[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 15:24:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระประวัติตรัสเล่า ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  (อ่าน 804 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 15:48:57 »



คำนำ

ในงารฉลองโรงเรียนมนุษยนาควิทยาทาน อันสร้างขึ้นเปนอนุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติยศ สมเดจพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ณะวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งพระบาทสมเดจพระเจ้าอยู่หัวทรงเปนประมุข และจะทรงเปิด ในวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ พระญาณวราภรณ์ กับพระเทพกวี วัดบวรนิเวศ ได้ปรารภจะพิมพ์พระราชหัตถเลขา แห่งพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕ ซึ่งพระราชทานแด่สมเดจพระมหาสมณเจ้าฯ แต่ข้าพเจ้าได้ตรวจแล้วเหนว่าพระราชหัตถเลขาที่ค้นได้ เนื้อความใม่ค่อยติดต่อกัน และใม่สู้เหมาะแก่งารนี้นัก

อนึ่งข้าพเจ้าเคยทราบมาแต่ก่อน ว่าสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงพระนิพนธ์หนังสือไว้ ๒ เรื่อง และได้แสดงพระดำริห์ไว้ว่า หนังสือ ๒ เรื่องนั้นควรจะพิมพ์แจกเปนที่ระลึกถึงพระองค์เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วได้ เรื่องหนึ่ง คือตำนานวัดบวรนิเวศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรด ฯ ให้พิมพ์แจกเมื่อถวายพระเพลิงพระศพสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ แล้ว ยังเหลืออยู่อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องพระประวัติซึ่งสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงพระนิพนธ์เล่า เปนเรื่องพระประวัติของพระองค์เอง ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มาจนทรงผนวช ตราบเท่าได้เปนพระราชาคณะ เรื่องนี้ยังหาได้พิมพ์ใม่ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าใม่มีหนังสือเรื่องอื่นจะสมควรพิมพ์แจกในงารฉลองอนุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติยศสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ ยิ่งกว่าเรื่องพระประวัติตรัสเล่า และหนังสือเรื่องนั้นจะเอาไว้พิมพ์ในโอกาศอื่นต่อไปก็ใม่เหมาะ ยิ่งกว่าพิมพ์แจกในงารฉลองอนุสาวรีย์ของสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ ในครั้งนี้ ได้แจ้งความที่คิดเหนแก่ท่าน ก็เหนชอบด้วย ข้าพเจ้าจึงรับให้พนักงารในหอพระสมุด ฯ เปนธุระจัดการพิมพ์ถวาย ข้าพเจ้าได้เลือกพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ๔ พระรูป ซึ่งฉายตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และต่อมาจนทรงผนวช อันมีอยู่ในคลังรูปของหอพระสมุดสำหรับพระนคร ให้พิมพ์ประกอบในหนังสือเรื่องพระประวัติตรัสเล่านี้ด้วย เสียดายอยู่หน่อยที่พระรูปซึ่งฉายเมื่อทรงพระเยาว์ที่สุดนั้น รูปเดิมเก่าแก่มัวมาก โรงเรียนเพาะช่างผู้จำลองจะทำให้ชัดเจนดีกว่าที่ปรากฎใม่ได้ จะทิ้งเสียก็เสียดาย จึงเอาเข้าไว้ด้วย กับรูปโรงเรียนอีกรูปหนึ่ง

หนังสือเรื่องพระประวัติตรัสเล่านี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า เหตุที่สมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ จะทรงพระนิพนธ์นั้น ด้วยทรงปรารภว่าศิษยานุศิษย์ของพระองค์โดยมากได้ทราบเรื่องพระประวัติต่อเมื่อพระองค์ทรงพระเกียรติยศสูงแล้ว แต่เรื่องพระประวัติชั้นเดิมพระองค์ได้เคยทรงประสพทุกข์สุข และพยายามเลี้ยงพระองค์มาอย่างไร หามีใครในเหล่าศิษยานุศิษย์จะทราบใม่ จึงทรงพระนิพนธ์เล่าเรื่องพระประวัติของพระองค์ตั้งแต่ประสุตมาจนถึงได้รับพระสุพรรณบัฎเปนกรมหมื่น ฯ และเปนพระราชาคณะ ตั้งพระหฤทัยจะทรงแต่เพียงเท่านั้นเอง หาได้ทรงแต่งค้างอยู่ใม่ พิเคราะห์ดูตามโวหารที่ทรงเล่านี้ ก็เหนสมจริงตามคำที่กล่าว ด้วยทรงยกเรื่องพระประวัติของพระองค์เปนนิทัศนอุทรหรณ์ประทานโอวาทแก่ศิษยานุศิษย์มีอยู่ในนั้นตลอดเรื่อง ข้าพเจ้าเชื่อว่าบันดาผู้ที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไป จะเปนศิษยานุศิษย์ของสมเดจพระมหาสมณเจ้า ฯ ก็ตาม หรือที่มิได้เปนศิษยานุศิษย์ก็ตาม คงชอบใจอ่านมิใคร่จะเว้นตัว และเชื่อว่าบันดาผู้อ่านคงอนุโมทนาในการที่พระญาณวราภรณ์ และพระเทพกวีให้พิมพ์เรื่องพระประวัติตรัสเล่าของสมเดจพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสให้แพร่หลาย และรักษาไว้มิให้สูญเสีย


สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๗




๑. คราวประสุต
พระประวัติตรัสเล่า
ของ
สมเดจพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

เริ่มทรงนิพนธ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
----------------------------

พระบาทสมเดจพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเดจพระเจ้าแผ่นดินสยามที่ ๔ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ เปนพระบรมชนกนาถ ของเรา เจ้าจอมมารดาแพพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๔ เปนเจ้าจอมมารดา ของเรา ฯ เราประสุตที่ตำหนักหลังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานมุขหลัง ที่เรียกว่าท้องพระโรงหลังถัดโรงลครออกไป ในพระบรมหาราชวัง เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนห้า แรมเจ็ดค่ำ ปีวอกยังเปนเอกศก จุลศักราช ๑๒๒๑ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ที่ใช้ตามธรรมเนียมในบัดนี้ ๒๔๐๓ เวลาบ่าย ๑ โมง ๓๖ ลิบดา ตามโหราศาสตร์สยาม พระอาทิตย์สถิตราศีเมษ องศา ๑ เปนวันเนาว หลังวันมหาสงกรานต์ น่าวันเถลิงศกที่ขึ้นจุลศักราชใหม่ ฯ ได้ฟังคำผู้ใหญ่เล่าว่า พอเราประสุตแล้ว อากาศที่กำลังสว่าง มีเมฆตั้ง ฝนตกใหญ่ จนน้ำฝนขังนองชาลาตำหนัก ทูนกระหม่อมของเรา ทรงถือเอานิมิตต์นั้น ว่าแม้นกับคราวที่พระพุทธเจ้าเสดจประทับณะควงไม้ราชายตนพฤกษ์ฝนตกพรำสิ้นเจ็ดวัน มุจลินทนาคราชเอาขนดกายเวียนพระองค์ แลแผ่พังพานเหนือพระเศียรเพื่อมิให้ฝนตกถูกพระองค์ ครั้นฝนหายแล้ว จึงคลายขนดจำแลงกายเปนมาณพหนุ่มเข้ามายืนเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ จึงพระราชทานนามเราว่า พระองค์เจ้า “มนุษยนาคมานพ” แต่เราได้พบในภายหลัง เมื่ออ่านบาฬีเข้าใจแล้ว ในบาฬีมหาวรรคพระวินัยเล่ม ๑ ตอนทรมานอุรุเวลกัสสปชฎิล คำว่า “มนุสฺสนาโค” หรือ “มนุษยนาค” นั้น เปนคำเรียกพระพุทธเจ้า คู่กับคำว่า “อหินาโค” หรือ “อหินาค” เปนคำเรียกพระยานาคที่เปนชาติงู เช่นนี้ คำว่า มนุษยนาค ก็เหมือนคำว่า บุรุษรัตน หรือ มหาบุรุษ ที่ใช้เรียกท่านผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ คือ พระพุทธเจ้า และ พระเจ้าแผ่นดิน ฯ เมื่อเรายังเยาว์ แต่จำความได้แล้ว ได้ตามเสดจทูนกระหม่อมไปวัดราชประดิษฐเนืองๆ คราวหนึ่งได้ยินตรัสถามสมเดจพระสังฆราช (ปุสสเทว สา) ครั้งนั้นยังเปนพระศาสนโศภนว่า คนชื่อคนมีหรือใม่ สมเดจพระสังฆราชนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถวายพระพรทูลว่า ใม่มี ทรงชี้เอาเราผู้นั่งอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ว่า นี่แนะคนชื่อคน แต่นั้นเราสังเกตว่า ทรงพระสำรวล แลสมเดจพระสังฆราชก็เหมือนกัน ฯ แปลชื่อมนุษยนาคมานพ ตามวิกัปป์ต้นว่า หนุ่มน้อยนาคจำแลงเปนคน ฯ แต่ศัพท์มคธที่แปลว่าคนหนุ่มนั้น สอบสวนได้แน่ในบัดนี้ว่า “มาณโว” คือมาณพ แต่ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานนามนั้นเปน “มานพ” ที่ตรงศัพท์มคธว่า “มานโว” แลแปลว่า “คน” หรือ “เชื้อสายของท่านมนุ” ศัพท์สันสกฤตก็เปนเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนั้นหนังสือแลภาษาอันเปนเครื่องสอบสวนยังหามีแพร่หลายเหมือนในกาลนี้ใม่ ฯ แปลตามวิกัปป์หลังว่า “คนผู้เปนมนุษยนาค” หรือ “คนผู้เปนนาคในมนุษย” ศัพท์ว่านาคในวิกัปป์นี้ หมายความว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ ฯ เราเปนพระเจ้าลูกเธอที่ ๔๗ ของทูนกระหม่อม แลเปนพระองค์เจ้าที่ ๔ ของเจ้าจอมมารดาของเรา ผู้มีพระองค์เจ้า ๕ พระองค์ ฯ

รุ่งขึ้นอิกปีหนึ่ง คือพระพุทธศักราช ๒๔๐๔ เจ้าจอมมารดาของเราถึงแก่กรรม เราจึงจำเจ้าจอมมารดาของเราหาได้ใม่ ฯ




๒. คราวเปนพระทารก

เริ่มแรกเราจำความได้ อายุเท่าไรบอกใม่ได้ เราอยู่ที่ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอในรัชกาลที่ ๓ กรมหลวงวรเสฐสุดา ครั้งนั้นยังใม่ได้ทรงกรม ทรงพระนามพระองค์เจ้าบุตรี เจ้าจอมมารดาของท่านกับของเราเปนญาติกัน เราเรียกท่านว่าเจ้าครอกป้า ภายหลังเมื่อคำว่าเจ้าครอกล่วงสมัยแล้ว เปลี่ยนเรียกว่าเสดจป้า เรียกคุณยายท้าวสมศักดิ์ คือเจ้าจอมมารดาอึ่ง เจ้าจอมมารดาของท่าน ว่าคุณยายแม่ ที่แปลว่าแม่เฒ่า ที่เจ้านายในรัชกาลที่ ๕ ผู้เปนพระญาติข้างเจ้าจอมมารดา เรียกอย่างนั้นตรง ๆ ฯ เวลานั้นเรากำลังเจ็บ แต่รู้ในภายหลังว่าเปนทรางขโมย เจ็บมากน่ากลัวใม่รอด เมื่อเราจำได้นั้น กำลังฟื้น จำขุนทารกรักษา (นาค) ผู้รักษาได้ แกเปนคนแก่ ดูเหมือนตกกระแล้ว แต่ผมยังดำ ไว้ผมเปีย น้ำใจดี พูดอ่อนหวาน เราเปนทารกแลกำลังเจ็บ เข้าหาแลนั่งตักแกได้ ด้วยใม่กลัวแกจะให้กินยา แกคงมีอุบายปลอบให้กินยา แต่ได้ยินว่าเรากินยาง่าย บางทีเปนเพราะเจ้าครอกป้าของเราฝึกให้เจนมาก็ได้ ท่านทรงเล่าให้ฟังว่า ท่านจ้างให้กินยาถ้วยละ ๑ บาท เงินที่รับจ้างได้นั้นกองไว้ข้างตัว พอลืมก็กลับมาเปนค่าจ้างใหม่ เมื่อเขื่องขึ้นหน่อย ใม่ต้องมีใครจ้าง เปนแต่ได้รับคำยอว่า เสวยยาง่าย ดีกว่าท่านพระองค์ชายใหญ่ คือกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ เท่านั้นก็พอ ฯ เหตุไฉนเราจึงไปอยู่ตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดานั้น มีคำเล่าว่า ในวันเผาศพเจ้าจอมมารดาของเราที่วัดราชาธิวาส พอกลับมาถึงตำหนักของเรา ยังใม่ทันขึ้น เราร้องไห้ดิ้นรนใม่ยอมขึ้น ชี้มือไปทางตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดาที่อยู่ใม่ไกลถนนสายเดียวกัน แต่ข้างละฟาก ครั้นเขาพาไปถึงนั่น อยุดร้องไห้ ท่านรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่วันนั้น ฯ แต่อย่างไร เราจึงใม่ได้อยู่ที่นั่นจนโต หารู้แน่ใม่ มีคำเล่าว่า ท่านถูกรแวงว่า เลี้ยงเด็กผู้ชายใม่ขึ้น กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ได้เคยเสดจไปอยู่ที่นั่น ก็ประชวรออดแอด เราอยู่ที่นั่นก็เจ็บใหญ่ ฯ

เมื่อเรามาอยู่ที่ตำหนักของเรา ได้อยู่ในความดูแลของคุณยายท้าวทรงกันดาน (ศรี) ยายตัวของเรา ในเวลาเจ้าจอมมารดาของเราถึงแก่กรรม ยายเราต้องดูแลเจ้าหลาน ๔ พระองค์ ส่วนน้องหญิงบัญจบเบญจมานั้น เสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดา ทรงรับเอาไปเลี้ยงตั้งแต่วันประสุต อยู่ที่ตำหนักท่านตลอดมา จนเธอสิ้นประชนม์จากท่านไป เมื่อพระชันสาของเธอได้ ๓๒ ปี ฯ นึกดูถึงใจยาย เหนหลานกำพร้าแม่แต่ยังเล็กๆ จักมีความสงสารสักเพียงไร แลจักรู้สึกว่าตกเปนภาระของท่านสักเพียงไร เปนเดชะบุญของพวกเรา เรามียายดี มีสามารถในกิจการ รู้จักหาทรัพย์แลเก็บหอมรอมริบ สมบัติของพวกเราจึงปราศจากอันตราย แลพวกเราก็ได้รับทำนุบำรุงมาเปนอันดี ฯ เปนธรรมดาของผู้ใหญ่ย่อมเอนดูเด็กคนน้อยมากกว่า น้องหญิงของเราใม่ได้อยู่ด้วยยาย ถัดมาก็ถึงเรา ยายจึงรักเรามากกว่าหลานอื่น เปนเช่นนี้ตลอดมาจนท่านถึงแก่กรรม เมื่อเราเปนผู้ใหญ่ในสงฆ์แล้ว นอกจากธรรมดาเศกสรรยังเปนโชคของเราอิก ที่ท่านผู้ใหญ่อื่นชอบเรามากเหมือนกัน ฯ

เมื่อยังเล็กเราพอใจเล่นเปนพระ ครองผ้า บิณฑบาต ฉัน อนุโมทนา เทศนา เพียงเท่านี้จะว่าเปนนิมิตต์ก็ใม่เชิง เพราะนี้เปนการเล่นสนุกของเจ้านายอื่นด้วย แต่เรามีตาลปัตรแฉกสำหรับพระราชาคณะ พระนิกรมมุนี (เบญจวรรณ) เจ้าวัดพระยาทำ ผู้เปนญาตินับเปนชั้นตา ทำให้ ใบพัดเอาอไรทำแลทำอย่างไร บอกใม่ได้ เปนอย่างหักทองขวาง ด้ามงาหรือกระดูก นี้จะถือว่าเปนนิมิตต์ก็เข้าที ฯ

นอกจากได้ความสังเกตจากผู้ใหญ่โดยธรรมดาของเด็ก เราได้รับความศึกษาเปนครั้งแรกที่นกพนักงารซึ่งเราเรียกว่า คุณยายนก อายุเท่าไรใม่แน่ แต่ยังเด็กมาก ยายของเราฝากให้เรียนหนังสือไทย ไปเรียนเปนเวลา แล้วกลับมาตำหนัก ฯ ขอบคุณ ๆ ครูนกของเรา แกเปนผู้มีใจดี มีอัชฌาสัยเยือกเย็นใม่ดุ น่ารักน่านับถือ เปนผู้มีสัตย์ ใม่กลับคำให้เสียความวางใจ แรกแก่สอนให้อ่านแลจำตัว ก ข เพียง ก ถึง ง แลว่าถ้าจำได้แล้ว วันนั้นจักให้อยุดแลให้เล่น เราเชื่อแก อ่านครู่เดียวจำได้ แกให้อยุดจริง ๆ แต่ในวันหลัง ๆ แกเหนว่าเรียนวันละตอนคล่องแล้ว แกก็เพิ่มเปนสองตอนขึ้น แจกลูกวันละใม่ถึงแม่หรือแม่หนึ่งขึ้นไปโดยลำดับ เราเชื่อคุณครู เราสมัคทำตามด้วยใม่พักเดือดร้อน เรียนแต่อ่าน ใม่ได้หัดเขียน ความรู้หนังสือที่เราได้จากแกครั้งนั้น ใม่เท่าไรนัก แต่เราได้คุณสมบัติสำคัญจากแก คือรู้จักสมัคทำตามคำของครู เปนเหตุใม่ต้องถูกเคี่ยวเข็นถูกดุถูกตี เพราะการเล่าเรียนเลย เรียนในสำนักครูผู้ใด ครูผู้นั้นรัก ทุกคราวมา ครั้นเราเปนครูเขาขึ้นเอง เราก็ใม่ชอบดุ แม้ปกติของเรามีโทสะเปนเจ้าเรือน ฯ

เมื่ออายุได้ ๗ หรือ ๘ ปี ได้เริ่มเรียนหนังสือขอมกับพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) ครั้งยังเปนหลวงราชาภิรม ปลัดกรมราชบัณฑิต ที่พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ พร้อมด้วยเจ้าพี่หลายพระองค์ อันที่จริงเรียนมคธภาษา แต่ต้องเรียนตั้งแต่อ่านหนังสือขอมที่เปนเครื่องใช้เขียนแลจารตำหรับเรียน เรียกอย่างหมิ่นเหม่แต่บุพพภาคว่า เรียนหนังสือขอม ฯ ใครชักนำให้ไปเรียนหารู้ใม่ ฯ ในเวลานี้เราก็หลากใจว่า อายุเท่านั้นเริ่มเรียนมคธภาษาแล้ว เราเปนเด็กที่สุดในหมู่เจ้านายผู้เรียนอยู่ ฯ ตั้งแต่หัดอ่านหนังสือขอม ตลอดถึงเรียนบทมาลาที่เรียกว่าไวยากรณในบัดนี้ อาจารย์ลำบากมาก ต้องเขียนต่อลงในสมุดดำให้ศิษย์ทุกพระองค์ ต่อขึ้นคัมภีร์ คืออรรถกถาธรรมบท จึงค่อยสดวก ใม่ต้องเขียน ฯ อาจารย์ของเราแกมีใจดีเยือกเย็น แต่แกเปนข้าราชการฝ่ายน่า แกใม่อาจตั้งตัวเปนอาจารย์แกถ่อมตัว แกไหว้พวกเรา พูดอย่างอ่อนน้อม เราหาได้ความรักใคร่สนิทสนมฉันครูกับศิษย์ใม่ ออกจะเหนเปนครูชั้นเลว แต่ก็ยังคมคือยกมือไหว้แก ฯ เราเรียนต่อมากับท่านอาจารย์นี้ จนถึงรัชกาลที่ ๕ แต่ย้ายสถานมาเรียนที่เก๋งกรงนกหรือสกุณวัน เรียกชื่ออย่างนั้น เพราะเดิมมีกรงนกใหญ่ ทำเขาแลป่าไว้ในนั้น เลี้ยงนกแลสัตวจตุบทเล็ก ๆ เราจำได้ว่ามีกระจง มีเก๋งอยู่สี่ทิศของกรงนก แต่ในเวลาที่มาเรียนนั้น กรงนกรื้อเสียแล้ว ทำเปนศาลาใหญ่ ชื่อเก๋งวรสภาภิรมย์ ที่สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ครั้งยังเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน นั่งว่าราชการ เก๋งหลังที่เราเรียนหนังสือนั้น ชื่อราชานุอาสน์ อยู่น่าพระทวารเทเวศรรักษาแห่งพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีทางเดิรคั่นในรวางเท่านั้น แต่เรียนอยู่ใม่นานก็เลิก ฯ เราเรียนถึงแปลอรรถกถาธรรมบทบั้นปลายผูกสอง พอเข้าใจความท้องเรื่องได้เมื่ออาจารย์สอนให้แปลแล้ว แต่ยังผสมเอาความเองใม่ได้ ฯ ความรู้ที่ได้ในการเรียนนี้ คืออ่านหนังสือขอมออก รู้จักศัพท์มคธขึ้นบ้าง นำให้เข้าใจภาษาไทยกว้างออกไป ฯ

เราจำได้ว่าการเล่นตุกตา ก็ให้ความรู้ได้เหมือนกัน ฯ เล่นตุกตาตัวใหญ่ เรารักตุกตาเปนลูก เราได้ความรู้สึกว่าผู้ใหญ่ของเราท่านรักเราอย่างไร นี้เปนกตัญญู เราเอาอย่างผู้ใหญ่ทำให้แก่ตุกตา หรือจักทำแก่คนภายน่า นี้เปนบุพพการี แลยังรู้จักเย็บผ้า ผสมสีย้อมผ้าเครื่องแต่งตัวตุกตาแลอื่น ๆ อิก เล่นตุกตาตัวเล็ก ๆ นำให้เราสังเกตวิธีจัดเย่าเรือนแลจัดการงารของผู้ใหญ่ เพื่อจำเอามาเล่นตุกตา ฯ การเล่นหุงเข้าต้มแกง ก็ให้ความรู้ในทางปรุงอาหาร แต่เสียดายว่าใม่สนใจ จึงใม่สันทัด ฯ

แม้เราเปนผู้กำพร้าแม่ แต่เราได้อัสสาสะคือความอุ่นใจในทูนกระหม่อมของเรา ท่านทรงกับพวกเราโดยฉันพ่อกับลูก ใม่ทรงทำพระยศพระอย่างโดยฐานเปนพระเจ้าแผ่นดิน ที่ห่างเหินจากพระเจ้าลูกเธอชั้นพระองค์เจ้า หรือพูดตามคำสามัญว่า ลูกเมียน้อย ฯ เวลาเสวยพวกเรานั่งล้อมอยู่ใกล้โต๊ะเสวย คอยเลื่อนเครื่องใม่ทันใจ ทูลขอกำลังเสวยก็มี เสดจไปข้างไหน ก็พรูตามเสดจ ถ้าเสดจโดยพระราชยาน ก็ทรงรับขึ้นพระราชยาน ที่ยังเล็กโปรดให้นั่งที่พระเพลาบ้าง ซอกพระปรัศว์บ้าง ที่เขื่องโปรดให้นั่งน่าพระเพลา เราจำได้ว่าเมื่อครั้งโสกันต์พี่พักตร์พิมลพรรณที่เมืองเพ็ชร์บุรี วันหนึ่งเราตามเสดจลงจากเขามไหศวรรย์ ไปรับกระบวรแห่ใม่ทัน แม่นมอุ้มไปดักกลางทาง สอนให้เราทูลขอให้ทรงรับ ท่านให้อยุดพระราชยานรับเราขึ้นด้วย ประทับที่ไหน พวกเราก็นั่งล้อมเบื้องพระปฤษฎางค์ ฯ เรามีความอิ่มใจว่า แม้เรายังเล็ก เราก็พอเปนประโยชน์แด่ทูนกระหม่อมของเราได้บ้าง ท่านทรงใช้เราหยิบพระศรี (คือหมากเสวย) ก็มี พระสุพรรณศรี (คือบ้วนพระโอฐองค์น้อย) ก็มี โปรดให้เชิญพระแสงบ้าง เชิญธารพระกรบ้าง บางคราวถูกเชิญพร้อมกันทั้งสองอย่าง หนักก็หนัก มือเล็กกำใม่ค่อยรอบ แต่อิ่มว่าเปนผู้แขงแรง ทรงใช้การหนักได้ ฯ

เมื่อกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์จะทรงผนวชเปนสามเณร ทูนกระหม่อมทรงพระอนุญาตให้เรามาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารด้วยเจ้าพี่ เราดีใจนี่กระไร เมื่อออกมาอยู่ได้พบและคุ้นเคยกับพวกผู้ชายทั้งพระเณรทั้งคฤหัสถ์ ได้เรียนรู้อัชฌาสัย มีทั้งดีทั้งเลว และมีช่องที่ได้ตามเสดจเจ้าพี่ไปข้างไหน ๆ บ่อย ๆ กว่าอยู่ในวัง ติดวัดเหมือนปลาเคยอยู่ในน้ำตื้น ได้ออกมาน้ำลึก มีธุระที่จะต้องเข้าไปค้างคืนในวัง ช่างใม่สมัคเสียจริง ๆ อยู่ก็ใม่สนุก ฟังผู้หญิงพูดก็ใม่คมคาย เมื่ออยู่วัดได้เรียนปริยัติกับพระปริยัติธรรมธาดา (ชัง) ครั้งยังเปนหลวงศรีวรโวหาร นายด้านกรมราชบัณฑิต ผู้บอกภิกษุสามเณรวัดนั้นอยู่บ้าง ฯ การอยู่วัดมีประโยชน์ทำให้ใจแลอาการเปนผู้ชายเรว แปลกกว่ามาอยู่ต่อเมื่อบวชเณรทีเดียว ที่มักจะมีอาการผู้หญิงติดมาใม่องอาจ แต่อิกทางหนึ่งได้ยินคำที่ยังใม่ควรจะได้ยินเร็วเกินไป ฯ

ทูนกระหม่อมของเราเสดจประพาสหัวเมืองเนือง ๆ พวกเราอยากตามเสดจนี่กระไร ผู้ใดได้ไป เปนโชคของผู้นั้น แต่เรามักจะแคล้วคลาด จำได้ว่าได้ไปพระประถมเจดีย์ กรุงเก่า เมืองเพชรบุรี เกาะจาน แขวงเมืองประจวบคิรีขันธ์ (คือเมืองกุย) คราวมีสูญเท่านั้น แม้อย่างนั้น สองคราวหลัง หาได้ไปเรือพระที่นั่งใม่ คราวไปเพชรบุรี ไปเรือลำเดียวกับเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดา คราวไปเกาะจาน ไปเรือลำเดียวกับกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ซึ่งยังเปนสามเณร แลตามเสดจกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เสดจพระอุปัชฌายะของเราไป ฯ

