15 ธันวาคม 2567 02:46:55
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
.:::
the way free from suffering
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: the way free from suffering (อ่าน 5320 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
the way free from suffering
«
เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:16:42 »
Tweet
the way free from suffering
http://www.fungdham.com/download/read/wasin/whiteroute/02.wma
............................ธรรมบรรยายของหลวงพ่อ ชา สุภัทโท........................
....................................ย้ายมาจากเขากะลา................................
วันนี้ได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสให้แสดงธรรมแก่พุทธบริษัททั้งหลายที่มานั่งประชุมอยู่ ณ.ที่นี้ดังนั้นขอ
พุทธบริษัท ทั้งหลายจงตั้งใจให้อยู่ในความสงบเพราะว่าการแสดงธรรมวันนี้มีความจำ เป็นเกี่ยวกับภาษาจะต้องตั้งใจฟังล่ามที่จะแปลไป
มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจ เมื่อได้มาพักอยู่ที่นี่อาตมารู้สึกมีความสบายใจเพราะว่าทั้งท่านอาจารย์ก็ดีทั้งสานุศิษย์ก็ดี ทำความพอใจ หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
สมกับเป็นผู้ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอันแท้จริง เมื่อได้มาเห็นสถานที่ซึ่งท่านอยู่อาศัยก็เลื่อมใส แต่บ้านหลังใหญ่นี้ใหญ่เหลือเกิน คิดสงสารท่าน
เหมือนกันในการบูรณะสร้าง ที่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไปอาตมาเคย ลำบากมาแล้วเป็นอาจารย์มาหลายปีตั้งต้น
สอนจริง ๆ จัง ๆ มาประมาณเกือบ 30 ปี ขณะนี้มีวัดสาขาน้อยใหญ่ที่ขึ้นต่อวัดหนองป่าพงประมาณ 40 แห่งแล้วแต่ก็รู้สึกว่ามีศิษย์สอนยากสอนลำบากเหลือเกินบางคนก็รู้แล้วไม่เอาใจใส่ บางคนไม่รู้ก็ไม่เอาใจใส่เดี๋ยวนี้ก็เลยคิดอะไรไม่ค่อยจะ ออก ไม่ทราบว่าทำไมจิตใจของมนุษย์
จึงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่รู้ก็ไม่ดี แต่บอกให้รู้แล้วก็ยังไม่รับเอา จะทำอย่างไรอีกต่อไปก็ยังไม่รู้อีก เหมือนกัน เมื่อปฏิบัติไปก็มีแต่เรื่องสงสัยทั้งนั้น
แหละสงสัยอยู่เรื่อย ๆ อยากจะไปแต่พระนิพพาน แต่ไม่เดินไปตามทางอยากจะไปเฉย ๆเท่านั้น มันวุ่นให้นั่งสมาธิก็กลัวมีแต่ความง่วง.....ง่วง
นอน สิ่งที่เราไม่สอนนั้นแหละชอบปฏิบัติ ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมท่าน อาจารย์จึงเรียนถามท่านว่าลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างไรท่าน
ตอบว่าเหมือน กันยิงฟันยิ้มนี่ก็เป็นความยุ่งยากอันหนึ่งเป็นปัญหาอัน หนึ่งของครูบาอาจารย์ที่จะช่วยลูกศิษย์..............................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:57:25 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #1 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:19:33 »
the way free from suffering
ธรรมะที่จะกล่าวในวันนี้เป็นธรรมะที่จะแก้ปัญหาในปัจจุบันในเวลาที่เราเกิดมาในชาตินี้ในวันนี้ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทบางกลุ่ม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดีเคยพูดว่าฉันมีธุระมากเกี่ยวแก่การงานไม่มี โอกาสที่จะทำความเพียรจะให้ฉันทำอย่างไร ?อาตมาตอบว่าโยม
ทำงานนั้นโยมหายใจหรือเปล่า ? เขาตอบว่าหายใจอยู่ทำไม ?โยมมีโอกาสหายใจเมื่อโยมทำ งานอยู่เขาก็ไม่พูด โยมมีสติอยู่เท่านั้นแหละ
ก็มีเวลามากเหลือเกินที่จะทำความเพียร ที่จะทำกรรมฐาน เหมือนกับลมหายใจเข้าออก เราทำงานอยู่ก็หายใจอยู่ นอนอยู่ก็หายใจอยู่นั่งก็
หายใจอยู่ทำไมมันมี โอกาสหายใจอย่างนั้น? ถ้าเรามีความรู้สึกถึงความมีชีวิตของเรากับลม หายใจนั้น มันก็ต้องมีเวลาอยู่ตลอดกาล
ใครเคยมีความทุกข์ไหม? ใครเคยมีความสุขไหม ? คิดดูซิเคยมีไหมนั่นแหละที่ธรรมะเกิดที่ตรงนี้ที่ ปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่ตรงนี้ใครเป็น
สุขใจมันเป็นสุขใครเป็นทุกข์ ใจมันเป็นทุกข์ มันเกิดที่ไหน มันดับที่นั่นกายและใจสองอย่างนี้ รวมมีเอามาแล้วทุกคน ไม่ใช่ว่าไม่มีหลัก
ปฏิบัติ หลักปฏิบัติมีอยู่แล้ว มีกายมีใจ เท่านั้นพอแล้ว ทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่นี้เคยมีความสุขไหม เคยมีความทุกข์ไหม ทำไมเป็นอย่างนั้น มัน
เป็นเพราะอะไรนี้คือ ปัญหาแล้ว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาล่ะถ้าเรารู้จักทุกข์รู้จักเหตุของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์มันก้แก้ปัญหาได้
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:48:51 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #2 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:20:35 »
the way free from suffering
ใครเคยมีความทุกข์ไหม ? ใครเคยมีความสุขไหมคิดดูซิเคยมีไหม? นั่นแหละที่ธรรมะเกิดที่ตรงนี้ที่ปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่ตรงนี้ใครเป็น
สุขใจมันเป็นสุข ใครเป็นทุกข์ ตกใจใจมันเป็นทุกข์มันเกิดที่ไหนมันดับที่นั่นกายและใจสองอย่างนี้รวมมีเอามาแล้วทุกคนไม่ใช่ว่าไม่มีหลัก
ปฏิบัติหลัก ปฏิบัติมีอยู่แล้ว มีกายมีใจ เท่านั้นพอแล้ว ทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่นี้ เคยมีความสุขไหม ขยิบตาเคยมีความทุกข์ไหม ทำไมเป็นอย่างนั้นมัน
เป็นเพราะอะไร นี้คือปัญหาแล้ว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาล่ะ ถ้าเรารู้จักทุกข์รู้จัก เหตุของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์มันก็
แก้ปัญหาได้ ตกใจไม่รู้จักอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลงของสังขาร สังขารมันเป็นวัฏฏสงสารสังสาเรทุกขัง ทุกข์ในสงสารมันเปลี่ยนเราไม่อยากให้มัน
เปลี่ยน เราคิดผิด มันก็ทุกข์ คิดถูกมันก็ไม่ทุกข์ คนเกิดขึ้นมาแล้วไม่เห็นสังขารอันนั้น เห็นสังขารว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา ไม่อยากให้
สังขารเปลี่ยนแปลงไปพูดง่าย ๆก็หมายความว่า เราหายใจเข้าออกออกไปแล้วก็เข้ามาเข้ามาแล้ว ก็ออกไป มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเราจึงมีชีวิตอยู่ได้ถ้าเราให้มันออกไป รูดซิบปากไม่ให้มันเข้ามามันก็อยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่ เรื่องเช่นนั้นเรื่องของสังขารมันเป็นอย่างนี้แต่เราไม่รู้จัก เช่นว่ามี
สิ่งของแล้วมันหายไปไม่อยากให้มันหายคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราไม่เห็นตาม สังขารที่มันหมุนเวียนอยู่ตามธรรมชาตินั้น มันก็เลยเกิดทุกข์
ขึ้นมายิ้มกว้าง ๆ ไม่เชื่อก็ลองดูซิ หายใจออกหายใจเข้ามันสบายอยู่ได้ ถ้าหายใจออกแล้วไม่เข้า หรือหายใจเข้าแล้วไม่ออกจะอยู่ได้ไหมสังขารมัน
เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ของมันอยู่อย่างนั้น จุมพิตเราเห็นว่ามันเป็นอยู่อย่างนั้น เห็นตามธรรมะ เห็นเรื่องอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลง เราอยู่ด้วย
