[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 กรกฎาคม 2568 04:18:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - ระยะทาง งบประมาณ การรอคอย: เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ของคนพิการศรีสะเก  (อ่าน 191 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สุขใจ ข่าวสด
I'm Robot
สุขใจ บอทนักข่าว
นักโพสท์ระดับ 15
****

คะแนนความดี: +101/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Italy Italy

กระทู้: มากเกินบรรยาย


บอท @ สุขใจ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 31 สิงหาคม 2567 22:46:12 »

ระยะทาง งบประมาณ การรอคอย: เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ของคนพิการศรีสะเกษ
 


<span>ระยะทาง งบประมาณ การรอคอย: เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ของคนพิการศรีสะเกษ</span>
<span><span>user8</span></span>
<span><time datetime="2024-08-28T17:17:10+07:00" title="Wednesday, August 28, 2024 - 17:17">Wed, 2024-08-28 - 17:17</time>
</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>อรรถพล ศรีชิษณุวรานนท์ รายงาน
คชรักษ์ แก้วสุราช ถ่ายภาพ</p></div>
     
            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><div class="summary-box"><ul><li>ที่ศรีสะเกษ การเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ พื้นที่จังหวัดชายแดนที่ห่างไกลทำให้คนพิการ 63,973 คนในจังหวัดนี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการที่จำเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีของผู้พิการที่ต้องใช้รถเข็นและขาเทียม ซึ่งชี้ว่าความลำบากในการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการเป็นปัญหาที่เร่งด่วน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างรุนแรง ซ้ำร้ายการเดินทางไกลเพื่อติดต่อศูนย์บริการกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการ ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง</li><li>ทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายกับการออกแบบนโยบายและการจัดการทรัพยากรเพื่อสนับสนุนคนพิการในพื้นที่ห่างไกล โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างการกระจายศูนย์ซ่อมและบริการเครื่องช่วยความพิการในชุมชน การสนับสนุนค่าเดินทางจากภูมิลำเนาเข้ามาติดต่อศูนย์บริการ การให้คนพิการเลือกเครื่องช่วยความพิการที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์จะทำให้คนพิการสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นและเป็นอิสระได้มากขึ้น #ท้องถิ่นสร้างสื่อสอบ</li></ul></div><p>หากกล่าวถึงดินแดนที่มีภูมิประเทศเป็นที่สูงแล้วลาดลงต่ำ อีกทั้งความหลากหลายทางภาษา อาทิ ภาษาลาว ภาษากูย ภาษาเยอ และภาษาเขมรถิ่นไทย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมรดกทางวัฒนธรรม ที่มีขนาดพื้นที่รวม 8,840 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 1.45 ล้านคน แบ่งเป็น 22 อำเภอ ซึ่งที่กล่าวมานี้คือจังหวัดศรีสะเกษในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย</p><p>ด้วยความหลากหลายและความกว้างใหญ่ของพื้นที่ อีกทั้งจำนวนประชากรราวล้านกว่าคน ด้วยความสงสัย ถ้าว่าด้วยเรื่องของคนพิการกับการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ คนพิการในพื้นที่นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากน้อยเพียงไร รวมถึงความเหมาะสมตรงตามความต้องการของคนพิการหรือไม่ และคุณภาพชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งในความหลากหลายไม่ว่าในมิติใด คนพิการต้องถูกกล่าวถึงเพราะเขาเหล่านั้นคือประชากรอีกกลุ่มของประเทศนี้ที่ไม่ควรหลงลืม</p><p>เมื่อดูสถิติรวมทุกประเภทความพิการที่จดทะเบียนคนพิการแล้วมีจำนวนรวมในพื้นที่มีถึง 63,973 คน แบ่งเป็น ชาย 32,315 หญิง 31,658 คน และจำนวนประเภทความพิการที่มีมากสุด เป็นความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายรวม 35,175 คน แยกเป็นชาย 16,614 คน หญิง 18,561 คน อ้างอิงตามสถิติข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤจิกายน 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 (ที่มา: กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) เห็นได้ว่าความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายมีจำนวนมากกว่าครึ่งของความพิการทุกประเภทที่อาจจะมีความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์</p><p>เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการนั้นอาจจะเป็นมากกว่าเครื่องช่วยหรืออุปกรณ์ แต่เปรียบเสมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่มาทดแทนอำนวยความสะดวกและช่วยลดข้อจำกัดจากความพิการ ให้สามารถใช้ศักยภาพของตนเองในการดำรงชีวิตลดการเป็นภาระการพึ่งพิงคนอื่นๆ ให้ลดน้อยลง</p><div class="note-box"><h3>เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ คืออะไร?</h3><p>เครื่องช่วยความพิการ หมายถึงอุปกรณ์ภายนอกร่างกายที่ออกแบบสำหรับช่วยเหลือคนพิการในการดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างปกติหรือใกล้เคียงปกติตามศักยภาพ เช่น รถเข็นวีลแชร์ ไม้เท้า Walker เป็นต้น</p><p>กายอุปกรณ์ หมายถึงแขนขาเทียมที่ใช้ในความพิการแขนขาขาด ซึ่งมีชื่อเต็มคือกายอุปกรณ์เทียมและกายอุปกรณ์เสริม เช่น แขนขาเทียม เป็นต้น</p></div><h2>Day 1 จากกรุงเทพสู่ศรีสะเกษ</h2><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942408418_4eece7b5bf_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ชานชาลาสถานีรถไฟศรีสะเกษ</p><p class="text-align-center picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942493159_c5567e776a_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy">
ย่านร้านค้าหน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ</p><p>เราเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพผ่านถนนหมายเลข 24 มุ่งสู่ตัวเมืองศรีสะเกษ ร่วมเจ็ดชั่วโมงสี่สิบเจ็ดนาที ระยะทางรวม 565 กิโลเมตร ซึ่งดูเป็นการเดินทางที่ใช้เวลานานพอสมควร แต่นั่นเป็นหมุดหมายแรกของการเดินทางไปในครั้งนี้ เพื่อมาพบกับคนพิการหญิงสองคนแรกที่เดินทางมาจาก อ.เบญจลักษ์ เรานัดพบกันในตัวเมืองศรีสะเกษ หากจะกล่าวถึงการเข้าถึงสิทธิ์เครื่องช่วยความพิการ เช่น รถวีลแชร์ ที่นอนลมและเบาะลมกันแผลกดทับ ว่าเธอทั้งสองต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ถึงได้รับตามสิทธิ์ที่ควรได้ นั้นยาวนานเพียงใด และสิ่งที่ได้รับมีความเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งคุณภาพชีวิตนั้นเป็นอย่างไรหากมีเครื่องช่วยความพิการที่เหมาะสม และมีความต้องการอย่างไรในการสนับสนุนให้ชีวิตมีอุปสรรคน้อยลง</p><h2>เครื่องช่วยความพิการ
รถเข็นคันแรกกว่าจะเข้าถึงได้
และหลายคนอาจไม่ได้ใช้เพราะไม่เหมาะสม</h2><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53941256087_df040f476f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สมัย สวัสดีพ่อ</p><p>สมัย สวัสดีพ่อ ปัจจุบันอายุ 48 ปี ความพิการของเธอเริ่มเมื่อตอนอายุหนึ่งขวบ จากโรคโปลีโอทำให้ร่างกายช่วงใต้เอวลงไปลีบเล็ก จนไม่สามารถเดินเองได้ นับแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 20 ปี เธอยังไม่เคยได้รับรถเข็น (wheelchair) จากที่ไหนสักคันเลย การใช้ชีวิตในช่วงนั้นต้องคลานจนเข่าด้าน แต่เธอสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำอาหารและงานบ้านได้ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก&nbsp;</p><p>เธอเล่าให้ฟังว่าได้รับรถเข็นคันแรกเมื่อมีอายุ 21 ปีและมีครอบครัวแล้วโดยทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้ทำเรื่องส่งขอไปทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ส่วนจังหวัด (พมจ.) แต่กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลานานประมาณสองสามเดือน แต่เมื่อได้รับมาก็ไม่ได้ใช้เพราะคุณภาพไม่เหมาะสมกับตัวใช้ได้ไม่สะดวก