[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 ธันวาคม 2568 22:17:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - คุยกับ 'พอล' หลังถูกเนรเทศ กองทัพขยายอำนาจด้วยกระแสชาตินิยมและรัฐบาล 'อนุท  (อ่าน 112 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สุขใจ ข่าวสด
I'm Robot
สุขใจ บอทนักข่าว
นักโพสท์ระดับ 15
****

คะแนนความดี: +101/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Italy Italy

กระทู้: มากเกินบรรยาย


บอท @ สุขใจ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 กันยายน 2568 02:25:04 »

คุยกับ 'พอล' หลังถูกเนรเทศ กองทัพขยายอำนาจด้วยกระแสชาตินิยมและรัฐบาล 'อนุทิน' อย่างไร?
 


<span>คุยกับ 'พอล' หลังถูกเนรเทศ กองทัพขยายอำนาจด้วยกระแสชาตินิยมและรัฐบาล 'อนุทิน' อย่างไร?</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>ทีมข่าวการเมือง</p><p>สัมภาษณ์เมื่อ 3 ก.ย.2568</p></div>
      <span><span>admin666</span></span>
<span><time datetime="2025-09-13T07:30:00+07:00" title="Saturday, September 13, 2025 - 07:30">Sat, 2025-09-13 - 07:30</time>
</span>

            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดร. พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการสัญชาติสหรัฐฯ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพ ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามมาตรา 112 จากข้อความเชิญชวนเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพและตำรวจไทย ในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2567 โดยมีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์</p><p>พอลเดินทางไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังได้รับแจ้งจากมหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งเป็นต้นสังกัดในขณะนั้นว่าตัวเองมีหมายจับ แม้เขาจะไปรายงานตัวกับตำรวจเองแต่ถูกส่งตัวไปขังในเรือนจำและถึงจะยื่นประกันตัวต่อศาลไปแต่ศาลก็ไม่อนุญาตให้ประกันตัวถึง 2 ครั้ง จนถูกขังอยู่ 2 คืนก่อนศาลจะเปลี่ยนแนวมาให้ประกันตัว แต่พอศาลปล่อยตัวมาทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็เข้าคุมตัวเขาต่อเพราะมีคำสั่งถอนวีซ่าออกมาจนต้องประกันตัวจากคดีของ ตม.อีก 1 คดี และคำสั่งถอนวีซ่านี้ยังทำให้มหาวิทยาลัยนเรศวรก็เลิกจ้างงานเขาไปด้วย</p><p>แม้พอลจะต้องเผชิญสารพัดสิ่งขนาดนี้ สุดท้ายแล้วอัยการออกคำสั่งไม่ฟ้องคดีมาเมื่อวันที่ 27 พ.ค. แต่พอลก็ถูกผลักดันกลับประเทศไปแล้ว&nbsp;ทำให้พอลเลือกที่จะสู้ต่อโดยการฟ้องร้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งถอนวีซ่าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 2 ฉบับ และให้หน่วยงานรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายจากการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่เพียงแต่เขาจะเสียงานประจำไปแต่ยังรวมไปถึงรายได้จากโครงการวิจัยทางวิชาการไปด้วย</p><p>ถึงแม้ตัวจะไม่อยู่ไทยแล้ว แต่พอลยังคงติดตามความเป็นไปสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งปมความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่วยปลุกกระแสชาตินิยมพุ่งสูงจนนำไปสู่การปะทะระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่าย ในขณะที่กรณีคลิปเสียงโทรศัพท์ระหว่างแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็ทำให้แพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญปลดจากตำแหน่ง และล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือกอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32</p><p>ประชาไทชวนพอล แชมเบอร์ส นักวิชาการอาคันตุกะของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุป อิสฮัค (ISEAS) สนทนาเรื่องชีวิตในปัจจุบัน คดีมาตรา 112 และสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพในความสับสนวุ่นวายของการเมืองไทย</p><h5>คุณเป็นยังไงบ้างหลังเดินทางออกจากประเทศไทย</h5><p>ผมสบายดี หลังจากออกจากประเทศไทย ผมเดินทางกลับมาที่สหรัฐฯ และกลับมาอยู่กับแม่ที่บ้านในรัฐโอกลาโฮมา แต่ผมต้องอยู่ห่างจากภรรยา ดร.