ประเพณีแต่งงานบ่าวสาว (จบ)
ลักษณแต่งงานบ่าวสาวของไทยชาวเมืองพัทลุง สงขลา
(ได้มาแต่หม่อมเจ้าวัชรินทร์)
----------------------------
ดำเนินความว่า เมื่อบิดามารดาฝ่ายชายเห็นสมควรจะขอบุตรสาวผู้ใดทำการมงคลกับบุตรชายของตนแล้ว ถึงวันฤกษ์ดีบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าว จึงแต่งให้เถ้าแก่ไปแยบถาม๑บิดามารดาฝ่ายเจ้าสาวว่า คนนั้น ๆ จะมาขอลูกสาวทำการมงคลกับบุตรชายคนนั้นจะได้ฤๅไม่ได้ ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ให้ก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า บุตรสาวยังเด็กเล็กอยู่ยังไม่รู้จักการเย่าเรือน อย่าเพ่อมาขอเลย ถ้าจะให้ก็ว่าให้แต่งขันหมากมาตามประเพณีเถิด จะควรทำการมงคลด้วยกันได้ฤๅไม่ได้ก็สุดแล้วแต่หมอจะบูรณทาย เถ้าแก่ที่มาแยบก็กลับบอกกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น
ครั้นได้วันฤกษ์ดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดหาขัน ๑๒ นักษัตร๒ ๓ ขันแล้วเอาพลทั้งกำหมากทั้งลูกลำดับใส่ลงในขันเต็มทั้ง ๓ ขัน แล้วจัดหาเถ้าแก่ที่เปนคนมีตระกูลตามสมควร ๒ คน ๓ คนกับคนถือขันหมาก ๓ คนนำขันหมากไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็จัดแจงปูเสื่อรับขันหมาก เถ้าแก่ผู้นำขันหมากไปนั้น ก็กล่าวถ้อยคำขอหญิงโดยไมตรี บิดามารดาเจ้าสาวก็รับถ่ายเขาหมากพลูในขันไว้ เถ้าแก่ก็ลากลับไป บิดามารดาเจ้าสาวก็เอาหมากพลูที่มาขอลูกสาวนั้นแจกให้ตามบรรดาญาติพี่น้องอันสนิทแล้วปฤกษาหารือกันว่า คนนั้นให้เถ้าแก่มาขอบุตรสาวทำการมงคลแก่บุตรชายคนนั้น บรรดาพวกพี่น้องทั้งปวงจะเห็นประการใดบ้าง ถ้าเจ้าบ่าวเปนคนประพฤติการชั่วฤๅเปนคนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน ญาติพี่น้องก็ทักท้วง ฤๅเจ้าบ่าวคนประพฤติการทำมาหากินสุจริตแล้ว ญาติพี่น้องทั้งปวงก็เห็นดี ควรจะทำการมงคลด้วยกันได้ ครั้นอยู่มา ๙-๑๐ วัน บิดามารดาเจ้าบ่าว จึงให้เถ้าแก่ไปถามบิดามารดาเจ้าสาวว่าที่มาขอบุตรสาวไว้นั้นได้ปฤกษาตกลงกันอย่างไร ถ้าบิดามารดาเจ้าสาวจะไม่ยอมยกบุตรสาวให้ก็ตอบว่า ได้ถามบุตรสาวดูแล้วบุตรสาวว่าไม่สมัครักใคร่กับชายคนนั้น บางทีก็พูดว่าปฤกษากับญาติพี่น้อง ๆ เขาไม่เห็นดีด้วย ถ้าจะให้บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่ากับผู้เถ้าผู้แก่ว่า ได้ปฤกษาญาติพี่น้องเห็นดีพร้อมกันแล้ว ถึงวันดีก็ให้มาขันหมากบูรณสัก ๓๐ ขัน ๕๐ ขัน (ตามคุณานุรูปของเจ้าบ่าวเจ้าสาว) เถ้าแก่ก็กลับไปแจ้งความกับบิดามารดาเจ้าบ่าวตามคำบิดามารดาเจ้าสาวกล่าวนั้น บิดามารดาเจ้าบ่าวจึงหาฤกษ์แล้วแต่งให้คนไปแจ้งแก่บิดามารดาเจ้าสาวว่า ณวันเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนวันดี จะให้เถ้าแก่นำขันหมากบูรณไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงตระเตรียมหาของสำรองไว้ ที่จะรับเลี้ยงตามสมควร