พอเสดจกลับจากเกาะจาน ทูนกระหม่อมทรงพระประชวรไข้ป่า ประมาณว่าเดือนเศษใม่ถึงครึ่งสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสิบเอ็จ ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ตรงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลา ๑ ยามเศษ ฯ เวลานั้นเรามีอายุได้ ๘ ขวบครึ่ง รู้จักเศร้าโศกเสียดายบ้างแล้ว แต่ยังรัวเต็มที ฯ สมเดจของพวกเรา คือพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสวยราชสมบัติแต่พระชันสายังพระเยาว์เพียง ๑๖ ปี สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ครั้งยังเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เปนผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ต่อเมื่อพระชันสาได้ ๒๑ ปี ทรงอุปสมบทแล้ว จึงได้ทรงราชการเต็มที่ ฯ เราได้เหนความเปลี่ยนแปลงแห่งความเปนไปของพวกเราเปนครั้งแรก คนผู้เคยนับถือแลฝากตัวก็จืดจางไป คนที่เราใม่เคยเกรง ก็ต้องเกรง ส่วนลาภก็น่าจะเปนตามกัน แต่เรายังเด็กใม่ได้รู้ไปถึง แต่ยังเปนโชคของพวกเรามาก ที่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสดจเถลิงถวัลยราชสมบัติ ถ้าการณ์กลับกลายเปนอย่างอื่นไป จะซ้ำร้ายกว่านี่เสียอีก ครั้งนั้นเรายังเด็กนักใม่รู้คิด มารู้เมื่อโตขึ้นคิดถึงครั้งนั้นน่าใจหาย ครั้งนั้นพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กำลังทรงพระประชวร พระอาการมากเหมือนกัน เราได้เหนเองเมื่อเวลาเขาเชิญเสดจขึ้นไปถวายน้ำสรงพระบรมศพบนพระที่นั่งภานุมาสจำรูญองค์เดิม เรายังรู้ว่าทรงพระประชวรมากอยู่ ถ้าพลาดพลั้งลงในเวลานั้น การภายน่าจักเปนอย่างไรใม่พักต้องหาโหรพยากรณ์ก็อาจรู้ ฯ แต่ความเปลี่ยนแปลงแห่งความเปนไปของพวกเราตามสมัยนี้ ใม่เปนเปล่าจากประโยชน์เสียทีเดียว กลับให้ประโยชน์แก่เราในภายหลังอิก ทำให้พวกเราสังเวชน์คิดถึงตัว ใม่มีทางกำเริบ หรือแม้เพียงทอดธุระจากการแสวงหาความรู้ ได้เปรียบเจ้านายในรัชกาลที่ ๓ ที่โดยมากกลับพระองค์ใม่ทัน เพราะเวลาล่วงไปเสียมากแล้ว พวกเรายังมีช่องพอจะทำตนให้เปนดุจภาชนะสำหรับรองรับราชการที่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงวางลงไป ฯ สมัยที่พวกเรามาถึงเข้าบัดนั้น ชั่งเปนคราวที่พวกเจ้านายตกต่ำนี่กระไร แต่พวกเรายังเล็กนักก็ใม่รู้สึกลึกซึ้งกี่มากน้อย แต่พระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระเจริญกว่าคงจะทรงรู้สึกฝังในพระราชหฤทัยเปนหนักหนา จึงทรงทำนุบำรุงพวกเรามาตั้งแต่ยังเยาว์ ให้ได้รับศึกษาแลฝึกหัดในทางที่สมควรแก่สมัย แลทรงชุบเลี้ยงเมื่อเติบขึ้น ให้มีช่องได้รับราชการน่าที่ใหญ่ขึ้นโดยลำดับ จนได้เปนเสนาบดีเจ้ากระทรวงก็หลายพระองค์ มีพระเดชพระคุณแก่พวกเราเปนล้นพ้น ฯ อาศัยเหตุสองประการ คือพวกเราทำตนให้เปนดุจภาชนะที่ควรรองรับราชการแลพระมหากรุณาแห่งพระบาทสมเดจพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยง พวกเราจึงกลับมีผู้นับถือยำเกรงขึ้นอีก ฯ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:21:56 »



๓. คราวเปนพระกุมาร

ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ใม่มีพระเจ้าลูกเธอที่ทรงพระเจริญ ท่านทรงใช้พวกเราทั้งชายหญิง แลทรงสนิทสนมเหมือนเดิม เพราะเหตุนี้กระมัง เราจึงได้เลิกเรียนมคธภาษา แลใม่ได้อยู่วัดต่อไป ฯ ในพวกผู้ชาย ท่านทรงใช้เรากับสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์เปนมาก เมื่อกรมพระเทววงศวโรปการ ทรงพระเจริญแลเสดจออกจากพระบรมมหาราชวังแล้ว เราสองคนได้ช่องตามเสดจหัวเมืองเนือง ๆ มา ราชการเปนน่าที่ประจำตัวเรา คือ เชิญหีบพระมหาสังข์ตามเสด็จในวันสมโภชสามวันแลสมโภชเดือน พระเจ้าลูกเธอประสุตใหม่ที่ตำหนักข้างใน เราได้ทำเปนครั้งที่สุด เมื่อสมโภชเดือนสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ฯ เราในครั้งนั้นจะเรียกว่าเปนเด็กใม่ซนทีเดียวดูเหมือนเกินไป แต่เราเคราะห์ดี ในคราวพี่น้องเกิดความออกช่องต่างๆ ผเอิญเราติดราชการที่ต้องอยู่ประจำพระองค์บ้าง ไปใม่ทันบ้าง กำลังถูกพี่น้องโกรธใม่เล่นด้วยบ้าง รอดตัวไปทุกที นี้เพิ่มแคนนแห่งความดีของเราขึ้นทุกที กรมพระสมมตอมรพันธุ์ พื้นของเธอเปนผู้ใม่ซน แต่เคราะห์ร้ายมักพลอยถูกด้วย ฯ อิกอย่างหนึ่งเรารู้จักรวังตัว การอย่างใดยังใม่เหนมีผู้ทำ หรือผู้ทำยังใม่เปนที่วางใจได้ว่าจะใม่เกิดความ เราใม่ทำการอย่างนั้น ฯ ครั้งแรกแต่งตัวใช้เสื้ออย่างฝรั่งขึ้นใหม่ พวกผู้ชาย เรากับสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ได้รับพระราชทานเครื่องแต่งตัวก่อน ฯ

ในคราวเสดจประพาสเมืองต่างประเทศที่เราใม่ได้ตามเสดจ ได้กลับไปอยู่ตำหนักเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดาเปนคราว ๆ เรียนหนังสือไทย หัดอ่านโคลงแลกลบทต่าง ๆ บ้าง เรียนเลขอย่างไทยบ้าง เรียนดูดาวบ้าง ฯ แปลกอยู่ เสดจป้าของเราได้รับความฝึกหัดในวิชาของผู้ชายเปนพื้น ศิลปะของผู้หญิงเช่น เย็บ ปัก ถัก ร้อย ทำอาหาร ที่สุดจนเจียนหมากจีบพลู เรายังใม่เคยเหนท่านทำเองเลย เขาว่าท่านทำใม่เปนด้วย ถึงคราวสมโภชพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษาปีใหม่ ท่านทรงรับทำตาข่ายดอกไม้สดแขวนบุษบกพระครั้งนั้น ๕ ที่ คนร้อยดอกไม้เต็มหอกลางตำหนัก เราก็ได้เข้าหัดร้อย แต่จำใม่ได้ว่าท่านได้ร้อยด้วย และความนิยมของท่าน ก็ใม่เปนไปในสิ่งที่ผู้หญิงชอบมีดอกไม้เปนต้น ทรงนิยมในทางทรงหนังสือธรรม ตำนาน แลเรื่องของจินตกวี ฯ ท่านทรงประพฤติพระองค์เปนหลักใม่หยุมหยิม ที่เราดูหมิ่นท่านใม่ได้ แต่คนอื่นเขาว่าท่านดุ เราเหนท่านเปนเพียงเฉียบขาด แปลกอิกอย่างหนึ่ง ใม่เคยเหนท่านทรงพระสรวลจนเอาไว้ใม่อยู่ หรือแสดงเสียพระหฤทัยจนวิการ เขาเล่าว่า เมื่อพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ ผู้ทรงพระเมตตาท่านมาก สวรรคต ท่านมิได้ทรงกันแสง เราได้เหนเมื่อครั้งคุณยายสมศักดิ์ถึงอสัญญกรรม ท่านใม่ได้ทรงกันแสง แต่คุณยายสมศักดิ์แก่แล้ว อายุถึง ๗๕ ก็พอจะกลั้นอยู่ เมื่อน้องหญิงบัญจบเบญจมาสิ้นพระชนม์ เธอเปนผู้ที่ท่านเลี้ยงมาจนสิ้นพระชนม์จากไป ท่านก็กลั้นได้ใม่ทรงกันแสง แต่พระอาการเศร้าโศกปรากฏ มีเหนอะไรของน้อง ใม่สบายพระหฤทัยเปนต้น ดูท่านสมกับคุณยายสมศักดิ์เจ้าจอมมารดาของท่านจริง ๆ เขาสรรเสิญพระเกียรติคุณของพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวต่าง ๆ บางทีท่านจะได้อย่างมาใม่มากก็น้อย ได้รับเลี้ยงดูแลฝึกหัดในสำนักอาจารย์เช่นนี้ เปนลาภเปนเกียรติ์ของเรา ฯ

เริ่มที่ล้นเกล้าฯ จะทรงทำนุบำรุงพวกเราให้ได้ความรู้ ทรงตั้งโรงเรียนภาษาอังกฤษขึ้นที่ตึกแถวริมประตูพิมานชัยศรี ด้านขวามือหันหน้าออก มีนายฟรานสิสชอช แปตเตอร์สันเปนครูสอน อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ครั้งยังเปนนายราชาณัตยานุหารว่าที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ เช้าสอนเจ้านายพวกเรากับหม่อมเจ้าบ้าง บ่ายสอนข้าราชการที่เปนทหารมหาดเล็ก เราได้เข้าเรียนมาตั้งแต่เปิดโรงเรียน ครั้งนั้นเรามีอายุราว ๑๒ ปี ฯ ครูพูดไทยใม่ได้ สอนอย่างฝรั่งเจี๊ยบ หนังสือเรียนใช้แบบฝรั่ง ที่สุดจนแผนที่ก็ใช้แผนที่ยุโรปสำหรับสอน เรารู้จักแผนที่ของเมืองฝรั่งก่อนของเมืองไทยเราเอง หัดพูดหัดอ่านแนะให้เข้าใจความเอาเอง ใม่ได้หัดให้แปล แต่พวกเราก็พยายามเข้าใจความได้ถึงพงษาวดารอังกฤษ สิ่งที่เราเข้าใจใม่ได้ คือไวยากรณ์ คิดเลขก็ใช้มาตราอังกฤษ แต่เราทำเลขไทยเปนมาแล้ว เราคงรู้จักมาตราไทยมาก่อน แต่ผู้อื่นที่รู้จักมาตราอังกฤษก่อนมีบ้างกระมัง ฯ แต่ความรู้เหล่านี้มาช่วยเราเมื่อโตแล้ว ให้รู้จักเอามาใช้ในทางข้างไทยเรา ด้วยใม่พักต้องเรียนใหม่ เราได้รู้นิสสัยของฝรั่งจากหนังสือเรียน ดีกว่าเรียนแบบที่เขาจัดสำหรับคนไทยในภายหลัง เปนการเหมาะแก่เราผู้ใม่มีช่องจะได้ไปเรียนที่เมืองฝรั่ง ถ้าเวลานั้นเปนโอกาศเหมือนในชั้นหลัง เราคงจะได้รับพระมหากรุณาโปรดให้ออกไปเรียนด้วยผู้หนึ่ง เปนลาภของกรมหลวงสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ พระองค์แรกผู้ได้สพโอกาศนี้ ฯ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำในการบ้านเมืองอิก ที่เกิดขึ้นเปนคราวๆ ทางเมืองฝรั่ง แลเปนเวลาเกิดเหตุการณ์เนืองๆ เปนต้นว่าเยอรมันตีเมืองฝรั่งเศสได้ ราชาธิปไตยของฝรั่งเศษล่ม กลายเปนประชาธิปไตย เรากระหยิ่มใจว่าเราได้ความรู้ดีกว่านักเรียนชั้นหลังที่เรียนเฉพาะในเมืองไทยที่เราได้เคยพบ ฯ ครูของเราแกเปนฝรั่ง แกตั้งตัวแกเปนครูเต็มที่ พวกเราต้องรู้จักฟังบังคับ ได้คุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง แต่เฉพาะเรา คุณครูนกทำพื้นมาดีแล้ว ใม่พักลำบาก เรากับกรมพระดำรงราชานุภาพ เปนผู้ที่ครูชอบใจ เอาไว้กินอาหารกลางวันด้วยกันแล้ว ให้เรียนเวลาบ่ายอิกด้วย ครูชักนำให้รู้จักกับฝรั่งอื่นผู้เปนเพื่อน ฯ ผลที่ได้จากเรียนภาษาอังกฤษนอกจากกล่าวแล้ว เขียนหนังสือแลแต่งหนังสือเปน ในการเรียนต้องหัดลายมือแลเขียนตามคำบอก พวกเราก็ร่านเอามาใช้ในภาษาไทย เขียนจดหมายถึงกันและกันบ้าง แปลเรื่องฝรั่งบ้าง จดบันทึกเรื่องอย่างอื่นบ้าง เขยิบขึ้นไปตามอายุจนถึงแต่งจดหมายเหตุราชการ ที่ได้รับพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำในทางราชการโดยลำดับมา ฯ

นิสสัยของพวกเรา เหนใครเขาทำอไร พอใจจะทำบ้าง นี้เปนเหตุให้ได้ความรู้จิปาดะ แม้ใม่ได้เรียนเปนล่ำสัน ความรู้เช่นนี้ก็เปนประโยชน์ได้เหมือนกัน เมื่อโตขึ้น ฯ สิ่งที่ขัน ในพระวินัยกล่าวถึงเรื่องชนิดแห่งดอกไม้ร้อยที่ห้ามใม่ให้ภิกษุทำ พระอรรถกถาจารย์ใม่เข้าใจเสียเลย แก้ถลากไถลไป เจ้าคุณอมราภิรักขิต (เกิด) วัดบรมนิวาส ผู้รจนาบุพพสิกขาวัณณนาก็อิกแล ใม่เข้าใจเหมือนกัน เราพบก็เข้าใจ เช่นดอกไม้ร้อยชนิดที่เรียกว่า “ปูริมํ” แปลตามพยัญชนะว่า “ของที่ทำให้เต็ม” โดยความว่า “ของที่ทำให้เปนวง” พระอรรถกถาจารย์แก้ว่า เอาตาข่ายวงธรรมาสน์ให้รอบ เปนอาบัติ วงใม่ทันรอบส่งให้ภิกษุอื่นทำต่อได้ อันที่จริง ปูริมํ นั้นได้แก่พวงมาลัย ที่ร้อยสรวมดอกก็ตาม แทงก้านก็ตาม แล้วเอาปลายผูกเงื่อนทั้งสองบัญจบเข้าเปนวง นั้นเอง ที่ห้ามใม่ให้ภิกษุทำ ฯ

เมื่ออายุเราได้ ๑๓ ปี ล้นเกล้าฯ โปรดให้ตั้งพิธีโสกันต์เรากับเจ้าน้องอิก ๔ พระองค์ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ฯ เราเปนต้น กรมพระสมมตอมรพันธุ์ เปนที่ ๒ สมเดจพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน เปนที่ ๓ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เปนที่ ๔ น้องหญิงนงครานอุดมดี เปนสุดท้าย ฯ ๔ ข้างต้นอายุ ๑๓ ที่สุด ๑๑ ฯ ฟังสวด ๓ วัน โสกันต์วันศุกร เดือนยี่ ชึ้น ๑๒ ค่ำ ปีวอกจัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ ตรงวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ฯ เปนประเพณีที่ถือกันมาในพระวงศ์ของทูนกระหม่อม ตามพระดำรัสห้ามของสมเดจพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัยยิกาของเรา ว่าพระชันสายังใม่ถึง ๓๐ ห้ามใม่ให้ตัดจุก ฯ นี้มาสมเข้ากับธรรมเนียมในพระวินัยว่า มีพรรษายังใม่ครบ ๑๐ (ที่นับอายุว่า ๓๐) ห้ามมิให้เปนอุปัชฌายะ แลธรรมเนียมข้างวัดอังกฤษว่า ผู้จะเปนบีชอบ คือเจ้าคณะต้องมีอายุได้ ๓๐ แล้ว ฯ ตามธรรมเนียมนี้ คงถือว่าคนที่จัดว่าเปนผู้ใหญ่แท้ อายุถึง ๓๐ แล้ว ฯ ล้นเกล้าฯ พระชนม์ยังใม่ถึง ๓๐ จึงยังใม่ทรงตัดจุก เปนแต่พระราชทานน้ำพระมหาสังข์แล้วโปรดให้เจ้านายผู้ใหญ่ที่เราจำได้ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ สมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงตัด ฯ คราวเราโสกันต์ ฤกษ์เช้าย่ำรุ่งแล้ว เสดจอาวผู้เคยทรงตัด เสดจมาใม่ทันสักพระองค์ โปรดให้กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ พระเจ้าบวรวงศ์เธอครั้งนั้น ที่เปลี่ยนมาเปนพระเจ้าราชวรวงศ์เธอครั้งนี้ ชั้นที่ ๒ ทรงตัดพระองค์เดียว ท่านตัดเรา กรมพระสมมตอมรพันธุ์ แลสมเดจพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตนแล้ว กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ แลสมเดจกรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงเสดจมาทันตัดกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาแลน้องหญิงนงครานอุดมดี ฯ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ ทรงตัดเจ็บมาก บางทีจะเปนเพราะกรรไกรดื้อ แต่ความรู้สึกว่าใม่เทียมหน้าพี่น้องผู้โสกันต์ไปแล้ว นำให้โทษท่านว่าทรงตัดใม่เปน เราใม่เคยเหนท่านทรงตัดที่ในวัง เราก็สำคัญว่าท่านใม่เคย แต่โดยที่แท้ท่านคงเคยในที่อื่นมามากแล้ว ฯ ครั้งนั้นมีแห่กระบวรน้อยทางข้างใน มีรายการแจ้งให้โคลงวิวิธมาลีโสกันต์ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ นั้นแล้ว แต่รายการที่กล่าวถึงในโคลงนั้น โสกันต์คราวปีมแม ก่อนนี้ปีหนึ่ง ฯ แห่อย่างนี้จัดขึ้นคราวแรกเมื่อปีมเมีย ครั้งโสกันต์เจ้าพี่กาพย์กระนกรัตน แลกรมพระเทววงศ์วโรปการ ครั้งนี้เปนที่ ๓ เปรียบเทียบกับแห่โสกันต์ทางนอก ครั้งรัชกาลที่ ๔ แปลกกันมาก แต่หากจะโปรดให้มีแห่เหมือนอย่างนั้น ก็คงใม่ครึกครื้นเหมือน เพราะผิดเวลา ใครเขาจะมาเอาใจจอดอยู่ด้วย ทั้งท่านผู้ออกงาร ก็จะหานางสะแลข้าหลวงหญิงชายตามใม่ได้ง่าย แลการโสกันต์ยังจะมีติดกันไปทุกปีอย่างไรก็ต้องกร่อย จะให้ลำบากแก่คนมากแลเปลืองเงินมากเพื่ออไร ล้นเกล้า ฯ ทรงเลิกแห่นอกเสียนั้น สมควรแท้ ได้รู้มาว่า ครั้งรัชกาลที่ ๓ พระเจ้าน้องเธอ พระเจ้าลูกเธอ โสกันต์ในพิธีตรุษเปนพื้น มีแห่เฉพาะบางครั้ง พระเจ้าลูกเธอ ดูเหมือนใม่ได้แห่เลย เทียบกับครั้งนั้นก็ยังได้ออกหน้ากว่า ต่อมาถึงคราวพระเจ้าลูกเธอโสกันต์ โปรดให้แห่ทางในโดยมาก เหนพระราชนิยมชัด ฯ เปนธรรมเนียมของเจ้านายผู้ชายจะออกจากพระบรมหาราชวังชั้นใน ต่อเมื่อทรงผนวชเปนสามเณร เราโสกันต์แล้ว จึงยังอยู่ในวังต่อมา ฯ

อายุเราได้ ๑๔ ปี ถึงกาลกำหนดบรรพชา แต่ปีนั้นเดือน เจ็ดต่อกับเดือนแปดเกิดโรคป่วงชุกชุม ที่ห่างมานานตั้งแต่ปีรกาเอกศก จุลศักราช ๑๒๑๑ หรือ พ.ศ. ๒๓๙๒ มีพระราชดำรัสสั่งให้เลื่อนไปบวชต่อเมื่อเดือนเก้า ฯ ในเวลานั้น ยังว่าขานนาคเปนทำนอง ต้องหัดกันมาแต่เนิ่นลำบากใม่ใช่น้อย พระราชครูมหิธร (ชู) ครั้งยังเปนหลวงญาณภิรม นายด้านกรมราชบัณฑิต มีน่าที่เปนผู้หัด แกเหนจะเปนนักร้องดีกระมัง แต่เราทนแกใม่ไหว ว่าอย่างไรแกก็ติตบึงไปว่าใม่ถูก ๆ จนใม่รู้จะว่าอย่างไร เลยร้องไห้ฉุนแกขึ้นมาบ้าง ใม่ยอดหัดกับแกอิก นิสสัยของแกคงชอบยั่วให้ศิษย์เจ็บใจแลมีอุตสาหะทำให้ได้ ส่วนนิสสัยของเราชอบปลอบชอบพูดเอาใจ ต่างกันเช่นนี้ อาจารย์เปี่ยมของเรา เคยสอนมคธภาษามาก่อน แกคงรู้ดี แกรับหัดสำเร็จ ฯ มีการทรงผนวชสมโภชที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยวันหนึ่ง ทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนเก้า ขึ้นสิบสี่ค่ำ ปีรกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ ตรงวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ พร้อมด้วยกรมพระสมมตอมรพันธุ์ แลกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา สมเดจกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ครั้งยังเปนกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธุ์ เปนพระอุปัชฌายะ หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิสธาดาเปนผู้ประทานสรณะแลศีลแก่เรา เปนคราวแรกที่เราได้เข้าในที่ประชุมสงฆ์ ทั้งขานนาคมีบทที่ยืนว่า คืออุกาสะด้วย ประหม่าเปนอย่างใหญ่ จนถึงตัวสั่นเสียงสั่น ฯ พวกเราผนวชเณรแปลกจากธรรมเนียมสามัญ ครองผ้ามีสังฆาฏิแลขอนิสนัยด้วย ฯ การทรงผนวชพวกเรา ใม่มีแห่เหมือนครั้งแผ่นดินทูนกระหม่อม ขึ้นเสลี่ยงกั้นกลดเท่านั้น พวกผู้หญิงใม่ค่อยรู้สึกเหมือนโสกันต์ ฯ บวชแล้วมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารทั้งสามองค์ ล้นเกล้า ฯ เสดจส่งด้วยหรือใม่ จำใม่ได้ ถ้าใม่ได้เสดจก็มีรถหลวงส่ง ฯ ที่วัดมีกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ แลกรมขุนสิริธัชสังกาศ ทรงผนวชเปนสามเณรอยู่ รวมพวกเราเข้าด้วย ในพรรษานั้น จึงมีพระองค์เจ้าสามเณร ๕ พระองค์ เกือบเท่าครั้งปีมโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มีถึงเจ็ดพระองค์ ฯ​ เราอยู่ตำหนักเดียวกับกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ หลังที่เรียกว่าโรงพิมพ์ ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเมื่อครั้งทูนกระหม่อมทรงผนวชเปนที่ตีพิมพ์หนังสืออริยกะ ทูนกระหม่อมได้เคยประทับกลางวัน ครั้งรื้อท้องพระโรงสร้างตำหนักเดิมเดี๋ยวนี้ ฯ เวลาหัวค่ำ ขึ้นฟังสั่งสอนที่เสดจพระอุปัชฌายะ ท่านทรงสั่งสอนด้วยศีลแลวัตรของสามเณร ฟังเข้าใจได้ ฯ ครั้งนั้นยังมีบิณฑบาตเวร คือจัดพระสงฆ์ในวัดอารามหลวงให้ผลัดกันเข้าไปรับบิณฑบาตในพระบรมหาราชวังชั้นใน วันพฤหัสบดีเปนเวรของพระสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารแลวัดธรรมยุตอื่น ถึงกำหนดเราเข้าไปบิณฑบาต ใช้เสลี่ยงไปจากวัด ลงเดิรที่ในวัง พวกเณรธรรมยุตก็ใช้ห่มดองคาดประคตอกสพายบาต เหมือนเณรมหานิกาย แต่ในที่อื่น แม้เมื่อเข้าไปหรือกลับออกมาแล้ว ก็ห่มคลุม เข้าทางประตูดุสิตศาสดา ที่เปนทางข้างในออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระองค์เจ้าออกทางประตูสนามราชกิจ ที่เรียกว่าประตูย่ำค่ำ หม่อมเจ้าได้ยินว่าออกประตูอนงคลีลา หรืออไรที่ออกฉนวนตำหนักน้ำท่าราชวรดิฐ พระสามัญออกประตูยาตราสัตรีที่เรียกว่าประตูดิน ฯ ประโยชน์ที่ได้จากการบวชเณร หัดประพฤติตัวกวดขันกว่าก่อน เริ่มรู้จักเพื่อจะทรงตัวเอง แลรู้จักเพื่อจะอ่อนน้อมผู้อื่นตามภาวะของเขา ฯ เราแม้ใม่ใช่เด็กซุกซนจัด แม้ได้รับฝึกหัดในทางมรรยาทมาบ้างแล้ว แต่ยังใม่กวดขันเหมือนในเวลาบวช หรือได้รับฝึกไปทีละอย่างโดยใม่รู้ตัว มาบวชได้รับสั่งสอนประดังกันวันละหลายอย่าง ทั้งเปนมรรยาทที่แปลกออกไปก็มี จึงรู้สึกว่ากวดขัน ฯ เราเปนเด็กที่ร่านอยู่ก็จริง ถึงอย่างนั้นยังต้องอาศัยผู้ใหญ่ทำให้หลายประการ ตั้งแต่แต่งตัวเปนต้นไป มาบวชเปนเณรจะต้องทำสำหรับตัวเองเปนพื้น ตั้งแต่ครองผ้าเปนต้นไป ฯ คฤหัสถ์ผู้ใหญ่ ที่มิใช่เจ้าเขาอ่อนน้อมแก่พวกเรา ที่สุดอาจารย์เปี่ยมของเรา แกก็ทำอย่างนั้น แต่พวกพระที่สุดสามเณรด้วยกันผู้บวชก่อน ท่านใม่ลงเราอย่างนั้น ท่านลงเปนที่ตามความนิยมของบ้านเมืองเท่านั้น เราก็ต้องลงท่านบางประการ ฯ ส่วนการศึกษาอื่นใม่ได้มีในเวลาบวช ฯ เมื่อจวนออกพรรษา ล้นเกล้าฯ ทรงอุปสมบทเปนพระภิกษุ แลเสดจประทับที่พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม เสดจพระอุปัชฌายะเสดจเข้าไปอยู่เปนเพื่อน พระเถรานุเถระอื่นผลัดกันเข้าไปอยู่ ฯ พวกเรา ๕ องค์ได้เข้าไปสมทบทำวัตรสวดมนต์แลบิณฑบาต แต่ใม่ได้อยู่รับใช้ คงเปนเพราะภิกษุใหม่มีสามเณรไว้อุปฐากใม่ควร ฯ บิณฑบาตห่มคลุม อุ้มบาตร เหมือนอย่างนอกวัง ในบริเวณพระที่นั่งภานุมาสจำรูญองค์เดิมที่พระสงฆ์วัดราชประดิษฐเข้าไปรับครั้งทูนกระหม่อม ฯ ยังใม่ได้บวช ก็ร่านจะบวช จะได้ออกจากวัง ดูค่อยเปนผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้น ครั้นบวชแล้ว จวนออกพรรษาก็อยากสึก จะได้เที่ยวไปไหน ๆ เหมือนปลาต้องการออกไปหาน้ำลึก แต่ใม่รู้ว่าอันตรายมีอย่างไร นอกจากนี้ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ จะทรงลาผนวชเมื่อคราวออกพรรษานั้นด้วย ชวนให้เราอยากสึกขึ้นอิกมาก ฯ เปนประเพณีของเจ้านายผู้ทรงผนวช จะหัดเทศน์มหาชาตก์ เพื่อถวายในฤดู แต่เราเข็ดพระราชครูมหิธรมาแล้ว ครั้งหัดขานนาค จึงใม่ขอหัดแลใม่ได้ถวาย รีบชิงสึกเสียก่อน เพื่อมิให้ออกช่อง ฯ เราบวชเปนสามเณรอยู่ ๗๘ วัน สึกเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ ปีนั้น ตรงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ใม่มีพิธีหลวง จัดเอาเอง สึกแล้วไปอยู่วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ตามลำพัง ยายออกมาอยู่ที่นั่น อยู่เรือนเดียวกับยาย แต่คนละห้อง ภายหลังจึงออกมาอยู่ที่ปั้นหย่าริมประตูวัง เมื่อกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์เสดจขึ้นอยู่บนตำหนักใหญ่แล้ว ฯ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:22:46 »



