[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 15:55:03 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หนังสือเรื่อง ท้าวฮุ่งหรือเจือง  (อ่าน 1059 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 05 เมษายน 2568 16:58:06 »



หนังสือเรื่อง
ท้าวฮุ่งหรือเจือง
----------------------------

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายก
พิมพ์เป็นที่ระลึก
ในงานพระราชทานเพลิงศพ
พระศาสนดิลก (ชิตเสโน เสน) พระครูวิโรจน์ (นนฺตโร รอด)
และในงานฌาปนกิจศพ
พระมหารัตน์ รฏฺฐปาโล กับ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล

ที่จังหวัดอุบลราชธานี
๑๐-๑๖ เมษายน ๘๖



คำปรารภ

มูลเหตุอันจะให้พิมพ์หนังสือเจืองขึ้นเป็นเล่มสมุดนั้น มีอยู่สองประการ คือ ประการแรก เนื่องด้วยหนังสือนี้เป็นเรื่องวรรณคดีเก่าแก่ เมื่อสังเกตดูแล้ว นำให้เข้าใจว่าเป็นสำนวนโวหารของไทยโบราณสายลานช้าง แต่จะแต่งขึ้นที่นครหลวงพระบางหรือที่นครเวียงจันท์นั้นไม่แน่ ซึ่งบัดนี้มีต้นฉบับอยู่ในหอพระสมุด และหาทราบไม่ว่าจะได้มาแต่เมื่อไร ครั้นนายสิลา วีระวงส์ เปรียญ ได้พบต้นฉบับเข้า ก็ได้พยายามคัดลอกถ่ายตัวอักษร จากอักษรไทยสายลานช้างมาเป็นอักษรไทยสมัยปัจจุบันนี้ และได้ย่อใจความในเรื่องนี้แล้วนำมาให้ดู เมื่อฉันตรวจดูตลอดแล้ว เห็นเป็นเรื่องมีประโยชน์มากควรจะพิมพ์ขึ้น เพื่อรักษาวรรณคดีของเก่าไว้มิให้สูญเสีย เพราะหนังสือนี้ นอกจากเป็นวรรณคดีแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวแก่ประวัติศาสตร์ไทยโบราณเจืออยู่ด้วย จัดเป็นเรื่องอันจะให้ประโยชน์แก่ผู้สนใจในวรรณคดีและประวัติศาสตร์ไทยโบราณได้ส่วนหนึ่ง ประการสอง เพราะมาประจวบกับมรณกาลแห่งพระศาสนดิลก พระครูวิโรจน์รัตโนบล, พระมหารัตน์ และพระอาจารย์เสาร์ ซึ่งปรารภจะทำฌาปนกิจอยู่แล้ว ท่านทั้งสี่นี้ได้เป็นสหายทำกิจพระศาสนาร่วมกันมาอย่างใกล้ชิด คือ พระศาสนดิลก, พระครูวิโรจน์รัตโนบล พระมหารัตน์, เป็นสหายช่วยจัดการศึกษาและการปกครอง พระอาจารย์เสาร์เป็นสหายช่วยอบรมพลเมืองในทางสมถวิปัสสนา ชักนำให้บรรพชิตและคฤหัสถ์นิยมยินดีในสัมมาปฏิบัติ นับว่าทั้งสี่ท่านได้บำเพ็ญคุณความดีเป็นประโยชน์แก่ชาติศาสนา จนปรากฏเป็นที่เคารพนับถือบูชาของพลเมืองตลอดศิษยานุศิษย์ทั่วไป สมควรที่จะมีวัตถุเป็นชิ้นไว้ให้เป็นเครื่องระลึกถึงและเชิดชูเกียรติคุณของท่านทั้งสี่ไปได้นานๆ เพราะมูลเหตุสองประการดังกล่าวแล้ว จึ่งได้ให้พิมพ์หนังสือเจืองขึ้นเป็นธรรมบรรณาการในงานฌาปนกิจนี้

เมื่อตกลงจะพิมพ์จึงได้ขออนุญาตและคำนำจากกรมศิลปากร ก็ได้รับความอนุเคราะห์ทั้งสองประการ สำหรับคำนำนายยงอนุมานราชธน เสฐียรโกเศศอธิบดีกรมศิลปากรได้เขียนให้พร้อมทั้งวิจารณ์เรื่องไว้อย่างละเอียดลออ ดังมีแจ้งในคำนำนั้นแล้ว จึงขอขอบใจท่านไว้ในที่นี้ด้วย การพิมพ์นั้น เมื่อแรกปรารภได้ตั้งใจจะให้พิมพ์เป็นจำนวนหลายพันเล่ม เพื่อแจกจ่ายทั่วไป แต่เพราะในเวลาจะพิมพ์ เป็นคราวที่กระดาษหายากและราคาสูง ประกอบทั้งหนังสือนี้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย จึงให้พิมพ์ขึ้นโดยจำกัดจำนวนเพียง​พันเล่ม ถ้าจะให้พิมพ์ตามความจำนงเดิม ทุนทรัพย์ก็ไม่เพียงพอ และเมื่อได้พิมพ์เป็นจำนวนน้อยเช่นนี้แล้ว จึงมีมุ่งแจกแต่เฉพาะที่เห็นสมควรพอจะเฉลี่ยถึง เช่น สาขาหอสมุดแห่งชาติ ที่ทำการและบางโรงเรียนเป็นต้น

อนึ่ง ได้ให้นายสิลา วีระวงส์ เปรียญ เป็นผู้ชำระต้นฉบับ ให้นายโสรัจ มีสวรรค์ เปรียญ เจ้าของโรงพิมพ์มิตรไทย เป็นผู้รับพิมพ์ ให้พระมหาเติม ป. ๖ วัดบวรนิเวศวิหาร และนายสิลาเป็นผู้ตรวจฉบับพิมพ์เรื่องนี้ ได้ตั้งกรรมการเพื่อหาทุนในการพิมพ์ คือ พระญาณดิลก พระคณาจารย์เอก วัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประธานกรรมการ พระปัญญาพิสารเถร เจ้าอาวาส วัดปทุมวัน พระมหาเขียน ป. ๙ พระมหาผุย ป. ๘ พระมหาสนั่น พระมหาเยี่ยม ป. ๗ พระมหาเสง ป. ๖ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเลียงไชยกาล นายฟอง สิทธิธรรม นายเหมือน บุรัสการ นายสิลา วีระวงส์ เป็นกรรมการ พระมหาสำรอง ป. ๕ พระมหาแสวง ป. ๓ เป็นเลขานุการ นายสุร เจือชูโต เป็นไวยาวัจกร และให้พระญาณดิลก พระคณาจารย์เอก กับพระมหาสนั่น เป็นผู้อำนวยการให้ความสะดวกในการจัดพิมพ์ ได้อาศัยน้ำพักน้ำแรงของเธอเหล่านี้เข้าช่วยเป็นกำลัง การพิมพ์หนังสือนี้จึงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ฉะนั้น จึ่งขอขอบใจเธอทั้งหลายไว้ในที่นี้ด้วย

ขออำนาจแห่งธรรมบรรณาการ พร้อมทั้งกุศลบุญราศีทักษิณานุปทานที่บำเพ็ญในงานนี้ทุกสิ่งสรรพ จงบันดาลให้ท่านทั้งสี่ที่วายชนม์แล้วได้ประสบวิปากสมบัติโดยควรแก่ภาวะ เทอญ


สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
วัดพระศรีมหาธาตุ




ประวัติพระเถระ ๔ รูป

พระศาสนดิลก ชาตะ พ.ศ. ๒๔๒๓ มตะ พ.ศ. ๒๔๘๔

พระคุณวิโรจน์รัตโนบล ชาตะ พ.ศ. ๒๓๙๘ มตะ พ.ศ. ๒๔๘๕

พระอาจารย์เสาร์ ชาตะ พ.ศ. ๒๔๐๔ มตะ พ.ศ. ๒๔๘๕

พระมหารัตน์ ชาตะ พ.ศ. ๒๔๐๖ มตะ พ.ศ. ๒๔๘๕

๑. พระศาสนดิลก รูปทรงค่อนข้างสูงลักษณะสมบูรณ์มีสง่าผิวเนื้อดำแดง นามเดิมชื่อเสน ฉายาชิตเสโน บิดาชื่อเพียคำมุงคุล (คำพา ) มารดาชื่อไ นามสกุล สิริบูรณ์ เกิดณวันอังคาร ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๓ ที่บ้านหนองบ่อ ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ห่างประมาน ๑๖ กิโลเมตร เมื่ออายุ ๑๔-๑๕ ปีได้ตามพระขุนผู้พี่ชายเข้าไปศึกษาอยู่ที่วัดสุปัฏน์เมืองอุบล และเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันท์) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูวิจิตรธรรมภาณี ได้พาเข้าไปกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ ฝากไว้ในสำนักเจ้าคุณพระศาสนโสภณ (อหึสโก อ่อน) วัดพิชยญาติการาม และได้บรรพชาอุปสมบทหมู่ในสำนักนั้น เจ้าคุณพระศาสนโสภณ (อหึสโก อ่อน) เป็นพระอุปชายะ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันท์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เจ้าคุณพระราชเมธี (กณฺณวโร ท้วม) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สอบพระปริยัติธรรมได้เป็นเปรียญ ๔ ประโยค.

ต่อมาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายกครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระศาสนดิลก เจ้าคณะมณฑลอีสาน ได้ขอออกไปเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑอีสาน เมื่อท่านได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปโดยลำดับแล้ว พระมหาเสนจึ่งได้รับตำแหน่งเป็นที่พระศาสนดิลกแทน มีข้อที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า ตามธรรมดาพระเปรียญถ้าแต่ ๕ ประโยคขึ้นไป ทรงโปรดให้เป็นพระราชาคณะทีเดียว ถ้า ๓-๔ ประโยคต้องเป็นพระครูเสียก่อน จึ่งเป็นพระราชาคณะได้ แต่เพราะท่านผู้นี้เป็นพระสหชาติในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึ่งทรงโปรดให้เป็นพระราชาคณะทีเดียว จัดว่าเปนพิเศษส่วนหนึ่ง ครั้นเป็นพระราชาคณะแล้วไม่นานก็ได้ย้ายจากวัดสุปัฏน์ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีทอง อนึ่ง ในฐานะที่ท่านเป็นพระสหชาติ ซึ่งเมื่อพระสหชาติรูปอื่นๆ ได้รับราชทานเครื่องระลึกอย่างใด ท่านก็ได้รับอย่างนั้นทุกคราว.

สำหรับตำแหน่งหน้าที่ ท่านได้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลอีสาน เป็นเจ้าคณะมณฑลร้อยเอ็ด เป็นเจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีทองและเป็นอุปชายะ ส่วนการงานพิเศษ ได้เป็นกรรมการสร้างพระอุโบสถวัดสุปัฏน์ เป็นกรรมการหล่อพระพุทธปฏิมา คือพระศรีเมือง พระขวัญเมือง และพระสัพพัญญเจ้าซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุปัฏน์ในบัดนี้ การนวกรรมโดยเฉพาะในวัดศรีทอง ได้​ปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมให้คืนดี และก่อสร้างศาลาการเปรียญ โรงเรียน และกุฎีขึ้นหลายหลัง แม้ในที่อื่นก็ได้เป็นหัวหน้าพาราษฎรก่อสร้างถาวรวัตถุหลายแห่ง เช่นสร้างศาลาการเปรียญที่วัดบูรพาพิสัย วัดสระบัวบ้านหนองบ่อ และวัดบ้านสำลาดแห่งละหนึ่งหลัง กับได้ตั้งและพาราษฎรก่อสร้างวัดบ้านนาเมือง.

โดยปกติท่านมีโรคหืดประจำตัว ต่อมาเห็นว่าจะไม่สามารถรับราชการไปได้ จึ่งทูลลาออกแต่ก็ยังเป็นอุปชายะ เอาธุระสั่งสอนพระภิกษุสามเณรเป็นกำลังแก่พระศาสนาตลอดมา เมื่อถึง พ.ศ. ๒๔๘๔ โรคหืดที่เรื้อรังมาไม่หายขาดนั้น ได้เป็นหนักขึ้นจึงถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๖.๐๐ น. คำนวณอายุได้ ๖๑ ปี พรรษา ๔๐

นิสัยสมบัติ ท่านผู้นี้เป็นคนพูดพอประมาณ มักน้อยสันโดษชอบวิเวกหนักในพระธรรมวินัย มีปกติเห็นภัยในโทสะแม้ประมาณน้อย สงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ในฐานะเป็นผู้น้อย ชอบเอาอย่างพระราธะ คือเป็นผู้อดทนต่อโอวาทและอนุสาสน์ ทนได้ทั้งร้อนคือเดช และทนได้ทั้งเย็นคือคุณ เมื่ออยู่ในฐานเป็นผู้ใหญ่ก็วางตนให้เหมาะแก่ภาวะ มีพระเดชก็ไม่มากถึงกับเสียพระคุณ แม้มีพระคุณก็ไม่เกินไปถึงกับเสียพระเดช มั่นคงในพรหมวิหาร เอาภาระในผู้เจ็บป่วย หมั่นแนะนำพร่ำสอนศิษย์ไม่ให้ก่อเวร และให้ระงับเวรด้วยความไม่มีเวร ปฏิปทาของท่านจึงเป็นที่ดูดดื่มไม่จืดจาง ทนต่อความเพ่งของผู้รู้ทั้งหลาย.