ครั้นถึงกำหนดวันดี บิดามารดาเจ้าบ่าวก็จัดขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน นอกกว่านั้นใช้ขันเลว ๓๐ ขันฤๅ ๕๐ ขัน แต่ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขันนั้นเรียกว่าขันหัวขัน ๑ ขันคางขัน ๑ ขันฅอขัน ๑ ใช้หมากสงปอกเปลือกแล้วทั้งลูก แล้วเอาพลูลำดับเปนยอดขึ้นไป เอาหมากใส่ไว้กลางขันทั้ง ๓ ขัน นอกแต่นั้นใช้หมากสงทั้งเปลือกกับพลูพอเต็มขัน แล้วเอาแพรต่างสีคลุมขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ รวม ๓ ขัน ขันหมากพลทั้งนั้นคลุมผ้าลายสี่เหลี่ยม ครั้นแต่งขันหมากแล้วก็จัดคนเถ้าแก่ผู้ชาย ๔-๕ คน ผู้หญิง ๔-๕ คน กับหมอสำหรับที่จะดูบูรณทายคน ๑ กับผู้หญิงถือขันหมากแต่งตัวสอาดเรียบร้อยครบกับขันหมาก ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกขันหมากไป บิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปด้วย ครั้นไปถึงบันไดเรือนบิดามารดาเจ้าสาวให้คนเอาหม้อน้ำมนต์ออกไปยืนคอยประพรมขันหมากอยู่ที่บนชานเรือนริมบันได แล้วคนที่ถือขันหมาก ๓ ขันนั้น ก็ถือเลยเข้าไปตั้งไว้ที่ปูผ้าขาวในประธานเรือนบิดามารดาเจ้าสาว แต่ขันหมากพลนั้นวางไว้บนเสื่อข้างนอก แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลพวกถือขันหมากทั้งนั้น เสร็จแล้ว ๆ พวกถือขันหมากทั้งนั้นก็กลับไป ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวกับบิดามารดาเจ้าสาวแลเถ้าแก่ พร้อมด้วยญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ก็เรียกหมอดูมาข้างเจ้าบ่าว ๑ เจ้าสาว ๑ ข้างละคน บอกปีเดือนวันคืนขึ้นแรมเวลานาทีเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้หมอตรวจดูชตาราษี หมอก็คำนวณดูนาคสมพงษ์ แลลักษณชตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสอง ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องกัน บิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวคำว่าจะแต่งให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะปีเดือนวันคืนไม่ถูกต้องกัน ถ้าเห็นว่าลักษณจันทร์เกาะกุมภ์ถูกต้องกันดีแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวก็กำหนดกับบิดามารดาเจ้าบ่าวว่า หมอให้ทำการปีนั้นการมงคลวิวาหะออกให้ ให้มาขันหมากใหญ่ตามประเพณีเถิด แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็กล่าวตกทอดสินสอดขันหมากกับบิดามารดาเจ้าบ่าวต่อหน้าผู้เถ้าผู้แก่แลหมอทั้ง ๒ คนว่า จะเอาทองสัก ๕ ตำลึง ฤๅ ๓ ตำลึง ฤๅ เท่าใดตามควร เงินสักสองร้อยเหรียญฤๅร้อยเหรียญฤๅห้าสิบเหรียญ ผ้าขาวสักห้าพับฤๅสามพับ ธูปเทียนสิ่งละ ๕ แพฤๅสิ่งละ ๓ แพ ขันหมากสัก ๑๕๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขัน ตามคุณานุรูปคนทั้งสอง ฝ่ายบิดามารดาเจ้าบ่าวก็รับตามคำบิดามารดาเจ้าสาวตกทอด แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวแลเถ้าแก่ก็กลับไปบ้าน แต่นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็ไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนถามข่าวศุขทุกข์ซึ่งกันแลกันอยู่เสมอ
ครั้นถึงกำหนดปีที่มงคลวิวาหะออกให้ตามหมอดูทำนายไว้นั้นบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ให้หมอคำนวณหาวันดีที่จะทำการวิวาหะมงคล ครั้นหมอคำนวณดูรู้ว่า ต่อวันนั้นเดือนนั้นขึ้นแรมเท่านั้นเปนอุดมฤกษ์ดี แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวก็ไปจัดแจงปลูกเรือนหอที่บ้านบิดามารดาเจ้าสาวตามสมควรเสร็จแล้ว บิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงปลูกเปนโรงใหญ่เรียกว่าโรงมัด