[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 15:03:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและ้ำค้ำชูมนุษย์  (อ่าน 10960 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554 11:53:48 »




ภาพวาดฝาผนังในโบสถ์ วัดเทียนถวาย ปทุมธานี

ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและ้ำค้ำชูมนุษย์
แม้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘แม่ธรณี’, ‘แม่พระธรณี’ หรือ ‘พระแม่ธรณี’ ตามแต่จะเรียกขานกันนั้น จะมิใช่คติดั้งเดิมของชาวพุทธอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ก็ได้ปรากฏคติความเชื่อเรื่องนี้ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน
       
        แม่ธรณีเป็นใคร? เกี่ยวโยงถึงเรื่องราวในศาสนาได้อย่างไร? และเหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อความเชื่อในวัฒนธรรมไทย?       
        เรื่องนี้ อาจารย์ฤดีรัตน์ กายราศ จากสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ค้นคว้า และเรียบเรียง ไว้เป็นความรู้ที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจน ดังความส่วนหนึ่งว่า
       
        ปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่โบราณกาลไม่สามารถทราบหรืออธิบายได้ด้วยปัญญาและเหตุผล จึงเข้าใจว่าเกิดจากฤทธิ์และอำนาจของผีสางเทวดาที่จะบันดาลให้ทั้งคุณ และโทษ ประกอบกับธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครอง จึงเกิดคติความเชื่อว่า หากมีการบนบานศาลกล่าวเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็จะพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน
       
        ด้วยความเชื่อดังนี้เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เข้าไปครอบงำอยู่ในความนึกคิดและจิตใจของคนในชาติในสังคมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นมูลฐานแห่งวัฒนธรรมจารีตประเพณี เกิดเป็นพิธีรีตอง ต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคสมัยต่อมาได้ปรับปรุงให้ประณีตงดงามขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งความเป็นสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เทวดาในวัฒนธรรมไทยก็เป็นมรดกจากสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการทำมาหากินของคนไทยและเป็นที่น่าสังเกตว่าเทวดาที่คอยเอื้อเฟื้อดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ มักจะเป็นเทวดา ผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่
       
        พระธรณี ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูให้ความเคารพ นับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ‘ธรณิธริตริ’ แปลว่าผู้ค้ำจุนพระธรณี แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของ แม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ใน พระเวท ก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครอง วิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่ นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆเดือน ชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
       
        เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์ องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของ พระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็น ชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
       
        คติความเชื่อเรื่องพระธรณีได้เผยแพร่มาสู่ไทย ก็เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้างก็มีการกล่าว บูชาพระธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับพระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก และมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่าเป็นเพศหญิง นามพระธรณี มีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น มีนามเรียกแตก ต่างกันไปเช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา แปลในความหมายเดียวกันว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปาก ว่า แม่พระธรณีบ้าง พระแม่ธรณีบ้าง ตามความนิยม
       
        จากเรื่องราวของพระธรณี แสดงให้เห็นว่าเป็นเทพที่ รักสงบอยู่เงียบๆ จึงไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรในโลก เฝ้าแต่ เลี้ยงโลกประดุจแม่เลี้ยงลูก คอยรับรู้การทำบุญกุศลของ มนุษย์โลก ด้วยการใช้มวยผมรองรับน้ำจากการกรวดน้ำ เสมือนกับเป็นอรูปกะ คือไม่มีตัวตน แต่เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหรือมีผู้ร้องขอจึงจะปรากฏรูปขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
       
        พระธรณีเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีสรีระรูปร่างใหญ่หากแต่อ่อนช้อย งดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวยสีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสายคือสีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจ งวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือก เย็นไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ ภาพเขียนรูปนางพระธรณีที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี ส่วนภาพปั้นหล่อนางพระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่อง ทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของ ผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น...


