24 มิถุนายน 2568 09:51:42
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
.:::
ประโยชน์ในโลกหน้า โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ประโยชน์ในโลกหน้า โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม (อ่าน 1391 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1238
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
ประโยชน์ในโลกหน้า โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
«
เมื่อ:
19 พฤศจิกายน 2567 11:00:34 »
Tweet
ประโยชน์ในโลกหน้า
(วันที่ ๒๘ ธ.ค. ๖๖) โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ อ.อุบลราชธานี
คณะครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกรูปทุกท่าน การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้เกิดมาแล้วก็มีสังขารผ่านมา ได้มีอายุประมาณเท่านี้ ถือว่าเราทั้งหลายทั้งปวงเป็นผู้มีบุญ มีกุศล มีคุณงามความดี เราจึงมีสังขาร มีอายุยืนยาวนานมาถึงขนาดนี้ได้ แต่ถ้าเราไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่มีบารมีที่สร้างสมอบรมไว้แต่ภพก่อนชาติก่อนไว้มาก เราคงไม่มีอายุยืนยาวมาถึงขนาดนี้
ชีวิตของเรานั้นมีความตายเป็นที่สุด ก่อนที่ชีวิตของเราจะวางวาย หรือก่อนที่ชีวิตของเราจะดับสูญ ก่อนที่ชีวิตของเราจะแตกดับ ก่อนที่เราจะจุติหรือตายไป ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้รีบเร่งสร้างสมอบรมคุณงามความดีเพิ่มเติม เหมือนบุคคลผู้มีปัญญา ย่อมรู้ว่าร่างกายของเรานั้นมันเสื่อมไปสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีปัญญาจุดเทียนนั่นแหละ ในขณะที่จุดเทียนก็รู้ว่าเทียนนั้นมันจะสว่างอยู่ได้กี่ชั่วโมง มันจะสว่างอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง แต่ละเล่มๆ ในเวลา ๑ ชั่วโมง หรือประมาณ ๒ ชั่วโมงนี้ เราจะทำอย่างไรเราจึงจะได้ประโยชน์จากแสงสว่างของเทียนที่มันส่องอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง
บุคคลผู้มีปัญญาก็ย่อมสอดส่อง เลือกเฟ้น วิจัย หางานที่มันจะได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุด แล้วก็รีบทำการงานนั้นๆ บุคคลผู้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนกัน ควรที่จะเปรียบชีวิตนั้นกับเทียน ๑ เล่ม ที่มันเริ่มจุดแล้ว เมื่อเทียนของเรามันเริ่มจุดแล้วเนี่ย เราจะหยุดไม่ให้ไฟนั้นมันไหม้ไขเทียน ไม่ให้ไหม้ไส้เทียนนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไหม้ไปตามลำดับนั่นแหละ ถึงเราจะทำประโยชน์หรือไม่ทำประโยชน์ เปลวเทียนมันก็ละลายไขเทียน ไหม้ไส้เทียนไปโดยลำดับ
ชีวิตของเราเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย เราจะทำประโยชน์หรือไม่ทำประโยชน์ ชีวิตของเรามันก็สิ้นไปๆ ตามลำดับ เราทั้งหลายทั้งปวงควรที่จะรีบตรึกตรองพิจารณาว่า วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตสังขารมันก็ผ่านไปๆ วัยของเรามันก็ผ่านพ้นไป อายุของเรามันก็เหลือน้อยลงเต็มที เหมือนบุคคลผู้จูงวัวไปสู่ที่ฆ่า ขณะที่จูงวัวไปสู่ที่ฆ่านั่นแหละ วัวมันก้าวเท้าไปแต่ละก้าวๆ มันก็ใกล้ที่ฆ่าวัวไปทุกขณะๆ ชีวิตของเราที่มันผ่านพ้นไปแต่ละวันๆ เนี่ย มันก็ใกล้ความตายไปทุกขณะๆ
เราทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรประมาท ไม่ควรเพิกเฉย ไม่ควรที่จะหลงระเริงเพลิดเพลินกับสิ่งอื่น ควรที่จะมองว่าชีวิตของเรามันหมดไปแต่ละวันๆ นั้นเกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง นี่ถ้าเราพิจารณาในลักษณะอย่างนี้แล้ว เราก็จะเห็นว่าในแต่ละวันๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนเกียจคร้าน เราตื่นขึ้นมาก็ทำการทำงานเลี้ยงครอบครัว ไถไร่ไถนาหาอยู่หากิน ค้าขายหาเงินหาทองหากำไรมาจุนเจือครอบครัวของเรา ค่ำจึงเข้าบ้าน เราก็ไม่ได้เกียจคร้านนะ เราก็ขยันขันแข็งอยู่ เราก็ทำประโยชน์อยู่ทุกวันๆ แล้วเราจะทำประโยชน์อะไรมากไปกว่านี้อีก บางคนอาจจะคิดอย่างนั้นนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าประโยชน์นั้นมีหลายประโยชน์นะ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า แล้วก็ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน
ทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ คือประโยชน์ที่เป็นปัจจุบันที่เราจะเห็นได้ในปัจจุบันนี้ ก็คือประโยชน์ที่เราเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูกหลาน เลี้ยงตัวเอง สร้างฐานะให้พออยู่พอกิน ให้มีอยู่มีกิน ให้มีบ้านให้มีเรือนเป็นที่อยู่อาศัย เป็นต้น อันนี้เป็นทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน
ประโยชน์ที่ ๒ สัมปรายิกัตถะประโยชน์ สัมปรายิกัตถะ หมายถึง ประโยชน์อันเป็นประโยชน์ในภพหน้าต่อไป นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสให้เราบำเพ็ญ
สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ในภพหน้าเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายเอาอะไร พระองค์ไม่ได้หมายเอาเงินทอง ไม่ได้หมายเอาข้าวของ ไม่ได้หมายเอายศถาบรรดาศักดิ์ที่เรากำลังมีอยู่ในปัจจุบันนี้นะ ไม่ได้หมายเอาลูกเมียเป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์นะ แล้วพระองค์ทรงหมายเอาอะไร
บุคคลผู้ที่มีวัตถุ ก็เป็นของกลางสำหรับโลก มียศถาบรรดาศักดิ์ในโลกนี้ ก็เป็นของกลางสำหรับโลก มีชื่อเสียง ก็เป็นของกลางสำหรับโลก ไม่มีใครตายแล้วถือเอาชื่อเสียงไปด้วย ไม่มีนะ เพราะมันถือเอาไปไม่ได้
สัมปรายิกัตถะประโยชน์ คือประโยชน์ในโลกหน้านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสหมายเอาสิ่งที่ติดตามเราไปในสัมปรายภพข้างหน้าได้ อะไรเป็นสิ่งที่ติดตามเราไปในสัมปรายภพข้างหน้า ในเมื่อร่างกายแตกตายทำลายขันธ์แล้วเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุญ แล้วก็บาป บุญกับบาปติดตามเราไปในสัมปรายภพข้างหน้า แต่บาปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นก็คือบุญกุศล เพราะฉะนั้น บุญกุศลนี่แหละเป็นสัมปรายิกัตถะประโยชน์ เราจะทำบุญกุศลอย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแบ่งหลักของการทำบุญไว้มากมายนะ อย่างเช่น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการเนี่ย
บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน เรียกว่า ทานมัย เราให้ทาน ให้ข้าวให้ของ ให้ผ้าผ่อนแพรพรรณ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ธูปเทียนดอกไม้ของหอม ให้ถนนหนทาง ขุดบ่อน้ำ ตลอดถึงยานพาหนะ เป็นต้น เราถวายสิ่งเหล่านี้เนี่ย ก็ถือว่าเป็นทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน หรือเราจะถวายข้าว ถวายน้ำ ถวายโภชนาหารต่างๆ ก็เป็นทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล เราก็รักษาศีล ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ศีล ๒๒๗ ข้อก็ดี ถ้าเรารักษาศีล ก็เป็นสีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีลได้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นบุญติดตามเราไปในสัมปรายภพข้างหน้าได้
ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา เหมือนกับเราเดินจงกรมนั่งภาวนานี่แหละ เราเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ก็เป็นบุญนะ เรียกว่า ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา
อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น เราควรอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้แก่กว่าเรา โดยชาติ โดยคุณ โดยอายุ โดยธรรม แก่กว่าโดยอายุ ก็คือ เขามีอายุมากกว่าเรา เราก็ให้ความเคารพ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ เราก็เคารพในบุคคลเหล่านี้ เพราะว่าท่านมีอายุมากกว่าเรา เนี่ยแก่โดยอายุ
แก่โดยชาติ หมายความว่า บุคคลผู้เกิดในชาติตกูลที่สูง อย่างเช่น เกิดเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ อะไรต่างๆ เนี่ย ถึงเราจะมีอายุมาก เราต้องกราบนะ เราต้องไหว้ เราต้องทำความเคารพ เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชโอรสของพระองค์ก็ดี หรือว่าพระประยูรญาติของพระองค์เนี่ย ที่ท่านเสด็จไปที่ต่างๆ เราจะเห็นคนเฒ่าคนแก่ เห็นพ่อเห็นแม่ เห็นผู้ที่มีอายุทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ กราบไหว้ท่านนะ ให้ความเคารพท่าน อันนี้ท่านแก่โดยชาติ ท่านเจริญโดยชาติ เป็นอย่างนั้น
นอกจากนั้นก็ เจริญโดยธรรม เจริญโดยธรรมนี่คือสูงสุดนะ เหมือนกับบุคคลผู้รักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ข้อเนี่ย แม้แต่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องกราบต้องไหว้ แม้แต่ผู้มีตำแหน่งสูง เช่น เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนมนตรี ยังต้องกราบต้องไหว้พระสงฆ์องค์เจ้านะ แม้แต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้เป็นสมมุติเทพ ก็ต้องกราบพระกราบเจ้านะ นี่คืออปจายนมัย เราต้องเคารพกันตามวัยวุฒิ ตามคุณวุฒิ ตามชาติ ตามกำเนิด ตามคุณธรรม
บุคคลผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ก็เป็นบุญนะ เวลาผู้หลักผู้ใหญ่เดินผ่านเรา เราแสดงความเคารพนี่ก็เป็นบุญแล้วนะ เราให้ที่นั่งสำหรับท่าน เราก็ได้บุญแล้วนะ
ไวยาวัจมัย บุญสำเร็จด้วยการขวนขวาย ถ้าเราขวนขวายในการปัดกวาดลานวัดก็ดี ขนขวายในการจัดหาอาหารก็ดี ขวนขวายในการทำกิจการงานส่วนรวมต่างๆ บุญก็สำเร็จแก่เราได้นะ
ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่คนอื่น เวลาเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บุคคลอื่นเนี่ย เราก็ได้บุญเหมือนกันนะ อุทิศให้น้อยเราก็ได้บุญน้อย อุทิศให้มากเราก็ได้บุญมาก แผ่ไปในทิศทั้ง ๔ เราก็ยิ่งได้บุญมาก เหมือนกับเราแผ่เมตตาหลวงนั่นแหละ เมตตาใหญ่ เราแผ่ไปทุกทิศทุกทาง ทิศน้อยทิศใหญ่อะไรต่างๆ เราแผ่ไปหมด หรือเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เมตตาครอบจักรวาล แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง นี่ได้บุญมากนะ
ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาบุญ เราอนุโมทนาสาธุการ อนุโมทนาในบุญที่คนอื่นอุทิศให้ก็เป็นบุญ
ธัมมเทศนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม เวลาเราแสดงธรรมก็เป็นบุญนะ เพราะว่าขณะจิตที่แสดงธรรมเป็นจิตที่เป็นบุญ เมื่อจิตเป็นบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ก็สำเร็จเป็นบุญทั้งไตรทวารนะ
ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม ในขณะที่ฟังธรรมนั้น ใจของเราทันปัจจุบันนธรรม ไม่เป็นบาป ไม่เป็นอกุศล เราฟังธรรมไปก็เกิดใจร่าเริง เกิดใจเบิกบาน จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน เกิดวิปัสสนาญาณ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงถือว่าเป็นบุญนะ นับตั้งแต่บุญอย่างต่ำไปถึงโลกุตรบุญ
ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรงก็เป็นบุญกุศลนะ เราอยากได้บุญ อยากได้กุศลเนี่ย ไม่ต้องไปลงทุนลงอะไรมาก ถ้าเรามีปัญญานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดอยากได้บุญเนี่ย ก็ทำความเห็นของตนเองให้ตรง เมื่อทำความเห็นให้ตรง วาจาของเรามันก็ตรง กายของเรามันก็ตรง เมื่อกายวาจาใจตรง ก็เป็นกายวาจาใจที่ประกอบด้วยบุญ ประกอบไปด้วยกุศล ประกอบด้วยบารมี ประกอบด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยมรรค ด้วยผล ด้วยพระนิพพาน ไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราทั้งหลายทั้งปวงจะร่างกายแตกตายทำลายขันธ์ไปเนี่ย เราต้องถือสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่ถือเอาไปได้ ก็คือบุญกุศล บุญกุศลก็เกิดขึ้นมาจากทาง ๑๐ อย่างตามที่กล่าวมาโดยย่อนั่นแหละ ก็เกิดขึ้นมาทางนี้
บุญทั้งหมดที่กล่าวมาในบุญทั้ง ๑๐ ประการ คือ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เนี่ย บุญที่น่าสนใจก็คือภาวนามัย ภาวนามัยนี่ทำให้เราได้ทั้งกามาวจรบุญ ได้ทั้งรูปาวจรบุญ ได้ทั้งอรูปาวรบุญ แล้วก็ได้ทั้งโลกุตตรบุญ ภาวนามัยมันพิเศษอย่างนี้นะ ที่เรามาภาวนาไหว้พระทำวัดสวดมนต์ทุกวันๆ แล้วก็ภาวนานี้แหละ เป็นบุญนะ บุญที่เราทำวัดสวดมนต์เนี่ยมันก็ลงไปในจิตใจของเรา เมื่อลงไปในจิตใจของเรามันก็สำเร็จเป็นบุญแล้วนะ จิตเจตสิกของเรามันก็เป็นบุญ การกระทำของเราเป็นบุญ การพูดของเรามันเป็นบุญ ความคิดของเรามันเป็นบุญ บุญที่มันเกิดขึ้นในขณะที่เราบำเพ็ญทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น เดินจงกรมนั่งภาวนาให้เป็นบุญให้เป็นกุศล แผ่เมตตาให้เป็นบุญเป็นกุศลเนี่ย มันไม่ได้ไปไหนนะ มันลงไปในห้วงภวังคจิตของเรา แล้วก็รักษาอยู่ในห้วงภวังคจิตของเราอยู่อย่างนั้นนะ
เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย มันเหมือนไม่ได้อะไรนะ แต่มันได้ยิ่งกว่าได้อีกนะ นี่เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมเดินจงกรมนั่งภาวนา เหมือนกับเราไม่ได้อะไรสักอย่าง แต่มันได้ยิ่งกว่าได้นะ เพราะว่าเราเดินจงกรมทุกวัน นั่งภาวนาทุกวัน กำหนดทุกวัน แผ่เมตตาทุกวัน ทำบุญทำทาน ก็อนุโมทนาสาธุทุกวันๆ สิ่งที่เราสาธุ อนุโมทนาทุกวันๆ เนี่ย เป็นของเราโดยแท้นะ เราเหมือนไม่ได้อะไรแต่มันได้มากจริงๆ ตรงข้ามกับญาติโยม
ญาติโยมนี่ไปหาอยู่หากิน หาปลา หาปู หานก หาหนู หาข้าวหาของมาเต็มพรุงพลัง เหมือนมันได้มากๆ นะ เหมือนมันได้เยอะจริงๆ หิ้วขนมนมเนย หิ้วหนู หิ้วนก หิ้วอาหาร เนื้อวัว เนื้อปลา มาเต็มตู้เย็น มันเหมือนได้เต็มมือเต็มไม้ แต่มันไม่ได้อะไรนะ มันไม่สำเร็จเป็นบุญเลย มันไม่ได้สำเร็จเป็นกุศล มันไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไรเลย มันเป็นประโยชน์ท้อง ประโยชน์ปาก ประโยชน์อยู่ประโยชน์กิน มันไม่ได้เป็นประโยชน์ในสัมปรายภพข้างหน้านะ นี่มันตรงข้ามกัน
