครอุตรปัญจาล ได้ความว่าทางนั้นปรึกษากันสองต่อสองบนปราสาท ควรใช้นกแก้วไปสอบสวนความจริงเอาจากนกสาลิกาที่อยู่บนห้องพระบรรทม ต่อมามโหสถสั่งนกไปสืบข่าวก็ได้ความจริงจากนกสาลิกาในห้องบรรทมของพระเจ้าจุลนีว่า ที่พระเจ้าจุลนีจะพระราชทานพระธิดาให้นั้น ที่แท้ก็เป็นอุบายหมายจะฆ่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถ ทราบความจริงดังนั้นแล้ว มโหสถก็มีคำสั่งให้จัดนครให้สวยงาม โดยประดับประดาถนนหนทางจากประตูพระนครจนถึงพระราชวัง
          เมื่อเกวัฏฏ์มาถึงเห็นถนนหนทางได้รับการประดับประดา ก็คิดว่าเขาทำไว้ต้อนรับตน จึงรู้สึกเป็นเกียรติ ครั้นทูลถวายพระราชสาส์นแล้วก็ทูลให้พระเจ้าวิเทหราชทรงโสมนัสยิ่งขึ้น
          พระเจ้าวิเทหราชดีพระทัยที่จะได้ขัตติยนารีมาเป็นพระชายา จึงรับสั่งให้เกวัฏฏ์ไปปรึกษากับมโหสถ มโหสถรู้ล่วงหน้าว่าเกวัฏฏ์จะต้องมาหา ทำอุบายไม่ออกมาพบไม่ให้การต้อนรับ แล้วก็ถูกคนของมโหสถแกล้งออกมาชกต่อยจึงรีบเผ่นออกมาเข้าไปทูลพฤติกรรมของมโหสถให้ทรงทราบและทูลให้เลิกนับถือมโหสถ พระเจ้าวิเทหราชพระราชทานรางวัลแก่เขา แล้วให้ไปพักในที่อีกแห่งหนึ่ง
          อาจารย์ทั้ง ๔ ได้พากันเข้าเฝ้า เมื่อพระราชาตรัสปรึกษาเรื่องที่ทางพระเจ้าจุลนีจะพระราชทานพระธิดาว่าเห็นเป็นอย่างไร ก็ทูลตรงกันว่าสมควรจะเสด็จไป ต่อมามโหสถมาเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลเป็นตรงกันข้าม พระราชาทรงพระพิโรธถึงกับตรัสให้ไสคอมโหสถออกไป
          มโหสถส่งนกแก้วไปสืบข่าวจากนกสาลิกาที่เลี้ยงอยู่บนห้องพระบรรทมของพระเจ้าจุลนี ได้ความว่าที่พระเจ้าจุลนีจะพระราชทานพระธิดาให้นั้นเป็นเรื่องลับ-ลวง-พราง ไม่ใช่เรื่องจริง หากแต่มีพระประสงค์จะฆ่าพระเจ้าวิเทหราชกับมโหสถให้ตาย แต่ด้วยหวังจะตอบแทนคุณพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงชุบเลี้ยง  ตนจะต้องล่วงหน้าไปเมืองอุตรปัญจาลก่อนเพื่อจัดเตรียมพิธีต่างๆ ตกแต่งพระนคร สร้างที่ประทับชั่วคราวสำหรับพระเจ้าวิเทหราช แล้วยังต้องขุดอุโมงค์ใหญ่ไว้เพื่อกาลข้างหน้าหากพระเจ้าจุลนีจะยกกองทัพไปล้อมพระนครมิถิลาอีก จัดให้ทหารนำพระธิดาจัณฑีมาอภิเษกกับพระเจ้าวิเทหราช เสร็จแล้วก็จะส่งกลับไปยังมิถิลานคร คิดดังนั้นแล้วก็กราบทูลให้ทรงทราบ แล้วทูลลาไปดำเนินงาน ซึ่งพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงอนุญาต และทรงดีพระทัยที่มโหสถคิดได้ดังนั้น
          มโหสถคัดเลือกคนที่เหมาะแก่งาน และไว้ใจได้ใช้เวลาดำเนินการ ๔ เดือนจึงเสร็จสิ้นทุกอย่าง แล้วทูลเชิญเสด็จำพระเจ้าวิเทหราชพร้อมขบวนเสด็จไปประทับยังที่ที่ประทับที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่