อนิจจัง อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้วก็ปล่อย เรียกว่าการปฏิบัติธรรมให้มีปัญญารู้ตามสังขารอย่างนั้น ทุกข์ก็
ไม่เกิด ถ้าคิดเช่นนั้นมันก็ขัดต่อความรู้สึกของเรา ยิ้มขัดต่อความรู้สึกก็ขัดต่อธรรมะความเป็นจริงของ มันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราป่วยเข้าโรง
พยาบาล คิดในใจไม่อยากตาย อยากหายเท่านั้น คิดอย่างนั้นไม่ถูกเป็นทุกข์ ต้องคิดว่า หายก็หาย ตายก็ตาย เพราะเราแต่งไม่ได้ นี่เป็น
สังขาร คิดอย่างนี้ถูก ตายก็สบาย หายก็สบายต้องได้อย่างหนึ่งจนได้เราคิดว่าจะต้องหาย จะต้องไม่ตาย อย่างนี้มันเรื่องจิตของเราไม่รู้จัก
สังขารฉะนั้น เราก็ต้องคิด ให้มันถูก ว่าหายก็เอาไม่หายก็เอาตายก็เอาเป็นก็เอา ถูกทั้งสองอย่างสบายไม่ตกใจ ไม่ร้องไห้ ไม่โศกเศร้าเพราะ
มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงมองเห็นชัดธรรมะของท่าน ยังใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้าสมัย ไม่เปลี่ยนแปลงที่ไหน
ทุกวันนี้ยังมี ความจริงอยู่ อายจังยังไม่เสื่อม ยังเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ไปที่ไหนถ้า
ใครจะรับพิจารณาอย่างนั้น จะได้เกิดความสงบความสบาย ท่านให้อุบายว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวเราอันนี้ไม่ใช่ของเราแต่เราฟังไม่ได้ไม่อยาก
ฟังเพราะเราเข้าใจว่า นี่เป็นตัวเรา เป็นของเรานี่แหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดตรงนี้ให้เราเข้าใจอย่างนี้
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:53:03 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #3 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:22:23 »
the way free from suffering
เมื่อกลางวันนี้มีโยมคนหนึ่งมาถามปัญหาว่าเมื่อ มันมีความโกรธขึ้นมาจะให้ดิฉันทำอย่างไร ?อาตมาบอกว่าเมื่อมันโกรธขึ้นให้เอา
นาฬิกามาหมุนตั้งไว้บอกนั่นได้สอง ชั่วโมงให้โกรธมันหายนะลองดู ถ้ามันเป็นเราบอกได้สองชั่วโมงก็หายโกรธ แต่อันนี้ไม่ใช่เราสองชั่วโมง
มันก็ยังไม่หาย บางทีหนึ่งชั่วโมงมันก็หายแล้วจะไปเอาโกรธมาเป็นเรามันก็ทุกข์ซิ นี่ถ้าเป็นตัวเรา มันต้องได้ตามปรารถนาอย่างนั้น ถ้าไม่ได้
ตามปรารถนาก็ เป็นเรื่องโกหกเราอย่าไปเชื่อมันเลยมันจะดีใจก็อย่าไปเชื่อมัน จะเสียใจก็อย่าไปเชื่อ มันจะรักอย่าไปเชื่อมัน มันจะเกลียดก็อย่า
ไป เชื่อมันมันเรื่องโกหกทั้งนั้นให้คำตอบเขาอย่างนี้ใครเคยโกรธไหม ? เมื่อโกรธขึ้นมามันเป็นสุขหรือทุกข์ไหมถ้า
เป็นทุกข์ทำไมไม่ทิ้งมัน เอาไว้ทำไม นี่จะเข้าใจว่าเรารู้อย่างไรเล่าจะเข้าใจว่าเราฉลาดอย่างไร เล่า ตั้งแต่เราเกิดมานี้ มันโกรธเรากี่หนมา
แล้วบางวันมันทำให้ครอบครัวเราทะเลาะกันก็ได้ร้องไห้ทั้งคืน ก็ได้ขนาดนั้น ก็ยังเกิดความโกรธอีกยังเก็บมันเอาไว้ในใจอีก ทุกข์อีกอยู่
ตลอดเวลายิงฟันยิ้มตลอดถึงบัดนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าโยมทุกคนไม่เห็นทุกข์ มันก็จะทุกข์เรื่อย ๆไป ถ้าเห็นทุกข์วันนี้เอามันทิ้งเสีย เอามันทิ้ง ถ้าไม่ทิ้งมัน
มันจะให้เรา ทุกข์จนตลอดวันตายไม่ได้หยุดวั อายจังฏฏสงสารก็ต้องเป็นอย่างนี้ถ้าเรารู้จักทุกข์ อย่างนี้ ก็แก้ปัญหาได้เท่านั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า