เรามาภาวนา เหมือนมันไม่ได้อะไร แต่มันได้ยิ่งกว่าได้ มันได้บุญได้กุศลมากมายเหลือเกิน แต่ญาติโยมไปทำมาหากิน มันเหมือนได้นะ แต่มันกลับไม่ได้ นี่มันตรงข้ามกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาร่วมกันภาวนานี้เนี่ย มันจึงเป็นบุญที่คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะมองเห็น แล้วก็มองเข้าใจ ถ้าเราไม่มีปัญญา เราจะไม่สามารถที่จะมองรู้มองเห็น แล้วก็ไม่สามารถที่จะมองเข้าใจได้ ว่ามันเป็นบุญนะ ไปแล้วก็ไม่เห็นได้อะไร ไปตัวเปล่าก็กลับมาตัวเปล่า ไม่รู้ไปทำไมวัดวาราม
แต่ถ้าคนมีปัญญาจะเห็นว่า เรานั่งไปมันเกิดปีติ นั่งไปมันเกิดปัสสัทธิ นั่งไปมันเกิดสมาธิ นั่งไปมาเกิดปัญญา นั่งไปมาเข้าใจเรื่องของชีวิตต่างๆ เรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บความตาย เรื่องความทุกข์ เรื่องความไม่ได้สมปรารถนา เรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ เราได้จากการภาวนานั้นมากมายเหลือเกิน แต่มันเป็นนามธรรม มันไม่เป็นวัตถุ ไม่ใช่ว่าเราแบกบุญแบกกุศลกลับบ้านนะ เราบำเพ็ญบุญได้ ๑ กระเป๋าแล้ว เราบำเพ็ญบุญได้ ๑ ตู้แล้ว อะไรทำนองนี้ มันไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอย่างนั้นนะ แต่มันเป็นนามธรรม มันอยู่ในใจของเรา
แต่เมื่อบุญมันเพิ่มขึ้นๆ เนี่ย เมื่อบุญมันเต็มจิตเต็มใจแล้วเนี่ย มันมีความอบอุ่นอย่างมากนะ มีความอบอุ่น มีความบันเทิงใจ มีความเพลิดเพลินใจ มีความสบายใจเป็นอย่างมากนะ เพราะอะไร เพราะว่ามันนึกถึงบุญที่ตนเองได้ทำไว้ อย่างเช่น เราใส่บาตรทุกวันๆ เนี่ยเวลาวันคล้ายวันเกิด เราก็ใส่บาตรพระเป็นหลายร้อยรูป ใส่มาทุกๆ เมื่อเรานึกถึงก็อิ่มอกอิ่มใจ เราได้ทำบุญไว้แล้ว ชาตินี้ตายก็ช่างเถอะ หรือว่าเราได้ปล่อยปลาเป็นล้านตัวอย่างนี้ เรานึกถึงว่า โอ้ โอกาสที่เราจะได้ปล่อยปลาเป็นล้านตัวนี่มันหายาก
นอกจากนั้น เราได้แสดงธรรมทุกวันๆ ทำให้คนได้สมาธิสมาบัติ ทำให้คนได้วิปัสสนา ทำให้คนได้บรรุมรรคผลพระนิพพาน ทำให้คนหายจากความโง่ ทำให้คนเป็นคนฉลาด ทำให้คนรู้จักหนทางมรรคผลพระนิพพาน อะไรต่างๆ มันก็เป็นบุญไปทุกวี่ทุกวัน การที่เราทำบุญในลักษณะนี้ เช่นว่า เราตั้งโรงทานมากมายก่ายกอง อะไรทำนองนี้ ทุกปีๆ ในปีหนึ่งก็หลายครั้งหลายคราว ทำบุญน้ำปานะ ทำบุญอาหาร ทำบุญโน้นทำทำบุญนี้ ทำบุญเกือบทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ทำบุญ ตลอด ๓๖๕ วัน ก็ทำบุญอยู่ตลอดเวลา
เมื่อบุญที่เราทำในลักษณะอย่างนี้แหละ มันสั่งสมในจิตในใจมากขึ้นๆ บ่อยขึ้นๆ นานวันเข้าๆ เนี่ย ความภาคภูมิใจในบุญก็จะเกิดขึ้นนะ เมื่อความภาคภูมิใจในบุญมันเกิดขึ้น ความเชื่อมั่นในบุญก็เกิดขึ้น ถ้ามันไม่สำเร็จก็ให้มันรู้กันไป ถ้ามันไม่มีอยู่มีฉันก็ให้มันรู้กันไป อะไรทำนองนี้นะ แต่เราก็ทำบุญอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เชื่อมั่นในบุญ เชื่อมั่นในกุศล เชื่อมั่นในคุณงามความดี
การที่เราทั้งหลายทั้งปวงมาภาวนาเนี่ย ก็สามารถที่จะมองเห็นตัวบุญนะ มองว่าตัวบุญมันเป็นอย่างนี้แหละ มันมีความอิ่มใจ มีความสบายใจอย่างนี้ จิตที่ประกอบไปด้วยบุญเนี่ย มีความอิ่มใจมากกว่าการรับประทานอาหารอีกนะ รับประทานอาหารมันก็อิ่มชั่วครู่นะ แต่ความอิ่มใจในบุญเนี่ย เราจะยืน เราจะเดิน เราจะนั่ง เราจะนอน เราจะกิน เราจะดื่ม เราจะพูด เราจะคิด เราจะทำกิจอะไรต่างๆ จิตมันก็อิ่มอยู่ในบุญ นึกถึงร้อยครั้งก็อิ่มร้อยครั้ง นึกถึงพันครั้งก็อิ่มพันครั้ง นึกถึงหมื่นครั้งก็อิ่มหมื่นครั้ง นึกถึงแสนครั้งก็ยังอิ่มเป็นแสนครั้งนะ ความอิ่มใจในบุญมันเป็นอย่างนี้นะ