๒. พระครูวิโรจน์รัตโนบล นามเดิมรอด ฉายานนฺตโร บิดาชื่อบุดดี มารดาชื่อกา นามสกุล สมจิต เกิดวันพุธ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๗ ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ก่อนอุปสมบทได้ศึกษาการช่าง และเรียนอักขรสมัยในสำนักราชบรรเทา เมื่ออายุ ๒๔ ปีได้อุปสมบทที่วัดมณีวัน เมืองอุบล เจ้าอธิการจันลา เป็นพระอุปชายะ พระคำเป็นกรรมวาจาจารย์ พระดีเป็นอนุสาวนาจารย์ และพระอุปชายะได้ส่งไปอยู่วัดทุ่งศรีเมือง ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้นกระทั่งบัดนี้ เมื่ออุปสมบทแล้ว นอกจากเรียนทำวัดสวดมนต์และพระปาติโมกข์ ก็ได้เรียนคำภีร์มูลกัจจายน์ตามสมัยนิยม.

พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้เป็นเจ้าคณะแขวงอุดร อุบล คืออำเภอม่วงสามสิบในบัดนี้ต่อมา พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี และ พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้รับราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูวิโรจน์รัตโนบล ท่านผู้นี้เป็นผู้ใฝ่ใจในการช่างและการนวกรรม นอกจากการงานในตำแหน่งแล้ว ได้เป็นกรรมการสร้างพระอุโบสถวัดสุปัฏน์ และเป็นกรรมการหล่อพระพุทธรูป คือพระมิ่งเมือง พระศรีเมือง พระขวัญเมือง พระสัพพัญญู และได้เป็นหัวหน้าพา​ราษฎรสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์วิหารศาลาการเปรียญ ทั้งในเมืองและตามอำเภอต่างๆ แม้พระธาตุพนมก็ได้ไปช่วยปฏิสังขรณ์หลายคราว นับว่าได้ทำกิจพระศาสนาในทางก่อสร้างไว้มาก.

ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดทำงานมาด้วยความเรียบร้อยจนถึงปูนชราภาพอายุ ๗๕ ปี จึ่งได้รับยศให้เป็นกิติมศักดิ์เมื่อ พ.ศ ๒๔๗๐ รวมเวลาเป็นเจ้าคณะมาได้ ๓๗ ปี คือเป็นเจ้าคณะจังหวัด ๒๔ ปี เมื่อได้ออกเป็นกิติมศักดิ์แล้ว ก็ยังอุส่าห์เป็นอุปชายะเอาธุระสั่งสอนพระสงฆ์สามเณร และการก่อสร้างปฏิสังขรณ์อยู่อย่างเดิม ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๘๕ จึงได้มรณภาพลงเพราะโรคชรา เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ คำนวณอายุได้ ๘๘ ปี พรรษา ๖๔

นิสัยสมบัติท่านผู้นี้เป็นคนมีอารมณ์ดี มีใจกว้างขวาง สุภาพอ่อนโยนโอบอ้อมอารี สงบเสงี่ยม หนักในพระธรรมวินัยมั่นคงในพรหมวิหาร มีนิสัยไม่ริษยาใคร มีความเคารพนับถือจงรักภักดีต่อผู้มีอำนาจเหนือ มีกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ คุณลักษณะเหล่านี้เอง ทำให้ท่านเป็นที่น่าสักการะเคารพนับถือบูชาของมหาชนทั่วไป.


๓. พระมหารัตน์ ฉายารฎฺฐปาโล บิดาชื่อจันท์ มารดาชื่อผาย นามสกุลอุไทยกร เกิดณวันพุธ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๖ ที่บ้านปลาดุก ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี อุปสมบทที่วัดสุปัฏน์เป็นวันเดียวกันกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ซึ่งอุปสมบทที่วัดศรีทอง เจ้าอธิการด้วงวัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหารเป็นพระอุปชายะ เจ้าอธิการเพ็งวัดสุปัฏน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์

เมื่ออุปสมบทแล้ว พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้เข้าไปศึกษาที่กรุงเทพ ฯ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันท์) ฝากไว้ในสำนักเจ้าคุณพระศาสนโสภณ (อหึสโกอ่อน) วัดพิชยญาติการาม สอบพระปริยัติธรรมได้เป็นเปรียญ ๔ ประโยค ต่อมาเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้ขอออกไปเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลอีสาน แต่ทำงานไปไม่ได้นานก็ลาออก เพราะสุขภาพไม่สมบูรณ์มีโรครบกวนเสมอ ภายหลังได้เป็นอุปชายะ และย้ายจากวัดสุปัฏน์ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗

ท่านเป็นผู้ใคร่การศึกษา ใคร่ธรรมวินัย เป็นสิกขากามะ ธรรมกามะ อบรมศีลดี ศิษย์ของท่านมีหลายคนที่มั่นคง ได้เป็นพระราชาคณะก็มี คือพระโพธิญาณมุนีเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระครูก็มี คือพระครูสุวรรณวารีคณารักษ์เจ้าคณะอำเภอโขงเจียม เปนเปรียญก็มาก เช่นพระมหาปิ่นซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีชอบในธุดงควัตร เป็นต้น ทั้งนี้ก็ด้วยได้รับการอบรมมาดี ท่านได้ครองวัดและเป็นอุปชายะมากระทั่งถึงปูนชราภาพ และได้มรณภาพลงเพราะโรคชรา เมื่อเดือนสิงหาคม ​พ.ศ. ๒๔๘๕ คำนวณอายุได้ ๗๙ ปี พรรษา ๕๕


๔. พระอาจารย์เสาร์ ฉายากนฺตสีโล เกิดณวันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ ที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองช้าง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้ามาอุปสมบทอยู่ที่วัดใต้อุบล ภายหลังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ ซึ่งอยู่ใกล้กันกับวัดใต้นั้น ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมยุตที่วัดศรีทอง พระครูทาโชติปาโลเป็นพระอุปชายะ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์.

ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในสมถวิปัสสนา และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย จึ่งเป็นผู้ใฝ่ใจธุดงควัตรหนักในธรรมวินัย ชอบวิเวก และไม่ติดถิ่นที่อยู่ ต้องเดินธุดงค์ไปหาวิเวก เจริญสมณธรรมตามชายป่าดงพงเขาในถิ่นต่างๆ เช่นในท้องถิ่นเขตอุบลราชธานีบ้าง นครราชสีมาบ้าง สระบุรีบ้าง ทางอุดรบ้าง สกลนครบ้าง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ได้กลับมายังอุบลราชธานี สำนักอยู่ที่บ้านข่าโคมอันเป็นชาติภูมิของท่านบ้าง ที่ดอนธาตุพิบูลมังสาหารบ้าง แต่ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ จำพรรษาอยู่ที่วัดดอนธาตุ และได้เริ่มอาพาธเพราะโรคชรามาแต่ภายในพรรษานั้น

เมื่อออกพรรษาแล้วไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลสนองคุณพระอุปชายะที่มรณภาพแล้ว ณ อำเภอวรรณไวทยากร นครจำปาศักดิ์ ครั้นทำบุญเสร็จโรคกำเริบมากขึ้น จึงพยายามเดินกลับ พอมาถึงวัดมหาอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ก็ได้มรณภาพลงในวันนั้น คือวันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ คำนวนอายุได้ ๘๒ ปี พรรสา ๖๒ การมรณภาพของท่านนับว่าประกอบพร้อมด้วยความมีสติอันไพบูลย์ คณะสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาชาวอุบลได้ไปเชิญศพขึ้นมาประดิษฐานเก็บไว้ที่ศาลาการเปรียญวัดบูรพา

อันพระเถระเจ้าทั้งสี่รูปนี้ แม้ถึงมรณภาพไปแล้วตามวิสัยของสังขารก็ดี แต่คุณธรรมยังปรากฏเด่นอยู่ในใจของผู้ได้เสพสมาคม.


โปรดติดตามตอนต่อไป



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 08 เมษายน 2568 17:50:27 »




คำนำ

​สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายกกำหนดจะทำการฌาปนกิจศพพระสารดิลกวัดศรีทอง พระมหารัตน์วัดสุทัศน์ พระครูวิโรจน์รัตโนบล วัดทุ่งศรีเมือง และพระอาจารย์เสาร์ วัดดอนธาตุ ณที่จังหวัดอุบลราชธานี ใคร่จะตีพิมพ์หนังสือเจือง ซึ่งเป็นหนังสือของสมุดแห่งชาติเพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจนั้น กรมศิลปากรยินดีอนุญาตให้พิมพ์ตามประสงค์

หนังสือเจืองเป็นตำนานกล่าวด้วยเรื่อง ขุนเจืองหรือเจือง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกกันว่าท้าวฮุ่ง ซึ่งเป็นวีรกษัตริย์สมัยโบราณ ตามตำนานกล่าวร่วมกันว่า ขุนเจืองเป็นกษัตริย์มีอานุภาพมากและเป็นธรรมมิกราช ปราบดินแดนได้ไว้เป็นอาณาจักรออกไปกว้างขวาง จับแต่เขตแคว้นลานนาไทย หลวงพระบาง สิบสองปันนา สิบสองจุไทย และเลยไปทางตะวันออกถึงแคว้นตังเกี๋ย ภายหลังไปเสียพระชนม์ลงในสงคราม ตำนานเจืองเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่ชนชาวภาคพายัพ อีสาน และหลวงพระบาง เพราะมีหนังสือแต่งเป็นบทกลอนไว้อ่านฟังกันในเวลามีงาน เป็นอย่างฟังเทศน์ เรื่องชาดกของภาคเหล่านั้น ได้ทราบต่อไปว่า ขุนเจืองมีชื่อปรากฏอยู่ในคำประกาศเทวดาในเวลาบวงสรวงประจำปี ณศาลเทพารักษ์หลักเมืองเชียงรายแต่โบราณเป็นลำดับองค์ที่ ๘ ดังนี้

        ๑. ขุนคงคำฮ้อย (เจ้าแห่งผีเมง ผีในที่นี้ หมายถึงผู้อยู่เหนือคน จึงรวมเทวดาด้วย)
        ๒. ขุนสร้อยคอดำ (เจ้าแห่งผีนาค)
        ๓. ขุนนิลดำสวาก (เจ้าแห่งผีแมน)
        ๔. ขุนหมวกขาวข่อยคำ
        ๕. ขุนแลนคำสักสวาดิ
        ๖. ขุนพรหมฮาดห้าวหาญ (พระเจ้าพรหม)
        ๗. ขุนเมงฮายขานขามกล้า (พระเจ้าเม็งราย)
        ๘. ขุนเจืองฟ้าธรรมราช
        ๙. ขุนครามอาจโสภา

เรื่องเจืองนั้นเห็นจะเป็นที่รู้จักกันมาช้านาน คงเล่าต่อปากสืบกันมา เป็นอย่างเล่ากันไปเล่ากันมา เรื่องก็งอกงามแตกดอกออกก้านยาวออกไป ในที่สุดเมื่อมาเป็นเรื่องในหนังสือ ซึ่งถ้าว่าในทางประวัติศาสตร์ ก็ถือเอาอะไรไม่ได้แน่นอนนัก นอกจากเค้าเรื่อง แต่ถ้าว่าในทางให้ความรู้ อันเนื่องด้วยจารีตประเพณี ตลอดจนความคิดเห็นที่นิยมนับถือกันในรุ่นก่อน หนังสือเจืองก็ให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ได้มาก ถ้าจะฟังกันในทางนิทาน ก็นับว่าหนังสือเจืองเป็นเรื่องชวนอ่านไม่น้อยเรื่องหนึ่ง

