[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 มิถุนายน 2568 21:27:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การจัดการศพพระยาช้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  (อ่าน 411 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6075


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2568 18:46:41 »


พระเศวตสกลวโรภาส ช้างต้นในพระบาทสมเด็๋จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยืนแท่นช้างพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว



การจัดการศพพระยาช้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
------------------------------------

สังคมไทยมีความสัมพันธ์กับสัตว์ใหญ่เช่นช้างในหลายด้าน เช่น ใช้แรงงานเพื่อชักลากไม้ บรรทุกสิ่งของ เป็นพาหนะในการเดินทาง เป็นอาวุธในการทำลายที่ตั้งของข้าศึก ในราชการสงครามตามยุทธวิธีการรบสมัยโบราณ เป็นพระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากพละกำลังของช้างแล้ว ในดินแดนเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งประเทศไทยต่างก็มีคติความเชื่อที่ว่า ช้างเป็นสัตว์สำคัญ เป็นสัตว์คู่บุญบารมีของพระมหากษัตริย์

“...คราวหนึ่งพระเจ้ามินดงได้ช้างเผือกใหม่มาเชือกหนึ่ง เมื่อช้างมาถึงมัณฑะเลก็มีการสมโภชเป็นการใหญ่ ตามเรื่องว่าช้างเผือกได้รับพระราชทานเครื่องประดับอย่างวิเศษ มีเครื่องเพชรเครื่องพลอยและทองคำ ได้รับผลประโยชน์จากภาษีอากรที่ดิน...”

ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ช้างเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรวาล ในทางพระพุทธศาสนา ช้างเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นมงคลแห่งการบำเพ็ญทานบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ จึงเชื่อกันว่าเมื่อพบช้างเผือก จะนำสิริมงคลอันอุดมให้แก่บ้านเมือง ช้างเผือกนั้นเป็นรัตนะคู่พระบารมีขององค์พระมหากษัตริย์ สิ่งหนึ่งใน ๗ สิ่ง ซึ่งเรียกว่า สัปตรัตนะ อันได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ดวงแก้ว (มณี) และนางแก้ว  เมื่อพบช้างเผือกหรือช้างสำคัญพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวางเป็นช้างต้นหรือช้างหลวงตามโบราณราชประเพณี


ช้างเผือก
ราชสำนักสยามให้ความสำคัญกับช้างที่ต้องตามพระตำราคชลักษณ์  โดยเฉพาะ “ช้างเผือก” ซึ่งนับว่าเป็นมงคลอันสูงสุดแก่องค์พระมหากษัตริย์และบ้านเมือง ทั้งนี้ได้มีการจำแนกช้างเผือกลดหลั่นจากลำดับสูงสุดลงไป หากช้างมีผิวขาวแบบสีสังข์ หรือสีทองเนื้อริน จัดว่าเป็นช้างเผือกเอก หากมีผิวสีบัวโรย จัดว่าเป็นช้างเผือกโท หากผิวสียอดตองตากแห้ง สีแดงแก่ สีแดงอ่อน สีทองแดง สีเมฆ และสีดำ จัดว่าเป็นช้างเผือกตรี หากนอกเหนือจากนี้เป็น “ช้างสีประหลาด” ก่อนการขึ้นระวางช้างเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “ช้างสำคัญ” จนกระทั่งตรวจคชลักษณ์โดยละเอียดแล้ว จึงสามารถระบุได้ว่าเป็นช้างในกลุ่มใด ช้างเหล่านี้ถือว่าเป็นช้างมงคลคู่พระบารมี แต่ในความเข้าใจของคนทั่วไปมักเรียกช้างที่มีมงคลลักษณะแบบนี้ว่า “ช้างเผือก”

นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมีช้างที่ใช้ในพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อาทิ ช้างพระราชพาหนะ และช้างศึก  ช้างเหล่านี้เป็นช้างที่มีบรรดาศักดิ์ มีสิทธิได้รับบำเหน็จรางวัลเมื่อทำความดีความชอบด้วยเช่นกัน ทั้งช้างมงคลคู่พระบารมี ช้างพระราชพาหนะ และช้างศึก ช้างเหล่านี้จะได้ขึ้นระวางเป็น “ช้างต้น” หรือ “ช้างหลวง” ได้รับพระราชทานนามเช่นเดียวกับข้าราชการ นัยว่าเป็นการรับราชการของช้างนั่นเอง ช้างเหล่านี้จะมีคำนำหน้านามว่า “พระ” หรือ “พระยา” เสมอ จึงมักเรียกช้างเหล่านี้ด้วยคำลำลองว่า “พระยาช้าง”


พระยาช้างล้ม ลางร้ายของบ้านเมือง
ช้างเผือกและช้างสำคัญเป็นสิ่งที่หาได้ยาก พระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาบารมีเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง ประกอบกับช้างเป็นสัตว์ใหญ่เมื่อเจ็บป่วยได้รับอุบัติเหตุ หรือล้ม (ตาย) ชาวสยามเชื่อว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่บ้านเมือง เช่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการกล่าวถึงอุปัทวเหตุที่เกิดกับช้างต้นและเหตุร้ายที่ตามมา ความว่า “...ศักราช ๘๘๖ ปีชวดฉอศก (พ.ศ.๒๐๔๗) ครั้งนั้นงาเบื้องขวาช้างต้นเจ้าพระยาปราบแตกออก อนึ่ง ในเดือน ๗ นั้นมีผู้ทอดบัตรสนเทห์ ครั้งนั้นให้ฆ่าขุนนางเสียมาก...”

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีช้างเผือกเอกมาสู่พระบารมีถึง ๓ ช้าง ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ พระยาเศวตกุญชร พ.ศ.๒๓๕๕ พระยาเศวตไอยรา พ.ศ.๒๓๕๙ และพระยาเศวตคชลักษณ์ พ.ศ.๒๓๖๐ “ครั้นมาถึงเดือนเจ็ด ปีวอกฉศก พระยาเศวตไอยราพระยาเศวตรคชลักษเจ็บไม่จับหญ้าน้ำ ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือนเจ็ด ขึ้นเจ็ดค่ำ พระเศวตรไอยราล้ม  ครั้น ณ วันเสาร์เดือนเจ็ด แรมแปดค่ำ พระยาเศวตรคชลักษณล้ม” เมื่อช้างเผือกล้มในเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่สบายพระทัย เดือนต่อมาเมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระชนมายุครบอุปสมบท แม้ว่าพระองค์จะเชื่อว่าเป็นพระเคราะห์ร้าย แต่ก็โปรดเกล้าฯ ให้จัดการผนวชตามธรรมเนียมมิได้เลื่อนออกไปแต่อย่างใด ส่วนการพระราชพิธีนั้นให้จัดแต่พอควร มิได้มีกระบวนอย่างใหญ่เช่นที่เคยปฏิบัติมา เมื่อพระเจ้าลูกเธอทรงผนวช หลังจากพระราชพิธีผ่านพ้นไปพระองค์ทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคตเมื่อวันพุธ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ ตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๓๖๗

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้างคู่พระบารมีเพียงช้างเดียวคือ พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ ขึ้นระวางสมโภชและยืนโรง ณ โรงช้างต้นสวนจิตรลดา ใน พ.ศ.๒๔๗๐ ลางร้ายที่เกิดแก่พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ กลับสอดคล้องกับความเป็นไปของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้นอย่างน่าประหลาด ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล ได้บันทึกได้ ดังนี้

“...ถึงคืนวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ พระเศวตคชเดชน์ดิลกไม่ยอมนอน ร้องครวญครางอยู่ตลอดคืน, จนคนเลี้ยงมาแต่เกิดก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอรุ่งเช้าก็พอดีเอะอะเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ ในสถานที่ใกล้ ๆ โรงช้างนั่นเอง   ต่อมาพระเศวตฯ โตขึ้นมีงา ๆ คู่นี้ก็แปลกที่เกิดงอกออกไปไขว้กัน วันหนึ่งใกล้ๆ เวลาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตในเมืองอังกฤษ ทางนี้พระเศวตฯ เกิดยกงวงขึ้นไปติดอยู่บนงาแล้วเอาลงไม่ได้, เจ็บปวดครวญครางอยู่หลายวัน, ลงท้ายไม่มีทางจะแก้ไขอย่างอื่นได้ นอกจากเลื่อยเอางาออกทั้ง ๒ ข้าง, จึงกลายเป็นช้างที่ทุพลภาพและอยู่ได้มาอีกปีเศษก็ตาย จะเรียกว่าเผอิญก็แปลกอยู่”


      จิตรกรรมสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงช้างจ้าพระยาไชยานุภาพ
       (เจ้าพระยาปราบหงสา) กระทำยุทธหัตถี ณ พระอุโบสถ
       วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


ศพพระยาช้าง เผา หรือฝังฯ
สังคมไทยสมัยก่อนมีกิจกรรมที่ใช้แรงงานช้างอย่างหลากหลาย ช้างที่ใช้ในราชการมีเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่พบบันทึกหรือเอกสารใด ๆ ที่กล่าวถึงการจัดการศพช้างที่ใช้ในราชการทั่วไปเมื่อล้ม มีกล่าวถึงบ้างก็ช้างหลวง ช้างต้น หรือพระยาช้าง เมื่อพระยาช้างล้ม การจัดการศพจะมีความสำคัญเช่นเดียวกับเจ้านาย หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ด้วยถือว่าช้างเผือกหรือช้างสำคัญเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเกรียงไกรของบ้านเมือง สมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวถึงการเผาศพช้าง ปรากฏในจดหมายเหตุของ Jacques de Coutre พ่อค้าอัญมณีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อเจ้าพระยาปราบหงสาช้างศึกคู่พระบารมีล้ม นำมาซึ่งความโศกเศร้าของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอย่างยิ่ง พระองค์ได้เปรียบเทียบการสูญเสียครั้งนี้เสมือนเสียพระราชบิดา จึงโปรดให้ปลูกเมรุนอกเมือง มีพิธีสงฆ์ มีมหรสพตลอด ๘ วัน แล้วพระราชทานเพลิง เถ้ากระดูกของเจ้าพระยาปราบหงสาโปรดให้บรรจุไว้ในโกศทองคำ แม้ว่าในจดหมายเหตุได้บรรยายรายละเอียดไว้มาก บางข้อความอาจจะดูเกินจริงไปบ้าง แต่แกนหลักของพิธีคล้ายคลึงกับการจัดการศพพระยาช้างในพม่าซึ่งตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดย ส.พลายน้อยได้เล่าเรื่องธรรมเนียมการเผาศพช้างเผือกของพม่าไว้ในหนังสือเล่าเรื่องพม่ารามัญความว่า

“เมื่อช้างล้ม คือตาย เขาก็จะเอาช้างเผือกเชือกนั้นใส่หีบซึ่งจะต้องเป็นหีบที่ใหญ่โตมากทีเดียว เขาจะยกหีบขึ้นตั้งบนรถทรง มีขบวนแห่แหนไปตามถนน แล้วก็แห่ออกไปเผานอกเมือง ที่สำหรับเผาก็สร้างเป็นอย่างเมรุหลวง มีพิธีรีตองทางศาสนาเช่นเดียวกับการพระราชทานเพลิงศพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทีเดียว เมื่อเผาแล้วก็เก็บกระดูกพรมด้วยเครื่องหอม แห่เอามาบรรจุไว้ในเจดีย์ ตามประเพณีนั้นว่ากันว่ามีคนมากราบไหว้บูชาเจดีย์ช้างกันด้วย มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อช้างเผือกของพระเจ้าโบดองพญาล้มนั้น ผู้คนพากันมากราบไหว้ร้องให้อาลัยรักกันมากมายทีเดียว...”