๔. คราวเปนพระดรุณ

พอสึกจากเณร เจ้าพี่ใหญ่ประทานเงิน ๔๐๐ บาทแก่เรา เพื่อจะได้ซื้อเครื่องแต่งตัว เครื่องใช้แลเครื่องแต่งเรือน เปนของใม่เคยรับ อยู่ข้างตื่นเต้นมาก ฯ ครั้งยังเด็กได้รับพระราชทานเงินแจกตามคราวนั้น ๆ เช่น คราวจันทรคราธได้ ๔ บาท ผู้ใหญ่เก็บเสีย ปล่อยให้จ่ายซื้ออไร ๆ ได้ตามลำพัง แต่เงินสลึงที่ได้รับพระราชทานในคราวทำบุญพระบรมอัฐิ คราวนี้ถึง ๔๐๐ บาท ยายก็ปล่อยใม่เก็บเอาไปเสีย จ่ายอไรต่างๆ เพลิดเพลิน ฯ เรานึกว่าเราเปนหนุ่มขึ้น ควรแท้จริงจะจ่ายเอง แต่โดยที่แท้ ในการจับจ่ายก็ยังเปนเด็กอยู่นั่นเอง ใม่รู้จักของจำเปนหรือใม่ เมื่อจะซื้อ ใม่รู้จักราคาพอดี ใม่รู้จักสิ้นยัง เอาความอยากได้เปนเกณฑ์ เงิน ๔๐๐ บาทนี้เปนปัจจัยยังเราให้สุรุ่ยสุร่ายต่อไปข้างน่าอิก ฯ

ครั้งยังอยู่ในพระบรมหาราชวัง ล้นเกล้า ฯ โปรดให้พวกเราหัดขี่ม้าบ้าง บางคราวออกมาอยู่นอก ใช้ม้าเปนพาหนะไปไหน ๆ เปนต้นว่าเข้าวัง ใม่ช้าเท่าไรเราก็ขี่ชำนาญ พอขึ้นหลังม้าเปนวิ่งหรือห้อ เที่ยวเสียสนุก รู้สึกเปนอิศระด้วยตัวเอง เหมือนพระเปนนิสสัยมุตตกะ ถนนบางรัก ถนนสีลม เปนแดนเที่ยวของเรา เพราะเปนทางไกลที่หาได้ในครั้งนั้นจะได้ห้อม้า ทั้งเปนทางไปห้างเพื่อซื้อของด้วย ฯ ต่อมาเกิดใช้รถกันขึ้น เปนรถโถงสองล้อชนิดที่เรียกว่าดอกก๊าดบ้าง เปนรถประทุนสองล้อก็มี สี่ล้อก็มี ผู้นั่งขับเอง ใช้รถมีสารถีขับเฉพาะเวลาออกงาร เราก็พลอยใช้รถกับเขาด้วย ขับเองเหมือนกัน สนุกสู้ขี่ม้าใม่ได้ ฯ เราตกม้าตั้ง ๙ ครั้งหรือ ๑๐ ครั้ง ใม่เคยมีบาดเจ็บหรือฟกช้ำสักคราวหนึ่ง ม้าดำที่เราขี่มันเชื่อง พอเราตกมันก็หยุดรอเรา ฯ พูดถึงม้าดำตัวนี้ เราอดสงสารมันใม่ได้ คนเลี้ยงดุร้าย คราวหนึ่งเอาบังเหียนฟาดมัน ถูกตาข้างหนึ่งเสีย ฯ เราตกรถครั้งเดียว มีบาดเจ็บเดิรใม่ได้หลายวัน เกือบพาเสดจกรมพระเทววงศ์วโรปการผู้เสดจมาด้วยกันตกด้วย ฯ เที่ยวนี้เราใช้ม้าแซมเทียม ม้าตัวนี้ขนาดสูงลั่ง แต่พยศใช้ขี่ใม่ได้ จึงใช้เทียมรถ ตั้งแต่มันพาเราตกรถแล้ว อย่างไรใม่รู้ พอหายเจ็บ ใช้มันอิก เหนมันกลายเปนสัตว์เชื่องไป ภายหลังใช้ขี่ได้ ใช้มันมาจนถึงเวลาเราบวชพระ ฯ

ตั้งแต่เกิดธรรมเนียมเลี้ยงโต๊ะอย่างฝรั่ง ธรรมเนียมดื่มมัชชะ ก็พลอยเกิดตามขึ้นด้วย แต่ในครั้งนั้นใช้มัชชะเพียงชนิดเปนเมรัย ยังใม่ถึงชนิดสุรา ฯ เราตื่นธรรมเนียมฝรั่ง ปราถนาจะได้ชื่อในทางดื่มมัชชะทน พยายามหัดเท่าไรใม่สำเร็จ รสชาติก็ใม่อร่อย ดื่มเข้าไปมากก็เมาใม่สบาย เพราะเหตุเช่นนี้เราจึงรอดจากติดมัชชะมาได้ ฯ คนติดมัชชะใม่เปนอิศระกับตัว ใม่มีจะกิน เดือดร้อนใม่น้อย เมาแล้วปราศจากสติคุมใจ ทำอไรมักเกินพอดี ที่สุดหน้าตาแลกิริยาก็ผิดปกติ กินเล็กน้อยหรือบางครั้ง ท่านใม่ว่าก็จริง แต่ถ้าเมาแล้วทำเกินพอดี ท่านใม่อภัย ถ้าติดจนอาการปรากฏ ท่านใม่เลี้ยง ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป ยังใม่เคยรู้รส จงประหยัดให้มาก เพราะยากที่จะกำหนดความพอดี ฯ

ธรรมเนียมปล่อยให้เล่นการพนันในเทศกาลตรุษสงกรานต์ ทำให้เราเคยมากับการพนัน โตขึ้นก็ทวีตามส่วนแห่งทุนที่ใช้เล่น เราเคยเล่นมากอยู่ก็ไพ่ต่างชนิด น่าประหลาดความเพลิน เล่นหามรุ่งหามค่ำก็ได้ ใม่เปนอันกินอันนอน ถ้าเพลินในกิจการหรือในกุศลกรรมเหมือนเช่นนี้ก็จะดี อารมณ์ก็จอดอยู่ที่การเล่น อาจเรียกว่ามิจฉาสมาธิเกือบได้กระมัง ฯ อไรเปนเหตุเพลินถึงอย่างนั้น? ความได้ความเสียนี้เอง ฯ เล่นเสมอตัว คือใม่ได้ใม่เสียแทบกล่าวได้ว่าใม่มีเลย เล่นได้ ก็มุ่งอยากให้ได้มากขึ้นไป เล่นเสีย ยังน้อยต้องการแก้ตัวเอากำไร เสียมากเข้า เหนหากำไรใม่ได้แล้ว ต้องการพอเอาทุนคืน เช่นนี้แลจึงเพลินอยู่ได้ ฯ เล่นอย่างเราเสียทรัพย์ใม่ถึงฉิบหาย แต่เสียเวลาอันหาค่ามิได้ของคนหนุ่ม ฯ โปหรือหวยใม่เคยเล่น เพราะเปนการเล่นของคนชั้นเลว ฯ ศิษย์ของเราผู้แก่วัด สึกออกไป ยังใม่เคยเล่น อย่าริเล่นเลย ตกหล่มการพนันแล้ว ถอนตัวออกยาก เพราะเหตุความเพลินนั้นเอง เราเคยพบคนเล่นการพนัน ถึงฉิบหายย่อยยับ แม้อย่างนั้นยังเว้นใม่ได้ คนมีทรัพย์เล่นใม่ถึงฉิบหาย แต่เสียเวลา ฯ ฝ่ายเราได้โอกาศถอนตัวออกได้สดวก ฯ เราตื่นเอาอย่างฝรั่งหนักเข้า ฝรั่งครั้งนั้นที่เรารู้จัก เขาใม่ฝักใฝ่ในการพนัน เล่นจะใม่เหมือนฝรั่ง จึงจืดจางเลิกไปเอง ภายหลังเมื่อตั้งหลักได้แล้วจึงรู้ว่า การพนันก็เปนหล่มอบายมุขที่ฝรั่งตกเหมือนกัน ตกตายก็มี กล่าวคือเล่นจนฉิบหายหมดตัวแล้ว เสียใจฆ่าตัวตาย ไพ่เปนอบายมุขซึ่งขึ้นชื่อของฝรั่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฯ

เราใม่มีนิสสัยในทางคบสตรี แม้ถูกชวน ก็ยังมีชาตาดี ผเอิญให้คลาดแคล้ว รอดตัวจากอบายมุขอย่างนี้ ฯ แต่เราได้เหนผู้อื่นมีโรคติดตัวมาเพราะเหตุนี้ ทอนชีวิตสังขารแลได้ความลำบาก ฯ แม้แต่ตามประเพณีสตรีถวายตัวเปนหม่อม แต่เรายังใม่มีความรักดำฤษณาในสตรีเลย สุดแต่จะว่า เปนผู้กระดากผู้หญิง หรือเปนชนิดที่เขาเรียกว่าพรหมมาเกิด หรือเปนผู้เกิดมาเพื่อจะบวชอย่างไรก็ได้ เราเหนอยู่เปนชายโสดสดวกสบายกว่ามีคู่ ฯ ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป ใม่เคยในทางนี้ จงประหยัดให้มากจากหญิงเสเพล แม้จะหาคู่จงอย่าด่วนจงค่อยเลือกให้ได้คนดี ถูกนักเลงเข้า อาจพาฉิบหาย ตั้งตัวใม่ติด ฯ

ครั้งนั้นยิงนกตกปลาเปนการเล่นที่นิยมของคนหนุ่ม เช่นเราผู้ชอบเอาอย่างฝรั่ง แต่เราเปนผู้ฝึกใม่ขึ้น หรือที่เขาเรียกว่าทำบาปใม่ขึ้น ฯ เรายิงนกใม่ฉมังพอที่ถูกแล้วตายทันทีทุกคราวไป บางคราวนกพิราบอันถูกยิงตกลงมา แต่ยังหาตายใม่ เราเหนตามันปริบ ๆ ออกสงสาร ดังจะแปลความในใจของมันว่า “ใม่ได้ทำอไรให้สักหน่อยยิงเอาได้” ตั้งแต่นั้นมาต้องเลิก แต่เรายังชอบการยิงปืนใม่หาย ต่อมาใช้หัดยิงเป่าเล่น ฯ เราตกเบ็ดใม่เคยได้ปลาจนตัวเดียว จะว่าวัดหรือกระตุกใม่เปนยังใม่ได้ ปลายังใม่เคยมากินเหยื่อที่เบ็ดของเราเลย ฯ

การอันทำให้เรายับเยินมากกว่าอย่างอื่น คือความสุรุ่ยสุร่าย ใม่รู้จักประหยัดทรัพย์ มีเงิน ๔๐๐ บาท นั้นเปนมูล ฯ เราใม่ได้เก็บเงินเองที่จะได้รู้สิ้นยัง แลยังใม่รู้จักหาเงินที่จะได้นึกเสียดาย สำคัญว่ายายมั่งมีจึงซื้อของใม่ประหยัด ฯ จะตัดเสื้อตามร้านเจ๊ก ก็เปนของที่เรียกว่าใม่ได้แก่ตัว ผ้าก็เปนของมีดื่น สรวมอายเขาตัดที่ห้างฝรั่งเสียเงินมากกว่า จึงเปนการที่ปราถนาก่อนโดยความเต็มใจ ฯ เครื่องใช้เครื่องแต่งเรือนตามร้านแขก มีศรีสู้ของห้างใม่ได้ ทั้งใม่พอใจเข้าร้านแขก เหนเสียศรี ทั้งเขาเรียกเงินสดด้วย ฯ ซื้อของห้างไปเองก็ได้ เขาต้อนรับขับสู้ เขาไว้หน้าใม่ต้องซื้อเงินสด เปนแต่เขาจดบาญชีแลให้ลงชื่อไว้ก็พอ ต่อเมื่อมากเข้า จึงส่งใบเสร็จมาเก็บเงินเปนคราวๆ ของที่ขายนั้นเปนของประณีตออกหน้าได้ ที่มีของร้านแขกเหมือน ก็ยังมีศรีว่าเปนของห้าง ด้วยการณะดังนี้ ห้างจึงได้เปนที่โคจรของเรา เหนอไรเข้าชั่งอยากได้ไปทั้งนั้น ซื้อเชื่อเหมือนได้เปล่า จะต่อราคาก็เหนเสียภูมิ์ฐาน ดูเปนคนปอนไป ฯ ถึงคราวเขาตั้งใบเสร็จมาเก็บเงิน ใบเสร็จใบหนึ่ง มีจำนวนเงินนับเปนร้อยๆ ยังเปนบุญที่ใม่ถึงเปนพันๆ นั่นแลจึงรู้สึกความสิ้นหรอคราวหนึ่ง แต่ใม่อไรนัก ขอเงินยายมาใช้เสียก็แล้วกัน ถ้าห้างนั้นๆ ส่งใบเสร็จมาเก็บเงินระยะห่างๆ กันก็ใม่พอเปนอไร แต่ห้างเจ้ากรรม พอรายหนึ่งได้เงินไปแล้วใม่กี่วัน รายที่สอง รายที่สาม ก็ยื่นใบเสร็จเข้ามาขอเก็บเงิน ยายรักเรามาก ขอคราวใดก็ได้คราวนั้น แม้แต่จะปริปากบ่นก็ใม่มี ฝ่ายเราก็รักยายมากเหมือนกัน เหนเช่นนั้นยิ่งเกรงใจยาย ใม่อยากให้ท่านนึกรำคาญใจ จึงขอผัดเขาไว้พอได้ระยะจึงใช้ นี่แลเปนความเดือดร้อนของเรา แต่ใม่ถึงเปนเหตุประหยัดซื้อของ ความลำบากใจนั้นจึงยังใม่วาย คราวหนึ่ง ห้างหนึ่งทนผัดใม่ไหวถึงยื่นฟ้องศาลคดีต่างประเทศขอให้ใช้หนี้ แต่เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี บอกมาให้รู้ตัวแลขอให้ใช้เสีย เราได้ทำตาม โจทก์เขาก็ถอนฟ้อง ครั้งนั้นอยู่ข้างตกใจ กลัวเสียชื่อเพราะถูกขึ้นศาล เปนที่ใม่มีเงินจะใช้หนี้ แต่อย่างนั้นยังใม่เข็ด เปนแต่โกรธแลสาบห้างนั้น ใม่ซื้อของเขาอิกต่อไป ฯ เปนหนี้เขา ได้ความเดือดร้อนเช่นนี้ เรายังมีทรัพย์สมบัติของตนเอง มีญาติสนิทผู้มีกำลังทรัพย์อาจช่วยใช้หนี้ให้เรา หนี้ของเรา ใม่ใช่สินล้นพ้นตัว เปนแต่เราใม่ปราถนาจะรบกวนยายให้ได้ความรำคาญเพราะถูกขอเงินบ่อยๆ เท่านั้น คนไร้ทรัพย์แลหาคนสนับสนุนมิได้ เปนหนี้เขาถูกเจ้าหนี้ทวง ใม่มีใช้เขา จะเดือดร้อนสักปานไร ถูกเข้าฟ้องต้องขึ้นศาล ถูกเร่งถูกเอาทรัพย์ขายทอดตลาด หรือถูกสั่งให้ล้มลลาย จะได้ความอับอายขายหน้าเขาสักปานไร ความเปนหนี้เปนดุจหล่มอันลึก ตกลงแล้วถอนตัวได้ยากนัก ขอพวกศิษย์ของเราจงรวังให้มาก ฯ

เรายังพอเอาตัวรอด ใม่ปุยี่ปุยำ ในเวลาลำพอง เพราะใม่กล้าทำการที่ยังใม่มีผู้ชั้นเดียวกันทำ หรือมีผู้ทำแต่ยังไว้ใจใม่ได้ เช่นเมื่อครั้งยังเปนเด็ก ฯ

สึกจากเณรแล้ว เรายังได้เรียนภาษาอังกฤษต่อมากับครูแปตเตอร์สัน แต่เรียนส่วนตัวณะที่ประทับของสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พร้อมกับพระองค์ท่านแลกรมพระเทววงศ์วโรปการ แต่กำลังลำพอง ทนเรียนอยู่ใม่ได้ต้องเลิก ฯ กำลังนี้เราได้เคยหัดในการประโคมอยู่บ้าง แต่เปนผู้ใม่มีอุปนิสสัยในทางนี้ เรียนใม่เปน ครั้งยังอยู่ในโรงเรียนฝรั่ง หัดดีดหีบเพลง ดีดสองมือใม่ได้ ดูบทเพลงที่เรียกว่าโน้ตใม่เข้าใจ หัดตีรนาด แก้เชือกผู้ไม้ตีเสีย ตีสองมือใม่ได้อิก แต่จำเพลงบางอย่างได้ ฯ

ในเวลานี้ เราใม่มีราชการประจำตัว ล้นเกล้าฯ ใม่ได้ทรงใช้ เหมือนเมื่อเปนเด็ก แต่ได้เข้าเฝ้าเวลาค่ำประจำวัน แลในการพระราชพิธีแลการพระราชกุศลนั้น ๆ เสมอมาใม่ห่าง ฯ

เปนความอภัพของเราผู้ใม่เคยได้เปนทหารสมแก่ชาติขัตติยะกับเขาบ้าง เมื่อครั้งยังเยาว พวกเจ้าพี่ของเราที่จำได้ สมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กรมพระเทววงศ์วโรปการ ท่านเคยเปนนายทหารเล็ก ๆ แรกจัดขึ้นในพระบรมมหาราชวังชั้นใน บางทีจะอนุโลมมหาดเล็กไล่กาในรัชกาลที่สามกระมัง ครั้นท่านทรงพระเจริญเสดจออกนอกวังไปแล้ว ทหารชุดนั้นก็เลิกเสียด้วย จัดทหารมหาดเล็กหนุ่มๆ ขึ้นข้างน่า เรายังเปนเด็กอยู่ในปูนนี้ ก็ใม่มีทางจะเข้า ได้เคยเข้าแถวหัดเปนทหารสมัคอยู่พักหนึ่งที่วังสราญรมย์ ในคราวที่สมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสดจประทับ ใม่ทันถึงไหนก็เลิกเสีย หากว่าเราได้เคยเปนทหารมาบ้าง จักรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นกว่านี้ ฯ

นึกถึงยายในเวลานั้น เหนหลานกำลังลำพอง ยังใม่เปนหลักฐาน คงวิตกสักปานไร แต่ใม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรกระมัง หรือท่านปลงใจว่าความลเลิงของคนรุ่นหนุ่มคงเปนไปชั่วแล่น แล้วก็ลงรอยเอง ฯ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:23:55 »



๕. คราวทรงพระเจริญ

แต่เปนบุญของเรากลับตัวได้เร็ว ตั้งแต่อายุได้ ๑๗ ปี ฯ ทางที่กลับตัวได้ ก็เปนอย่างภาษิตว่า “หนามยอก เอาหนามบ่ง” นั้นเอง ฯ เราเข้าเฝ้าในวังทุกวัน ได้รู้จักกับหมอปิเตอร์เคาวัน ชาวสกอตช์เปนแพทย์หลวง เวลานั้นอายุแกพ้นยี่สิบห้าแล้ว แต่ยังใม่ถึงสามสิบ แกเปนฝรั่งสันโดษ อย่างที่คนหนุ่มเรียกว่าฤษี ใม่รักสนุกในทางเปนนักเลง เรานิยมแกว่าเปนฝรั่ง เราก็ผูกความคุ้นเคยกับแก ได้เหนอัธยาศัยแลจรรยาของแก แลได้รับคำตักเตือนของแกเข้าด้วย เกิดนิยมตาม เหนความลเลิงที่หมอเคาวันใม่ชอบเปนพล่านไป น้อมใจมาเพื่อเอาอย่างหมอเคาวัน จึงหายลเลิงลงทุกที จนกลายเปนฤษีไปตามหมอเคาวัน ที่สุดแกว่ายังเด็กแลห้ามใม่ให้สูบบุหรี่ แกเองใม่สูบเหมือนกัน เราก็สมัคทำตาม แลใม่ได้สูบบุหรี่จนทุกวันนี้ เราก็เหนอานิสงฆ์ เราเปนผู้มีกายใม่แข็งแรง เปนผลแห่งความเจ็บใหญ่เมื่อยังเล็ก ถ้าสูบบุหรี่ แม้มีอายุยืนมาถึงบัดนี้ ก็คงมีโรคภายในประจำตัว หมอเคาวันเปนทางกลับตัวของเราเช่นนี้ เมื่อภายหลังเราจึงนับถือแกฉันอาจารย์ ในครั้งนั้นแลต่อมา แกก็ได้แนะเราในภาษาอังกฤษบ้าง ในวิชาแพทย์บ้างเหมือนกัน ฯ

ส่วนความสุรุ่ยสุร่ายนั้น เราได้นิมิตต์แลงดได้ตามลำพังตนเอง ฯ วันหนึ่ง เวลาบ่ายจวนเย็น ที่เคยขึ้นม้าหรือขึ้นรถเที่ยวเล่นหรือไปข้างไหน ผเอิญฝนตกไปใม่ได้ ที่คนหนุ่มรู้สึกเหงาสักเพียงไร เรานอนเล่นอยู่บนเก้าอี้นอนในเรือน ตาส่ายแลดูนั่นดูนี่ สิ่งที่ตาเราจับอยู่ที่คราวแรก คือโต๊ะขนาดกลางตั้งอยู่ข้างเก้าอี้ที่เรานอนเปนชนิดที่ตั้งกลางห้องสำหรับวางของต่างๆ โต๊ะตัวนั้นเราเหนที่ห้าง ชั่งงามน่ารักจริงๆ ทั้งรูปพรรณทั้งฝีมือ ในวันนั้น ไม้พื้นโต๊ะที่เคยเหนเปนแผ่นเดียว ก็แลเหนเปนใม่เพลาะ ปากไม้ห่างออกโร่ ลวดที่ราวกับคัดขึ้นจากเนื้อไม้นั้นเอง ก็ปรากฏเปนไม้หรือเส้นหวายผ่าซีกติดเข้า ผิวที่แลเหนขัดเปนเงาโง้ง ก็ปรากฏว่าเปนแต่ทาน้ำมันให้ขึ้นผิว คราวนี้นึกถึงราคาของโต๊ะนั้นแรกซื้อกับราคาในวันนั้น อันจะพึงผิดกันมาก แต่หาได้นึกถึงประโยชน์ที่ได้ใช้โต๊ะนั้นมาโดยกาลด้วยใม่ เหนไกลกันมาก เหนซื้อมาเสียเปล่า คราวนี้จับปรารภถึงของอื่นบันดามีในเรือนก็เหนเปนเช่นนั้น แต่นั้นนึกถึงของที่ซื้อมาแล้ว ใม่ชอบใจ ให้คนอื่นเสีย ยิ่งเหนน่าเสียดายมาก ตั้งแต่นั้นสงบความเหนอไรอยากได้เสียได้ ใม่ค่อยได้เที่ยวห้าง ใม่ค่อยได้ซื้ออไร ใบเสร็จของห้างที่ส่งมาเก็บเงินใบหลังที่สุด เรายังจำได้ มีราคาบาทเดียว ค่ากระดุมทองเหลืองชุบทองสำรับหนึ่ง ที่ใช้ติดเสื้อเครื่องแต่งตัวอย่างแปลก ๆ ที่เรียกว่าแฟนซีเดรส ในการขึ้นปีใหม่ เขาเห็นเราเคยซื้ออไรบ่อยๆ เขาก็รอไว้ ต่อจวนขึ้นปีใหม่ของเขา ๆ จึงส่งใบเสร็จมาเก็บเงิน หลายเดือนล่วงมาจนลืมแล้ว ฯ

