[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 16:24:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ  (อ่าน 154 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 17:15:43 »



ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖

ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ

----------------------------

พิมพ์ครั้งที่ ๒ แจกในงานศพ
นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา)
ปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓
----------------------------

พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร


คำนำ


มิตรสหายของนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ได้มอบฉันทให้อำมาตย์เอก พระสฤษดิ์พจนกร มาขออนุญาตต่อกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร เพื่อจะพิมพ์หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๖ ซึ่งว่าด้วยตำราเล่นหนังในงานมโหรศพอิกครั้ง ๑ เพื่อจะแรกในการกุศลปลงศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ หนังสือเรื่องนี้ได้พิมพ์ครั้งแรกแจกในงานพระศพพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าชายโตสินี เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ บัดนี้ก็หาฉบับยากอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าภาพในงานศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ มีศรัทธาจะพิมพ์อิกครั้ง ๑ กรรมการหอพระสมุดอนุโมทนาด้วย จึงอนุญาตให้พิมพ์ตามประสงค์.

อนึ่งเจ้าภาพได้เรียบเรียงประวัติพระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ส่งมาขอให้พิมพ์ไว้ได้ในหนังสือนี้ด้วย จึงได้ให้พิมพ์ต่อคำนำนี้ไป ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งเจ้าภาพได้บำเพ็ญในการปลงศพ นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ ด้วยอัธยาไศรยไมตรีต่อผู้ซึ่งล่วงลับไป แลได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับหนังสือเรื่องนี้ไปคงจะอนุโมทนาด้วยทั่วกัน


สภานายก

หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 มิถุนายน 2568 17:17:36 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 17:31:31 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๕

เรื่องหนังที่เล่นในงานมโหรศพ

----------------------------

๏ บัดนี้จะได้อธิบายด้วยเรื่องหนังซึ่งเปนเครื่องเล่นอย่างหนึ่งของชาวเรา ก็หนังนี้ถ้ามีงานมโหรศพเมื่อใด ก็จำที่จะต้องตั้งจอขึ้นเล่นเมื่อนั้น

เพราะเหตุใตเล่า ฯ เหตุที่ทำให้ครึกครื้นเอิกเกริกในงานอย่างหนึ่ง ทำให้เหิมเกริมในที่ประชุมชนที่มาดูงานได้อย่างหนึ่ง ด้วยการที่เล่นนั้นอาไศรยเรื่องนารายน์สิบปาง ๆ ที่สิบ ที่เรียกว่าเรื่องรามเกียรดิ์เอามาจับเล่นเปนตอน ๆ ไป แลสลักแผ่นหนังขึ้นไว้เปนรูปภาพตามท้องเรื่อง มีรูปพระราม พระลักษณ์ ทศกรรฐ์ นางสีดา เปนต้น เอาขึ้นเชิดชูทาบเข้ากับจอให้แสงไฟขาวส่องสว่างออกมาเห็นรูปภาพนั้น แล้วพากย์เจรจากันแลติดตลก พลางตีพิณพาทย์ระนาดฆ้องกลองตะโพนบันฦๅลั่น สนั่นเสียงกรับโกร่งโหม่งม้าล่อแซ่เซ็งไป การที่เล่นดังนี้จึงได้ครึกครื้นสนุกสนาน ชักให้คนอันมากมาประชุมดู เพราะฉนั้นงานมโหรศพจึงได้เล่นหนังแทบทุก ๆ งาน จะเว้นบ้างก็น้อย ด้วยการเล่นหนังนี้ เปนเครื่องทำให้ครึกครื้นในงานอย่างยิ่ง.

ว่าด้วยวิธีทำตัวหนัง
จะขอกล่าวอธิบายถึงวิธีทำตัวหนังแลวิธีทำจอ แลการที่จะเล่นหนังนี้ก่อน แล้วจึงจะกล่าวถึงผลประโยชน์ของการเล่นหนังนี้ต่อไป

​ก็วิธีซึ่งจะทำเปนตัวหนังขึ้นนั้น เอาหนังโคมาแช่น้ำให้อ่อนแล้ว ขึงผึ่งแดดไว้จนแห้งแล้วเอาเหล็กขูด ๆ ให้บาง ดูจนสม่ำเสมอเรียบร้อยจึงเอาเขม่าก้นหม้อ ฤๅกาบมะพร้าวเผาก็ได้ละลายด้วยน้ำเข้าเช็ด ทาผืนหนังนั้นให้ทั่วทั้งสองด้าน ดูพอดำดีแล้วตากไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งจึงถูด้วยใบฝักเข้าประสงค์จะให้เปนมัน แล้วจึงหาช่างเขียนที่ฝีมือดีมาเขียนรูปภาพต่าง ๆ ตามความต้องการของเจ้าของนั้น เมื่อเขียนแล้วตรวจดูช่องไฟไม่ขัดขวางจึงลงมือสลัก เครื่องมือสลักนั้นมีสิ่วฉากอย่างหนึ่ง สิ่วเล็บมืออย่างหนึ่ง มุกใหญ่, มุกกลาง, มุกยอดอย่างหนึ่ง มุกนี้สำหรับกัดตามเส้นรูปภาพ ถ้าสลักตามลวดลายฤๅกนกแล้ว ต้องใช้สิ่วเล็บมือฤๅสิ่วฉากใหญ่เล็กตามสมควร