ศพเจ้าพระยาปราบหงสาอาจจะเป็นกรณีพิเศษที่มีการตั้งเมรุพระราชทานเพลิง ไม่ปรากฏการเผาศพช้างอื่นอีก ประกอบกับในคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมได้กล่าวถึงเฉพาะธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อช้างเผือกล้มไว้ว่าใช้วิธีการฝัง “...เครื่องยศสำหรับศพช้างเผือกแห่ไปฝังที่ปากคลองตะเคียน เรือข้าราชการเปนกระบวนแห่ มีธงประจำทุกลำรวมเรือแห่ ๑๐ คู่ เรือดั้งนำสามคู่ เรือคู่เคียงศพคู่หนึ่ง มีเครื่องสูงพร้อมสำรับหนึ่ง มีกลองชนะแดงยี่สิบคู่ สังข์ ๑ คู่ แตรงอน ๔ คู่ แตรลำโพง ๔ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ ศพลอยน้ำ มีปรำผ้าขาวคลุมศพด้วย...”  สันนิษฐานว่า การจัดการศพพระยาช้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาในกรณีปกติคงจะมีกระบวนแห่ทางน้ำพร้อมเครื่องสูงเป็นเกียรติยศแล้วจึงขุดหลุมฝังไว้ ซึ่งในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ก็ใช้วิธีปฏิบัติเช่นเดียวกัน  


การจัดการศพพระยาช้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายถึงเหตุที่ต้องมีการจัดการศพพระยาช้างไว้ว่า

“...การที่มีพิธีต่าง ๆ ในการช้างสำคัญล้มนี้ คนบางจำพวกที่มิได้รู้การ ที่เปนประเพณีเก่า ๆ ของชาวสยามฤาเปนผู้ที่มาต่างทิศต่างทางที่ได้มาเหนครั้งหนี่งคราวเดียว ก็มักเข้าใจว่าช้างเผือกเปนของนับถืออย่างหนึ่งของคนไทย แลมักพูดติดปากล้อเลียนไปต่าง ๆ ซึ่งเราไม่อยากจะพูดจะตอบให้ป่วยการน่ากระดาด แต่เมื่อคิดดูแก่การที่สมควรแล้วก็เหนว่าคนที่ตินั้นเพ่งเลงในการอยากติเกินไปแน่แล้ว การที่พิธีสมโพชเมื่อช้างสำคัญมาถึงก็ดี ฤาพิธีอื่น ๆ มีเมื่อเวลาล้มเปนต้นนั้นก็ดี ก็แลเหนง่าย ๆ ว่า พระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน มีพระราชหฤไทยโปรดในช้างซึ่งมีลักษณรูปงาม ผิดกว่าช้างสามัญปรกติเมื่อได้มาแล้ว ก็เปนที่ต้องพระราชอัทยยาไศรยให้มีการสมโพชแลมีเครื่องประดับต่าง ๆ เป็นการเกื้อกูลพระราชหฤไทย เมื่อช้างนั้นตายลงก็ต้องมีการเพิ่ม ให้วิเสศกว่าช้างปรกติ ตามที่เปนของต้องพระราชหฤไทย เปนธรรมเนียมเนื่องมาจนบัดนี้และเปนที่ต้องพระราชหฤไทยทุก ๆ พระองค์มา เพราะช้างประหลาดอย่างที่เรียกว่าเผือกนี้ เปนของหาได้โดยยากนาน ๆ มีครั้งหนึ่ง เมื่อคิดเหนเช่นนี้ ก็แลเหนตลอดในการรักษาช้างประหลาดเช่นนี้นั้น มิได้เปนของนบนอบนับถือเปนสิ่งที่บูชาอะไรเลย การพิธีเล่าก็เหนได้อีกว่าคนธรรมดาบางคนที่เลี้ยงสัตวต่าง ๆ มีนกแก้ว นกขุนทองฤาอะไร ๆ ก็ดี ครั้นเมื่อตายก็เกบฝังแลเผาก็มี โดยมากการที่มีพิธีก็เหมือนกันเว้นแต่เปนส่วนมากแลน้อยเท่านั้น มิได้เปนการแปลกประหลาดอย่างใดอย่างหนึ่งเลย...”

จากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้างหลวงสามารถนำมาประมวลได้ว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์การจัดการศพพระยาช้างจะแยกเป็น ๒ ส่วน คือ
            ๑. การจัดการกับศพช้าง
            ๒. การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งพุทธและพราหมณ์

การจัดการศพช้างเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ กล่าวคือจะเคลื่อนย้ายไปฝังทันทีที่ตระเตรียมเครื่องยศสำหรับแห่เรียบร้อยแล้ว แม้จะเป็นกระบวนการที่รีบเร่ง เครื่องประโคม และเครื่องสูงสำหรับช้างก็ต้องเหมาะสมกับเกียรติยศของช้างนั้นด้วย  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้กล่าวถึงพระยาเศวตคชลักษณ์ ช้างเผือกคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยล้ม จ.ศ.๑๑๘๗ ปีวอก ฉศก ไว้ว่า “...ด้วยพระยากำแพงรับพระราชโองการใส่เกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สั่งว่า พระยาเศวตคชลักษณ์ป่วย ณ วันเดือน ๗ แรม ๗ ค่ำ ปีวอก ฉศก เพลาบ่าย ครั้น ณ วันเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ ย่ำฆ้องรุ่งแล้วล้มนั้นให้ชาวพระคลังวิเสทจ่ายผ้าขาวให้กรมช้าง ๓ พับ สำหรับจะได้คลุมศพช้าง

            อนึ่ง ให้ ๔ ตำรวจมาลากศพช้าง แล้วให้รับเรือดั้งต่อพันพรหมราช ๒ ลำ  มาขนานทำเพดานผ้าขาวมีราชวัติ  รั้วไก่ล้อมรอบ ให้รับเลกต่อพันพุฒ พันเทพราช ๓๐๐ คน มาชักลากศพพระยาช้างไปจนถึงประตูท่าพระ แล้วให้เอาเลกพายเรือดั้งไปส่งอาสนะช้างไปจนถึงปากลัดข้างบน
            อนึ่ง ให้หลวงราชมานูจัดกลองชนะ ๑๐ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ แตรงอน ๔ แตรฝรั่ง ๒ สังข์ ๑ ไปประโคมศพพระยาเศวตคชลักษณ์ลงไปจนถึงปากลัด
            อนึ่ง ให้ชาวอภิรมเอาฉัตรเบญจา ไปแห่ศพพระยาช้าง ๒๐ คัน
            อนึ่ง ให้พันจันท์เกณฑ์เรือกราบ ข้าราชการ ๑๐ คู่ มีธงจีนลำละคัน แห่ลงไปจนถึงปากลัด
            อนึ่ง ให้พันพุฒ พันเทพราช เกณฑ์เลกจ่ายให้ ๔ ตำรวจพายเรือดั้ง ๓๐ คน ให้หลวงราชมานู ตีกลอง ๒๐ คน ให้ชาวอภิรมย์ถือฉัตรเบญจา ๒๐ คน
            อนึ่ง ให้กรมพระนครบาลไปคอยรับศพพระยาช้าง ณ ปากลัดข้างบน แล้วให้ขุดหลุมฝังให้มิดชิดดี และ(คน)กลองชนะ แตรสังข์ ถือเครื่องสูงพายเรือดั้ง ให้ใส่เสื้อแดง ใส่หมวกแดงทุกคน ให้เตรียมการให้พร้อมแต่ ณ วันเดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ เพลาเช้า ๒ โมง
            อนึ่ง ให้ชาวพระคลังวิเสทจ่ายผ้าขาวเทศให้กรมช้าง ๓ พับ สำหรับจะได้คลุมศพพระยาช้างตามรับสั่ง...”

เมื่อขุดหลุมฝังช้างแล้ว จะทำรั้วรอบหลุมศพเพื่อเป็นหมุดหมายที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะมาเก็บซากช้างบางส่วน อาทิ งา กราม กระดูกช้างบางส่วน หรือขนหาง ภายหลังจากร่างของช้างนั้นเน่าเปื่อยแล้ว

การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะทำคู่ขนานกับการแห่ช้างไปฝังที่ปากลัด โดยนิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลที่ปากลัดหลังจากฝังช้างเรียบร้อยแล้ว จำนวนพระสงฆ์แล้วแต่จะมีหมายรับสั่ง คราวพระมงคลหัสดินทร์ล้มในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีจำนวนมากถึง ๕๐๐ รูป นอกจากนี้นิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป สวดพระพุทธมนต์เป็นเวลา ๓ วัน และนิมนต์พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าในวันที่สี่ที่โรงช้างล้ม