ไม่มีอุบาย อะไรที่จะดีไปกว่านี้ อุบายที่จะไม่มีทุกข์ รูดซิบปากก็เห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ตัวอันนี้ไม่ใช่ของ ตัวเท่านี้ อันนี้เลิศแล้ว อันนี้ประเสริฐแล้ว แต่เราไม่ค่อยได้รับฟัง เมื่อทุกข์ทุกทีก็ร้องไห้ทุกที ยังไม่จำอีกนี่ ทำไมจึงเป็นอย่าง
นั้นทำไมไม่ดูนาน ๆ ท่านอาจารย์สอนให้ดู ให้ภาวนาพุทโธ ให้เห็นชัด............................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:54:03 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #4 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:26:24 »
the way free from suffering
ระวังบางคนจะไม่รู้ว่าธรรมะนะนี่คือธรรมะนอกคัมภีร์คนเราไปอ่านแต่คัมภีร์แล้วไม่เห็นธรรมะวันนี้ อธิบายธรรมะนอกคัมภีร์แต่อยู่ใน จุมพิต
ขอบเขตบางคนฟังแล้วจะไม่รู้เรื่องจะไม่เข้าใจ ในธรรมะ ถ้าเราไม่เข้าใจในธรรมะเราจะมีความทุกข์ตลอดไปสังขารมันเกิด ขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เรื่องธรรมดาอย่างนี้ยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง คนสองคนเช่นคนนี้กับคนนี้เดินไปด้วยกัน เห็นเป็ดตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่ง คนหนึ่งว่าแหม....ไก่ทำไมไม่ เหมือนเป็ด เป็ดทำไมไม่เหมือนไก่คิดอยากจะให้ไก่เป็นเป็ด คิดอยากจะให้เป็ดเป็นไก่ มันก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อมันเป็นไป
ไม่ได้โยมก็ คิดว่าแหมอัศจรรย์เหลือเกิน ทำไมไก่ไม่เป็นเป็ดอยากจะให้เป็ดเป็นไก่อยู่ตลอดเวลา ในชั่วชีวิตหนึ่ง ๆ มันก็ไม่เป็นให้เพราะเป็ดก็
เป็นเป็ด - ไก่ก็เป็นไก่ เจ๋งถ้าคนนี้คิดอย่างนี้ไม่หยุดก็ต้องทุกข์ ตกใจคนที่สองเห็นยิ้มกว้างๆว่าเป็ดก็เป็นเป็ด โกรธไก่ก็เป็นไก่นั่นแหละแล้วก็เดินผ่านไป ปัญหาไม่มี เห็นถูก แล้วที่เป็นเป็ดให้เป็นเป็ดไปเป็นไก่ก็ให้เป็นไก่ไปเสีย คนที่อยากให้
เป็ด เป็นไก่ อยากให้ไก่เป็นเป็ดอยู่นั่นแหละก็เป็นทุกข์มากอย่างนี้ก็เหมือน กับอนิจจังเป็นของไม่เที่ยงอยากจะให้มันเที่ยงมันก็ไม่เที่ยง
เมื่อมัน ไม่เที่ยงเมื่อไร ก็เสียใจเมื่อนั้น ถ้าใครเห็นว่า อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง อย่างนั้น คนนั้นก็สบายไม่มีปัญหา คนอยากให้มันเที่ยงก็มีปัญหา
เป็น ทุกข์เป็นร้อนบางทีนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็เป็นได้ นี้เรียกว่าไม่รู้เรื่องของอนิจจัง ตามความจริงเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า
เมื่ออยากรู้ธรรมะจะไปดูที่ไหนได้ดู อยู่ที่กายของเรานี้แหละดูอยู่ที่ใจของเรานี้แหละไปดูในตู้ไม่พบ ไม่เห็น จะรู้ธรรมะอย่างแท้จริงต้องดูในกายของเรานี้เรียกว่า รูปธรรม รู้เข้าไปอีกชนิ ดหนึ่งไม่มีรูปมี รูดซิบปากปรากฏอยู่คือ นามธรรม มีสองอย่างเท่านั้นรูปธรรมมองเห็นด้วยตาของเราที่นั่งอยู่นี่ แต่นามธรรมมองไม่เห็น นามธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะมองดูด้วยตาเนื้อได้ ต้องมองดูด้วยตาใน คือตาใจ มองดูในใจถึงจะเห็นนามธรรม โกรธคนจะบรรลุธรรมะจะได้เห็นธรรมะต้องรู้จักว่า ธรรมะอยู่ตรงไหน เสียก่อน ถ้าธรรมะอยู่ที่กาย ก็ต้องมาดูที่กายของเราดูตั้งแต่นี้ลงไป เอาอะไรมาตรวจดูตรงนี้เอานามธรรมคิดตัววิญญาณธาตุดูกายนี้ไปดูที่อื่น ไม่พบ เพราะความสุข ความทุกข์เกิดจากที่นี่ หรือใครเห็นความสุขเกิดจาก ต้นไม้ มีไหม เกิดจากแม่น้ำ มีไหม ? เกิดจากดินฟ้าอากาศมีไหม ? ความสุข ความทุกข์ เป็นความรู้สึกทางกายทางใจของเรานี่เองฉะนั้นพระ พุทธองค์ท่านให้รู้จักธรรมะ ให้มาดูธรรมะที่กายของ
