[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 มิถุนายน 2568 19:16:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - คุยกับอาจารย์นิติศาสตร์ 'ศาลโลก หรือ JBC' อะไรคือคำตอบแก้ปมพิพาทไทย-กัมพูชา  (อ่าน 23 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สุขใจ ข่าวสด
I'm Robot
สุขใจ บอทนักข่าว
นักโพสท์ระดับ 15
****

คะแนนความดี: +101/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Italy Italy

กระทู้: มากเกินบรรยาย


บอท @ สุขใจ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 16 ชั่วโมงที่แล้ว »

คุยกับอาจารย์นิติศาสตร์ 'ศาลโลก หรือ JBC' อะไรคือคำตอบแก้ปมพิพาทไทย-กัมพูชา
 


<span>คุยกับอาจารย์นิติศาสตร์ 'ศาลโลก หรือ JBC' อะไรคือคำตอบแก้ปมพิพาทไทย-กัมพูชา</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>รายงาน: ณัฐพล เมฆโสภณ&nbsp;</p></div>
      <span><span>XmasUser</span></span>
<span><time datetime="2025-06-14T18:03:16+07:00" title="Saturday, June 14, 2025 - 18:03">Sat, 2025-06-14 - 18:03</time>
</span>

            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>ปมกระแสข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชายังคงระอุอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การปะทะที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อ 28 พ.ค.2568 เป็นต้นมา และดูทีท่าน่าจะหาข้อสรุปไม่ได้ง่ายๆ</p><p>โดยเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2568 ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความบนสื่อโซเชียลมีเดีย ยืนยันจุดยืนก่อนการประชุมประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 และนับเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยจะยังร่วมมือกับฝ่ายไทยในการปักปันเขตแดนผ่านกลไก JBC</p><p>อย่างไรก็ตาม กัมพูชายืนยันว่าในการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 จะไม่มีการพูดคุยเรื่องข้อพิพาทเขตแดนของปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย (ในจังหวัดสุรินทร์) และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (จ.อุบลราชธานี) เพราะว่าสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภากัมพูชา มีมติเอกฉันท์ส่งเรื่องไปให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ หรือคนไทยเรียกชื่อเล่นว่า ‘ศาลโลก’) และกำลังรอท่าทีของไทยในการประชุม JBC จะร่วมกับกัมพูชาส่งเรื่องข้อพิพาท 4 เขตไปยังศาลโลกหรือไม่ หรือต่อให้ประเทศไทยไม่ยอมรับ ทางกัมพูชาจะดำเนินการยื่นฟ้องที่ศาล ICJ ฝ่ายเดียวในวันที่ 15 มิ.ย.2568</p><p>ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนอนยันมาโดยตลอดว่า ประเทศไทยจะหารือข้อพิพาทเขตแดน ผ่านกลไกระบบทวิภาคีอย่าง JBC ควบคู่กับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และใช้บันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU43) ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาที่ 2 ประเทศได้ร่วมตกลง และมีผลผูกพันทางกฎหมาย</p><p>เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทดินแดนออกเป็น 2 แนวทางไม่ตรงกัน ทำให้ยากที่จะคาดเดาบทสรุปของแก้ไขปัญหาว่าเป็นอย่างไร หรือกรณีที่กัมพูชา แจ้งว่าจะยื่นเรื่องขึ้นศาลโลกฝ่ายเดียว จะทำให้ศาลโลกมีอำนาจในการพิจารณาปัญหาข้อพิพาทเขตแดนได้หรือไม่ และประเทศไทยจะต้องทำอย่างไร หากยังยืนยันว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยกรอบทวิภาคีต่อไป</p><p>ประชาไท หอบหิ้วสารพัดคำถาม ร่วมพูดคุยกับ ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศและศูนย์กฎหมายแพ่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และไขข้อข้องใจในหลายประเด็น กระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศมีกี่แนวทาง เหตุผลที่กัมพูชาพยายามยื่นเรื่องขึ้นศาลโลกทั้งที่มีวิธีการระงับข้อพิพาทอื่นๆ และการยื่นฟ้องศาลโลกทางเดียวสามารถเป็นไปได้หรือไม่</p><p>อาจารย์ธนภัทร ยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเชื่อว่าสุดท้ายกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี หรือ JBC ยังมีประสิทธิผลมากกว่า เนื่องจากการเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ชายแดนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข ดีกว่าให้ศาลโลกที่ใช้ทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณ และระยะเวลาที่สูงมาก</p><p>อาจารย์นิติศาสตร์ ยังร่วมแลกเปลี่ยน และมีข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย หากยังต้องการใช้กลไก JBC ในการแก้ไขปัญหาพิพาท โดยเฉพาะข้อเสนอด้านการสื่อสารที่ต้องชัดเจน และมีเอกภาพ เพื่อลดการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยไม่ตั้งใจ ระมัดระวังเรื่องวาทกรรมชาตินิยม และต้องไม่ลืมเตรียมพร้อมข้อมูลและหลักฐานล่วงหน้า หากไทยถูกบีบให้สู้ในศาลโลก</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54588272866_3c52c3348a_b.jpg" width="1024" height="576" loading="lazy">ธนภัทร ชาตินักรบ</p><h2>กลไกระงับข้อพิพาทมีกี่แนวทาง ?</h2><p>ธนภัทร กล่าวว่า เบื้องต้น การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศทำได้หลายวิธี อ้างอิงตามกฎบัตรของสหประชาชาติ ข้อที่ 33 มีการกำหนดรายละเอียดช่องทางในการระงับข้อพิพาทไว้เยอะมาก ประกอบด้วย</p><ul><li aria-level="1"><strong>กรอบเจรจาแบบทวิภาคี</strong> คุยกันสองฝ่ายแล้วจบ อันนี้ง่ายสุด</li><li aria-level="1"><strong>ให้คนกลาง หรือบุคคลที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ย</strong></li><li aria-level="1"><strong>การประนีประนอม หรือพูดคุยหารือในกรอบที่ใหญ่ขึ้น</strong> เช่น กลไกระดับภูมิภาค หรือกลไกความร่วมมือพหุภาคีต่างๆ อย่างกลไกของ ‘อาเซียน’</li><li aria-level="1"><strong>ให้อนุญาโตตุลาการเข้ามาตัดสิน</strong> คือการตั้งคนภายนอกเข้ามาตัดสินข้อพิพาท หรือการฟ้องที่สถาบันอนุญาโตตุลาการต่างๆ&nbsp;</li><li aria-level="1">ท้ายที่สุดถึงจะเป็น<strong>กระบวนการยุติธรรมทางศาลระหว่างประเทศ</strong></li></ul><h2>วิเคราะห์ 4 ประเด็น ทำไม ‘กัมพูชา’ ยื่นศาลโลก</h2><p>เมื่อเป็นแบบนี้เราจะเห็นว่ากระบวนการศาลฯ มักถูกใช้เป็นกลไกสุดท้าย ดังนั้น คำถามก็คือทำไมกัมพูชาถึงอยากให้ข้อพิพาทปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ เป็นคนพิจารณาในรอบนี้</p><p>ธนภัทร เผยว่าเขาลองวิเคราะห์ภาพกว้างๆ ในมุมมองส่วนตัว เบื้องต้นมีประมาณ 4 ประเด็น ประกอบด้วย</p><p>ประเด็นที่ 1 กัมพูชาอาจจะอยากได้คำตัดสินที่เป็นผลทางกฎหมาย หมายความว่า ‘ผลทางกฎหมาย’ คือต้องเป็นคำตัดสินที่มีสภาพผูกพัน หรือมีสภาพบังคับทางกฎหมาย ไม่ใช่แค่ว่าการพูดคุยเจรจาแล้วจบ หรือแม้ว่าจะมีการเจรจาจริง แต่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ก็จะเป็นเรื่องที่เสียเวลา</p><p>ประเด็นที่ 2 กลไกที่ใช้คือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่ประเทศไทยพยายามใช้ แต่กัมพูชาอาจจะมองว่าเป็นกลไกที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง เพราะว่ากลไก JBC มีมานานแล้ว แต่พอมีมานาน และไม่มีการขยับขยายหรือว่าตกลงอะไรกันได้เลย ทำให้กัมพูชามองว่ากลไกนี้อาจจะไม่ได้ผล และประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 28 พ.