ส่วนพิธีพราหมณ์จะประกอบพิธีกลบบัตรสุมเพลิงอันเป็นพิธีทางไสยศาสตร์โดยพราหมณ์ฝ่ายพฤฒิบาศ หรือพระหมอเฒ่า และลอยแพตุ๊กตาเสียกบาลตั้งแต่วันแรกที่ช้างล้ม เพื่อแก้เสนียดจัญไร หรืออัปมงคล

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการขึ้นระวางช้างคู่พระบารมีเพียงช้างเดียวคือ “พระเศวตวชิรพาหะฯ ส่วนช้างที่ขึ้นระวางในรัชกาลก่อน ๆ ล้วนมีอายุมากและทยอยล้มกันไปมาก ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อช้างล้มกระทรวงมหาดไทยจะแจ้งไปยังคณะกรรมการจังหวัดพระประแดงในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ที่จะใช้ฝังช้าง โดยใช้แรงงานนักโทษเป็นผู้ขุดหลุมขนาดใหญ่ และเป็นผู้ฝังกลบเมื่อเสร็จพิธี ส่วนช้างที่ล้ม เจ้าหน้าที่จะนำช้างลงน้ำที่ท่าช้างแล้วใช้เรือยนต์ลากจูงไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงคลองลัดโพธิ์ การลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแจ้งข่าวเรื่องช้างล้มคงมีมาแค่เพียงข่าวพระเสวตร์รุจิราภาพรรณฯ ล้ม เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ เท่านั้น  นอกนั้นเป็นเพียงบันทึกความทรงจำ  เช่น หม่อมเจ้าดวงจิตร จิตรพงศ์ได้บันทึกเรื่องช้างล้มใน “ป้าป้อนหลาน” ดังนี้

“...วันที่พระเศวตล้ม ชาวท่าช้างเศร้าโศกกันทั่วหน้า เวลาค่ำทหารรักษาวังนับร้อยลากตะเฆ่ใส่พระเศวตรออกจากประตูวิเศษไชยศรีไปทางท่าช้าง มีผ้าขาวคลุมสูงเป็นภูเขา (ต้องใช้ผ้าสักกี่เมตรคลุมจึงจะมิดก็กะไม่ถูก) สองข้างทางประชาชนย่านท่าช้างทุกคน รวมทั้งที่มาจากที่อื่นพากันมาคอยส่ง ยืนเงียบกริบน้ำตาไหลด้วยแสนจะอาลัยแก ลากเอาลงแพไปฝังหรือทำอะไรที่ไหน ป้าไม่ยักได้ถามไว้...”

นอกจากนี้จมื่นสิริวังรัตน (เฉลิม คชาชีวะ) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องช้างล้ม ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า

“เท่าที่ผมเห็นมา เมื่อช้างล้มลง ช้างที่เป็นพระองค์เจ้าหรือเจ้าฟ้าเมื่อล้มลง ก็จะใช้ผ้าขาวคลุมเอาไว้และนิมนต์พระมาสดัปกรณ์ ๑๐ รูป เสร็จแล้วจะใส่ในตะเข้ ที่เป็นล้อเลื่อนแล้วออกไปที่ท่าช้าง ออกทางประตูพิมานเทเวศร์ แล้วเลี้ยวซ้ายออกไปตรงท่าช้าง แล้วจะเอาช้างลอยน้ำไป แล้วเอาเรือกล ๒ ลำ ขนาบไป ไปที่ลัดโพธิ์ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะขุดเป็นแอ่งไว้ แล้วเอาช้างใส่ลงที่นั่น จนกระทั่งเมื่ออะไรต่าง ๆ เน่าโทรมหมดแล้ว ก็จะเก็บงา หรือส่วนต่าง ๆ ส่งมายังสำนักพระราชวัง”