          พระเจ้าจุลนีส่งทูตไปทูลพระเจ้าวิเทหราชให้ทรงทราบว่าพระองค์จะส่งพระธิดามาอภิเษกสมรส แต่แท้ที่จริงพระองค์กลับส่งพระธิดา พระโอรสพระราชชนนี และพระมเหสีไปรวมอยู่ในตำหนักใหญ่ของพระองค์ ส่ง ๑๐๑ กษัตริย์ไปล้อมมิถิลานคร แล้วพระองค์ก็ทรงยกทัพหลวงไปสมทบ
          มโหสถรู้ว่าเหตุการณ์  จะต้องเป็นไปดังนั้นแน่ จึงจัดทหาร ๑๐๐ คน ที่มีฝีมือดีลงไปทางอุโมงค์ จับพระราชชนนี พระมเหสี พระโอรส และพระธิดาของพระเจ้าจุลนี มาคุมตัวไว้ที่ใกล้ประตูอุโมงค์ริมแม่น้ำ พอได้เวลาก็ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าวิเทหราชมาที่ริมประตูอุโมงค์
          พระเจ้าวิเทหราชเห็นพวกทหารมาล้อมรอบบริเวณอยู่ ก็ตกพระทัยว่าทหารจะมาล้อมจับพระองค์ไปฆ่า มโหสถแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วทูลว่าจะลองถาม ๔ อาจารย์ว่าจะมีทางออกอย่างไรหรือไม่ อาจารย์เสนอแนะนำให้ปิดพระราชนิเวศน์ที่สร้างใหม่ๆ นี้  จุดไฟเผาพระราชนิเวศน์ แล้วแจกมีดคนละเล่มให้ฟันแทงกันให้ตาย ดีกว่าที่จะถูกฝ่ายศัตรูจับไปฆ่า พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ก็เสียพระทัยคร่ำครวญว่า “คนหาแว่นไม้จากต้นงิ้วไม่ได้ฉันใด เราก็หาทางรอดตายจากคนโง่ไม่ได้ฉันนั้น เราคบกับพวกอาจารย์เสนกะเหมือนอยู่กับช้างดุร้ายในที่ไม่มีน้ำ จะต้องตายไปเปล่าๆ อย่างแน่นอน เราอุตส่าห์เลี้ยงนักปราชญ์ไว้ตั้ง ๕ คน แต่พึ่งไม่ได้สักคน
          มโหสถเห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงเข้าไปปลอบพระทัยแล้วนำเสด็จลงไปที่อุโมงค์ในส่วนที่เป็นโรงกลมใหญ่ จากนั้นก็จัดทหารพาพระองค์พร้อมด้วยพระมเหสี พระชนนี พระโอรส พระธิดาของพระเจ้าจุลนีไปอยู่ที่มิถิลานคร ส่วนตัวเองต้องไปประจำอยู่ที่พึ่งประทับที่สรรค์ใหม่

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 127.0.0.0 Chrome 127.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2567 15:03:34 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๑๒ มโหสถชาดก

          ภายในกองทัพของพระเจ้าจุลนีนั้น มีหน่วยแทรกซึมของมโหสถปะปนอยู่ด้วย ทหารหน่วยนี้จึงแกล้งทำเป็นบุกเข้าไปก่อน ฝ่ายมโหสถทำการอย่างใจเย็น อาบน้ำแต่งตัวสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับยศสวยงาม แล้วไปปรากฏตัวในค่ายพักของพระเจ้าจุลนี พระเจ้าจุลนีเห็นหน้ามโหสถแล้วก็ทรงพิโรธ อยากจะฆ่าเสียให้ตายคามือ แต่มโหสถทูลให้ทราบว่าแผนการร้ายของพระองค์กับเกวัฏฏ์ที่ปรึกษากันบนห้องบรรทมนั้น ข้าพระองค์รู้หมดแล้ว และตอนนี้ข้าพระองค์ได้ส่งพระเจ้าวิเทหราชไปประทับอยู่ในที่ประทับที่ปลอดภัยเรียบร้อย ถ้าพระองค์จะประหารพระเจ้าอยู่หัวของข้าพระองค์ ก็สายไปเสียแล้ว พระเจ้าจุลนีทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงสั่งทหารจับมโหสถไปฆ่าเสีย