นภิสา ไวฑูรเกียรติ เธอเป็นคณบดีของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งทำให้มีความยากลำบากอยู่บ้าง เพราะผมเดินทางไปประเทศไทยไม่ได้ตอนนี้ และเธอเองก็เดินทางออกจากไทยได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นจึงมีปัญหาอยู่ แต่ผมยังติดตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ผมยังทำงานให้กับสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ในสิงคโปร์ ยังเขียนเรื่องการเมืองไทย และเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพลเรือนในประเทศไทยอยู่</p><h5>ทนายความของคุณฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองเนื่องจากคุณถูกถอนวีซ่า ถ้าคุณชนะคดี คุณยังหวังอยู่ไหมว่าจะได้กลับมาอยู่ประเทศไทย</h5><p>ยังหวังอยู่ครับ ผมรักประเทศไทยและรักคนไทย และก่อนเดือนมีนาคม 2568 ผมไม่เคยคาดเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับผม ผมเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาในมหาวิทยาลัยนเรศวร ในพิษณุโลกซึ่งเป็นเมืองต่างจังหวัด วันหนึ่งผมถูกเรียกเข้าไปในสำนักงานที่มหาวิทยาลัยและแจ้งว่า “คุณถูกแจ้งข้อหา ม. 112” และหลังจากนั้นชีวิตของผมก็เหมือนอยู่บนรถไฟเหาะ แต่ผมกำลังรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป</p><p>ผมต้องพูดว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมยังอยู่ประเทศไทย กองทัพ และโฆษกของพวกเขา พลตรีวินธัย สุวารี เคยพูดว่ากองทัพจะพยายามจะหางานเก่าๆ ของผมมาใช้ดำเนินคดี 112 กับผมอีกครั้งให้ได้ การคุกคามแบบนี้ทำให้ผมตกใจ ทำให้ครอบครัวผม ภรรยา และเพื่อนผมตกใจ ดังนั้นผมจึงรู้สึกกลัวการเดินทางกลับไทยถึงแม้ว่าเราจะชนะคดี แต่ผมจะยังสนใจประเทศไทยอยู่ ผมจะยังเขียนถึงประเทศไทย และจะกลับไปประเทศไทยแน่นอน แต่จะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น</p><p>ผมจะไม่เดินทางกลับประเทศไทยเร็วๆ นี้แน่ถ้าผมคิดว่าผมจะถูกดำเนินคดีเมื่อเดินทางไปถึง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมได้ทำร้ายแม่ของผม ซึ่งแม่อายุ 86 แล้วและอาศัยอยู่คนเดียว เธอคงรับไม่ได้ถ้ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็คงเข้าใจได้ และภรรยาของผมก็เข้าใจเหมือนกัน</p><p>ถ้าผมจะเดินทางกลับไปเมืองไทย ผมจะต้องมั่นใจว่ากองทัพและตำรวจจะไม่ดำเนินคดีกับผมอีก และแน่นอนว่าผมจะรอจนกว่า [คดีในศาลปกครอง] จะสิ้นสุด ผมอยู่เมืองไทยมา 30 ปี แล้ว ผมทำงานเกี่ยวกับการเมืองไทย และเข้าใจดีว่าโอกาสที่ผมจะชนะคดีมีน้อยมาก โดยเฉพาะตอนนี้ที่วิกฤตระหว่างไทยและกัมพูชาทำให้กองทัพมีอิทธิพลเหนือการเมืองไทยมากขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่ผมจะเดินทางกลับไทยแล้วอาจจะต้องกลับไปถูกคุมขังในเรือนจำ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เลวร้ายมาก ผมรู้สึกสงสารผู้ต้องขังที่ผมได้พบตอนที่อยู่ที่นั่น</p><p>สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในเรือนจำคือผมอยากช่วยเหลือผู้ต้องขัง ในประเทศของผม ในสหรัฐฯ เรามีปัญหาเรื่องสิทธิผู้ต้องขังเหมือนกัน แต่ผมได้เห็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมากด้วยตาตัวเองและรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง หรือช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาของผู้ต้องขังในประเทศไทย โดยเพราะนักโทษการเมือง ซึ่งผมคิดว่าผมก็เป็นนักโทษการเมืองคนหนึ่งเหมือนกัน</p><h5>มหาวิทยาลัยแจ้งหรือไม่ว่าเลิกจ้างคุณเพราะอะไร ในเมื่ออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี</h5><p>มหาวิทยาลัยเลิกจ้างผมในช่วงปลายเดือนเม.ย. และผมคิดว่าเขาเลิกจ้างผมเพราะแรงกดดันจากกองทัพ ผมว่าออกจะเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่ เพราะวันที่ 1 พ.