[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 07:30:51 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง  (อ่าน 1758 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2554 11:24:44 »





ชัมบาลา : บทที่ ใจเศร้าที่แท้จริง
 
" ผ่านการปฏิบัติโดยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตาม
ลมหายใจขณะผ่อนออกและจางคลายไป
คุณก็ได้เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อย
ให้เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถ
สร้างความรู้สึกเกื้อการุณอย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเอง "

......ลองนึกดูว่าหากคุณได้นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นดินโดยมีก้นเปลือยสัมผัสโลก ทั้งมิได้มี ผ้าโผกหัวหรือสวมหมวก คุณจึงเปิดเผยตนเองต่อฟ้าเบื้องบนด้วยเช่นกัน คุณถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟ้าแผ่นดิน เป็นมนุษย์ชายหรือหญิงผู้เปลือยเปล่า นั่งอยู่ระหว่างฟากฟ้ากับแผ่นดินโลก
 
......แผ่นดินยังคงเป็นแผ่นดินอยู่เสมอ แผ่นดินยอมให้ใครก็ได้นั่งลงไป มันไม่เคยผลักไสไล่ส่ง มันไม่เคยปฏิเสธที่จะแบกรับ คุณจะไม่มีวันหลุดร่วงออกจากแผ่นดินออกไปลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ในทำนองเดียวกัน ฟ้าก็ยังคงเป็นฟ้า ฟากฟ้าก็ยังคงเป็นฟากฟ้าเบื้องบนอยู่เสมอ ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออกหรือมีหิมะ ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน ฟ้าก็ยังคงอยู่ที่นั่น ในแง่มุมนี้เราอาจรู้สึกได้ว่าทั้งฟากฟ้าและแผ่นดินเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นได้
 
......ตรรกะแห่งความดีงามพื้นฐานก็คล้ายคลึงกัน เมื่อเราพูดถึงความดีงามพื้นฐานเรามิได้พูดถึงการภักดีต่อสิ่งดีและปฏิบัติสิ่งเลว ความดีงามพื้นฐานนั้นดีโดยปราศจากเงื่อนไข โดยปราศจากที่ตั้ง มันดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว ดังเช่นที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว เรามิได้ปฏิเสธบรรยากาศของเรา ไม่ได้ปฏิเสธดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เมฆหมอกและฟากฟ้าเรายอมรับมัน เรายอมรับว่าฟ้านั้นเป็นสีฟ้า ยอมรับภูมิประเทศและท้องทะเล เรายอมรับถนนหนทางตึกรามบ้านช่องและมหานคร ความดีงามพื้นฐานประการนี้ คือสิ่งที่ปราศจากเงื่อนไข มันมิใช่ทัศนะ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ" ในทำนองเดียวกับที่แสงแดดมิใช่มีขึ้นเพื่อ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ"
 
......กฎเกณฑ์ธรรมชาติของโลกนี้มิใช่ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ" โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งช่วยส่งเสริมหรือปิดกั้นทัศนะของเรา ฤดูกาลทั้งสี่อุบัติขึ้นอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับความเรียกร้องต้องการของใคร ความคาดหวังและความหวาดกลัวไม่อาจแปรเปลี่ยนฤดูกาลได้ มีกลางวัน มีกลางคืน มีความมืดในยามค่ำคืนและมีแสงสว่างในยามกลางวัน โดยไม่มีใครมาคอยบังคับปิดเปิดให้เป็นไป มีหลักเกณฑ์ธรรมชาติและความเป็นไปซึ่งเอื้อให้เรามีชีวิตอยู่ นั่นเองคือความดีงามพื้นฐาน ดีงามตรงที่ว่ามันอยู่ตรงนั้น มันกระทำการอย่างสัมฤทธิ์ผล
 
......เรามักจะพากันละเลยต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานในจักรวาล แต่เราควรจะคิดทบทวนดูอีกครั้ง เราควรจะตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็จะตกอยู่ในภาวะยากลำบากมาก ถ้าปราศจากแสงแดด ก็จะไม่มีพืชพรรณใด ๆ ขึ้นงอกเงย ปราศจากพืชพรรณธัญญาหาร ก็จะไม่มีอาหารการกินด้วย ดังนั้นความดีงามพื้นฐานจึงเป็นสิ่งดี เพราะว่ามันเป็นสิ่งพื้นฐานยิ่ง มันเป็นธรรมชาติและมันก็ใช้การได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งดี มิใช่สิ่งดีที่อยู่ตรงข้ามกับความชั่ว
 