เรานี้ โกรธคือธรรมะอยู่ที่นี่จงมาดูที่นี่ อย่างท่านอาจารย์ท่านสอนนี้ ท่านให้มาดูที่ตัวธรรมะ แต่เราเข้าใจว่าตัวธรรมะอยู่ที่หนังสือจึงไม่เจอถ้าดู
หนังสือก็ต้องน้อม เข้ามาในนี้อีกจึงจะรู้จักธรรมะอย่างนี้ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้จริง อยู่ที่ไหนอยู่ที่นี่ อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจนี้ จุมพิตให้เอาใจนี้พิจารณา
กายนี้เป็นหลักการพิจารณา............................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:54:37 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #5 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:30:33 »
the way free from suffering
ฉะนั้นจึงทำปัญญาให้เกิดขึ้น ในจิตของเราเมื่อปัญญาเกิดขึ้นในจิตของเราแล้วจะมองไปที่ไหนจะมีแต่ ธรรมะทั้งนั้นเห็นอนิจจังทุก -
ขัง อนัตตา ตลอดเวลา อนิจจังเป็นของไม่เที่ยงทุกขังถ้าไปยึดว่ามันเที่ยง ก็เป็นทุกข์ เพราะอันนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นโกรธกลับเห็นว่าเป็นตัวเป็นอยู่เสมอเห็นว่าเป็นของของตนอยู่ทุกเวลา คือเราไม่เห็นสมมุติ รู้จักสมมุติกันเสียเถิด เช่นเราทุกคนที่นั่งในที่นี้มีชื่อทุกคน
ชื่อเรานี้เราตั้งใหม่หรือมัน เกิดพร้อมกันกับเรา หรือมีชื่อติดตามมาตั้งแต่วันเกิดเข้าใจไหม นี้สมมุติ สมมุติประโยชน์ไหม มีประโยชน์เช่น สมมุติ
ว่า ชื่อ.นาย ก. นาย .ข นาย.ค นาย.ง มันก็เป็นคนด้วยกันทั้งหมดต้องเอาชื่อคนมาใส่เป็นให้สะดวก แก่การพูด สะดวกแก่การงานเท่านั้นแหละ
เช่น เราต้องการใช้นาย ก ก็เรียกนาย กนาย ก ก็มา นาย ข นาย ค นาย.ง เฉยเสียไม่ต้องมาสมมุติมันสะดวกเท่านี้ ถ้าไม่มีสมมุติ เราจะเรียกคน
มาใช้สักหนึ่งคน ถ้าเรียกว่าคนๆ คนๆทั้งหมดก็จะลุกขึ้นมา ก็ใช้ไม่ได้จะทำอย่างไรฉะนั้นสมมุติจึงมี ประโยชน์ คือสะดวกแก่การใช้เท่านั้น เมื่อ
ตามดูเข้าไปแล้วที่จริงไม่มี ใครทั้งนั้น มันเป็นวิมุติ มีดินมีน้ำ มีไฟ มีลมเท่านั้นแหล ที่เป็นสกลร่างกายของเรานี้ แต่เรามองไม่ค่อยจะเห็น
เพราะมีอุปาทาน อัตตาอุปาทาน มันไม่เห็น ถ้าเราเห็นชัดจะเห็นว่าตัวของคน ๆ หนึ่งไม่มีอะไรมาก ส่วนที่มันเคลื่อนแข็งก็เป็นดิน ส่วนที่เหลวก็
เป็น น้ำ ส่วนที่ร้อนก็เป็นไฟ ส่วนที่พัดไปมาก็เป็นลม มีดิน มีน้ำ มีไฟ มีลม ผสมกันเข้าไปเป็นก้อนก็เรียกว่ามนุษย์ รูดซิบปากเมื่อมันแยกกันออกไปอีกส่วนดินที่เป็นดินไป ส่วนน้ำก็เป็นน้ำไป ส่วนไฟก็เป็นไฟไป ส่วนลมก็เป็นลมไป เป็นคนที่ไหนคนไม่มีเลย มันเป็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึง
สอนว่า ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการที่เราเข้าใจว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นของ สมมุติอันนั้นไม่ใช่ของข องเราแต่เป็นของสมมุติ ถ้าเราเข้าใจสิ่ง
ทั้ง หลายแจ่มแจ้งเป็นธรรมะแล้ว ก็จะสบายใจ ถ้าเรารู้ในปัจจุบันอย่างนี้ว่า มันไม่เที่ยง อันนี้ก็ไม่ใช่เรา อันนั้นก็ไม่ใช่ของเรา ให้เห็นอยู่อย่างนี้ถ้า อันนี้วิบัติเมื่อไรก็สบายใจเหมือนกัน ถ้าอันนั้นจะวิบัติไป แยกกันไปเมื่อไรใจก็สบาย เพราะไม่มีของใคร เป็นแต่ดินน้ำ ไฟ ลม เท่านั้นแต่
คนเราจะ เห็นตามได้ยาก แต่ถึงจะยากก็ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ หากเราเห็นเช่นนั้น ได้ก็สบายใจ ใจจะไม่ค่อ ยโกรธ ไม่ มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มี
หลงจะมีธรรมะอยู่สม่ำเสมอ ไม่ต้องอิจฉาพยาบาทกัน เพราะต่างก็เป็นดิน เป็นน้ำเป็นไฟ เป็นลมเหมือนกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อยอม