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554 11:58:39 »



                             

        ส่วนลักษณะตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จากตำนานเกี่ยวกับเทวดา มาร พรหม และจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เรื่องปฐมสมโพธิกถา ตอนมารวิชัยปริวรรต ได้กล่าวถึงพระแม่ ธรณีที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าคือ ก่อนการตรัสรู้ ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมารทั้งหลายทั้งปวง ดังความละเอียดต่อไปนี้
       
        “แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนือ อปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการ เป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามาร อ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจา ประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทาน สมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขี-พยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาล บัดนี้

       
        ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูล พระกรุณาว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรี เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
       
        ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจ ตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลาย ล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง
       
        ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็ วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยงๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิง ตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่าง หมู่มารทั้งหลายต่างๆตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อน เร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวช จึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธ ประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ


อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกาย วจี มโน ประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์ โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”
       
        จึงสรุปความเชื่อทั้ง 2 ลักษณะ คือ พระแม่ธรณีเป็นอรูปกะคือไม่มีรูปกาย เช่นเดียวกับพระแม่คงคา ซึ่งชาวฮินดูจะทำการสักการะได้ทุกสถานที่ เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็อ้างเรียกได้ทุกเวลา ส่วนความเชื่ออีกลักษณะหนึ่งที่ทางศาสนาพุทธได้เชื่อตามพุทธประวัติ ที่พระแม่ธรณีได้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ดังได้กล่าว มาแล้วนั้น พระแม่ธรณีมีรูปกายผุดขึ้นมาจากพื้นปฐพี เป็นองค์ที่มีภาพเป็นนิมิตรเป็นรูปสตรีที่ทางพุทธได้กำหนดพระนามของพระแม่ธรณี คือ ‘นางพสุนธรี’ ซึ่งเป็นองค์ตามลักษณะของรูปร่างตามพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะประดิษฐานอยู่ใต้แท่นฐานพระพุทธเจ้า ‘ปางปราบมาร’ และเมื่อเกิดมหาปฐพีป่วนปั่น ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระแม่ธรณีบีบมวยผม น้ำมาท่วมท้นหมู่มาร มีทั้งฝนตกและน้ำท่วม และ ‘ปางนาคปรก’ หรือเรียกว่า ‘พระอนันตชินราช’ ซึ่งมีพญานาคได้มาแผ่ปกบังฝนและขดตัวยกชูบัลลังก์ขึ้นสูงจากน้ำที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงมีรูปภาพที่ตามผนังพระอุโบสถวัดต่างๆ ตรงข้ามกับพระประธาน พระแม่ธรณี จึงเป็นเทพผู้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้า การบูชาจึงดูได้จากภาพ พระแม่ธรณีที่ทูนบัลลังก์พระพุทธองค์สูงเหนือเศียร เป็นต้น
       
        การสักการบูชาพระแม่ธรณีเมื่อศึกษาจากบทสวดทางพุทธศาสนา จึงเป็นบทที่เกี่ยวกับการ ‘ให้’ เป็นหลักใหญ่ จน มีผู้เรียบเรียงไว้สำหรับผู้สนใจได้ใช้บูชาคู่กับพุทธคุณ ซึ่งนิยมใช้บทสวด ‘พาหุง พุทธคุณคุ้มครองโลก’


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554 12:01:20 »



       
       แม่พระธรณีบีบมวยผม สาธารณทานของ ‘พระราชินีนาถ’ ในรัชกาลที่ 5      
        รูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่งประดิษฐานบริเวณเชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ถือเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามประวัติกล่าวว่า
       
        สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 6 และ 7 ทรงมีพระราชดำริ ให้สร้างรูปแม่ธรณีบีบมวยผมขึ้น เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไป เป็นสาธารณทานแก่ชาวกรุงเทพฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษาของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2456 โดยมีลักษณะเป็นรูปแม่ธรณีบีบมวยผมนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบรูปแม่ธรณี ส่วนพระยาจินดารังสรรค์(พลับ)เป็นผู้ออกแบบซุ้มเรือนแก้ว กระทั่งแล้วเสร็จ และประกอบพิธีเปิดในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2460 อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2460 ความว่า...
       