ในพงศาวดารโยนก มีตำนานสิงหนวัติกุมาร ตำนานเมืองเงินยาง และตำนานอื่น ๆ ได้กล่าว​เรื่องขุนเจืองไว้ยืดยาว ในนั้นเรียกขุนเจืองเป็นหลายชื่อเช่น ขุนเจือง, ขุนเจื๋อง, ขุนเจืองฟ้าธรรมราช หรือธรรมมิกราช เป็นต้น ซึ่งรู้ได้ว่าเป็นคนเดียวกัน แต่พอถึงชื่อพ่อและปู่ของขุนเจือง มีตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง เช่น กล่าวว่าพ่อขุนเจือง ชื่อขุนจอมผาเรืองครองเมืองเชียงเรืองบ้าง เปนขุนจอมธรรมครองเมืองภุกามยาว (เมืองพเยา) บ้าง เป็นขุนจอมธรรม ครองนครสวนตาลหรือนาคอง ดังมีอยู่ในหนังสือเรื่องที่พิมพ์นี้บ้าง ส่วนปู่ของขุนเจืองชื่อขุนแรงกวาก็มี ขุนเงินก็มี ลาวจง และลาวเงินก็มี ซ้ำพี่ของขุนเจืองที่ชื่อว่า ขุนอ้ายเจือง ซึ่งลางตำนานเป็นขุนแพง ส่วนชื่อคนอื่น ๆ ในเรื่อง ตลอดทั้งชื่อบ้านชื่อเมืองและเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ มีขัดแย้งกันหมู่มากแห่ง ได้เล่าและวิจารณ์เรื่องเหล่านี้ไว้ในที่อื่นแล้ว (ดูเรื่องของชาติไทย หน้า ๒๐๑ ถึง ๒๑๔) ที่เรื่องขุนเจืองมีข้อความแตกต่างกันมากแห่ง ก็ไม่แปลก เพราะผู้แต่งพงศาวดารและตำนานเป็นคนเกิดภายหลัง หลักฐานที่นำมาแต่งก็แต่งไปตามเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง และจากความรู้และความคิดเห็นของตนบ้าง เรื่องที่แต่งจึงถูกบ้างผิดบ้าง ถ้าผู้แต่งมีความนิยมนับถือใคร ในเรื่องก็ยกย่องยิ่งขึ้น จนในที่สุดผู้ที่ได้รับยกย่องก็กลายเป็นมีฤทธิ์เดชนอกเหนือเรื่องตามธรรมดาไป ถ้าเรื่องที่แต่งเกิดขึ้นนมนานล่วงมาแล้วเป็นพันๆ ปีขึ้นไป ก็ผิดมากกว่าถูก ถึงกระนั้น เรายังเป็นหนี้บุญคุณท่านผู้แต่งไม่น้อย ถ้าท่านไม่แต่งขึ้นไว้ เรื่องก็สูญ เราซึ่งเป็นอนุชนคนเกิดรุ่นหลังอาจขาดความรู้อะไร ๆ ที่ควรรู้ไปมาก เมื่อเด็กเราชอบฟังเรื่องนิยายนิทาน ถ้ายิ่งเป็นเรื่องน่าพิศวงอัศจรรย์ใจจนไม่น่าเชื่อมากเท่าใด เป็นสนุกมากเท่านั้น ครั้นเมื่อเราเป็นเติบโตมีความรู้ความคิดมากขึ้น เรื่องที่เราฟังเราอ่านก็ย่อมปราณีตขึ้นลำดับ แต่เรื่องอย่างนิยายนิทานนั้นทิ้งให้หมดไปไม่ได้ เพราะมันสนุกดี มีแต่จริงกันเสียหมดไม่มีสนุกบ้าง สติปัญญาความรู้ก็เซื่อมซึม เหตุนี้ชาติที่เจริญแล้วจึงนิยมเก็บรวบรวมนิยายนิทานพื้นเมืองของเก่าไว้ เพราะกลัวจะสูญ และประโยชน์ของการศึกษาที่จะได้จากนิยายนิทานนั้นมีมาก นอกจากจะทำให้เพลิดเพลิน ยังได้รับความรู้เรื่องเก่า ๆ ที่มีแทรกอยู่ในนั้น อย่างน้อยก็ได้ความรู้ต่างๆ ในสมัยของผู้แต่ง ว่าถึงชาติต่างๆ ไม่ว่าชาติใด ก็มีความเป็นไปทำนองเดียวกับบุคคล ประวัติศาสตร์ของชาติต่างๆ ในตอนต้นๆ มักมีเรื่องพิลึกพิลั่นเกินความจริงอ่านแล้วไม่น่าเชื่อ นั่นเป็นเรื่องของชาติเมื่อยังเด็กอยู่ แต่ถึงเป็นเรื่องอย่างนั้นเราก็อาจค้นคว้าหาความรู้เอาจากเรื่องชนิดนี้ได้ ถ้าท่านอ่านเรื่องเจืองโดยทำนองความคิดเห็นเช่นนี้ จะทำให้ท่านได้ทั้งความรู้และได้ทั้งความเพลิดเพลินไปในตัว

กลับมาพูดเรื่องของขุนเจืองใหม่ ถ้าว่าตาม​ข้อความในพงศาวดารโยนก ขุนเจืองก็เป็นกษัตริย์ไทย สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ไทยต่อ ๆ กันขึ้นไปจนถึงเจ้าลาวจกต้นสกุล ซึ่งเป็นเทวาจุติลงมาถือปฎิสนธิเป็นเพศมนุษย์โดยอุปปติกกำเนิด คือเกิดเองไม่มีพ่อมีแม่ แล้วได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองเงินยางเชียงแสน มีชื่อว่าพระยาลวจังกราช เหตุที่เทวดาปู่เจ้าลาวจกจุติลงมา ก็ด้วยคำขอร้องของพระอินทร์ ซึ่งได้รับคำของร้องจากพระยาอนุรุธกษัตริย์ภุกามมาอีกต่อหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าขุนเจืองสืบเชื้อสายมาจากพระยาลวจังกราช และพระยาลวจังกราชเป็นกษัตริย์ไทยแล้ว ก็จะต้องเข้าใจว่าชาติไทยมีกำเนิดมาแล้วเพียง ๘๐๐ ปีเศษเท่านั้น เพราะตกอยู่ในสมัยพระยาอนุรุธ คือ ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ และด้วยเหตุผลอย่างอื่นๆ อีกหลายประการ ซึ่งจะเล่าไว้ในที่นี้ไม่เหมาะ เพราะจะออกนอกทางของคำนำมากไป ได้มีท่านผู้รู้ลางท่านเห็นว่า ขุนเจืองอาจเป็นกษัตริย์ละว้าหรือข่า ความเห็นนี้ผู้เขียนเห็นพ้องด้วย ดินแดนภาคพายัพ เมื่อก่อนไทยยกลงมาจากถิ่นเดิม คือประเทศจีน ย่อมเป็นที่อยู่ของชนชาติอื่นมาก่อน ส่วนมากเป็นพวกละว้า ดินแดนหลวงพระบางสิบสองจุไทย และตลอดไปจนตังเกี๋ยเป็นที่อยู่ของพวกข่า อันที่จริงข่ากับละว้า ถ้าพูดอย่างกว้างๆ ก็เป็นชนชาติเผ่าพันธุ์เดียวกัน จีนยังเรียกพวกละว้าหรือว้า ที่มีอยู่ทางพรมแดนตอนใต้ของประเทศจีนว่าพวกข่าว้าอยู่ ถ้าเราเชื่อตามตำนานเมืองยอง (ดูเรื่องของชาติไทยหน้า ๑๙๑) และพงศาวดารลานช้างตอนเหนือเรื่องขุนบรมขึ้นไป ก็จะต้องเข้าใจว่าพวกข่าพวกละว้าเคยเจริญมีบ้านเมืองมาบ้างแล้ว หากภายหลังได้มาติดต่อเกิดระคนปนกันเข้ากับชนชาติไทย พวกเหล่านั้นก็กลายเป็นไทยไป ส่วนที่ไม่กลายคือพวกที่ไม่ก้าวหน้า ก็แปรสภาพเป็นชนชาวป่าชาวเขาไม่มีบ้านเมืองมาจนทุกวันนี้ ถึงกระนั้นความสนิทสนมกันในระหว่างพวกข่ากับพวกไทยทางแคว้นหลวงพระบางจึงยังมีอยู่ ตามพงศาวดารล้านช้างกล่าวว่า มนุษย์นั้นออกมาจากน้ำเต้าปุง คือน้ำเต้าใหญ่ “ปู่ลางเชิงจึงเผาเหล็กชีแดง ชีหมากน้ำนั้น คนทั้งหลายจึงบุเบียดกันออกมาทางรูที่ชีนั้น” พวกข่าออกมาจากรูน้ำเต้าก่อน ตัวถูกความร้อนของเหล็กแดงซึ่งไชรูน้ำเต้า ผิวตัวจึงดำ พวกไทยออกมาทีหลัง ผิวตัวจึงขาว สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เมตตาเล่าให้ฟังว่า พวกไทยที่พลัดไปในหมู่พวกข่าเป็นไม่ต้องกลัวอด มีหาไม่พวกข่าเป็นต้องต้อนรับเลี้ยงดูเป็นอย่างกันเอง เพราะถือว่าไทยเป็นน้อง ถ้าไม่ต้อนรับเลี้ยงดูไทย เป็นผิดผีพ่อผีแม่ นิยายเรื่องคนออกจากน้ำเต้านี้ ทางไทยใหญ่ก็มี นับว่าเป็นนิยายดีเรื่องหนึ่ง สำหรับไทยที่พลัดเข้าไปในพวกข่า เพราะฉะนั้น ขุนเจืองอาจ​เป็นกษัตริย์โบราณของพวกข่า พวกละว้า หรือเป็นกษัตริย์ไทยปนข่าปนละว้าก็ไม่รู้ได้ ขุนเจืองมีอานุภาพมาก ใครๆ ก็อยากได้ไว้ในตำนานเพื่อขอให้เปนกษัตริย์ของชาติตน และไม่เป็นความลำบากอะไรที่จะผนวกเข้าไปเช่นนั้น แต่ว่ากลับเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากแก่ผู้ค้นคว้าในภายหลังที่จะต้องมาถกเถียงกันว่าขุนเจืองเป็นใคร มีความจริงในทางประวัติศาสตร์เพียงใด

พวกข่าจรายหรือข่าเจืองซึ่งอยู่ทางทิวเขาบรรทัดพรมแดนประเทศยวนแกว อ้างว่าขุนเจืองเป็นกษัตริย์ชาติของเขา อาวุธวิเศษของขุนเจืองมีแซ่แลดาบเจืองเป็นต้น พงศาวดารโยนกกล่าวไว้ว่ายังตกอยู่กับข่าพวกนี้ พวกข่าจรายว่าขุนเจืองจะกลับมาเกิดใหม่ ในสมัยศาสนาพระศรีอาริย์ เมื่อนั้นขุนเจืองจะกลับมาฟื้นฟูและประดิษฐานอาณาจักรเจืองขึ้นใหม่ ให้มีอำนาจรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม (ดู J.S.S. Vol. XIV pt.I page 48) พวกข่าจรายเห็นจะนับถือขุนเจืองมาก ขุนเจืองตายไปแล้วก็ยังหวังว่าจะกลับมา เปนทำนองเดียวกับเรื่องท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งกล่าวว่าเมื่อขุนเจืองตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผี (ในที่นี้หมายถึงเทวดา) มีกองทัพเหมือนเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ ขุนเจืองผูกใจเจ็บพวกแถน เพราะพวกแถนยกทัพมาช่วยพวกแมนรบกับขุนเจือง จนขุนเจืองต้องเสียชีวิตในสงคราม เมื่อไปเกิดเป็นผีแล้วจึงยกทัพผีขึ้นไปเมืองแถน คือเมืองฟ้า รบชนะพวกแถนเรื่อย แถนอะไรต่อแถนอะไรแพ้หมด ในที่สุดพระยาอินทร์ซึ่งเป็นนายแถน ยอมแพ้ยกเมืองสรวงให้ขุนเจืองครอบครองต่อไป