รับว่าเป็นจริงอย่างนั้น ก็เห็นจริงในธรรมะเมื่อเห็นจริงในธรรมะแล้วก็ไม่ต้อง เปลืองครูบาอาจารย์ เจ๋งไม่ต้องสอนกันทุกวันหรอก เมื่อรู้แล้วก็จะทำตามหน้าที่เท่า นั้น เศร้าแต่เดี๋ยวนี้ที่เราสอนยากลำบาก คือมันไม่ยอมรับ ยังเถียง ครูบาอาจารย์อยู่ยังเถียงพระธรรมวินัยอยู่ถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ก็ทำ ดีเสียหน่อยหนึ่ง แลบลิ้นเมื่อลับหลังครูบาอาจารย์ ก็เป็นขโมยเสียเป็นเรื่อง ที่สอนยากอย่างนี้โยมเมืองไทยเป็นอย่างนั้นจึงต้องเปลืองครูบาอาจามาก
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:55:08 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #6 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:34:20 »
the way free from suffering
ระวังนะ !.....ระวัง.......! ไม่ดีไม่เห็นธรรมะนะต้องระวังให้ดีต้องนำไปพิจารณา ให้เกิดปัญญาดอกไม้นี้สวยไหม ดูซิ ! เห็นสิ่งที่ไม่สวยในนี้หรือเปล่า เห็นสิ่งที่ไม่สวยในสิ่งที่สวยหรือเปล่า มันจะสวยไปกี่วัน ต่อไปมันจะ เป็นอย่างไรทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นอีก 3 - 4 วัน ก็ให้เอาไปทิ้ง ใช่ไหม เพราะหมดความสวย มันไม่สวยเสียแล้ว นี่คือคนติดความสวย ติดความดี ถ้ามีความดีก็ดี ดี ดี พระพุทธองค์ของเราท่านตรัสว่า
สวยก็พึง ว่าสวยเฉย ๆ อย่าไปติดมันถ้ามีความดีใจก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมันเลย ที่ว่าดีนี้ก็ไม่แน่สวยนี้ก็ไม่แน่ ไม่แน่สักอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรจะแน่
นอน ในโลกนี้นี่คือความจริงของที่ไม่จริง คือสวยไม่จริง ! มันจริงแต่ว่ามัน จะเปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ถ้าเราเห็นว่ามันสวย ๆ
อย่าง นี้ ยิงฟันยิ้มเมื่อหมดความสวยไปใจเราก็ไม่สวย ถ้ามันหมดความดีแล้วใจเราก็ไม่ดีด้วยเราเอาใจไปฝากกับวัตถุต่างๆอย่าง นี้ หากว่ามันเสียหายไปเราก็ทุกข์เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้ เป็นของเรา พระพุทธเจ้าท่านให้รู้จักว่ามันเป็นธรรมชาติของมันเท่านั้น สวย เกิดขึ้นมาอีกไม่กี่วันก็หายแล้วอย่างนี้ปัญญาก็เกิดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงให้เห็นอนิจจัง เห็นว่ามันสวยก็ว่าไม่ใช่เห็นว่าไม่สวยก็ ว่าไม่ใช่เห็นว่าดีก็ไม่ใช่ให้เห็นไว้อย่างนี้ ดูอยู่เสมออย่างนี้ รูดซิบปากจะเห็นความจริงในสิ่งที่ไม่จริงจะเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น
วันนี้อธิบายให้รู้จักทุกข์สิ่งที่ให้เกิดทุกข์ สิ่งที่ดับทุกข์ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ สี่อย่างนี้ รู้จักทุกข์เมื่อทุกข์แล้วก็ทิ้งรู้จักเหตุที่
จะให้ทุกข์เกิดแล้วก็ทิ้ง ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็เห็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตาเป็นของไม่แน่ นอน ทุกข์แล้วก็ดับมันดับแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เรา
ปฏิบัติแล้วจะเอาอะไร ปฏิบัตินี้ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอา อย่างโยมที่ถามเมื่อกลาง วันนี้ว่าเป็นทุกข์ อาตมาถามว่าโยมอยากเป็นอะไร ? ตอบว่าอยากตรัสรู้ธรรมอยากตรัสรู้ธรรมมันไม่ได้ ตรัสดอก อย่าให้มันอยากเลยอาตมาบอกไปจะรู้หรือไม่ก็ตามเถอะ เมื่อรู้จักทุกข์ตามความจริงมันก็ทิ้ง