มีน้ำหนักมาก คันใหญ่ ไม่สามารถเข็นเองได้ นั่งแล้วไม่มั่นใจ “คันนั้นที่ได้มาเข็นยากเป็นรถเข็นแบบของโรงพยาบาลที่เขาเข็นผู้ป่วย หนักเข็นเองไม่ได้นอกจากมีคนมาช่วย ไม่ค่อยสะดวกก็กลับมาคลานเหมือนเดิม เวลาใช้ก็ตอนที่มีธุระในเมืองถึงได้ใช้ต้องมีคนไปด้วยช่วยเข็น” สมัย กล่าว</p><p>ปัจจุบันนี้สำหรับ สมัย เป็นประธานชมรมการดำรงชีวิตอิสระคนพิการอำเภอเบญจลักษณ์ เวลาออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเธอนั่งรถที่ได้รับบริจาคมาจากประเทศญี่ปุ่น ที่บริจาคผ่านทางชมรมคนพิการเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เธอสามารถมีชีวิตอิสระได้มากขึ้นสะดวกขึ้น เวลาไปไหนก็ไม่ต้องพึ่งพิงใครเข็นเองได้เพราะน้ำหนักเบา &nbsp;การได้นั่งบนรถคันนี้ทำให้มั่นใจเวลาที่ต้องออกจากบ้าน ซึ่งนี่เป็นอีกภาพสะท้อนหากมีรถเข็นที่เหมาะสมกับสภาพความพิการ คุณภาพชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงไม่จมอยู่กลับที่เหมือนอดีตที่ผ่านมา&nbsp;</p><p>อย่างไรก็ตามรถเข็นคันนี้ก็มีปัญหาซ่อมบ่อย โดยเฉพาะในส่วนของยางในล้อเข็นด้านหลังและลูกปืนล้อ การซ่อมแซมหากเล็กน้อยที่บ้านยังพอช่วยแก้ไขให้ได้ ถ้าหากชำรุดเสียหายมากต้องเดินทางไปซ่อมในตัวอำเภอที่ห่างออกไปกว่า 20 กิโลเมตรหรืออาจต้องไปเมืองศรีสะเกษที่อยู่ห่างจากบ้านถึง 120 กิโลเมตร ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาก ศูนย์ซ่อมรถเข็นพอมีในศรีสะเกษแต่การเดินทางลำบาก การที่ขนไปซ่อมไม่ได้ง่าย บางทียกไปแล้วไม่มีอะไหล่เสียเที่ยวเปล่า หรือบางทีต้องสั่งอะไหล่จากออนไลน์มา แล้วค่อยเอาไปซ่อมให้เขาเปลี่ยนอะไหล่ให้ ถึงตอนนั้นก็ไม่ได้นั่งรถต้องรอจนซ่อมเสร็จ</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942157026_943248ca62_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">รถเข็นของสมัย สวัสดีพ่อ</p><p>ปัจจุบัน สมัย มีรถเข็นไว้ใช้งานสองคัน เธอยังไม่เคยไปขอรับใหม่ เนื่องจากข้อมูลที่เธอรับรู้รถเข็นตามสิทธิในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อคนพิการในจังหวัดจึงต้องการให้คนที่ไม่เคยรับสิทธิ์ได้เข้าถึงก่อน “เคยคิดอยู่จะไปขอเบิกใหม่ตามสิทธิคนพิการ แต่ยังไม่เคยไปขอใช้สิทธิตรงนั้นเลย ของเรายังพอใช้ได้อยู่เลยอยากแบ่งให้คนอื่นๆ เบิกไปใช้ก่อน” สมัย กล่าวและว่า เธอจะช่วยให้ข้อมูลคนอื่นๆ ว่าสามารถไปเบิกได้ที่ไหน แล้วต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง อีกทั้งคอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกของเพื่อนคนพิการด้วยกันเพื่อช่วยลดขั้นตอนลดเวลา</p><h2>ที่นอนลมและเบาะลมกันแผลกดทับใบแรกได้มาตอนไหน&nbsp;</h2><p>สำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวนอกเหนือจากรถเข็นดีๆ ที่น้ำหนักเบา ที่นอนลมและเบาะลมสำหรับกันแผลกดทับเวลานอนและเวลานั่งรถเข็น นับได้ว่าเป็นสิ่งของอีกชิ้นที่มีผลต่อคุณชีวิตคนพิการต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยของสองชิ้นนี้หากต้องซื้อเองราคาค่อนข้างสูง สำหรับคนพิการและครอบครัวที่มีรายได้ไม่เพียงพอคงไม่สามารถเข้าถึงได้ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตอย่างแน่นอน อย่างกรณีของ</p><p>ณัฐนรี พงษ์บรรเทา เธอเป็นสมาชิกชมรมคนพิการหนองงูเหลือม อยู่ที่ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษณ์ ได้รับความพิการเนื่องจากถูกยิงกระดูกตัดไขสันหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 ทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่ใต้หน้าอกลงมาไม่สามารถขยับและเดินไม่ได้ ปัจจุบันเธอมีแผลกดทับรอบที่สองที่ยังไม่หายและกำลังรักษาอยู่ โดยปัจจุบันเธออายุ 53 ปี ไม่มีอาชีพและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน เนื่องจากมีแผลกดทับทำให้ต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา ไม่มีที่นอนลมจึงต้องพลิกตัวและนอนคว่ำเพื่อลดการกดทับ การล้างแผลทำด้วยตัวเองและต้องซื้ออุปกรณ์เองทั้งหมด ไม่สามารถเบิกได้ แต่เธอยังช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น ย้ายตัวลงจากเตียง กวาดบ้าน ถูบ้าน และซักผ้าหากนั่งบนรถเข็น แต่ไม่สามารถนั่งได้ตลอดวันเพราะจะทำให้แผลแย่ลง เธอมีรายได้จากเบี้ยความพิการเดือนละ 800 บาท โดยมีพี่สาววัย 54 ปีคอยช่วยดูแล</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942493244_04e6047f6d_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ณัฐนรี พงษ์บรรเทา</p><p>ในปี พ.