ค.2568 ทำให้กัมพูชามองว่าอาจจะถึงเวลาที่จะต้องยกระดับการระงับข้อพิพาทระหว่างกันขึ้นไปอีก 1 สเต็ป</p><p>ประเด็นที่ 3 กัมพูชาอาจจะมองว่าตอนยื่นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 และศาลฯ มีคำพิพากษาออกมาแล้วหนหนึ่ง วินิจฉัยว่าตัวปราสาทตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา</p><p>หลังจากนั้น เมื่อปี 2556 มีการยื่นให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็รู้สึกว่าเขาชนะอีกครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้ชนะ เพียงแต่ศาลโลกเอาคำพิพากษาฉบับเดิมมาตีความว่า สิ่งที่คุยเมื่อปี 2505 มีคำวินิจฉัยว่าอย่างไรเท่านั้น</p><p>“ตรงนี้เหมือนในแง่ของภาพลักษณ์มากกว่า ในอดีตเขาเคยชนะ ดังนั้น ถ้าปัจจุบันเขาจะอ้างถึงคือข้อพิพาทเขตแดนในอดีต เขาอาจจะได้ฐานเสียงจากพลเมืองและประชาชนของเขา” ธนภัทร กล่าว</p><p>ประเด็นที่ 4 คือ เขามั่นใจในหลักฐานที่จะใช้ยื่นศาลฯ รอบนี้ คือเอกสารตั้งแต่สมัยที่กัมพูชาเคยตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส และเอกสารจำนวนมากเป็นการตกลงกันระหว่าง ‘สยาม’ และ ‘ฝรั่งเศส’ ในนามของกัมพูชา เขาเชื่อว่าจะสามารถนำเอาเอกสารจากสมัยยุคอาณานิคมมาใช้ในการยื่นศาลครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะตัวแผนที่ 1: 200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส อาจจะทำให้เขาได้เปรียบ</p><p>“ต้องบอกว่าแผนที่ 1: 200,000 มันเคยถูกปัดตกไปในกรณีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 แต่ในปี 2556 ที่ศาลมีคำพิพากษาตีความอีกรอบ แล้วดันไปอ้างถึงตัวแผนที่ฉบับเดิมทั้งที่ศาลในอดีตเคยปัดตกไป ดังนั้น เขา (กัมพูชา) เลยมองว่าแผนที่ฉบับนี้อาจมีผลในอนาคต และอาจจะใช้เป็นฐานในการฟ้อง&nbsp;โดยมีแบ็กอัปข้างหลังเป็นฝรั่งเศส” ธนภัทร กล่าว</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53510553306_a68f2acc78_b.jpg" width="1024" height="683" loading="lazy">(ซ้าย) ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พบปะ (ขวา) เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส (ภาพจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส)</p><h2>ศาลรับพิจารณาหรือไม่ หากกัมพูชายื่นฝ่ายเดียว</h2><p>จากกรณีที่มีการถกเถียงว่าหากกัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกกรณี 3 ปราสาท บวก 1 พื้นที่ เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ไทยไม่ได้ประกาศยอมรับอำนาจศาลนั้น ศาลโลกจะสามารถรับวินิจฉัยกรณีนี้ได้หรือไม่</p><p>ธนภัทร เกริ่นให้ฟังก่อนว่าโดยปกติการนำเรื่องขึ้นอยู่ศาลโลกทำได้โดยทางเลือกปกติ 3 วิธี และทางเลือกเสริม 2 วิธี</p><ul><li aria-level="1"><strong>การให้ความยินยอมล่วงหน้า</strong>&nbsp;ตามข้อกำหนดธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตรา 36(2) คือการให้ความยินยอมโดยอัตโนมัติล่วงหน้าว่า หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ศาลจะมีเขตอำนาจพิจารณาทันทีโดยไม่ต้องตกลงกันเป็นรายกรณีไป ในอดีตประเทศไทยเคยให้ความยินยอมไว้ แต่มาถอนออกในช่วงคดีเขาพระวิหาร เมื่อปี 2505 ทำให้ช่องทางนี้ใช้ไม่ได้แน่นอน</li><li aria-level="1"><strong>การตกลงเฉพาะเรื่อง</strong> หมายความว่า รัฐพิพาท 2 ประเทศเกิดทะเลาะกัน และหาข้อยุติไม่ได้ ทั้ง 2 ประเทศเลยตัดสินใจส่งเรื่องไปให้ศาลโลกพิจารณา กรณีนี้สามารถทำได้ และกัมพูชาพยายามใช้วิธีการนี้อยู่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเขาพยายามส่งหนังสือมาคุยกับไทยว่า ให้ไทยไปศาลโลกเถอะเพื่อที่จะเจรจา แต่ก็ขึ้นอยู่กับฝั่งไทยว่าจะตัดสินใจไปหรือไม่&nbsp;</li><li