ค. อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีของผมแล้ววันต่อมาผมก็ได้รับแจ้งว่าถูกเลิกจ้าง</p><p>ตอนแรกผมคิดว่าการที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเป็นข่าวดี แต่กลับถูกไล่ออกจากงาน ผมจึงไปปรึกษากับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พวกเขาให้ผมส่งหนังสือถึงอธิการบดีและรองอธิการฯ แจ้งว่าเราจะดำเนินคดีกับมหาวิทยาลัยเพราะพวกเขาเลิกจ้างผมโดยมิชอบ ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรถ้าจะมีอาจารย์สักคนถูกไล่ออกจะมีการตั้งคณะกรรมการ และอาจารย์คนนั้นจะต้องได้ชี้แจง นั่นคือขั้นตอนที่ควรจะเป็น แต่ในกรณีของผมเขาแค่ไล่ผมออกเลยโดยไม่ตั้งคณะกรรมการมาพิจารณา ผมจำได้ว่ารองอธิการฯ บอกผมว่า เราเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมหาวิทยาลัย</p><p>อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยก็ยังอ้างได้ว่าต้องเลิกจ้างผม เพราะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ถอนวีซ่าผม และผมคิดว่าพวกเขาจะใช้ข้ออ้างนี้</p><h5>ทำไมคุณถึงถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์</h5><p>ผมถูกฟ้องด้วยข้อหาตามม. 112 เพราะว่ามีการประชาสัมพันธ์งานสัมมนาออนไลน์ในเว็บไซต์ของ ISEAS ซึ่งบอกว่าพอล แชมเบอร์ส จะมาบรรยายเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพ ผมไม่ได้เป็นคนเขียนข้อความนั้น ซึ่งข้อความนั้นระบุว่ามีการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพ และในประเทศไทย กษัตริย์มีอำนาจมากกว่านายกรัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพ แต่ผมไม่ได้เป็นคนเขียน</p><p>ผมถูกแจ้ง 2 ข้อหา คือ ม.112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ข้อหา ม.112 เป็นเพราะว่าผมโพสต์อะไรสักอย่าง พวกเขาใช้คำว่าผมเป็นคนโพสต์ แต่ผมไม่ได้เป็นคนโพสต์ ผมไม่ได้เป็นเว็บมาสเตอร์ และมันก็เป็นข้อความโฆษณา ผมจะทำได้ยังไง ผมเป็นแค่แขกรับเชิญในงานเสวนา</p><p>ข้อหาที่สองคือข้อหา พ.ร.บ. คอมฯ พวกเขาบอกว่าผมมีเว็บไซต์ที่มีข้อความไม่ดีอยู่ มันไม่ใช่เว็บไซต์ของผม ดังนั้นข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นข้อกล่าวหาที่อ่อนมาก แต่ผมคิดว่าปัญหาของผมไม่ได้เกี่ยวกับข้อกล่าวหาเหล่านี้ คนพวกนี้จะดำเนินคดีกับผมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทำไมถึงเป็นตอนนี้ ผมคิดว่านั่นคือคำถามที่สำคัญกว่า และทำไมพวกเขาถึงโกรธผมมากขนาดนี้</p><p>ผมคิดว่าการดำเนินคดีกับผมเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เพราะเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเขาก็พากลุ่มนายทหารที่เป็นฝ่ายขวาจัดและเป็นอนุรักษนิยมมากมาด้วย แล้วการคุกคามก็เริ่มต้นขึ้น</p><p>ในเดือนตุลาคม 2567 อยู่ดีๆ งานสัมมนานี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก ผมเขียนเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งนายทหารทุกปีมา 6-7 ปีแล้ว ผมไม่เคยมีปัญหามาก่อน น่าคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่ไหน</p><p>หลังงานสัมมนา อยู่ดีๆ ก็มีบทความเผยแพร่ในเว็บไซต์ไทยโพสต์กล่าวถึงผม ไม่กี่วันหลังจากบทความนี้เผยแพร่ พันเอกคนหนึ่งจาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ก็ส่งจดหมายมาหาอธิการฯ ถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับผม มันคือการคุกคามนั่นแหละ และคำถามพวกนั้นก็ประหลาดมาก เช่น พวกเขาถามว่าผมมีรายได้เท่าไหร่ ไปร่วมงานสัมมนากี่งานแล้ว เราก็ส่งคำตอบไป แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งจดหมายมาอีกฉบับ เรารู้ว่า [กอ. รมน.] ส่งจดหมายมาอีกฉบับ ซึ่งอธิการฯ ไม่เคยเอาให้เราดู ดังนั้นเราจึงไม่สามารถตอบคำถามที่พวกเขาส่งมาได้</p><p>หลังจากนั้น แม่ทัพภาคที่สาม พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ กับรองแม่ทัพภาคที่สาม ชื่อพลตรี ชายแดน [กฤษณสุวรรณ] ก็แจ้งความดำเนินคดีกับผมด้วยข้อหา ม.