นอกจากนั้นแล้วเนี่ย บุคคลผู้อิ่มด้วยบุญเนี่ย นอกจากเราจะนึกถึงแล้วมันอิ่มแล้วเนี่ย บุญมันก็ยังพัฒนาขึ้นไปอีก ทำให้เรานั้นสามารถยังปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ยังรูปฌานให้เกิดขึ้นมาได้ สามารถยังอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ให้เกิดขึ้นมา อันนี้มันก็เป็นบุญยิ่งกว่าบุญอีกแล้วนะ
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาจึงมองออกว่า เรามาภาวนามันได้บุญ เมื่อเรามองออกว่าเรามาภาวนาเราได้บุญอย่างนี้แหละ มันเป็นนามธรรม เราก็มีความเบิกบานใจ มีความกระปรี้กระเปร่า มีความกระฉับกระเฉง มีความเอาจริงเอาจังในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่หดหู่ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ท้อถอยในการประพฤติปฏิบัติธรรม การประพฤติปฏิบัติธรรมก็เจริญขึ้นไปตามลำดับๆ จนถึงมรรคผลพระนิพพานได้ มันก็เริ่มต้นจากการประพฤติปฏิบัติธรรมในเบื้องต้นนี่แหละ
นอกจากนั้นบุคคลผู้ที่มีบุญนั้นน่ะ ย่อมสามารถที่จะมองผ่านนะ มองว่า โอ้ การให้ทาน การรักษาศีล การทำวัตรสวดมนต์เนี่ย มันก็เป็นโลกิยบุญ โลกียบุญคือกามาวจรบุญเนี่ย มันก็ทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร คราวใดภพใดชาติใดที่เราเป็นผู้มีสติ ไม่ประมาท เราให้ทาน เรารักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตรสวดมนต์ ในภพนั้นในคราวนั้นเนี่ย เราตายจากภพนั้นแล้ว เราตายจากคราวนั้นแล้วเนี่ย เราก็ไปเกิดในสวรรค์ได้ ไปเกิดในมนุษย์ได้
เหมือนกับเรามีมีเงินแล้วก็ไปเช่ารีสอร์ต เช่าบังกะโล เช่าโรงแรม แต่มันเป็นเพียงการเช่านะ ยังไม่เป็นการซื้อขาด แต่ถ้าเงินของเรามันหมด เราก็ต้องออกจากสถานที่เหล่านั้น เหมือนกับเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราเกิดมาแล้วเราทำบุญทำทานรักษาศีล เราไปเกิดในสวรรค์นี่แหละ เกิดในมนุษย์นี่แหละ เมื่อบุญของเรามันหมดเราก็ต้องออกจากสวรรค์นะ ต้องเคลื่อนจากสวรรค์ ต้องจุติจากสวรรค์ เหมือนกับบุคคลผู้มีเงินเช่าบังกะโล รีสอร์ตนั่นแหละ มันหมดเงินเช่าก็ต้องออก ไม่อยากออกมันก็ต้องออกเพราะมันเป็นเพียงการเช่า การไปเกิดในมนุษย์ก็ดี การไปเกิดในสวรรค์ก็ดี มันก็เปรียบเสมือนกับการเช่า เช่าด้วยบุญนะ ไม่ได้เช่าด้วยทรัพย์สมบัติอย่างอื่น เช่าด้วยบุญ ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นจะไปเกิดเองโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้น สวรรค์นั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นแดนที่เกิดของบุคคลผู้มีบุญ บุญนำพาวาสนานำส่งจึงได้ไปเกิดอย่างนั้น บุคคลไปเกิดบนสวรรค์ด้วยบาปนั้นไม่มีเลยนะ เกิดด้วยบุญ แต่บุญนั้นมันก็หมดเป็น ไม่อยากเคลื่อน ไม่อยากคล้อย ไม่อยากจาก ไม่อยากพราก ไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่อยากตกสวรรค์ มันก็ต้องเคลื่อน ก็ต้องมาเกิดใหม่ เพราะว่าบุญมันหมดนะ บุญยทรัพย์ ทรัพย์คือบุญมันหมดก็ต้องมาเกิด ต้องมาบำเพ็ญใหม่อีก
ถ้าผู้มีปัญญาพิจารณาอย่างนี้แล้วก็ โอ้ ถึงเราจะอยู่นานขนาดไหน เราก็ต้องจากกันอยู่นั่นแหละ ถึงเราจะบำเพ็ญบารมีมาก บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ สำเร็จเป็นพระอินทร์ แม้ความสำเร็จเป็นพระอินทร์ก็ยังไม่เที่ยงแท้ เป็นพระราชาของเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ยังไม่เที่ยงแท้ ก็ต้องจุติจากสวรรค์ เหมือนเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เป็นสมมุติเทพของแผ่นดิน เป็นใหญ่ที่สุดของคนในประเทศ แต่ก็ต้องจากราชบัลลังก์