        “พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญวันเกิดที่นี่ตามคตินิยม ให้คุณจัดเปิดรูปนางพระธรณีท่ออุทกทาน ซึ่งฉันได้ออกทรัพย์ให้หล่อขึ้นสำเร็จตั้งไว้ ณ เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และขออุทิศท่ออุทกทานนี้ให้เป็นสาธารณทานแก่ประชาชนผู้เพื่อนแผ่นดินใช้กินบำบัดร้อนและกระหาย เป็นความสบายตามปรารถนาทั่วกันเทอญ
       
        ปัจจุบัน อนุสรณ์สถานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่มีประชาชน มาสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย
       
       (จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย มุทิตา)


โดย นายทองผู้ปิดทองหลังพระ
นำมาแบ่งปันโดย sithiphong
http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5-216223.html

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554 12:08:31 »



http://i74.photobucket.com/albums/i242/MANSON_13/buddha014.jpg
ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและ้ำค้ำชูมนุษย์

พุทธประวัติ  ตอน ผจญมาร
พุทธประวัติ หมายถึง เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่ประสูติ เสด็จออกผนวช ตรัสรู้ ประกาศพระศาสนา จนถึงปรินิพพาน

                หลังจากพระสิทธัตถะทรงเลิกการบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยทรงเห็นว่า วิธีทรมานร่างกายนั้นมิใช่วิธีอันถูกต้องสำหรับการค้นหาสัจธรรม และได้ทรงตั้งพระทัยว่า จงทรงเลิกการปฏิบัติดังกล่าวโดยเด็ดขาด แต่จะกลับไปบำเพ็ญเพียรทางจิตให้มากขึ้นกว่าเดิมที่เคยปฏิบัติมาแล้วแต่หนหลัง พระองค์จึงได้ทรงเริ่มแสวยอาหารตามปกติจนพระวรกายแข็งแรงขึ้นโดยลำดับ
                ส่วนปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ อัสสชิ และมหานามะ ที่ตามเสด็จมาคอยให้ความดูแล เห็นพระสิทธัตถะกลับมาเสวยอาหาร ก็เกิดความไม่เชื่อถือ จึงชวนกันผละหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี

                เมื่อพระสิทธัตถะทรงอยู่ตามลำพัง พระองค์ก็ทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต ก่อนเริ่ม ตอนเช้าทรงรับและเสวยอาหารที่นางสุชาดานำมาถวาย หลังจากเสวยแล้ว ได้ทรงนำถาดไปลอยในแม่น้ำเนรัญชราและทรงสรงน้ำที่นั่น ตอนกลางวันได้เสด็จไปพักผ่อนในดงไม้สาละ ตอนเย็นได้เสด็จมุ่งหน้าสู่โคนไม้มหาโพธิ์ ระหว่างทางทรงรับหญ้าคาจากนายโสตถิยะและเสด็จต่อไปจนถึงต้นมหาโพธิ์ ทรงลาดหญ้าปูเป็นที่นั่งต่างบัลลังก์ทางด้านตะวันออกของโคนต้นมาหาโพธิ์ และประทับนั่งบนแท่นหญ้าคานั้น ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ว่า “แม้เนื้อและเลือดในกายจะเหือดแห้งไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากหนัง เอ็นและกระดูกก็ตาม ถ้ายังไม่ตรัสรู้สัจธรรม จะไม่ยอมลุกขึ้นจากที่นั่งนี้
                จากนั้นพระสิทธัตถะทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิตตามหลักฌานที่เคยทรงมีพื้นฐานมาก่อน ทรงตั้งพระทัยระดมกำลังจิตต่อสู่กับธรรมชาติฝ่ายต่ำ เพื่อยกระดับจิตของพระองค์ให้สูงขึ้นและเพื่อค้นหาความจิรงให้ได้ว่า ความทุกข์ของชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะทำอย่างไร คนเราจึงจะรอดพ้นจากความทุกข์นั้นได้

http://i74.photobucket.com/albums/i242/MANSON_13/buddha016.jpg
ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและ้ำค้ำชูมนุษย์

                แต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงอยู่ในวัยหนุ่ม ภาพแห่งอดีตที่เป็นความบันเทิงเริงรื่น ในท่ามกลางการบำรุงบำเรอของเหล่านางสนมที่พระองค์เคยได้รับในพระราชวัง ได้ปรากฏขึ้นและชักจูงพระทัยของพระองค์ให้คิดหวนกลับไปถึงความสุขสบายในหนหลัง แต่ด้วยพระทัยที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงต่อสัจอธิษฐาน พระองค์ได้ทรงต่อสู่กับภาพดังกล่าวด้วยกำลังพระทัยทั้งหมด ในที่สุดก็ทรงสามารถปัดเป่าความคิดอันชั่วร้ายที่เรียกว่า มาร ทั้งหลายที่เข้ามารบกวนพระทัยของพระองค์ให้สูญสิ้นไปได้ พระทัยของพระองค์จึงสงบเหมือน้ำในสระน้ำเวลาที่คลื่นลมสงบ

http://i74.photobucket.com/albums/i242/MANSON_13/buddha013.jpg
ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและ้ำค้ำชูมนุษย์

จากรูปได้ความว่า พระองค์ทรงนั่งบำเพ็ญทางจิต มีพญามารนามว่าวสวัตตี ผู้ตามผจญพระองค์มาตลอด ตั้งแต่วันเสด็จออกผนวช มาปรากฏตัวพร้อมเสนามาร มีอาวุธครบครันน่าสะพรึงกลัว พญามารร้องบอกให้พระองค์เสด็จลุกจากอาสนะว่า “บัลลังก์นี้เป็นของข้า ท่านจงลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”เมื่อพระองค์แย้งว่า บัลลังก์เป็นของพระองค์ พญามารถามหาพยาน พระองค์ทรงเหยียดพระดรรชนีลงยังพื้นดินและตรัสว่า “ขอให้วสุนธรา(พระแม่ธรณี) จงเป็นพยาน
                ทันใดนั้นพระแม่ธรณีก็ผุดขึ้นจากพื้นดินปรากฏตัวบีบมวยผม บันดาลให้มีกระแสน้ำหลากมาท่วมทับพญามารพร้อมทั้งกองทัพพ่ายไปในที่สุด เป็นอันว่าพญามารพร้อมทั้งกองทัพได้พ่ายแพ้แก่พระองค์โดยสิ้นเชิง  เหตุการณ์ตอนนี้ ต่อมาได้ถูกจำลองเป็นพระพุทธรูปรางหนึ่ง เป็นปางนั่งสมาธิ พระหัตถ์วางบนพระเพลา ชี้พระดรรชนีลงพื้นดิน เรียกว่า “ปางมารวิชัย”  จากเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถจะวิเคราะห์ได้ว่าการที่พระพุทธเจ้าทรงผจญมารและเอาชนะมารได้ในที่สุด

                ตีความได้ว่า มาร ก็คือกิเลส ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มารบกวนพระทัยพระองค์ในขณะนั่งสมาธิ เสนามาร ก็คือกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นบริวารของโลภะ โทสะ โมหะ การที่ทรงผจญมาร ก็คือ ทรงต่อสู้กับอำนาจของกิเลสเหล่านี้นั่นเอง
                ส่วนพระแม่ธรณี ก็คือบารมีทั้ง 10 ที่ทรงบำเพ็ญมา การอ้างพระแม่ธรณี ก็คือทรงอ้างถึงคุณความดีที่ทรงบำเพ็ญมา เป็นกำลังใจให้ต่อสู่กับอำนาจของกิเลส เพราะพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาเต็มเปี่ยม พระองค์จึงสามารถเอาชนะอำนาจของกิเลสทั้งปวง บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด



http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/Bud-pachan-man.htm

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0 Firefox 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2554 12:20:40 »