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีช้างสำคัญมาสู่พระบารมีหลายช้าง โปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวาง ๑๐ ช้าง  พระองค์ได้ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น โปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นระวางสมโภชช้างในจังหวัดที่พบช้าง เพื่อจะได้เสด็จเยี่ยมพสกนิกรในจังหวัดนั้นด้วย หรือโปรดเกล้าฯ ให้ช้างขึ้นระวางยืนโรง ณ จังหวัดนั้น โดยไม่ต้องย้ายมายืนโรงในเขตพระราชฐานในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น  พระเศวตวรรัตนกรีฯ เป็นช้างที่เกิดในจังหวัดเชียงใหม่ จึงขึ้นระวางสมโภช และยืนโรงที่จังหวัดเชียงใหม่ ใน พ.ศ.๒๕๐๙ เมื่อพระเศวตวรรัตนกรีฯ ล้ม ใน พ.ศ.๒๕๑๐ จึงฝังไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนช้างอื่นที่ยืนโรงในโรงช้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อล้ม ใช้วิธีขุดหลุมฝัง มีการประกอบพิธีภายในเฉพาะสำนักพระราชวัง โดยนิมนต์พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ และพราหมณ์ประกอบพิธีกลบบัตรสุมเพลิงปัดรังควาญ ณ โรงที่ช้างล้ม ต่อมาได้มีการย้ายช้างต้นที่เหลือไปยืนโรง ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร  ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง และวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างแรกในรัชกาลล้ม เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๓ ได้ฝังร่างภายในเขตวังไกลกังวล และประกอบพิธีทางศาสนาตามธรรมเนียม




    งาพระเศวตคชลักษณ์ พบที่แขวงเมืองน่าน ขึ้นระวางสมโภช พ.ศ.๒๓๖๐ ล้มเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗
                          ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร


สุสานช้างหลวง  
จากหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ ได้กล่าวถึงสถานที่ที่ใช้ฝังช้างหลวงสมัยอยุธยาในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ฝังศพช้างเผือกที่ปากคลองตะเคียน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมือง ต่อมาสมัยธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ฝังช้างพังเผือกไว้ที่วัดสำเพ็ง ปัจจุบันคือวัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร “...ณ วัน ๒ ฯ ๑๐ ค่ำ ปีวอกอัฐศก จ.ศ.๑๑๓๘ (พ.ศ.๒๓๑๙) เพลาบ่ายนางพระยาช้างเผือกล้ม จึงดำรัสให้ฝังไว้  ณ วัดสำเพ็งที่ฝังเจ้าพระยาปราบไตรจักรนั้น...”

สมัยรัตนโกสินทร์ “ปากลัดบน” เป็นสุสานฝังช้างหลวง อยู่ในแขวงเมืองนครเขื่อนขันธ์ หรือบริเวณวัดคันลัด ตำบลทรงคนอง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบัน พื้นที่เดิมเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเต็มไปด้วยป่าจาก โดยมีระยะทางตามเส้นทางแม่น้ำจากท่าช้างถึงลัดโพธิ์ ประมาณ ๑๕.๕ กิโลเมตร

การเลือกปากลัดเป็นสถานที่สำหรับฝังช้างหลวงไม่ปรากฏว่าเริ่มในสมัยใด แต่คาดว่าพื้นที่นี้เป็นที่รู้จักตั้งแต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องจากพระองค์โปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สำรวจที่ตั้งเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกทางทะเลบริเวณ “ลัดต้นโพธิ์” แต่มาสร้างแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานนามว่า “เมืองนครเขื่อนขันธ์” พบหลักฐานการฝังพระยาช้างต้นครั้งแรกในหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๒ เมื่อคราวพระยาเศวตคชลักษณ์ช้างเผือกเอกในรัชการล้ม เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ หลังจากนั้นมีการฝังช้างหลวงอีกหลายช้าง อาทิ พระยามงคลหัศดินทร์ (พ.ศ.๒๓๗๙) พระวิมลรัตนกิริณี (พ.ศ.๒๔๓๑) พระเศวตรวรลักษณ์ (พ.ศ.๒๔๓๑) พระศรีเสวตร์วรรณนิภา (พ.ศ.๒๔๔๙) พระเสวตรวรนาเคนทร์ (พ.ศ.๒๔๕๐) พระเสวตร์อุดมวารณ์ (พ.ศ.๒๔๕๒) พระเสวตร์สกลวโรภาส (พ.ศ.๒๔๕๕) พระเทพคชรัตนกิริณี (พ.ศ.๒๔๕๘) พระเสวตร์รุจิราภาพรรณ (พ.ศ.๒๔๖๐)