ท้าวสักกะผู้มีบัณฑุกำพลศิลาอาสน์อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เหมือนกัน ในเมื่อบุญของพระองค์หมด พระองค์ก็ต้องจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จากบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ จากต้นปริฉัตร อะไรต่างๆ ที่อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต้องไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามบุญของท่าน นี่ถ้าผู้ที่มีปัญญาพิจารณาอย่างนี้แล้วนี่ก็ โอ้ กามาวจรบุญมันก็ไม่แน่นอน เกิดเป็นคนก็ไม่แน่นอน เกิดเป็นเทวดาก็ไม่แน่นอน เกิดเป็นองค์อินทร์องค์พรหมต่างๆ ก็ไม่แน่นอนอีกแหละ บุคคลผู้มีปัญญาก็เกิดความเข้าใจ แล้วเราจะทำอย่างไร
การเกิดบ่อยๆ การที่เราเทียวไปเกิดในสวรรค์ เทียวมาเกิดในมนุษย์ เทียวไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่เนี่ย มันเป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสนะ เป็นไปด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ตัณหา เป็นต้น กิเลสมันพาเราไปเกิดอย่างนี้นะ ถ้าเราเกิดอีกสักแสนชาติเนี่ย มันก็เกิดด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา เราจะเกิดอีกสักล้านชาติเนี่ย มันก็เกิดด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ เกิดด้วยอำนาจของตัณหา การเกิดด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา ต่างๆ มันจะประเสริฐอะไร มันจะมีความสุขตรงไหน เมื่อเราเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ในลักษณะอย่างนี้ ผู้มีปัญญาพิจารณาอย่างนี้นะ
เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้วก็หาทางออก หาทางหนี หาทางหลุด หาทางพ้น ก็คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นแหละ หนักเอาเบาสู้ เพราะมันเห็นแจ้งด้วยปัญญาแล้ว ถ้าเราทำช้าเนี่ย ร่างกายของเรามันทรุดโทม หลังก็ปวด เอวก็ปวด แข้งขาก็เหนื่อยอ่อนแรง โอกาสที่จะทำเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานมันยากมากขึ้นนะ
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าผู้ใดมีกำลัง กระทำความเพียรตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มเนี่ย ประเสริฐที่สุดแล้วนะ คนหนุ่มเนี่ยมีกำลังแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเนี่ย เหมาะแก่การทำความเพียร คนหนุ่มมีจิตใจเด็ดเดี่ยว มีจิตใจมั่นคง ตัดสินใจเด็ดขาด รวดเร็วทันใจ เวลาภาวนาก็ไม่มีความลังเลสงสัย เวลาภาวนาก็ไม่มีความปรุง ไม่มีความคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่าน มีจิตใจมุ่งตรง การบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นไปได้ง่ายนะ เมื่อร่างกายมันแข็งแรงมันจะเป็นไปอย่างนั้น
เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย ก่อนที่ร่างกายมันจะร่วงมันจะโรย เราก็ต้องภาวนาเสียก่อน บำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลเสียก่อน จนกว่าเราจะได้บรรลุมรรคผลสำเร็จเป็นพระโสดาบันเป็นต้น เราจึงจะเข้าใจว่า เออ หนทางนี้แหละ เป็นหนทางจริง เป็นหนทางแท้ เป็นหนทางอันประเสริฐ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพานจริงๆ หลังจากนั้นมาเราก็จะน้อมไปสู่พระนิพพานโดยธรรมชาตินะ