ศ. 2562 เธอเคยเป็นแผลกดทับเต็มก้น ต้องนอนโรงพยาบาลเบญจลักษ์นาน 3 เดือน และโรงพยาบาลศรีสะเกษอีก 1 เดือน ใช้เวลาหลายปีกว่าแผลจะหาย แต่ปัจจุบันแผลกดทับกลับมาอีกครั้ง โดยเธอยังคงนอนบนที่นอนธรรมดาเช่นเดิม เธอเล่าว่าที่นอนลมและเบาะลมมีผลต่อการป้องกันแผลกดทับ หากไม่มีเบาะลมนั่ง แผลจะเละ ตั้งแต่ถูกยิงและเดินไม่ได้ เบาะลมใบแรกเพิ่งได้รับในปีนี้ พ.ศ. 2567 ซึ่งได้มาจากชมรมคนพิการหนองงูเหลือมที่ช่วยขอให้จากโรงพยาบาลศรีสะเกษ หากต้องทำเรื่องเองคงไม่ได้เพราะค่าเดินทางสูงและต้องไปหลายรอบ</p><p>เธอมีรายได้เพียง 800 บาทต่อเดือนจากเบี้ยยังชีพผู้พิการ ซึ่งไม่พอจ่ายค่าเดินทาง โดยค่าเหมารถในอำเภอเบญจลักษ์ประมาณ 300 บาท หากไปโรงพยาบาลศรีสะเกษจะสูงถึง 1,000 บาท ทำให้เธอไม่สามารถเดินทางไปขอเบาะลมเองได้</p><p>ปัจจุบันที่นอนลมและเบาะลมยังไม่ถูกจัดเป็นเครื่องช่วยความพิการที่สามารถเบิกได้ แต่เธอเห็นว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันแผลกดทับ หากเกิดแผลกดทับแล้วจะทำให้การใช้ชีวิตยากขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดที่อาจถึงแก่ชีวิตได้</p><p>ในส่วนของรถเข็น เธอเล่าว่าตั้งแต่พิการได้รับรถเข็นคันแรกจากโรงพยาบาล ซึ่งใช้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน รวมถึงใช้สำหรับอาบน้ำ ทำให้รถเกิดสนิมและพังเร็ว เธอต้องเปลี่ยนรถเข็นทุกปี เนื่องจากไม่สามารถเบิกใหม่ได้หากไม่ครบ 5 ปี และการทำเรื่องเบิกใช้เวลานาน เธอจึงต้องซื้อรถเข็นเองหรือขอรับบริจาคจากผู้อื่น ซึ่งคุณภาพไม่คงทน</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942614245_b544290f95_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ณัฐนรี พงษ์บรรเทา</p><p>เธอหวังว่ารัฐบาลจะลดระยะเวลาการขอเบิกและปรับปรุงเงื่อนไขให้เหมาะสม เช่น เพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ และจัดตั้งศูนย์เบิกและซ่อมแซมเครื่องช่วยความพิการในชุมชน เพื่อช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนพิการที่มีรายได้น้อยและอยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้ดีขึ้น</p><h2>Day 2 จากตัวเมืองสู่อำเภอขุนหาญและอำเภอกันทรลักษ์</h2><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942408183_0a58f092e6_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942614070_65532bedf8_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ระหว่างทางในศรีสะเกษ</p><p>วันต่อมาเราเดินออกจากตัวเมืองศรีสะเกษผ่านถนนหมายเลข 2111 และถนนหมายเลข 221 ไปเพื่อไปพบคนพิการอีกสองคนที่ความพิการขาขาด ที่อยู่ในอำเภอขุนหาญและอำเภอกันทรลักษ์ โดยสองอำเภอนี้มีพื้นที่กับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา โดยที่แรกเราเดินทางไปอำเภอขุนหาญระยะทางจากตัวเมืองศรีสะเกษ 75 กิโลเมตร และออกจากอำเภอขุนหาญไปอำเภอกันทรลักษ์ ระยะทางอีก 42 กิโลเมตร&nbsp;</p><p>ในหลายจังหวัดอาจจะมีศูนย์บริการกายอุปกรณ์อย่างขาเทียม กระจายตัวครอบคุมถึงระดับอำเภอ แต่ในจังหวัดศรีสะเกษนั้นมีไม่ครอบคุมทุกอำเภอ อีกทั้งระยะทางถึงตัวจังหวัดก็ห่างไกลทำให้คนพิการในอำเภอที่อยู่ไกลจากตัวเมืองไม่ได้รับความสะดวกมากนัก หากแม้คนพิการบางรายมีรถส่วนตัว ค่าน้ำมันการเดินทางในปัจจุบันค่อนข้างสูง หรือการเช่าเหมารถก็แพงขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อครั้ง เมื่อขาชำรุดอาจจะไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ได้อย่างมีคุณภาพ อย่างกรณีของ สำรวย บุญลอด นั้นจึงกลายเป็นข้อจำกัด</p><h2>เข้าถึงกายอุปกรณ์(ขาเทียม)ได้ แต่สู้ค่าเดินทางไม่ไหว</h2><p>กรณีของสำรวย