aria-level="1"><strong>การให้ความยินยอมผ่านสนธิสัญญา</strong> เกิดจากกรณีที่ไทยเคยไปเซ็นสนธิสัญญาไว้ในอดีต และสนธิสัญญาฉบับนั้นระบุข้อความว่า ‘ถ้ามีข้อพิพาทระหว่างกัน ให้นำเรื่องขึ้นศาลโลกพิจารณา’ ซึ่งในประเด็นนี้ประเทศไทยค่อนข้างรัดกุม เพราะว่าประเทศไทยจะทำข้อสงวนว่า ‘ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก’ ไว้ในสนธิสัญญาประเภทนี้ เว้นเสียแต่ว่า สนธิสัญญาบังคับเลยว่าถ้าจะเข้าร่วมสนธิสัญญาต้องยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลก ซึ่งไทยก็แค่ไม่เข้าร่วมสนธิสัญญาเท่านั้น ทำให้ช่องนี้ใช้ไม่ได้เช่นกัน</li></ul><h2>2 ช่องทางพิเศษขึ้นศาลโลก</h2><p>ตามวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น ธนภัทร เชื่อว่า วิธีการที่ 2 เป็นไปได้มากที่สุด แต่ว่าไทยก็คงไม่ยอม อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกพิเศษอีก 2 ทางด้วยกัน ในการนำเรื่องขึ้นศาลโลก</p><ol><li aria-level="1"><strong>"Forum Prorogatum" (ฟอรัมโปรโรกาทัม)</strong> เป็นการฟ้องไปก่อน ประเทศไทยไม่ยินยอมไม่เป็นไร แต่ถ้ายินยอมภายหลัง ศาลโลกก็มีขอบเขตอำนาจในการพิจารณา ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเวลายื่นฟ้องศาลระหว่างประเทศ สิ่งแรกที่จะพิจารณาคือศาลมีขอบเขตอำนาจหรือเปล่า ถ้าศาลไม่มีเขตอำนาจ คดีก็จะตกไป</li></ol><p>"มันมีประเด็นนิดหนึ่งที่ว่า ถ้าสมมติว่ากัมพูชายื่นฟ้อง และประเทศไทยตัดสินใจว่าไม่ได้มีการแสดงออกอะไร แต่ยื่นคำให้การไปยังศาล หรือแต่งตั้งทนายไปสู่กลไกการศาล มันอาจจะพอถือได้ว่าเป็นการให้ความยินยอมโดยอัตโนมัติหรือโดยปริยายไปเลย อันนี้อันตรายมากๆ แต่ถ้าเราไม่ยินยอม ให้เราพูดให้ชัดว่าเราไม่ยินยอม แล้วศาลจะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณา" อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุ</p><p>ธนภัทร เผยว่า นับตั้งแต่ที่ศาลโลกตั้งขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน มีการพิจารณาคดีไปแล้ว 190 กว่าคดี แต่มีเพียงประมาณ 10% หรือไม่ถึง 20 คดีเท่านั้นที่มีการใช้ช่องทางนี้ และเกือบ 20 คดีมีแค่ประมาณ 2 คดีที่ฟ้องสำเร็จ หนึ่งในนั้นคือคดีที่ฝรั่งเศสถูกฟ้อง โดยฝรั่งเศสยื่นคำให้การและตั้งทนายความมาสู้คดี ทั้งนี้ ฝรั่งเศสได้ส่งหนังสือไปยังศาลโลกยืนยันให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีเป็นรายกรณีในภายหลัง</p><p>ธนภัทร ระบุต่อว่า ช่องทางเสริมที่ 2 ที่กำลังจับตาดูอยู่ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน คือถ้าจำกันได้ในคดีของปราสาทเขาพระวิหาร ปี 2505 และหลังจากนั้นเราไม่ยินยอมแล้ว แต่กัมพูชายื่นฟ้องได้ใหม่อีกครั้งในปี 2554 และศาลมีคำตัดสินในปี 2556 ภาพอาจจะเหมือนกัมพูชายื่นฟ้องใหม่ แต่ในความเป็นจริงเป็นการยื่นผ่านแผนกหนึ่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ&nbsp;คือการตีความคำพิพากษาศาลเดิม</p><p>สมมติ ศาลโลกมีคำตัดสินในคดีหนึ่งในอดีต แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ศาลโลกเขียน เขียนว่าอย่างไร ซึ่งกรณีนี้ยื่นได้ต่อให้ไม่ได้รับการยินยอมเขตอำนาจศาลแล้ว เพราะถือว่ามันย้อนหลังไปเอาคำพิพากษาในอดีต</p><p>ดังนั้น กัมพูชา อาจจะยื่นให้ศาลตีความคำพิพากษาอีกครั้งว่า ฉันไม่แน่ใจว่าคำพิพากษาเขาพระวิหารเดิมมันตีความอย่างไร เขาก็อาจจะใช้ช่องทางนี้ยื่นอีกครั้งอันเดิมได้ ซึ่งคำพิพากษาเดิมอาจจะมีประเด็นเรื่องพื้นที่ที่เขาทะเลาะกันคือ 3 ปราสาท 1 พื้นที่ มันถูกระบุในคำพิพากษาเดิมของปราสาทเขาพระวิหารหรือไม่ ซึ่งตัวเชื่อมในเรื่องนี้คือแผนที่ 1:200,000 แต่จากการไปดูรายละเอียดคำพิพากษาแล้ว ไม่มีการระบุถึงพื้นที่ตรงสามเหลี่ยมมรกต