ตกมาถึงเวลานี้ ขี่ม้าที่เคยวิ่งหรือห้อ ก็เปนแต่เดิร รีบก็เพียงวิ่งเหยาะ ขี่รถที่เคยแล่นปรื๋อ ก็เปนเพียงวิ่งอย่างปกติ สรวมเสื้อตัดร้านเจ๊ก ก็ใม่เหนเปนเร่อร่า กลับเหนเปนเก๋ รู้จักเปลือง รู้จักสังวรใม่เห่อ ของร้านแขกที่เขาไปซื้อมาให้ ก็ใช้ได้เหมือนของห้าง ศรีใม่ได้อยู่ที่ของ อยู่ที่ราคาถูก ฯ ในเวลานั้นเรายังใม่รู้จักหาเงิน แต่รู้จักประหยัดทรัพย์ลงได้แล้ว ลดรายจ่ายลงได้ ก็เหมือนค่อยหาเงินได้บ้าง ฯ แม้หาเงินได้คล่อง แต่ใม่รู้จักประหยัดทรัพย์ ก็ใม่เปนการ ใม่พ้นขาดแคลน หาได้น้อย แต่รู้จักประหยัด ยังพอจะเอาตัวรอด ฯ

หมอเคาวันกล่อมเกลาเรา ให้เรียบเข้าได้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีปัจจัยชักนำ เราก็คงเข้าวัดโดยง่าย ฯ ปัจจัยนั้นได้มีจริงด้วย ฯ ตั้งแต่เราสึกจากเณรแล้ว ใม่ใช่เทศกาลเช่นเข้าพรรษาหรือมีงาร เราหาได้ไปเฝ้าเสดจพระอุปัชฌายะใม่ ยิ่งกำลังลำพองยิ่งหันหลังให้วัดทีเดียว เหตุนั้นเราจึงห่างจากท่าน แม้ในเวลานั้นก็ยังใม่ได้คิดจะเข้าวัด ฯ คืนหนึ่งนอนหลับฝันว่าได้ไปเฝ้าเสดจพระอุปัชฌายะ ได้รับปฏิสันถารของท่านอันจับใจ โดยปกติท่านช่างตรัสอยู่ด้วย อาจจะทรงทำปฏิสันถารเช่นนั้น ตื่นขึ้นปฏิสันถารของท่านจับใจยังใม่หาย ปราถนาจะได้รับอย่างนั้นจริงๆ คิดจะไปเฝ้า แต่ห่างมาเสียนาน เกรงจะเข้ารอยใม่ถูก จะเก้อ เหนทางอยู่อย่างหนึ่ง จึงเอาโคมนาฬิกาใบหนึ่งตามด้วยน้ำมันมพร้าว มีเครื่องจักรอยู่ใต้ถ้วยแก้วน้ำมัน มีเข็มชี้โมงแลลิบดาขึ้นมาจากเครื่องจักรนั้น ถึงโป๊ะครอบ ที่เขียนเลขบอกโมงแลลิบดา เปนของสำหรับตั้งในห้องนอนพึ่งมีเข้ามา ตามความคิดเหนของเรา เปนของแปลก ไปถวายเปนทีว่าได้พบของแปลก นึกถึงท่าน ได้รับปฏิสันถารของท่านอันจับใจเหมือนในฝัน ตั้งแต่นั้น หาช่องไปเฝ้าอิกค่อยง่ายเข้า ค่อยสนิทเข้าโดยลำดับ จนใม่ต้องหาช่อง ในที่สุดท่านทรงคุ้นเคย เปนคนโปรดของท่าน ได้รับประทานพระทนต์ตั้งแต่ครั้งนั้น ฯ ในเวลาไปเฝ้าได้รับพระดำรัสในทางคดีโลกบ้าง ในทางคดีธรรมบ้าง โดยที่สุดแบบแผนในทางพระ ได้รับประทานสมุดเรื่องต่าง ๆ ของท่านไปลอกไว้เปนฉบับเปนอันมาก ฯ

การเข้าถึงเสดจพระอุปัชฌายะ นำให้สนใจในโคลง เรียนโหราศาสตร์ อ่านหนังสือธรรม ตามเสดจท่าน ฯ

โคลงเคยเล่นมาบ้างแล้ว ใม่ต้องหาครู เปนแต่หมั่นอ่านเรื่องต่าง ๆ สนใจในพากย์ต่าง ๆ หัดแต่งเรื่องต่าง ๆ เท่านั้น ฯ เรายังใม่เคยแต่งเรื่องยาวจนบวชเปนพระแล้ว จึงได้แต่งเรื่องทรงผนวชของล้นเกล้าฯ แต่เสียดายว่าในตอนทรงผนวชที่เราใม่ได้เหนเอง แลบางอย่างใม่ได้รับพระกระแสรับสั่งของล้นเกล้าฯ แลของเสดจพระอุปัชฌายะ ยังใม่ถูกก็มี คิดจะแก้แต่ใม่มีโอกาศเสียแล้ว เหตุนำให้แต่งหนังสือเรื่องนี้ เมื่อครั้งเราเข้ารับราชการแล้ว ล้นเกล้า ฯ ทรงทราบว่าเราเปนคนโปรดของเสดจพระอุปัชฌายะ จึงตรัสใช้ไปเฝ้าด้วยพระราชธุระเนืองๆ คราวหนึ่งตรัสใช้ให้เชิญพระราชหัตถเลขาคำโคลงทรงอาราธนาเพื่อทรงแต่งเรื่องทรงผนวช ในพระราชหัตถเลขานั้น ทูลว่าถ้าเสดจพระอุปัชฌายะ มีพระประสงค์จะทรงทราบการนั้นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง จงตรัสสั่งเราไปกราบทูลถาม จะทรงเล่ามาถวาย เหตุนั้นเราจึงได้รับพระกระแสของล้นเกล้า ฯ ในเรื่องนี้มาก พระนิพนธ์ของเสดจพระอุปัชฌายะย่อไป ใม่พอพระราชประสงค์ เราปรารภถึงเรื่องนี้ ในคราวฟื้นจากไข้สามเดือน ยังทำอไรอันเปนการเปนงารใม่ได้ จึงได้แต่งเรื่องนั้น ฯ ในครั้งนั้น แม้ใม่ได้แต่งเรื่องเปนชิ้นเปนอัน ก็ยังได้ออกหน้าในทางโคลงอยู่บ้าง ครั้งทรงพระราชนิพนธ์โคลงนิทราชาคริชตอนอาบูหะซัน เมื่อกำลังพิมพ์โปรดให้ส่งใบแก้น่าแท่นไปให้ท่านจินตกวี ๗ หรือ ๑๐ ท่าน ๆ ละใบ ตรวจแก้แล้วส่งถวาย ทรงพระวินิจฉัยลงในใบแก้อิกใบหนึ่งแล้วส่งไปแก้พิมพ์ พวกเราผู้เข้าในจำนวนนั้น ยังมีอิก ที่จำได้ กรมพระเทววงศ์วโรปการ แลกรมพระสมมตอมรพันธุ์ ได้มีธุระเสมอกับท่านจินตกวีชั้นสูง เช่นเสดจป้ากรมหลวงวรเสฐสุดา กรมหลวงพิชิตปรีชากร พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) ก็น่าจะรู้สึกว่ามีเกียรติยศอยู่ เราได้ชื่อในทางตาไว จับคำผิดลักษณโคลงได้บ่อยๆ ผู้ตรวจเหล่านี้ มีรายชื่อแจ้งในท้ายพระราชนิพนธ์นั้นแล้ว ฯ​ เมื่อบวชพระแล้ว ทรงขอแรงแต่งโคลงพงศาวดารบ้าง โคลงยอพระเกียรติสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์บ้าง เปนบท ๆ ใช้ในงารพระเมรุ ฯ นี้นับว่าได้ออกหน้าในทางโคลง ตั้งแต่เปนผู้ใหญ่แลมีการทางพระศาสนาแล้ว ใม่ได้สนใจอิก ใฝ่ใจไปในทางเรียงเรื่องร้อยแก้ว เพราะได้ใช้มากในธุระ ฯ ครั้งนั้น เราแต่งฉันท์ใม่เปนเลย ข้อขัดข้องคือรู้จักศัพท์ใม่พอ มาแต่งเปนต่อเมื่อรู้ภาษามคธ แลแต่งคาถาเปนแล้ว ใม่เคยเรียงเรื่องยาว ท่อนที่ออกหน้า คือคำฉันท์แปลศราทธพรตคาถา ในพระราชกุศลสตมาหสมัย ที่พระศพสมเดจกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร แลคำร้องถวายชัยมงคลของนักเรียนมหามกุฎราชวิทยาลัย ฯ กลอนแปดใม่เคยทำเลย จะลองบ้าง พ้นเวลามาแล้ว ให้นึกกระดาก ฯ เราใม่พอใจลึกซึ้ง ในการแต่งคำประพันธ์ จึงใม่ตั้งใจหาดีในทางนี้ เปนแต่สำเนียก พอเปนกับเขาบ้างเท่านั้น ฯ

เราเริ่มเรียนโหราศาสตร์กับขุนเทพยากรณ (ทัด) ตั้งต้นหัดทำปฏิทินก่อน เข้าใจยากจริง ๆ เพราะเราเอาโหราศาสตร์กับพยากรณศาสตร์รวมเข้าเปนศาสตร์อันเดียวกัน นำให้เข้าใจว่าเรียนโหราศาสตร์ ก็เพื่อมีวิชารู้จักทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงมุ่งไปเสียในทางนั้น แลเพราะวิธีสอนบกพร่องด้วย ใม่ได้อธิบายให้เข้าใจรสคือกิจของโหราศาสตร์ว่าเปนเช่นไร ปฏิทินคืออไร ชื่อต่าง ๆ คือศักราช มาสเกณฑ์ อวมาน หรคุณ​ แลอื่น ๆ หมายเอาอไร เหตุไฉนจึงตั้งศักราชแล้วกระจายออกเปนองค์เหล่านั้น ราศี องศา ลิบดา กำหนดหมายอไร ความเดิรของพระอาทิตย์ พระจันทร์แลดาวพระเคราะห์ ที่เรียกว่ามัธยมก็ดี สมผุสก็ดี ต่างกันอย่างไร เปนอาทิ ในตำราบอกว่า ถ้าจะทำองค์ชื่อนั้น ให้ตั้งเกณฑ์อย่างนั้น แล้วทำเลขอย่างนั้นๆ เริ่มตั้งแต่ทำวันธงชัย วันอธิบดี วันอุบาสน์ วันโลกวินาส ที่ใม่ได้เกี่ยวกับโหราศาสตร์เลย แต่เกี่ยวกับพยากรณศาสตร์ กว่าจะคลำเข้าใจได้แต่ละอย่างชั่งยากเสียจริง ๆ ข้าพเจ้าใม่แน่ใจว่าโหรจะอธิบายได้ทุกคน โหรใม่รู้จักดาวฤกษ์หรือแม้ดาวพระเคราะห์ด้วย เปนมีแน่ ขุนเทพยากรณ (ทัด) ถึงแก่กรรมในรวางเรียน ได้ไปขอเรียนกับครูเปีย ครั้งยังบวชแลเปนพระครูปลัดสุวัฒนสุตคุณ ที่วัดราชประดิษฐ ตั้งใจจะทำปฏิทินให้จบปี ทำร่วมมาได้มากแล้ว ถึงสมผุสพระเคราะห์ เหนจะกว่าครึ่งแล้ว จับเล่นธรรมะจัดเข้า เหนเหลวไหลเลยเลิก เราจึงใม่รู้มาก พยากรณศาสตร์ยิ่งรู้น้อย เปนแต่เสดจพระอุปัชฌายะ ทรงแนะประทานบ้าง ใม่ได้เรียนจริง ๆ จัง ๆ แต่เรายังได้ใช้ความรู้โหราศาสตร์อยู่บ้าง ได้ช่วยชำระปูมเก่าถวายเสดจพระอุปัชฌายะ ฯ

เราเรียนธรรมด้วยอ่านหนังสือเปนพื้น ได้ฟังเสดจพระอุปัชฌายะตรัสด้วย คราวนั้นสบเวลาที่สมเดจพระวันรัต (พุทธสิริ) วัดโสมนัสวิหาร เริ่มเรียงหนังสือธรรมลงพิมพ์แจก หนังสือนั้นใช้สำนวนดาดเปนคำสอนคนสามัญเข้าใจง่าย ช่วยเกื้อกูลความเรียนธรรมของเราให้กว้างขวางออกไป เมื่อสนใจอยู่ ความเบื่อย่อมใม่มี ธรรมที่เปนเพียงปฏิบัติกายวาจาใจเรียบร้อย อันตรงกันข้ามกับความลำพองที่เคยมาแล้ว ยังเหนเปนลเอียดพอแล้ว ครั้นได้เรียนธรรมที่เปนปรมัตถ์ แจกเบญจขันธ์ ไตรลักษณ์ อริยสัจสี่ แลปฏิจจสมุปบาท ยิ่งตื่นใหญ่ แต่นิสสัยของเราเปนผู้เชื่อใม่ลงทุกอย่างไป แลธรรมกถานั้น ๆ มักมีข้อความอันใม่น่าเชื่อปกคลุมหุ้มห่ออยู่ มากบ้างน้อยบ้าง นี้แลเปนเครื่องสดุดของเราให้ชงัก แต่เมื่อนิยมในธรรมมีแล้ว ทั้งได้ยินท่านผู้ใหญ่ค้านบางเรื่องไว้ก็มี ก็พอจะปลงใจเลือกเอาข้อที่เรารับรองได้ แลสลัดข้อที่เรารับรองใม่ได้ออกเสีย เช่นคำเปรียบว่า ร่อนทองจากทราย เรื่องที่ถูกอารมณ์ของเราคือกาลามสูตร ที่สอนใม่ให้เชื่ออย่างงมงาย ให้ใช้ความดำริห์ของตนเปนที่ตั้ง ความรู้ความเข้าใจของเราในครั้งนั้น เปนอย่างนักธรรมใหม่ คือใม่เชื่อหัวดายไป เลือกเชื่อบางอย่าง อย่างที่ใม่เชื่อ เข้าใจว่าผู้หนึ่งซึ่งหาความลอายมิได้ แทรกเข้าไว้ พอใจจะพิศูจน์ให้ปรากฏว่าเปนเท็จ เต็มดีก็เพียงทอดไว้ ใม่คำนึงถึงที่เรียกว่า ชั่งเถิด แต่ยังใม่เคยได้ความรู้ในเชิงอักษรวิทยาว่าเปนปฤษณาธรรมก็มี เช่นเรื่องมารวิชัย เหมาเสียว่าใม่จริง ใม่เคยนึกว่าเปนเรื่องแต่งเปรียบน้ำพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า คิดหวนกลับหลังด้วยอำนาจความอาลัย อันพระองค์หักเสียได้ด้วยเอาความมุ่งดีมาข่ม แต่เราใม่ใช่ชนิดคนอวดรู้ในทางนี้ ที่เขาตั้งชื่อว่า “ทำโมห์” ฯ

เราลงสันนิษฐานว่า จะรู้ธรรมเปนหลักและกว้างขวาง ต้องรู้ภาษามคธ จะได้อ่านพระไตรปิฎกได้เอง ใม่เช่นนั้น จะอ่านได้แต่เรื่องแปลเรื่องแต่ง ที่มักเปนไปตามใจของผู้แปลผู้แต่ง ในเวลานั้นพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) อาจารย์เดิมของเรา ย้ายบ้านจากหน้าวัดชนะสงครามไปอยู่บางบำหรุคลองบางกอกน้อย เหลือจะเรียนกับแกได้ พระปริยัติธรรมธาดา (ชัง) อยู่บ้านน่าวัดรังษีสุทธาวาส ใม่ไกล ทั้งได้เคยเปนครูสอนมาบ้างแล้ว จึงขอให้แกมาสอน ฯ ได้ยินเขาพูดกันว่า จะรู้ภาษามคธกว้างขวาง ต้องเรียนมูลคือกัจจายนปกรณ บทมาลาแคบไป ใม่พอจะให้รู้กว้างขวาง เรียนทั้งที่ปราถนาจะรู้ดีที่สุดตามจะเปนได้ ทั้งบทมาลาก็ได้เคยเรียนมาแล้ว รู้ทางอยู่ จึงตกลงเปนเรียนมูล ฯ ชั้นแรกมีสูตรคือ หัวข้อสำหรับท่องจำให้ได้ก่อน ผูกโตอยู่ เราเล่าพลาง เรียนแปลคำอธิบายใจความของสูตรนั้นที่เขาเรียกว่าพฤติในปกรณไปพลาง ครูของเราดูเหมือนใม่ชำนาญในมูล แต่พอสอนให้แปลไปได้ แต่ใม่ถนัดแนะให้เข้าใจความที่กล่าว ตกเปนน่าที่ของเราจะเข้าใจเอาเอง ลงปลายแกหาหนังสือที่แปลสำเร็จตลอดถึงคำอธิบายในภาษาไทย ซึ่งเรียกว่านิสสัยมูลมาให้อ่านเอาเอง ฯ การเรียนของเรา อาจารย์มูลเขาคงกล่าวว่าเรียนอย่างลวก ใม่ลเอียดลออ เรากล่าวเอง เรียนแต่พอจับเค้าได้ แม้อย่างนั้น กว่าจะจบถึง ๑๐ เดือน นี้เปนอย่างเรียนเรว เขาเรียนกันตั้งปีสองปี ฯ เราอาจสังเกตเหนว่า รเบียบที่จัดในมูลยังใม่ดีมีก้าวก่ายกล่าวความยืดยาวฟั่นเฝือ เหลือความสามารถของผู้แรกเรียนจะทรงไว้อยู่ ฯ ครั้นขึ้นคัมภีร์คือจับเรียนเรื่องนิทานในอรรถกถาธรรมบท เปนเรื่องดาดของเราในเวลานี้แล้ว แต่เราเลือกเอาหนังสือที่ครูถนัดว่าเปนดี จึงตกลงใจเรียนอรรถกถาธรรมบท ฯ ทั้งเรียนมูลมาแล้ว แลแปลพฤติของมูลได้เองแล้ว เริ่มเรียนอรรถกถาธรรมบทยังงง กว่าจะเอาความรู้ในมูลมาใช้เปนเครื่องกำหนดได้ ก็เปลืองเวลาอยู่ ฯ เรียนคราวนี้ รู้จักใช้ความสังเกต เอาความเข้าใจได้ อาจแปลเองได้บ้างตามลำพัง ฯ เมื่อเรียนในทางนี้ เราเลือกสร้างพระไตรปิฎกขึ้น วานกรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ อธิบดีกรมราชบัณฑิตเปนธุระ หนังสือบาฬีพระวินัยใม่ยากนัก อ่านเข้าใจความได้ติดต่อกันเปนเรื่อง ชั่งสนุกจริง ๆ ฯ

ตั้งแต่เข้าวัดมา แลจับเรียนธรรมมา เราปลูกความพอใจในความเปนสมณะขึ้นโดยลำดับ นึกว่าบวชก็ได้ แต่ยังใม่ได้น้อมใจไปส่วนเดียว เคยเข็ดเมื่อครั้งยังรุ่น เรามักจืดจางเรว ที่สุดห้องเรือนที่แต่งไว้อย่างหนึ่ง ครั้นชินตาจืดไปต้องยักย้ายแต่งใหม่ มาถึงเวลานี้จึงยังใม่ไว้ใจตัวเอง เกรงจะใม่ตลอดไปได้ บวชอยู่นานแล้วสึก ใม่ได้การเสียเวลาในทางฆราวาส ฯ

เมื่ออายุเราได้ ๑๗ ปี กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ทรงผนวชพระ ในเวลานั้นหม่อมเจ้าหญิงจรัสโฉม พระบุตรีใหญ่ของท่านยังอยู่ในครรภ์ ท่านทรงฝากเราให้เปนธุระ เธอคลอดในเวลาท่านยังทรงผนวช เราได้เอาเปนธุระขวนขวายตลอดการ เปนผู้รับเธอเปนลูก ในเวลาที่เขาทำพิธีมอบให้มีผู้รับ เราพึ่งได้เหนเปนครั้งแรก ทั้งเปนครั้งแรกที่ทำการเกี่ยวกับผู้อื่นในน่าที่ของผู้ใหญ่ เราเอาธุระมาโดยเรียบร้อยจนถึงท่านลาผนวช ฯ

อนึ่งกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ทรงรับราชการว่าช่างสนะ คือช่างเย็บผู้ชายในเวลานั้น กำลังท่านยังทรงผนวชเตรียมการเฉลิมพระที่นั่งวโรภาศพิมานที่พระราชวังบางปอิน ล้นเกล้า ฯ รับสั่งให้เราดูการแทนกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ มีน่าที่ในการเย็บเสี้ยวอันเปนของผู้ชาย มีทำธงต่าง ๆ มีธงช้างเปนต้น สำหรับใช้ตกแต่งในงาร ครั้งนั้นธงยังใม่มีที่ซื้อ ต้องทำเอาเองทั้งนั้น เรายังใม่เคยงาร ออกวิตกว่าจะใม่แล้วทันราชการ แต่ก็ทำจนทัน รับสั่งว่าจ่ายสิ้นเท่าไรให้ตั้งเบิก เราใม่รู้ว่าผ้าต่างๆ ที่จัดซื้อมาใช้นั้นราคาอย่างไร ฉวยว่าซื้อแพงไป จะเปนที่รแวงผิดว่าหาเศษ ใม่กล้าเบิก แต่ราชการสำเร็จเปนที่พอใจแล้ว ฯ

ต่อมาถึงงารฉัตรมงคล เราได้รับพระราชทานพานทอง คือพานหมากใหญ่มีเครื่องในพร้อม ๑ เต้าน้ำ ๑ กระโถนเล็ก ๑ เปนเครื่องยศ กับดวงตราเครื่องราชอิศริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้า พร้อมกับกรมพระสมมตอมรพันธุ์ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีชวดอัฐศก จุลศักราช ๑๒๓๘ ตรงกับวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๙ ที่ยังทำตามจันทรคติกาลที่พระที่นั่งอนันตสมาคมองค์เดิม แลได้รับพระราชทานหีบหมากทองคำลงยาราชาวดี มีตราพระมหามงกุฎหมายรัชกาลอยู่บนหลัง เมื่อคราวงารพระราชพิธีตรุษ วันอาทิตย์ เดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ ตรงวันที่ ๘ มีนาคม ปีเดียวกัน ฯ การได้รับพระราชทานพานทองนี้ ใม่ดีใจเท่าไรนัก ถ้าทูนกระหม่อมยังทรงพระชนม์อยู่ ก็คงได้รับพระราชทานมาแต่ครั้งยังเปนเด็ก ตามอย่างพระเจ้าลูกยาเธออื่น แลได้ยินเขาพูดว่า เราอยู่ในจำนวนแห่งพระเจ้าลูกยาเธอ ผู้จะได้รับพระราชทานในคราวอันจะมาถึง ครั้นตกมาเปนพระเจ้าน้องยาเธอ พานทองจึงเลื่อนออกไปตามภาวะตามอายุ ทั้งในเวลานั้น เราเข้าวัดอยู่แล้วด้วย ความรู้สึกมีหน้ามีตาก็พอทุเลา เปนแต่เหนว่าได้ดีกว่าใม่ได้ ใม่ได้ออกจะเสีย ดูเปนคนเหลวไหล หรือใม่ได้ราชการ ส่วนตราทุติยจุลจอมเกล้าเล่า เปนตราสกุลเหนจืด ครั้งนั้นเขานิยมตราความชอบมากกว่า เพราะในประกาศนียบัตรรบุความชอบลงไว้ด้วย คล้ายประกาศตั้งกรมอย่างเตี้ยๆ ส่วนตราสกุลในประกาศนียบัตรแสดงแต่เพียงว่าทรงเหนสมควรจะได้รับ เรายังใม่มีราชการเปนหลักฐาน สิ้นหวังตราความชอบ ในพวกเราที่ได้เปนอย่างสูง ก็กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เพียงมัณฑนาภรณ์ มงกุฎสยามชั้นที่ ๓ เท่านั้น แม้ตราสกุล ถ้าได้รับพระราชทานในเวลาชอบแต่งตัวก็คงใม่จืดทีเดียว ได้รับพระราชทานแล้ว ใม่ได้เคยแต่งถ่ายรูปสักคราวหนึ่ง ต่อเมื่อเปนผู้ใหญ่ในฝ่ายพระแล้ว จึงรู้ว่า เวลาที่ใม่อยากได้นั้นแลเปนเวลาสมควรแท้ที่จะได้รับพระราชทาน เราเองจักยกย่องใครๆ ก็เลือกผู้ที่เขาใม่อยาก แลจักใม่ตื่นเต้น ฯ

แม้เราเปนคนเข้าวัดแล้ว ก็ยังต้องออกหน้าเปนคราวๆ เพราะเปนคนเคยคบฝรั่ง รู้จักวัตรของฝรั่ง เช่นมีเจ้าฝรั่งเข้ามาเปนครั้งแรก ก็ได้ออกแขกได้รับเชิญในการเลี้ยงเวลาค่ำแลในการสโมสร ล้นเกล้าฯ ยังใม่ทรงทราบว่าเราเข้าวัด ฯ