บุญลอด ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหนองบัวเลน ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ เธอเสียขาจากการเหยียบกับระเบิดในปี 2552 และได้รับขาเทียมครั้งแรกหลังจากรอประมาณ 3 เดือน ช่วงนั้นเธอต้องปรับตัวอย่างมากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันและเดินด้วยความลำบาก</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942493044_e829e384bc_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สำรวย บุญลอด</p><p>ปัจจุบันสำรวยใส่ขาเทียมมาแล้ว 15 ปี และเปลี่ยนขาเทียมมาแล้วประมาณ 7 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งต้องใช้เวลาสองเดือนในการปรับตัวและแก้ไขขาให้เข้ากับร่างกาย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศรีสะเกษสูงถึง 1,000 บาทต่อครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหน่วยบริการย่อยของมูลนิธิขาเทียมในอำเภอขุนหาญ ทำให้เธอสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ไปใช้บริการได้ง่ายขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง</p><p>สำรวยเล่าว่าปัญหาหลักที่ทำให้ต้องเปลี่ยนขาเทียมบ่อยคือ การเสื่อมสภาพของฝ่าเท้ายาง ซึ่งส่งผลต่อการเดินและความสมดุล โดยเธอใช้ขาเทียมในการทำงานหนักทั้งในไร่และเป็นผู้ช่วยคนพิการในชุมชน ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้นเมื่อขาเทียมมีรูปลักษณ์และสีสันที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เธอกล้าที่จะแต่งตัวและใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942157231_10b32d3974_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p>เธอยังหวังว่าการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับคนพิการในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p><h2>ศูนย์ซ่อมแซมกายอุปกรณ์เทียมในชุมชน ภาพฝันที่อยากเห็น</h2><p>ด้วยระยะทางที่ไกลจากตัวเมือง หนึ่งในความต้องการหลักของกลุ่มคนพิการขาขาดคือการมีศูนย์ซ่อมแซมกายอุปกรณ์เทียมที่กระจายอยู่ในชุมชน แม้จะดูเป็นภาพฝันที่ห่างไกล แต่สำหรับวิชัย โภคพันธุ์ มันเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นจริงๆ
วิชัย โภคพันธุ์ อายุ 67 ปี อาศัยอยู่ที่บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เขาเป็นอดีตทหารพรานรุ่นแรกและทหารผ่านศึก ความพิการเกิดจากการเหยียบกับระเบิดขณะทำไร่ปลูกมันใกล้ชายแดนในช่วงปี 2523 หลังจากปลดจากทหารแล้ว ปัจจุบันเขายังคงทำไร่ทำนา และมีอาชีพรับจ้างเป็นงานหลัก นอกจากนี้ยังเป็นนักกีฬายิงปืนคนพิการของจังหวัดและทำงานอาสาช่วยเหลือเพื่อนคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53941255647_ab1288a68f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">วิชัย โภคพันธุ์</p><p>วิชัยเคยเปลี่ยนขาเทียมมาแล้วถึง 10 ขา โดยขาเทียมของเขายังมีส่วนประกอบจากไม้ซึ่งทนทานต่อการใช้งานในไร่และนา อย่างไรก็ตาม เมื่อไม้เสื่อมสภาพและผุพัง การซ่อมหรือเปลี่ยนขาใหม่แต่ละครั้งในอดีตต้องเดินทางไกลถึง 130 กิโลเมตรเข้าสู่ตัวเมือง แม้ว่าปัจจุบันจะมีศูนย์ซ่อมในอำเภอกันทรลักษ์ ทำให้เข้าถึงการซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น แต่การเดินทางยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคนพิการในพื้นที่ห่างไกล</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942408163_c0c486be35_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">วิชัย โภคพันธุ์ และขาเทียมของเขา</p><p>วิชัยสะท้อนว่าหากมีศูนย์ซ่อมและเบิกอุปกรณ์กายเทียมกระจายอยู่ในชุมชน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะหลายครอบครัวไม่มีรายได้มากพอจะรับภาระค่าเดินทางได้ บางคนไม่มีแม้แต่มอเตอร์ไซค์หรือรถส่วนตัว เขาเสนอว่า “ถ้าไม่มีช่างที่ทำขาเทียมได้ แค่มีช่างที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่พื้นขา สายเข็มขัด