[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 16:07:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมญาณ - จิตเดิม  (อ่าน 3785 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 04 มิถุนายน 2553 10:21:34 »




Gautama Buddha's Aung Chin Schit Par = So Sandar Tun



เป็นการยากยิ่งที่จะอธิบายสภาวะ นั้นด้วยภาษาคนเพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าจิตเดิมแท้แต่ในที่นี้เรียกว่าธรรมญาณอันเป็นญาณที่มาจากธรรมชาติดั้งเดิมแท้จึงการค้นพบภาวะธรรมญาณของตนเองจึงเป็นเรื่องที่ลึกล้ำและยากนักท่าน หงเหยิ่น พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า
จึงเรียกประชุมศิษย์ทั้งปวงแล้วกล่าวว่าการ เวียนว่ายตายเกิดเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่มีใครเอาใจใส่แทนที่จะหาหนทางพา ตัวเองให้พ้นไปจากทะเลทุกข์แห่งการเวียนเกิดและเวียนตายอันไม่มีที่สิ้นสุดกลับ พากันหมกมุ่นอยู่แต่บุญกุศล ที่มีตัณหาชักนำอันเป็นต้นเหตุให้เกิดใหม่
ถ้าธรรมญาณยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งปวงก็หามีประโยชน์อันใดไม่จนตั้งใจค้น หาปัญญาของตนเองแล้วเขียนโศลกว่าด้วยเรื่องของ ธรรมญาณ
ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า ธรรมญาณ นั้นเป็นอย่างไรผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปริณายก
พร้อมทั้งธรรมะอันเป็นคำ สอนเร้นลับแห่งนิกายเซ็นและจะสถาปนาขึ้นเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หก แห่งนิกายเรา
อย่ามัวรีรอตรึกตรองเพราะไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์อะไรผู้ที่รู้แจ้งชัดในธรรมญาณจะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนคุยด้วยและมัน ไม่เลื่อนลอยไปจากธรรมจักษุของเขาแม้จะชุลมุนวุ่นวายอยู่ท่ามกลางสนามรบก็ตาม วจนะของท่านหงเหยิ่นเป็นความจริงจนถึงการสมัยปัจจุบันมนุษย์ยัง คงเวียน
ว่ายอยู่ในทะเลทุกข์โดยมิได้รู้สึกว่ากำลังจมอยู่ในห้วงทะเลแห่ง การเกิดและตายเขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงปัญหานี้ ก็ต่อเมื่อความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า
และพากันบอกหนทางโดยหวังว่าจะช่วย ให้พ้นไปจากนรกอเวจีและเชื่อว่าบุญกุศลที่ได้สั่งงสมเอาไว้ทำให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเก่า
การสร้างบุญกุศลเช่นนี้กระทำได้ง่ายกว่าการใช้ปัญญา ค้นคิดหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์อันเกิดจากเวียนว่ายตายเกิดมนุษย์จึงมี บุญ และ บาป

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 10:36:47 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2553 10:27:51 »




เป็นเหตุปัจจัยให้ไปเวียนเกิด เวียนตายเพื่อไปรับผลอันมาจากเหตุที่ตนเองสร้างไว้ไม่มีที่สิ้นสุดการ สร้างบุญจึงไม่ต่างอะไรกับการหาเงินฝากธนาคารเอาไว้เป็นของตนเมื่อใช้จน หมดแล้ววิถีแห่งชีวิตก็ต้องยากจนลงไปเหมือน กินบุญ หมดแล้วจึงไป รับบาป ชดใช้หนี้สินหมดแล้วจึงไป กินบุญ
เวียนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ไม่เข้าใจทุกข์แห่งการเกิดและตายจึงทำบุญด้วยการอยากเกิดใหม่ เพื่อให้ได้ชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้นเองวิถีแห่งชีวิตจึงไม่พ้นไปจากวัฎสงสาร เพราะตัณหาเป็นตัวชักนำแต่พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายการเกิด - ตายทรง เล็งเห็นเป็นความทุกข์อันแท้จริงจึงทรงสละฐานันดรกษัตริย์
ซึ่งปุถุชน เห็นเป็นความสุขสมบูรณ์อันสูงงสุดทิ้งเสียและทรงค้นคว้าหาหนทางที่ สามารถไปพ้นจากทะเลทุกข์ทรงลำบากตรากตรำทั้งปฏิบัติและศึกษานานถึง ปี เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหกพระพุทธองค์ทรงค้นพบญาณทวารและวิถีจิต อันเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณทวารเป็นประตูวิเศษอันเร้นลับ
ซึ่งพระพุทธทีปังกรเคยพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจัก สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปน์ได้นิมิตเป็นแสงดาวสว่างวาบตรงจุดนั้นวิถีแห่งจิต เป็นหนทางอันตรงต่อประตูวิเศษซึ่งเป็นทางสายกลางอนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นปัญญาอันยิ่งเพราะรู้ถึง ธรรมญาณซึ่งพ้นไปจากการเวียน ว่ายตายเกิดอันแท้จริงเพราะสภาวะแห่งธรรมญาณนั้น มิได้ เกิด จึงมิได้ ตาย และไม่อาจนำเอาบัญญัติใด ๆในโลกนี้มาเทียบเคียงหรือ อธิบายให้ใครเข้าใจได้เลย เพราะสภาวะนั้นพ้นไปจากรูป และ นาม อนุตตรธรรมที่พุทธองค์ตรัสรู้จึงเป็นเรื่องรับรสได้เฉพาะตนแต่เหตุไฉน ตลอด พรรษา พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้พระ พุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้แนะหนทางเท่านั้น ส่วนการเดินไปสู่จุดหมายปลายทางล้วนต้องประคองจิตด้วยตนเองทั้งสิ้นและเพื่อมิได้ อนุตตรธรรมสูญหายไปจากโลกนี้พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดประตู วิเศษนี้ไว้ด้วยวิธีอันเร้นลับ มิได้ถ่ายทอดโดยเปิดเผย
สมกับคำกล่าวโบราณที่ว่าไม่รู้ถึงหูที่หกสมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางสงฆ์สาวกล้วนเป็นพระอรหันต์ 1,250 รูป ณ ภูเขาคิชฌกูฏ แห่งกรุงราชคฤห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 10:37:19 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2553 10:32:21 »