ในที่นี่ แถน หมายความถึงเทวดา พระยาแถนได้แก่พระอินทร์ แมน ก็มีความหมายว่าเทวดา ซ้ำผีในความเดิมของไทยก็หมายความว่าเทวดาเหมือนกัน แต่คงเป็นเทวดาชั้นเลวกว่าแถน เป็นจำพวกเทพารักษ์พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองเจ้าทุ่งเจ้าป่า ฉะนั้น ส่วนพวกแมนนั้น ลางทีก็เรียกว่าพวกผีบ้าง เป็นอันว่าแมนกับผีมีศักดิ์เท่ากัน คือมีทั้งดีทั้งเลว เมืองสรวงที่พระยาอินทร์ยกให้ขุนเจืองครอบครอง ก็แปลว่าเมืองผีหรือเทวดาซึ่งมีอำนาจมาก ยังใช้อยู่ในทางไทยใหญ่ และยังมีติดอยู่ในคำของเราเป็นคำพูดว่า สรวงสวรรค์ และ แมนสรวง คำว่า บวงสรวง เห็นจะแปลว่า สังเวยเทวดาด้วยเครื่องเส้นได้กระมัง แถนนั้นว่าตรงกับคำเทียนในภาษาจีนแปลว่าฟ้า เมืองไทยเดิมที่อยู่ในประเทศจีน ก็ชื่อเมืองแถน หรือว่าแถนในเรื่องขุนเจืองนี้ หมายถึงพวกไทยในประเทศจีนครั้งกระโน้น ชื่อพวกแถน ดูในเรื่องขุนเจืองจะพบมีคำแถนนำหน้าชื่อเสมอไป เช่น แถนงวง แถนเมง แถนมิง แถนโกไก แถนถ่าว และแถนอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ส่วนแมนก็เช่นเดียวกัน มีชื่อเช่น แมนเสี้ยว แมนเปียว แมนเฮือง แมนผา แมน​ฟองเปนต้น ชื่อกษัตริย์ของพวกแมนที่มารบกับขุนเจือง ก็มีชื่อว่า พระยาแมนตาตอกครอบฟ้า ตาหยืด หรือตายืน ได้พบหนังสือฝรั่งเรื่องหนึ่ง จะเป็นเรื่องอะไรก็จำไม่ได้ อธิบายชื่อพระยาแมนตาตอกครอบฟ้า ตาหยืดไว้ว่า เป็นเทวดาประจำเมฆ เลยทำให้สะกิดใจถึงชื่อมณฑลยูนานของจีนซึ่งเคยเป็นอาณาจักรของไทยน่านเจ้า ยูนานแปลว่ามณฑลเมฆทิศใต้ จีนเรียกชนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าตามเขาในตอนใต้ของจีนว่าหม่านและในแคว้นตังเกี๋ยก็ยังมีพวกที่ยวนแกวเรียกว่าพวกหม่านอยู่มาก ซึ่งในที่นี้หม่านเห็นจะหมายถึงพวกข่า เพราะฉะนั้น คำว่าหม่านจะเป็นคำเดียวกับแมนในเรื่องขุนเจืองได้บ้างกระมัง โดยเหตุที่พวกแมนมีที่อยู่บนเขาที่สูง คำว่าแมนถ้าเป็นคำเดียวกับแมนในภาษาไทย ก็แปลว่าเมืองสวรรค์ซึ่งตามธรรมดาต้องนึกว่าสวรรค์นั้นอยู่บนฟ้า คืออยู่ในที่สูง ผู้แต่งเรื่องขุนเจืองพูดไว้แห่งหนึ่งเมื่อกล่าวถึงท้าวแรงกวา (แองกา) เลือกหาภรรยา เรียกนางเมืองจีนว่านางเมืองแมน นี่เป็นนึกเล่น นึกไปนึกมา เลยนึกเอาว่าพวกแถนจะหมายความว่าพวกไทยเดิม พวกแมนคือพวกหม่าน ตกลงเรื่องขุนเจืองไปรบกับพวกแมนพวกแถน ก็รบกันป้วนเปี้ยนอยู่บนพื้นดินที่มีภูเขามากนั่นเอง ไม่ได้ไปรบกันในเมืองฟ้าเมืองแมนที่ไหน สนุกดี ในเรื่องขุนเจืองยังมีชื่อคนที่ใช้คำนำหน้าว่านายอยู่หลายคน เช่น นายแสง นายพวง นายจัน นายจวง เป็นต้น นายจะเป็นคำของภาษาใดและจะเป็นคำของเก่าหรือของใหม่ก็ไม่ทราบ นอกนี้ยังมีคำนำหน้าชื่อว่าแกว เช่น แกวก่อง แกวเฮื่อ เป็นต้น แกวในที่นี่ต้องหมายถึงยวนแคว้นตังเกี๋ย จีนเรียกว่ากาวจี๋ คำนี้เองคงมาเป็นคำว่าแกว ซึ่งไปชั้นเดิมจะหมายถึงยวนตังเกี๋ย ภายหลังเลยเรียกรวมถึงยวนทั้งหมด คำกาวในคำว่าลาวกาวและเงี้ยว ก็น่าจะเป็นคำเดียวกัน เพราะชนชาวตังเกี๋ยก็มีเชื้อชาติไทยเป็นส่วนมาก นอกนี้ยังมีคำว่า กวาน นำหน้าชื่อ เช่น กวานแก กวานในที่นี้เห็นจะเป็นคำยวน ซึ่งได้มาจากคำจีน แปลว่าขุนนาง ชื่อต่างๆ ที่มีคำนำหน้าว่า แถน, แมน, แก้ว, และกวานเป็นพวกฝ่ายตรงกันข้ามกับขุนเจือง ส่วนพวกขุนเจืองมีใช้คำนำหน้าว่าอ้ายอยู่หลายชื่อ เช่น อ้ายคว่าง, อ้ายหาด, อ้ายไค่ อ้ายเกื่อน เห็นจะเป็นพวกข่า นอกนี้มีคำว่าขุนก็มี นายก็มียุ่งใหญ่ รวมความผู้แต่งเรื่องขุนเจืองฉบับนี้ เห็นจะเป็นไทยชาวหลวงพระบาง จึงลากเอาชื่ออะไรต่อมิอะไรที่เคยได้ยินได้ฟังมาทางแถบเมืองเหล่าโน้นมาให้ไว้ในเรื่องมากมาย

ในที่สุดนี้ กรมศิลปากรขออนุโมทนาในกุศลราศีทักษิณานุปทาน ที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้มีเมตตาบำเพ็ญเป็นปัตติทานมัย และตีพิมพ์หนังสือนี้แจกจ่ายเป็นธรรมวิทยาทาน จงเปนกุศลดลบันดาลให้สำเร็จหิตสุข แด่ท่านผู้ถึงแก่มรณภาพทั้งสี่รูปนั้น โดยสมควรแก่คติวิสัยในสัมปรายภพเทอญ.


ย.ส. อนุมานราชธน
กรมศิลปากร
๒๐ ตุลาคม ๒๔๘๕



ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 08 เมษายน 2568 17:56:30 »




​ความเห็นของผู้ชำระ

​เรื่องของท้าวฮุ่ง หรือขุนเจืองนี้ เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยหลายเล่ม เช่นในพงศาวดารโยนก ของ พระยาประกิจกรจักร เป็นต้น ซึ่งผู้แต่งกล่าวอ้างว่าได้เก็บรวบรวมข้อความมาจากตำนานเมืองเหนือ เช่นตำนานเมืองเชียงแสน และท่านผู้เขียนตำนานเหล่านั้นก็รับรองยุติต้องกันว่า ขุนเจืองเป็นกษัตริย์ไทย สืบพระวงศ์มาจากพระเจ้าลาวจักรราช ดังมีประวัติโดยเฉพาะเรื่องของขุนเจือง ที่ได้คัดมาลงพิมพ์ไว้ในลำดับต่อไปนี้แล้ว แต่สำหรับฉันมีความคิดเห็นว่า ท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองนี้มิใช่กษัตริย์ไทย เป็นกษัตริย์มอญหรือขอม ทั้งนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่าง คือ

        ๑. ในหนังสือคำกลอนเรื่องท้าวฮุ่งหรือเจือง ที่พิมพ์นี้มีบอกไว้ชัดหลายแห่งว่า นางง้อมมเหสีของท้าวฮุ่ง เป็นเม็งหรือขอม เช่นคำชมโฉมตอนหนึ่ง ว่า

            “คือดั่งหยาดแต่ฟ้าเสด็จท่อง          ธรณี
            โสมคราญควรคาดเจือง      เทียมท้าว
            นักสนมเนื้อนารี            เฮียงฮอบ
            กาก่องก้าวงามล้ำ      ลูกขอม ฯลฯ”

เป็นต้น และว่านางง้อมเป็นลูกของนางเม็งพ่อเป็นจามหรือขุนจามอยู่เมืองเชียงเครือ นางเม็งแม่ของนางง้อมเป็นพี่สาวแม่ขุนเจือง ด้วยเหตุนี้ ขุนเจืองจึงเรียกนางง้อมคู่รักว่าพี่ คำว่ามอน เม็ง ขอม เขมร และ ข้า เหล่านี้น่าจะเป็นคำเรียกมนุษย์ชาติในตระกูลเดียวกัน ดังที่ปราชญ์บางท่านได้กล่าวไว้ในประวัติศาตร์ของมนุษย์ชาติเหล่านี้แล้ว ฉะนั้นท้าวฮุ่งก็น่าจะเป็นกษัตริย์แห่งมนุษย์ชาติเหล่านี้หาใช่ไทยไม่

        ๒. การสงครามครั้งแรกระหว่างท้าวฮุ่งกับพวกแกวแมน สันนิษฐานว่าเป็นสงครามระหว่างพวกมอนหรือเขมรกับพวกแแวแมน คือไทยสาขาหนึ่งซึ่งกำลังขยายลงมามีอำนาจในดินแดนของชนชาติเหล่านี้ ในแว่นแคว้นที่เป็นอาณาจักรหลวงพระบาง ครั้งนี้ขุนเจืองชนะแกวปราบได้เมืองเชียงทอง (นครหลวงพระบาง) และนครปะกัน (เมืองเชียงขวาง) แล้วขุนเจืองมาอัญเชิญพระมารดาของตน คือนางจอมหรือนางจอมเทวี ให้ขึ้นไปครองเมืองเชียงทอง ให้อ้ายคว่างแม่ทัพคนสำคัญครองเมืองปะกัน ส่วนขุนเจืองกลับคืนมาครองเมืองเงินยาง เรื่องตอนนี้ก็มีเค้าความอย่างเดียวกันกับเรื่องนางจามเทวีธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้ ที่ขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย (นครลำพูน) ข้อที่ว่าขุนเจืองยกทัพจากเมืองเงินยาง (เชียงแสน) ไปปราบได้นครปะกันนั้น อาจเป็นความจริงแท้ เพราะไหหินรูปคล้ายครก ซึ่งมีขนาดสูงตั้งเมตรใหญ่เท่ากลองเพล​มีจำนวนมากมายก่ายกอง เดียรดาษทั่วทั้งเมืองเชียงคำใกล้ๆ กับเมืองเชียงขวาง ยังเป็นหลักฐานอยู่เท่าทุกวันนี้ ไหหินเหล่านี้คนแถบนั้นพูดสืบต่อกันมาว่า “ไหเหล้าของท้าวเจือง” อนึ่งตามบริเวณภูเขาแลป่าดงในแขวงจังหวัดเชียงขวางนี้ พื้นภูมิประเทศที่เห็นอยู่ บอกลักษณะว่าเคยเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อยู่อย่างคับคั่งมาแล้ว เพราะตามบริเวณเชิงเขาและป่าดงมีรูปคันนา งานนาไร่นาอยู่ทั่วทุกแห่งในที่ราบ

        ๓. สงครามครั้งสุดท้ายระหว่างขุนเจืองกับพวกแมน หรือเจ้าฟ้าฮ่วน (ฮวน) เมืองตุมวาง สงครามครั้งนี้ในชั้นต้นขุนเจืองเป็นผู้ชนะ เจ้าฟ้าฮ่วนจึงไปเชิญแถนลอผู้เป็นใหญ่ในนครกาหลง (เก๋าหลง คือดินแดนแคว้นเชียงรุ่งหรือเมืองแถง) มาช่วย ขุนเจืองตายในที่รบ ในตอนนี้กล่าวถึงพวกพลของแถนลอว่าเป็นชาวหนองแสง (ชาวยูนาน) ฉะนั้นจึงน่าสันนิษฐานว่าแถนลอนั้นคือขุนลอโอรสองค์ใหญ่ของขุนบรมราชาธิราชกษัตริย์ไทยองค์แรกที่ลงมามีอำนาจในอาณาจักรลานช้าง เพราะในตำนานขุนบรมเรื่องก็กลมกลืนกันอยู่ว่า เมื่อขุนลอยกมาจากเมืองแถงนั้นได้มาปะทะกับกองทัพชาวถิ่นเดิม ขับพวกเจ้าของถิ่นเดิมหนีมาตกเมืองน่านแล้วจึงเข้าตั้งอยู่ในนครเชียงทอง

        ๔. ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณีที่พวกข้าทั้งหลายในดินแดนแคว้นลาวยังนับถือปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้เป็นธรรมเนียมหรือประเพณีอย่างเดียวกันกับประเพณีของท้าวเจืองที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ เช่น ประเพณีดื่มเหล้าไห ประเพณีทำพลีกรรมผี ประเพณีนับถือผีด้ำ และประเพณีชั่งแนน ดูแนนเป็นต้น นอกจากนี้ ชาวข้าทั้งหลายยังนับถือผีเจืองเป็นสรณะ และยังมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า ขุนเจืองจะกลับคืนมาเป็นเจ้าธรรมมิกราชอีก