          มโหสถทูลว่า “ช้าก่อน! อย่าร้อนพระทัยไป ถ้าพระองค์ทำอะไรข้าพระพุทธเจ้าแม้แต่นิดเดียว พระราชชนนี พระนางนันทาเทวี พระมเหสี พระโอรสและพระธิดา ก็คงจะไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน”
          “เจ้ามีปัญญาอะไรจะไปทำอันตรายพวกเขา” พระเจ้าจุลนีตรัสถาม
          “ข้าพระองค์จะมีปัญญาหรือไม่ ขอให้พระองค์ส่งคนไปดูเถิดว่า ตอนนี้พระบรมวงศานุวงศ์ ๕ พระองค์นั้นยังอยู่ที่เดิมหรือไม่” มโหสถทูลให้พิสูจน์
          พระเจ้าจุลนีมีรับสั่งให้ทหารไปตรวจสอบดู ปรากฏว่าเป็นจริงดังนี้ ทำให้ทรงพระพิโรธหนักขึ้นอีก เรียกว่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟราวกับอสรพิษถูกท่อนไม้ตีทีเดียว  มโหสถทูลให้ทรงเยือกเย็นลง และทูลว่า “ถ้าข้าพระองค์เข้าไปในมิถิลานครแล้ว ก็จะส่งพระราชชนนี พระมเหสี และพระโอรสคืนมา”
          ลำดับนั้น มโหสถได้ทูลเสด็จพระเจ้าจุลนีพร้อมขบวนเสด็จทอดพระเนตรอุโมงค์ที่ตนได้สั่งทหารขุดไว้ แล้วตนเองก็เดินตามไปข้างหลัง พอเดินถึงประตูอุโมงค์ริมน้ำ พระเจ้าจุลนีเสด็จออกทางประตูอุโมงค์ ไปประทับยืนอยู่ในที่โล่งแจ้ง  ทันใดนั้น มโหสถก็เหยียบสลักยนต์กลไกที่ทำให้แล่นถึงกัน ห้องน้อยใหญ่ในอุโมงค์ถูกปิด ไฟในอุโมงค์ดับมืดมิด บรรดาผู้ตามเสด็จต่างส่งเสียงร้องตกใจ จากนั้นมโหสถก็คว้าดาบที่หมกทรายไว้ข้างประตู ปราดเข้าไปจับพระเจ้าจุลนีที่พระหัตถ์ เงื้อดาบฟาดพระศอแล้วขู่ว่า “สมบัติทั้งปวงในชมพูทวีปนี้เป็นของใคร?”
          พระเจ้าจุลนีทูลว่า “เป็นของมโหสถแต่เพียงผู้เดียว อย่าทำอะไรข้าเลย ให้อภัยข้าเถิด ข้าจะยกทรัพย์สมบัติทั้งปวงในชมพูทวีปนี้แก่ท่าน” แล้วแสดงอาการสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวต่อความตายอย่างที่สุด
          มโหสถทูลว่า “สมบัติทั้งปวงในชมพูทวีปยังเป็นของพระองค์เหมือนเดิม ขอพระองค์โปรดอภัยแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
          พระเจ้าจุลนีทรงมองเห็นพลานุภาพในตัวมโหสถ ก็ทรงรู้สึกยำเกรง ไม่กล้าล่วงเกินอีก ทรงแสดงอาการเจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้น มโหสถลอบสังเกตดูท่าทีของพระเจ้าจุลนีแล้วก็รู้ว่าพระองค์ละพยศลงไปมาก จึงทูลว่า ที่ทำรุนแรงเช่นนี้มิได้คิดจะปลงพระชนม์ เพียงแต่อยากแสดงพลังแห่งปัญญาให้ปรากฏ แล้วถวายดาบแก่พระเจ้าจุลนี ทูลให้ทรงฆ่าได้เลยถ้าอยากจะฆ่า แต่ถ้าไม่มีพระประสงค์เช่นนั้นก็ทรงโปรดอภัยให้ด้วย
          พระเจ้าจุลนีเห็นน้ำใจของมโหสถแล้วก็ทรงเลื่อมใส และตรัสอภัยให้ จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็จับดาบสาบานว่าจะไม่ทำอันตรายกันอีก 