หรือ 3 ปราสาทเลย ดังนั้น คิดว่ากัมพูชาไม่น่าจะใช้ช่องทางนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าทางกัมพูชาจะใช้ช่องทางใดในการยื่นศาลโลก</p><h2>ระวังการให้ความเห็นต่อสาธารณะ</h2><p>ธนภัทร ระบุว่า ถ้ารัฐบาลต้องการยืนยันว่าไม่รับอำนาจของศาลโลก มีเรื่องที่ต้องพึงระวังคือการให้ความเห็นในที่สาธารณะของคน 3 กลุ่มนี้ ประกอบด้วย 1. ประมุขของรัฐ&nbsp; 2. นายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้าฝ่ายบริหาร และ 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนอกจาก 3 กลุ่มนี้ ยังมีเอกอัครราชทูตที่ได้รับมอบหมายอำนาจให้ไปปฏิบัติหน้าที่ หรือรัฐมนตรีที่มีการแต่งตั้งเฉพาะเรื่อง</p><p>ดังนั้น เพื่อป้องกันการสื่อสารที่อาจจะนำไปสู่การยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโดยไม่ตั้งใจ อาจารย์นิติศาสตร์ จึงมองเรื่องข้อเสนอการสื่อสารของรัฐบาล ต้องมีไม่กระจัดกระจาย และมีเอกภาพออกมาจากคนๆ เดียว</p><p>“การพูดควรจะออกมาจากคนเดียว หมายถึงไม่ควรสื่อสารหลากหลาย นายกฯ พูดอะไรไป จะมีผลผูกพันกับประเทศได้ ซึ่งถ้ามันเป็นเนื้อหาลักษณะนี้ เขาน่าจะต้องระวังมากขึ้นแล้วว่า ‘ฉันจะแต่งตั้งทนายไปสู้คดี’ เป็นถ้อยคำที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องเป็นถ้อยแถลงความทั่วไป พูดต่อสื่อแบบมีไมค์มาจ่อสัมภาษณ์ แล้วถ่ายออกไป อันนี้ก็อาจจะมีผล” อาจารย์นิติศาสตร์ กล่าว</p><p>ธนภัทร กล่าวย้ำว่า นอกจากการระวังเรื่องการสื่อสารยอมรับเขตอำนาจศาลโดยไม่ตั้งใจ แนะนำว่าให้ทำเอกสารส่งไปศาลโลกก็ได้ เพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลอย่างเป็นรูปธรรม&nbsp;</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54587483007_50eac11746_b.jpg" width="1024" height="683" loading="lazy">แพทองธาร ชินวัตร (ที่มา: เฟซบุ๊ก Ing Shinawatra)</p><h2>ชี้แจงเหตุผลให้ชัด ทำไมไม่ไปศาลโลก</h2><p>ต่อประเด็นที่ว่าถ้าหากประเทศไทยดึงดันปฏิเสธไม่ไปเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาข้อพิพาทของศาล ICJ แบบนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่ อาจารย์นิติศาสตร์ มองว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการสื่อสารของไทยในการให้เหตุผลไม่รับอำนาจศาลโลก ยกตัวอย่าง ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยไม่พูดอะไรเลย หรือก็คือใช้วิธีนิ่งเฉย ข้อดีของวิธีการนี้คือทำให้เราลดความเสี่ยงในการยอมรับอำนาจศาลโดยปริยายหรือโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าท่าทีเราเป็นอย่างไร แต่ข้อเสียของมันก็มีเหมือนกัน เช่น กัมพูชาอาจจะเอาเรื่องที่ไทยนิ่งเฉย ไปบอกประชาคมโลกว่าไทยไม่มีความจริงใจในการเข้าร่วมกลไกแบบสันติวิธี ซึ่งกัมพูชาพยายามพูดเรื่องนี้อยู่พอสมควร รวมถึงที่ไปเวทีสหประชาชาติช่วงที่ผ่านมา แต่ไทยใช้วิธีการเงียบกริบ เหมือนไม่มีกรอบในการตั้งรับ ดังนั้น ไทยควรจะยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาในระดับทวิภาคีมันเพียงพอในการแก้ไขปัญหา&nbsp;</p><p>“อันหนึ่งที่ผมว่าไทยทำดีมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่มันหายไป คือเหตุผลที่เราไม่ไปศาลโลกเพราะว่าเราคิดว่าเราจะใช้กลไกผ่านกรอบทวิภาคีที่เรามีอยู่แล้ว เช่น JBC หรือความร่วมมือชายแดนต่างๆ อันนี้เราพูดต่อสิ เหตุผลที่เราไม่ไปศาลโลก เพราะเราจะใช้กลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคีมากกว่า แบบนี้มันอาจจะดีกว่ากับการที่เราแบบเฉยๆ ไปเลย หรือว่าเราไม่ทำอะไรเลย” ธนภัทร กล่าว</p><h2>'ศาลโลก' ควรเป็นกลไกสุดท้าย</h2><p>สำหรับอาจารย์จากธรรมศาสตร์ มองว่า