​112 และมันก็น่าสนใจมากเพราะโดยปกติแล้วเวลามีข้อหา 112 คุณต้องได้รับหมายเรียกก่อน แต่ผมไม่เคยได้รับหมายเรียก มีแต่หมายจับ</p><p>ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะผมเขียนถึงกองทัพไทย และผมพยายามจะเขียนถึงการปฏิรูปหน่วยงานความมั่นคงเพื่อปรับปรุงกองทัพ เพื่อทำให้พวกเขามีความรับผิดรับชอบต่อประชาชนมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่ากองทัพจะต้องมีความโปร่งใสและความรับผิดชอบเพื่อที่จะสนับสนุนประชาธิปไตยและสนับสนุนประชาชนไทย</p><p>ที่ผ่านมาผมเคยเขียนเรื่องอาณาจักรธุรกิจของนายทหาร ผมสงสัยว่านายทหารระดับสูงบางคนอาจจะรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งนั่นสะท้อนออกมาในข้อหาที่พวกเขากล่าวหาผม นายทหารระดับสูงเหล่านี้ใช้กฎหมาย ม.112 ไปในทางที่ผิด พวกเขากล่าวหาผมด้วยเรื่องที่ผมจะไม่มีวันทำเพราะพวกเขาอยากลงโทษผมที่วิพากษ์วิจารณ์กองทัพ</p><p>ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ก็เป็นเพราะว่านายทหารกลุ่มนั้นขึ้นมามีอำนาจในกองทัพเมื่อเดือนตุลาคม ผมคิดว่านั่นคือเหตุผล พวกเขาอยากขู่ผมให้กลัวด้วยการจับผมไปขัง และพวกเขาก็คงอยากให้ผมถูกเนรเทศ ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้ตามนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาจะไม่มีวันได้ คือผมจะไม่เลิกเขียนงานเกี่ยวกับกองทัพ และในเมื่อตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนอะไรได้หรือไม่ได้ ผมจะเขียนอะไรก็ได้ที่ผมอยากเขียนเกี่ยวกับกองทัพ ดังนั้นผมไม่คิดว่านี่เป็นผลดีกับพวกเขาหรอก</p><h5>คุณคิดว่ากองทัพหันขวามากขึ้นไหม และพวกเขากำลังพยายามเข้ามามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลพลเรือนใช่ไหม</h5><p>ใช่ และผมมีความกังวลว่ามากว่ากองทัพกำลังหาความชอบธรรมในการเข้ามายุ่งกับกิจการพลเรือน คดีของผมเป็นตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจะเห็นว่ากองทัพมีท่าทีรุนแรงมากขึ้นและกำลังพยายามจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการเมืองไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากสำหรับอนาคตของประชาธิปไตยในไทย</p><p>ผมคิดว่า ม.112 ต้องถูกปฏิรูป กองทัพเป็นองค์กรที่ไม่มีความโปร่งใสอยู่แล้ว และพวกเขาก็ใช้คำว่า “ความมั่นคงของชาติ” และ “การคุ้มครองสถาบันตามจารีต” แต่เมื่อคุณตามล่าคนที่คุณไม่ชอบ และกล่าวหาเขาว่าต่อต้านสถาบันฯ นั่นคือการใช้อำนาจในทางมิชอบ จนถึงวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าการดำเนินคดีกับผมเริ่มต้นตรงไหน ผมไม่รู้ชื่อคนที่ทำ แต่ผมรู้ว่าอะไรแบบนี้ไม่ได้เริ่มมาจากรองแม่ทัพภาคที่สามแน่นอน เขาเป็นแค่คนที่กล่าวหาผมอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่ไม่มีทางที่เขาจะทำเองคนเดียว อย่างน้อยเขาต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาคือพลโทกิตติพงษ์ และพลโทกิตติพงษ์ไม่มีอำนาจอะไร ดังนั้นต้องเป็นคนที่ตำแหน่งสูงกว่านั้น</p><p>ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าไม่น่าใช่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ. สส.) พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี เขาเป็นพวกสายกลาง ผมทำวิจัยเรื่องกองทัพไทยมาเยอะมาก ผมเข้าใจว่าฝ่ายอนุรักษนิยมใต้การนำของพล.อ.พนาเข้ามามีอำนาจ ผมไม่ได้กล่าวหาว่าพล.อ.พนาเป็นคนทำ แต่ใครสักคนที่มีตำแหน่งสูงเป็นคนทำแน่นอน</p><p>ฝ่ายอนุรักษนิยมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ใต้อิทธิพลของนายทหารที่จบจากรุ่น 26 ของโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 26 เป็นกลุ่มที่เป็นอนุรักษนิยมมาก เป็นกลุ่มที่นำโดยพล.อ.พนา และยังมีพลโทบุญสิน [พาดกลาง] ซึ่งเป็นแม่ทัพภาคที่สอง</p><p>กลุ่มนายทหารกลุ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มวงศ์เทวัญ หรือที่บางทีเรียกกันว่าทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ นอกจากนี้พล.อ.