เมื่ออายุเราได้ ๑๘ ปี ล้นเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการประจำในกรมราชเลขา มีน่าที่เปนเจ้าพนักงารสารบบฎีกา หรือกล่าวอิกโวหารหนึ่ง เปนราชเลขานุการในทางอรรถคดี ฯ ในครั้งนั้นศาลที่พิจารณาอรรถคดียังแยกกันอยู่ตามกรมนั้น ๆ (ยังใม่ได้จัดกระทรวง) ต่างทูลเกล้า ฯ ถวายสารบบประจำเดือน มารวมอยู่ในพระองค์สมเดจพระเจ้าแผ่นดิน แลความฎีกาในครั้งนั้น ศาลฎีกาเรียงพระราชวินิจฉัยในท้ายฎีกาทูลเกล้า ฯ ถวาย ทรงลงพระบรมนามาภิไธยแล้ว จึงจะบังคับได้ตามนั้น ถ้าใม่โปรดตามที่เรียงมา ก็ทรงแก้ใหม่ ฯ มีพระราชประสงค์จะรวมราชการทางนี้เปนแพนกหนึ่ง มีเจ้าพนักงารรักษาการ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เรารับราชการในน่าที่นี้ เราได้เข้ารับราชการตั้งแต่วันพฤหัสบดี เดือน ๘ อุตราษาฒ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีฉลูนพศก จุลศักราช ๑๒๓๙ ตรงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๒๐ ฯ ราชการที่เราทำนั้น เมื่อกรมนั้น ๆ อันมีน่าที่พิจารณาอรรถคดี ทูลเกล้า ฯ ถวายสารบบประจำเดือนแล้ว พระราชทานแก่เรา ๆ รวมยอดถวายอิกใบหนึ่ง เพื่อทรงทราบว่าในเดือนหนึ่ง ๆ คดีทุกกรม เกิดใหม่เท่านั้น ๆ ตัดสินเสร็จไปแล้วเท่านั้น ๆ ยังคงค้างพิจารณาเท่านั้น ๆ ฯ ดูเพียงสารบบ ก็พอรู้ได้ว่า การพิจารณาคดียังหละหลวมมาก กรมหนึ่งพิจารณาเดือนหนึ่งใม่ได้กี่เรื่อง กรมนครบาลมีน่าที่พิจารณาความอาชญาเดือนหนึ่งแล้วเพียง ๒ เรื่องก็มี ที่สุดจนรวมยอดคดีก็ใม่ถูกกับรายคดี จะฟังเอาว่ารายคดีเปนถูก จำนวนเดือนต่อมา อาจยกรายเก่ามาผิดอิก บางทีตุลาการเอง จะรู้ใม่ได้ทีเดียวว่า คดีมีเท่าไรแน่ เปนความยากแก่เราผู้จะรวมยอด ถึงต้องต่อว่าต่อขานกันใม่รู้จบ ผลที่ได้ก็เพียงให้จำนวนในสารบบหลังกับน่าตรงกันเท่านั้น ฯ อิกอย่างหนึ่งเราเปนผู้รับฎีกาที่เรียงพระราชวินิจฉัยแล้ว จากกรมหลวงพิชิตปรีชากรอธิบดีศาลฎีกาไว้แล้ว อ่านถวายในเวลาทรงพระราชธุระในทางนี้ โปรดตามนั้น ทรงลงพระนามาภิไธยข้างท้าย ใม่โปรดทรงแก้ใหม่ ตรัสบอกให้เราเขียนแล้ว ทรงลงพระนาม คัดสำเนาไว้แล้ว ส่งต้นถวายกรมหลวงพิชิตไป ฯ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์อธิบดีกรมราชเลขาในครั้งนั้น ทรงจ่ายเสมียนประทานเราสองคน คือพระยาศรีสุนทรโวหาร ครั้งยังเปนนายกมล ๑ นายเจิมน้องเขา ๑ ยังเปนเสมียนฝึกหัดทั้งสองคน เขียนหนังสือช้าทั้งตกมากด้วย ตกได้ตั้งบันทัด เราได้ความหนักใจมาก ต้องคิดหาอุบายว่าอย่างไรจะรักษาสำนวนไว้ได้ ควรใช้ต้นสารบบเองก็ต้องใช้ ฯ น่าประหลาดว่า ภายหลังพระยาศรีสุนทรโวหารมีความรู้ทางหนังสือเจริญขึ้นโดยลำดับเขียนได้เรวใม่ตก ฟังความที่พูดในที่ประชุมแล้วจำไว้ได้แม่น จนได้เปนเลขานุการในเสนาบดีสภา ยังมีข้อน่าประหลาดอิก เขามีลูกชายคนหนึ่งชื่อนายผัน เดี๋ยวนี้ (พ.ศ.๒๔๕๘) เปนหลวงสารประเสริฐ เมื่อยังเด็กเขียนหนังสือตกตั้งบันทัดเหมือนพ่อ เขาเอามาฝากเราบวชเปนสามเณร เมื่อเราเปนผู้ใหญ่ในฝ่ายพระแล้วหัดใช้เขียนหนังสือไป หายเขียนตก จนถึงได้เปนเลขานุการของเรา ในเวลานี้ได้ชื่อว่าเปนจินตกวี ฯ อันคนมีนิสสัยดี ได้รับแนะนำเข้าบ้าง อาจขยายออกได้ตามลำพังของตน พระยาศรีสุนทรโวหาร เปนคนปูนเดียวกับเรา ดูเหมือนเขาได้ความรู้ความเข้าใจจากเราใม่เท่าไรนัก แต่เขานับถือเราเปนฉันอาจารย์ จนเอาลูกมาฝากอิกต่อหนึ่ง ส่วนหลวงสารประเสริฐเราจักถือว่าเปนเจ้าบุญนายคุณของเขา แม้ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับ ฯ เราได้เรียนทางอรรถคดี เมื่อครั้งเข้ารับราชการในทางนี้ รู้เพียงฟังคำพยานแล้วสันนิษฐานเอาความจริง แลตามยุติธรรมควรจะเปนอย่างไร ใม่เข้าใจถึงวางบท เพราะในครั้งนั้นกรมต่างๆ พิจารณาแล้ว ส่งสำนวนให้ลูกขุนณะศาลหลวงชี้ขาด คือชี้ว่าใครผิดใครถูก แล้วจึงเปนน่าที่ของขุนหลวงพระไกรศรีราชสุภาบดี เปนผู้ปรับสัตย์คือวางบทลงโทษผู้ผิดหรือยกฟ้อง ครั้นมาถึงฎีกา ทรงตัดสินเองใม่ได้อ้างบท ยืนตามคำชี้ขาดแลปรับสัตย์ ก็เปนแล้วไป ทรงแก้ก็ไปตามยุติธรรมเปนเค้าเงื่อน แลการรู้กฎหมายก็ยังใม่เปนที่น่าปราถนา เพราะหนังสือกฎหมายเก่า ก็อ่านเข้าใจยาก แลมีพระราชบัญญัติแลประกาศออกซับซ้อนกันมามากตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ กระจัดกระจายกันอยู่ ยากที่จะรวบรวมไว้ได้ ทั้งอาการของผู้ทรงกฎหมายในครั้งนั้น ใม่นำให้เกิดความเลื่อมใส ชั้นใหม่มีแต่กรมหลวงพิชิตปรีชากรพระองค์เดียว ใม่พอจะแก้ผู้อื่นเปนอันมากให้เปนผู้น่าเลื่อมใสไปทั้งนั้น ถ้าเราสนใจก็คงรู้ดีขึ้นกว่านี้อิก ฯ ตำแหน่งที่เราทำนี้แล ครั้นเมื่อตั้งศาลสถิตยุติธรรมยกคดีในกรมทั้งหลาย มารวมพิจารณาในใต้บัญชาของเจ้ากระทรวงเดียวกันแล้ว ก็ยังคงมีสืบมา เจ้าพนักงารในตำแหน่งนี้ ได้ไปเปนกรรมการศาลฎีกาก็มี กรรมการศาลฎีกาได้เข้ามารับตำแหน่งนี้ก็มี ในบัดนี้เปนอธิบดีกรมพระสมุหนิติศาสตร์ ในกระทรวงวังด้วย ฯ

ครั้งนั้น เริ่มพระราชทานเงินเดือนแก่ผู้ทำราชการประจำวันแล้ว ข้าราชการในกรมราชเลขาได้พระราชทานทั่วกัน กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ เปนอธิบดี กรมพระเทววงศ์วโรปการ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ เข้ามาก่อนเรา เมื่อเราเข้าไป เปนที่ ๔ ใม่มีเจ้านายอื่นเข้าอิกจนเราออกมาบวช นอกจากนี้ ข้าราชการในกรมพระอาลักษณ์ชั้นหลวง ชั้นขุนแลเสมียน เรารับราชการอยู่ ๒ ขวบปีเต็ม หาได้รับพระราชทานเงินเดือนใม่ จะเปนเพราะใม่ได้ทรงนึกถึงหรืออย่างไรหาทราบใม่ เสดจอธิบดีของเราท่านก็หาได้ทรงขวนขวายใม่ เปนแต่ได้รับพระราชทานเงินปีขึ้นกว่าเดิมอิก ๕ ชั่ง เปนปีละ ๓๕ ชั่ง ตามอย่างเจ้านายรับราชการ ท่านผู้ได้รับพระราชทานเงินเดือน ก็ได้รับพระราชทานเงินปีเพิ่มเหมือนกัน เราหาได้กระสับกระส่ายเพราะเหตุนี้ใม่ เหตุว่าเคยทำราชการมาด้วยความภักดี ยังใม่เคยได้รับพระราชทานเงินเดือน ทำไปด้วยน้ำใจเช่นนั้น มีราชการใม่อยู่เปล่า แลทรงสนิทสนมด้วย เปนพอแล้ว ทั้งในเวลานั้นเราใม่ได้จับจ่ายเลี้ยงตัวเอง ยายยังเปนธุระอยู่ ใม่รู้จักสิ้นยัง แลเหตุต้องการเงินใช้ กล่าวคือสุรุ่ยสุร่ายเราก็งดได้แล้ว เสียแต่มามีราชการในเวลาที่เราเข้าอยู่วัดแล้ว ฯ

ตั้งแต่เข้ารับราชการแล้ว เราปลงใจว่าจักหาได้บวชเลยไปใม่ ถ้าทำอย่างนั้น ดูเปนทิ้งราชการ เหนแก่ประโยชน์ตัวมากเกินไป ในเวลานั้น เสียงพวกสยามหนุ่มข้อนว่าพระสงฆ์ว่า บวชอยู่ใม่ได้ทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่แผ่นดิน ขี้เกียจกินแล้วก็นอน รับบำรุงของแผ่นดินเสียเปล่า ฝ่ายเราใม่เหนถึงอย่างนั้น เหนว่าพระสงฆ์ยังตั้งใจจะทำดีแต่เปนเฉพาะตัว เพราะใม่มีการอย่างอื่นเช่นตัวเรา เท่านั้นก็จัดว่าเปนดี จึงใม่อาจปฏิเสธคำที่ว่าใม่ได้ทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่แผ่นดิน ยังใม่มีญาณพอจะเหนกว้างขวางไปว่า พระสงฆ์ได้ทำประโยชน์แก่แผ่นดินมากเหมือนกัน มีสั่งสอนคนให้ประพฤติดี เอาธุระในการเล่าเรียนของเด็กบุตรหลานราษฎรเปนอาทิ ข้อสำคัญคือเปนทางเชื่อมให้สนิทในรวางรัฐบาลกับราษฎร ในครั้งก่อน พระสงฆ์ยิ่งเปนกำลังของแผ่นดินมากกว่าเดี๋ยวนี้ ญาณเช่นนี้ยังใม่ผุด จึงกระดากเพื่อจะละราชการไปบวชเสีย ฯ แต่ยังคงไปเฝ้าเสด็จพระอุปัชฌายะ แลเรียนภาษามคธอยู่ตามเดิม ฯ แต่ชาตาของเราเปนคนบวชกระมัง วันหนึ่งผเอิญกรมพระเทววงศ์วโรปการทรงล้อเราว่า เปนผู้เข้าวัดต่อหน้าพระที่นั่ง แต่ล้นเกล้า ฯ หาได้ทรงพระสำรวลตามใม่ ทรงถือเอาเปนการ ทรงเกลี้ยกล่อมจะให้เราสมัคบวช เรากราบทูลตามความเหนเกรงจะเปนทิ้งราชการ พระราชทานกระแสพระราชดำรัสอธิบายว่า ถ้าเราบวชจักได้ราชการเพียงไร ใม่เปนอันทิ้ง จนเราหายกระดากใจเพื่อจะบวช ตรัสปลอบอย่าให้เราห่วงถึงยาย เราะท่านชราแล้วก็คงตายมื้อหนึ่ง ตรัสขอปฏิญญาของเราว่าจะบวช เราเกรงจะไปใม่ตลอด เพราะยังใม่ไว้ใจของตัวอันเปลี่ยนเร็ว เมื่อครั้งรุ่นหนุ่ม จึงใม่กล้าถวายปฏิญญา เปนแต่กราบทูลว่า ถ้าจะสึก จะสึกเมื่อพ้นพรรษาแรก พ้นจากนั้น เปนอันจะใม่สึก พระราชทานปฏิญญาไว้ว่า บวชได้ ๓ พรรษาแล้ว จักทรงตั้งเปนต่างกรม ทรงอ้างสมเดจกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ครั้งเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรสเปนตัวอย่าง ครั้งนั้นเจ้านายพวกเราได้เปนต่างกรมแล้ว เพียง ๔ พระองค์ เปนเจ้าพี่ชั้นใหญ่ทั้งนั้น แลเราจะมาเปนที่ ๕ เหลือที่จะเอื้อมคิดไปถึง จึงใม่ได้เอามาเปนอารมณ์เสียเลย จนวันมีพระราชดำรัสสั่งให้เตรียมรับกรม ดังจะกล่าวข้างน่า ฯ

ตั้งแต่ทรงทราบว่าเราเปนผู้เข้าวัด ดูทรงพระกรุณามากขึ้น แลมีราชการในทางวัดเพิ่มขึ้น เมื่อมีพระราชธุระถึงเสดจพระอุปัชฌายะ รับสั่งใช้เราเชิญพระกระแสรับสั่งมากราบทูลบ้าง เชิญพระราชหัตถเลขามาถวายบ้าง เมื่อคราวจะฉลองวัดนิเวศนธรรมประวัติเกาะบางปอินที่ทรงสร้างใหม่ โปรดเกล้า ฯ ให้เรามีน่าที่เปนผู้ดูการจารึกอักษรต่างๆ ในแผ่นศิลาแลติดศิลาจารึกนั้นตามที่ เรียกช่างเขียนหนังสือขอมจากกรมราชบัณฑิต ช่างเขียนหนังสือไทยจากกรมพระอาลักษณ์ ช่างแกะจากกรมกษาปณสิทธิการแลกรมช่างสิบหมู่ มาตั้งกองทำแล้วนำขึ้นไปติด เร่งรัดทำแล้วเสร็จทันงารฉลอง ฯ ทรงใช้สรอยเราในราชกิจนั้น ๆ สนิทสนม จนถึงเวลากราบถวายบังคมลาออกมาบวช ฯ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:24:57 »



๖. สมัยทรงผนวชพระ

ธรรมเนียมเก่า ชายผู้เกิดต้นปีไปหากลางปี มีอายุนับโดยปีได้ ๒๑ อุปสมบทได้ ผู้เกิดพ้นกลางปีไปแล้ว ให้อุปสมบทต่อเมื่ออายุได้ ๒๒ โดยปี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ธรรมเนียมในราชการพออายุ ๒๑ ก็อุปสมบทได้ ต่อมาพระมหาเถระในธรรมยุตติกนิกายเหนว่า คนเกิดต้นปีอาจอุปสมบทได้ในปีที่ ๒๐ ที่ทอนเข้ารอบแล้ว ได้ ๑๙ ปี มีเศษเดือน พอจะประจบเข้ากับเดือนที่อยู่ในครรภ์เปน ๑ ปี แลได้อุปสมบทแก่คนมีอายุเพียงเท่านี้มาเปนบางครั้ง เฉพาะบุรุษพิเศษ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ก็ได้ทรงอุปสมบท เมื่อพระชนม์มายุเท่านี้ ฯ เมื่อมีตัวอย่างมาแล้ว เราจึงกราบทูลเสดจพระอุปัชฌายะ ขอประทานพระมติในการบวช ท่านทรงอำนวยให้อุปสมบทในปีที่ ๒๐ จึงนำความนี้กราบทูลล้นเกล้าฯ ทรงพระอนุมัติ เปนอันตกลงว่าจักอุปสมบทในปีที่ ๒๐ นี้ ฯ เดิมกรมพระเทววงศ์วโรปการ จักทรงผนวชในปีนี้ แต่มีราชการต้องงดไป คงบวชแต่เราผู้เดียว ฯ สมโภชที่พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย วันหนึ่ง รุ่งขึ้นอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันศุกร เดือน ๘ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีเถาะเอกศก จุลศักราช ๑๒๔๑ ตรงวันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๒๒ เสร็จอุปสมบทกรรรมเวลาบ่าย ๑ โมง ๔๑ ลิบดา สมเดจกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เปนพระอุปัชฌายะ พระจันทรโคจรคุณ (จันทรังสี) วัดมกุฎกษัตริย์ เปนพระกรรมวาจาจารย์ สวดองค์เดียว ตามแบบพระวินัย ธรรมเนียมที่ใช้กันมา สวดคู่ท่านผู้อยู่ข้างขวา เรียกกรรมวาจาจารย์ ท่านผู้อยู่ข้างทร้าย เรียกอนุสาวนาจารย์ เรียกอย่างเขิน ๆ เพราะอนุสาวนาเปนเอกเทศของกรรมวาจา จะหมายกรรมวาจาเปนญัตติ ก็แยกกันสวดใม่ได้ อย่างไรจึงสวดคู่ เราเหนว่า คงเกิดขึ้นในหมู่ที่ใม่เข้าใจบาฬี สวดเข้าคู่กัน เปนอันทานกันเอง รูปหนึ่งสวดผิด การสวดย่อมล่ม รู้ได้ง่าย เปนวิธีชอบกลอยู่ แต่ท่านผู้รู้มักรังเกียจว่าสวดใม่สดวก ว่าอักษรใม่ตระหนัก แต่บวชออกแขก ยังคงใช้กันมา เว้นแต่ในคราวทำทัฬหิกรรมคือบวชซ้ำ สวดแต่รูปเดียว ครั้งล้นเกล้า ฯ ทรงอุปสมบท มีพระกรรมวาจาจารย์รูปเดียว ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าน้องยาเธอทรงอุปสมบทมีพระกรรมวาจาจารย์รูปเดียวตามอย่าง แต่หม่อมเจ้าคงสวดคู่ คราวนี้กลายเปนจัด ชั้นเอก สวดรูปเดียว ชั้นโทสวดคู่ แต่ตามวัดก็ใช้สวดรูปเดียวตามขึ้นบ้าง นึกดูก็ขัน อย่างไรจึงกลายเปนยศ คนสามัญที่สุดคนของหม่อมเจ้าเอง พอใจจะมีพระกรรมวาจาจารย์รูปเดียว ก็มีได้ ส่วนหม่อมเจ้าเองมีใม่ได้ ฯ เหตุไฉน เจ้าคุณจันทรโคจรคุณ ผู้เปนเพียงพระราชาคณะยก จึงเปนพระกรรมวาจาของเรา ฯ มีเปนธรรมเนียมในราชการ พระอุปัชฌายะ หลวงเลือก พระกรรมวาจาจารย์ เจ้าตัวผู้บวชเลือก เราเลื่อมใสอยู่มากในเจ้าคุณจันทรโคจรคุณ เหนอาการของท่านเคร่งครัดแลเปนสมถะดี มีฉายาอันเย็น เช่นพระราหุลครั้งยังเปนพระทารก กล่าวชมสมเดจพระบรมศาสดาฉนั้น ทำทางรู้จักกับท่านไว้ก่อนแล้ว ครั้นถึงเวลาบวช จึงเลือกท่านเปนพระกรรมวาจาจารย์ ใม่ต้องการท่านผู้มียศสูงกว่า เราพอใจว่าได้ท่านเปนพระกรรมวาจาจารย์ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนทุกวันนี้ ฯ ในคราวที่เราบวชนั้น เหนได้ว่าล้นเกล้า ฯ ทรงกังวลอยู่ พอเที่ยงแล้วก็เสดจออก ใม่ต้องคอยนาน ฯ บวชแล้วมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนี้ ล้นเกล้า ฯ หาได้เสดจส่งใม่ โปรดเกล้าฯ ให้สมเดจเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์เสดจมาส่งโดยรถหลวง เสดจพระอุปัชฌายะโปรดให้อยู่คณะกุฏิ์ ที่เปนคณะร้าง ใม่มีพระอยู่ในเวลานั้น นี้เปนเหตุให้เราเสียใจ เพราะได้เคยอยู่ที่โรงพิมพ์ที่เคยประทับของทูนกระหม่อมมาแล้ว ทั้งอยู่ห่างจากท่านออกไปด้วย เมื่อเปนเช่นนี้ จึงตั้งตนเปนคนห่างบ้าง แต่พระประสงค์ของท่านว่า เราอยู่ที่นั่นคณะกุฏิ์จะได้ใม่เปลี่ยว แต่เราก็อยู่สองคนกับตาจุ้ยอายุ ๗๐ แล้ว ที่ยายจัดให้มาอยู่เพื่อนเท่านั้น แต่อยู่ก็สบาย เงียบเชียบ มีคนหลายคนก็แต่เวลาในเพลที่เขาเชิญเครื่องมาส่ง ฯ

ถึงน่าเข้าพรรษา ล้นเกล้า ฯ เสดจถวายพุ่มที่วัดนี้ เคยเสดจทรงประเคนพุ่มพระเจ้าน้องยาเธอ ผู้ทรงผนวชใหม่ถึงตำหนักเปนการทรงเยือนด้วย เสดจกุฏีเราทรงประเคนพุ่ม เราเหนท่านทรงกราบด้วยเคารพอย่างเปนพระ แปลกจากพระอาการที่ทรงแสดงแก่พระองค์อื่นเพียงทรงประคองอัญชลี เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเปนพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็เปนเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เปนพระเชษฐะของเรา โดยฐานเปนผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เปนครูของเรา เหนท่านทรงกราบ แม้จะนึกว่าท่านทรงแสดงเคารพแก่ธงชัยพระอรหัตต่างหาก ก็ยังวางใจใม่ลง ใม่ปรารถนาจะให้เสียความวางพระราชหฤทัยของท่าน ใม่ปรารถนาจะให้ท่านทอดพระเนตรเหนเราผู้ที่ท่านทรงกราบแล้วถือเพศเปนคฤหัสถ์อิก ตรงคำที่เขาพูดกันว่ากลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่าจะใม่สึกในเวลานั้น แต่หาได้ทูลใม่ ฯ

คราวนี้ เสดจพระอุปัชฌายะ หาค่อยได้ทรงสั่งสอนเหมือนเมื่อครั้งเปนสามเณรใม่ เปนเพราะท่านเลิกเปนพระอุปัชฌายะเสีย ทรงรับเปนเฉพาะบางคน พระใหม่ของท่านจึงมีใม่กี่รูป ท่านทรงสอนพระอื่น กลับสอบถามเราด้วยซ้ำ ฯ ในพรรษาต้น อยู่ข้างได้ความสุข เพราะความเปนไปลงรเบียบแลเงียบเชียบ เช้าบางวันไปบิณฑบาต เช้า ๒ โมงครึ่ง ลงนมัสการพระที่พระอุโบสถ กลับขึ้นมาแล้วจึงฉันเช้า แต่นั้นว่าง สุดแล้วแต่จะน้อมเวลาไป กลางวันพัก บ่ายดูหนังสือเรียน พอแดดล่มไปกวาดลานพระเจดีย์ กลับจวนค่ำ หัวค่ำเรียนมคธภาษากับพระปริยัติธรรมธาดา (ชัง) เหมือนอย่างเคยเรียนที่วัง ยังเรียนอรรถกถาธรรมบทอยู่นั่นเอง แต่กำลังเคร่ง เงินทองใม่เกี่ยวข้อง อาจารย์พลอยขาดผลที่เคยได้เปนรายเดือนด้วย ๒ ทุ่มครึ่ง ลงนมัสการพระสวดมนต์ฟังสิกขาที่พระอุโบสถ เสดจพระอุปัชฌายะมักประทับตรัสอยู่จนเวลาราว ๔ ทุ่ม จึงเสดจขึ้น พระใม่อยู่รอ ต่างรูปต่างไป เว้นแต่ผู้ที่ท่านตรัสอยู่ด้วย ฝ่ายเราเคยมาในราชการ ทั้งท่านตรัสกับเราเองโดยมากด้วย รออยู่กว่าจะเสดจขึ้นจึงได้กลับ แต่นั้นเปนเวลาสาธยายแลเจริญสมณธรรม กว่าจะถึงเวลานอนราว ๒ ยาม สวดมนต์ที่เปนพระสูตรต่างๆ บันดามีในสมุดพิมพ์แบบธรรมยุต ครั้งรัชกาลที่ ๔ เราเล่าจำได้มาแต่ก่อนอุปสมบทแทบทั้งนั้น ใม่พักลำบากด้วยการนี้ ต้องเล่าเติมบางอย่างที่ใม่มีในนั้น เราเล่าที่วัดนี้ ปาติโมกข์ทั้งสอง แลองค์นิสสยมุตตกะ เปนต้น ที่สำหรับเปนความรู้ใม่ได้ใช้เปนสวดมนต์

ศึกษาธรรมแลวินัยหนักเข้า ออกจะเหนเสดจพระอุปัชฌายะทรงในทางโลกเกินไปเสียแล้ว นี้เปนอาการของผุ้แลเหนแคบดิ่งไปในทางเดียว ต่อเปนผู้ใหญ่ขึ้นเอง จึงเหนว่ารู้ทางโลกก็เปนสำคัญอุดหนุนรู้ทางธรรมให้มั่นให้กว้าง พระศาสดาของเราก็ได้ความรู้ทางโลกเปนกำลังช่วย จึงประกาศพระพุทธศาสนาด้วยดี ในเวลานี้ คนเช่นนั้นเขาคงเหนเราทรงในทางโลกเกินไปเหมือนกัน ครั้งนั้น ใคร่จะไปอยู่ในสำนักเจ้าคุณจันทรโคจรคุณ ที่วัดมกุฎกษัตริย์ซึ่งครั้งนั้นเรียกวัดพระนามบัญญัติ เพื่อสำเหนียกความปฏิบัติของท่าน พอออกพรรษาแล้ว พูดแก่ท่าน ทูลขอพระอนุญาตของล้นเกล้า ฯ ทูลลาเสดจพระอุปัชฌายะ โปรดให้ไปสมปราถนา เปนคราวแรกที่เจ้านายพวกเราไปอยู่วัดอื่น นอกจากวัดบวรนิเวศวิหารนี้แลวัดราชประดิษฐ ได้ไปอยู่วัดมกุฎกษัตริย์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง ฯ แต่แรกท่านให้อยู่คณะด้านตวันออก ที่กุฎีตรงสระด้านเหนือที่เราสร้างเอง แต่บัดนี้ชำรุดแลรื้อเสียแล้ว ภายหลังขออนุญาตอยู่ในคณะของท่านทางคณะตวันตก ท่านให้อยู่ที่หอไตรหลังกุฎีใหญ่ของท่าน ฯ ท่านฝากเราให้เรียนมคธภาษาต่อเจ้าคุณพระพรหมมุนี (กิตติสาระ) ครั้งยังเปนเปรียญ เรียนมังคลัตถทีปนี พอค่ำอาจารย์มาสอนที่กุฎี ฯ