การใช้กลไกแบบทวิภาคีที่เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่เข้าไปมีส่วนร่วม น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า หรือดีกว่าที่จะไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งใช้งบประมาณ และทรัพยากรทุกอย่างมากเกินไป</p><p>ธนภัทร มองว่า การยื่นเรื่องไปศาลโลกมีปัญหาเยอะ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายสูง และการใช้ระยะเวลาที่นานมากในการตัดสินคดี ถ้าสังเกตจากทีมกฎหมายของกัมพูชาเรียกว่าแทบจะขนมาทั้งประเทศ งบประมาณจ้างทนายความค่อนข้างสูง ใช้ระยะเวลานาน ถ้าดูจากคดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2556 ไทยจ้างทนายความจากต่างประเทศ ต้องใช้เวลาในการทำคดีที่ยาวนาน หลายคดีใช้เวลาเกิน 2-3 ปี ดังนั้น คิดว่าอาจจะใช้กลไกระงับข้อพิพาททีละสเต็ปก่อนดีไหม</p><p>ธนภัทร กล่าวว่า การใช้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ข้อดีของการพูดคุยกันในระดับกรอบทวิภาคี คือ 2 ประเทศสามารถตกลงกันบนความเข้าใจบริบทในพื้นที่ร่วมกันได้ หรือกรณีที่เรายังไม่สามารถตกลงแก้ไขข้อพิพาทเรื่องเขตแดน หรือก็คือยังไม่สามารถปักปันเส้นเขตแดนที่ชัดเจน เราอาจจะไปเจรจาในกลุ่มเล็กที่เป็นมิติความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การค้าเศรษฐกิจชายแดน สาธารณสุข การศึกษา เป็นต้น เพราะเราต้องไม่ลืมว่าคนชายแดนเขาไป-มาหาสู่กัน ใช้บริการโรงพยาบาล การศึกษา และมีเศรษฐกิจชายแดนร่วมกัน หรือถ้ารู้สึกว่ากลไก JBC ยังใช้แก้ไขไม่ได้ เราจะขยับมาใช้กรอบกลไกอาเซียน ให้เข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่ เพราะว่าอย่างน้อยประธานอาเซียนก็น่าจะมีความเข้าใจบริบทพื้นที่มากกว่า ดีกว่าไปทะเลาะกันที่ศาลโลก</p><p>ถ้าสมมติขยับอีกหน่อย กรอบอาเซียนยังไม่สำเร็จ เราสามารถแต่งตั้งคนกลางจากนอกภูมิภาค เป็นบุคคลที่ 3 หรือองค์การระหว่างประเทศ เข้ามาคุยกันได้หรือไม่ เช่น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเข้ามาช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือตอนนี้ก็มีบางประเทศเริ่มเสนอตัวเป็นคนกลางระงับข้อพิพาท</p><p>“คนชายแดนต้องรู้ดีกว่าคนกุมนโยบายอยู่ที่กระทรวงอยู่แล้ว เราไปฟ้องศาลโลก เรามอบนโยบายให้กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเองก็ไม่ได้รู้เรื่องชายแดนดีกว่าคนในพื้นที่ ไม่สามารถพูดได้ทุกอย่าง ก็ต้องเป็นคนนอกอยู่ในยุโรป ซึ่งถ้าสังเกตเคสเมื่อปี 2556 (เขาพระวิหาร) ทนายความเป็นฝรั่งหมดเลย เขาต้องมาคลุกอยู่กับเรานานแค่ไหน เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนทำนโยบายกระทรวงส่วนกลาง แทนที่เขาจะทำงานหลัก ต้องมาทำงานเรื่องนี้ ถ้าชั่งน้ำหนักข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่างๆ ผมยังคิดว่ากลไกด้านทวิภาคีมันน่าจะเวิร์กกว่า" ธนภัทร ย้ำ</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54588563148_a767688fda_b.jpg" width="1024" height="683" loading="lazy">การประชุม JBC ที่โรงแรมโซฟิเทล พนมเปญ ครั้งที่ 6 เมื่อ 14 มิ.ย.2568 (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)</p><h2>เสนอรัฐบาลต้องชัดเจน-จริงจัง ระวังเรื่องชาตินิยม</h2><p>อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีข้อเสนอถึงรัฐบาล 3 ประเด็น คือ ข้อเสนอด้านกฎหมาย ข้อเสนอด้านการทูต และข้อเสนอด้านการสื่อสาร</p><p>ข้อที่ 1 ข้อเสนอด้านกฎหมายที่ต้องเอาใช้ชัดว่าเราจะจัดการข้อพิพาทอย่างไร อย่างเช่น ไทยยืนยันให้ชัดเจนว่าจะไม่ขึ้นศาลโลก โดยอาจจะออกแถลงการณ์ หรือออกจดหมายทางการทูต เพื่อป้องกันการยินยอมโดยปริยาย</p><p>นอกจากความชัดเจน รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้าทั้งด้านเอกสาร