เมื่อเห็นว่า ท้าวฮุ่ง หรือ ขุนเจือง มิใช่กษัตริย์ไทยเช่นนี้แล้ว พระกษัตริย์ผู้สืบเชื้อวงศ์ต่อๆกันมา เช่นขุนทึง ขุนเทือง จนถึงพระเจ้าลาวจักราชผู้เป็นต้นวงศ์ก็คงไม่ใช่ไทยเหมือนกัน เพราะถ้าถือว่าพระเจ้าลาวจักรราชเป็นต้นวงศ์แห่งกษัตริย์ไทยองค์แรกแล้ว ชาติไทยก็พึงจะอุบัติขึ้นในโลกเมื่อราว ๘๐๐ ปีเศษล่วงมานี้ ซึ่งไม่อาจเป็นไปได้เลย สมจริงตามคำของท่าน อ. อนุมานราชธน อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวไว้แล้วนั้น แต่เรื่องเช่นนี้อาจกลับกันหรือแลกกันได้ เพราะเมื่อพวกเราลงมาอยู่ในดินแดนของพวกเขา เราอาจจะรับเอาเรื่องของเขาเข้ามาไว้เป็นของเราก็ได้ เรื่องเช่นว่านี้มีอยู่มากทางจังหวัดภาคอีสานเช่นเรื่อง “ท้าวผาแดงนางไอ่เมืองหนองหาร, เรื่องนางอรพิมพ์สร้างปราสาทหินเมืองพิมาย, เรื่องท้าวศรีโคตบองเมืองศรีโคตบูรณ์เป็นต้น ซึ่งสมัยนี้ใคร ๆ ก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องของชนชาติขอม แต่ประชาชนชาวอีสานก็ถือว่าเป็นเรื่องของชาติตน เพราะเห็นว่าวัตถุนั้นๆ มีอยู่ในดินแดนที่ตนอยู่ ใช่แต่เท่านั้นแม้​เรื่องรามเกียรติ์ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์ได้มาจากอินเดีย แต่เรื่องรามเกียรติ์ฉบับที่เป็นภาษาไทยน้อยก็บอกว่าเมืองเวียงจันทน์นั้นแหละ เป็นเมืองของพระราม และชื่อเกาะดอนในแม่น้ำโขงทั้งมวล ก็ล้วนแต่พระรามกับนางสีดามาตั้งชื่อให้ทั้งนั้น ฉะนั้นข้อที่ท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองกษัตริย์ชาติมอญหรือเขมร กลับกลายมาเปนกษัตริย์ชาติไทยนั้น จึงไม่เป็นของแปลกและยากเย็นอะไร เพียงแต่ผู้เขียนตำนานจดเหล็กจานลงไปในใบลานสองสามทีเท่านั้นก็เป็นได้แล้ว

เรื่องท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองที่เป็นคำกลอนนี้ มีข้อความสำคัญแปลกกันกับเรื่องที่กล่าวไว้ในพงศาสดาร คือในเรื่องนี้มิได้กล่าวถึงอภินิหารของท้าวฮุ่งว่าเป็นด้วยอำนาจเทวดาอย่างไร เช่นดาบก็กล่าวว่าพวกข้าพางดำนำมาถวาย กล่าวแต่ว่าท้าวฮุ่งเป็นผู้กล้าหาญชาญชัยในการสงครามมากเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นท้ายที่สุดท้าวฮุ่งก็สิ้นพระชนม์ลงด้วยน้ำมือของแถนลอ หรือ ขุนลอ ซึ่งเมื่อถ้าถือว่าท้าวฮุ่งเป็นกษัตริย์ไทยและเป็นเอกในเรื่องแล้วก็ไม่เคยมีเรื่องใดๆ จบลงด้วยอาการอันเศร้าสลดอย่างนี้ นอกจากจะกล่าวตามความจริง

อนึ่ง หนังสือคำกลอนเรื่องท้าวฮุ่งหรือขุนเจืองนี้ มีคนรู้จักกันน้อยทั้งนี้เพราะเหตุว่าอาจารย์ผู้เคร่งครัดในศาสนารุ่นต่อมาภายหลังแต่คำกลอนเรื่องนี้ได้อุบัติขึ้น ได้พากันห้ามไม่ให้เขียนหนังสือเรื่องนี้ลงไว้ในใบลาน ถ้าจะเขียนก็ให้เขียนใส่ผิวไม้ไผ่ และห้ามไม่ให้อ่านฟังในวัดวาอาราม ในงานบุญต่างๆ เว้นแต่บุญบั้งไฟอย่างเดียว โดยอ้างว่าหนังสือนี้เป็นเรื่องของคนบาปหนาสาโหด เป็นเรื่องนอกศาสนามิใช่เรื่องของพระโพธิสัตว์ มีแต่พรรณนาการดื่มเหล้าเมาสุราและลัทธิบูชานับถือผี ซึ่งผิดต่อคติธรรมในพุทธศาสนา ฉะนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ได้แพร่หลายไปทุกบ้านทุกเมืองเหมือนหนังสือคำกลอนเรื่องอื่น แต่ว่าเมื่อว่าถึงรสชาติหรือสาระของวรรณคดีภาคอีสานแล้ว คำกลอนเรื่องขุนเจืองนี้ก็มีรสชาติไม่ด้อยไปกว่าเรื่องสังศิลปชัย ที่ได้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมาแล้วนั้นเลย และที่ยิ่งกว่าสังศิลปชัยก็คือ ท่านผู้ประพันธ์เรื่องนี้ได้วางระเบียบกลอนอ่านวิชชุมาลีดั้น ของไทยภาคอีสานไว้อย่างไพเราะ และถูกต้องดี แถมยังมีแบบโคลงห้าดั้น และโคลงมหาสินธุมาลี เป็นภาษาหรือทำนองภาคอีสานอีกด้วย ซึ่งเราจะหาไม่พบในหนังสืออื่น ๆ เลย (แบบแต่งกลอนและโคลงเหล่านี้ ได้กล่าวไว้โดยถี่ถ้วนแล้ว ในแบบแต่งกลอนไทยเวียงจันทน์) นอกจากนี้ ถ้อยคำสำนวนในเรื่องล้วนแล้วไปด้วยคำโบราณใช้โวหาร​แปลกๆ เป็นที่น่ารู้น่าเรียนมาก แต่มีสิ่งที่น่าเสียดายมากที่สุด คือว่า ท่านผู้แต่งมิได้บอกวันเดือนปีที่แต่ง และนามของท่านไว้เลย

ในการชำระครั้งนี้เนื่องจากต้นฉบับที่เอามาชำระมีแต่ฉบับเดียว ไม่มีหลายฉบับสอบทานกัน จึงมีที่ขาดตกบกพร่องอยู่มาก แม้ในที่บางแห่งรู้อยู่ว่าเนื้อความขาดไปก็ไม่สามาถจะหาเพิ่มเติมให้ติดต่อกันได้ จึงได้ปล่อยไว้ตามเดิม หวังว่าถ้าได้พบต้นฉบับอื่นอีก และเอามาสอบทานกันชำระใหม่ในโอกาสหลังจะทำให้หนังสือนี้บริบูรณ์ได้เป็นแน่ อนึ่งในการชำระครั้งนี้ผู้ชำระมิได้แก้ไขเพิ่มเติม หรือตัดทอนของเก่าแต่อย่างใด แม้แต่การใช้อักษรก็พยายามรักษาไว้ตามหลักเดิม เป็นแต่จัดวรรคตอนให้เข้ารูปตามระเบียบกลอนเท่านั้น เว้นแต่ที่ไม่ได้ความจริง ๆ จึงแก้ไขใหม่ ที่ได้แก้ไขใหม่หรือเป็นโวหารของผู้ชำระก็ได้วงเล็บครอบไว้ให้รู้ด้วย.


สิลา วีระวงส์ ป.
พระนคร. ที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๕

ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 08 เมษายน 2568 18:22:50 »




ประวัติของท้าวฮุ่ง หรือ ท้าวเจือง
(จากพงศาวดารโยนก ของ พระยาประชากิจกรจักร)

​ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ ๓ ปี มีราชโอรสองค์หนึ่ง ประสูตรวันอังคารขึ้นค่ำ ๑ เดือน ๗ (คือเตือน ๕) ปีเถาะเอกศก จุลศักราช ๔๖๑ (พ.ศ. ๑๖๔๑) เวลาใกล้รุ่ง อาทิตย์ จันทร์ เสาร์ กุมกัน อยู่ราศีเมษ ราหูอยู่กุมภ์ พุธอยู่มิน อังคารอยู่มกร พฤหัสอยู่กรกฎ ศุกร์อยู่ดุล ลักขณาอยู่มิน ดังนี้


ชาตาท้าวฮุ่ง

โหรถวายพยากรณ์ว่า กุมารนี้จะเป็นจักรพรรดิราช ปราบชมพูทวีป พระราชบิดาให้ขนานนามว่า “ขุนเจือง” ในตำนานกล่าวว่า เมื่อประสูตินั้น เทพยดาเอาเครื่องทิพย์ ๓ ประการ คือ แส้ทิพย์ ดาบทิพย์ คนทีทิพย์ มาวางไว้ข้างพระกายกุมาร (แส้, และดาบเจืองยังตกอยู่กับข้าจรายบ้านก้อง จนทุกวันนี้) เมื่อขุนเจืองมีพระชนม์ได้ ๓ ขวบ พระมารดาประสูติราชบุตรอีกองค์หนึ่ง พระบิดาให้นามว่าขุนซอง (ในเรื่องนี้เรียกชื่อว่าอ้ายเจื่อง และว่าเป็นพี่ของขุนเจือง) ครั้นกุมารทั้งสองเจริญวัย ก็ได้ศึกษาศิลปศาสตร์เชิงช้างเชิงม้า และเพลงอาวุธต่างๆ ชำนิชำนาญทุกอย่าง ครั้นขุนเจืองมีอายุได้ ๑๖ ปี ไปคล้องช้างเมืองน่าน พญาน่านตนชื่อว่า พละเทวะ ยกราชธิดาผู้ชื่อว่านางจันทเทวี ให้เป็นมเหสีขุนเจือง แล้วขุนเจืองไปคล้องช้างเมืองแพร่ พญาแพร่ตนชื่อ พรหมวงศา ยกราชธิดาผู้ชื่อว่านางแก้วกษัตรี ให้แก่ขุนเจือง ครั้งนั้นขุนเจืองเป็นราชบุตรเขยแห่งพระยาน่านและพระยาแพร่ทั้งสองนคร ขุนเจืองมีช้างพังพลายใหญ่น้อยเปนอันมาก ในตำนานกล่าวว่า ได้ช้างเผือกพางคำเหมือนกันกับเรื่องเจ้าพรหมกุมาร ในตำนานสิงหนวัติเชียงแสน

ขุนจอมธรรมครองราชสมบัติในนครพะเยาโดยผาสุกประกอบชอบธรรมมาได้ ๒๔ ปี พระชนมายุได้ ๔๐ ปี ก็ได้เสด็จทิวงคต ลำดับนั้นขุนเจืองก็ได้ราชาภิเษกเสวยสมบัติในนครพะเยาสืบไป ครั้นล่วงมาได้ ๖ ปี มีศึกแกวมาติดเมืองหิรัญนครเงินยาง ขุนชินผู้ครองเมืองเงินยางมีราชสาส์นให้หมื่นเจตร หรือหมื่นพิจิตร เชิญมาถึงขุนเจืองว่า บัดนี้ท้าวกว่าและแองกายกรี้พลมามากนัก ขอเชิญขุนเจืองหลานเรารีบยกกำลังมาช่วยป้องกัน​เมืองโดยเร็ว ขุนเจืองได้ทราบแล้ว จึงให้เกณฑ์พลเมืองพะเยาและหัวเมืองขึ้นทั้งปวง คือ เมืองพร้าว เมืองลอง เมืองเทิง เมืองเชียงแลง เมืองครอบ เมืองกาว เมืองงาว เมืองออย เมืองพราน เมืองแจ้เลียงเชียงแจ้ เชียงตอ เชียงช้าง แจ้ขอด หนองขวาง แจ้หลวง แจ้เหียน แจ้ลุง แจ้หม เมืองวัง รวมได้คน ๑๓๓๐๐๐ ช้าง ๗๐๐ เชือก ม้า ๓๐๐๐ ตัว ออกตั้งทัพไชยประชุมพลณตำบลดอนชัยเบื้องตะวันตกหนองหาง แล้วยกทัพไปทางเมืองคัว เมืองเชียงตัง เชียงช้าง ไปถึงเมืองเงินยาง แล้วเข้าประจณกองทัพแกวแตกฉานไป ขุนชินผู้ลุงมีความโสมนัสยิ่งนัก จึงยกราชธิดาชื่อ “นางอั้วคำคอนให้เป็นภรรยาขุนเจือง” ขุนเจืองเวนราชสมบัติให้ลูกตนผู้ชื่อว่า ลาวเงินเรือง ครองเมืองพะเยา ให้ขุนชินครองเมืองเงินยางอย่างเดิม ส่วนขุนเจืองยกพลไปประจญเมืองลานช้าง ครั้นได้อาณาจักรล้านช้างแล้วก็ยกไปตีเมืองแกวปราบได้ประเทศแกวทั้งหมดแล้ว เกียรติยศก็ปรากฏระบือไปทั่วทุกทิศ ท้าวพระยาสามนตราชทั้งหลายมีพระยาห้อร่มฟ้าเก้าพิมานเป็นประธาน ก็มาชุมนุมกันยังตำบลเหิดในเมืองแกวปะกัน กระทำการพิธีกรรมปราบดาภิเษกขุนเจืองให้เป็นจักรพรรดิราชในเมืองแกว เมื่อปีขาล วันอังคาร เดือน ๔ (เดือน) ขึ้น ๙ ค่ำ เวลากองงาย จุลศักราช ๙๖

