[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 14:00:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ต้องติดเบรกให้กับใจ  (อ่าน 411 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1240


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2568 18:50:13 »



ต้องติดเบรกให้กับใจ
พระราชวัชรสังวรมุนี (สุชาติ อภิชาโต)

การจะทำอะไรให้ได้ผลก็ต้องทำตามขั้นตอน ขั้นตอนแรกของการปฏิบัติ ก็คือการเจริญสติ ต้องควบคุมความคิด ลบความคิดออกไปจากใจให้ได้ ให้เหลือแต่ความรู้ ดูอะไรก็รู้ เห็นอะไรก็รู้ รู้ว่ากำลังเห็นอะไร กำลังได้ยินอะไร อย่าไปคิดปรุงแต่งกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ให้รู้เฉยๆ รู้แล้วก็ผ่านไป ปล่อยเขาผ่านไป ให้ใจอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่พอได้ยินเสียงใจก็เอามาคิด ทั้งๆที่เสียงนั้นก็ผ่านไปแล้ว เช่นเวลาใครเขาว่าเรา เราก็เอามาคิดต่อ ทั้งๆที่คนที่ว่าก็หายไปแล้ว แต่เรายังอดคิดไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าย้อนไปในอดีต คิดเรื่องอดีต ตอนต้นนี้ไม่ควรคิด ต้องควบคุมความคิดให้ได้ก่อน ถ้าควบคุมความคิดได้ ต่อไปจะสั่งให้คิดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ได้ คือคิดเรื่องธรรมะ เช่นคิดเรื่องอนิจจังไม่เที่ยง คิดเรื่องทุกข์คิดเรื่องอนัตตา ถ้ายังควบคุมความคิดไม่ได้ เวลาคิดเรื่องอนิจจัง ก็จะกลับไปคิดเรื่องนิจจัง คิดตรงกันข้ามกับเรื่องที่ให้คิด เพราะใจยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลสอวิชชาความหลง ที่จะคิดสวนทางกับความจริง คิดถึงอะไรก็อยากจะให้อยู่นานๆ แทนที่จะคิดว่าอยู่ไม่นาน เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป คิดถึงอะไรก็จะคิดว่าให้ความสุขกับเรา แต่ความจริงเขาให้ความทุกข์มากกว่าให้ความสุข

ถ้าควบคุมความคิดได้แล้ว ก็จะคิดตามความจริงได้ ความจริงที่พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย สอนให้คิดให้เห็น ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นความทุกข์ เพราะไม่เที่ยง เวลาเสื่อมไป ถ้าใจยึดติดก็จะทุกข์ เพราะอยากได้สิ่งนั้นอีก เช่นเคยมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง พอล้มละลายสูญเสียทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไป ก็จะทุกข์ หรือสูญเสียสามีภรรยาบุตรธิดาไป ถ้าอยากจะให้กลับมา ก็จะทุกข์ทรมานใจ จนไม่อยากจะอยู่ต่อไป เพราะไม่สามารถเอาสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ เพราะไม่เคยมองความจริง ไม่เคยคิดถึงความจริง คือมีเกิดต้องมีดับเป็นธรรมดา มีมาต้องมีไป มีเจริญต้องมีเสื่อม ถ้าควบคุมความคิดได้แล้ว ก็จะคิดไปตามความจริงได้ ว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง มีการเจริญมีการเสื่อม มีเกิดมีดับ มีสุขแล้วก็ต้องมีทุกข์ตามมา ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา นี่คือความคิดที่เราต้องหมั่นคิดอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่ควบคุมความคิดได้แล้ว ต้องหยุดความคิดที่สวนทางกับความจริงให้ได้ก่อน พอหยุดได้แล้วก็จะคิดไปในทางความจริงได้ เหมือนขับรถหลงทางย้อนศร ก็ต้องหยุดรถก่อนแล้วก็เลี้ยวกลับ ให้รถวิ่งถูกทาง วิ่งไปในทางเดียวกับรถอื่น ก็จะปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุ ความคิดของเราตอนนี้มันย้อนศร ย้อนความจริง ไม่คิดไปตามความจริง คิดสวนทางกับความจริง ในเบื้องต้นจึงต้องหยุดความคิดให้ได้ก่อน ต้องติดเบรกให้กับใจ เพื่อจะได้หยุดความคิด
เบรกในที่นี้ก็คือสติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนว่ามีอยู่ถึง ๔๐ ชนิดด้วยกัน เช่นการบริกรรมพุทโธนี้ ก็เรียกว่าพุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าบริกรรมธัมโมก็เป็นธัมมานุสติ ถ้าบริกรรมสังโฆก็เป็นสังฆานุสติ จะเจริญบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณก็ได้ บทพุทธคุณก็เป็นพุทธานุสติ บทธรรมคุณก็เป็นธัมมานุสติ บทสังฆคุณก็เป็นสังฆานุสติ ถ้าจะเจริญมรณานุสติ ก็ระลึกถึงความตาย ท่องคำว่าตายไปเรื่อยๆก็ได้ ไม่มีอะไรไม่ตาย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตายไปหมด แต่ก็อาจจะเป็นปัญหาได้สำหรับคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง พอคิดถึงความตาย ก็เกิดความรู้สึกหดหู่ใจ ท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรใช้การเจริญมรณานุสติ ควรใช้พุทโธแทน ถ้าไม่ชอบการบริกรรม ถ้าสติมีกำลังพอที่จะควบคุมจิตใจ ให้จดจ่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็ใช้ร่างกายเป็นที่เจริญสติก็ได้ ให้รู้ว่าร่างกายกำลังทำอะไรอยู่ กำลังยืนก็รู้ว่ากำลังยืน กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังเคลื่อนไหว กำลังทำกิจกรรมอะไร ก็ให้จดจ่อรู้อยู่กับกิจกรรมนั้น ไม่ให้ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่ากายคตานุสติปัฏฐาน มีร่างกายเป็นที่ตั้งของสติยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้ลอยไปลอยมา ใจก็เป็นเหมือนเรือที่ลอยอยู่บนน้ำ ถ้าไม่ผูกไว้กับเสา เรือก็จะลอยไปกับกระแสน้ำ ถ้าผูกไว้กับเสาเรือก็จะไม่ลอยไป
 
นี่คือขั้นแรกของการปฏิบัติ ต้องเจริญสติให้ได้ก่อน ต้องควบคุมใจให้ได้ ให้อยู่ในปัจจุบัน ให้ว่าง ให้รู้เฉยๆ ถ้าควบคุมใจให้นิ่งให้ว่างได้ เวลานั่งสมาธิก็จะสงบได้ เวลากำหนดพุทโธก็จะอยู่กับพุทโธ ไม่นานใจก็จะเข้าสู่ความสงบ ทำไมตอนที่กำลังทำอะไรถึงไม่สงบ ทั้งๆที่มีพุทโธอยู่ ก็เพราะร่างกายยังเคลื่อนไหวอยู่ ถ้าร่างกายยังเคลื่อนไหวก็แสดงว่าใจยังต้องทำงาน แต่ถ้านั่งเฉยๆแล้วหลับตาไม่ขยับเขยื้อน แล้วบริกรรมพุทโธไป ใจจะรวมลง เข้าสู่ความสงบได้ เพราะไม่ต้องคอยสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว ใจไม่ต้องทำงาน.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.642 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 28 พฤษภาคม 2568 08:07:41