[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 01:44:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๒๗ ทธิวหนชาดก : พระเจ้าทธิวาหนะ  (อ่าน 333 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 11 เมษายน 2568 17:21:06 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๒๗ ทธิวหนชาดก
พระเจ้าทธิวาหนะ

             ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พราหมณ์สี่คนพี่น้องในแคว้นกาสีบวชเป็นฤๅษีสร้างบรรณศาลา อาศัยอยู่ตามลำดับกันไปในป่าหิมพานต์ เมื่อไม่นานพี่ชายใหญ่ของพวกพราหมณ์ถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นท้าวสักกะ ได้เพียงเจ็ดแปดวัน จะเสด็จไปดูแลดาบสเหล่านั้น เมื่อพระดาบสทั้ง ๓ ตนรู้ว่าดาบสผู้พี่เกิดเป็นท้าวสักกะ จึงเสด็จไปนมัสการดาบสผู้พี่ประทับนั่ง พระดาบสผู้พี่ตรัสถามว่า “ท่านต้องการอะไร” ดาบสผู้น้องจึงบอกไปว่าตนเป็นเป็นโรคผอมเหลือง ต้องการไฟ จึงถวายพระพรว่า “อาตมาต้องการไฟ”
              ท้าวสักกะจึงประทานพร้าโต้ให้ พระดาบสถวายพระพรว่า “ใครจะใช้พร้านี้หาฟืนมาให้อาตมาได้เล่า”
              ท้าวสักกะจึงรับสั่งดาบสนั้นว่า “หากพระคุณเจ้าต้องการฟืน ก็จงเอามือตบพร้าโต้นี้แล้วสั่งว่า จงหาฟืนมาก่อไฟให้เรา พร้าโต้นั้นก็จะหาฟืนมาก่อไฟให้” จากนั้นท้าวสักกะประทานพร้าให้แก่ดาบสนั้นแล้ว จึงเข้าไปหาดาบสรูปที่สอง ตรัสถามว่า “ท่านต้องการอะไร” อาศรมของดาบสนั้นเป็นทางเดินของช้าง ดาบสคนที่สองจึงกล่าวกับท้าวสักกะว่าถูกช้างรบกวน จึงถวายพระพรว่า “อาตมาลำบากเพราะช้าง ขอให้ไล่มันไปเสียเถิด”
              ท้าวสักกะจึงทรงมอบกลองใบหนึ่งให้แก่ดาบสนั้นแล้วรับสั่งว้า “เมื่อพระคุณเจ้าตีกลองด้านนี้ ข้าศึกจะหนีไป ตีด้านนี้ เขาจักมีเมตตาห้อมล้อมท่านด้วยกองทัพทหารมาห้อมล้อมรักษา” ครั้นประทานกลองใบนั้นแล้ว จึงเสด็จไปยังสำนักของดาบสผู้น้องแล้วตรัสถามว่า “พระคุณเจ้าต้องการอะไร” แม้พระดาบสรูปนั้นก็เป็นโรคผอมเหลือง เพราะฉะนั้นจึงถวายพระพรว่า “ต้องการนมส้ม” ท้าวสักกะจึงประทานหม้อนมส้มใบหนึ่งแก่ดาบสนั้น แล้วมีรับสั่งว่า “ถ้าพระคุณเจ้าต้องการก็จงรินหม้อนี้ จะเกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ ในห้วงน้ำใหญ่ไหลไป ทั้งยังสามารถเอาราชสมบัติให้ท่านได้” ครั้นรับสั่งแล้วก็เสด็จกลับ
              ตั้งแต่นั้นมา พร้าโต้ก็ก่อไฟให้ดาบสผู้พี่ เมื่อดาบสรูปที่สองตีกลอง ช้างก็หนี ดาบสผู้น้องก็ฉันนมส้ม