ถ้าเรายังไม่ได้ถึงความเป็นพระโสดาบันเนี่ย ใจของเรายังไม่มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ แต่เมื่อเราได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นต้นแล้วเนี่ย ใจของเราก็จะมุ่งตรงต่อพระนิพพาน มีจิตเป็นอันเดียว ไม่มีเป็นสองนะ ไม่คิดจะไปทางซ้าย ไม่คิดจะไปทางขวานะ คิดจะไปตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว
เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย อย่าประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม เรามีอายุน้อย อย่าคิดว่าเราจะไม่ตายในตอนน้อยๆนะ บางครั้งก็ตายได้นะ บางครั้งเราก็ไม่ถึงอายุมากก็มี บางรูปบางท่านมีอายุเยอะแล้วเนี่ย ก็ให้มองเห็นภัยในการเกิด ภัยคือความแก่ ภัยคือความเจ็บ ภัยคือความตายให้ได้ ถ้าเรามองเห็นภัยว่าสิ่งเหล่านี้มันเปรียบเสมือนกับภัยเนี่ย มันก็เป็นของน่ากลัว เมื่อเป็นของน่ากลัวแล้วก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ระมัดระวังเป็นอย่างดี
เราทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่ประมาท ให้มีสติมีสัมปชัญญะ กำหนดบทพระกรรมฐานนะ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ต้องเป็นผู้มีความเพียร ความเพียรที่พระองค์ทรงตรัสมันหมายอย่างไร พอเรามาเดินจงกรม มานั่งภาวนา มาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย เราจึงเข้าใจว่า โอ้ ความเพียรที่พระองค์ทรงตรัสไว้นั้น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความเพียรที่พระองค์ทรงตรัสไว้นั้นน่ะ หมายความว่า ให้เราทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ ทำเรื่อยๆ ทำติดต่อ ทำไม่ให้มันขาดระยะ ทำไม่ให้มีช่องว่าง ทำไม่ให้มีระหว่าง ทำติดต่อกันไปเหมือนกับสายน้ำ ทำทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี อะไรทำนองนี้ ทำติดต่อกันไป
บางวันเราอาจจะปฏิบัติดี บางวันเราอาจจะปฏิบัติไม่ดี บางวันอาจจะสงบแน่นิ่ง บางวันก็อาจจะฟุ้งปรุงแต่ง บางวันก็มีความหงุดหงิด บางวันก็ถูกราคะครอบงำ บางวันก็ถูกความหลงความเพลิดเพลินครอบงำ อะไรต่างๆ บางครั้งราคะมันครอบงำ ก็อาจจะท้อไปก็มี บางครั้งโทสะครอบงำก็ท้อไปก็มี บางวันนั่งภาวนาไป เกิดปีติขึ้นมาก็ดีใจ พรุ่งนี้เช้าทำแต่เช้า ทำทั้งวันทั้งคืน ในทำนองนี้ มันก็เป็นเหมือนกับว่าทำไม่สม่ำเสมอนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เวลาทำความเพียรเนี่ย ในคำว่า “ความเพียร” ของพระองค์เนี่ย หมายความว่า เวลาเราปฏิบัติ เวลามันฟุ้งเนี่ย เราก็อย่าท้อ เราก็ปฏิบัติไป เวลามันสงบเราก็อย่าดีใจ เราก็ปฏิบัติไป กำหนด เวลาจิตใจจมันเกิดความโกรธโลภหลงขึ้นมา เราก็อย่าไปท้อ เราก็กำหนดบทพระกรรมฐานแล้วก็ปล่อยไป เราปฏิบัติดีหรือไม่ดี สงบหรือไม่สงบ ปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่ง อะไรต่างๆ หน้าที่ของเราต้องปฏิบัติติดต่อกันทุกวันๆ ติดต่อกันไปเรื่อย ในลักษณะอย่างนี้นะ
ความเพียรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงประสงค์นะ หมายความว่า เราต้องทำติดต่อกัน จะฟุ้ง จะปรุง จะแต่ง จะมีอารมณ์อย่างไร บุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นต้องกำหนดอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นนะ อันนี้เป็นความหมายของความเพียรเพื่อบรรลุมรรผลนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...