ทุกข์ รู้จักเหตุให้ทุกข์เกิด ที่ไหนทุกข์จะเกิด ก็ไม่ทำมันจะปฏิบัติมันก็ดับทุกข์ที่ปฏิบัติให้ถึง ความดับทุกข์อันนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่เราใช่เขา ตกใจ
เห็นเช่นนี้ทุกข์ก็ดับ เหมือนคนเดินทางไปเดินไป ไปถึงแล้วก็หยุดอยู่ มันดับ นั่นใกล้ต่อพระนิพพานง่าย ๆ เดินไปก็เป็นทุกข์ ถอยกลับก็เป็นทุกข์
หยุดอยู่ก็เป็นทุกข์ เดินไปก็ไม่เดิน ถอยกลับก็ไม่ถอย หยุดอยู่ก็ไม่หยุดมีอะไรเหลือไหมดับ รูปมันดับนามมันก็ดับนี้เรียกว่าดับทุกข์ฟังยากสัก
หน่อยนะถ้าหากเรา ภาวนาพิจารณาเรื่อยๆ มันจะพ้นขึ้นมาแล้วจะรู้จักมันจะดับของมันอย่าง นั้น ที่สุดคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น หมดล่ะ จุมพิต
ไม่เป็นอะไรละหมดพระพุทธเจ้าสอนจบตรงนี้ละหมดจบลงที่นี่.........................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:55:35 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #7 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:37:50 »
the way free from suffering
วันนี้อธิบายธรรมะให้ญาติโยมและถวายท่านอาจารย์ ถ้าหากว่าผิดพลาดประการใด ขยิบตาขออภัยด้วยแต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันผิด มัน
ถูก ฟังไว้ก่อน ให้รู้จักผิด รู้จักถูกถ้าเหมือนกับเอาผลไม้ชนิดหนึ่งถวายท่านอาจารย์ และฝากญาติโยมทุก ๆ คนอาตมาบอกว่าผลไม้นี้มันหวาน
นะก็ขอให้ฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันหวานล่ะ เพราะเมื่อไม่รู้จักรสผลไม้ ที่มันเปรี้ยวเอามือจับมันก็ไม่รู้เปรี้ยว ผลไม้นี้มันหวานถวายให้จับดู
มัน ก็ไม่รู้หวาน ฉะนั้นที่เทศน์ให้ฟังวันนี้ อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าอยากจะรู้จักรสเปรี้ยว หวาน ของผลไม้ ก็ต้องเอามีดไปเฉือนแล้วเคี้ยวดูในปากนั่น
แหละหากมัน เปรี้ยวก็จะรู้สึกเปรี้ยว หากมันหวานก็จะรู้สึกหวาน ทีนี้เชื่อได้แล้ว เพราะเหตุใดจึงเชื่อ เพราะว่าเป็นปัจจัตตังแล้วมีพยานตัวเราจะเป็นพยาน ของตัวเราแน่นอนแล้วทีนี้ ฉะนั้น ผลไม้ที่อาตมาฝากให้วันนี้
อย่าเพิ่ง เอาไปทิ้งเก็บไว้ทานให้รู้รสเปรี้ยวหวานเสียก่อนจนเป็น....สิขีภู........โตตัวเราเป็นพยานของเราแล้วแน่นอน
พระพุทธเจ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์นะอาชีวกไปถามท่านว่า ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าเราไม่มีครูไม่มี
อาจารย์อาชีวก ยิ้มกว้างๆก็สบัดหน้าไปเลย คือบอกความจริงเกินไป บอกความจริงกับคนไม่รู้จักความจริง ไม่เชื่อ ไม่รู้จักฟังไม่รู้จักเอาฉะนั้น วันนี้
อาตมา ถึงบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อ คนไปเชื่อคนอื่นเขาท่านว่าคน โง่ยิงฟันยิ้มเพราะไม่มีพยานในตัวของเรา ดังนั้น ให้ยึดพยานใจตัวของเรา
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเลยว่า พระพุทธองค์ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์อย่างนี้เป็นความจริง ยิงฟันยิ้มแต่เราคิดให้ถูกนะ ถ้าคิดไม่ถูกแล้ว ไม่เคารพ เจ๋ง
อาจารย์นะไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ อย่าไปว่านะ แลบลิ้นถ้าครูอาจารย์สอนถูกมาแล้ว เรารู้จักปฏิบัติ เศร้าเห็นถูกเห็นผิด รู้ขึ้นมาตามครูบาอาจารย์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:56:09 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
Re: the way free from suffering
«
ตอบ #8 เมื่อ:
04 มิถุนายน 2553 09:43:02 »
the way free from suffering