ตระเตรียมซื้อหาสิ่งของจะทำการ แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดแจงแต่งสำรับคาวหวาน ยกไปให้ตามพวกญาติพี่น้องแลพระหลวงขุนหมื่นแลกรมการผู้มีบันดาศักดิ การบอกแขกช่วยทำการวิวาหะมงคลตามสมควรทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาเจ้าบ่าวจัดหมากซองเอาไปให้บุตรขุนนางที่หนุ่มๆเชิญเปนเพื่อนบ่าวตามสมควร แล้วก็จัดแจงเหล้าเข้าคาวหวานเครื่องสำหรับเลี้ยงแขกไว้พร้อมแล้ว ก็จัดที่แต่งขันหมากดาดเพดานด้วยผ้าขาวปูพรมปูผ้าขาว แล้วเอาขันหมากวางลงบนผ้าขาว ใช้ขัน ๑๒ นักษัตร ๓ ขัน ขันหมากพล ๑๕๑ ขันฤๅ ๑๐๑ ขัน ฤๅ ๕๑ ขันวางลงไว้บนเสื่อพร้อมกันแล้ว เชิญเถ้าแก่ที่เข้าใจการมาให้จัดลำดับพลูเปนยอดพนมขึ้นไป ใช้หมากสงปอกแล้วทั้งลูกใส่กลางขันทั้ง ๓ ขัน แล้วเอาแพรอย่างดีสีต่าง ๆ กันคลุมลงทั้ง ๓ ขัน แต่ขันหมากพลูทั้งนั้นใส่หมากพลูเต็มทุกขัน แล้วจัดเหล้ากะถาง ๑ ไก่ต้มตัว ๑ เป็ดต้มตัว ๑ ธูปเทียนเข้าเหนียวเข้าเจ้าขนมพร้อม ใส่ในโต๊ะปิดฝาชีสำรับ ๑ เรียกชื่อว่าขันวัดดาม เอามะพร้าวอ่อนปอกเปลือกแล้ว ๓ ผลโต๊ะ ๑ กล้วยสุกโต๊ะ ๑ อ้อยตัดเปนท่อน ๆ โต๊ะ ๑ ทองคำใส่พานถม เงินใส่ขันถม ครั้นจัดขันหมากเสร็จแล้ว ก็เลี้ยงดูญาติพี่น้องผู้ที่มาช่วยการ แลคนที่จะถือขันหมากก็ต้องเอาหมากพลูไปบอกออกปากวักวานทุกคน
ครั้นรุ่งขึ้นเช้าเปนวันมหาสิทธิโชคอุดมฤกษ์ดีแล้ว ก็จัดผู้หญิงมีตระกูลให้ถือขันหมากหัว ขันหมากคาง ขันหมากฅอ ๓ ขัน แลขันหมากพลทั้งนั้นให้ผู้หญิงสาว ๆ แต่งตัวสอาดเรียบร้อยถือคนละขัน ครั้นได้ฤกษ์หมอลั่นฆ้องแล้ว เถ้าแก่คนผู้ดีมีตระกูลประมาณห้าคนหกคน ออกเดินนำน่าขันหมาก แต่ขันหัวคางฅอทั้ง ๓ ขันนั้น ต้องมีคนกางร่มไปทั้ง ๓ ขัน แล้วก็ออกเดินเปนลำดับเรียงตัวกันไปเปนจังหวะเรียบร้อย มีผู้ชายถือปืนเดินเคียงข้างละเก้าคนสิบคน แล้วจัดหมากพลูใส่ขันถมเล็ก ๆ ให้คนที่เข้าใจถือล่วงน่าไปเรือนบิดามารดาเจ้าสาวก่อน ขันหมากบอกให้รู้ว่าคนมากน้อยเท่านั้นจะไปถึงเวลานั้น บิดามารดาเจ้าสาวจะได้จัดแจงการรับรองตามธรรมเนียม ครั้นขันหมากเดินพ้นประตูบ้านเจ้าบ่าวออกไปถึงกลางถนน ก็ยิงปืน ๔ นัด ๕ นัด เพื่อจะให้รู้ไปถึงบ้านเจ้าสาวว่าคลี่กระบวนขันหมากเดินแล้ว ครั้นไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวก็ยิงปืนอิกครั้ง ๑ แล้วเดินเข้าไปถึงบันไดเรือน ฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งให้เถ้าแก่ถือหม้อน้ำมนต์ออกไปคอยรับอยู่ที่บันไดเรือน ครั้นขันหมากถึงก็เอาน้ำมนต์ประพรมขันหมากทุก ๆ ขัน แล้วนำขันหมากเข้าไปข้างใน แต่ขันวัดด้ามกับขันหมาก ๓ ขัน กับพานใส่ทองขันใส่เงินนั้น ผู้ถือต้องถือเลยขึ้นไปวางที่บนผ้าขาวในห้องเรือน แล้วญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวก็จุดเทียนขึ้น ๒ เล่ม เปนเทียนเจ้าบ่าวเล่ม ๑ เทียนเจ้าสาวเล่ม ๑ ประกาศบอกปู่ย่าตายายวักเส้นเสร็จแล้ว จึงจัดแจงสำรับคาวหวานเลี้ยงดูเถ้าแก่แลคนถือขันหมากเสร็จแล้วก็กลับไป