หรือซ่อมแซมเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าที่จะต้องเดินทางไกล” ความต้องการนี้เป็นการแสดงถึงความหวังที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนพิการในพื้นที่ห่างไกลให้ดีขึ้น</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>เมื่อพิการ, ทำอย่างไรบ้านจึงจะน่าอยู่, 14 ธันวาคม 2566</li><li>ฝ่าระเบียบและปัญหาสารพันในการเข้าถึงสิทธิของคนพิการ (ตอนจบ), 18 ธันวาคม 2566</li><li>เคว้งคว้างอยู่กลางเมืองใหญ่ด้วยสถานะของ ‘คนไร้บ้าน’, 10 กุมภาพันธ์ 2567</li><li>ธรรมาภิบาล กระจายอำนาจ ความหวังของ “คนไร้ที่พึ่ง” (1) กลับไม่ได้เพราะไม่มีบ้านให้กลับ, 16 พฤษภาคม 2567</li><li>ธรรมาภิบาล กระจายอำนาจ ความหวังของ “คนไร้ที่พึ่ง” (2) ได้เวลาผ่าตัดความเหลื่อมล้ำ, 29 พฤษภาคม 2567</li></ul></div><p>&nbsp;</p><h2>สถานการณ์การเข้าถึงสิทธิ์ ผ่านมุมมององค์กรคนพิการในศรีสะเกษ</h2><p>ฤทธิชัย สดใส นายกสมาคมฟื้นฟูคนพิการ อำเภอกันทรลักษ์ ได้สะท้อนประสบการณ์จากการทำงานในพื้นที่ โดยหนึ่งในภารกิจหลักของสมาคมคือการให้ความสำคัญกับเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของพวกเขา หากคนพิการสามารถเลือกเครื่องช่วยได้เอง ก็จะลดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ส่งเสริมความมั่นใจ และช่วยลดการพึ่งพาครอบครัว ทำให้พวกเขามีชีวิตที่เป็นอิสระและมีศักดิ์ศรีมากขึ้น</p><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942157381_3d0e3017c8_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ฤทธิชัย สดใส</p><p>ทางสมาคมฯ ให้ข้อมูลและช่วยเหลือคนพิการให้เข้าถึงสิทธิเฉลี่ย 20-30 คนต่อปี โดยใช้ 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1. สนับสนุนให้ข้อมูลและคำแนะนำ หากคนพิการสามารถไปดำเนินการเองได้ 2. ประสานงานกับท้องถิ่นให้ช่วยส่งต่อและสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิ และ 3. หากช่องทางแรกและสองไม่สำเร็จ สมาคมฯ จะดำเนินการพาคนพิการไปเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่ทำให้คนพิการไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ คือระยะทางและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น จากอำเภอกันทรลักษ์ไปยังศรีสะเกษ มีระยะทางไปกลับ 130 กิโลเมตร ค่าน้ำมันอาจสูงถึง 800-1,000 บาท และหากเหมารถ ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึง 1,500-1,700 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่ากิน และยังไม่มีความแน่นอนว่าจะได้รับเครื่องช่วยกลับมาในวันนั้น ทำให้บางคนยอมที่จะไม่ไปหาหมอเพราะค่าใช้จ่ายสูงและความไม่แน่นอนนี้</p><p>ฤทธิชัยได้เสนอแนวทางการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เช่น ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) และโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ใกล้บ้านเป็นผู้รับผิดชอบการเบิกและซ่อมอุปกรณ์กายอุปกรณ์ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและความลำบากในการเดินทาง โดยเฉพาะการวัดขนาดรถเข็นหรือการประเมินสภาพคนพิการที่สามารถทำได้ในระดับท้องถิ่น จากนั้นจึงส่งเรื่องต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ</p><p>นอกจากนี้ เขายังย้ำว่าคนพิการควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกเครื่องช่วยความพิการหรือกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเอง เพราะการใช้งานของแต่ละคนแตกต่างกัน การให้พวกเขาเลือกเครื่องช่วยที่ตรงตามความต้องการจะช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ได้รับสิ่งที่รัฐจัดให้เพียงอย่างเดียว</p><h2>สถานการณ์การเข้าถึงสิทธิ ผ่านมุมมองสถาบันสิรินธร</h2><p class="text-align-center picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942614310_b6a0794eb9_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy">