วันนี้พวกเราทั้งหลายมีโชคดีอาตมามีโอกาสรู้จัก ญาติโยมทุกๆคนและได้พบกับท่านอาจารย์ไม่น่าจะมาเห็นกันนะ จุมพิตเพราะอยู่ไกลกันมากวันนี้อาตมาเห็นว่าจะต้องมี เหตุปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุอย่างนี้อย่าลืมนะจะต้องมีเหตุอันหนึ่ง
บางทีสมัยก่อน อดีตชาติ อาตมาได้มาเป็นพี่ๆน้อง ๆ ของญาติโยมแถวๆ นี้ก็เป็นได้ ถ้าพูดถึงเหตุมันเป็นอย่างนั้น คนอื่นไม่ได้มา แต่อาตมาได้
มาทำไม หรือว่าจะมาสร้างเหตุเดี๋ยวนี้ก็ได้ ฉะนั้นจึงฝากธรรมไว้ให้ญาติพี่น้อง ทั้งหลายคนแก่ก็เป็นพ่อเป็นแม่คนมีอายุเสมอ ๆ กันก็เป็นเพื่อนคน
อายุน้อยๆ ก็เป็นลูกหลานทุก ๆ คน ขอฝากความอาลัยไว้จุมพิต ณ.ที่นี้ ญาติโยมทั้งหลายจงเป็น ผู้ขยันขันแข็ง เจ๋งหมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติไม่มีอะไร
แล้วจะยิ่งกว่าธรรมะ ขยิบตาธรรมะนี้เป็นเครื่องที่ค้ำจุนโลกเหลือเกิน ทุกวันนี้เราจะไม่สบาย กระสับกระส่ายก็เพราะไม่มีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะก็จะสบาย
อาตมาก็ดีใจที่ได้ช่วยท่านอาจารย์และช่วยญาติโยมด้วยจึงขอฝากความอาลัยไว้ บางทีพรุ่งนี้คงได้จากไป ไปที่ไหนก็ยังไม่ทราบอย่างนี้
เป็นเรื่องธรรมดา มาแล้วก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องมา มันเป็นเรื่องอย่างนี้ไม่ควรดีใจและไม่ควรเสียใจ สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข ได้แล้วก็เสียไปเสียไปแล้วก็ได้มาเป็น เรื่องธรรมดาญาติโยมจงเข้าอยู่ในธรรมะจะ รูดซิบปากไม่มีความเดือด ร้อน ทุกๆคน ผลที่สุดนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเป็นคน
มีโชคดี โชคอย่างใหญ่หลวงคือโชครู้จักธรรมะนั่นแหละเป็นโชคดีที่สุดแล้วในวาระสุดท้ายญาติโยมทุกคนมีความสงสัยอะไรในใจ ให้ถาม
ปัญหาได้มีไหมล่ะ ? สมัยก่อนครั้งพุทธกาลเรื่องสาวกไม่ชอบพระ ตกใจพุทธเจ้าก็มีเพราะพระพุทธเจ้าบอกให้ขยันไม่ให้ ประมาทสาวกที่ขี้เกียจ
กลัวละเกลียดเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน สาวกกลุ่มหนึ่งร้องไห้ว่าพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพาน แล้วจะไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์
สอนเราสาวกกลุ่มนี้ก็โง่สาวกอีกกลุ่ม หนึ่งยกมือสาธุ พระพุทธเจ้าตายแล้วเราสบาย ไม่มีใครบังคับเรากลุ่มที่ 3 เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วก็สบายใจปล่อยสลดสังเวชในสังขารนี่มี กลุ่มหนึ่งกลุ่ม 2 กลุ่ม 3 เราจะเอากลุ่มไหนล่ะ ? จะเอากลุ่มสาธุหรือจะเอากลุ่มไหน ?กลุ่มหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วก็ร้องไห้นี่คือคนที่ไม่ถึง ธรรมะกลุ่มที่สองนั่นเกลียดไปทำอันนี้ก็ไม่ได้ ทำอันนั้นก็ไม่ได้ผิดทั้ง นั้นกลัวท่านจะดุเอา อายจังกลัว ท่านจะว่าเอาเมื่อท่านปรินิพพานแล้วสบาย ใจทุกวันนี้เช่นกันบางทีท่านอาจารย์อาจจะมีลูกศิษย์เกลียดเหมือนกันละนะ เกลียดอยู่ในใจ อดไว้ คนมีกิเลสก็ต้องเป็นทุกคนแม้แต่พระพุทธองค์ยังมี สาวกรังเกียจอาตมามีลูกศิษย์รังเกียจเหมือนกันไป
บอกให้เขาทิ้งความชั่ว เขาเสียดายความชั่ว เขาก็เกลียดเราอย่างนี้ก็มีเยอะ ฉะนั้นปัญญาชนทั้งหลายให้ พากันตั้งอยู่ในธรรมะให้แน่นหนา
......................จบตอน...........................
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 09:56:36 โดย บางครั้ง
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หนทาง
ธรรมมะ
หลวงพ่อชา
บางครั้ง
เทศนา
พุทธธรรม
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...