ทีนี้ฝ่ายข้างบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็จัดแจงจัดสำรับคาวหวานเลี้ยงเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว ครั้นเลี้ยงแล้ว จึงแต่งตัวเจ้าบ่าวให้หมอเศกน้ำมันใส่ผมเศกแป้งผัดหน้าเศกขี้ผึ้งสีปาก แล้วนุ่งผ้าใส่เสื้อให้เปนสง่าราษี พอได้ฤกษ์ดีในเวลาเช้าเถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวลงจากเรือนไป เพื่อนบ่าวก็เดินห้อมล้อมเจ้าบ่าวไป พอออกจากประตูบ้านก็ยิงปืนครั้ง ๑ เก้านัดสิบนัด ไปถึงกลางทางยิงครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ไปถึงประตูบ้านเจ้าสาวยิงอิกครั้ง ๑ ยี่สิบนัดสามสิบนัด ฝ่ายพวกเจ้าสาวก็ยิงปืนรับยี่สิบนัดสามสิบนัดเหมือนกัน แต่พวกเจ้าสาวปิดประตูบ้านไว้ก่อน เจ้าบ่าวต้องให้คนเอาเงินให้ผู้ปิดประตูประมาณสัก ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ๆ หนึ่งนั้นคือเงินรูเปียสามสลึง นายประตูจึงเปิดประตูให้ เถ้าแก่ก็นำเจ้าบ่าวเลยเข้าไปถึงบันได บิดามารดาเจ้าสาวก็แต่งตัวบุตรฤๅหลานที่ยังไว้จุกออกไปคอยล้างเท้าให้เจ้าบ่าว ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงแล้ว เด็กนั้นก็เอาขันถมฤๅขันเงินตักน้ำล้างเท้าให้เจ้าบ่าว เจ้าบ่าวก็เอาเงินให้เด็กนั้นประมาณ ๑๔ ย่ำไป ๑๕ ย่ำไป แล้วเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวก็เอากรรชิงกางรับเจ้าบ่าว จูงมือขึ้นไปที่โรงมัด แลที่โรงมัดนั้นดาดเพดานปูเสื่อตั้งม้าตัว ๑ มีเครื่องบูชาพระเทียน ๙ เล่ม หมาก ๙ คำ ดอกไม้ ๙ ดอก หมอนใบ ๑ เอาหมาก ๓ คำ เทียน ๓ เล่ม เงิน ๓ สลึงวางเรียงไว้บนหมอน พวกญาติพี่น้องของเจ้าสาวก็มาคอยรับอยู่ที่โรงมัดนั้น ครั้นเจ้าบ่าวถึงโรงมัดแล้ว เจ้าบ่าวก็กราบพระลง ๓ หน แล้วกรายลงอิกหน ๑ แล้วเอามือกวาดหมากกับเงินซึ่งอยู่บนหมอนข้างซ้าย แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินข้างขวา แล้วกราบลงหน ๑ กวาดหมากแลเงินกลางหมอนเข้ามาหาตัว เสร็จแล้วกราบอิก ๓ หน รวมเปน ๙ หน แล้วเอาใบพลู ๓ ใบดับเทียนข้างซ้าย ดับเทียนข้างขวา ดับเทียนกลางหมอนแล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ออกไปจูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่เจ้าบ่าวต้องเสียเงินค่าเปิดประตูห้องอิกประมาณ ๔ ย่ำไป ๕ ย่ำไป ครั้นเจ้าบ่าวเข้าไปถึงในห้องแล้ว เจ้าสาวก็เอาผ้าเสื้อให้เจ้าบ่าวผลัดแล้ว เถ้าแก่จึงให้เจ้าสาวกราบเจ้าบ่าว ๓ หน แล้วเถ้าแก่จึงพาเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปที่โรงมัด ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งบนอาศนะที่ตั้งบายศรี ให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวหมอบชิดใกล้กัน พวกญาติพี่น้องแลเถ้าแก่เพื่อนบ่าวทั้งนั้นก็นั่งล้อมโดยรอบ ตาหมอก็ชักวงสายสิญจน์ แล้วจุดเทียนคำนับครู สวดสัคเค นโมจบแล้ว ก็กล่าวถ้อยเชิญขวัญเจ้าบ่าวเจ้าสาว ลั่นฆ้องไชยโห้ร้องเปนการเอิกเกริก แล้วเปิดคลุมบายศรีเวียนเทียน ตาหมอก็สวดชยันโตโปรยเข้าตอก เวียนเทียนได้เจ็ดรอบเก้ารอบแล้วดับเทียน โบกควันไปข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แล้วตาหมอก็เอาช้อนมุกตักน้ำมะพร้าวอ่อนให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวกินคนละช้อน แล้วเถ้าแก่ทั้ง ๒ ฝ่ายก็อวยไชยมงคลให้พร แล้วเขาเงินเจิมขวัญให้คนละ ๒๐ ย่ำไปบ้าง ๓๐ ย่ำไปบ้าง คนละ ๒๐ เหรียญบ้าง ๓๐ เหรียญบ้าง คนละ ๖๐ เหรียญบ้าง ๗๐ เหรียญบ้าง ตามถานานุรูป ครั้นเสร็จการทำขวัญแล้ว