และมิได้ตรัสประการใดจึงมีผู้ทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเหตุไฉนวันนี้ พระองค์จึงมิได้ตรัสเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เลย
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรง ชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งแล้วตรัสว่า "ตถาคตมีธรรมจักษุอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ อยู่ในครรโภทรlที่ประชุมสงฆ์สาวกทั้งนั้นมีแต่พระมหากัสสปะซึ่งเป็นผู้ สูงอายุหน้าตายับยู่ยี่ด้วยเร่งบำเพ็ญเพียรจนไม่เคยยิ้มเลยตลอดเวลาที่ ปฏิบัติธรรมอยู่
เมื่อเห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงรหัสตรัสเช่นนี้จึงรู้ได้ ด้วยไวปัญญาพระมหากัสสปะจึงยิ้มครั้งแรกในชีวิตและแสดงกริยาก้มหน้าเป็น การตอบรับ
พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า ตถาคตได้ส่งมอบธรรมะนี้แก่ พระมหากัสสปะแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้มีปัญญา อันเลิศจึงทรงแลกบาตรและจีวรกับพระมหากัสสปะ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือบรรดาพระอรหันต์ทั้งรูป นั้นมิได้รู้อนุตตรธรรมเหตุ ไฉนจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้เล่าคำตอบอยู่ ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรง สั่งสอนและประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้
เช่นเดียวกับพระ มหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง ประตูวิเศษ แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง ทวารวิเศษ
บรรดาสงฆ์สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเอง ในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึงทวารวิเศษนี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร
เมื่อพระมหากัสสปะได้รับการถ่ายทอด ทวารวิเศษและประคองจิตของตนเองอยู่ในหนทางสายกลาง จึงย่อมเสมอเหมือนพระพุทธองค์
เพราะฉะนั้นบาตรและจีวรของพระพุทธองค์ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการถ่ายทอด ทวารวิเศษของอนุตตรธรรมสืบต่อกันมาจนถึงพระธรรมาจารย์ หงเหยิ่น องค์ที่ห้าในครั้งนั้นพระมหากัสสปะจึงเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่หนึ่งซึ่งได้รับรู้ประตูของ ธรรมญาณ อันเป็นหนทางแห่งอนุตตรธรรม นั่นเอง กิเลสกับความทุกข์ไม่แยกจากกัน มีกิเลสเมื่อใด ก็มีความทุกข์เมื่อนั้นมี ความทุกข์ที่ไหนมีกิเลสเป็นต้นเหตุ เป็นสมุฏฐานอยู่ที่นั่น มีกิเลสอยู่ที่ไหน มันต้องมีรากฐาน
คือ รูป เสียง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรากฐานอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นคำว่าโลก หมายถึง เสียง กลิ่น รส ธัมมารมณ์ และสัมผัสได้ หมายถึง กิเลสก็ได้ หมายถึงความทุกข์ก็ได้ฉะนั้นคนที่อยู่ในโลกนี้ คือ กิเลส หรือ ในอารมณ์ หรือใน กิเลส ในความทุกข์ นี้เรียกว่าเป็นคนบ้าได้ทั้งนั้น
พระพุทธเจ้า หรือ พระอริยะเจ้า ท่านไม่อยู่ในอารมณ์ หรือว่าใน กิเลสฉะนั้นเขาจึง จัดพระอริยเจ้าไว้ว่าอยู่เหนือโลก คือ เป็น โลกุตตระ ฉะนั้นจึงไม่บ้า
จึง พ้นจากการเป็นคนบ้าส่วนคนที่จมอยู่ใน รูป กลิ่น รส สัมผัส เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย นั่นแหละ คือคนที่ทนทุกข์อยู่ แล้วนั่นแหละคือ คนบ้า



...............................................จบ..........................................



...........................................UFO..........................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มิถุนายน 2553 10:39:17 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น: ญาณ จิต ตาย เกิด ธรรม 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.233 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 01 กุมภาพันธ์ 2567 08:02:27