พนายังเป็นทหารคอแดง ซึ่งก็เป็นกลุ่มทหารอนุรักษนิยมสุดขั้ว และพวกเขาต้องการปกป้องสถาบันกองทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินคดีกับผมด้วยข้อกล่าวหาที่อ่อนมากเพื่อส่งสัญญาณว่าอย่ายุ่งกับกองทัพ ไม่ใช่แค่ถึงผมเท่านั้น แต่ถึงชาวต่างชาติและคนไทยคนอื่นด้วย</p><p>ปกติแล้วถ้าคุณเขียนถึงประเด็นอื่นในประเทศไทย คุณจะไม่มีปัญหาเลย แต่คุณจะเขียนถึงสถาบันตามจารีตไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่เคยเขียน แต่ตอนนี้กองทัพจะพยายามใช้กฎหมายอย่าง ม.112 เพื่อจัดการกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์กองทัพ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และผมไม่ใช่คนเดียวที่จะต้องเจอกับอะไรแบบนี้ พวกเขาจะทำกับคนอื่นๆ อีก และต่อไปเป้าหมายของพวกเขาน่าจะเป็นคนไทย</p><p>นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อันตรายมาก เพราะมันหมายความว่ากองทัพกำลังเข้ามายุ่งกับกิจการพลเรือนมากขึ้นเรื่อยๆ และผมคิดว่าคนไทยและคนต่างชาติควรจะได้รู้เรื่องนี้</p><h5>พูดถึงพลโทบุญสิน ตอนนี้เขาเดินสายไปบรรยายให้นักเรียนนักศึกษาฟัง คุณคิดว่านี่คือโครงการของกองทัพในการทำให้คนรุ่นถัดไปหันมาอยู่ข้างพวกเขาไหม</h5><p>ผมคิดว่ามันคือโครงการของ กอ. รมน. ถ้าคุณไปถามพวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับ กอ.รมน. เธอก็น่าจะพูดแบบเดียวกัน</p><p>พล.ท.บุญสินจะต้องเกษียณวันที่ 30 ก.ย. นี้ เขากำลังหาอาชีพใหม่ เขายังเลิกไม่ได้หรอก เขาเพิ่งเริ่มเอง แต่เขาจะอยู่ในกองทัพต่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจะทำอะไรได้อีก เขามีสองทางเลือก หนึ่งคือเล่นการเมืองเหมือนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือเขาอาจจะหวังได้เป็นองคมนตรี นั่นคือทางเลือกของเขา และการเดินสายไปคุยกับนักเรียนคือการทำงานให้ กอ. รมน. นั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำ แต่มันก็ช่วยทำให้เขาดูดีสำหรับตำแหน่งงานถัดไปของเขาด้วย ไม่ว่านั่นจะเป็นการเป็นองคมนตรีหรือเป็นการเล่นการเมืองในฐานะนายทหารเกษียณก็ตาม เขาอาจจะเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทยก็ได้ ซึ่งนั่นก็คงสะดวกมากถ้าเขาต้องการ อย่างไรก็ตาม บุญสินสนิทกับพนา ทั้งคู่มาจากรุ่น 26 และถ้าบุญสินได้เป็นองคมนตรี เขาจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพล.อ.พนากับองคมนตรี หรือถ้าเขาเข้าร่วมกับพรรคการเมือง เขาก็จะกลายเป็นคนในสภาผู้แทนราษฎร หรือเขาอาจจะได้เป็น สว. และอาจจะเป็นสว.ที่ใกล้ชิดกับภูมิใจไทย เขามีทางเลือกอยู่</p><p>คุณนึกภาพออกไหม นายทหารคนนี้เป็นข้าราชการ เขาเป็นทหาร แต่เขากำลังเดินสายเล่นการเมืองระหว่างที่ยังเป็นทหารอยู่ สำหรับผม นี่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพลเรือนคุมกองทัพไม่ได้ เพราะไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาทำแบบนั้นได้ และที่จริงแล้ว เพราะเขาเป็นแม่ทัพภาคที่สอง เขายังเป็นผู้อำนวยการระดับภูมิภาคของ กอ.รมน.ด้วย แต่เขาเดินทางมากรุงเทพ ออกนอกภูมิภาคของตัวเอง แล้วก็ไปบรรยาย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการขาดการควบคุมโดยพลเรือน</p><h5>ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาล คุณคิดว่ารัฐบาลนี้จะเป็นอนุรักษนิยมมากขึ้น และกองทัพจะมีอำนาจมากขึ้นไหม</h5><p>ใช่ ผมมองว่าตั้งแต่คลิปเสียงของแพทองธารกับฮุนเซนหลุดออกมาและตั้งแต่มีวิกฤตที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา กองทัพก็มีความชอบธรรมในการเข้ามายุ่งกับกิจการพลเรือนในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายชายแดน นโยบายการต่างประเทศ และนโยบายกลาโหม ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสียความควบคุมในเรื่องพวกนี้</p><p>เมื่ออนุทินได้เป็นนายกฯ ซึ่งผมคิดว่าเขาจะได้เป็น กองทัพก็จะมีอิสระในการทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ กองทัพไทยมีความน่าสนใจมากตรงที่คนที่มีอำนาจมากที่สุดไม่ใช่ ผบ.สส. แต่เป็น ผบ.ทบ. ในหลายๆ ประเทศ คนที่มีอำนาจมากที่สุดคือ ผบ.