          พระเจ้าจุลนีตรัสถามว่า “ทำไมไม่อยากได้สมบัติ”  มโหสถทูลว่า “ปราชญ์ตำหนิผู้ที่คิดเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่น” ทั้งสองคุยกันไปมาจนรักใคร่เป็นมิตรกันมากขึ้น พระเจ้าจุลนีนึกขึ้นได้ว่ามีข้าราชบริพารและทหารติดอยู่ในอุโมงค์มืดหลายคน จึงขอร้องให้มโหสถรีบเปิดอุโมงค์เสีย  มโหสถรีบปฏิบัติตามนั้น พอแสงสว่างเจิดจ้าที่อุโมงค์ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างเป็นสุขของผู้ที่อยู่ภายในอุโมงค์ ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน  ขณะนั้นมโหสถได้ยืนอยู่กับพระเจ้าจุลนีที่โรงกลมกว้างใหญ่ในอุโมงค์ แล้วได้ทูลพระเจ้าจุลนีว่า เขาได้จัดพิธีอภิเษกสมรสพระเจ้าวิเทหราชกับพระราชธิดาที่โรงกลมนี้ พร้อมกับส่งเสด็จกลับมิถิลานครแล้ว พระเจ้าจุลนีตรัสว่าดีแล้ว เราขอบใจมาก
          กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มีพระประสงค์จะขอบใจมโหสถจึงตรัสว่า “พวกเรารอดชีวิตมาได้ เพราะท่านเปิดอุโมงค์ให้ หาไม่แล้วคงจะตายกันหมดแน่”
          มโหสถจึงทูลว่า ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่ข้าพระองค์ได้ช่วยเอาไว้ แม้ครั้งที่มีพิชัยบานเลี้ยงสุราอาหารฉลองชัย ข้าพระองค์ก็ได้ช่วยเอาไว้ เพราะในสุรานั้นมียาพิษที่พระเจ้าจุลนีและปุโรหิตเกวัฏฏ์ให้ใส่ลงไป  ข้าพระองค์จึงส่งคนไปทำลายเสีย บรรดากษัตริย์ได้ยินเช่นนั้นก็ชื่นชมมโหสถกันยกใหญ่ ที่มีน้ำใจแม้แต่ศัตรู แล้วมโหสถก็ทูลขอให้พระเจ้าจุลนีทรงขอโทษขออภัยบรรดากษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าจุลนีทรงปฏิบัติตามนั้นโดยมิได้อิดเอื้อน แล้วพระเจ้าจุลนีก็มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงขึ้นกันภายในอุโมงค์นั้นเป็นเวลา ๗ วัน พระเจ้าจุลนีทรงชักชวนมโหสถให้เข้ารับราชการด้วย แต่มโหสถปฏิเสธ เพราะเจ้านายยังมีชีวิตอยู่ กราบทูลว่า “ผู้ใดละทิ้งเจ้านายเพราะเหตุทรัพย์ ผู้นั้นเป็นที่น่าติทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายตนและคนอื่น ตราบใดที่พระเจ้าวิเทหะยังทรงดำรงฐานะ ตราบนั้นข้าพเจ้าจะอยู่ในแคว้นของผู้อื่นไม่ได้”
          พระเจ้าจุลนีขอให้มโหสถสัญญาว่า ถ้าพระเจ้าวิเทหราชเสด็จสวรรคตแล้วจะมารับราชการอยู่กับพระองค์ ซึ่งมโหสถก็ทูลรับตามนั้น
          เมื่อเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว มโหสถก็ทูลกลับมิถิลานคร ในการนี้พระเจ้าจุลนีได้พระราชทานของ คน สัตว์ แก่มโหสถอย่างมากมาย ดังนี้
          ๑. ทองคำ ๑,๐๐๐ ลิ่ม
          ๒. บ้านสวยในแคว้นกาสี ๘๐ หมู่บ้าน
          ๓. ทาสหญิง ๔๐๐ คน
          ๔. ภริยา ๑๐๐ คน
          พร้อมกับทาสชายหญิง วัว ควาย ช้าง ม้า รถ เครื่องประดับ เงินทอง ไปพระราชทานให้แก่พระธิดาด้วย เพื่อเป็นของขวัญในการอภิเษกสมรส
          กษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ ได้ประทานรางวัลต่างๆ แก่มโหสถมากมายเช่นกัน