ครั้นขุนเจืองครองเมืองแกวได้ ๓ ปีกับ ๙ เดือนแล้ว จึงขอให้พระยาห้อร่มฟ้าเก้ พิมานแปลงลายจุ้มลายเจี้ยให้ลูกตนชื่อว่า ลาวเงินเรือง เป็นพระยาครองเมืองเงินยาง เชียงราว ส่วนขุนเจืองครองเมืองแกวได้ ๑๔ ปี มีราชบุตรกับนางอู่แก้วธิดาพระยาแภว ๓ องค์ ผู้พี่ชื่อท้าวอ้ายผาเรือง ผู้กลางชื่อยี่คำหวา ผู้น้องชื่อสามชุมแสง เมื่อโอรสทั้งสามเจริญแล้ว จึงให้โอรสองค์ใหญ่ครองเมืองแก้วประกัน ผู้กลางครองเมืองลานช้าง ผู้น้อยไปครองเมืองนันทบุรี (คือเมืองนาน) แล้วขุนเจืองก็ยกพลไปปราบเมืองต่างๆ จนถึงเมืองแมนตาทอกขอกฟ้าตายืน พระยาแกวแมนมีคนมาก ทำสะพานหินข้ามแม่น้ำออกมารบพระยาเจือง พระยาเจืองไม่เคยหนีศึก แม้เห็นพลแกวมามากเท่าใดก็มิได้ถอยหนี จนที่สุดขุนเจืองต้องอาวุธของข้าศึก สิ้นชีพอยู่กับคอช้าง คนของขุนเจืองก็กันเอาศพหนีเมือเมืองเงินยาง เมื่อขุนเจียงได้ครองราชสมบัตินั้น พระชนม์ได้ ๒๖ ปี ครองลานนาไทยได้ ๒๔ ปี ครองเมืองแกวได้ ๑๗ ปี รวมชนมายุได้ ๖๗ ปี


เรื่องย่อของ ท้าวฮุ่งหรือเจือง

​ท้าวฮุ่งหรือเจืองนี้ เป็นโอรสคนที่สองของขุนจอมธรรมผู้ครองนครสวนตาล หรือนาคอง ประสูติเมื่อวันอังคารยามแตรใกล้รุ่ง เดือนห้าเพ็ญ ปีขาล ได้ฤกษ์วิสาขะ พระญาติวงศ์พร้อมกันถวายพระนามว่าท้าวฮุ่ง (คือรุ่ง) แต่คนโดยมากเรียกว่าท้าวเจือง เมื่อประสูติใหม่ๆ พวกข้าพางดำได้นำดาบกล้ากับฆ้องเงินคู่หนึ่งมาถวาย ต่อมาท้าวฮุ่งก็ได้ช้างเผือกตัวหนึ่ง ชื่อว่าพานคำ นัยว่ามาจากป่าหิมพานต์

เมื่อเจริญวัยขึ้น พระบิดาสิ้นพระชนม์จาก ท้าวฮุ่งก็ได้พยายามส้องสุมกำลังทัพไว้มากเพื่อป้องกันเมือง ทุกๆ วันต้องออกทำการฝึกเพลงช้างเสมอ ในขณะที่ออกทำการฝึกเพลงช้างนี้เอง ได้ไปชอบพอกับนางง้อม หรือ ง้อมม่าน ธิดาเจ้าเมืองเชียงเครือ จึงแต่งให้แองคอนเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอ แม่ของนางง้อมนี้เป็นป้า คือเป็นพี่แม่ของท้าวฮุ่ง ฉะนั้นท้าวฮุ่งจึงเรียกนางง้อมว่าพี่ และว่าแม่ของนางง้อมนี้เป็นเมงบ้าง ขอมบ้าง แต่มารดาของนางง้อมเรียกเอาสินสอดมากเกินไป คือไถและงัวควาย อย่างละหมื่น สาวใช้สามพันคน และทองคำอีกมากมาย ท้าวฮุ่งไม่มีทรัพย์ที่จะจัดการตามกำหนดนี้ได้ เพราะในเวลานั้นได้ใช้ทรัพย์ส้องสุมกำลังเสียโดยมาก จึงลอบลักเป็นชู้กับนางง้อมในเวลาออกทำการฝึกช้างทุกคราวไป.

ในคราวนั้น ท้าวแองกา (แกว) ผู้ครองเมืองคำวัง (เป็นหลานของท้าวกว่า ผู้ครองเมืองปะกัน) เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์แล้วก็ได้ครองราชแทน จึงใคร่ได้มเหสีผู้คู่ควร ขณะนั้นอำมาตย์ทั้งหลายซึ่งมีนายแสงเป็นประธานได้ทูลให้เลือกหาหญิงกษัตรีซึ่งีมนามต่อไปนี้ คือ

        ๑) นางนครเชียงอิน (ว่าเป็นพี่น้องใกล้กันกับแองกา)

        ๒) นางผู้เป็นลูกของท้าวจอมจัง (ว่าอยู่ไกลนัก แองกาไม่ชอบ)

        ๓) นางแพงมา อยู่เมืองเชียงเชย (แองกาเกรงว่า บิดาของนางจะไม่ยินยอม)

        ๔) นางเอื้อยแอ่น (เมืองใดไม่ทราบ และแองกาไม่ชอบ)

        ๕) นางเมืองจีน หรือ นางแมน อยู่เชียงกา (ที่นั้นแองกาได้ทราบข่าวว่า ท้าวเลือนคำมาลอบรักเสมอ)

        ๖) นางในนครเอ็ดกอง (แองกาไม่ชอบ เพราะว่าทางไกลมาก)

        ๗) นางอั้ว นครเงินยาง (นางอั้วนี้เป็นธิดาของขุนซึ่มเจ้านครเงินยาง ขุนซึ่มนี้เป็นพี่ชายของขุนจอมธรรมซึ่งเป็นพ่อของท้าวฮุ่ง ฉะนั้นขุนซึ่มจึงเป็นลุงของท้าวฮุ่ง) นางนี้แองกาชอบใจ จึงแต่งให้นายแสงไปบอกน้า คือท้าวกว่าซึ่งอยู่เมืองปะกัน ท้าวกว่าก็ให้นายแสงเป็นทูตนำพระ​ราชสารมาถึงนครเงินยาง ขุนซึ่มก็รับสั่งให้ถามธิดาดูว่าจะยินยอมหรือไม่ นางอั้วตอบว่า เกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติยศ ดังคำว่า


            รือจัก ลอนพานให้อัปราไชย            ยศออกใดนั้น
            บ่กว่าเจ้าใจแจ้ง        ผ่อคาม หั้นถ้อน ฯ
            เฮาพร่ำ สร้างเครื่องไว้อานหอก            แหนตาว
            ครันว่า สมคามเชิญช่อยกัน        กวนข้า
            ยังสาวส้างแสนไท            เบื้องบ่าวโอมแล้ว
            ในโลก ใต้ลุ่มฟ้าให้ดูเบื้อง    บาปบุญ ว่าเนอ ฯ  

แล้วขุนซึ่มจึงตอบราชสารไปว่า นางอั้วจะได้ยกให้ท้าวฮุ่งผู้หลาน ในขณะเดียวกันนี้นางอั้วก็ได้เขียนหนังสือฝากไปถึงแองกา ใจความว่ามีความประสงค์จงใจอยู่เหมือนกัน มิใช่ว่าจะไม่รักก็หาไม่ แต่หากไม่อาจจะขัดขืนอาญาพระราชบิดาได้ นายแสงได้รับราชสารแล้วก็รีบกลับคืน ๑๐ วันถึงเมืองคำวัง เข้าเฝ้าท้าวแองกาถวายราชสารนั้น แองกาจึงให้ไปบอกแก่ท้าวกว่าผู้น้า ท้าวกว่าได้ทรงฟังก็โกรธว่าเราเป็นคนไปขอ แต่เขาไม่ยินดีกลับไปยกให้คนอื่น จึงสั่งให้นายแสงกลับคืนไปเจรจาอีก และสั่งเป็นคำเด็ดขาดไว้ว่าถ้าไม่ยอมยกให้โดยดี ก็เร่งคิดป้องกันเมืองไว้ นายแสงได้รับพระราชอาญาแล้วก็กลับไปนครเงินยาง เข้าเฝ้าท้าวซึ่มแล้วทูลตามดังท้าวกว่าสั่งมาทุกประการ ท้าวซึ่มได้ทรงสดับก็พิโรธตรัสว่า

            กูอยู่ สร้างก่งท้าวเสวยราช          เงินยาง  
            ใผไป่ จาคำหลอนดั่งสู        ฝูงม้อย
            โอมนางฮู้จาผวน          ต้านเติบ สันนี้
            บ่ใช่ เชื้อลูกข้อยจิงแท้            กล่าวควร ฯลฯ

ดังนี้แล้วขับไล่นายแสงให้กลับไป นายแสงนำความทูลท้าวแองกาและท้าวกว่าตามดั่งพระเจ้าเงินยางตรัสทุกประการ ท้าวกว่าและแองกาจึงยกพลโยธาออกมาเพื่อปราบปรามนครเงินยาง มาพักแรมที่เชียงบานหนึ่งราตรี แม่ทัพคนสำคัญของท้าวกว่าในคราวนั้นคือ หุนบัง ๑ กวานแก ๑ อ้ายก่ำ ๑ แมนฟองอยู่เชียงฮม ๑ แก้วทองอยู่ ๑ เชียงฮัง ๑ แมนสม ๑ งอดป่อง ๑ เชียงผา ๑ ท้าวแดดอยู่ผาแท่น ๑ แกวก่อง ๑ อ้ายหิ่ง ๑

คราวนั้น ท้าวกว่าได้ให้นายมาดไปถามหนทางกับพวกข้า และบอกให้พวกข้าเตรียมกองทัพไปช่วยด้วย นายมาดได้ไปหาอ้ายหาด (หัวหน้าข้าผาหลอด) และสามมะเหง (หัวหน้าข้าภูทุ่ม) ฝ่ายอ้ายหาดและสามมะเหงก็ยกพลล่วงหน้ามา ถึงกลางทางจึงปรึกษากันว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกันกับขุนซึ่ม และได้พึ่งพาอาศัยกันอยู่ ควรจะไปบอกให้ขุนซึ่มเตรียมตัวป้องกันเมือง ปรึกษากันแล้วขุนข้าทั้งสองก็รีบยกพลเข้าถึงเมืองเงินยาง ให้นายพวงล่ามพาเข้าเฝ้าทูลเหตุการณ์แด่ขุนซึ่มทราบทุกประการ ขุนซึ่มจึงแต่งทัพออกรับกองทัพแกวมีแม่ทัพคนสำคัญคือ งัววาด ๑ ​คายวง ๑ สามมะเฮียว ๑ นายจันเจ้าหนองตัง ๑ อ้ายหาด ๑ สามมะเหง ๑

กองทัพเมืองเงินยางออกต่อต้านกองทัพแกวไม่อยู่ จึงถอยเข้าตั้งอยู่ในเมือง แล้วขุนซึ่มจึงแต่งให้นายพวงถือราชสารไปเชิญท้าวฮุ่งมาช่วยป้องกันเมือง ท้าวฮุ่งได้รับราชสารแล้วจึงจัดแม่ทัพนายกองเมืองสวนตาลได้ อ้ายคว่าง ๑ แองคอน ๑ เหงพัน ๑ หานพาย ๑ ขุนคาน ๑ คอนชาย ๑ จ่าซ้อน ๑ ฝ่ายนางง้อม (คู่รัก) จึงจัดช้างไปช่วย ๒๐ ตัว กับแม่ทัพนายกองคือ ขุนเกื่อน ๑ ขุนเพง ๑ ขุนยี ๑ เยียคำ ๑ ไชยลือ ๑ แองผาย ๑ อ้ายผอง ๑ ขุนคอน ๑ ท้าวซ้อย ๑ ท้าวฮุ่งยกทัพออกไปสมทบกับพวกข้าพางดำอีกแล้วเลยยกไปถึงนครเงินยาง เข้าตีกองทัพแกวที่ตั้งล้อมเมืองอยู่ให้แตกไปแล้วยกทัพเข้าตั้งอยู่ในเมือง พอรุ่งเช้าก็ยกพลออกต่อตีกับกองทัพแกวเป็นสามารถ กองทัพแกวสู้ไม่ได้ก็เลยแตก ท้าวกว่าตายในที่รบ ขุนเยียจับแองกาได้แม่ทัพแกวตายคือ แกวก่ำ ๑ แมนเฮียว ๑ แกวเผือก ๑ แมนเปียว ๑ แมนเฮือง ๑ แมนผา ๑ เผือกเหลือง ๑ ที่แตกหนีจับไม่ได้นั้นคือ กวานแก ๑ แมนฟอง ๑ ท้าวป่ง ๑ หุนบัง ๑ แก้วทอง ๑ แมนลาย ๑ เชียงฮัง ๑ ฝ่ายท้าวฮุ่งเสียไพร่พลไปสามพันคน จับแกวเป็นเชลยศึกได้ ๓ หมื่นคน