สส. แต่ไม่ใช่ในประเทศไทย ดังนั้นพลเอกพนาก็จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ</p><p>นอกจากนี้ ใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็จะเป็นอีกคนที่จะมีอำนาจมาก ผมได้ยินว่าอาจจะเป็นประวิตรซึ่งก็เป็นฝ่ายอนุรักษนิยม อีกคนคือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งเป็นรักษาการรัฐมนตรีกลาโหมอยู่ตอนนี้ แต่เขาสนิทกับประยุทธ และเขาก็เป็นทหาร เขาไม่ใช่พลเรือนจริงๆ</p><p>กองทัพจะมีอิสระมากขึ้นเพราะวิกฤตครั้งนี้ และเพราะอนุทินขึ้นมามีอำนาจ กองทัพจะมีอิทธิพลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลพลเรือนมีความวุ่นวาย พวกเขาจะทำรัฐประหารไปทำไมล่ะทีนี้ พวกเขาไม่ต้องทำรัฐประหารแล้ว แบบนี้ดีกว่า คุณสามารถใช้รัฐบาลพลเรือนบังหน้าในขณะที่กองทัพทำตามใจ คล้ายๆ กับช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ผมคิดว่าอนุทินจะเป็นอภิสิทธิ์ 2 และเขาจะปล่อยให้กองทัพอะไรก็ได้</p><h5>กองทัพไทยจะสามารถกลับมาอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือนได้ไหม</h5><p>ผมคิดว่ามีโอกาสอยู่ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีบางช่วงเวลาที่อิทธิพลของกองทัพอ่อนลง เช่นในพ.ศ. 2516 และพ.ศ. 2535 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพเสียหาย เพราะภาพทหารยิงประชาชนถูกเผยแพร่บนจอโทรทัศน์ นั่นเป็นจุดด่างพร้อยสำหรับกองทัพ ซึ่งเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญประชาชนได้สำเร็จ และอิทธิพลของกองทัพก็ลดลงไปพักหนึ่ง</p><p>ส่วนอีกครั้งหนึ่งคือย้อนกลับไปสมัยของปรีดี พนมยงค์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองโดยพลเรือน ดังนั้นผมคิดว่ามีช่วงเวลาที่สำคัญสามช่วงในประวัติศาสตร์ คือ 2489 2516 และ 2535</p><p>ปัญหาก็คือว่าการปกครองโดยพลเรือนในทั้งสามช่วงนั้นไม่ยั่งยืน ดังนั้นเราต้องการรัฐบาลพลเรือนที่ยั่งยืน เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง ประเทศไทยจะต้องมีการสังหารหมู่ประชาชนเพื่อจะควบคุมกองทัพได้ทุกครั้งไหม มันไม่ควรเป็นแบบนั้น</p><p>ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ผมอยากเสนอว่ากองทัพควรจะสนับสนุนการปกครองโดยพลเรือนเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เพราะถ้ากองทัพไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ในที่สุดก็จะเกิดวิกฤตอะไรสักอย่าง ซึ่งจะทำร้ายกองทัพและอาจจะทำให้กองทัพอ่อนแอลง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกลับมาได้ก็ตาม ผมคิดว่าบางทีภาคประชาสังคมอาจจะต้องส่งเสียงสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนให้เข้มแข็งกว่านี้</p><p>แน่นอนว่ากองทัพมักจะใช้ความชอบธรรมที่ได้มาจากการเป็นผู้ปกป้องสถาบันตามจารีตบังหน้า ดังนั้นพวกเขาก็จะพูดว่าคุณต้องการเรา เพราะคุณต้องมีสถาบันเหล่านี้ และเราคือคนเดียวที่ปกป้องสถาบันได้ ตราบใดที่กองทัพยังสามารถใช้ข้ออ้างนี้ได้ การควบคุมกองทัพก็จะเป็นเรื่องยาก เราจะควบคุมกองทัพได้อย่างไรคือหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการเมืองไทยทุกวันนี้</p><h5>ปัญหาคือรัฐบาลพลเรือนของเราไม่เคยแข็งแรงพอจะสู้กับกองทัพได้หรือเปล่า</h5><p>มันก็เคยมีอยู่ครั้งสองครั้ง รัฐบาลของทักษิณแข็งแรง ทักษิณสามารถใช้ตำรวจและผู้สนับสนุนในกองทัพเพื่อควบคุมกองทัพได้ เขาอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ตั้งแต่พ.ศ.​ 2544 - 2549 แต่ในที่สุดกลุ่มทหารเสือราชินีก็ทำรัฐประหาร กลุ่มเดียวกันนี้เป็นผู้ทำรัฐประหารทั้งในพ.ศ. 2549 และ 2557 การรัฐประหาร 2549 นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่กลุ่มที่ทำรัฐประหารคือกลุ่มทหารเสือราชินี ในที่สุดรัฐบาลทักษิณก็ถูกโค่นล้มโดยกองทัพ ซึ่งใช้ข้ออ้างเดิมๆ ที่ว่าพวกเขาคือผู้ปกป้องสถาบันกษัตริย์</p><p>ยังมีอีกวิธีที่ประเทศไทยจะมีการปกครองโดยพลเรือนที่ยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่นในพ.ศ. 2516 พลอ.อ.กฤษณ์ สีวะรา เป็นนายทหารที่มีอำนาจคนหนึ่ง เขาอยากจะเกษียณแล้วมาเล่นการเมือง ตามที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ Praetorian Kingdom (ราชอาณาจักรเสนาธิปไตย) ถ้าพล.อ.กฤษณ์ไม่เสียชีวิตไปก่อน เขาคงจะได้เป็นนายกฯ แต่เขาเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาใน พ.