              ในครั้งนั้นมีสุกรตัวหนึ่งเที่ยวไปที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ได้พบแก้วมณีที่ทรงอานุภาพ มันจึงคาบแก้วมณีนั้นแล้วเหาะไปบนอากาศ ด้วยอานุภาพของแก้วมณีไปถึงเกาะแห่งหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทร คิดว่า เวลานี้เราควรอยู่ที่นี่ แล้วลงพักใต้ต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง ในที่อันสำราญ
              วันหนึ่งมันวางแก้วมณีไว้ข้างหน้าแล้วก็หลับไปที่โคนต้นไม้นั้น ครั้งนั้นมีชายแคว้นกาสีคนหนึ่ง ถูกมารดาบิดาไล่ออกจากบ้าน เขาจึงเดินไปหาสมัครงานเป็นกรรมกรของชาวเรือโดยสารเรือไป ครั้นเรืออับปางกลางสมุทร จึงนอนบนแผ่นกระดานไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง เที่ยวแสวงหาผลไม้ สักพักเขาเหลือบเห็นสุกรนอนหลับอยู่ เขาจึงสงสัยว่าสุกรมาที่นี่ได้อย่างไร ทันใดนั้นก็มองเห็นแก้วมณีอยู่ที่ตัวสุกร เขาจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปลักเอาแก้วมณี แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศ ด้วยอานุภาพของแก้วมณีนั้น และกลับมานั่งลงบนต้นมะเดื่อ ชายคนนั้นจึงรู้ว่าสุกรตัวนี้เที่ยวไปในอากาศด้วยอานุภาพของแก้วมณีนี้แน่ แล้วมาพักอยู่ที่นี่ ชายคนนั้นจึงคิดฆ่าสุกรหวังจะขโมยแก้วมณีลูกนี้ไป ชายนั้นจึงหักไม้ท่อนหนึ่งเหวี่ยงลงบนหัวสุกร สุกรตื่นขึ้นไม่เห็นแก้วมณี จึงกระสับกระส่ายวิ่งพล่านไปมา ชายที่นั่งบนต้นไม้หัวเราะ สุกรเหลือบเห็นเข้าก็เอาหัวชนต้นไม้นั้นตายทันที ชายผู้นั้นจึงลงจากต้นไม้ก่อไฟย่างเนื้อสุกรกิน แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศไปถึงทางสุดของป่าหิมพานต์ ครั้นเห็นอาศรมบทแล้วจึงเหาะลงที่อาศรมของดาบสผู้พี่ ได้อาศัยกระทำวัตรปฏิบัติดาบสอยู่สองสามวัน และได้เห็นอานุภาพของพร้าโต้ ชายผู้นั้นจึงคิดว่า เราควรเอาพร้าเล่มนี้เสีย จึงอวดอานุภาพแก้วมณีแก่ดาบส แล้วพูดว่า “พระคุณเจ้าจงเอาแก้วมณีนี้ไป แล้วให้พร้าโต้แก่ข้าพเจ้าเถิด”
              พระดาบสอยากจะเที่ยวไปบนอากาศบ้าง จึงรับเอาแก้วมณีแล้วให้พร้าโต้แก่เขา
              ชายผู้นั้นครั้นได้พร้าโต้ เดินไปได้สักหน่อยจึงตบพร้าโต้สั่งว่า “ดูก่อนพร้าโต้ เจ้าจงตัดศีรษะดาบสเสียแล้วเอาแก้วมณีมาให้เรา” พร้าโต้ก็ไปตัดศีรษะดาบสแล้วนำแก้วมณีมาให้ เขาซ่อนพร้าโต้ไว้ในที่ที่ปกปิดแล้วเดินไปหาดาบสคนกลาง พักอยู่สองสามวันก็ได้เห็นอานุภาพของกลอง จึงให้แก้วมณีแลกกับกลอง แล้วให้พร้าโต้ตัดศีรษะดาบสรูปนั้นเสียทำเหมือนดาบสคนก่อน แล้วจึงเข้าไปหาดาบสคนสุดท้าย ก็ได้เห็นอานุภาพของหม้อนมส้ม จึงให้แก้วมณีแลกเอาหม้อนมส้ม แล้วให้ตัดศีรษะดาบสนั้นเช่นกัน แล้วถือเอาแก้วมณี พร้าโต้ กลอง หม้อนมส้ม เหาะไปบนอากาศ แล้วพักไม่ไกลกรุงพาราณสี ฝากหนังสือไปแก่บุรุษคนหนึ่งว่า “พระเจ้ากรุงพาราณสีจะสู้รบกับเรา หรือจะยอมให้ราชสมบัติแก่เรา”