สันนิษฐานว่าช้างหลวงที่ขึ้นระวางสมโภช ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนใหญ่น่าจะถูกนำมาฝังไว้ที่ปากลัด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าช้างหลวงช้างสุดท้ายที่ถูกฝัง ณ สุสานช้างหลวงที่ปากลัดคือช้างใด  ทั้งนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เล่าไว้ในหนังสือ “ช้างในชีวิตของผม” กล่าวถึงชะตากรรมของช้างหลวงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนามีคำสั่งให้เอาช้างหลวงทั้งปวงออกไปทำงานป่าไม้ในต่างจังหวัด แต่ประชาชนคัดค้านไม่ให้ “พังแป้น” ช้างพังวัยชราออกไป พังแป้นจึงได้ยืนโรงต่อในกรุงเทพฯ จนกระทั่งล้มในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒  ประกอบกับในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไม่มีการสมโภชขึ้นระวางช้าง จึงคาดว่าช้างสุดท้ายที่นำไปฝังที่ปากลัด คือพังแป้น

สถานที่ฝังร่างช้างหลวงนับแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา สังเกตได้ว่าล้วนเป็นพื้นที่ริมแม่น้ำทั้งสิ้น ซึ่งสัมพันธ์กับที่ตั้งของพระนคร โดยตั้งอยู่ทางทิศใต้ตามแม่น้ำสายหลักของเมือง คาดว่าการเลือกใช้พื้นที่ริมน้ำฝังร่างช้างหลวง เพราะดินริมน้ำมีความอ่อนนุ่มง่ายต่อการขุดหลุมขนาดใหญ่ อีกทั้งระดับน้ำมีการขึ้นลงทำให้ทำให้ซากช้างนั้นเน่าเปื่อยได้เร็ว และเพื่อป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากซากช้าง พื้นที่ฝังช้างจึงต้องเป็นพื้นที่ห่างไกลชุมชน การเปลี่ยนสถานที่ฝังช้างหลวงในสมัยธนบุรีจากบริเวณวัดปทุมคงคาเลื่อนลงไปยังบริเวณปากลัดบนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวชุมชนชาวจีนได้ย้ายไปอยู่บริเวณวัดสำเพ็ง หรือวัดปทุมคงคา  ส่วนบริเวณปากลัดบนมีประชากรไม่หนาแน่นมาก ประกอบกับอยู่ท้ายเมืองพระประแดง ทิศทางของลมที่พัดมาจากปากอ่าวไทยไม่พัดเข้าเมือง กลิ่นจึงไม่รบกวน จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม

เมื่อปากลัดกลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดพระประแดง และต่อมาเป็นจังหวัดสมุทรปราการ ได้มีประชากรเข้าไปอาศัยอยู่หนาแน่นขึ้น จากข้อมูลต่าง ๆ  ทำให้ทราบว่า ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา คงไม่มีการนำช้างใดไปฝังอีก สุสานช้างหลวงจึงถูกแทนที่ด้วยบ้านเรือนของประชาชน พบว่าชาวบ้านมักขุดพบกระดูกช้างกันอยู่เนือง ๆ จนมีการสร้างศาลเล็ก ๆ นำกระดูกช้างมาวางไว้เพื่อสักการะบูชา จนกระทั่งพื้นที่แถบนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพระราชดำริ “คลองลัดโพธิ์” จึงได้ย้ายศาลมาตั้งไว้ในวัดคันลัด เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็น “สุสานช้างหลวง” ในสมัยรัตนโกสินทร์นั่นเอง.



ที่มา : นิตยสารศิลปากร : การจัดการศพพระยาช้างในสมัยรัตนโกสินทร์ โดย กาญจนา โอษฐยิ้มพราย ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กุมภาพันธ์ 2568 18:55:54 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.465 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 30 พฤษภาคม 2568 21:57:38