เจ้าสาวก็กลับเข้าข้างใน เจ้าบ่าวก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูเถ้าแก่แลเพื่อนบ่าวเปนการสนุกอย่างยิ่ง แล้วข้างบิดามารดาเจ้าสาวก็จัดของแถมพกให้แก่เถ้าแก่แลเพื่อนบ่าว บรรดาที่ได้เจิมขวัญตามมากแลน้อยทั่วทุกคน แล้วต่างคนก็ต่างกลับไปบ้าน ฝ่ายเจ้าบ่าวก็กลับเข้าไปในห้องที่เจ้าสาวอยู่ เจ้าสาวก็ยกสำรับคาวหวานมาตั้งให้เจ้าบ่าว แล้วเจ้าสาวเข้าไปเปิดฝาชีฝาถ้วยชามนั่งคอยปฏิบัติเจ้าบ่าวอยู่จนรับประทานแล้ว ๆ เจ้าบ่าวก็ถอดแหวนใส่ในพานผ้าเช็ดมือให้เจ้าสาววงหนึ่ง ครั้นเวลาเย็นใกล้จะค่ำให้นิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูปมารดน้ำมนต์เปนเสร็จการพิธี ต่อมาในวันนั้น พอค่ำลงประมาณยามเศษ เถ้าแก่นำเจ้าสาวออกไปส่งให้เจ้าบ่าวที่ในห้อง การมงคลบ่าวสาวชาวเมืองพัทลุงสงขลากล่าวมาเปนสังเขปแต่เท่านี้
ลักษณแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงดำ
----------------------------
ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาว ในประเทศเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน เมืองน่าน ที่เรียกว่าลาวพุงดำนั้น บรรดาเจ้านายท้าวพระยาราษฎรที่มีบุตรสาว ถ้าเห็นว่าบุตรสาวของตนสมควรจะทำการมงคลแก่บุตรชายของผู้ใด ที่บิดามารดาหญิงมีใจรักใคร่นั้น ครั้นถึงวันฤกษ์งามยามดี บิดามารดาหญิงก็พูดจากับบิดามารดาของชายนั้นว่า จะขอเอาบุตรชายไปเปนบุตร เมื่อตกลงกันฝ่ายบิดามารดาชายก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรชายของตนนั้นให้แก่บิดามารดาหญิง ๆ ก็บอกปีเดือนวันคืนบุตรสาวตนให้แก่บิดามารดาชาย ต่างคนก็หาหมอโหรามาดูปีเดือนวันคืนบุตรที่จะทำการวิวาหะมงคล ถ้าไม่ถูกต้องกัน ก็พูดจาบอกกล่าวกันว่าปีเดือนบุตรชายหญิงซึ่งจะทำการวิวาหะมงคลไม่ถูกต้องกัน จะให้ทำการมงคลกันไม่ได้ ถ้าถูกต้องตามตำราดีเปนที่ตกลงพร้อมกันแล้ว บิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่ายก็หาวันฤกษ์ดี กำหนดทำการมงคลบุตรชายหญิงด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
ครั้นถึงกำหนดวันฤกษ์ดี บิดามารดาฝ่ายชายหญิง ต่างคนบอกญาติพี่น้องมาประชุมพร้อมกันที่บ้านเรือนบิดามารดาชายหญิงทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วบิดามารดาฝ่ายหญิงก็จัดขันหมากขันพลู ๘ กรวย เทียน ๘ คู่ เข้าตอกดอกไม้ใส่ในขันหนึ่ง เรียกว่าขันไกว่ผี แล้วจัดขันอิก ๒ ขันมีเทียน ๘ คู่เข้าตอกดอกไม้ เรียกว่าขันขออนุญาตบิดามารดาฝ่ายชายคนละขัน ให้ญาติพี่น้องเถ้าแก่ฝ่ายหญิงไปให้แก่บิดามารดาชาย บิดามารดาชายรับเอาสิ่งของไว้ แต่เทียนดอกไม้หมากพลูของไกว่ผีนั้น บิดามารดาชายแบ่งไว้ ๔ คู่ คืนให้เถ้าแก่แลญาติฝ่ายหญิงกลับคืนไป ๔ คู่ เมื่อเวลาเถ้าแก่หญิงเอาสิ่งของไหว้ผีแลขันหมากไปขอชายนั้น บิดามารดาญาติพี่น้องฝ่ายชายพร้อมกันจัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูตามสมควรแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายก็นำเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวแลญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ไปบ้านบิดามารดาหญิงพร้อมกับเถ้าแก่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงในวันเวลาเดียวนั้น บิดามารดาฝ่ายหญิงจัดให้เถ้าแก่ ๓-๔ คนมาคอยรับเจ้าบ่าวอยู่ที่ประตูบ้าน ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงประตูบ้านแล้ว เถ้าแก่เจ้าบ่าวก็พูดจากับเถ้าแก่เจ้าสาวว่านำเอาแก้วมาให้เปนสวัสดิมงคลอยู่ดีมีศุข เถ้าแก่เจ้าสาวก็ตอบว่าดีแล้วจะได้เปนไชยมงคลขอรับเอาไว้ เถ้าแก่เจ้าสาวก็จูงมือเจ้าบ่าวไปขึ้นเรือนบิดามารดาเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวแต่งขันขอพรญาติพี่น้องไว้ ให้พอกับญาติพี่น้องที่เปนผู้ใหญ่สมควรจะให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอพรนั้น มีเข้าตอกดอกไม้เทียน ๔ คู่ แล้วให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบขันเข้าตอกดอกไม้เทียนไปให้แก่บิดามารดาญาติพี่น้องผู้ใหญ่ทุก ๆ คนแล้ว ก็ยกมือไหว้ขอพรทั่วกัน ฝ่ายญาติพี่น้องที่ได้รับขันขอพรแล้ว ต่างคนก็ให้สินให้พรแก่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ครั้นเสร็จแล้วบิดามารดาชายหญิงเชิญแก่บ้านมาเปนพยานด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แก่บ้านถามชายเจ้าบ่าวว่าทรัพย์สิ่งของเจ้าบ่าวมีมาสู่เจ้าสาวเปนทุนทำมาหากินเท่าใด ถ้าชายมีทรัพย์สิ่งของ ๆ ตนมีมาเท่าใด ก็บอกให้แก่บ้านทำบาญชีไว้ตามมากแลน้อย พร้อมด้วยเถ้าแก่ญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าชายไม่มีทรัพย์สิ่งของ ก็บอกว่าไม่มีสิ่งใด จะช่วยกันทำมาหากินเลี้ยงกันไป ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงก็จัดสำรับคาวหวานเหล้าเข้าเลี้ยงดูจ้อยซอกัน จ้อยซอนั้นคือหมอเป่าปี่หมอขับรำ ตามเพศพุงดำตามสมควรแก่เวลา แล้วเถ้าแก่กับญาติพี่น้องทั้ง ๒ ฝ่าย ต่างคนต่างก็ไปบ้าน ฝ่ายเถ้าแก่เจ้าสาวจัดที่ซ่อมปูเสื่อที่นอนหมอนมุ้งแล้ว พาเจ้าสาวไปไว้ในซ่อมนั้น ๆ คือห้องเรือนของบิดามารดาเจ้าสาวนั้นเอง ทำเปนฝากั้นไว้แต่เฉภาะห้องหนึ่งสองห้องบ้าง แล้วเถ้าแก่ก็จูงมือเจ้าบ่าวเข้าไปในซ่อมให้อยู่กับเจ้าสาว ๒ คน เถ้าแก่ก็กลับออกมา
ครั้นเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้วยกันครบ ๗ วันแล้ว บิดามารดาเจ้าสาวเรียกตัวเจ้าบ่าวมา พูดจามอบบ้านเรือนที่นาช้างม้าโคกระบือข้าคนให้กับเจ้าบ่าว ให้เอาใจใส่ระวังปกปักรักษาทำมาหากินต่อไป แต่ทรัพย์สิ่งของฝ่ายบิดามารดาจะให้แก่บุตรชายบุตรสาวทุนสินทำมาหากินด้วยกันนั้น บิดามารดาฝ่ายชายฝ่ายหญิงหาได้หยิบยกให้ไม่ ให้แต่ของตกแต่งเมื่อเวลาทำการวิวาหะมงคลเท่านั้น ต่อภายหลังบิดามารดาเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงแก่กรรมแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงจะได้ทรัพย์ส่วนของบิดามารดาตามสมควร เปนประเพณีการมงคลบ่าวสาวในประเทศพุงดำดังนี้
ประเพณีแต่งงานบ่าวสาวอย่างลาวพุงขาว
----------------------------