ครั้นสลักเสร็จแล้วจึงย้อมให้เปนสีต่าง ๆ บ้างเล็กน้อยตามความต้องการ ถ้าจะให้สีขาวเอาเหล็กขูด ๆ ที่หนังให้หมดสีดำที่ทาเขม่าไว้ก็เปนสีขาว ถ้าจะให้เปนสีเขียว เอาจุณสีฝนกับน้ำมะนาวทาก็เปนสีเขียว ถ้าจะให้เปนสีแดงเอาน้ำฝางกับสารส้มทาก็เปนสีแดง ถ้าจะให้เปนสีเหลืองเอาน้ำฝางทาแล้วเขาน้ำมะนาวถู ๆ เข้าก็เปนสีเหลือง แต่หนังตัวนางนั้นถ้าจะให้แลดูเปนขาว ก็สลักเอาพื้นตัวออกเสีย เมื่อเชิดทาบเข้ากับจอ พื้นจอส่องออกมาก็เห็นเปนขาว หนังสลักเอาพื้นตัวพื้่นหน้าออกเช่นนี้เรียกกันว่า “นางหน้าแขวะ”

ครั้นเมื่อย้อมสีต่าง ๆ สำเร็จแล้ว จึงเอาไม้มาสี่ซีกขนาบเข้าสองข้าง สำหรับที่จะได้ถือจับเชิดไปเชิดมา แต่หนังที่สลักสำเร็จเปนตัว​ขึ้นแล้วนั้นก็บัญญัติชื่อต่าง ๆ กัน หนังที่เปนรูปเดินไม่ว่ายักษ์, ลิง, มนุษย, นาง, สุดแต่เปนรูปเดินแล้วเรียกชื่อวา “คเนจร”

หนังที่เปนรูปท่าเหาะไม่ว่า ยักษ์, ลิง, สุดแต่ท่าเหาะแล้วเรียกชื่อว่า “ง่า”

หนังที่เปนสุมพลสำหรับยกทัพ ไม่ว่ายักษ์, ลิง, สุดแต่เปนสุมพลแล้ว เรียกชื่อว่า “เขน”

หนังที่เปนรูปลิงขาวมัดลิงดำมาหาฤๅษีนั้น เรียกชื่อว่า “เตียว”

หนังที่เปนรูปตลกนั้น เรียกชื่อว่า “จำอวด” หนังจับสามนั้น เรียกชื่อว่า “จับหนึ่ง, จับสอง, จับสาม,” แล้วยังมีหนังฉากหนี ๑ ฉากไล่ ๑ ลากชาย ๑ หนังโก่ง ๑ หนังแผลง ๑ หนังไหว้ ๑ หนังรถ ๑ หนังเมือง ๑ หนังพลับพลา ๑ หนังปราสาทพูด ๑ หนังปราสาทโลม ๑ รวมชื่อของหนังที่สมมตเรียกกันนั้นต่าง ๆ นักเหลือที่จะพรรณา

อนึ่งหนังสำคัญอิกสามตัวที่ผู้เล่นเคารพนับถือกันนักนั้น คือรูปพระแผลงสองตัว รูปฤๅษีตัวหนึ่ง รวมสามตัวนี้เรียกชื่อว่า “หนังเจ้า” หนังเจ้านี้เมื่อจะทำขึ้นได้ก็ดูเปนการลำบากสักหน่อย คือรูปพระแผลงสองตัวนั้น ต้องหาหนังโคตายพรายมาทำ หนังรูปฤๅษีนั้น ต้องหาหนังเสือฤๅหนังหมีก็ได้ เอามาทำจึงจะถือกันขลัง

หนังเจ้าทั้งสามนั้น เมื่อจะเขียนจะสลักคนเขียนคนสลักต้องนุ่งขาวห่มขาว แล้วรีบเขียนรีบสลักให้แล้วในวันเดียว อย่าให้การข้ามขวบค้างคืนได้