......หลักการเดียวกันนี้อาจประยุกต์มาใช้กับสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์ เรามีตัณหา มีความก้าวร้าวและอวิชชา นั่นคือเราคบหาปลูกฝังไมตรีกับมิตรและกีดกันศัตรูออกไป ปางครั้งก็วางตัวเฉย ๆ ท่าที่เหล่านี้มิได้ถือว่าเป็นข้อบกพร่อง หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันสูงส่งและเป็นเครื่องมือของมนุษย์ เรามีเล็บและฟันเป็นเครื่องมือสำหรับป้องกันตัว เรามีปากและอวัยวะเพศเป็นเครื่องมือสำหรับสัมพันธ์กับผู้อื่น เรายังโชคดีที่มีระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้การบวนหารในการกินและขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์เป็นสถานะตามธรรมชาติและก็เป็นเหมือนกฎเกณฑ์และหลักการของโลก มันใช้การได้ดี ที่จริงอาจถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอุดมคติทีเดียว
 
......มีบางคนกล่าวว่าโลกนี้เป็นผลงานของหลักการมูลฐานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่คำสอนชัมบาลามิได้เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธ์นั้นเลย จุดหลักของความเป็นนักรบก็คือการกระทำการร่วมกับสถานการณ์ดังที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทัศนะแบบชัมบาลาถือว่าเมื่อเรากล่าวว่ามนุษย์มีความดีงามอยู่เป็นพื้นฐานนั้น เราหมายความว่ามนุษย์ล้วนมีสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นอยู่ครบ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับโลกของเขาเอง ตัวตนของเราเป็นสิ่งดี เพราะเหตุที่มันมิใช่ต้นกำเนิดของความก้าวร้าวและความไม่พึงพอใจ เราไม่อาจพร่ำบ่นที่เรามีตา มีหู มีจมูกและปาก เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจัดแจงระบบทางสรีระใหม่ได้ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขภาวะจิตของเราได้ ความดีงามพื้นฐานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งที่ติดตัวเรามา มันคือสถานะตามธรรมชาติซึ่งเราได้รับเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่เกิด
 
......เราควรจะตระหนักไว้ด้วยว่าการที่ได้อยู่ในโลกนี้เป็นสิ่งวิเศษสุดยิ่ง ช่างมหัศจรรย์ยิ่งที่ได้แลเห็นสีแดงและเหลืองสีฟ้าและเขียว ม่วงและดำ บรรดาสีสันเหล่านี้มีขึ้นเพื่อเรา เรารู้สึกร้อนและหนาว รู้รสหวานและเปรี้ยวเรารู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้และรู้ถึงคุณค่าของมัน ด้วยมันเป็นสิ่งดีงาม
 
......ก้าวแรกแห่งการประจักษ์ในความดีงามพื้นฐานก็คือการแลเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ต่อจากนั้นเราก็จะต้องแลให้ชัดเจนกว้างไกลออกไปว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่ อยู่ตรงไหน เราเป็นใคร เมื่อไหร่และทำอะไร ในฐานะมนุษย์ เพื่อว่าเราจะได้เป็นเจ้าของความดีงามรากฐานอย่างแท้จริง ที่จริงมิใช่หมายถึงการครอบครอง หากแต่เป็นการหยั่งเห็นถึงคุณค่าของมัน
 
......ความดีงามพื้นฐานเกี่ยวพันอย่างแนบชิดกับแนวคิดเรื่องโพธิจิตในพุทธศาสนา โพธิหมายถึง "ตื่นขึ้น" หรือ "การตื่น" จิตหมายถึง "ใจ" ดังนั้นโพธิจิต จึงแปลว่า "ใจที่ตื่นขึ้น" ใจที่ตื่นขึ้นเช่นนี้อุบัติขึ้นจากความพร้อมที่จะเผชิญกับภาวะจิตของตนเอง
 
......นี่ดูคล้ายกับการเรียกร้องมากจนเกินไป แต่ที่จริงแล้วกลับจำเป็นมาก คุณจำต้องตรววจสอบดูตัวเองและถามตัวเองว่าตนได้พยายามเชื่อมโยงกับหัวใจของตนมากน้อยเพียงใดอย่างจริงใจ และเต็มที่เพียงใด บ่อยครั้งที่คุณหันหลังให้แก่มัน ด้วยคุณกลัวว่าคุณอาจพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นภายในตนเอง กี่ครั้งกันที่คุณเต็มใจที่จะแลดูหน้าตัวเองในกระจก โดยที่ไม่รู้สึกกระดากอาย กี่ครั้งกี่คราที่คุณพยายามจะปกปิดตัวเองไว้โดยการเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง หรือใช้เวลาว่างให้หมดไปวัน ๆ จึงมีคำถามซึ่งทรงคุณค่ามหาศาลอยู่คำถามหนึ่งว่า คุณได้สัมพันธ์กับตัวเองมากน้อยเพียงใดกับชีวิตทั้งหมด
 