เราไปอยู่วัดนั้น เปนครั้งแรกที่เราได้พบว่า ความปฏิบัติวินัยของพวกพระธรรมยุตแผกกันโดยวิธี เช่นถือวิกัปอติเรกจีวร ภายในสิบวันเหมือนกัน แต่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร วิกัปหนเดียวแล้ว ฝ่ายที่วัดมกุฎกษัตริย์ เมื่อถอนแล้ว ต้องวิกัปใหม่ ทุกสิบวัน เปนอย่างนี้ ได้ความว่า ในครั้งนั้น คณะธรรมยุต มีหัววัดเปนเจ้าสำนักอยู่สอง วัดบวรนิเวศวิหารที่เปนเจ้าคณะ ๑ วัดโสมนัสวิหาร ๑ สองสำนักนี้ ปฏิบัติวินัยก็ดี ธรรมเนียมก็ดี แผกกันไปบ้างโดยวิธี แม้อัธยาศัยก็แผกกัน วัดอื่นที่ออกจากสองวัดนั้นหรือเนื่องด้วยสองวัดนั้น ย่อมทำตามหัววัดของตน เหตุแผกกันของสองวัดนั้น เราควรจะถามเจ้าคุณพระกรรมวาจาจารย์ของเราได้ทีเดียว แต่พลาดมาเสียแล้ว หาได้ถามใม่ เข้าใจตามความสังเกตแลพบเหนว่า เมื่อครั้งทูนกระหม่อมยังทรงผนวช ครั้นเมื่อเสดจมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว สมเดจพระวันรัต (พุทธสิริ) ครองคณะวัดราชาธิวาสอยู่ข้างโน้น ทูนกระหม่อมทรงเปลี่ยนแปลง หรือตั้งแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นข้างนี้ สมเดจพระวันรัตอยู่ข้างโน้นบางทีจะใม่รู้ คงทำตามแบบที่ใช้ ครั้งเสดจอยู่วัดราชาธิวาส ข้างเสดจพระอุปัชฌายะ เสดจย้ายจากวัดมหาธาตุมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารกับทูนกระหม่อม ใม่ได้เคยเสดจอยู่วัดราชาธิวาส คงทรงตามแบบที่ใช้ในวัดนี้สืบมา การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง ใม่เคยมีประกาศให้รู้ทั่วกันหรือบังคับนัดหมายให้เปนตามกัน จนถึงเราเปนคู่ครองคณะ พึ่งจะมีขึ้นบ้างเมื่อมีหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์ขึ้นแล้ว ครั้นทูนกระหม่อมทรงลาผนวชไปเสวยราชย์แล้ว เสดจพระอุปัชฌายะเปนเจ้าคณะ แต่ท่านใม่ได้เปนบาเรียน แลท่านทรงถ่อมพระองค์อยู่ด้วย ฝ่ายสมเดจพระวันรัตเปนผู้ใหญ่แก่พรรษากว่าท่าน ต่อมาเปนสังฆเถระในคณะด้วย เปนบาเรียนเอก มีความรู้พระคัมภีร์เชี่ยวชาญ ทั้งเอาใจใส่ในการปฏิบัติจริง ๆ ด้วย แต่ใม่สันทัดในทางคดีโลกเลย ข้างเสดจพระอุปัชฌายะโปรดถือตามแบบเดิม ข้างสมเดจพระวันรัตชอบเปลี่ยนแปลง มีอัธยาศัยเปนธรรมยุตแท้ สององค์นั้นใม่ได้หารือ แลตกลงกันก่อน เมื่อฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขธรรมเนียมเดิม ใครจะแก้ไปอย่างไรก็ได้ มุ่งในที่แคบคือเฉพาะวัดที่ปกครอง ใม่คิดว่าจะทำความเพี้ยนกันขึ้นในทางนิกายอันเดียวกัน เหตุอันหนุนให้แก้ไขนั้น คือมุ่งจะทำการที่เหนว่าถูก ใม่ถือความปรองดองเปนสำคัญ ในเวลานั้นวัดบวรนิเวศวิหารกำลังโทรม มีพระหลักแหลมในวัดน้อยลง ถูกจ่ายออกไปครองวัดต่าง ก็หาเปนกำลังของวัดเดิมใม่ กลับเปนเครื่องทอนกำลังวัดเดิม พระอริยมุนี (เอม) ได้ออกไปวัดเทพศิรินทร์ เมื่อก่อนน่าเราอุปสมบทปีหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาจนตลอดเวลาของเสดจพระอุปัชฌายะ ใม่มีพระออกวัดอิกเลย ในวัดเพียงเทศนาอ่านหนังสือได้เปนจังหวะถูกต้อง สวดปาติโมกข์ได้ก็เปนดี ฝ่ายวัดโสมนัสกำลังเจริญ มีพระบาเรียนเปนนักเทศน์แลบอกปริยัติธรรมได้หลายรูป ทั้งเปนผู้มั่นคงในพระศาสนา จ่ายออกวัดต่างไป ย่อมเปนกำลังของวัดเดิม ช่วยแผ่ลัทธิให้กว้างขวาง สมเดจพระวันรัตใม่มีอำนาจในทางคณะเลย แต่มีกำลังอาจแผ่ลัทธิกว้างขวางออกไป เพราะมีผู้นับถือนิยมตาม ความปฏิบัติเพี้ยนกันมีขึ้นด้วยประการอย่างนี้ ฯ เจ้าคุณอาจารย์ของเรา ได้เคยเปนพระปลัดของสมเดจพระวันรัต อยู่วัดราชาธิวาสแล้วย้ายมาอยู่วัดโสมนัสวิหารพร้อมกับท่าน ต่อมาทูนกระหม่อมทรงตั้งเปนพระราชาคณะ โปรดให้มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังโปรดให้ไปอยู่ครองวัดมกุฎกษัตริย์ ท่านเคยพบความเพี้ยนกันมาแล้ว ท่านจึงเลือกใช้ตามความชอบใจ ความปฏิบัติธรรมแลวินัย ตลอดจนอัธยาศัย เปนไปตามคติวัดโสมนัสวิหาร แบบธรรมเนียมเปนไปตามคติวัดบวรนิเวศวิหาร ปนกันอยู่ ฯ ความแผกผันนี้เปนเหตุพระต่างวัดไปมาใม่ถึงกัน พระต่างเมืองไปมาพักอยู่ต่างวัด กระดากเพื่อเข้านมัสการพระด้วยกัน คราวหนึ่งเมื่อรับสมณศักดิ์แล้ว เราไปพักอยู่วัดสัตตนาถปริวัตรเมืองราชบุรี เข้านมัสการพระกับพวกพระวัดนั้น ปราถนาจะดูธรรมเนียม จึงให้พระสมุทรมุนี (หน่าย) เจ้าอาวาสนำนมัสการพระแลชักสวดมนต์ ธรรมเนียมแปลกมากเล่าใม่ถูก วัดนั้นออกจากวัดโสมนัสวิหาร บางทีธรรมเนียมวัดโสมนัสวิหาร จักเปนเช่นนั้นกระมัง ฯ

นอกจากนี้ ยังได้พบความเปนไปของวัดที่ขึ้นวัดอื่นว่าเปนเช่นไร พระผู้ใหญ่วัดตั้งแต่เจ้าอาวาสลงมา ต้องไปมาหาสู่วัดเจ้าคณะแลวัดใหญ่ ได้ความคุ้นเคยกับต่างวัด ได้คติของต่างวัด แต่เปนวัดใม่มีเจ้านายเสดจอยู่ พระในพื้นวัดย่อมเซอะอยู่เองแต่ว่าง่าย หัวใม่สูง ฯ

ตั้งแต่ครั้งทูนกระหม่อมยังทรงผนวช พวกพระธรรมยุตนับถือสีมาน้ำว่า บริสุทธิ์ เปนที่สิ้นสงสัย ใม่วางใจในวิสุงคามสีมาอันใม่ได้มาในบาฬี เปนแต่พระอรรถกถาจารย์ แนะไว้ในอรรถกถาอนุโลมคามสีมา ครั้งยังใม่มีวัดอยู่ตามลำพัง จึงใช้สีมาน้ำเปนที่อุปสมบท ต่อมาพระรูปใดจะอยู่เปนหลักฐานในพระศาสนา ท่านผู้ใหญ่จึงพาพระรูปนั้น ไปอุปสมบทซ้ำอิกในสีมาน้ำ เรียกว่าทำทัฬหิกรรม ฯ สำนักวัดบวรนิเวศวิหารอยุดมานานแล้ว พระเถระในสำนักนี้ ใม่ได้ทำทัฬหิกรรมโดยมาก สมเดจพระสังฆราช (ปุสสเทวะ) อุปสมบทครั้งหลัง กว่า ๒๐ พรรษา พึ่งได้ทำทัฬหิกรรม ครั้งจะสวดกรรมวาจาอุปสมบทเมื่อล้นเกล้า ฯ ทรงผนวชพระ เสดจพระอุปัชฌายะตรัสเล่าว่า พระเถระทั้งหลายผู้เข้าในการทรงผนวชล้วนเปนผู้ได้ทำทัฬหิกรรมแล้ว ยังแต่ท่านองค์เดียว ทั้งจักเปนผู้สำคัญในการนั้น จึงต้องทำ คงจะใม่ทรงนึกถึงหม่อมเจ้า พระธรรมุณหิสธาดาผู้ใม่ได้ทำอิกองค์หนึ่ง ฯ ฝ่ายสำนักวัดโสมนัสวิหารยังทำกันเรื่อยมา ใม่เฉพาะรูปจะยั่งยืนเปนหลักในพระศาสนา พระนวกะสามัญก็ทำเหมือนกัน ฯ คราวนี้เกิดปันกันขึ้นเองในหมู่พระ เปนพระน้ำก็มี เปนพระบกก็มี คราวนี้พวกอุบาสิกาสำนักนั้น ก็พูดกระพือเชิดชูพระน้ำ หมิ่นพระบก จนเกิดความขึ้นคราวหนึ่ง ก่อนน่าเราบวช ล้นเกล้า ฯ ทรงออกรับในฝ่ายพระบก ตั้งแต่นั้นมา เสียงว่าพระน้ำพระบกก็สงบมา ถึงยังทำกัน ก็ปิดเงียบ ใม่ทำจนเฝือเหมือนอย่างก่อน ฯ ครั้งเราบวช ความนับถือพระบวชในสีมาน้ำยังใม่วาย เราเหนว่า เราเปนผู้จักยั่งยืนในพระศาสนาต่อไป พระเช่นเราจักต้องเปนหลักในพระศาสนาด้วยเหมือนกัน เมื่อพระในนิกายเดียวกัน มีวิธีปฏิบัติแผกกันตามสำนัก เราควรเปนผู้เข้าได้ทุกฝ่าย อันจะให้เข้าได้ ต้องใม่เปนที่รังเกียจในการอุปสมบทเปนมูล ทั้งเราก็อุปสมบทเรวไปกว่าปกติ เมื่อทำทัฬหิกรรมอุปสมบทซ้ำอิกในสีมาน้ำ จักสามารถทำประโยชน์ให้สำเร็จได้ดี เราจึงเรียนความปรารภนี้แก่เจ้าคุณอาจารย์ ขอท่านเปนธุระจัดการให้ ท่านเหนด้วย แลรับจะเอาเปนธุระ สั่งให้เรามากราบทูลเชิญเสดจ ๆ พระอุปัชฌายะ ท่านตรัสว่าจะเสดจก็เกรงจะเปนการอื้ออึง ตรัสสั่งให้เอาพระนามไปสวด ทรงเทียบว่าใม่มีอุปัชฌายะ ยังอุปสมบทขึ้น แต่เจ้าคุณอาจารย์ เจ้าคุณพรหมมุนีกับเรา ปรึกษากันเหนร่วมกันว่า มีความข้อหนึ่ง ในกัมมากัมมวินิจฉัยว่า “กรรมอันจะพึงทำในที่ต่อหน้า ทำเสียในที่ลับหลัง เปนวัตถุวิบัติ หาเปนกรรมที่ได้ทำโดยธรรมใม่” ถ้าอุปสัมปทากรรม จะต้องทำในที่ต่อหน้าอุปัชฌายะ เมื่ออุปัชฌายะใม่อยู่ในที่ประชุมสงฆ์ เปนแต่เอาชื่อมาสวด ก็จักเปนกรรมวิบัติ ข้อที่ว่าใม่มีอุปัชฌายะก็อุปสมบทขึ้นนั้น อยู่ข้างหมิ่นเหม่ จะฟังเอาเปนประมาณมิได้ จึงตกลงกันว่า เราจักถือเจ้าคุณอาจารย์เปนอุปัชฌายะใหม่ ในเวลาทำทัฬหิกรรม เจ้าคุณพรหมุนีฟันหัก สวดจะเปนเหตุรังเกียจ เจ้าคุณอาจารย์ท่านเลือกเอาเจ้าคุณธรรมไตรโลก (ฐานจาระ) วัดเทพศิรินทร์ ครั้งยังเปนบาเรียนอยู่วัดโสมนัสวิหาร เปนผู้สวดกรรมวาจา ท่านรับจัดการให้เสร็จ พาตัวไปทำทัฬหิกรรมที่แพโบสถ์ อันจอดอยู่ที่แม่น้ำ ตรงฝั่งวัดราชาธิวาสออกไป เมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ ปีเถาะเอกศก จุลศักราช ๑๒๔๑ ตรงวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๒ แรกขอนิสสัยถืออุปัชฌายะใหม่ แล้วทำวิธีอุปสมบททุกประการ สวดทั้งกรรมวาจามคธแลกรรมวาจารามัญ จบกรรมวาจาแรก เวลา ๕ ทุ่ม….ลิปดา เสร็จทำทัฬหิกรรมแล้ว เจ้าคุณท่านสั่งให้ถือนิสสัยอาจารย์ไปตามเดิม เราจึงเรียกเจ้าคุณอาจารย์ตลอดมา ฯ

ในเวลาจำพรรษาที่ ๒ เราขออนุญาตเจ้าคุณอาจารย์เข้าไปอยู่อุปฐากท่านในกุฎีเดียวกัน ด้วยปราถนาจะได้คุ้นเคยสนิทแลจะได้เหนความปฏิบัติของท่านในเวลาอยู่ตามลำพังด้วย ฯ ท่านใม่ได้เปนเจ้า แลเปนเพียงพระราชาคณะสามัญ เราเปนเจ้าชั้นลูกหลวง ห่างกันมาก แม้เปนศิษย์ ก็ยากที่จะเข้าสนิท จึงปราถนาจะหาช่องผูกความคุ้นเคย เข้ายากแต่ในชั้นแรก พอเข้าสนิทได้แล้วเปนกันเองดี เรากับเข้าได้สนิทกว่าเสดจพระอุปัชฌายะผู้เปนเจ้าด้วยกัน แลเปนชั้นเดียวกับอาวด้วย ปกติของเสดจพระอุปัชฌายะ แม้เข้าสนิทได้แล้ว แต่ใม่ได้เฝ้านานวันเข้า กลับห่างออกไปอิก ต้องคอยเข้าอยู่เสมอ ยากที่จะรักษาความสนิทให้ยืนที่ แม้สัทธิวิหาริกผู้มิใช่เจ้า ที่ท่านเคยทรงใช้สรอยมาสนิท มีฐานันดรเปนพระราชาคณะขึ้น อาจห่างออกไปได้ ด้วยท่านทรงเลิกใช้เสีย พระนั้นเลยเข้ารอยใม่ถูก ฝ่ายเจ้าคุณอาจารย์ เข้าสนิทได้คราวหนึ่งแล้ว แม้อยู่ห่างจากกัน คงสนิทอยู่ตามเดิม เมื่อเรากลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารแลเปนต่างกรมมีสมณศักดิ์ในพระแล้ว ท่านก็ยังคุ้นเคยสนิทสนมด้วยตามเดิม ฯ ตั้งแต่เรามาอยู่กับท่าน ยังเหนจรรยาของท่านน่าเลื่อมใสอยู่เสมอ เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้ชิดเหนว่าเปนปกติของท่านอย่างนั้นจริง ยิ่งเลื่อมใสขึ้น ปกติของท่าน รักษาไตรทวารให้บริสุทธิ์ ปราศจากโทษ นี้เปนลักษณะสมถะแท้ คุณสมบัติของท่านที่ควรรบุ เราไปอยู่ในสำนักของท่าน ๒ ปี ๒ เดือน อยู่อุปฐากเกือบปีเต็ม ในรวางนี้ใม่ปรากฏว่าได้แสดงความโกรธแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง เปนผู้มีใจเย็น ใม่เคยได้ยินคำพูดของท่านอันเปนสัมผัปปลาป การณ์ที่ใม่รู้ใม่เข้าใจ ใม่พูดถึงเสียเลย จึงใม่แสดงความเข้าใจเขวให้ปรากฎเลย ความถือเราถือเขาของท่านใม่ปรากฎเลย เปนผู้มีสติมาก สมตามคำสอนของท่านว่า จะทำอไรหรือพูดอไร จงยั้งนึกก่อน ข้อที่แปลกผู้ใหญ่อื่นโดยมากใม่ดูหมิ่นคนเกิดทีหลังว่าเด็กแลตื้น แม้ผู้เปนเด็กพูดฟังโดยฐานะเปนผู้มีเมตตาอารี หาใช่ผู้มีใจคับแคบตามวิสัยของพระผู้ตั้งตัวเปนผู้เคร่งใม่ เช่นเราเข้าไปขออยู่ด้วยในสำนัก ท่านมีอัธยาศัยเผื่อแผ่พอที่จะรับไว้แลอนุเคราะห์ให้ได้รับประโยชน์จริงๆ ฯ อุบายดำเนิรการของท่าน ปกครองบริษัทด้วยผูกใจให้รักแลนับถือ แม้เราเปนเจ้านายก็ปกครองไว้อยู่ ตลอดถึงในน้ำใจ สอนคนด้วยทำตัวอย่างให้เหนมากกว่าจะพูด เมื่อพูดสั่งสอนอย่างใด เหนว่าท่านปฏิบัติมาอย่างนั้นด้วย เมื่ออธิกรณเกิดขึ้น ควรจะนิคคหะ ก็รีบทำแต่ชี้โทษให้ผู้ผิดเหนเอง ทำอย่างที่เรียกว่าบัวใม่ช้ำ น้ำใม่ขุ่น รักษาความสม่ำเสมอในบริษัท จะแจกของ แจกทั่วกัน เช่นน่าเข้าพรรษา ท่านแจกเครื่องสักการเพื่อพระสามัญผู้ใม่ได้รับของใครเลย จะได้ใช้ทำวัตร เรามีผู้ถวายแล้ว ท่านก็แจกมาถึงด้วยเหมือนกัน ชอบผู้ใดผู้หนึ่ง ใม่แสดงให้ปรากฏ มีศิษย์เปนเจ้านายเฉพาะบางพระองค์ ที่มาอยู่ด้วยมีแต่เรา ใม่มีเฝือดุจเสดจพระอุปัชฌายะ น่าจะตื่น อิกอย่างหนึ่ง ท่านเปนอันเตวาสิกของทูนกระหม่อม ได้พระเจ้าลูกเธอของท่านเรียกตามโวหารสามัญว่าลูกครู มาไว้เปนศิษย์น่าจะยินดีเท่าไร แต่ท่านรวังจริงๆ เพื่อจะใม่ให้ความพอใจรั่วไหลออกภายนอก แต่ก็ใม่ฟังอยู่ดี ท่านประพฤติแก่เราโดยฐานมีเมตตาอารีเอื้อเฟื้อ รวังใม่ตีสนิทกับเราเกินพอดี ที่จะพึงเหนว่าประจบหรือเอาใจเรามากเกินไป ฯ ข้อบกพร่องของท่านตามที่เรานึกเหน เปนผู้พูดน้อยเกินไป ที่เรียกกันว่าพูดใม่เปน ทูนกระหม่อมทรงพระตำหนิว่าพระใม่พูด แต่อันที่จริงคุ้นกันแล้ว ท่านพูด พูดใม่ถนัด เฉพาะท่านผู้ที่จะพึงเคารพหรือยำเกรง แลคนแปลกหน้า อิกอย่างหนึ่ง เรานึกติท่านในครั้งนั้นว่า เก็บพัสดุปริกขารไว้มากเปนตระหนี่ เพราะเวลานั้นเรายังใม่มีศิษย์บริวารจะพึงสงเคราะห์ นอกจากตาดีอุปฐากแทนตาจุ้ยผู้ตายไปเสีย แลยังมียายเปนผู้บำรุงอยู่ จึงเหนว่าพระใม่ควรมีอไรมากนัก ต่อเปนผู้ใหญ่ขึ้นด้วยตนเอง จึงรู้ว่าพระผู้ใหญ่ผู้ครองวัดแลหาผู้บำรุงมั่งคั่งเปนหลักฐานมิได้ เช่นเจ้าคุณอาจารย์ จำต้องมีพัสดุปริกขารไว้ใช้การวัดแลเจือจานแก่บริษัทผู้ขัดสน ยิ่งวัดมกุฎกษัตริย์ที่ตั้งใหม่ ใม่มีของใช้บริบูรณ์เหมือนวัดบวรนิเวศวิหาร เสดจพระอุปัชฌายะเคยตรัสต่อว่าทางเราว่า แต่ก่อนจะรับกฐินเคยขอยืมเครื่องบูชาที่วัดบวรนิเวศวิหารไปตั้ง อย่างไรเดี๋ยวนั้นหายไป เจ้าคุณอาจารย์ท่านแก้ว่า พอมีขึ้นบ้างแล้ว จึงใม่ได้ไปทูลรบกวน แลการสงเคราะห์บริษัทเล่า ทางดีที่ควรทำ รูปใดต้องการสิ่งใดจึงให้ แต่เปนผู้ใหญ่ย่อมห่างจากผู้น้อย ภิกษุสามเณรมักกระดาก เพื่อจะเข้ามาขอของที่ต้องการ ได้แก่ตัวเราเองเมื่อภายหลัง ข้อนี้เราขอขะมาท่านในที่นี้ ฯ

เวลาอยู่อุปฐากเจ้าคุณอาจารย์ในพรรษานั้น เราอยุดเรียนหนังสือแต่ได้ศึกษาวินัยกับท่านตลอดถึงสังฆกรรม แลหัดสวดกรรมวาจาอุปสมบททั้งทำนองมคธ ทั้งทำนองรามัญ แม้ท่านใม่ได้เปนบาเรียน แต่ได้เคยเรียนบาฬี อ่านเข้าใจ ได้ยินว่าพระราชาคณะยกในฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย ในครั้งนั้น รู้บาฬีแทบทั้งนั้น เว้นเฉพาะบางรูป ฐานันดรว่าพระราชาคณะยกนั้น น่าจะเพ่งเอาท่านผู้รู้บาฬี แต่ใม่ได้สอบได้ประโยคเปนบาเรียน ทรงยกย่องเปนบาเรียนยก ฯ เราเหนท่านแม่นยำในทางวินัยมาก สังฆกรรมที่ใม่ชินอย่างอุปสมบท เมื่อถามขึ้นโดยใม่รู้ตัว ท่านอธิบายได้ แต่การปฏิบัติวินัยยังเปนไปตามอักษร แลมักเกรงจะเปนผิด ถูกตามแบบที่นิยมไว้ว่า “เปนผู้มีปกติ ลอายใจ มักรำคาญ ใคร่ศึกษา” แต่ใม่ยกตนข่มผู้อื่นเพราะเหตุนี้ เหมือนอย่างพระผู้ตั้งตนว่าเคร่ง ฯ ในการสวดกรรมวาจาอุปสมบท ท่านได้ชื่ออยู่ในเวลานั้น ทั้งเปนที่นับถือในทางปฏิบัติด้วย ครั้งสมเดจพระสังฆราช (ปุสสเทวะ) ทำทัฬหิกรรม ท่านก็สวด หัดผู้อื่น ใม่สันทัดในอันแนะ แต่ยันหลักมั่น ยังใม่ถูก ใม่ผ่อนตาม ฯ ธรรมสนใจในบางประการเฉพาะที่ถูกอารมณ์ แลรู้จักอรรถรส ใม่พูดพร่ำเพรื่อ ถึงคราวจะเทศนา ใช้อ่านหนังสือ ท่านพอใจอย่างนั้น มากกว่าพุ้ยเทศน์ปากเปล่าเหลิงเจิ้ง ที่ในปกรณ์เรียกผู้เทศน์อย่างนั้นว่า ธรรมกถึกย่านไทร สอนผู้บวช ใช้ปากเปล่า แต่มีแบบพอสมแก่สมัยฟังได้ ฯ ท่านใม่ได้เปนบาเรียนก็จริง ถึงอย่างนั้นท่านที่เปนบาเรียนมีชื่อเสียงตลอดมาทุกยุคถึงเราเองในบัดนี้ นับถือท่านแทบทั้งนั้น เราใม่เคยเสียใจว่ามีอาจารย์วาสนาต่ำเลย ยังเปนที่พอใจของเราอยู่จนทุกวันนี้ ฯ

เดิมนึกว่าจะอยู่อุปฐากเพียงพรรษาหนึ่ง ออกพรรษาแล้วจักลาออกเรียนหนังสือต่อไป แต่ยังเลื่อมใสอยู่ จึงทำต่อมาอิกบัญจบเปน ๑๑ เดือน แต่เรียนหนังสือไปด้วย จนถึงเวลาเรียนปฐมสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย อันเปนหลักสูตรแห่งประโยค ๗ ที่ต้องดูหนังสืออื่นแก้อิกสองสามคัมภีร์ ต้องใช้เวลามาก แลประจวบคราวเสดจพระอุปัชฌายะประชวรไข้พิษมีพระอาการมาก เราลาท่านกลับมาอยู่พยาบาลที่วัดบวรนิเวศวิหาร กว่าจะหายประชวร เมื่อกลับไปจึงเลยออกจากน่าที่อุปฐากด้วยทีเดียว ตั้งหน้าเรียนหนังสือต่อไป ฯ

เดิมเราตั้งใจเรียนพออ่านบาฬี อรรถกถาฎีกาเข้าใจความอย่างเสดจพระอุปัชฌายะแลเจ้าคุณอาจารย์เท่านั้น ใม่ปราถนาเปนบาเรียน ครั้นทราบจากเจ้าคุณพรหมมุนีว่า ล้นเกล้า ฯ ตรัสถามถึงว่าจะแปลได้หรือมิได้ แลเจ้าคุณพรหมมุนีถวายพระพรทูลรับเข้าไว้ด้วย เกรงว่าจะถูกจับแปล การแปลมีวิธีอย่างหนึ่ง นอกจากเอาความเข้าใจ เราใม่ได้เตรียมตัวไว้ ถูกจับแปลเข้าจักอายเขา เปนเจ้า พอไปได้ ก็เชื่อว่าใม่ตก ยกเสียแต่ใม่มีพื้นมาเลย เช่นพระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ เมื่อครั้งบวชเปนสามเณร แต่เขาคงว่าได้อย่างเจ้า พวกเจ้าผู้แปลหนังสือเปนบาเรียนได้รับความชม ได้ยินเพียงทูนกระหม่อมของเรา กับหม่อมเจ้าเนตรในพระองค์เจ้าเสือ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอชั้น ๒ ผู้อยู่วัดบวรนิเวศวิหารนี้ นอกจากนี้ ถูกติก็มี เงียบอยู่ก็มี คราวนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อเข้าแปลหนังสือด้วย ฯ เมื่อตกลงใจอย่างนี้แล้วพลอยเหนอำนาจประโยชน์ไปด้วยว่า อาจารย์ผู้บอกหนังสือ ใม่ได้รับตอบแทนอันคุ้มกัน เมื่อเราแปลได้ประโยคเปนบาเรียน จักได้ชื่อได้หน้า จักได้เหนผลแห่งการงารของท่าน ฯ เรากล่าวถึงพระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ แปลหนังสือตกไว้ในที่นี้ หากท่านยังอยู่ท่านคงใม่โกรธ บางกลับจักเหนเปนชื่อเสียอิก มีผู้รู้กันขึ้นว่า ท่านก็เปนนักเรียนบาฬีเหมือนกัน ดีกว่าใม่ได้เปนทีเดียว ฯ

