[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
06 ธันวาคม 2567 05:36:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๒๗. อภิณหชาดก ว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ  (อ่าน 48 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1105


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 ตุลาคม 2567 11:55:08 »




ขุททกนิกายภาค ๑  เอกนิบาต  ๓.กุรุงควรรค
๒๗. อภิณหชาดก ว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งกับพระเถระแก่ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในนครสาวัตถีมีสหาย ๒ คน บรรดาสหายทั้งสองนั้น คนหนึ่งบวชแล้วได้ไปยังเรือนของสหายอีกคนหนึ่งทุกวัน สหายนั้นได้ถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้สหายนั้น แม้ตนเองเมื่อบริโภคแล้วก็ได้ไปวิหารพร้อมกับภิกษุผู้สหายนั้นนั่นแหละ แล้วนั่งสนทนาปราศรัยอยู่จนพระอาทิตย์อัสดง จึงกลับเข้าเมือง

ฝ่ายภิกษุผู้สหายก็ตามสหายนั้นไปจนถึงประตูเมืองแล้วก็กลับ ความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้นเกิดปรากฏในระหว่างภิกษุทั้งหลาย

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งกล่าวถึงความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้นในโรงธรรมสภา

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนา กันด้วยกถาเรื่องอะไรหนอ ?”

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ด้วยกถาเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้งสองนี้เป็นผู้คุ้นเคยกัน แต่ในบัดนี้ เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันเหมือนกัน” แล้วทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น สุนัขตัวหนึ่งไปยังโรงช้างมงคลกินเมล็ดข้าวสุกแห่งภัตที่ตกอยู่ในที่ที่ช้างมงคลบริโภค สุนัขนั้นเติบโตด้วยโภชนะนั้นนั่นแล จึงเกิดความคุ้นเคยกับช้างมงคล บริโภคอยู่ในสำนักของช้างมงคลนั่นเอง

สัตว์แม้ทั้งสองไม่อาจเว้นจากกัน ช้างนั้นเอางวงจับสุนัขนั้นไสไปไสมาเล่น ยกขึ้นวางบนกระพองบ้าง อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านคนหนึ่งให้เงินแก่คนเลี้ยงช้าง แล้วได้พาเอาสุนัขนั้นไปบ้านของตน ตั้งแต่นั้น ช้างนั้นเมื่อไม่เห็นสุนัขก็ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่อาบ พวกคนเลี้ยงช้างจึงกราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา

พระราชาทรงสั่ง พระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า “บัณฑิต ท่านจงไป จงดูว่า เพราะเหตุไร ช้างจึงกระทำอย่างนั้น”

พระโพธิสัตว์ไปยังโรงช้างรู้ว่าช้างเสียใจ คิดว่า โรคไม่ปรากฏในร่างกายของช้างนี้ ก็ความสนิทสนมฐานมิตรกับใคร ๆ จะพึงมีแก่ช้างนั้น ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นมิตรนั้น จึงถูกความโศกครอบงำ

ครั้นคิดแล้ว จึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่า “ช้างนี้คุ้นเคยกับใคร ๆ มีหรือไม่ ?”

พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “มีจ้ะนาย ช้างนี้ถึงความคุ้นเคยกันมากกับสุนัขตัวหนึ่ง”

พระโพธิสัตว์ถามว่า “บัดนี้ สุนัขตัวนั้นอยู่ที่ไหน ?”

พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “ถูกชาวบ้านคนหนึ่งนำไป”

พระโพธิสัตว์ถามว่า “ชาวบ้านคนนั้นอยู่ที่ไหน พวกท่านรู้จักไหม ?”

พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “ไม่รู้จักดอกนาย”

พระโพธิสัตว์ได้ไปยังสำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ อาพาธ ไร ๆ ของช้างไม่มี แต่ช้างนั้นมีความคุ้นเคยอย่างแรงกล้ากับสุนัขตัวหนึ่ง ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นสุนัขนั้นจึงไม่บริโภค”

พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงตรัสถามว่า “ดูก่อน บัณฑิต บัดนี้ควรกระทำอย่างไร ?”

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ได้ยินว่า ชาวบ้านผู้หนึ่งพาเอาสุนัขผู้เป็นสหายของช้างมงคลแห่งข้าพระบาททั้งหลายไป ขอพระองค์จงให้คนเที่ยวตีกลองประกาศว่า ผู้ใดเห็นสุนัขนั้นในเรือนของใครก็จักได้รางวัลดังนี้ พระเจ้าข้า”

พระราชาทรงให้กระทำอย่างนั้น บุรุษนั่นได้สดับข่าวนั้นจึงปล่อยสุนัข สุนัขนั้นรีบไปยังที่อยู่ของช้างทีเดียว ช้างเอางวงจับสุนัขนั้นวางบนกระพอง ร้องไห้รํ่าไรแล้วเอาลงจากกระพอง เมื่อสุนัขนั้นบริโภค ตนจึงบริโภคภายหลัง พระราชาทรงพระดำริว่า “พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยของสัตว์เดียรัจฉาน” จึงได้ ประทานยศใหญ่แก่พระโพธิสัตว์.

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้คุ้นเคย กันในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันมาแล้ว” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงเปลี่ยนแสดงด้วยกถาว่าด้วยสัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดก

สุนัขในกาลนั้น ได้เป็นอุบาสกในบัดนี้

ช้างในกาลนั้น ได้เป็นพระเถระแก่ในบัดนี้

พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้

ส่วนบัณฑิตผู้เป็นอำมาตย์ได้เป็นเราแล.


ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.217 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 15 พฤศจิกายน 2567 17:17:33