              พระราชาทรงสดับสาส์นเท่านั้นก็เสด็จออกด้วยหมายพระทัยว่าจักจับโจร ชายผู้นั้นจึงตีกลองด้านหนึ่ง เหล่าทหารก็ห้อมล้อม เขาทราบอย่างแน่วแน่ว่าพระราชาตกอยู่ในเงื้อมมือของตนแล้ว จึงรินหม้อนมส้ม เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลท่วมท้น มหาชนจมลงในนมส้ม ไม่สามารถหนีออกไปได้ เขาจึงตบพร้าโต้สั่งว่าเจ้าจงไปตัดศีรษะพระราชามา พร้าโต้ก็ไปตัดพระเศียรพระราชามาวางไว้แทบเท้าของเขา นับรบแม้คนเดียวก็ไม่อาจเงื้ออาวุธได้ เขาแวดล้อมด้วยพลนิกายใหญ่ยกเข้าสู่พระนคร ให้จัดทำพิธีของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งได้ราชสมบัติมาด้วยการรบชนะ เป็นพระราชาพระนามว่า ทธิวาหนะ ครอบครองราชสมบัติโดยธรรม
              วันหนึ่งเมื่อพระราชาทธิวาหนะทรงสนานที่แม่น้ำใหญ่ ภายในมีข่ายกั้นเป็นวงล้อม มะม่วงสุกผลหนึ่งเป็นของเทวดาลอยมาติดข่าย พนักงานทั้งหลายเมื่อยกข่ายขึ้นเห็นมะม่วง จึงนำไปถวายพระราชา มะม่วงนั้นเป็นผลกลมประมาณเท่าหม้อใหญ่ มีสีดุจทองคำ พระราชาตรัสถามพรานป่าว่า “นี้ผลอะไร”
              ครั้นสดับว่าเป็นผลมะม่วง จึงรับสั่งให้ปลูกในพระราชอุทยานของพระองค์ แล้วให้รดด้วยน้ำนม ต้นไม้ได้เจริญเติบโตให้ผลในปีที่สาม ต้นมะม่วงได้มีสักการะเป็นอันมาก เขารดด้วยน้ำนม เจิมด้วยของหอมห้าชนิด ห้อยพวงมาลัย ตามประทีปด้วยน้ำมันหอม กั้นด้วยผ้าม่าน เป็นผลไม้มีรสหวาน มีสีเหลืองดังทองคำ
              พระเจ้าทธิวาหนะจะทรงส่งผลมะม่วงไปถวายพระราชาอื่น ๆ ใช้เงี่ยงกระเบนแทงหน่อทิ้งออกเสียแล้วส่งไป เพราะเกรงว่าจะเกิดเป็นต้นขึ้น แล้วทรงส่งไป เมล็ดมะม่วงที่พระราชาเหล่านั้นเสวยแล้วให้เพาะก็ไม่งอก เมื่อพระราชาเหล่านั้นสอบถามว่า เพราะอะไรเมล็ดมะม่วงจึงเพาะไม่ขึ้น ครั้นแล้วพระราชาองค์หนึ่งรับสั่งหา คนเฝ้าอุทยานตรัสถามว่า “เจ้าสามารถจะทำรสผลมะม่วงของพระเจ้าทธิวาหนะให้เสียกลายเป็นรสขมได้หรือ” เมื่อคนเฝ้าสวนกราบทูลว่า “ได้พระเจ้าข้า” จึงรับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้นก็จงไป” แล้วพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งส่งไป เขาไปถึงกรุงพาราณสีแล้ว ให้กราบทูลพระราชาว่า “คนเฝ้าสวนคนหนึ่งมาเฝ้า” เมื่อพระองค์รับสั่งว่าให้มาเฝ้าได้ เขาจึงไปถวายบังคมพระราชา เมื่อรับสั่งถามว่า “เจ้าเป็นคนเฝ้าสวนหรือ” เขากราบทูลว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า” แล้วก็พรรณนาถึงความสามารถของตน พระราชารับสั่งว่า “จงไปอยู่กับคนเฝ้าสวนของเราเถิด” ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองคนก็ช่วยกันรักษาสวนหลวง คนเฝ้าสวนคนใหม่มาอยู่ได้ไม่นาน ได้ทำให้ต้นไม้ออกช่อในเวลามิใช่กาล ให้มีผลในเวลามิใช่ผล ทำให้สวนหลวงน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