เมื่อเราได้สองพรรษาล่วงไปแล้ว จักเข้าสามพรรษา เจ้าคุณอาจารย์ให้สวดกรรมวาจาอุปสมบท ครั้งนั้นที่วัดใม่มีผู้สวด เจ้าคุณพรหมมุนีฟันหลุดใม่สวด พระจันโทปมคุณ (หัตถิปาละ) ครั้งยังเปนพระปลัด ใม่รู้มคธภาษาแลใม่สันทัดว่าอักขระ สวดใม่ได้ ต้องนิมนต์ผู้สวดมาจากวัดอื่น แลผู้สวดกรรมวาจานั้น ในพระบาฬีใม่ได้ยกย่องเปนครูบาของผู้อุปสมบท ยกย่องเพียงอุปัชฌายะแลอาจารย์ผู้ให้นิสสัย พึ่งยกย่องในยุคอรรถกถา พระธรรมยุตจึงใม่ถือเปนสำคัญนัก ทูนกระหม่อมแลเสดจพระอุปัชฌายะ ท่านก็ได้สวดมาแต่พรรษายังน้อย เจ้าคุณท่านให้เราสวดอนุวัตรตามอย่างนั้น ฯ เราเองพอใจในทางหนึ่งว่า ได้เปิดคราวแรกต่อหน้าอาจารย์ของเราเอง แลได้ยกชื่ออาจารย์ของเราเองขึ้นสวดเปนแรก ถือว่าเปนมงคลแก่กรณียะนี้อันจะพึงทำต่อไปข้างหน้า แต่เสียดายว่าภิกษุรูปแรกที่เราสวดกรรมวาจาอุปสมบทให้นั้น แม้เลือกเอาคนบวชต่อแก่แล้ว ก็หายั่งยืนอยู่หรือตายในพรหมจรรย์ใม่ ฯ

เราอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ ได้รับเมตตาแลอุปการะของเจ้าคุณอาจารย์อันจับใจ ท่านได้ทำกรณียะของอาจารย์แก่เรา ฝากเราให้เรียนหนังสือในสำนักเจ้าคุณพรหมมุนี จัดการทำทัฬหิกรรมอุปสมบทให้แก่เรา ยังเราให้ได้รับฝึกหัดในกิจพระศาสนาเปนอันดี ยกย่องให้ปรากฎในหมู่ศิษย์ ตลอดถึงเปนทางเข้ากับสำนักวัดโสมนัสได้ ให้กำลังเราในภายน่ามาก เพราะข้อนี้ แสดงความวิสสาสะฉันอาจารย์กับศิษย์ เปิดช่องให้เราเข้าสนิท ใม่กระเจิ่น นับว่าได้เจริญในสำนักอาจารย์ เอาใจใส่เอื้อเฟื้อในเราเปนอย่างยิ่ง สุขทุกข์ของเราเปนดุจสุขทุกข์ของท่าน แลอยู่ข้างเกรงใจเรามาก แผนยาย เมื่อเรายังใม่ได้อุปสมบท ฯ เรามีน่าที่เปนผู้รับอาบัติของท่าน แลได้รับในหนที่สุดเมื่อจวนจะถึงมรณภาพ เราถือว่าเปนเกียรติ์ของเรา ฯ

ฝ่ายเจ้าคุณพรหมมุนีเล่า ได้ตั้งใจบอกปริยัติธรรมแก่เราโดยเอื้อเฟื้อ ประโยคที่เราจะเรียนในวัน ๆ ท่านอ่านแลตริตรองมาก่อน เปนผู้มีความรู้ในทางแปลหนังสือแตกฉาน เราได้รับความแนะนำในการแปลหนังสือเปนอย่างลเอียดลออ ได้ความรู้ดีขึ้นกว่าก่อนเปนอันมาก ในครั้งนั้น ท่านยังเปนบาเรียน ยังหาได้เข้าประชุมในการสอบความรู้ใม่ จึงใม่แน่ใจในวิธีแปลที่ใช้ในสนามหลวงนัก จึงต้องสนใจหาความเข้าใจไว้หลายทาง ถ้ามีทางจะแปล, กลับได้ความคิดแตกฉานขึ้นอิก ฯ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มีนาคม 2568 16:28:53 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:28:13 »

.


ในพรรษาที่ ๓ นั้น พ.ศ. ๒๔๒๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน เราเข้าไปฉันที่พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยในการเฉลิมพระชนม์พรรษา พอสรงมุรธาภิเษกแล้ว ล้นเกล้า ฯ เสดจมาตรัสแก่เสดจพระอุปัชฌายะว่า เมื่อก่อนน่าเราบวช ได้ทรงปฏิญญาไว้แก่เราว่า บวชได้สามพรรษาแล้ว จักทรงตั้งเปนต่างกรม บัดนี้เราบวชเข้าพรรษาที่สามแล้ว ทั้งจะต้องออกงารในการฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ขวบปี ทรงกะไว้จะให้ถวายเทศนากระจาดใหญ่ กัณฑ์ที่ทรงพระราชอุทิศถวายทูนกระหม่อม ทรงขอตั้งเราเปนพระราชาคณะแลเปนต่างกรมในปีนั้น เสดจพระอุปัชฌายะทรงพระอนุมัติ ฯ จริงอยู่ ล้นเกล้า ฯ ได้ตรัสไว้แก่เราอย่างนั้น แต่เราหาได้ถือเปนพระราชปฏิญญาใม่ แลยังใม่นึกถึงการเปนต่างกรมเลย เพราะยังเหนว่าเปนยศที่ยังอยู่สูงกว่าตัวลิบลับ ด้วยในครั้งนั้น พระเจ้าน้องยาเธอที่ทรงกรมไปก่อนแล้ว มีแต่ชั้นใหญ่ ๔ พระองค์ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พึ่งทรงกรมเมื่อต้นศกนั้น ชั้นกลางมีแต่กรมพระเทววงศ์วโรปการพระองค์เดียว พึ่งเปนเมื่อต้นศกเหมือนกัน เราเปนชั้นรองลงมา ในชั้นเรายังใม่มีใครได้เปน ยกสมเดจพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าเสีย ในทางสมณศักดิ์ เข้าใจว่าจะต้องรับยศเปนเปรียญไปก่อนเหมือนทูนกระหม่อม แล้วจึงขึ้นเปนพระราชาคณะในลำดับ เราได้ยินตรัสอย่างนั้น ตกตลึงหรืองงดุจฝัน เพราะได้ตกลงใจแลเตรียมตัวมาแล้วว่าจักเข้าแปลหนังสือ เรายังมุ่งอยู่ในทางนั้น จึงทูลถามขึ้น ตรัสว่า แปลได้ด้วยยิ่งดี ทรงจัดว่า เดือนยี่แปลหนังสือ เดือน ๔ รับกรม โปรดให้รับที่วัดบวรนิเวศวิหาร ฯ เราบวชใม่ได้มุ่งยศศักดิ์ก็จริง เมื่อจะโปรดให้เปน หาได้คิดเบี่ยงบ่ายใม่ เราได้เคยปรารภว่าผู้ตั้งใจบวชจริง ๆ ดูใม่น่าจะรับยศศักดิ์ แต่น่าประหลาดใจว่า พระผู้ใม่ได้อยู่ในยศศักดิ์ หรือยิ่งพูดว่าใม่ใยดีในยศศักดิ์ เรายังใม่แลเหนเปนหลักในพระศาสนาจนรูปเดียว จะหาเพียงปฏิบัตินำให้เกิดเลื่อมใสเช่นเจ้าคุณอาจารย์ของเรา ให้ได้ก่อนเถิด พระผู้ที่เราเลื่อมใสแลนับถือว่าเปนหลักในพระศาสนาเปนเครื่องอุ่นใจได้ เปนผู้รับยศศักดิ์ทั้งนั้น สมเดจพระวันรัต วัดโสมนัสวิหาร ที่แลเหนว่าใม่มุ่งในทางโลกีย์แล้ว ยังยอมอยู่ในยศศักดิ์ เหตุให้เปนอย่างนี้ น่าจะมี ภายหลังเปนผู้ใหญ่ขึ้นเองแล้วจึงรู้ว่า พระที่เราเลื่อมใส แลนับถือว่าเปนหลักในพระศาสนานั้น ย่อมเอาภารธุระพระพุทธศาสนา เว้นจากความเหนแก่ตัวเกินส่วน อันจะทำนุบำรุงพระศาสนาที่สุดเพียงครองวัดหนึ่ง ใม่ได้กำลังแผ่นดินอุดหนุนทำไปใม่สดวก ฝ่ายแผ่นดินเล่า ย่อมคอยสอดส่องอยู่เสมอ มีพระดีเปนที่เลื่อมใส แลนับถือของมหาชนปรากฏขึ้นณะที่ไหน ย่อมเอามาตั้งไว้ในยศศักดิ์ ให้กำลังทำการพระศาสนา ลักษณะพระที่ดีจริง ย่อมใม่อยากร่านเปนนั่นเปนนี่ เมื่อถึงคราวจะต้องเปนเข้าจริง ใม่แสดงพยศแลเบี่ยงบ่าย พระผิดจากลักษณะนี้ เราก็ใม่เลื่อมใสแลใม่เหนเปนหลักในพระศาสนา จึงหาพระประกอบด้วยลักษณะนั้น นอกยศศักดิ์ใม่ได้ ฯ ถ้าจักเปนพระราชาคณะแลเปนกรมในคราวหนึ่งแล้ว เปนในเวลานี้ก็ดี ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้ได้ทำนุบำรุงมา ทั้งฝ่ายพระทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ยังอยู่พร้อมหน้า ต่างจักได้ชื่นบาน ได้เหนอุปการของท่านจับเผล็ดผล นี้ก็เปนจริงอย่างนั้น ตั้งแต่ปีน่าท่านก็จับล่วงลับไปตามกัน ฯ

ในปีนั้น เราได้รับเกียรติยศ โปรดให้ถวายเทศนาทานมัยในการพระราชกุศลออกพรรษาประจำปี ที่ประจวบกับพระราชกุศลในวันประสุตของทูนกระหม่อม เปนเทศนาบันดาศักดิ์ พระราชาคณะผู้ใหญ่เปนผู้ถวาย ฯ

ในเวลาที่เรากำลังเรียนปริยัติธรรมอยู่นั้น คุณยายแม่บอกให้พระไตรปิฎกสำรับใหญ่จบหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนเท่าหนังสือหลวง ในหอพระมนเทียรธรรม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อันท่านสร้างไว้เมื่อครั้งรัชกาลที่สาม ครั้งเปนเจ้าจอมมารดาตัวโปรด ได้อาศัยพระบรมราชูปถัมภ์ในพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้กรมราชบัณฑิตจัดสร้าง ท่านเปนผู้ออกทรัพย์ ฯ หนังสือนี้สร้างเสร็จแล้ว ฝากไว้ที่หอมนเทียรธรรมจนตลอดรัชกาลที่ ๓ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ ย้ายเอาไปฝากไว้ณะวัดกัลยาณมิตร สำหรับพระยืมไปเล่าเรียน ถวายขาดก็มีบ้าง ฯ ได้ยินว่า พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เทียบที่สมเดจพระพุฒาจารย์ (ปาน) ผู้ที่ท่านอุปการให้ได้อุปสมบท ครั้งยังเปนพระพินิตพินัยอยู่วัดมหรรณพาราม แนะนำท่านเพื่อยกให้เราเสีย จะได้เปนเครื่องมือแห่งการเล่าเรียน แลหนังสือจะได้ใม่กระจัดกระจาย ท่านเหนชอบตามคำพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ จึงบอกยกให้เรา แลให้ไปรับเอามาจากวัดกัลยาณมิตร ฯ นี้เปนโชคของเราในอันจะรู้ปริยัติธรรมกว้างขวาง พระผู้เรียนแม้แปลได้อ่านเข้าใจแล้ว ผู้มีหนังสือน้อย ย่อมติดขัดในการสอบคำที่ชักเอามากล่าวจากคัมภีร์อื่น ถ้าใม่มีเลย เรียนแต่หนังสืออันเปนหลักสูตรเท่านั้นแล้ว ถึงคำที่อ้างมาจากคัมภีร์อื่น รู้ได้เท่าที่กล่าวตามคำบอกหรืออธิบายของอาจารย์ คำนั้นเดิมใครกล่าวใม่รู้ด้วยตนเอง ต้องจำคำอาจารย์บอก เปรียบเหมือนแลเหนรูปถ่ายสถานที่เราใม่เคยไป เท่าที่เงาติด จะนึกกว้างขวางออกไปอย่างไรใม่ถูกเลย ได้เคยพบที่มาเดิมแล้ว หรือค้นพบทีหลัง อาจเข้าใจได้ชัดเจน เหมือนแลเหนรูปถ่ายแห่งสถานที่เราเคยไปมาแล้ว แลเหนปรุโปร่งแลนึกติดต่อได้ตลอดไป ด้วยเหตุนี้แล พระบาเรียนโดยมาก จึงมีความรู้ใม่กว้างขวาง ยิ่งเรียนกรอกม่อพอได้ประโยคเปนบาเรียนเท่านั้นแล้ว ยิ่งรู้แคบเต็มประดา เจ้าคุณพรหมมุนี แม้ได้ชื่อว่าแปลหนังสือดี ก็ยังขัดด้วยหนังสือเปนเครื่องมือสำหรับสอบโดยมาก ได้พระไตรปิฎกจบใหญ่มา ท่านพลอยยินดีด้วยเรา ฯ เราขอบคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เทียบที่สมเดจพระพุฒาจารย์ (ปาน) ไว้ในที่นี้ด้วย ฯ ท่านผู้นี้เปนพระมีอัธยาศัยเย็น ใม่ถือเรา ถือเขา ใม่มีฤศยา แต่ได้รับอบรมมาในอย่างเก่า จึงมีความรู้ความเข้าใจแคบ อย่างไรก็ยังเปนที่น่านับถืออยู่ เราได้เคยพบพระดีเช่นนี้มีอยู่ในมหานิกาย เราจึงใม่ดูหมิ่นมหานิกายเสียทั้งนั้น เหมือนพระธรรมยุตโดยมาก ฯ พระไตรปิฎกสำรับนี้ ตรวจตามบาญชีของหอพระมนเทียรธรรมขาดบ้าง คงเปนเพราะกระจัดกระจายดุจพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ปรารภ ฯ

ในการที่เราเข้าแปลหนังสือ สอบความรู้ปริยัติธรรมนั้น จัดไว้แต่ต้นว่า จะให้แปล ๕ ประโยคเท่าทูนกระหม่อม ท่านทรงแปลอรรถกถาธรรมบทประโยคเดียว นับเปน ๓ ประโยค เราเปนแต่เพียงพระองค์เจ้าให้แปล ๒ ประโยค บั้นต้นประโยค ๑ บั้นปลายประโยค ๑ แล้วจึงแปลมังคลัตถทีปนีบั้นต้นเปนประโยคที่ ๔ สารัตถสังคหะเปนประโยคที่ ๕ แลโปรดให้แปลเปนพิเศษน่าพระที่นั่ง เหมือนครั้งทูนกระหม่อมทรงแปลในรัชกาลที่ ๓ ฯ เราได้ยินว่า ทูนกระหม่อมทรงแปลอรรถกถาธรรมบทวันหนึ่งแล้ว ทรงแปลมังคลัตถทีปนีอิกวันหนึ่ง สมเดจพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) ครั้งยังเปนพระราชาคณะชื่อนั้น นีดนาทาเน้นจะให้ตกเสียจงได้ จนพระบาทสมเดจพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขัดพระราชหฤทัย มีพระราชดำรัสสั่งให้อยุดไว้เพียงเท่านั้น พึ่งได้ยินในคราวนี้เองว่าทูนกระหม่อมทรงแปลประโยคที่ ๕ ด้วย ฯ เหตุไฉนสมเดจพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) จึงกล้าทำอย่างนั้นต่อหน้าพระที่นั่ง แลใม่ปราณีแก่ทูนกระหม่อมฟ้าบ้างเลย แม้จะใม่ช่วย ก็พอให้ได้รับยุกติธรรม ตรงไปตรงมาก็แล้วกัน ฯ ปัญหานี้ ใม่ใช่ที่จะแก้ ขอยกไว้ให้นักตำนานแก้ ในที่นี้ขอกล่าวยืนยันไว้เพียงว่า เปนจริงอย่างนั้น เท่านั้น ฯ เริ่มแปลหนังสือเมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีมเสงตรีสก จุลศักราช ๑๒๔๓ ตรงวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๔ เวลาเช้าไปจับประโยคที่วัดราชประดิษฐ สมเดจพระสังฆราชเปนผู้เปิด ฯ ธรรมเนียมเปิดประโยคเดิม พระราชาคณะบาเรียนผลัดเวรกันเปิดวันละรูป เปิดเกินจำนวนผู้แปลไว้ ๑ ประโยค โดยปกติ แปลวันละ ๔ รูป ประโยคเปิดวันละ ๕ กะแล้วว่าจะให้แปลอไร ปิดหนังสือวางคว่ำไว้ใม่ให้เหนว่าผูกอไร ให้ผู้แปลเข้าไปจับเอาทีละรูป จับได้ประโยคใด แปลประโยคนั้น ฯ ตามน่าที่ ท่านผู้เปิดอาจเปิดได้ตามใจ แต่จะเปิดให้ง่ายเกินไป ก็ใม่ได้อยู่เอง คงถูกติเตียน หรือแม้ถูกอธิบดีค้าน เมื่อเปิดประโยคที่งามหรือยาก อาจารย์ของผู้แปลย่อมดักถูก ถึงตั้งเกณฑ์ลงเปนประโยคซ้อมได้ เมื่อใม่มีทางจะเปิดให้ลอดไป ตกลงเปนประโยคใดเคยออกมาแล้ว ท่านผู้เปิดก็เปิดประโยคนั้นออกอิก แต่ประโยคชั้นต่ำก็มีมากพอว่า ซ้อมเพียงเท่าจำนวนที่ออก ก็พอจะเปนผู้รู้หนังสือเพียงชั้นนั้นได้ นอกจากนี้ ได้ยินว่า ยังมีทางที่ท่านผู้เปิดจะช่วยหรือจะแกล้งก็ได้ ถ้าจะช่วยก็เปิดประโยคที่เพลา แลทำสัญญาให้เหนในเวลาวาง ถ้าจะแกล้งก็เปิดประโยคที่ยุ่งหรือที่ยาก ฯ ครั้นมาถึงยุคเสดจพระอุปัชฌายะทรงเปนอธิบดี ทรงจัดประโยคที่จะออกให้แปลเขียนเปนฉลากเข้าซองผนึกไว้ครบจำนวนที่จะออกได้ จัดลงในหีบตามชั้นให้ผู้จะแปลจับเอา มอบให้เปนน่าที่ของสมเดจพระสังฆราช เปนผู้อำนวยให้จับ พระราชาคณะบาเรียนผู้เคยออกประโยค กลายมาเปนผู้เปิดหนังสือมอบให้ผู้แปลไป ธรรมเนียมนี้ ยังใช้มาจนถึงยุคเราเปนอธิบดี ฯ ธรรมเนียมเดิมให้แปล ๓ ลาน ยุคเสดจพระอุปัชฌายะลดลงเพียง ๒ ลาน ฯ ครั้งเราแปล สมเดจพระสังฆราชเปิดประโยคไว้ ๕ โดยธรรมเนียมเก่า วันแรกเราจับได้ธัมมปทัฏฐกถา บั้นต้น ผูก ๒๐ “อตฺตาหเวติ ฯ เป ฯ ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตนฺติ” ที่ว่าด้วยชำนะตนดีกว่าชำนะคนอื่น ฯ ประโยคนี้ ค่อนข้างยาก แปลได้เปนชื่อเสียง แต่มียุ่งบางแห่ง เพราะท่านผู้รจนาเขียนพลั้งไว้แต่เดิม เราใม่อยากถูก เกรงท่านผู้สอบจะใม่ได้สนใจไว้ อยากถูกประโยคที่ยากแต่ใม่ยุ่ง เมื่อถูกแล้วจำต้องแปล ฯ รับหนังสือแล้ว เข้าไปพักดูอยู่ที่ทิมดาบกรมวัง เวลาบ่ายเสดจออกแล้วจึงเข้าไปแปล ที่พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร ห้องเขียว ประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ ๑๐ รูป มีเสดจพระอุปัชฌายะเปนประธาน ท่านผู้เกี่ยวข้องกับเรา เจ้านายในรัชกาลเดียวกัน ทั้งฝ่ายน่าทั้งฝ่ายใน แลข้าทูนลอองธุลีพระบาท ผู้เปนข้าหลวงเดิมของทูนกระหม่อม สมเดจพระสังฆราชเปนผู้สอบที่เรียกว่าผู้ทัก คือทักพากย์หรือศัพท์ที่แปลผิด สมเดจพระวันรัต (พุทธสิริ) ช่วยทักบ้าง ไปวุ่นอยู่ตรงคำเกินนั้นเอง เพราะท่านใม่ได้สนใจไว้ตามคาด แต่วิสัยคนเข้าใจความ ก็อาจคาดได้ว่าท่านจะต้องการให้แปลอย่างไร ผลอย่างสูงที่ได้เพราะการเรียนโดยวิธีอย่างนี้ คือหัดรู้จักคาดน้ำใจอาจารย์แลผู้สอบ ฯ ธรรมเนียมเดิมกำหนดเวลาให้แปลอย่างหลวม แปลวันละ ๔ รูป เริ่มบ่าย ๒ โมงหรือเมื่อไรใม่แน่ พอค่ำมืดใม่แลเหนหนังสือ จุดเทียนที่มีกำหนดน้ำหนักขี้ผึ้งว่าเล่มละ ๑ บาทหรือเท่าไร ผู้แปลผลัดกันแปล ติดออกแก้ เทียนดับ ยังแปลใม่จบประโยคเปนตก รูปที่แปลจบไปก่อน เปนได้ ยุคเสดจพระอุปัชฌายะเปนอธิบดี ใช้เวลานาฬิกาคราวก่อนน่าเราแปล ประโยคธัมมปทัฏฐกถาให้เวลา ๑ ชั่วโมงครึ่ง ประโยคตั้งแต่ ๔ ขึ้นไป ให้เวลา ๒ ชั่วโมง ใช้ต่อมาจนถึงยุคเราเปนอธิบดี เปนแต่ย่นเวลาประโยคสูง ลงเสมอกันกับประโยคธัมมปทัฏฐกถา แลพึ่งเลิกใช้เวลาเมื่อใม่สู้ช้า เพราะแก้วิธีแปล ใม่ให้ออกแก้ ให้แปลไปจนตลอดประโยค ถูกผิดชั่ง ใช้ตัดสินกันเอา จะให้เปนได้หรือตก ฯ ในคราวเราแปลใม่ได้กำหนดเวลาให้แปล วันแรกแปลจบประโยคเวลาเท่าไร หารู้ใม่ รู้อย่างนั้น จึงขอเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร ครั้งยังเปนพระวุฒิการบดี เจ้ากรมสังฆการีแลธรรมการ หรือผู้อื่นจำใม่ได้แน่ ให้ช่วยสังเกตเวลาไว้ให้ด้วย ฯ ครั้งก่อนน่าเราแปล ธัมมปทัฏฐกถา ต้องแปลให้ได้ ๓ ประโยคจึงเปนอันได้ ตกประโยคเหนือ แม้ประโยคล่างได้แล้ว ก็พลอยตกไปตามกัน พึ่งยอมให้พักประโยคได้เมื่อจัดให้มีการสอบทุกปี แทน ๓ ปีต่อหน ครั้งเราเปนแม่กองแล้ว ฝ่ายเราก็เหนจะต้องแปลได้ทั้ง ๒ ประโยค จึงเปนอันได้ ฯ วันที่ ๒ จับได้ประโยค ธัมมปทัฏฐกถาบั้นปลาย ผูก ๑๐ “กายปฺปโกปนฺติ ฯ เป ฯ หราหิ นนฺติ” ที่แก้ด้วยให้รวังความกำเริบแห่งไตรทวาร แปลจบประโยคเวลาล่วง ๒๙ นาฑี ฯ ต่อนี้พัก ๓ วัน เพราะวันพระเหลื่อมแลน่าวันพระหรือเพราะเหตุอย่างอื่น หาได้จดไว้ใม่ แปลต่อเปนวันที่ ๓ เมื่อวันศุกร เดือนยี่ ขึ้น ๑๐ ค่ำ จับได้ประโยคมังคลัตถทีปนีบั้นต้น ผูก ๕ “อิติ พหุสฺสุตสฺส พาหุสจฺจํ ฯ เป ฯ ทฏฺฐพฺพตํ” ที่แก้ด้วยบุทคลผู้เปนพหุสุตรู้จักรักษาตนให้บริสุทธ์ เวลาล่วง ๔๐ นาฑี ฯ วันที่ ๔ จับได้ประโยคสารัตถสังคหะ ผูก ๙ “ทายกา ปน ฯ เป ฯ วินยฏีกายํ วุตฺตํ” ที่แก้ด้วยทายกสามจำพวก เปนเจ้าแห่งทานก็มี เปนสหายแห่งทานก็มี เปนทาสแห่งทานก็มี เวลาล่วง ๓๕ นาฑี ฯประโยคที่จับได้ ๓ วันหลังง่ายเกินไป แปลได้ก็เหนใม่เปนเกียรติ ใม่ต้องการเหมือนกัน ตกลงว่าจับได้ประโยคใม่เปนที่พอใจเลยสักวัน ฯ ถ้าเราเปนผู้เปิดประโยคให้ผู้อื่นเช่นเราแปล วันแรกเราจักเปิดประโยคง่าย ฟังความรู้ผู้แปลดูที ถ้ามีความรู้อ่อน จักเปิดเสมอนั้นต่อไป ถ้ามีความรู้แขง จักเปิดประโยคแขงขึ้นไป พอสมแก่ความรู้ เพื่อจะได้เปนชื่อเสียงของผู้แปล แต่เราจับได้ประโยคตรงกันข้าม ท่านยังใม่ทราบความรู้ของเรา จับได้ประโยคยาก ครั้นท่านทราบความรู้ของเราแล้ว กลับจับได้ประโยคง่ายดาย ฯ​ แม้อย่างนั้นก็ยังได้รับสรรเสิญของพระราชาคณะ ผู้สอบผู้ฟังว่าแปลหนังสือแขง แลนับถือความรู้เราต่อมา เหตุอย่างไรท่านจึงชม คงเพราะท่านเหนรู้จักวิธีแปลแลขบวรแก้ ใม่ถลากไถลดุจเราได้พบในภายหลังโดยมาก กระมัง แต่พื้นประโยคใม่น่าได้ชมเลย ฯ ในวันที่สุด ได้รับพระราชทานรางวัลส่วนตัว พระราชหัตถเลขาทรงปวารณาด้วย กัปปิยภัญฑ์ราคา ๘๐๐ บาท ไตรแพรอย่างดี ๑ สำรับ ย่ามเยียรบับ ๑ ใบ กับตรัสสั่งเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงให้รื้อโรงพิมพ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างกุฎีขึ้นใหม่ เปนที่อยู่ของเรา ส่วนเจ้าคุณพรหมมุนี ไตรแพรสามัญ ๑ สำรับ ย่ามโหมดเทศ ๑ ใบ ทรงมอบเรามาพระราชทาน ในกาลติดต่อมาทรงตั้งเปนพระราชาคณะโดยนามว่าพระกิตติสารมุนี แต่จะว่าเพราะเราแปลหนังสือได้เปนบาเรียนก็ใม่เชิง เพราะทรงตั้งพร้อมกับรูปอื่น ผู้มีประโยคต่ำกว่าท่าน พระปริยัติธรรมธาดา (ชัง) ควรจะได้รับพระราชทานบำเหน็จด้วย แต่ใม่ทรงทราบว่าแกก็สอนด้วยกระมัง หรือจะเข้าพระราชหฤทัยว่าขาดตอนไปแล้ว เหมือนพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) ก็เปนได้ ฯ เราแปลหนังสือได้เปนบาเรียนครั้งนั้น อาจารย์ผู้สอนยังมีตัวอยู่ ได้อนุโมทนาทุกท่าน ฯ ครั้งนั้น ในประเทศเรา มีการสอบความรู้เฉพาะปริยัติธรรมอย่างเดียว แลมีมาหลายชั่วอายุ ครั้งกรุงเก่ายังตั้งเปนพระนครหลวง บาเรียนได้มีมาแล้ว ฯ ตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มา เจ้านายแปลปริยัติธรรม ได้เปนบาเรียนก่อนน่าเรา ตามที่นับได้ ทูนกระหม่อมเปนที่ ๑ หม่อมเจ้าอิก ๘ องค์ ใม่ได้จำลำดับไว้ เรียงตามคเน หม่อมเจ้าพระญาณวราภรณ์ (รอง) ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๑ กรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ ๘ ประโยค หม่อมเจ้าโศภน ในสมเดจพระประพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ๓ ประโยค หม่อมเจ้าสมเดจพระพุฒาจารย์ (ทัด) ในพระวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีบริรักษ์ ๗ ประโยค ๓ องค์นี้แปลในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าเนตร ในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ชั้น ๒ พระองค์เจ้าเสือ ๕ ประโยค หรือ ๗ ประโยค จำใม่ถนัด หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิสธาดา (ศรีขเรศ) ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์ ๔ ประโยค กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ ในสมเดจพระเจ้าไปยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ๘ ประโยค พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๓ กรมหมื่นภูมินทรภักดี ๕ ประโยค ๔ องค์นี้แปลในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าประภากร ในสมเดจพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ๕ ประโยค องค์นี้ในรัชกาลที่ ๕ เราเปนที่ ๑๐ ในจำนวนนี้มีชั้นลูกหลวงเพียงทูนกระหม่อมกับเราเท่านั้น ท่านพระองค์อื่นหาได้ทรงแปลใม่ ฯ