ก่อนที่มโหสถจะออกเดินทาง พระเจ้าจุลนีได้ตรัสขอร้องให้มโหสถส่งเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์คืนสู่อุตรปัญจาลนครด้วย
          มโหสถออกเดินทางด้วยขบวนใหญ่ ผิดกับตอนมาเป็นอย่างมาก เมื่อขบวนของมโหสถไปถึง พระเจ้าวิเทหราชก็เข้าพระทัยว่าคงจะเป็นกองทัพของพระเจ้าจุลนียกมา แต่อาจารย์เสนกะดูว่าเป็นกองทัพมโหสถ เมื่อทรงเห็นว่าเป็นมโหสถจริงๆ ก็ทรงโสมนัสและทำการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จมีรับสั่งให้มีมหรสพให้ชาวพระนครสนุกสนานกันตลอด ๗ วัน
          ในวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานเลี้ยง งานมหรสพ มโหสถได้กราบทูลพระราชาเพื่อส่งเสด็จพระราชชนนี พระมเหสี และราชโอรสของพระเจ้าจุลนีเสด็จกลับอุตรปัญจลนคร พระเจ้าวิเทหราชทรงเห็นตามนั้น มีรับสั่งให้ดำเนินโดยด่วน ซึ่งมโหสถก็ทูลลาไปดำเนินการทันที ในการนี้  มโหสถได้มอบภริยา ๑๐๐ คน ทาสหญิง ๔๐๐ คน ที่พระเจ้าจุลนีพระราชทานให้มาถวายแก่พระนางนันทาเทวีมเหสีของพระเจ้าจุลนีคืนไปด้วย แม้แม่ทัพที่มาด้วยกับตน มโหสถก็ส่งกลับคืนพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์
          พระนางนันทาเทวีทรงร่ำลาสวมกอดกับพระธิดาด้วยความโศกาลัย เพราะไม่เคยอยู่แยกจากกันมาก่อน ทรงสัญญาว่าจะระลึกถึงกันตลอดไป
          เมื่อพระนางกลับอุตรปัญจาลนครถึงพระราชวัง พระเจ้าจุลนีก็ทรงถามถึงการเป็นอยู่การต้อนรับของฝ่ายมิถิลานครเป็นอย่างไร ก็ทูลตอบว่า “ที่นั่นเขาให้เกียรติหม่อมฉันอย่างกับเทวดา ให้หม่อมฉันอยู่ในฐานะเทียบเท่ากับมารดา ให้พระโอรสมีฐานะเป็นน้อง” พระเจ้าจุลนีทรงสดับเช่นนั้นก็พอพระทัย แล้วโปรดให้ส่งเครื่องบรรณาการไปอีกเป็นจำนวนมาก นับแต่นั้นมา กษัตริย์ทั้งสองฝ่ายก็รักใคร่ปรองดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ทรงสามัคคีสโมสร ประทับอยู่ด้วยความบันเทิงพระทัยตลอดกาลนาน
          พระเจ้าวิเทหราชทรงอยู่ร่วมกับพระนางปัญจาลจัณฑี เป็นเวลา ๒ ปี ก็มีพระราชโอรสด้วยกัน ๑ พระองค์ ทรงมีพระชนม์ยืนยาวมา เสวยสุขอยู่กับพระโอรสน้อยจนเมื่อพระโอรสน้อยมีพระชนม์ได้ ๑๐ พรรษา พระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จสวรรคต ราชสมบัติของมิถิลานครก็ตกเป็นของพระราชโอรส
          เมื่อการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร มโหสถก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ทำให้ระลึกคำปฏิญาณของตนที่มีต่อพระเจ้าจุลนี จึงกราบทูลลาพระราชาองค์ใหม่ไปรับราชการอยู่กับพระเจ้าจุลนี
          พระราชามิถิลานครทรงดำริ “เราคงห้ามท่านไม่สำเร็จ เพราะท่านถือมั่น”