ศ. 2519 ที่เขาพูดกันว่าเป็นเพราะว่ากินข้าวเหนียวมะม่วง</p><p>ถ้าพล.อ.กฤษณ์มีชีวิตอยู่ เขาคงจะพยายามเข้าชิงตำแหน่งนายกฯ และเนื่องจากว่าเขายังคุมกองทัพได้อยู่ถึงจะเกษียณแล้ว นั่นก็คงเป็นช่องทางที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองโดยพลเรือน นายทหารที่เป็นพวกสายกลางสามารถทำได้</p><p>ตัวอย่างที่สองคือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เขาเป็น ผบ.ทบ. ที่เกษียณก่อนกำหนด และเข้ามาเล่นการเมือง ต่อมาเขาก็ได้เป็นนายกฯ แต่โชคไม่ดีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นทุกครั้งในประเทศไทย เพราะคุณมีนายทหารสายกลางเหล่านี้ที่ต้องการเข้ามาเล่นการเมือง ซึ่งจะเปลี่ยนสมดุลระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือน ทำให้กองทัพอยู่ใต้อิทธิพลของรัฐบาลพลเรือนมากขึ้นเพราะนายทหารสายกลางเหล่านี้ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่ในกรณีของพล.อ.กฤษณ์ เขาเสียชีวิตอย่างกระทันหันและเป็นปริศนา ส่วนในกรณีของพล.องชวลิตก็มีวิกฤตเศรษฐกิจ ส่วนในกรณีของทักษิณ บางคนบอกว่าเขาทำเกินไป และบางคนก็อาจจะคิดได้ว่าเขาทำให้สถาบันตามจารีตไม่พอใจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ในที่สุดก็มีการทำรัฐประหารล้มเขาอยู่ดี</p><p>ในกรณีของปรีดี เขาเป็นผู้นำพลเรือน แต่กองทัพอยู่ใต้เขาไม่ได้นาน กองทัพต้องการจะล้มเขาและทำได้ในที่สุด</p><p>ทีนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง ทหารสายกลางที่ผมเห็นว่ามีอยู่คือ พล.อ.ทรงวิทย์ ผบ.สส. แต่เขาไม่มีอิทธิพลมากนัก เรามีพรรคประชาชน ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดี และมีวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ซึ่งเป็นประธาน กมธ.การทหาร ผมคิดว่าถ้าพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปน่าจะทำให้กองทัพไม่พอใจ และตอนนั้นก็อาจจะเกิดการรัฐประหารก็ได้</p><p>ข้อเสียอย่างเดียวของการทำรัฐประหารคือเมื่อมีการรัฐประหารแล้วประชาชนจะกลายเป็นศัตรูของกองทัพ ทุกครั้งที่ประเทศไทยมีรัฐบาลทหาร ประชาชนจะโกรธ การมีรัฐบาลทหารไม่ได้ช่วยอะไรกองทัพเลย</p><p>เมื่อ พ.ศ. 2562 คนก็เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้เป็นนายกฯ ผมคิดว่าถ้ามีการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคประชาชนจะไม่เป็นผลดีต่อกองทัพ ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าถ้ามีฉันทามติสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนในสังคมไทย ทหารก็จะกลับเข้ากรมกอง และกองทัพก็จะหยุดพยายามมีอิทธิพลเหนือสถานการณ์ต่างๆ</p><p>อีกเรื่องที่ผมคิดว่าเราต้องพูดถึงคือสถานการณ์วิกฤตระหว่างไทยกับกัมพูชาทำให้แนวคิดชาตินิยมขยายตัวขึ้นมาก ซึ่งผมเข้าใจได้ แต่กองทัพกำลังใช้ประโยชน์จากกระแสชาตินิยม ซึ่งไม่ควรเป็นแบบนั้น ทุกภาคส่วนของกองทัพต้องถูกควบคุม</p><p>ถ้าเราย้อนกลับไป ในช่วงปลาย พ.ศ. 2540 - 2541 ตอนนั้นชวนเป็นนายกรัฐมนตรี เขากับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็น ผบ.ทบ​. พยายามจะให้พลเรือนคุมกองทัพ ปัญหาของรัฐบาลทักษิณคือเขาสนับสนุนการควบคุมกองทัพโดยพลเรือน แต่ไม่ควบคุมคนในกองทัพที่เป็นฝ่ายสนับสนุนตัวเอง จึงทำให้การควบคุมกองทัพโดยพลเรือนมีความเป็นการเมืองอยู่</p><p>เราต้องกลับไปหาสิ่งที่ชวนกับพล.อ.สุรยุทธ์พยายามทำ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องมีการตัดงบกองทัพ ต้องลดปริมาณอาวุธและกำลังพล ทหารที่ไม่ทำตามคำสั่งต้องถูกลงโทษ และต้องเอาที่ดินบางส่วนออกจากการครอบครองของกองทัพ เพราะตอนนี้กองทัพถือครองที่ดินจำนวนมากที่สุดในประเทศ ทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ชวนทำอย่างนั้นได้ก็เพราะ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีส่วนช่วยในการเพิ่มอำนาจพลเรือน และลือกันว่าชวนได้รับการสนับสนุนจากคนในสถาบัน ดังนั้นเขาจึงทำสำเร็จ แล้วทักษิณก็เข้ามาสานต่อและสร้างกองทัพที่อยู่ภายใต้ควบคุมของพลเรือนแต่ก็มีความเป็นการเมือง</p><p>ผมคิดว่าถ้ากองทัพไม่สามารถอ้างสถาบันเพื่อเพิ่มความชอบธรรมและเพิ่มอำนาจได้อีกต่อไปก็จะเป็นเรื่องดีกับประเทศไทย