ครั้นแล้วท้าวฮุ่งก็จัดแจงไพร่พลยกไปตามตีกองทัพแถวที่แตกพ่ายไป คราวนั้นจัดช้างได้ ๑๓๐๐๐ ตัว ม้า ๓ แสนตัว รวมแม่ทัพทั้ง ๓ นครเข้าด้วยกัน คือ เมืองสวนตาล เมืองเชียงเครือ เมืองเงินยาง มีแม่ทัพอยู่ ๒๗ คน คือ

        ๑) คอนซาย ขี่ช้างคูนเมือง

        ๒) ขุนฟอง ขี่ช้างสีดา

        ๓) อ้ายคว่าง ขี่ช้างรังสี

        ๔) อ้ายหาด ขี่ช้างขนันเมือง

        ๕) ขุนเพียง ขี่ช้างขัวสะพาน

        ๖) หานพาย ขี่ช้างเสมอใจ

        ๗) สามมะเหง ขี่ช้างแผ้วแผ่นฟ้า

        ๘) แองคอน ขี่ช้างศรีเมืองพัน

        ๙) คำยวง ขี่ช้างไฟลวบพื้น

        ๑๐) นายจัน ขี่ช้างลมหยั่น

        ๑๑) นายจันหนองตัง ขี่ช้างฉัททันต์

        ๑๒) งัววาด ขี่ช้างทินกร

        ๑๓) นายพวง ขี่ช้างฟ้าหลั่ง

        ๑๔) พลสว่าย ขี่ช้างแถนคูน

        ๑๕) ขุนคาน ขี่ช้างแพงกว่าชู้

        ๑๖) ขุนแพง ขี่ช้างพิมาน

        ๑๗) อ้ายไค่ ขี่ช้างไค้แผ่นฟ้า

        ๑๘) อ้ายเกื่อน ขี่ช้างไฟไหม้บาดาล

        ๑๙) จ่าซ้อน ขี่ช้างไฟลวบ

        ๒๐) ขุนยน ขี่ช้างธงลุ่มฟ้า

        ๒๑) สามมะเฮียว ขี่ช้างแผนเขื่อนขั้น

​        ๒๒) ขุนเยีย ขี่ช้างพรหมดา

        ๒๓) อ้ายง่ำ ขี่ช้างป่วยเค้า (ข้าภูมอน)

        ๒๔) อ้ายผ่อง ขี่ช้างง้าวถนิมแก้ว

        ๒๕) พิมมะบาล ขี่ช้างลวงสิ่วฟ้า

        ๒๖) ขุนซ้อย ขี่ช้างไฟไหม้บาดาล

        ๒๗) ไชยลือ ขี่ช้างทองกือ

แล้วจัดให้อ้ายคว่างและแองคอนเป็นหัวกลาง ไชยลือเป็นปีกขวา นายพวงกับพนสว่างเป็นปีกซ้าย เคลื่อนพลออกจากเมืองเงินยางเมื่อเดือนห้า นางอั้วขี่ช้างพังเหินคือมาด นางอามคายขี่ช้างอินกองตามไปส่งถึงแดนดินเมืองเงินยางอันชื่อว่า เชียงขวัญ ที่นั้นท้าวซึ่มไปปลูกที่พักระดูเดือนห้าไว้ ยกจากเชียงขวัญไปถึงท่ายองผาหลอด เก็บได้ช้างม้าของหุนบังเป็นอันมากเพราะหนีไม่ทัน จากนั้นไปพักภูทุ่ม ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกข้าพางดำ ระยะทางจากภูทุ่มถึงเมืองปะกันวันเดียว ดังคำพวกข้าทูลท้าวฮุ่งว่า


            เขาก็ นับดูด้วยกระบวนทาง        ทูลราช
            ผิจัก ตั้งแต่งใช้คราวมือ          ฮอดปะกัน ฯ
            ยามพุกได้เทยาด            นี้แล้ว
            เขาก็ มวนพลขันต่อตี      ตาต้อน ฯลฯ

รุ่งเช้าท้าวฮุ่งยกเขาตีเมืองเชียงบาน ในเมืองเชียงบานนั้นว่ามีช้างอยู่ ๑๐๐๐ ตัว คนหาญแสนคน เขตแดนเมืองเชียงบานติดต่อกับแดนของสีทน, เขม และ ห้อ กองทัพเชียงบานแตกในตอนเช้านั่นเอง ท้าวฮุ่งจับได้ แกวเผิง ท้าวแดด แมนเฮือน ส่วนแกวเฮือกกระโดดช้างหนีได้ ก็รีบไปบอกมเหสีของท้าวกว่าที่เมืองปะกัน นางกว่าจึงจัดพลออกต่อสู้ รุ่งเช้ากองทัพท้าวฮุ่งตามไปถึงเมืองปะกัน ในขณะนั้นข้าพางดำได้ทูลชี้บอกบริเวณเมืองปะกันดังนี้ คือ

        ๑) แองกา (หลานท้าวกว่า) อยู่ปราสาทมโนรมย์ เบื้องสวน

        ๒) แก้วก่อง อยู่เชียงกง ด้านทุ่ง

        ๓) หุ่นบัง อยู่เชียงสม

        ๔) ฟ้าเลื่อน อยู่ผาวัง ด้านเหนือ

        ๕) นายจวง อยู่เชียงคาน ด้านช้างดอย

        ๖) แกวทอง อยู่เชียงฮัง

        ๗) ชีวาต อยู่เมืองพาน

        ๘) นายจัน อยู่เชียงเทศสรวงทอง ปกครองถึงเขตแดนทายทู้

        ๙) กวานแก อยู่เชียงทอง

        ๑๐) แกวเฮื่อ อยู่เชียงกาง

        ๑๑) กางกว่า ( มเหสีท้าวกว่า) อยู่ในนครปะกัน

นางกว่าเกณฑ์พลออกต่อรบเป็นสามาถ พอตาวันบ่ายท้าวฮุ่งก็ปราบได้ นางกว่าตายในที่รบ แล้วท้าวฮุ่ ก็เข้าจัดการปกครองเมืองปะกันต่อไป คือ

​        ๑) ให้ขุนเยีย กินนาขวาง กำกับพวกส่วยช้าง

        ๒) ให้แองคอน กินนาดี เชียงบาน ที่นั้นเก็บส่วยได้มาก เพราะเป็นที่รวมการค้าขายมีตลาดลาดลีมาก

        ๓) ให้คอนซาย กินนาไป่กองทูน ที่นี่เก็บเข้าได้มาก

        ๔) นาปัจฉิม ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกับผาหลอด ยกไว้ให้นางเม็ง (นางง้อม)

        ๕) นาคำ แดนดินของแกวก่ำมอบให้ไชยลือ

        ๖) นาเพียงผาทาม ให้แองผาย

        ๗) นาของแมนเลือนยกไว้เป็นนาน้อย

        ๘) นาของแมนไฟให้ขึ้นกับเงินยาง

        ๙) นาดีเชียงขวัญ สวนหมาก สวนพร้าว มอบให้นางอั้ว

        ๑๐) นาดงจันมอบให้นางอามคาย

        ๑๑) นาคำวัง มอบให้อ้ายเกื่อน

        ๑๒) นาแกวเฮือก เบื้องตาวันออกซึ่งมีเขตแดนติดกับแดนจีน ยกให้พลสว่าย

        ๑๓) นาริมทาบางบิน ยกให้อาวพวง

        ๑๔) นาเพียงภายนอก ยกให้จ่าซ้อน

คราวนั้นท้าวฮุ่งได้ลูกสาวพญาแก้ว ๘ คน คือ นางขวัญ ๑ นางเกิด ๑ นางเวียน ๑ นางเลา ๑ หรือ ลาว ๑ นางพรหม ๑ นางอู่แก้ว ๑ นางสม ๑ นางมุน ๑ ในคราวนั้นอำนาจของท้าวฮุ่งแผ่ไปถึงหัวเมืองต่างๆ เหล่านี้ คือ

        ๑) เมืองผาทาย วอแต (หอแต)

        ๒) เบื้องซ้ายถึงเชียงใหม่ผมเฝือ

        ๓) เบื้องเหนือ ถึงห้อหัวแดง

        ๔) ทิศใต้ถึงเมืองต่างประเทศ คือ จีน จาน

        ๕) เบื้องกลาง ถึงย่ายยองและพวกแง้ว ตลอดถึงพวกเขม ขอม และม่าน ดังคำว่า


            เบื้องฝ่ายใต้เชียงเทศ          จีนจาม ก็เถิง
            ภายกลางเถิงย่ายยอง          ฝูงแง้ว  
            นามกรก้ำเขมขอม        เมืองม่าน ก็เถิง

       ๖) ภายต่างใต้เมืองมิ่ง แมนเฮียวก็เถิง

        ๗) พวกแมนหัวเขียว แมนเอิกป่อง ก็ถึง

        ๘) พวกหุนบังแมนไฟ ก็มาไหว้ พวกข้าคางลายก็มาไหว้

ท้าวฮุ่งตั้งให้อ้ายคว่างเป็นผู้ปกครองหัวเมืองแกวทั้งหมด แล้วท้าวฮุ่งก็ยกทัพกลับเงินยางผ่านมาทางเชียงบานผาหลอด ๑๐ วันถึงเงินยาง เมื่อถึงเงินยางแล้วจึงตั้งให้หานพายเป็นเมืองแสน แองคอนเป็นเมืองขวา อ้ายผ่องเป็นเมืองซ้าย อ้ายง่ำเป็นแสนนา สำเร็จแล้วท้าวฮุ่งจึงแต่งให้เถ้าแก่ไปสู่ขอนางง้อม และพร้อมกันนี้ท้าวฮุ่งได้เชิญนางจอมมารดาไปครองเมืองเชียงทองในเขตแดนเมืองปะกัน ส่วนท้าวฮุ่งอยู่ครองเมืองเงินยางนานได้ ๑๗ ปี ได้โอรสจากนาง​ง้อมองค์หนึ่งชื่อว่าท้าวคำฮุ่ง

ครั้งหนึ่งท้าวฮุ่งออกไปประพาสป่า ในคราวนั้นมีแขกเมืองต่างประเทศมาถวายบรรณาการเป็นอันมาก แองคอนเป็นล่ามนำเข้าเฝ้า คือ

        ๑) ห้อใหญ่ หนองแส

        ๒) พญาฟ้าฮ่วนเมืองตุมวาง

        ๓) เมืองจีน

        ๔) เมืองพะโค เมืองม่าน เมืองชวา

        ๕) เมืองผายีและหมู่เขม และลื้อ

ฝ่ายพระมเหสีอยู่เบื้องหลังไม่ถูกกัน นางอั้วเบียดเบียนนางง้อม จนนางง้อมต้องกลับไปเมืองเชียงเครือกับคำฮุ่งผู้โอรส เมื่อท้าวฮุ่งได้ทราบก็รีบยกพลไปตามนางง้อม อีกทางหนึ่งให้ไปเชิญพระมารดามาจากเมืองเชียงทองพร้อมด้วยพวกแม่ทัพทั้งหลาย เว้นไว้แต่อ้ายคว่างให้อยู่รักษาเมือง ขณะนั้นหุนบังกับอ้ายหิ่งซึ่งแตกหนีไปอาศัยอยู่กับพญาฟ้าฮ่วนเมืองตุมวางนั้น ได้ลอบยกพลเข้ามาตีหัวเมืองเขตแดนเมืองปะกัน อ้ายคว่างจึงส่งข่าวมาถึงท้าวฮุ่ง ๆ จึงยกกองทัพไปปราบหุนบังและอ้ายหิ่งอีก เวลาไปผ่านไปทางเมืองเชียงเชย เจ้าเชียงเชยไม่สู้และยอมยกนางแพงมาศให้ด้วย ท้าวฮุ่งจึงยกไปถึงตุมวาง ส่งขุนคอนเข้าไปเจรจาขอให้เจ้าฟ้าฮ่วนส่งตัวหุนบังกับอ้ายหิ่งออกมาให้ ฟ้าฮ่วนไม่ยอมส่ง และกล่าวท้าทายว่า ถ้าท้าวฮุ่งขืนรบ ก็จะไปขอกองทัพแมนตายืน แมนเอิกป่อง แมนหลวง มาช่วยป้องกัน (ตามเรื่องท้าวฮุ่งเรียกพวกแมนเหล่านี้ว่าพวกผีบ้าง แมนตาทอกเจ็ดไหบ้าง ชาวหนองแสบ้าง ดังค่าว่า


            บ่าวยี่ได้แมนปลีก          ตัดคอ
            ชาวหนองแสปลีกหนี       วางด้าง)