แพทย์หญิง วิชนี ธงทอง&nbsp;</p><p>หากเราย้อนไปดูต้นทางของคนทำงานเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์หลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องคุยกับสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูซึ่งถือเป็นหน่วยงานหลักในประเทศในเรื่องของการแจกจ่าย เราคุยกับ พญ.วิชนี ธงทอง &nbsp;รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ถึงทิศทางการทำงานในภาพรวมของนโยบายเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการว่าในมุมของคนทำงานเห็นปัญหาเรื่องไหนและอยากผลักดันในเรื่องอะไร</p><p>หมอสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการที่มีความแตกต่างกัน กายอุปกรณ์หมายถึงขาแขนเทียมที่ใช้ในผู้ป่วยแขนขาขาดส่วนรถวีลแชร์ปิดเครื่องช่วยความพิการเป็นอุปกรณ์ภายนอกที่ออกแบบสำหรับช่วยเหลือคนพิการในชีวิตประจำวันให้ใกล้เคียงปกติตามศักยภาพ การนิยามจึงสำคัญสำหรับการอ้างอิงรายการ อุปกรณ์การฟื้นฟูทางการแพทย์ แต่อุปกรณ์บางอย่างก็ไม่ได้อยู่ในรายการจึงทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเบิกเช่นที่นอนเบาะลมที่ถูกจัดอยู่ในสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ใช่อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการในการดำรงชีวิตประจำวัน</p><p>“พอเป็นที่นอนลมก็จะถูกจัดเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก แต่พอดีว่ามันเพิ่มคุณภาพชีวิตดันไม่ใช่ &nbsp;เราก็ต้องไปโต้แย้ง เพราะมันไม่ใช่อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการในการดำรงชีวิตประจำวันเค้าก็มองว่าที่นอนลมมันถูกวางไว้มันไม่ได้ช่วยให้เขาลุกขึ้นมาออกไปใช้ชีวิตประจำวันแต่อย่างใดก็แล้วแต่หมวดนี้เราก็โต้แย้งว่ามันเป็นกลุ่มอื่นๆ พอมันมีคำจำกัดความแล้วมันต้องสัมพันธ์กับความพิการ” พญ.วิชนี กล่าว</p><p>เมื่อพูดถึงสถานการณ์ของกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการในประเทศไทยหมอสะท้อนว่า จากสถิติปี 2565 ความต้องการของคนพิการที่ต้องใช้การอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลืออยู่ที่ร้อยละ 16.6 คิดเป็น 205,000 คน จากตัวเลขคนพิการที่จดทะเบียนและแฝงทั้งหมด 4,000,000 กว่าคน ซึ่งพิจารณาจากจำนวนตัวเลขพบว่าจำนวนที่มีความต้องการมากที่สุดเป็นกลุ่มเครื่องช่วยฟังรองลงมาคือกลุ่มไม้เท้าขาเดียวแว่นตาและรถเข็นวีลแชร์ ซึ่งโดยภาพรวมจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่หากพิจารณาจากงบประมาณสถาบันสิรินธรใช้งบประมาณ 17 ล้านบาทต่อปี โดยมีที่มามาจากการตั้งเบิกกับสามกองทุน อันได้แก่ กองทุน สปสช. กรมบัญชีกลาง และประกันสังคม เฉลี่ยตกคนหนึ่ง 4,000 – 5,000 บาท เฉพาะงานกายอุปกรณ์เป็นงบที่โรงพยาบาลตั้งงบแล้วไปซื้ออุปกรณ์เพื่อเบิกตามสิทธิ</p><h2>งบประมาณที่ไม่พอ</h2><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942157046_1bb78e6a9f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p>ในด้านของการจัดหางบประมาณสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูหมออธิบายว่ายังคงขาดแคลน หากพิจารณาจากรายชื่อที่รอได้รับกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปี 2567 จะต้องต้องใช้งบประมาณอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท คิดเป็นประมาณเพียง 30% ของความต้องการทั้งหมด</p><p>พญ. วิชนี กล่าวอีกว่า “ย้อนหลังไปสามปีช่วงที่ไม่ใช่โควิดมันจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 ถึง 25 ล้าน บาทต่อปีเพราะฉะนั้นตอนนี้เราได้มา 30% จากความต้องการที่ขอซึ่งมันก็จะเป็นยอดสะสมด้วยนะพูดง่ายง่ายก็คือได้ 30% จาก 100 มาทุกปี... ก็ต้องยอมรับว่างบประมาณเป็นข้อจำกัดเพราะถามว่านอกจากเรื่องรายการที่บอกว่ายังไม่ทั่วถึงและยังไม่เข้าถึงทั้งสามกองทุนเป็นรายการเฉพาะเรื่องมูลค่าสูงอีกเรื่องหนึ่งคือว่างบประมาณของโรงพยาบาลซึ่งไปตั้งซื้อจัดซื้อเรื่องนี้ก็มีปัญหาเหมือนกัน”</p><h2>เงื่อนไขที่โรงพยาบาล(อื่น) ต้องเจอ</h2><p>ปัญหาเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ไม่ได้มีแต่สถาบันสิรินธรที่เผชิญเท่านั้นหากพิจารณาโรงพยาบาลใหญ่ใหญ่ตามจังหวัดต่างๆก็เผชิญเงื่อนไขเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างเช่นเดียวกับสถาบันสิรินธรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างเป็นจำนวนมากและรัฐไม่มีเงินมากพอที่จะสนับสนุน