นอกจากเรื่องสถาบันแล้ว ประเทศไทยควรจะพยายามทำให้แน่ใจว่ากองทัพจะไม่ใช้ความขัดแย้งที่ชายแดนมาเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องยากแต่อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้วว่าเป็นเรื่องดีที่เรามีพรรคประชาชน การที่พรรคประชาชนเข้ามามีส่วนในรัฐบาลอนุทินน่าจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มอิทธิพลของพลเรือน เพราะอนุทินต้องการการสนับสนุนจากพวกเขา และนี่อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพลเรือนในไทย</p><h5>แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอนุทินจะรักษาสัญญา</h5><p>เป็นเรื่องที่ผมก็ตั้งคำถามอยู่ น่าคิดว่าทำไมพรรคประชาชนถึงจับมือกับอนุทิน ถ้าอนุทินไม่ทำตามสัญญา พรรคประชาชนก็จะถอนการสนับสนุน อนุทินก็จะต้องไปทำสัญญากับทักษิณเพื่อจะอยู่ในตำแหน่ง แล้วเขาจะทำแบบนั้นได้หรือ ทักษิณอาจจะพยายามยึดอำนาจ</p><p>ผมคิดว่าเหตุผลของพรรคประชาชนส่วนหนึ่งเพราะว่าอนุทินต้องการการเสียงจากพรรคประชาชนมากถึงขั้นที่ว่ารัฐบาลอาจจะล่มได้ถ้าพรรคประชาชนไม่สนับสนุน เพราะถ้าทักษิณพยายามจะเข้ามาแย่งชิงอำนาจ อนุทินก็จะยุบสภา แล้วเราก็จะได้เลือกตั้งใหม่เร็วกว่ากำหนดอยู่ดี</p><p>บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลบางส่วน เพราะผมรู้ว่าพรรคประชาชนไม่ไว้ใจอนุทินแน่นอน แต่เขาคือปีศาจตัวที่อ่อนแอกว่า ถ้าคุณบอกว่ามีทางเลือกสองทาง จะเลือกทักษิณหรือจะเลือกอนุทิน ดังนั้นเขาจะขาดพรรคประชาชนไม่ได้</p><p>ผมคิดว่าเป็นไปได้เสมอที่อนุทินจะทรยศพรรคประชาชน อนุทินอาจจะบอกว่าคุณจะมาร่วมรัฐบาลก็ได้ แต่เขาเป็นนายกฯ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะยุบสภา</p><p>ผมรู้ว่าอนุทินมีความสัมพันธ์กับชนชั้นสูง ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาจะได้เป็นนายกฯ แต่ผมไม่คิดว่าพรรคประชาชนตกอยู่ใต้อิทธิพลของชนชั้นสูงเหล่านั้น ผมคิดว่าพวกเขาเป็นพรรคเดียวที่ไม่อยู่ใต้อิทธิพลแบบนั้น ดังนั้นผมจึงสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงสนับสนุนอนุทิน ผมมองว่ามันอาจจะเป็นเพราะว่าภูมิใจไทยเป็นพรรคเล็กกว่า พวกเขามีเสียง สส.แค่​ 69 เสียง ดังนั้นการจับมือกับพวกเขาจึงง่ายกว่าเพราะมีโอกาสที่จะกดดันอนุทินได้มากกว่า</p><p>เนื่องจากอนุทินได้เป็นนายกฯ เพราะความสัมพันธ์กับชนชั้นสูง ดังนั้นเขาก็น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้จนหมดวาระและมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2570 ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับอนุทิน ถ้าอนุทินเป็นนายกฯ แล้วใครจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่นเป็นคำถามที่ดีมาก แน่นอนว่าไม่ใช่คนจากพรรคประชาชนแน่ มีข่าวว่าอาจจะเป็นธรรมนัส แต่ผมไม่เชื่อ ประเด็นก็คือว่าใครก็ตามที่มาเป็นรัฐมนตรีฯ มหาดไทย สามารถแต่งตั้งผู้ว่า ซึ่งจะมีผลกับการเลือกตั้งครั้งหน้า ใครก็ตามที่ควบคุมการเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ก็สามารถชนะการเลือกตั้งได้</p><p>ถ้าอนุทินเป็นนายกฯ เพื่อไทยก็ไม่สามารถควบคุมองคาพยพของกระทรวงมหาดไทยได้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าและการลงทุนกับการเลือกตั้ง นี่หมายความว่าภูมิใจไทยอาจได้เสียงมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้นจึงสำคัญมากที่อนุทินจะต้องเป็นนายกฯ ตอนนี้ เขาสามารถแต่งตั้งคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดและอยู่ในตำแหน่งต่อ ซึ่งเขาก็อาจจะทำให้พรรคประชาชนไม่พอใจ แต่เขาจะยังอยู่ในตำแหน่ง และเมื่อการเลือกตั้งครั้ง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

นักข่าวหัวเห็ด แห่งเวบสุขใจ
อัพเดตข่าวทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง

>> http://www.SookJai.com <<
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.571 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กันยายน 2568 19:38:10