......การนั่งลงปฏิบัติสมาธิดังที่เราได้แจกแจงกันในบทที่แล้ว คือหนทางเพื่อกลับไปค้นหาความดีงามรากฐาน และยิ่งไปกว่านั้น มันคือหนทางที่จะปลุกดวงใจที่แท้จริงภายในตนเองให้ตื่นขึ้น เมื่อคุณนั่งอยู่ในท่วงท่าของสมาธิ คุณย่อมเป็นชายหรือเป็นหญิงผู้เปลือยเปล่า ซึ่งนั่งอยู่ระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินดังที่เราได้พูดถึงมาแล้ว เมื่อคุณนั่งโงนเงนก็เท่ากับพยายามปกปิดดวงใจของตนเอาไว้ พยายามซ่อนเร้นเอาไว้โดยอาการง่อนแง่น แต่เมื่อใดที่คุณนั่งตัวตรงทว่าผ่อนคลายอยู่ในอิริยาบถของสมาธิ เมื่อนั้นใจของคุณก็จะเปลือยเปล่า ตัวตนของคุณทั้งหมดจะเปิดเผยออกสู่ตัวเองเป็นอันดับแรก จะเปิดออกสู่ผู้อื่นด้วย ผ่านการปฎิบัติด้วยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตามลมหายใจขณะที่ผ่อนออกและจางคลายไป คุณก็ได้เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถสร้างความรู้สึกเกื้อการณ์อย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเองได้
 
......เมื่อคุณปลุกดวงใจของคุณขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ คุณจะค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าดวงใจของคุณนั้นว่างเปล่า คุณได้ค้นพบว่าคุณกำลังมองออกไปสู่ความโล่งกว้างภายนอก คุณคือใคร เป็นอะไร ดวงใจของคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณมองให้ดี คุณจะไม่พบเห็นสิ่งใดที่เป็นแก่นสารแน่นอนตายตัวเลย แต่คุณจะพบสิ่งที่แข็งตัวอย่างนั้น ถ้าหากคุณรู้สึกขุ่นเคืองใครหรือถูกครอบงำอยู่ด้วยความรัก แต่นั่นหาใช่จิตใจที่ตื่นขึ้นไม่ ถ้าหากคุณแสวงหาดวงใจที่ตื่นขึ้น ถ้าคุณเอามือแทงผ่านกระดูกซี่โครงเข้าไปและสัมผัสดูดวงใจ ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นนอกจากความอ่อนโยน คุณรู้สึกเจ็บปวดทว่านุ่มนวล และถ้าคุณเปิดตาขึ้นแลดูโลก คุณย่อมรู้สึกเศร้าอย่างลึกซึ้ง ความเศร้าชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้ถูกกระทำ คุณมิได้รู้สึกเศร้าเพราะว่ามีใครมาดูแคลนหรือรู้สึกด้อยค่า ทว่าประสบการณ์นี้เป็นความเศร้าที่ปราศจากเงื่อนไข มันเกิดขึ้นเพราะว่าดวงใจของคุณได้เปิดเผยออกอย่างหมดจด ไม่มีหนังหรือเนื้อเยื่อปกปิดมันไว้อีกต่อไป มันคือก้อนเนิ้อดิบ ๆ แท้ ๆ แม้แต่มียุงสักตัวหนึ่งมาเกาะ คุณก็อาจรู้สึกได้อย่างลึก ๆ ประสบการณ์ของคุณเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวที่ดิบ จริงและอ่อนโยน
 
......ดวงใจเศร้าที่แท้จริงกำเนิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่ว่า หัวใจที่ว่างเปล่าของคุณนั้นเต็ม คุณอยากจะหลั่งเลือดจากใจ อยากจะให้หัวใจของคุณแก่คนอื่น สำหรับนักรบแล้ว ประสบการณ์แห่งดวงใจอันเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้ คือจุดกำเนิดแห่งความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ตามความหมายสามัญแลัว ความไม่หวาดหวั่นหมายความว่าคุณไม่กลัว หรือหมายถึงว่าถ้ามีใครมาทำร้ายคุณ คุณจะตอบโต้กลับอย่างไรก็ดี เรามิได้กำลังพูดถึงความไม่หวาดหวั่นในระดับของนักสู้ข้างถนน ความไม่หวดหวั่นที่แท้จริงคือผลอันเกิดจากความอ่อนโยน มันเกิดจากการปล่อยให้โลกหยอกล้อจิตใจของคุณเล่น จิตใจที่ดิบและงดงาม คุณเต็มใจที่จะเปิดมันออกโดยไม่ขัดขืนหรือเขินอาย และเผชิญกับโลก คุณพร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจของคุณกับผู้อื่น


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 พฤศจิกายน 2554 11:29:01 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ชัมบาลา : บทที่ ๒ ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1634 กระทู้ล่าสุด 21 พฤศจิกายน 2554 11:44:11
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1400 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 12:05:22
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1338 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 12:54:28
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๖ รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1825 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 13:40:45
โดย เงาฝัน
ชัมบาลา : บทที่ ๗ รังดักแด้
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1232 กระทู้ล่าสุด 22 พฤศจิกายน 2554 15:46:08
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.35 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 05 เมษายน 2567 06:26:56