การมงคลแต่งงานบ่าวสาวตามแบบอย่างทางเมืองชนบท แลประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออกนั้น เดิมบิดามารดาข้างฝ่ายชายให้เถ้าแก่ผู้หญิงไปพูดจากับบิดามารดาข้างเจ้าสาวว่า บิดามารดาเจ้าบ่าวให้มาพูดจาอยากจะให้บุตรชายมาเปนลูกเปนเต้า ข้างฝ่ายบิดามารดาเจ้าสาวก็เรียกบุตรสาวมาไต่ถามต่อหน้าเถ้าแก่ ว่าบุตรชายผู้นั้นให้เถ้าแก่มาขอเอง ๆ จะเอาเขาฤๅไม่เอา ข้างบุตรสาวถ้าไม่ขัดขวางก็บอกว่าสุดแล้วแต่บิดามารดาจะเห็นดี เถ้าแก่กับบิดามารดาข้างเจ้าสาวก็ปฤกษากันหาวันฤกษ์งามยามดี ที่จะให้จัดหาขันหมากมาตามสมควรแก่กำลัง แล้วเถ้าแก่ก็ลาไปพูดจากับบิดามารดาข้างผู้ชาย ครั้นถึงวันดีบิดามารดาข้างผู้ชาย ก็จัดแจงหมาก ๔ คำใส่พานแล้วเอาผ้าขาวปิดบนพานหมาก ให้เถ้าแก่ผู้ชาย ๓ คนถือพานหมากไปถึงเรือนเจ้าสาว บิดามารดาเจ้าสาวก็จัดแจงรับรองเถ้าแก่ตามสมควร แล้วบิดามารดาเจ้าสาวก็ไปเชิญญาติพี่น้องมาพร้อมกัน เถ้าแก่ข้างผู้ชายก็ยกพานหมาก ๔ คำ ให้บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวกิน บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าสาวก็กินหมาก ๔ คำนั้นแล้ว บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจึงปฤกษาหารือกำหนดจะเอาสินสอดกับเถ้าแก่ข้างผู้ชายเท่าหนึ่งเท่าใด ตามที่จะตกลงกัน เปนต้นว่าเงิน ๑๐ ตำลึง ทองคำหนักบาท ๑ เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ถ้าเปนคนขัดสนก็ลดหย่อนผ่อนผันตามสมควรแก่กำลัง เถ้าแก่ก็ลากลับไปบอกกับบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวว่า บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวจะเอาเงินทองสิ่งของเท่านั้น ฝ่ายบิดามารดาข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็หาหมอมาตรวจดูชตาราษีข้างเจ้าบ่าวเจ้าสาว แลดูวันเดือนฤกษ์ยามที่จะทำการมงคล แล้วกำหนดวันเดือนฤกษ์ยามให้ตามสมควร
ครั้นถึงวันดีเถ้าแก่เอาสินสอด เหล้า ๔ ไห ปลาหาบ ๑ เนื้อหาบ ๑ ไปส่งให้บิดามารดาเจ้าสาว แล้วเถ้าแก่ก็ลากลับมา ครั้นรุ่งเช้าบิดามารดาเจ้าบ่าว ก็หาหญิงผัวเดียวเมียเดียวมาจัดพาขวัญเอาผ้าขาวห่อหมากห่อ ๑ มีหมากพลูจีบ ๔ คำ ยอดคูน ยอดยอ ยอดอ้อย ยอดกล้วย เข้าต้มกล้วยใส่โต๊ะ มีดหมากเล่มหนึ่ง เอาด้ายดิบทำเปนสายสำหรับหามไป มีผ้าขาวหุ้มนอก มีก่องเข้า ๑ น้ำเต้าน้ำ ๑ เสื่อผืน ๑ เสร็จแล้ว ครั้นถึงเวลาฤกษ์ดีบิดามารดาเถ้าแก่ ก็เรียกบุตรชายออกมากับผู้ชายที่ยังไม่มีภรรยาคน ๑ ซึ่งเปนเพื่อนบ่าว ถือเข้าตอกร้อยเปนพวงมาไลยสวมยอดตองอ่อนที่ยังไม่ได้คลี่คนละยอด นั่งพนมมือเคียงกันอยู่ที่พาขวัญ ๆ นั้น คือ สำรับบายศรีปากชาม แล้วหมอก็เรียกขวัญ เสร็จแล้ว ก็จัดให้ผู้ชายแบกพาขวัญ เด็กผู้หญิงอายุ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ๓ คน หามโต๊ะห่อหมาก ๒ คน หาบน้ำเต้าใส่น้ำก่องเข้าเสื่อปูนอนคน ๑ แล้วเถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวกับเพื่อนบ่าวคน ๑ ถือยอดตองสวมเข้าตอกเปนพวงมาไลยคนละยอดมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็ลงไปปิดประตูไว้ แล้วเถ้าแก่เจ้าบ่าวเอาเหล้าขวดหนึ่ง หมาก ๒ คำให้เถ้าแก่ข้างเจ้าสาว ๆ จึงเปิดประตูให้เข้าไป ครั้นมาถึงบันไดเจ้าบ่าวขึ้นยืนบนหิน แล้วเด็กผู้หญิงเอาน้ำใส่ขันล้างเท้าให้เจ้าบ่าว แล้วเถ้าแก่ข้างเจ้าสาวกจูงมือเจ้าบ่าวขึ้นบนเรือน เถ้าแก่ข้างเจ้าสาวก็รับเอาโต๊ะห่อหมากกับหาบน้ำเต้าก่องเข้าเสื่อไปวางไว้บนที่นอนเจ้าสาว เจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวเอายอดตองที่ถือมานั้นเหน็บไว้บนหลังคาเรือน บิดามารดาเจ้าสาวเถ้าแก่จึงเอามีดหมากปาดห่อหมากออกไว้ใต้ที่นอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้น ๓ คืนแล้วก็เก็บทิ้งเสีย แต่มีดหมากเล่ม ๑ นั้นบิดามารดาเจ้าสาวเก็บไว้ เมื่อบุตรสาวมีบุตรก็เอามีดหมากเล่มนั้นใส่ในกระด้งครกเมื่อออก มีดหมากเล่มนั้นเรียกว่ามีดผ่าขวัญ เถ้าแก่ก็พาเจ้าสาวออกมานั่งเคียงกับเจ้าบ่าว แล้วยกพาขวัญข้างเจ้าสาวมาให้เจ้าบ่าวจับไว้ ยกพาขวัญเจ้าบ่าวมาให้เจ้าสาวจับไว้ แล้วหมอก็เรียกขวัญเสร็จแล้ว เถ้าแก่ก็เอามีดผ่าขวัญนั้นตัดไข่ขวัญให้เจ้าบ่าวกินครึ่งหนึ่ง ให้เจ้าสาวกินครึ่งหนึ่ง แล้วบิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวเอาด้ายดิบผูกข้อมือเจ้าบ่าวเจ้าสาวจับมือเจ้าบ่าวไว้ให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญ ก็ให้สินให้พรตามเพศบ้านเมือง ฝ่ายบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวผูกขวัญเจ้าสาว เจ้าบ่าวก็จับมือเจ้าสาวให้บิดามารดาพี่น้องผูกขวัญให้พรอย่างเดียวกัน ครั้นเสร็จแล้วพวกเจ้าสาวก็ยกสำรับเลี้ยงเจ้าบ่าวแลญาติพี่น้องที่มาประชุมกันทั้ง ๒ ฝ่ายเถ้าแก่กับเจ้าบ่าวแลพวกเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน
ในวันนั้นต่อมาอิกสักครู่หนึ่ง ญาติพี่น้องข้างเจ้าสาวก็พาเจ้าสาวไปไหว้บิดามารดาข้างเจ้าบ่าว มีวงษ์ญาติที่ไปด้วยช่วยกันแบกฟูกหมอนเสื้อผ้านุ่งผ้าห่มข้างเจ้าสาวไปเปนของสำหรับไหว้ ครั้นไปถึงเรือนบิดามารดาเจ้าบ่าว เด็กก็เอาน้ำล้างเท้าเจ้าสาวแล้วก็ขึ้นไปบนเรือน เจ้าสาวก็ไปนั่งอยู่ที่พาขวัญกับเพื่อนเจ้าสาว แล้วหมอก็เรียกขวัญเจ้าสาวเสร็จแล้ว เจ้าสาวก็ไหว้บิดามารดาญาติพี่น้องข้างเจ้าบ่าว แล้วยกฟูกหมอนเสื่อผ้านุ่งผ้าห่มให้ บิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าว ๆ ก็เอาด้ายขาวผูกข้อมือเจ้าสาว แล้วเอาเงินแลสิ่งของทำขวัญเจ้าสาวตามสมควร แล้วพวกข้างเจ้าบ่าวก็ยกสำรับมาเลี้ยงญาติพี่น้องเจ้าสาว เสร็จแล้วญาติพี่น้องแลเจ้าสาวก็ลาบิดามารดาญาติพี่น้องเจ้าบ่าวกลับมาบ้าน
ครั้นเวลาค่ำประมาณทุ่ม ๑ เถ้าแก่ก็พาเจ้าบ่าวไปส่งที่บ้านเจ้าสาว ครั้นไปถึงเรือนแล้วเจ้าบ่าวก็ไหว้บิดามารดาเจ้าสาว ๆ ก็ให้สินให้พรตามสมควร แล้วเจ้าบ่าวก็เข้าไปในเรือน พวกเถ้าแก่ข้างเจ้าบ่าวก็พากันกลับไปบ้าน แล้วบิดามารดาข้างเจ้าสาวจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน ให้เจ้าสาวถือไปขอษมาเจ้าบ่าวก่อน แล้วให้อยู่กินด้วยกันในเรือนบิดามารดาเจ้าสาว ซึ่งกั้นฝาเปนห้องไว้ครึ่งขื่อห้องหนึ่งเท่านั้น เพราะธรรมเนียมเรือนลาวยาว ๕ ห้องบ้าง ๗ ห้องบ้าง ขื่อกว้างประมาณ ๓ วา ๔ วา จึงกั้นเปนห้องอยู่ครึ่งขื่อ ถ้ามีบุตรหญิงหลายคน บิดามารดาก็ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไปอีกจนพอกับบุตรหญิง บางทีบุตรหญิงใหญ่ได้สามีเกิดบุตรออกเรือนไปต่างหากแล้ว บุตรหญิงผู้น้องจะมีสามี บิดามารดาก็ให้อยู่ในห้องเรือนบิดามารดานั้น ไม่ต้องต่อเรือนให้ยาวออกไป ถ้าเปนคนบริบูรณ์มีเรือนอยู่หลายหลัง ก็ยกเรือนให้แก่บุตรเขยบุตรสาวอยู่ด้วยกัน ประเพณีการมงคลแต่งงานบ่าวสาวในประเทศลาวพุงขาวฝ่ายตวันออก มีธรรมเนียมดังกล่าวมานี้.
----------------------------
๑ คำว่า แยบถาม ก็คือถามโดยแยบคาย
๒ ขัน ๑๒ นักษัตร เปนขันทองเหลืองอย่างโบราณ จำหลักลายรูป ๑๒ นักษัตรไว้ที่ขอบ
ขอขอบคุณที่มา หอสมุดวชิรญาณ