เสร็จการแปลหนังสือแล้ว กราบลาเจ้าคุณอาจารย์กลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเตรียมการรับกรม กลับมาในมกราคมนั้นเอง เวลาลากลับ เราปราถนาจะแสดงความคิดถึงอุปการะของเจ้าคุณอาจารย์ที่ท่านได้มีแก่เราอย่างไร แต่เห็นท่านจ๋อยมากสักหน่อยจะเพิ่มความกำสรดเข้าอิก แลเราบางทีก็จะทนใม่ได้เหมือนกัน จึงมิได้รำพันถึง ฯ ในรวางเราแปลหนังสือ เจ้าคุณอาจารย์จับอาพาธเปนบุราณโรค เรานึกหนักใจอยู่ แต่ยังไปไหนได้ แลยังมาส่งเราที่วัดบวรนิเวศวิหารได้ จึงใม่เปนโอกาศที่จะอยู่ต่อไปแลผัดการรับกรมไปข้างน่า ทั้งจะต้องรับก่อนการฉลองพระนคร อันจะมีในพฤษภาคมด้วย ฯ คราวนี้เสดจพระอุปัชฌายะโปรดให้อยู่ที่พระปั้นหย่า พระตำหนักที่บันธมของทูนกระหม่อม เจ้านายที่ได้อยู่พระปั้นหย่านั้น ชั้นสมเดจเจ้าฟ้า พระองค์เจ้ามีมาก่อน แต่กรมหลวงพิชิตปรีชากรครั้งทรงผนวชเปนสามเณรพระองค์เดียว ได้ยินว่า ทูนกระหม่อมทรงขอให้ได้เสดจอยู่ เมื่อทรงผนวชพระก็หาได้เสดจอยู่ใม่ ฯ กุฎีที่ตรัสสั่งให้เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงสร้างท่านแฉะเสียเราก็ใม่เตือน อยู่พระปั้นหย่าก็ดีแล้ว ทั้งต่อมาเรายังเทียวไปวัดมกุฎกษัตริย์อยู่อิก ภายหลังมีธุระมากขึ้น จึงเข้าจองโรงพิมพ์เปนสำนักงารอิกหลังหนึ่ง เหมือนครั้งทูนกระหม่อม ฯ

สรูปประโยชน์ที่ได้รับเพราะไปอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ ดังนี้

๑. ได้รู้ความเปนไปของคณะธรรมยุตกว้างขวางออกไปฯ

๒. ได้รับอุปถัมภ์ของเจ้าคุณอาจารย์เปนทางตั้งตัวเปนหลักต่อไปข้างน่า ฯ

๓. ได้ความรู้มคธภาษาดีขึ้น ฯ

๔. ได้ช่องเพื่อจะเข้าสนิทกับสำนักวัดโสมนัสวิหาร ฯ

๕. บันเทาความตื่นเต้นในธรรมลงได้ หรือพูดอิกโวหารหนึ่งว่า ทำตนให้เข้าทางที่ควรจะเปนได้ ฯ

อนึ่งที่วัดมกุฎกษัตริย์ มีสำนักพูดธรรมะ พระจันโทปมคุณเปนเจ้าสำนัก ได้รู้นิสสัยของพวกนี้ ว่าเปนอย่างไร ฯ

ถ้าเราจักใม่ได้ไปอยู่วัดมกุฎกษัตริย์แล้วไซ้ เราจักบกพร่องมากทีเดียว หากจะได้ขึ้นเปนหัวหน้าของคณะ ก็คงเปนหัวหน้าผู้ใม่แขงแรง เปนวาสนาของเราอยู่ที่น้อมความเลื่อมใสไปในเจ้าคุณอาจารย์แล้วแลไปอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ ฯ



บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 10 มีนาคม 2568 16:31:30 »




๗. สมัยทรงรับสมณศักดิ์

พระองค์เจ้าเช่นเรา แรกทรงกรม เปนกรมหมื่นก่อน เว้นบางพระองค์ ผู้รับเมื่อพระชนมายุมากแล้ว เปนกรมหลวงบ้าง เปนกรมขุนบ้างทีเดียว ฯ เจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าแรกรับสมณศักดิ์เปนพระราชาคณะ ทรงถือพัดยศเปนพิเศษ ทรงตำแหน่งต่างๆ ตามคราวมา ฯ ในรัชกาลที่ ๒ สมเดจพระมหาสมณะ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ดูเหมือนทรงรับสมณศักดิ์ เป้นพระราชาคณะครองวัดพระเชตุพน แทนสมเดจพระวันรัตพระอาจารย์มาก่อนแล้ว จึงทรงกรมเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรสศรีสุคตขัตติยวงศ์ ทรงถือพัดยศอย่างไรหาทราบใม่ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงบัญชาการคณะกลาง ในรัชกาลที่ ๔ ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษกเปนประธานแห่งสงฆมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ทรงถือพัดแฉกพื้นตาดเหลืองสลับขาว ฯ ทูนกระหม่อมใม่ได้ทรงกรม เปนแต่พระราชาคณะในรัชกาลที่ ๓ ทรงถือพัดแฉกพื้นตาด เราเหนเมื่อเสดจพระอุปัชฌายะทรงถือต่อมาดูเหมือนตาดเหลือง เดิมใม่ได้ครองวัด ภายหลังครองวัดบวรนิเวศวิหาร ตามเสดจพระอุปัชฌายะทรงเล่า เดิมดูเหมือนใม่ได้เทียบชั้น ภายหลังทรงขอพระราชทานตั้งฐานานุกรมชั้นนั้นบ้างชั้นนี้บ้าง เปนอันเทียบชั้นเข้าได้ ตั้งแต่ชั้นธรรมขึ้นมา เมื่อครั้งลาผนวชเทียบชั้นเจ้าคณะรอง ฯ พระองค์เจ้าอำไพ ในรัชกาลที่ ๒ ใม่ได้ทรงกรม เปนแต่พระราชาคณะ ในรัชกาลที่ ๓ เสดจพระอุปัชฌายะทรงเล่าว่า ทรงถือพัดงาใบอย่างพัดด้ามจิ้ว เปนฝ่ายพระสมถะครองวัดอรุณราชวราราม ฯ เสดจพระอุปัชฌายะ ครั้งรัชกาลที่ ๓ ทรงเปนพระราชาคณะ ทรงถือพัดแฉกถมปัด ใม่ได้ทรงครองวัด ครั้งรัชกาลที่ ๔ จึงได้ทรงกรม เปนกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงถือพัดแฉกพื้นตาด ที่ทูนกระหม่อมทรงมาเดิม แลทรงถือพัดแฉกงาเปนพิเศษ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เปนเจ้าคณะธรรมยุตติกนิกาย เมื่อครั้งเรารับกรมแลสมณศักดิ์ ยังใม่ได้ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษก เปนแต่เลื่อนกรมเปนกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ ฯ พระองค์เจ้าประถมวงศ์ ในกรมพระราชวังหลัง หาได้ทรงสมณศักดิ์ใม่ ฯ หม่อมเจ้าแรกเปนพระราชาคณะ ถือพัดยศ สุดแต่จะได้รับพระราชทาน แฉกถมปัดบ้างก็มี แฉกพื้นแพรปักก็มี แฉกพื้นโหมดสลับตาดก็มี แฉกพื้นตาดสีก็มี พัดงาใบพัดด้ามจิ้วก็มี ในเวลาเรารับสมณศักดิ์หม่อมเจ้าพระราชาคณะ มีตำแหน่งเพียงชั้นเจ้าอาวาสยังใม่ได้เปนเจ้าคณะ ฯ ท่านผู้เปนพระราชาคณะก่อนเรา ๖ องค์ คือ หม่อมเจ้าพระศีลวราลังการ (สอน) ในสมเดจเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ครองวัดชนะสงคราม ถึงชีพิตักษัยก่อนเราบวช ๑ หม่อมเจ้าพระญาณวราภรณ์ (รอง) ในกรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ ครองวัดบพิตรพิมุข ถึงชีพิตักษัยก่อนเราบวช ๑ หม่อมเจ้าพระสังวรวรประสาธน์ (เล็ก) ในกรมหมื่นนราเทเวศ วังหลัง ครองวัดอมรินทราราม ๑ หม่อมเจ้าพระสมเดจพระพุฒาจารย์ (ทัด) ในกรมหลวงเสนีบริรักษ์ วังหลัง ครั้งนั้นยังเปนหม่อมเจ้าพระพุทธุบบาทปิลันธน์ ครองวัดระฆังโฆษิตาราม ๑ หม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิสธาดา (สีขเรศ) ในกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ อยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร ครั้งยังเปนหม่อมเจ้าสมญานั้น ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี ครองวัดราชบพิตร ๑ ฯ เราโปรดให้เปนกรมหมื่น มีสมณศักดิ์เปนพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองแห่งคณะธรรมยุตติกนิกาย ฯ อนึ่งในคราวที่เราจะรับกรมแลสมณศักด์นั้น จะทรงตั้งหม่อมเจ้าพระประภากรบาเรียน ๕ ประโยค ในสมเดจเจ้าฟ้ากรมกระยาบำราบปรปักษ์ เปนพระราชาคณะด้วย ฯ วันเวลารับกรมในครั้งนั้น เปนธุระของเจ้างารจะกำหนดถวาย ทรงอนุมัติแล้วเปนใช้ได้ ฯ ส่วนวันเวลาที่เราจะรับกรม เสดจพระอุปัชฌายะน่าจะทรงกำหนดประทาน แต่ตรัสสั่งให้เราไปทูลขอสมเดจเจ้าฟ้าพระยาบำราบปรปักษ์ ท่านทรงกำหนดพ้องวันแต่เหลื่อมเวลากับฤกษ์จุดเทียนชัยพระราชพิธีตรุษ ตกในวันพฤหัสบดี เดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมเสงตรีศก จุลศักราช ๑๒๔๓ ตรงวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๒๔ เวลาเช้า ๔ โมง เศษเท่าไรจำใม่ได้ บางทีเสดจพระอุปัชฌายะจะทรงต้องการวันนั้น แต่พ้องพระราชพิธีตรุษ ใม่อาจทรงกำหนดลง จึงตรัสให้ไปทูลขอสมเดจเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ฝ่ายท่านข้างโน้นจะกำหนดวันอื่นก็เสียภูมินักรู้ในทางพยากรณศาสตร์ จึงกำหนดลงในวันนั้นกระมัง เมื่อท่านทรงจัดมาในทางราชการเช่นนั้น ก็จำต้องรับในวันนั้น แต่เราใม่พอใจเลย เราใม่ถือฤกษ์ชอบแต่ความสดวก ทำงารออกหน้าทั้งที มาพ้องกับพิธีหลวงเข้าเช่นนั้น จะนิมนต์พระก็ใม่ได้ตามปราถนา ผู้มีแก่ใจจะมาช่วยก็ใม่ถนัด ตกลงต้องจัดงารให้เข้ารูปนั้น วันสวดมนต์จะนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ ก็คงให้พระมาแทนทั้งนั้น พอเหมาะที่เสดจพระอุปัชฌายะประทานผ้าไตรแลเครื่องบริกขาร ๑๐ สำรับ เพื่อถวายพระสวดมนต์ ยายเตรียมไว้ให้เราแล้ว จึงจัดพระสวดมนต์ขึ้นอีกสำรับหนึ่ง นิมนต์ตามชอบใจ เลือกเอาพระศิษย์หลวงเดิมของทูนกระหม่อมที่เปนชั้นผู้น้อย รุ่งขึ้นเลี้ยงแต่เช้า ถวายบริกขารแล้ว เปิดให้กลับไป นิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่นั่งเฉพาะในเวลารับกรมอิก ๑๐ รูป แล้วเลี้ยงเพล ฯ ก่อนน่าวันรับกรม มีทำบุญที่พระปั้นหย่าโดยฐานขึ้นตำหนัก วันหนึ่ง ฯ ในการรับกรม ตั้งพระแท่นมณฑลในพระอุโบสถน่าที่บูชาสำหรับวัดออกมา หาได้ผูกพระแสงต่าง ๆ ที่เสาใม่ ประดิษฐานพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ ๔ เชิญพระสุพรรณบัฎที่จารึกไว้ก่อนแล้วมาตั้งบนนั้นด้วย วันสวดมนต์ล้นเกล้า ฯ เสดจมาช่วยเปนส่วนพระองค์ด้วย วันสรงแลรับพระสุพรรณบัฎ พอจุดเทียนชัยข้างพระราชพิธีตรุษแล้ว โปรดให้เอารถหลวงรับพระราชาคณะผู้ใหญ่มาส่งที่วัดล่วงน่า แล้วเสดจพระราชดำเนิรมาวัด ทรงเครื่องนมัสการแล้วทรงประเคนไตรแพร ตามแบบควรจะเปนไตรพิเศษ เราก็ได้เคยรับพระราชทาน เมื่อครั้งแปลหนังสือเปนบาเรียน แต่ครั้งนี้เปนไตรเกณฑ์จ่าย ออกมาผลัดผ้าครองสบงแลอังสะ ขึ้นพระแท่นสรงแต่เราองค์เดียว เราสรงก่อน มีประโคม แล้วล้นเกล้า ฯ พระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยพระเต้าแลพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร ทรงรดเพียงที่ไหล่ ต่อนั้น พระสงฆ์พระบรมวงศ์แลเสนาบดีรดหรือถวายน้ำโดยลำดับ ฝ่ายพระ เสดจพระอุปัชฌายะสมเดจพระวันรัต สมเดจพระสังฆราช แลเจ้าคุณพรหมมุนีแทนเจ้าคุณอาจารย์ผู้กำลังอาพาธ พระบรมวงศ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสดจอาว์แลเจ้าพี่ฝ่ายน่าทุกพระองค์ บันดาที่เสดจมาในเวลานั้น เสนาบดีทุกท่านบันดามา สมเดจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ อยู่ที่เมืองราชบุรี หาได้มาใม่ แต่เมื่อบวชได้ไปถวายบริกขารที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เราสรงแล้วครองไตรใหม่มานั่งบนอาสน์สงฆ์ในพระอุโบสถ หม่อมเจ้าประภากรก็เหมือนกัน ชุมนุมพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูนลอองธุลีพระบาท โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) เจ้ากรมพระอาลักษณ์อ่านประกาศดำเนิรกระแสพระบรมราชโองการทรงสถาปนาเราเปนกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ท้าวความถึงเราได้รับราชการมาอย่างไร ทรงเหนความดีแลความสามารถของเราอย่างไร ถ้าอยู่ทำราชการ จะเปนเหตุให้วางพระราชหฤทัยได้ ปรารภถึงพระราชปฏิญญาที่พระราชทานไว้แก่เรา ว่าบวชได้สามพรรษาจะทรงตั้งเปนต่างกรม บัดนี้ก็ถึงกำหนด แม้อายุยังน้อยอยู่ แต่ได้แปลหนังสือเปนบาเรียน ได้ทรงเหนปรีชาสามารถประกอบกับความรู้ทางโลก ทรงหวังพระราชหฤทัยว่า จะเปนหลักในพระพุทธศาสนาต่อไปข้างน่าได้ จึงทรงตั้งเปนพระองค์เจ้าต่างกรมยกย่องขึ้นไว้ในบัดนี้ ครั้นอ่านประกาศจบแล้ว มีประโคม ล้นเกล้า ฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฎ สัญญาบัตรตั้งเจ้ากรมปลัดกรม สมุหบาญชีไป ๑ สัญญาบัตรตั้งฐานานุกรม ๘ รูป ๑ สัญญาบัตรพระครูปลัด ๑ พัดแฉกพื้นตาดขาวสลับเหลือง มีตราพระมหามงกุฎเปนใจกลาง หมายรัชกาล เทียบหีบหมากเสวยลงยาราชาวดีเครื่องยศเจ้านาย ยอดเปนพระเกี้ยวยอด พัดรองตราพระเกี้ยวยอดด้ามงา สำหรับพระราชาคณะ ๑ บาตรถุงเข็มขาบฝาเชิงประดับดับมุก ๑ ย่ามหักทองขวาง ๑ ย่ามเยียรบับ ๑ เครื่องยศถมปัดสำรับใหญ่ ๑ สำรับ พระราชทานสัญญาบัตรทรงตั้งหม่อมเจ้าพระประภากร เปนหม่อมเจ้าพระราชาคณะ มีสมญาขึ้นต้นอย่างนั้นแต่มีสร้อยว่า หม่อมเจ้าพระประภากรบวรวิสุทธิวงศ์ ได้รับพระราชทานพัดแฉกพื้นตาดสี มีตราครุฑประจำรัชกาลที่ ๒ เปนใจกลาง แลเครื่องยศสำหรับพระราชาคณะ ต่างกรมใหม่ผู้เปนคฤหัสถ์ทูลเกล้า ฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแลต้นไม้ทองเงินแด่ในหลวงแลกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่เจ้านายผู้เจริญพระชนมายุกว่า แต่ต่างกรมพระใม่ได้ถวายอย่างนั้น เรายักถวายเปนชิ้นสำหรับประดับดอกไม้ตั้งกลางโต๊ะที่ถวายล้นเกล้า ฯ ทรงจบพระหัตถ์บูชาพระพุทธชินสีห เจ้านายถวายแต่ของแจก ครั้งนั้นยังแจกของมีราคามาก แจกตามชั้น พอเสร็จพิธีรับกรมก็พอเพล ล้นเกล้า ฯ ทรงประเคนสำรับเจ้าภาพ แลเสดจประทับอยู่ตลอดเวลาพระฉันแลอนุโมทนาธรรมเนียมรับกรมที่อื่น เลี้ยงพระเสียก่อน เปนแต่อนุโมทนาน่าพระที่นั่ง เสดจกลับแล้ว มีเวียนเทียนสมโภชพระสุพรรณบัฎแล้วเปนเสร็จการ ฯ​ ต่อมาอิกวันหนึ่ง มีทำบุญพระบรมอัฐิทุกรัชกาล ตามรับสั่งแนะนำของเสดจพระอุปัชฌายะ มีเลี้ยงพระ เทศนาแลสดัปกรณ์ ฯ เราพอใจจะบ่นถึงฤกษ์รับกรมเพิ่มอิก นอกจากใม่สดวกดังกล่าวแล้ว ผเอิญเมื่อวันสวดมนต์ เจ้าคุณอาจารย์ผู้อาพาธเสาะแสะมานั้น อาพาธเปนธาตุเสียท้องร่วง มาในงารใม่ได้ ใม่ได้รดน้ำในเวลาสรง แลใม่ได้อยู่ในเวลาตั้ง ขาดท่านผู้สำคัญไปรูปหนึ่ง เมื่อวันรับกรม ยายผู้มาดูการโรงครัวอยู่น่าวัด เจ็บเปนลม แต่เดชะบุญ เปนเมื่อรับเสร็จแลเสดจกลับแล้ว ถ้าเลือกวันรุกเข้ามาจากนั้น แม้ดีใม่ถึงวันนั้น เจ้าคุณอาจารย์คงจักมาได้ ได้อาจารย์มาเข้าในพิธี เราถือว่าเปนมงคลกว่าทำในวันฤกษ์งาม แต่ขาดท่านผู้สำคัญไปอย่างนี้ ฝ่ายยายนั้นเปนลมเพราะทำธุระมากกระมัง เลื่อนวันเข้ามาจักคุ้มได้หรือใม่ หารู้ใม่ฯ

เราเปนกรม ในครั้งนั้น เปนที่ถูกใจของคนทุกเหล่า ในฝ่ายพระวงศ์ตั้งแต่ล้นเกล้า ฯ ลงมา ในฝ่ายพระสงฆ์ตั้งแต่เสดจพระอุปัชฌายะลงมา แลพวกข้าราชการตลอดถึงคนสามัญ ต่างเรียกเรา ด้วยใม่ได้นัดหมาย แต่มาร่วมกันเข้าว่า “กรมหมื่น” หาได้ออกชื่อใม่ เจ้าพี่เปนกรมหมื่นก็มี แต่หาได้เรียกอย่างนี้ใม่ ภายหลังรู้ว่า กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ ครั้งรัชกาลที่ ๑ เขาก็เรียกกันว่ากรมหมื่น ในเวลาแรกตั้งแต่แผ่นดินใหม่ ต่างกรมเปนกรมหมื่น มีแต่กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์องค์เดียว เขาจึงเรียกว่ากรมหมื่น ใม่ออกพระนาม กระมัง ฯ ในฝ่ายพระ ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ผู้เปนศิษย์หลวงเดิมของทูนกระหม่อม มีความนิยมยินดีในเราโดยมาก สมปราถนาที่ได้เราไว้สืบพระศาสนา ฯ ในพวกท่านผู้นิยมยินดีในเรา นอกจากอุปัชฌายะอาจารย์ สมเดจพระวันรัต (พุทธสิริ) เปนผู้เอาใจใส่ในเราแลเอาเปนธุระแก่เราเปนอันมาก ตั้งแต่ยังใม่ได้เปนต่างกรมมาแล้ว เวลาเราอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ มีการพระราชกุศลในวังที่ได้รับนิมนต์ เรามักเดิรเข้าไป ท่านไปเรือ เวลากลับ ท่านเรียกเราลงเรือของท่าน ให้พายขึ้นน้ำเข้าคลองผดุงกรุงเกษมไปส่งเราที่วัดมกุฎกษัตริย์ก่อน แล้วจึงเลยไปวัดโสมนัสวิหาร โดยปกติท่านเข้าคลองรอบพระนครแลคลองเล็กตรงไปถึงวัดโสมนัสวิหารทีเดียว เปนอย่างนี้เสมอมา ไปพบกันในกิจนิมนต์ ทั้งการหลวงทั้งการราษฎร์ เวลาอยู่ด้วยกันสองรูป ท่านพร่ำสอนการพระศาสนาเนือง ๆ พอมีพระอื่นเข้าไปอยู่ผู้เปนที่สาม เปนเลิก เว้นไว้แต่พระนั้นเปนผู้ที่สนิทสนม เราเข้าใจว่า ท่านเลิกเสียเช่นนั้น เพื่อไว้หน้าเรา ถ้าท่านรู้ว่าเราใม่ผาสุกเมื่อใด เปนหายาส่งมาให้เมื่อนั้น คราวหนึ่ง เราเปนผู้ใหญ่ในคณะแล้ว ท่านอาพาธเปนปลายอัมพาตลิ้นแขงพูดใม่ชัด ถึงลงนอน เราไปเยี่ยมท่านแล้ว กลับออกมาอยู่ที่เฉลียงน่ากุฎี พูดกับพระวัดนั้นผู้ชอบกัน ถึงความยอกขัดของเรา เกิดขึ้นเพราะหมอนวดใม่เปน ชรอยเสียงจะดัง ท่านได้ยินเข้า ทั้งเจ็บมากกว่าเราอย่างนั้น ขวนขวายสั่งพระให้เอาน้ำไพลกับการบูรมาทาให้ รู้สึกความเอื้อเฟื้อของท่านก็จริง แต่รู้สึกอายแก่ใจเหมือนกัน ว่าไปเยี่ยมไข้ท่าน กลับทำให้ท่านกังวลถึงเรา ท่านถนอมเราเปนอย่างยิ่งคล้ายเจ้าคุณอาจารย์ โดยที่สุดบางเวลาเราขุ่น รู้เข้าเลือกธรรมเขียนส่งมาปลอบ เราได้รับเมตตาแลอุปการของท่านอย่างนี้ ได้ถวายตัวเปนศิษย์ ถ้าเราจักได้อยู่ในสำนักของท่านสักพรรษาหนึ่ง จักอาจเชื่อมสองสำนักได้ดีกว่านี้อิก ฯ


----------------------------


ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.62 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 21 มิถุนายน 2568 04:59:21