ซึ่งโรงพยาบาลอื่นๆมีเงื่อนไขต่างจากสถาบันสิรินธรตรงที่ไม่สามารถเบิกเงินจากกองทุนได้ เหมือนสถาบัน</p><p>รวมถึงปัญหาเรื่องการไม่มีพื้นที่ในการเก็บอุปกรณ์รวมถึงเจ้าหน้าที่ในการบริหารจัดการอุปกรณ์เหล่านั้นไม่มีหน่วยงาน Support เพราะโรงพยาบาลจะต้องตั้งหน่วยและบุคลากรขึ้นใหม่</p><p>เธอกล่าวว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่มักต้องใช้งบประมาณไปกับค่ายา ทำให้ไม่มีงบเพียงพอที่จะลงทุนในด้านการช่วยเหลือผู้พิการ เขาเสนอว่า รัฐควรเข้ามาสนับสนุนในเรื่องนี้ เนื่องจากการจัดหาเครื่องช่วยหรือกายอุปกรณ์จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก ซึ่งโรงพยาบาลไม่สามารถจัดหาได้เพียงพอ นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า การเพิ่มรายการอุปกรณ์อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่ควรมีการจัดตั้งหน่วยบริการเฉพาะทาง ที่คล้ายกับสถาบันสิรินธร แต่ควรกระจายตัวในหลายพื้นที่ เพื่อให้ผู้พิการในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น</p><p>“สำหรับโรงพยาบาลทั่วไปถ้าเป็นสิ่งของพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่ในสามกองทุนเค้าก็จะใช้วิธีว่ามีสต๊อกแล้วให้คนไข้ซึ่งก็ทำได้บางโรงพยาบาลซึ่งที่เหลือก็จะเป็นจากการไปตั้งซื้อทีละตัวหรือใช้วิธีสั่งแล้วไปเบิกข้างนอกมาซึ่งในสิทธิ์ของ สปสช ไม่ได้อำนวยเหมือนสิทธิ์ของราชการโดยระเบียบ” พญ. วิชนี กล่าว</p><p>เธอกล่าวว่า หากไปต่างจังหวัด จะเห็นว่าโรงพยาบาลไม่ได้สั่งซื้ออุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า แต่ต้องเขียนลิสต์และรอการแจกจ่ายทีหลัง ซึ่งไม่สามารถตำหนิโรงพยาบาลได้เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าฉุกเฉินอีกมากมาย ทำให้การจัดสรรงบประมาณทั้งหมดมาใช้กับเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งยังไม่มีพื้นที่สำหรับเก็บอุปกรณ์ จึงต้องมีเจ้าหน้าที่พัสดุคอยดูแลคลัง ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดที่สามารถหยิบใช้ของได้ทันที
เธอเสนอว่าอาจจำเป็นต้องมีหน่วยพยาบาลเฉพาะทาง ที่ทำหน้าที่แทนโรงพยาบาลในการเก็บรักษาและจัดซื้ออุปกรณ์ เช่น ศูนย์สาธิตเครื่องช่วยความพิการที่มีอยู่ในบางสถาบัน หากโรงพยาบาลทุกแห่งมีหน่วยนี้ก็คงจะดี แต่การเชื่อมโยงหน่วยนี้กับบริการในกลุ่มงานฟื้นฟูอาจไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ระบบคลังเข้ามาดูแล ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับโรงพยาบาลที่จะต้องตั้งหน่วยงานและบุคลากรขึ้นมาใหม่ เธอยอมรับว่าหน่วยฟื้นฟูสามารถช่วยได้บ้าง แต่โรงพยาบาลก็มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำคัญในเรื่องนี้</p><h2>รายการกายอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างกัน</h2><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53942157496_27000dd3e7_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ จ.นนทบุรี</p><p>หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการมีหน่วยกระจายกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยคนพิการคือ แต่ละกองทุนมีเงื่อนไขในการสนับสนุนงบประมาณที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่น ถ้าคนพิการที่มีบัตรคนพิการก็จะใช้ลิสต์ของกรมการแพทย์เป็นพื้นฐาน แต่ในกองทุนอื่นก็จะมีลิสต์เป็นของตัวเอง หมอสะท้อนว่าควรมีการจัดทำลิสต์ที่คนหลากหลายกลุ่มสามารถเข้าถึงได้โดยเฉพาะอุปกรณ์ มูลค่าสูงซึ่งเป็นข้อจำกัดของโรงพยาบาลจังหวัดในห

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

นักข่าวหัวเห็ด แห่งเวบสุขใจ
อัพเดตข่าวทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง

>> http://www.SookJai.com <<
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.45 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มิถุนายน 2568 06:54:10