              พระราชาทรงโปรดปรานเขา รับสั่งให้ปลดคนเฝ้าสวนคนเก่าออกเสีย ได้พระราชทานหน้าที่เฝ้าสวนให้เขาโดยเฉพาะ เขาตระหนักแน่ว่าสวนหลวงอยู่ในเงื้อมมือของตนแล้ว จึงปลูกต้นสะเดาและเถาบอระเพ็ดล้อมต้นมะม่วง ต้นสะเดางอกงามขึ้นโดยลำดับ รากต่อรากพันกัน กิ่งต่อกิ่งพาดทับกัน เพราะความเกี่ยวกันกับไม้ที่ไม่น่ายินดี และปราศจากรสนั้น มะม่วงซึ่งมีผลหวานมาก่อนก็กลับเป็นรสขม แล้วจึงหนีไป
              พระเจ้าทธิวาหนะเสด็จไปสวนหลวงเสวยผลมะม่วง ไม่อาจจะทรงกลืนเยื่อมะม่วงซึ่งตกถึงพระโอษฐ์ได้ คล้ายน้ำฝาดสะเดา ต้องทรงคายทิ้ง ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระองค์ พระราชาจึงปรึกษากะพระโพธิสัตว์ว่า “บัณฑิต ต้นไม้นี้มิได้บกพร่องต่อการดูแลมาก่อนเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นผลของมันก็เกิดขมขึ้นมาได้ สาเหตุมันเกิดขึ้นมาจากอะไร” เมื่อจะรับสั่งถาม จึงตรัสว่า “แต่ก่อนมามะม่วงต้นนี้บริบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส ได้รับการบำรุงอยู่แต่เดิม เหตุไรจึงมีผลขมไปได้”
              ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะทูลแจ้งเหตุของมะม่วงนั้น จึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าทธิวาหนะ มะม่วงของพระองค์ มีต้นสะเดาและเถาบอระเพ็ดล้อมอยู่ รากต่อรากเกี่ยวพันกัน กิ่งต่อกิ่งเกี่ยวประสานกัน เหตุที่อยู่ร่วมกันกับต้นไม้ที่มีรสขม มะม่วงจึงมีรสขมไปด้วย”
              พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้ว รับสั่งให้ตัดต้นสะเดาและเถาบอระเพ็ดเสีย ให้ถอนรากขึ้นบนดินที่เสียรสไปทิ้ง ใส่แต่ดินมีรสดี ให้บำรุงต้นมะม่วงด้วยน้ำนมน้ำตาลกรวดและน้ำหอม เพราะปนกับรสดีมันจึงกลายเป็นต้นไม้มีรสหวานอย่างเดิม พระราชาทรงมอบสวนหลวงแก่คนเฝ้าสวนคนเดิม ทรงดำรงอยู่ตลอดพระชนม์ แล้วเสด็จไปตามยถากรรม
 

ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“โลภมาก ลาภหาย”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ยํ ลทฺธํ เตน ตุฏฺฐพฺพํ    อติโลโภ หิ ปาปํโก ฯ
ได้สิ่งใดมา ก็ควรพอใจสิ่งนั้น เพราะความโลภจัดเป็นความชั่วร้าย (๒๗/๑๓๖)


คัดจาก : หนังสือ พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ / จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสถาบันบันลือธรรม

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.273 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 31 พฤษภาคม 2568 11:06:13