หลักฐาน และข้อมูล เพื่อเตรียมรับมือหากเราโดนบีบให้เข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทแบบใดก็ตาม ซึ่งถ้าไม่เตรียมตัวเลย อาจเดือดร้อน</p><p>ข้อที่ 2 คือข้อเสนอทางการทูต สมมติว่าไม่ขึ้นศาลโลก และเลือกใช้เวทีระดับภูมิภาค อย่างการหารือผ่านกลไก JBC รัฐบาลก็ต้องจริงจังและต่อเนื่อง และค่อยๆ ยกระดับกรอบเจรจาการแก้ไขปัญหาขึ้นไปทีละสเต็ป</p><p>อาจารย์นิติศาสตร์ มองว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ วาทกรรมที่ยั่วยุหรือเกี่ยวข้องกับชาตินิยม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเราเห็นบทบาทความเคลื่อนไหวจากฝั่งกองทัพ เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหว และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในวงกว้าง การทะเลาะพื้นที่ชายแดน มันไม่ได้หมายความว่าทุกพื้นที่ต้องทะเลาะเหมือนกันหมด หรือต้องปิดชายแดนขังตัวเองอยู่ในประเทศอย่างเดียว</p><p>"ผมไม่เห็นด้วยกับการที่กองทัพ หรือหน่วยงานในสังกัดกองทัพทำภาพ ‘มีม’ ขึ้นมา ทำให้เพิ่มยอดเอนเกจเมนต์ เราต้องระวังมากๆ มันอาจจะนำไปสู่การยั่วยุ ซึ่งจะส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมา" อาจารย์นิติศาสตร์ ให้ความเห็น</p><h2>การสื่อสารสาธารณะต้องรวมศูนย์</h2><p>"อันนี้สำคัญมาก และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยค่อนข้างขาด และ ณ ปัจจุบันก็ยังขาดอยู่ แต่กัมพูชาเขาชัดมาก (เรื่องการสื่อสาร) เราต้องสื่อสารชัดเจน มีระบบ เป็นเอกภาพ ซึ่งตอนนี้เราไม่มีอะไรเลยสักอย่าง"</p><p>ธนภัทร กล่าวว่า ข้อที่ 3 คือเป็นข้อเสนอเรื่องการสื่อสารต่อสาธารณชน มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องบูรณาการการทำงานเหมือนช่วงโควิด-19 ทำเป็นกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งในการที่จะสื่อสาร โดยอาจมอบหมายให้ทีมโฆษก หรือกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบ เช่น ประเด็นเรื่องชายแดนทั้งหมดต้องมาจากอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิให้ความเห็น หรือฝ่ายทหารไม่ต้องพูด ให้ทุกอย่างมันเป็นเสียงเดียว</p><p>นอกจากนี้ อาจารย์นิติศาสตร์ เสนอให้รัฐบาลการสื่อสารอย่างเป็นระบบ จัดทำเอกสารสรุปสถานการณ์ในรอบวัน โดยสื่อสารทั้งประชาชน และสื่อมวลชน และจัดทำเป็นแบบ 2 ภาษา คือภาษาไทย และอังกฤษ เพื่อป้องกันการแปลความหมายผิดพลาด หรือไม่ตรงกัน ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต</p><p>สุดท้ายคือการสื่อสารในพื้นที่ระดับชุมชน หรือท้องถิ่น เพื่อให้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ ป้องกันเรื่องวาทกรรมต่างๆ และความตื่นตระหนกในพื้นที่</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/54588376076_43d2b01a22_b.jpg" width="1024" height="576" loading="lazy">การถ่ายทอดสดออนไลน์ การแถลงข่าวสรุปสถานการณ์ของของกระทรวงการต่างประเทศ ประจำวันที่ 14 มิ.ย.2568 (ที่มา: เฟซบุ๊ก กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand)</p><h2>ใจเย็นไม่ผลีผลาม</h2><p>ธนภัทร ฝากทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องมีความใจเย็นในการดำเนินการ&nbsp;มันไม่ควรเร่งขั้นตอนทุกอย่างมากเกินไป&nbsp;ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ทั้งผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ประชาชน หรือผู้ที่รับฟังข่าวสารจากโซเชียลมีเดีย พอเขาเห็นอะไรปุ๊บ มันช้า ทุกฝ่ายบอกว่ามันช้าไปหมดเลย แต่ว่ากระบวนการมันต้องช้า ซึ่งก็ต้องขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ และต้องหลีกเลี่ยงการยั่วยุการปะทะที่จะส่งผลในระดับภาพใหญ่</p><p>"ที่สำคัญ ผมคิดว่าปัญหาทั้งหมดจะไม่เกิดเลย ถ้าเราได้รับการสื่อสารที่มันชัดเจน เป็นสเต็ปเราจะทำอะไร ใครเป็นผู้มีอำนาจ ควรจะคุยกับใคร ไม่ควรจะเกิดกรณีที่นักข่าวเอาไมค์ไปยื่นสัมภาษณ์ สถานการณ์เป็นแบบนี้ อีกฝ่ายโต้มาแบบนี้ และเราจะตอบสนองอย่างไร นายกฯ ต้องชัดเจนคือเรื่องไหนไม่ทราบก็บอกไม่ทราบ เรื่องนี้มอบหมายให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบหรือถามผู้ปฏิบัติงานคนนี้ได้เลย หรือระหว่างนี้เอารัฐมนตรีหรือคนที่สามารถตอบคำถามได้มาอยู่ข้างตัว เพื่อลดภาพด้านลบที่เกิดขึ้นต่อประชาชน และอีกเรื่องที่อยากฝากคือการสื่อสารต้องให้เป็นระบบ ทุกวันสี่โมงเย็นถึงห้าโมงเราจะอัพเดทสถานการณ์ หรือถ้ามีเหตุด่วนก็ให้มีแถลงการณ์พิเศษ กระทรวงการต่างประเทศ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งทีมมอนิเตอร์สถานการณ์ 24 ชม." ธนภัทร ทิ้งท้าย</p></div>
      <div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C" hreflang="th">สัมภาษณhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">การเมือhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" hreflang="th">ต่างประเทhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%87" hreflang="th">ความมั่นคhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9A" hreflang="th">ธนภัทร ชาตินักรhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2" hreflang="th">กัมพูชhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99" hreflang="th">ข้อพิพาทเขตแดhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2" hreflang="th">คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชhttp://prachatai.com/category/jbc" hreflang="th">JBC[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" hreflang="th">ศาลยุติธรรมระหว่างประเทhttp://prachatai.com/category/icj" hreflang="th">ICJ[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81" hreflang="th">ศาลโลhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1" hreflang="th">ชาตินิยhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%97" hreflang="th">กลไกระงับข้อพิพาhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99" hreflang="th">อาเซียhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4" hreflang="th">สหประชาชาตhttp://prachatai.com/category/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3" hreflang="th">แพทองธาร ชินวัตhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" hreflang="th">กระทรวงการต่างประเทhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%AE%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%95" hreflang="th">ฮุน มาเนhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9E" hreflang="th">กองทัhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%95" hreflang="th">การทูhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" hreflang="th">ความสัมพันธ์ระหว่างประเทhttp://prachatai.com/category/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2" hreflang="th">ชายแดนไทย-กัมพูชhttp://prachatai.com/journal/2025/06/113292
 

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

นักข่าวหัวเห็ด แห่งเวบสุขใจ
อัพเดตข่าวทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง

>> http://www.SookJai.com <<
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.135 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 14 ชั่วโมงที่แล้ว