​อนึ่งเมื่อเวลาจะเขียนจะสลักนั้น ต้องมีสิ่งของที่สำหรับคำนับครู คือบายศรีปากชาม ๑ เครื่องกระยาบวช ๑ ศีศะสุกร ๑ เงินติดเทียนด้วย ๖ บาท ของเหล่านี้เมื่อบูชาครูเสร็จแล้ว ก็เปนผลประโยชน์ของผู้เขียนผู้สลัก ครั้นสลักเสร็จจึงระบายสีเจ้าทั้งสามตัว รูปพระแผลงสองตัวระบายสีเขียวตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระนารายน์ ระบายสีเหลืองอ่อนฤๅปิดทองก็ได้ตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระอิศวร รูปหนังเจ้าทั้งสามองค์ใช้ระบายสีต่าง ๆ ตามลายผ้านุ่งแลกนก ผิดกับหนังตามธรรมดา เพราะเอามาใช้ตั้งเบิกหน้าพระแต่เวลายังไม่ค่ำ

ว่าด้วยวิธีทำจอ
วิธีซึ่งทำจอหนังนั้น เอาผ้าขาวบางอย่างหยาบมาตัดเพลาะกันเข้าพอควร ใช้คำที่กลางผืนจอเพื่อจะให้สว่างเห็นตัวหนังชัด ที่ด้านมืดสองข้างใช้ผ้าขาวดิบอย่างหนา ประสงค์จะให้เงามืดแฝงตัวหนังออกมาเหมือนที่ออกฉาก ริมจอทั้งสี่ด้านนั้นใช้ผ้าแดงผ้าเขียวคราม เพราะติดกันสองผืนเย็บวงรอบกับจอไป ประสงค์จะสอดสีกันแลดูงาม แล้วเอาเชือกตัดเปนตอน ๆ ตามด้านยาวสองด้านสมมตเรียกว่า “หนวดพราหมณ์” สำหรับจะได้ผูกเหนี่ยวกับคร่าวบนคร่าวล่าง

ผ้าที่สำหรับวงหลังจอซึ่งเรียกว่าบังคับเพลิงนั้น แต่ก่อนใช้ผ้าใบสาคูเช่นทำใบเรือ แต่ปัตยุบันนี้ใช้ผ้าขาวดิบ

ขนาดของจอนั้น ถ้าจอยาวตามธรรมดาใช้ยาว ๗ วา ๒ ศอกเศษ ถ้าเปนงานที่เล่นประชันกันฤๅงานใหญ่ ๆ เจ้าภาพแขงแรง ก็ใช้จอยาวถึง ๙ วาก็มี ๑๑ วาก็มี ตามท้องไชยภูมิ์จะสมควร

​ระบายห้อยน่าจอนั้นใช้ผ้าแดงบ้าง เขียวบ้าง ดำบ้างสลับกันสองชั้น แล้วเอาทองอังกฤษฤๅอังกฤษย่น ฤๅกระดาษน้ำตะโกสลักเข้าเปนลวดลายต่าง ๆ ติดเข้ากับระบายจอ บ้างก็เอากระจกเงาเข้าติดเปนเนื่องไป แล้วห้อยแขวนด้วยลูกรุ่ยตามชายระบายจอนั้น ประสงค์จะให้แลดูงามแปลบปลาบในตา.

จออย่างหนึ่งที่เรียกว่าจอแขวะนั้น แต่บุราณมาก็มิได้มี พึ่งจะมาเกิดขึ้นประมาณ ๒๕ ปี ๒๖ ปีนี้ จอแขวะนั้นเจาะที่ผ้าดิบสองข้างจอ เปนช่องประตูออกมาแล้วทำเปนซุ้มประตูเช่นประตูเมืองทั้งสองต้าน ที่จอด้านหนึ่งเขียนแผนที่เมืองลงกา ด้านหนึ่งเขียนแผนที่พลับพลาของพระราม แล้วเขียนรูปนางเมขลารูปรามสูรเหาะล่อแก้วกันอยู่ มีดวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ อยู่เบื้องบนข้างละด้านแลดูก็เรียบร้อยไม่ ขัดตาชอบกลอยู่ ด้วยจอแขวะนี้มีผู้คิดยักย้ายทำขึ้นก็เห็นว่าดีกว่าเก่า เพราะประกอบความงดงามแล้วทำให้คนเชิคคนเจรจาเข้าออกสบาย ไม่ต้องก้มดังชั้นหลัง ๆ มาสมัยนี้ยิ่งประกอบความคิดในการที่จะตกแต่งประดับประดาจอยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมควรกับความเจริญของบ้านเมือง.

ว่าด้วยวิธีตั้งจอ
วิธีที่จะตั้งจอหนังนั้นถ้าผืนจอกว้างเจ็ดศอกเศษ กำหนดใช้เสาจอยาวสามวา ถ้าผืนจอกว้างออกไปยาวออกไปก็ต้องใช้เสายาวออกไปตามส่วนของจอนั้น เสาจอนี้ใช้ ๔ ต้นกล่อมเสียให้กลมเรียบร้อย แล้วมีเม็ดรูปต่าง ๆ ตามแต่จะชอบใจของเจ้าของติดปลายเสาทุก ๆ ต้น แล้วเจาะที่ปลายเสาต่ำลงมาประมาณศอกหนึ่งติดลูกรอกสำหรับที่จะได้​ชักรอกเอาคร่าวที่ขึงผืนจอขึ้นไป ปลายเสาทั้ง ๔ ต้นนั้น ปักหางนกยุงมัดเปนกำใหญ่ ยอดหางนกยุงนั้นเสียบธงแดงบ้าง ธงตราช้างบ้าง เมื่อลมพัดมาสบัดธงไหว ๆ แลดูสง่างามยิ่งนัก.

ยังเสาสำหรับผ้าบังเพลิง ที่อ้อมวงหลังจอนั้น ใช้ ๖ ต้นมีธงแดงเสียบปลายเสาแต่ ๔ ต้น สองต้นนั้นไม่ต้องเสียบธง เพราะเหนี่ยวมาผูกติดไว้กับจอจนไม่แลเห็น แล้วมีเชือกแดงสองเส้นผูกเข้าตะกรุดเบ็ดไว้ที่คร่าวข้างบนข้างละเส้น สำหรับเหนี่ยวรั้งเอาเสาบังเพลิงมาผูกไว้กับจอให้แน่น แล้วโยงถ่างไปข้างน่าข้างหลังด้านละสองสายเพื่อจะมิให้จอล้ม เสาบังเพลิงอิก ๔ ต้นที่เสียบธงนั้นก็มีเชือกเหนี่ยวโยงไปข้างหลัง เพื่อจะมิให้ล้มซวนเซไปเหมือนกัน

การที่จะปักเสาจอนั้น เมื่อถึงวันกำหนดงานเจ้าของหนังก็ขนเอาเครื่องจอไป แล้วถามเจ้าของงานว่าจะตั้งที่ตรงไหน เจ้าของงานต้องมาชี้ที่ให้ เมื่อชี้ที่ให้แล้วก็ขุดหลุมลงยกเสาทั้ง ๔ ต้นขึ้นชักรอกเอาผืนจอขึ้นไปขึงให้ตึงเรียบร้อย แล้วติดบังเพลิงด้านหลังเหนี่ยวรั้งเชือกที่โยงให้แน่นหนา มีแผงเชิงจอผืน ๆ เขียนลวดลายต่าง ๆ ยกมาตั้งบังเข้าที่น่าจอเฉภาะแต่ที่ตรงสว่าง ที่มืดสองด้านนั้นไม่บังแผง เพื่อจะเปิดไว้เปนทางเดินให้คนเชิดเจรจาเข้าออก.

ส่วนข้างในจอนั้นก็ปักหลักแป้นไว้กลางจอสำหรับใส่ไต้ จะได้ส่องสว่างออกมาเห็นตัวหนัง แล้วตระเตรียมเอาโกร่งกรับสำหรับตีมาทอดวางไว้เสร็จ เมื่อเวลาเล่นจะได้เคาะประโคม เปนเครื่องเอิกเกริก การที่พรรณามานี้อย่างแบบโบราณ ถ้าการสมัยประจุบันนี้การที่​ตกแต่งจอก็คิดพลิกแพลงยักย้ายงดงามขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า คือใช้จอแขวะมีประตูเข้าออกดังพรรณามาแล้วนั้น แล้วที่น่าจอก็ยกพื้นเลียบกระดานปูเสื่อมีรั้วลูกกรงล้อมรอบเปนเขตรแดนกั้นไว้มิให้คนดูรุกเข้ามากีดที่ในการที่จะเล่นหนังได้ แลตามรั้วลูกกรงนั้นก็มีหลักรายเปนจังหวะ สำหรับที่จะตั้งโคมไฟให้ส่องแสงสว่างเห็นทั่ว ๆ

บางทีถ้างานใหญ่ ๆ ก็สานแผงผูกโครงทำเปนภูเขาเข้าที่น่าจอ แล้วปลูกต้นไม้ใหญ่เล็กประดับประดาด้วยดอกผลกล่นเกลื่อนดูไสวแล้ว ก็มีกุฏิ์ฤๅษีที่เชิงเขาปานประหนึ่งว่าเปนจริง บ้างก็ยกเสามุงหลังคาทำเปนโรงคร่อมจอหนังเข้าอิกชั้นหนึ่ง แล้วก็ประดับตกแต่งโรงนั้นโดยวิจิตรต่าง ๆ เหลือที่จะร่ำพรรณาให้สิ้นสุดได้ การที่ตกแต่งโรงหนังนี้ก็คงจะสมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตามกาลคามสมัย
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.175 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 21 ชั่วโมงที่แล้ว