ท้าวฮุ่งได้ทรงฟังก็โกรธจึงขับทัพเข้าต่อยุทธ พวกแมนเมืองตุ้มวางออกต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก จนเหม็นโขลงทั่วทุ่ง เจ้าฟ้าฮ่วนจึงได้ถอยทัพเข้าในเมือง แล้วแต่งให้แมนสมออกมาขออ่อนน้อม ฟ้าฮ่วนขอมอบเมืองแลนางคำหยาดผู้น้องสาวให้ ท้าวฮุ่งจึงปรึกษากับแม่ทัพทั้งปวงดูว่าจะควรประการใด ขณะนั้นอ้ายคว่างทูลว่า ไม่ควรละให้เพราะเขาอวดอ้างดีนัก ฉะนั้นท้าวฮุ่งจึงรับสั่งกับแมนสมว่า ให้ฟ้าฮ่วนจับตัวหุนบังและอ้ายห่ิงส่งให้แล้วจะเลิกทัพกลับเมือง แมนสมกลับไปทูลฟ้าฮ่วน ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงแต่งทหารม้าใช้สองคนขึ้นไปเชิญแถนลอลงมาช่วย และว่าแถนลอนั้นอยู่เมือง “กาหลง” ดังคำว่า

            พระบาทเจ้าล้านโลก        แถนลอ
            ธรรม์ยำ กินกาหลงอยู่เกษม        ญูสร้าง
            ทุกไทพร้อมขุนแถน      เลยกล่าว
            วอนพระน้าวใจแจ้ง          ช่อยพล ฯ

สองนายใช้ไปถึงเจ็ดแคว ที่นั้นมีบันไดพาด​ขึ้นไปเมืองแถน สองนายใช้ขึ้นไปแล้วก็เข้าไปเล่าเหตุให้แถนฟัง แถนลอจึงยกทัพลงมาตามลำดับทาง ตัวท่านแถนลอเองทรงเกวียนมาถึงย่านคาเขียวแมนฟองออกไปเฝ้า จากนั้นลงมาถึงนครหลวง ที่นั้นว่าเป็นที่อยู่ของแมนผ้าลาย หรือยางกาว จากที่นั้นจึงมาถึงตุมวาง แล้วแถนลอจัดทัพออกสู้ท้าวฮุ่งดังนี้ แถนเล็มเป็นปีกขวา แถนวีเป็นปีกซ้าย เจ้าฟ้าฮ่วนเป็นหัวกลาง ตัวท่านแถนลอทรงเกวียน รบกันครั้งนี้ตายมากทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายท้าวฮุ่งแม่ทัพตายเกือบหมด ท้าวฮุ่งสู้ไม่ได้จึงถอยกลับคืนมาตั้งอยู่ในเมืองปะกัน แล้วใช้ให้พิมมะบาลถือราชสารลงมาบอกขุนซึ่มพ่อตา และอ้ายเจื่อง (พี่ชาย) อยู่เมืองสวนตาลและเมืองเชียงเครือให้ยกทัพไปช่วย ในขณะนั้นนายพวงจึงทูลว่า เกรงจะสูญพงศ์พันธุ์ ขอให้เอาลูกหลานคืนไปไว้เมืองเงินยางก่อน ท้าวฮุ่งเห็นชอบด้วยจึงให้นายพวงนำเอาท้าวคำเคื่องและท้าวคำฮุ่ง กับนางจอม (มารดา) และนางมุน นางแพงมาศ กลับคืนนครเงินยางโดยเร็ว ฝ่ายท้าวฮุ่งออกสู้รบกับพวกแมน ก็เลยสิ้นพระชนม์ในที่รบนั่นเอง ฟ้าฮ่วนจึงใช้ให้นายเวียนขึ้นม้าไปตามเอานางจอมและคำฮุ่งคำเคื่องกลับคืนมา ว่าจะอภิเศกให้ครองเมืองปะกันต่อไป นายเวียนตามไปทันอยู่กลางป่า แต่นางจอมไม่ยอมกลับ ก็พาเอาหลานสองคนคืนไปถึงนครเงินยาง

ต่อนี้ไป กล่าวว่าท้าวฮุ่งเมื่อตายแล้วก็เกิดเป็นผู้มีกองทัพเหมือนเมื่อยังเป็นอยู่ จึงยกทัพขึ้นไปเมืองแถนผ่านไปเมืองคาเขียว แองคอนเข้าไปถามหนทางไปเมืองฟ้ากับพวกไทแอง ต่อแต่นั้นก็ไปถึงกะไดลิง จากกะไดลิงก็ไปถึงแม่น้ำลินคำใกล้เมืองเลียนพาน ท้าวฮุ่งจึงให้ขุนคอนเข้าไปบอกแถนชั่งเจ้าเมืองเลียนพานออกมาอ่อนน้อม แต่แถนชั่งไม่ยอมท้าวฮุ่งก็ยกพลเข้าตีได้เมืองเลียนพาน แล้วให้ขุนคอนขึ้นไปบอกพระอินทร์ ๆ กลัวจึงมอบเมืองสรวงให้ท้าวฮุ่งครอบครอง และมอบแถนทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจ ท้าวฮุ่งก็เดินทัพขึ้นไปถึงเมืองกองทูน แถนลม เจ้ากองทูนออกมาไหว้ จากกองทูนไปถึงเมืองกำมาพักแรมที่นั้น แถนงวงเจ้าเมืองกำมาออกมาต้อนรับ จากนั้นก็ขึ้นเสวยเมืองสรวง แล้วพวกแถนทั้งหลายก็ออกมาอ่อนน้อม คือ แถนงวง แถนเม็ง แถนมิ่ง แถนโกไก แถนถ่าว แถนเฟื่อง แถนหมอก แถนตากาปิน แถนลิง แถนลม แถนส่อง

ฝ่ายอ้ายเจื่อง (พี่ชายท้าวฮุ่ง) และท้าวคำเคื่อง คำฮุ่ง (โอรส) และขุนซึ่ม (พ่อตา) มีความโกรธมากจึงเกณฑ์สูรโยธาคืนไปต่อรบกับพญาฟ้าฮ่วนอีก และได้เกณฑ์เอาพวกเมืองทวายและหอแตไปด้วย ผ่านไปเมืองเชียงคาน แล้วไปเชียงเชย ถึงตุมวางได้ต่อรบกันเป็นสามารถ สุดท้ายเจ้าฟ้าฮ่วนตายในที่รบ และกองทัพเมืองเงินยางก็เข้าเมืองได้ ฯ


สิลา วีระวงส์

พระนคร วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๕



ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 12 เมษายน 2568 18:25:08 »




ขุนเจืองออกลูก

​ขุนเจือง คือใคร ? เป็นคนชาติใด ? ท่านผู้รู้รวมทั้งท่านผู้ชำระหนังสือนี้ได้วิจารณ์ไว้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนนอกสังเวียนแห่งการวิจารณ์ในข้อนั้น ในที่นี้ขอพิจารณาข้อที่ท่านผู้อื่นไม่เถียงกัน คือความเก่งเยี่ยงขุนเจือง

แม้ขุนเจืองเก่งสักเท่าไร ถ้าไม่มีผู้แต่งหนังสือไว้แล้ว ขุนเจืองก็กลายเป็นคนไม่มีตัวแน่แท้ แต่นอกจากขุนเจืองจะเก่งดังท้องเรื่องแล้ว หนังสือเจืองเป็นวรรณคดีชิ้นเอกอีกด้วย จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะนับว่าผู้แต่งหนังสือขุนเจืองเป็นคนสำคัญยิ่งกว่าขุนเจืองเสียอีก และควรที่นักค้นคว้าจะตามตัวให้พบจงได้

หนังสือทำนองหนังสือขุนเจืองก็ดี หนังสือประเภทอื่นที่เป็นแบบแผนภาษาโบราณแถบบ้านขุนเจืองก็ดียังมีอีกมาก แต่จะได้ไปเสียไหนน่าติดตามให้ได้จะได้พบสิ่งอื่นนอกจากคนเก่ง และหนังสือไพเราะเช่นหนังสือเจืองนี้อีก เช่น ขุนเจืองที่ว่าเก่งกาจนักนั้น ก็ตายด้วยฝีมือคนเก่งด้วยกัน หนังสือศิลปชัยที่นิยมกันมานานว่าเป็นหนังสือไพเราะนักหนาก็มามีหนังสือเจืองเป็นคู่ปรับอีกณบัดนี้ “เก่งกว่าเก่งย่อมมีอยู่เสมอและในทุกสมัย” ฉะนี้ถ้าช่วยกันเสาะหาให้ดีจะได้พบ “เก่งยิ่งกว่าเก่ง” ของแถบถิ่นบ้านขุนเจืองอีกเป็นแน่นอนและความเก่งใช่จะมีแต่ในทางการรบอย่างขุนเจืองหาไม่ ความเก่งในทางอื่นยังมีเช่นผู้แต่งหนังสือเจืองเก่งทางประพันธ์เป็นต้น การค้นทางหนังสือจึงพบสิ่งอื่นไปด้วยและพาให้เป็นโซ่สาวมาถึงสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เคยมีคำถามเสมอว่าทำไมคนอีสานจึงรักสงบ? มีอาชญากรรมน้อยกว่าภาคอื่นในจำนวนพลเมืองเท่ากัน ? ทำไมการอุสาหกรรมในครอบครัว (Home Industry) จึงมีมาไม่ขาดสายในราษฎรภาคอีสาน ทำไมคนภาคอีสานจึงรู้จักมักคุ้นกัน แม้อยู่ห่างไกล คนบ้านใกล้เรือนเคียงรู้จักกันง่าย สนิทกันเร็ว ประเพณีต่าง ๆ เช่น บุญบั้งไฟ ลงข่วง งันเรือนดี การค้ำแขกเวลามีงานทำบุญ ฯลฯ มีมาแต่ครั้งไหนอย่างไร ? มีส่วนดีหรือมีแต่ทางเสีย สิ่งที่ดีนั้นๆ ควรเสาะทวนหลังว่าใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นคนเก่งทางรัฐศาสตร์ให้คนรักสงบเป็นนิสัยมรดกมา ใครเป็นคนเก่งทางเศรษฐกิจหรือไม่มี ใครเป็นคนเก่งทางสังคมให้คนรักความเอื้อเฟื้อเจือจุนกัน ค้นให้ดีจะได้พบเรื่อยไป โดยนัยนี้ท้าวเจืองคนเดียวพาให้ค้นหาคนเก่งในหลายๆ ทาง จึงขอตั้งชื่อว่าท้าวเจืองออกลูก

วิธีการค้นนี้คนสมัยใหม่บางคนตั้งลัทธิติทำลาย กล่าวคือขอให้พบของเก่าเข้าเท่านั้น เป็น​ต้องตั้งหน้าทำลาย เพราะมองไม่รอบเป็นวงกลม เห็นเป็นพ้นสมัยไปหมด หนังสือสังฮอมธาตุว่าเหลวไหล บุญบั้งไฟเป็นงานของคนป่า ระบอบคงปู่ตาเป็นเรื่องถือผี ฯลฯ ถ้ามีคนจำพวกนี้มากเข้าก็เป็นอันเชื่อได้แน่นอนว่า คนจำพวกขุนเจือง หนังสือจำพวกหนังสือศิลปชัย, สมที่คึด, สุดที่อ่าว จะต้องสูญชื่อไปจากโลกหมด น่ายินดีที่คนอย่างคุณสิลา วีระวงส์ ยังมีตัว และไม่อยู่ในจำพวกที่กล่าวแล้ว

ความเป็นเอกราชของชาติเป็นแม่ของเก่งทั้งมวล ขุนเจืองเก่งและเป็นเหตุให้เกิดหนังสือเจืองออกลูกไปหลายอย่างดังกล่าวนี้ก็ดี แต่ขุนเจืองไม่เก่งในการรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้ ฉะนั้นโดยหลักที่กล่าวเมื่อกี้นี้ พาให้ความเก่งอืนๆทั้งหมด คนเก่งทั้งหลายต่อมาหรือที่พึ่งจะมีต่อมาจากขุนเจืองจึงต่างก็หายไปสิ้น โดยนัยนี้ขุนเจืองจึงควรได้ชื่อว่าเป็นหมัน ถ้าขุนเจืองเก่งในการรู้โลกในทางนี้อีกก็คงไม่หมันแน่

บรรพบุรุษของไทยจนถึงเราคนไทยปัจจุบัน รักษาเอกราชของชาติมาได้โดยสวัสดี ขุนเจืองเป็นไทยหรือเทศก็ตาม เอกราชของไทยยืนยงคงรอดมาได้จนบัดนี้ มิใช่เพราะขุนเจืองโดยตรง จึงกล่าวได้ว่าท่านผู้นำเอกราชมาได้นั้น เก่งกว่าขุนเจือง

“รู้โลกดีกว่ารู้วิชา รู้รักษาชาติรอดเป็นยอดคน”

ขอยุติลงด้วยความปรารถนาว่ากุศลผลบุญได้ที่เกิดจากการบำเพ็ญณคราวนี้ จงบันดาลให้กุลบุตรธิดาทั้งปัจจุบันและอนาคตจงเป็นคนเก่งกว่าขุนเจือง และกว่าพวกเก่งในทุกทาง เทอญฯ

ฟอง สิทธิธรรม


ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.906 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 11 มิถุนายน 2568 00:24:16