          เมื่อมโหสถได้ปฏิญญาไว้กับพระเจ้าตาของเรา เราคงห้ามไม่ได้ เพราะมโหสถเคารพสัจจะยิ่งกว่าชีวิต จึงตรัสว่า “เราตามใจท่านทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อท่านไปอยู่โน่นแล้ว ให้กลับมาหาเราบ้าง”
          ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว มโหสถก็ถวายบังคมลา ส่งข่าวกราบทูลให้พระเจ้าจุลนีทรงทราบ ตระเตรียมข้าวของและผู้คน พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง ไม่ช้าก็ถึงอุตรปัญจาลนคร
          พระเจ้าจุลนีทรงดีพระทัยที่มโหสถทำตามสัญญา ทรงให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ทรงแสดงความนับถือบูชามโหสถและนางอมราเทวีอย่างเต็มที่ มโหสถรับราชการอยู่กับพระเจ้าจุลนีในตำแหน่งปุโรหิตและเสนาบดี คอยให้คำแนะนำปรึกษา คำตักเตือน คำสั่งสอนแก่พระราชา ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชนตลอดมา
          อยู่มาวันหนึ่ง พระนางนันทาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าจุลนี ทรงรู้สึกโกรธแค้นมโหสถขึ้นมาที่ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเมื่อคราวก่อน จึงมีรับสั่งให้พวกผู้หญิงที่สนิทสนมคอยจับผิด แล้วนำไปฟ้องพระราชาให้ลงโทษ
          ในวังนั้นได้มีปริพาชิกานักบวชหญิงนอกศาสนาพุทธคนหนึ่งชื่อว่าเภรี มาฉันอาหารในพระราชวังเป็นประจำ นางเป็นหญิงเฉลียวฉลาด เมื่อได้ทราบข่าวว่ามโหสถปราชญ์แห่งมิถิลานครมารับราชการอยู่ในราชสำนักนี้ ก็อยากจะรู้จัก อยากพูดคุยด้วย
          วันหนึ่งทั้งสองมาเจอกันที่หน้าพระลานหลวงแล้วได้ใช้ภาษาใบ้สนทนากัน พวกผู้หญิงที่คอยจับผิดจึงทูลพระราชาว่ามโหสถเป็นกบฏ พระเจ้าจุลนีทรงฟังดังนั้นก็เกิดความสงสัย จึงถามบุคคลทั้งสอง ปริพาชิกาเภรีทูลว่าตนแบมือให้มโหสถดูเพื่อจะไต่ถามว่า ท่านมาอยู่กับพระเจ้าจุลนี ได้รับการอุปถัมภ์บำรุงดีหรือไม่ได้อะไรเลย มโหสถทูลว่า ตนทำมือเพื่อตอบว่า พระเจ้าจุลนีพระราชทานเฉพาะสิ่งที่เคยพระราชทานไว้แล้ว ปริพาชิกาเภรีทูลว่าที่ตนเอามือคลำหัว เพื่อถามมโหสถว่าทำไมจึงไม่บวชอย่างอาตมา มโหสถทูลว่าที่ตนเอามือลูบท้อง ก็เพื่อตอบปริพาชิกาเภรีว่า ที่ยังไม่ได้บวช เพราะยังเลี้ยงดูลูกเมีย พระจุลนีฟังแล้วก็คลายสงสัย แล้วทรงแต่งตั้งมโหสถไว้ในตำแหน่งเสนาบดีผู้ใหญ่
          เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มโหสถชักไม่แน่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าจุลนีเสียแล้ว เพื่อจะทดลองน้ำใจเจ้านาย มโหสถจึงขอร้องให้ปริพาชิกาเภรีมาช่วยเหลือ
          ปริพาชิกาเภรีฉันอาหารเช้าในวังเสร็จแล้ว ก็ทูลถามพระราชาว่า “ถ้าพระราชชนนี (แม่) พระราชินี (พระมเหสี=เมีย) ติกขนมนตรี ธนุเสกขะ เกวัฏกพราหมณ์ มโหสถ และพระองค์ทั้ง ๘ คนนี้ ลงเรือสำเภาลำเดียวกัน แล้วนางผีเสื้อสมุทรแหวกน้ำขึ้นมาขอคนกิน พระองค์จะเรียงลำดับให้กินอย่างไร?”