สวรรค์ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตสวัตตี ... เป็นชั้นสูงสุดในบรรดาสวรรค์
มีวิมานทองทอง วิมานแก้ว วิมานเงิน เป็นปราสาทที่สง่าภูมิฐาน
ตระหง่านอยู่ทั่วไปบนภาคพื้นที่ ลาดด้วยแก้ว 7 ประการ
ประกอบด้วย สวนทิพย์อุทยานอันวิจิตร และ สระโบกขรณีที่พักผ่อนหย่อนใจ
อันยิ่งใหญ่โอฬาริกยิ่งกว่าชั้นใดทั้งหมด

เทพเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 6 นี้
มีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นอื่น ๆ
คือ เสวยกามคุณอารมณ์ โดยเทวดาอื่นรู้ความต้องการแล้วเนรมิตให้
เป็นสุขสมบัติที่ประเสริฐประณีต น่าประทับใจกว่าชั้นอื่นใด
จึงมีนามว่าสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตสวัตตี

เทพเจ้าเหล่าชาวฟ้าที่อยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
ฝ่ายเทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่
นามว่า "ท้าวปรนิมมิตเทวราช" เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพ
ฝ่ายมาร มีมารผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ บังเกิดเสวยทิพยสมบัติอยู่ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง
มี"ท้าวปรนิมมิตสวัตตีมาราธิราช" เป็นผู้ปกครองหมู่มาร

อย่างไรก็ดี ฝ่ายเทวดา กับ ฝ่ายมาร ก็เป็นการแบ่งแยก โดยมีเขตแดนกั้นกัน
โดยเด็ดขาด แต่ละฝ่ายไม่สามารถจะไปมาหาสู่หรือไปรบกวนกันได้ไม่




คุณ พระแม่ธรณี ในทาง พระเวท จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสูงสุด
ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกประการ
พระเวทที่เกี่ยวกับนางพระธรณีมักถูกกลบเกลื่อนปิดบัง เนื่องจากหากผู้ใด
ล่วงรู้และสามารถอธิษฐานบารมีจากพระแม่ธรณีได้ ย่อมทรงอำนาจสูงส่ง
ดังเช่นพระมหาบุรุษ เรื่องเหล่านี้เราจะพบอยู่ในโองการเชิญครู
ของพระเวทเกือบทุกสำนัก แต่มักจะละเลยกันจนบางครั้งมองข้ามกันไปก็มี

ในทาง พระเวท นางพระแม่ธรณี เป็นวิชาชั้นสูงระดับครูที่ต้องร่ำเรียนให้เข้าใจ
การบูชาแม่พระธรณีจึงมีพลานุภาพในทางป้องกันเสนียดอาเพท
ที่เรามักรู้จักกันในชื่อว่าการต้องธรณีสารหรือพกพาเครื่องราง
หากนมัสการได้ถูกต้องจะทำให้ชีวิตราบรื่นมั่นคงและพ้นภัยจากหมู่มารทั้งปวง

เวลาเดินทางให้อธิษฐานพระนางธรณีไป จะพ้นภัยทั้งปวง
เวลามี เหตุ ให้นึกถึง แม่พระธรณี แล้วภาวนาว่า...


คำบูชาแม่พระธรณี

กิระเทพหัศวิไสย ทั้งอรทัยสุนทรา
ยินนิยมสมจินดา จุติเกิดขึ้นพร้อมกัน
ปฏิสนธิธุลีเท่า คงคาเคล้าเป็นพืชพันธุ์
พระพายพัดลอองอัน ผนึกแน่นเป็นแผ่นดิน
วาโยแลปัถวี เป็นธรณีด้วยวาริณ
ศรีธาตุเพิ่มให้ภิณ โยชนโดยหมาย
จึงเกิดอิศวร อุมา พระธาดา พระนารายณ์
ประกอบสรรพ์ทั้งหลาย ทั้วศรีภพจบสากล ฯ




(คัดจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพ)
นำมาแบ่งปันโดย บุญญสิกขา
http://board.palungjit.com
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มิถุนายน 2555 00:31:14 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: jpg » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.887 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 1 ชั่วโมงที่แล้ว