          พระเจ้าจุลนีตอบว่า “เราจะให้กินพระมารดา (พระราชชนนี) ก่อน เพราะพระองค์ชอบทำให้เราอับอายด้วยการชอบแต่งตัวเป็นสาวน้อย ทำกิริยาอย่างเด็กๆ ไม่สมกับทึ่เป็นมารดากษัตริย์ ต่อมาจะให้กินเมีย (พระราชินี) เพราะชอบเล่นหัวบ่าวไพร่ ทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระราชินี  ติกขนมมนตรี  ถือตัวว่าเป็นน้องชายของเรา และคอยหาโอกาสฆ่าเราเสมอ  ธนุเสกขะ ถือตัวว่าเป็นเพี่อนกับเรา จึงไม่รู้จักมารยาท แม้เวลาที่เราอยู่กับมเหสีก็ยังบังอาจเข้ามาได้  เกวัฏกพราหมณ์ เวลากราบทูลก็มองเนตรตลอดไม่รู้จักยำเกรงเสียบ้าง ไม่มีแววแห่งความจงรักภักดีเลย คนเหล่านี้มีคุณความดีน้อยกว่ามโหสถมาก  จึงสมควรตายแทนมโหสถ  ส่วนมโหสถไม่ควรตาย เพราะมีคุณความดีที่ไม่มีใครเทียมได้ เราจะไม่ส่งมโหสถให้ผีเสื้อสมุทรกินเป็นอันขาด”
          พระเจ้าจุลนีรับสั่งเทิดทูนเกียรติคุณของมโหสถให้ปรากฏ ดุจดังชี้ให้เห็นดวงจันทร์ที่เจิดจ้า ปริพาชิกาเภรีนำพระราชดำรัสของพระเจ้าจุลนีไปแจ้งให้มโหสถทราบ มโหสถทราบแล้วก็หมดความแคลงใจ
          ปริพาชิกาเภรีคิดเห็นว่า พระราชดำรัสของพระราชายังไม่เพียงพอสำหรับการประกาศคุณของมโหสถ คุณของมโหสถนั้นยิ่งใหญ่นัก เราจะประกาศคุณของมโหสถให้แพร่หลายต่อไปในหมู่ประชาชนทั้งสิ้น จะทำให้เหมือนกับราดน้ำมันลงเหนือท้องน้ำ คิดดังนั้นแล้ว ประกาศให้ชาวเมืองมาประชุมกันที่พระลานหลวง เชิญเสด็จพระราชาประทับสั่งในท่ามกลางที่ประชุม แล้วทูลถามปัญหาเดิมที่ว่า ถ้าบุคคล ๘ คน ลงเรือสำเภาไปมหาสมุทร แล้วผีเสื้อน้ำแหวกน้ำขึ้นมาขอคนในเรือกันทีละคน แล้วพระองค์จะให้กินเป็นลำดับอย่างไร ซึ่งพระเจ้าจุลนีก็ตรัสตอบมาเหมือนเดิม สุดท้ายก็ตรัสว่าจะไม่ยอมส่งมโหสถให้ผีเสื้อกินเป็นอันขาด เพราะเป็นคนดีมีคุณธรรมที่สุด
          ครั้งพระราชาตรัสดังนั้นแล้ว ปริพาชิกาเภรีกล่าวในท่ามกลางที่ประชุมนั้นว่า “ชาวนครปัญจาละทั้งหลาย ท่านจงสดับพระราชดำรัสของท้าวจุลนีนี้ พระองค์ทรงทะนุถนอมท่านบัณฑิต ทรงบริจาคพระชนม์ชีวิตยากที่ใครจะบริจาคได้ แต่กษัตริย์ปัญจาละไม่ทรงเห็นแก่ชีวิตคนทั้งหกเลย คือ พระมารดา พระมเหสี พระภาดา พระสหาย พราหมณ์ปุโรหิต หรือแม้พระองค์เอง ปัญญาอันละเอียดที่คิดดีมีประโยชน์มากอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในภพปัจจุบัน และเพื่อความสุขในภพหน้า มโหสถเป็นยอดมหาบัณฑิต เพราะมีความคิดมีปัญญาล้ำเลิศประเสริฐอย่างนี้
          มโหสถอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างมีความสุขกับนางอมราเทวี พร้อมด้วยข้าทาสบริวาร โดยมีบ้านส่วย ๘๐ ตำบล ที่จะอำนวยประโยชน์สุขไปจนตลอดชีวิตทีเดียว
          มโหสถทำสงคราม ไม่มีเสียเลือดเนื้อ เพราะใช้ปัญญาอย่างสร้างสรรค์ และรู้จักสร้างปัญญา
   

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คิดทำการให้สำเร็จต้องเผด็จด้วยปัญญา”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ตํ พลานํ พลํ เสฏฺฐํ   อคฺคํ ปญฺญาพลํ วรํ
ปญฺญาพเลนุปตฺถทฺโธ  อตฺถํ วินฺทติ ปณฺฑิโต

อันพลังปัญญานั้น
จัดว่าประเสริญเยี่ยมยอดกว่าพลังทั้งหลาย
บัณฑิตมีพลังปัญญาสนับสนุน จึงจะประสบผลสำเร็จ (๒๗/๓๐๐๓)

ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดยธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.842 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 20 มิถุนายน 2568 12:41:58